Image

[Cosme-Diagnosis] มหกรรมวิเคราะห์ส่วนผสม รวมรีวิว 14 BHA Toner ตัวตึงแห่งปี 2022

สำหรับ Blog นี้จะเป็น Content รวมบทวิเคราะห์ส่วนผสม BHA toner ที่น่าสนใจในปี 2022 นี้ แต่ก่อนจะไปเริ่มวิเคราะห์ส่วนผสมขอกล่าวถึง BHA เล็กน้อยนะคะ

BHA หรือ Beta-hydroxy acid จัดเป็นสารในกลุ่มกรดอินทรีย์ (Organic acid) ชนิดหนึ่ง โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักและนิยมใช้ในวงการเครื่องสำอางคือ Salicylic acid

น้องมีคุณสมบัติละลายได้ในไขมัน และมีคุณสมบัติในการย่อยสลายโปรตีน Keratin ที่เป็นองค์ประกอบในสิวอุดตัน (Comedone) เราเรียกคุณสมบัตินี้ว่า Comedolytic

โดยในความเข้มข้นสูงๆ จะจัดเป็นยาที่ใช้กัดหนังแข็งๆ ส่วนทางเครื่องสำอาง ความเข้มข้นที่ให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องการอุดตันในรูขุมขนคือ 0.5 – 2.0% ในสูตร

แต่ข้อเสียของวงการเครื่องสำอางคือเรามักจะไม่ทราบความเข้มข้นของสารที่เขียนอยู่บนฉลาก เว้นแต่ผู้ผลิตจะบอกเองค่ะว่าใส่มาเท่าไหร่ การดูลำดับส่วนผสมก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง

ด้วยคุณสมบัติในการผลัดผิวของ Salicylic acid จึงไม่แนะนำให้ใช้ในตอนกลางวัน และถ้าใช้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF เหมาะสม และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดค่ะ

และมีข้อควรระวังในผู้ที่มีประวัติแพ้ Aspirin หรือ กลุ่มยาแก้ปวดลดอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพราะอาจจะเกิดการแพ้ได้

ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์นะคะ เพราะอาจจะมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ได้

สำหรับ content นี้ผลิตภัณฑ์ที่คัดเลือกมามีด้วย 14 ชิ้นค่ะ

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมขอ Disclaimer เล็กน้อยค่ะ

  1. Content นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ในเชิงการศึกษาเป็นหลัก
  2. Content นี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องสำอาง หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความงามแห่งใด
  3. Content นี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์โดยอาศัยหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  4. Content นี้มีการสอดแทรก Affiliated link โดยผู้เขียนอาจได้รับค่าตอบแทนจากการ Click link ที่แนบไว้ท้ายบทวิเคราะห์เครื่องสำอาง

ถ้าพร้อมแล้วขอเริ่มที่ตัวแรกเลยค่ะ

ขอเปิดประเดิมด้วยโทนเนอร์ดูแลสิวในตำนานจาก Some by Mi ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ผ่านตามาบ้าง

สมัยก่อนน้องมีขวดใหญ่มากๆ ด้วย แต่ตอนนี้เหลือมีขายแต่ขวดเล็ก แล้วก็มีไลน์ใหม่ที่เป็นไลน์ชาเขียวออกมาแทน ส่วนตัวก็ยังไม่เคยหยิบเอารุ่นชาเขียวมาดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง

แต่ตัว AHA BHA PHA 30 Days Miracle Toner ส่วนผสมคือมาเต็มมาก ทั้งดูแลสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการเติมน้ำไปพร้อมๆ กัน

สำหรับสารบำรุงอื่นๆ นอกจากพวก Acids แล้วก็มี Niacinamide ที่เป็นตัวเต็งในวงการสกินแคร์ ร่วมกับสารสกัดจากพืชหลายชนิด และสารบำรุงที่ดูแล้วเด่นไปในทางด้านการเติมน้ำให้กับผิว จะมีรองๆ ก็จะเป็นด้าน Whitening กับ การดูแลเรื่องริ้วรอยผ่าน Adenosine

สารสกัดจากถั่วเลนทิล อาจจะเป็นตัว p-Refinyl ของ Silab ประเทศฝรั่งเศส ที่มีเคลมเกี่ยวกับการดูแลเรื่องรูขุมขนไม่กระชับ ควบคุมความมัน และดูแลเรื่องความรู้สึกกระชับผิวไปพร้อมๆ กัน

ขอแนบ Aff link บน Watsons https://invol.co/clew3bt

Laz Mall Some by Mi https://invol.co/clew3ca

ตัวถัดมาเคยเป็นตัวตึงของบ้านมียอน กับน้อง BHA Music Toner จากแบรนด์ Skin Talk สัญชาติเกาหลีเช่นกัน

ตอนนี้เขาปรับสูตรอีกรอบค่ะ จะไม่เหมือนกับสูตรเก่า เลยขอหยิบเอาสูตรเก่ามาวิเคราะห์เป็นกรณีศึกษาก่อน

จุดเด่นของน้องคือน้องใช้น้ำสกัดจากใบชาเขียวเป็นเบสหลัก เสริมมาด้วยสารสกัดและสารบำรุงหลายชนิด นอกจาก AHA BHA แล้ว ยังมีสารสกัดจากพืชและสารบำรุงที่โดดเด่นในด้านของการดูแลเรื่องการระคายเคือง การสมานผิว การเติมน้ำให้ผิว และดูแลเรื่องสิว

มีเคลมเรื่องของสารสกัดจากสาหร่าย Chlorella ว่ามีประโยชน์ในด้านริ้วรอย

แต่เสียดายที่ตอนนี้สูตรปรับใหม่มีเปลี่ยนส่วนผสมไปหลายอย่างเหมือนกันค่ะ

ดูสูตรเก่าไปแล้ว มาดูสูตรใหม่ล่าสุดบ้าง สูตรนี้ส่วนตัวยังไม่มีโอกาสได้ลองนะคะ แม้จะเห็นว่ามีขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่บ้าง

ข้อมูลสูตรนี้เอามาจากเว็บไซต์ของแบรนด์ Skin Talk ประเทศเกาหลี นางบอกว่านางใช้น้ำชาเขียวแทนน้ำ แต่ดิฉันก็ยังเห็นน้ำอยู่นะ ต่อจากน้ำชาเขียวเลยค่ะ

จุดที่เปลี่ยนไปก็คือ มีการเพิ่ม Niacinamide เข้ามาในสูตร แล้วตัดเอา Chlorella กับ สาหร่ายเคลป์หมักทิ้งไป เพิ่มเอาสารสกัดจากรำข้าวเข้ามา

ในภาพรวมคือน้องก็ยังมีส่วนผสมที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว สมานผิว เติมน้ำ และดูแลเรื่องสิวได้อยู่

แต่ส่วนตัวแอบชอบส่วนผสมของตัวเก่ามากกว่า

ตัวถัดมา ก็เคยเป็นตัวตึงของบ้านมียอนเหมือนกัน เป็นของจากเกาหลีอีกเช่นกัน

เรายังคงอยู่กับความเก๋ไก๋ของ K-beauty ค่ะ

ตัวนี้คือ Natural BHA Skin Returning A-Sol จากแบรนด์ CosRX ตอนนี้น้องมี Official Mall บน Lazada แล้วนะคะ สมัยก่อนดิฉันต้องสั่งผ่าน iHerb เอา แต่เสียดายสูตรนี้เหมือนไม่มีขายแล้วค่ะ ณ ตอนนี้ ก็ขอหยิบยกเอามาเป็นกรณีศึกษา เพราะมีความน่าสนใจอยู่ค่ะ

สำหรับตัวนี้มี AHA BHA โดย BHA น้องมาในรูปแบบ Betaine salicylate ซึ่งเป็นอนุพันธ์ที่ได้จากการรวมตัวกันของ Salicylic acid กับ Betaine ที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine อีกที จุดเด่นของ Betaine salicylate คือ มีการเคลมว่ามีความอ่อนโยนกว่า Salicylic acid ปกติ และตัว Betaine เองก็เด่นเรื่องการดูแลการระคายเคืองไปด้วย

เบสหลักมาในสารสกัดจากโพรโพลิส ที่โดดเด่นเรื่องการดูแลผิวหลายๆ ประการ ทั้งด้านของสิว และการอักเสบระคายเคือง เสริมมาด้วย Panthenol และ Allantoin ที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน ตามมาด้วยสารสกัดจากเมล็ดของ Cassia obtusifolia ที่อาจจะเป็นของบริษัท Garden of Naturalsolution ประเทศเกาหลี ที่เคลมว่ามี Polysaccharide ที่มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการระคายเคือง และอาการคันผิว

มี Hya เล็กน้อยพอกรุบกริบ

ปิดท้ายจบด้วย Tea tree oil ถ้าดูจากลำดับส่วนผสมก็พอกล้อมแกล้มว่าอาจจะให้ประโยชน์ด้านสิว

โดยรวมคือ แลดูอ่อนโยน ด้วยความมีสารดูแลเรื่องการระคายเคืองหลายสิ่งอัน

มาถึงสูตรปัจจุบันของ BHA จากแบรนด์ CosRX กันบ้างค่ะ

น้องมีชื่อว่า AHA/BHA Clarifying treatment toner จริงๆ น้องก็เป็นตัวเก่าแก่ตัวหนึ่งในวงการนะคะ

ในด้านของ AHA นอกจากจะเป็น Acids แล้วก็ยังใช้น้ำแอปเปิ้ล ที่มี AHA ตามธรรมชาติ

ส่วนของ BHA เป็น Betaine salicylate เหมือนสูตรป้ายแดง และเสริมมาด้วย BHA ธรรมชาติจากเปลือกต้น Willow

สารบำรุงอาจจะไม่จัดเต็มมาก แต่ก็เด่นไปในทางการดูแลเรื่องการระคายเคืองค่ะ

ราคาไม่แพงเว่อวังนะคะ เป็นมิตรจับต้องได้

อันนี้ขอแนบ Aff link ของ Laz Mall ไว้เผื่อใครอยากไปลองตำ

https://invol.co/cleot31

เมื่อพูดถึง Betaine salicylate แล้ว ขอหยิบเอาอีกตัวที่ดูดีงามไม่แพ้กัน เป็นงานฝาหรั่งค่ะ

Squalane + BHA pore minimizing toner จากแบรนด์ Biossance ที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง แต่น้องทำอะไรออกมาปังหลายๆ อย่างนะคะ

น้องมาในคอนเซปท์น่ารักๆ ส่วนผสมจัดเต็มด้วยสารสกัดจากธรรมชาติมากมายหลายชนิด ดูแลผิวได้ครบสยบทุกปัญหา ทั้งเรื่องสิว ผิวมัน การระคายเคือง Whitening เติมน้ำ รวมไปถึงอาจจะได้ประโยชน์ด้านริ้วรอย

กล่าวคือ รอยดำ รอยแดง รอยสิว ดูแลครบค่ะ

ส่วนของ Acid นั้นน้องเน้นไปที่ BHA ค่ะ โดยมี BHA ธรรมชาติจากเปลือก Willow ร่วมกับ Betaine salicylate

อีกจุดเด่นคือเสริม Squalane ที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผ่านกลไกการคืนไขมันให้ผิวนุ่มแบบ Emollient effect

อันนี้ขอแนบ Aff link ผ่านเว็บของ Sephora นะคะ ใครสนใจอยากลองเล่นก็ไปแอบส่องกันได้

https://invol.co/cleot19

ดูงานยากๆ ส่วนผสมเยอะๆ ไปแล้ว มาดูอะไรที่เรียบง่ายบ้างค่ะ กับแบรนด์ The INKEY List แบรนด์เรียบง่ายภายใต้คอนเซปท์ Knowledge Powered Skincare Products

ที่ใช้ส่วนผสมที่มีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพ และใช้เท่าที่จำเป็นตามเทรนด์ ‘The less is more’

Beta Hydroxy Acid ก็คือ BHA จริงๆ ค่ะ เสริมมาด้วย Betaine และ Biosaccharide gum-1 เพื่อดูแลด้านการระคายเคือง และเติมน้ำด้วย Hya

มี Zinc PCA ดูแลเรื่องควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน

แต่ราคาจะแอบแรงนิดนึง เผื่อใครสนใจแอบไปส่องไปตำได้ค่ะ

ขอแนบ Aff link ไปยัง Sephora

https://invol.co/cleot1p

ตัวถัดมายังอยู่กับงานเกาหลีนะคะ อีก 1 ตัวตึงลูกรักบ้านมียอนที่มาในคอนเซปท์ “คงจะดีถ้าเรามี Peeling ที่ดูแล Barrier ผิวไปพร้อมๆ กัน”

ตัวนี้เป็น Toner สำหรับดูแลผิวมันและผิวที่มีปัญหาสิว จากแบรนด์ Zeroid แบรนด์ดังในเครือ Neopharm ประเทศเกาหลี เจ้าของสิทธิบัตรเทคโนโลยี MLE ที่เด่นเรื่องของการฟื้นฟู Barrier ผิว ดูแลเรื่องผิวแข็งแรง และความชุ่มชื้น

และแน่นอนว่า Toner สูตรนี้ก็มี MLE ด้วยค่ะ

สำหรับ Acids ในนี้จะเป็น AHA ร่วมกับ LHA (Lipohydroxy acid) ชนิด Capryloyl salicylic acid ที่เอา Salicylic acid มาจับกับไขมัน Caprylic acid เพื่อเสริมคุณสมบัติในการละลายไขมัน น้อง LHA นี้จริงๆ พัฒนามาโดยเครือ L’oreal แต่น่าจะหลุด Patent ไปแล้ว เราเลยเจอได้ในหลายๆ แบรนด์

LHA มีงานวิจัยรองรับว่ามีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายด้านๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening, ริ้วรอย สำหรับเรื่องสิว น้องเหมือนจะเป็นตัวเสริมมากกว่า จากข้อมูลเรื่องการละลายซากเซลล์อุดตัน LHA จะเด่นไม่เท่า BHA แต่ถ้าใช้เสริมกับสารอื่นหรือยาที่ใช้เป็นประจำ น้องจะให้ประโยชน์ดีกว่าใช้สารนั้นอย่างเดียวล่ะ

สารเสริมอื่นๆ นอกจาก MLE ก็จะมี Betaine กับ Panthenol ที่ดูแลด้านการระคายเคือง ร่วมมากับ Hya ที่เติมน้ำ และ Zinc PCA ที่เด่นไปในเชิงการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และยังมีประโยชน์บ้างในด้านของริ้วรอย

ตัวนี้ราคาจะแอบแรงนิดหน่อย แต่ส่วนตัวก็เลิฟๆ ค่ะ

อันนี้ก็ขอแนบ Aff link ไปที่ Official Laz Mall ของแบรนด์ Zeroid นะคะ

https://invol.co/cleot2p

เมื่อพูดถึง LHA ขอมาดูงานไทยที่น่าสนใจบ้างค่ะ

น้องมาจากแบรนด์ Gravich กับ Acneology facial toner

ส่วนตัวได้เลือกน้องมาซักพัก และผ่านการใช้มา 2 ขวดแล้วนะคะ ด้วยความส่วนผสมดีงาม และราคาย่อมเยา ยิ่งมีโปรงามๆ คือ ไม่ถึง 200 บาท คือ คุ้มค่าปังเว่อร์

แบรนด์นี้ยังมีสกินแคร์อีกหลายชิ้นที่ดีงามไม่แพ้กันนะคะ

ในด้านของส่วนผสมของกลุ่ม Acids น้องจัดเต็มมากทั้ง AHA/BHA/PHA/LHA เสริมมาด้วย Niacinamide ที่เป็นตัวตึงด้านสกินแคร์

มีสารบำรุงอื่นๆ ที่ดูแลเรื่องการเติมน้ำ อย่าง Trehalose กับ Hya

ใช้ Biosaccharide gum-1 ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว คือ ดูแพงอ่ะ

สำหรับด้านสิวก็มี Zinc PCA, Witch hazel และวิตามินบี 6 ที่ดูแลเรื่องควบคุมความมันให้แก่ผิว

แนบ Aff link บน Laz Mall ค่ะ

https://invol.co/clep8j3

ดูงานไทยไปแล้ว อยากขอหยิบงานไทยอีกชิ้นมาเล่าให้ฟังต่อ

น้องมาในราคามิตรภาพ ส่วนตัวสอยมาจากร้านสีน้ำเงินค่ะ ตอนนั้นได้มาในราคาร้อยกว่าบาท

เป็น Tea tree chapter Anti-acne solutions first toner จากแบรนด์ Plantnery ค่ะ

อันนี้คือสมชื่อนะคะ Anti-acne solutions เพราะเน้นไปที่ acne แบบพุ่งมุ่งเป้ามาก

ไม่ว่าจะเป็นด้านการควบคุมความมันผ่าน Witch hazel วิตามินบี 6 Carnitine Zinc PCA ซึ่งบางตัวก็ให้ประโยชน์ดูแลกระชับรูขุมขนไปด้วย

ยังได้ประโยชน์ดูแลสิวจากสารสกัดใบ Neem และ Niacinamide

เติมน้ำด้วย Hya และดูแลการระคายเคืองด้วย Panthenol

ส่วนของ BHA นั้นเป็นชนิด Salicylic acid ตัวดั้งเดิมค่ะ

ขอแนบ Aff link บน Laz Mall นะคะ

https://invol.co/clep8ic

มาดูงานจากองุ่นที่เพื่อนสาวแสนสวยของหญิงเมนชั่นถึงกันบ้างค่ะ

น้อง Vinopure purifying toner จาก Caudelie แบรนด์ของฝรั่งเศส ที่อาจจะดูหาซื้อยากนิดหน่อย เพราะน้องมีที่ Sephora เราอาจจะต้องแบกร่างไปลองเนื้อนางก่อน

จุดที่น่าสนใจ คือ น้องใช้น้ำองุ่นมาเป็น AHA ธรรมชาติ ร่วมกับ Citric acid และ มี BHA ในรูปแบบ Salicylic acid ลดความระคายเคืองด้วย Rose water หอมกรุ่นที่เบลนด์กับน้ำมันหอมระเหยและสารหอมที่เป็นโมเลกุลที่พบเจอได้ตามธรรมชาติอย่างลงตัว

ติดนิดเดียวตรงมี Alcohol แต่ข้อดีของการมี Alcohol ก็คือน้องอาจจะช่วยขจัดเอา sebum ส่วนเกินบริเวณปากปล่องรูขุมขนออกไปได้ ก็จะอารมณ์เสริมๆ กัน และให้ความรู้สึกเย็นผิวตอนน้องระเหยไป แต่คนที่ sensitive กับ Alcohol ก็อาจจะห่างๆ นิดนึงเนอะ

แนบ Aff link จาก Sephora

https://invol.co/cleot25

ด้วยความที่ Caudelie เป็นงานฝรั่งเศส เลยขอหยิบเอา Effaclar ที่เป็นเสมือนนางเอกแห่งวงการผิวที่มีปัญหาสิวจากแบรนด์ Laroche-Posay ในเครือ L’oreal สัญชาติฝรั่งเศสเหมือนกันมาวิเคราะห์

เสียดายที่ตัวนี้ไม่มีในไทย เพราะน้องทำมาได้อย่างเด็ดดวงมาก น้องขึ้นทะเบียนเป็น OTC ใน USA ค่ะ

สำหรับส่วนผสมนอกจากน้ำแร่ La roche แล้วก็คือมี Salicylic acid ที่ความเข้มข้น 0.5% ตาม Guideline ในการดูแลสิว (0.5-2.0%) ร่วมกับ Glycolic acid ที่ 2.0% เสริมมาด้วย Capryloyl glycine ที่เด็ดดวงสำหรับสิว โดยทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า น้องไปยับยั้งเอนไซม์ 5alpha-reductase ที่เป็นเอนไซม์เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ให้กลายเป็น Dihydrotestosterone (DHT) ที่มีฤทธิ์แรงขึ้น

เจ้า DHT นี้ถ้ามีมากเกินไปก็จะส่งผลเสียหลายอย่าง เช่น ผิวมัน เป็นสิวง่าย ถ้าเป็นที่ผมก็ทำให้ผมร่วง

พอโดนยับยั้งไป DHT ก็จะไม่เยอะ ต่อมไขมันก็เลยไม่โดนกระตุ้น ไขมันที่สร้างออกมาก็เลยลดลง พอไม่มีไขมัน เชื้อ C. acnes ก็ไม่มีอะไรกิน อาการของสิวก็จะดีขึ้น

ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกนิดหน่อย อย่าง Polysaccharide จากเห็ดหูหนูขาว ที่เด่นเรื่องความชุ่มชื้น กับ Scutellaria extract ที่เด่นเรื่องของริ้วรอย คาดการณ์ว่าจะดูแลพวกรอยสิวอะไรแบบนี้ไปพร้อมๆ กัน

แต่ติดตรงที่มี Alcohol ใครที่ sensitive กับ Alcohol ก็เลี่ยงๆ แต่ใครผิวมันก็น่าจะชอบ

มาลองดูแบรนด์ที่น่าสนใจอีกแบรนด์นะคะ กับ Glamglow ที่รวบรวมสารพัด AHA เอาไว้เข้าด้วยกัน และมี BHA ในรูปแบบ Salicylic acid และ สารสกัดจากเปลือกต้น Willow

โดยในภาพรวมที่น่าสนใจคือ Mandelic acid ที่เป็น AHA ที่มีการกล่าวว่าให้ผลดีกับปัญหาสิว เสริมมาด้วยใบยูคาลิปตัส ซึ่งมีรายงานว่ามีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้าง Ceramide ของผิว (แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวัตถุดิบตัวเดียวกันกับที่รายงานหรือเปล่า) มี Witch hazel ที่ดูแลเรื่องรูขุมขน

และสารสกัดจากสาหร่าย ซึ่งถ้าทราบข้อมูลสายพันธุ์เราอาจจะวิเคราะห์กันต่อไปได้ว่ามีประโยชน์ไปในทางไหน

ลดการระคายเคืองด้วยว่านหางจระเข้

มีลูกเล่นมุ้งมิ้งด้วย Charcoal และผงวิบวับจาก Mica

ปกติแบรนด์นี้จะเด่นเรื่อง Clay mask ตัวโทนเนอร์เลยทำมาอารมณ์ให้เป็น Clay วิบวับๆ

แต่ตัวนี้มี Alcohol นะคะ ใครที่ sensitive ก็อาจจะต้องเลี่ยงไป

ว่าแล้วก็ขอแนบ Aff link บน Sephora ค่ะ

https://invol.co/cleot1t

ปิดท้ายด้วยโทนเนอร์จากแบรนด์ Tarte ที่เด่นเรื่องของ makeup ส่วนตัวไม่คิดว่าน้องจะทำ skincare ออกมาได้ปังเว่อร์

ในภาพรวมน้องมี AHA+ BHA+ PHA ที่เสริมมาด้วยสารบำรุงหลายชนิดที่ให้ประโยชน์หลายๆ ด้าน ประเดิมด้วย Niacinamide ตัวตึงสกินแคร์

มีสารสกัดจากหัวหอมที่ดูแลพวกการสมานแผล (Wound healing) และ Sulfur ซึ่งเป็นสาร(เก่าแก่)ที่ใช้ในการดูแลสิว แต่ดูจากลำดับคาดว่าอาจจะยังไม่ถึง dose ที่ต้องการก็เป็นได้

ใครสนใจก็ลองไปแอบส่องแอบตำกันได้ค่ะ

แนบ Aff link:

https://invol.co/cleot1i

สำหรับ Content นี้ก็คงต้องขออนุญาตตัดจบไปที่ตรงนี้นะคะ โอกาสหน้าจะเอาอะไรมาวิเคราะห์ส่วนผสมต่อไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

ปิดท้ายด้วย Disclaimer อีกรอบค่ะ

  1. Content นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ในเชิงการศึกษาเป็นหลัก
  2. Content นี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องสำอาง หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความงามแห่งใด
  3. Content นี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์โดยอาศัยหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  4. Content นี้มีการสอดแทรก Affiliated link โดยผู้เขียนอาจได้รับค่าตอบแทนจากการ Click link ที่แนบไว้ท้ายบทวิเคราะห์เครื่องสำอาง
Image

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมออยล์คุณภาพเลิศจากเยอรมัน Frei öl Facial oil

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวออยล์คุณภาพเลิศจากเยอรมันมาฝากกันค่ะ

กับ Frei öl (อ่านว่าฟราย) Facial oil และ Skincare oil ค่ะ

 

frei-ol

 

ว่ากันว่า แบรนด์ Frei öl นี้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในร้านขายยาเยอรมันเลยทีเดียวค่ะ

 

มาเริ่มกันที่ Facial oil ค่ะ

 

ตัว Facial oil จะเป็นรุ่นกล่องเล็กแถบสีคาดม่วงนะคะ ข้างในจะเป็นขวดพลาสติกอย่างดีมีหลอดหยดค่ะ

 

frei-face

 

ตัว Oil ค่อนข้างเหลว แผ่กระจายบนผิวได้ง่าย มีกลิ่นหอมจางๆ

 

oil-tex

 

สัมผัสบางเบามาก เรียกได้ว่าตัวนี้เป็น Oil ที่บางเบาที่สุดตั้งแต่มี่เคยใช้ออยล์มาเลยค่ะ

 

oil-tex-2

 

การดูดซึม ถ้าเราทาแล้วตบๆเบาๆ จะทำให้ซึมไวขึ้นค่ะ ถ้าชอบความโกลว ก็สามารถจะใช้กลางวันได้ด้วย เพราะไม่เหนอะหนะเลย

 

ทางแบรนด์แนะนำวิธีใช้ไว้หลายแบบเลยค่ะ

แบบแรก: ใช้ 5 – 8 หยด ลงบนผิวหน้าหลังล้างทำความสะอาดหน้า จะช่วยเก็บกักน้ำให้อยู่ในผิวได้ดี หรือจะใช้เป็น Serum ก็ได้ค่ะ

 

dir-1

แบบสอง: ใช้เป็น Intensive mask โดยใช้ oil 10 – 15 หยด โปะลงไปบริเวณใบหน้า คอ เนินอก ไหล่ นวดเบาๆ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วใช้ผ้านุ่มๆซับออก

 

dir-2

แบบสาม: ผสมกับผลิตภัณฑ์ที่เราใช้อยู่ก่อนทาผิว

 

dir-3

 

ทั้งสามแบบ มี่ชอบแบบที่สองมากที่สุดค่ะ

 

ดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

 

%e0%b8%aa%e0%b8%9c%e0%b8%aa

ส่วนผสมจะเห็นว่าเบสหลักเป็นเบสน้ำมันกลุ่ม Triglycerids และ Fatty ester ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะมีความบางเบาในตัวเองอยู่แล้วนะคะ

 

สารออกฤทธิ์หลักจะเป็นสูตรผสมของ Ethylhexyl Palmitate, Sorbitan Oleate, Sorbitan Laurate และ Myristyl Malate Phosphonic Acid ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า “Revidrate สารนี้ทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ Filaggrinase และ Capase-14 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ตัดโปรตีน Filaggrin ให้กลายเป็นกรดอะมิโนที่เป็นสารดูดจับน้ำตามธรรมชาติของผิว หรือ Natural moisturizing factor หรือ NMF ซึ่งถ้าผิวเรามี NMF มากก็จะดูดจับน้ำไว้ได้ดี

 

สารบำรุงอื่นๆก็มีอยู่หลายตัว เช่น

  • Bisabolol ซึ่งพบในคาโมมายล์ ให้ผลเกี่ยวกับการลดการอักเสบและให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)
  • Aloe barbadensis extract สารสกัดจากว่านหางจระเข้ ให้ผลด้านลดการอักเสบระคายเคือง ชุ่มชื้น และ Soothing effect เช่นกัน
  • น้ำมันจากพืชอย่าง Jojoba และ ข้าวโอ๊ต

โดยว่ากันว่าน้ำมันจากข้าวโอ๊ต มีคุณค่าและราคาค่อนข้างสูง ประกอบด้วยวิตามินอี Phospholipids และ Phytosterol ที่ให้ผลเป็น Antioxidant และ ตัวลดการอักเสบที่ดี และยังมีองค์ประกอบของ Linoleic acid อยู่สูงถึง 30 – 47% (ข้อมูลจาก The Herbarie) ให้ผลในแง่ของการเสริมสร้าง Barrier ผิว

 

โดยรวมจึงเห็นได้ว่า Oil ตัวนี้ไม่ได้เหมือน Oil จากพืชทั่วๆไป เพียงแต่เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เสริมสร้างความแข็งแรงของผิว ที่มาในเบสที่เป็น Oil ก็ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันเท่าไหร่

 

ทางแบรนด์ Claim ว่าไม่ใส่ส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรดังต่อไปนี้ค่ะ

claim

ในแง่ของส่วนผสม Ethylhexyl palmitate ที่เป็น Fatty ester ที่ให้สัมผัสบางเบานั้น ทาง Acne.org ได้จัดความเสี่ยงในการอุดตันรูขุมขนไว้ที่ 4 คะแนน แต่ถ้าเราดูจากส่วนผสมแล้ว จะมาในลำดับกลางๆ โดยการอุดตันนั้นขึ้นกับความเข้มข้นที่ใช้ด้วย และขึ้นกับการตอบสนองแต่ละคนด้วยค่ะ ส่วนตัวมี่ใช้แล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรนะคะ

 

ให้คะแนนดีกว่าค่ะ เนื่องจากวันนี้ส่วนผสมไม่เยอะมากมี่เลยขอแบ่งเกณฑ์เป็น 2 ข้อนะคะ

  1. ส่วนผสม: ด้านส่วนผสมเราจะเห็นว่าค่อนข้างเน้นไปที่ Soothing effect ลดการระคายเคือง และเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวผ่านกลไกในการช่วยให้ผิวสร้าง NMF ออกมามากขึ้น ส่วนผสมที่ใช้มี Ethylhexyl palmitate ที่อาจจะอุดตันรูขุมขนได้ แต่มีอยู่ในลำดับกลางๆ และส่วนตัวมี่ไม่ได้เกิดปัญหาอุดตันอะไรจากเซรัมตัวนี้นะคะ จุดนี้ขอให้ไป 4 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน: อย่างที่บอกไปว่าเซรัมตัวนี้ค่อนข้างบางเบามาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นออยล์ที่บางเบาสุดตั้งแต่มี่เคยสัมผัสกับออยล์มาเลยก็ว่าได้ค่ะ ในด้านความชุ่มชื้น สำหรับมี่ที่เป็นคนผิวผสมค่อนข้างแห้ง ตัวนี้ถ้าลงทับ Skincare ตามปกติ ที่บริเวณแก้ม จะรู้สึกว่าผิวนุ่ม และไม่แห้ง ไม่หยาบกร้านค่ะ ที่สำคัญคือกลิ่นจางมาก ไม่ได้รบกวนอะไรกับชีวิตเลย โดยรวมถือว่าค่อนข้างชอบ ให้ไป 5 ฟลาสก์

 

%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99

 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Frei öl ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Frei öl เลยนะคะ

เฟสบุ๊ค Frei Thailand

http://www.facebook.com/Frei-Thailand-468875596641463/

 

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Frei öl การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว ผลิตภัณฑ์สปาบำรุงผิว eavam Skincare ลูกครึ่งไทย/ญี่ปุ่นสุดเก๋ไก๋ ภาค 2

สวัสดีค่ะ

 

เมื่อวันก่อนมี่ได้อัพรีวิวเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Argan balm เก๋ๆจากแบรนด์ eavam ไว้ วันนี้มี่มาอัพรีวิวผลิตภัณฑ์ที่เหลือต่อนะคะ

 

ขอกล่าวถึงแบรนด์ eavam (อีวาม) อีกรอบค่ะ แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่น่าสนใจแบรนด์หนึ่งค่ะ มีความ Original มี Signature ที่เป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญคือ สินค้าจะผลิต Handmade แบบพิถีพิถันด้วยความประณีตทุกชิ้นค่ะ

 

ทางแบรนด์ eavam มีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าคนญี่ปุ่นก็จะมีความพิถีพิถันเป็นของคู่กันอยู่แล้วค่ะ ว่ากันว่าเจ้าของแบรนด์ ได้เดินทางหาวัตถุดิบต่างๆจากนานาประเทศด้วยตัวเองเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ และนำเอาวัฒนธรรมไทยเข้ามาผสมผสานไว้ได้อย่างลงตัว

 

วันนี้มาดูรีวิวผลิตภัณฑ์ที่เหลืออยู่อีก 3 ชิ้น ค่ะ

  1. กัสโซล midelt 102
  2. สบู่อาร์แกน sumimou 102
  3. kamakura set B

 

 

 

เริ่มที่กัสโซล Midelt 102 เลยค่ะ

 

กัสโซล Midelt 102 เป็นโคลนกัสโซลแบบบริสุทธิ์ ที่ทำให้อยู่ในรูปแบบแห้ง ทางแบรนด์จะแพคในถุงพลาสติกอย่างดี และห่อในกระดาษสาค่ะ

 

 

e-1

 

e-2

 

 

วิธีการใช้งานนั้นก็ง่ายแสนง่าย แค่เติมน้ำสะอาดลงไปในอัตราส่วน 1.5 เท่า

 

e-3

 

e-4

 

 

ตั้งทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที ก็จะได้เนื้อโคลนที่นุ่มกำลังดี

 

e-6

 

 

กัสโซลของแบรนด์ สามารถใช้ได้หลายแบบค่ะ

  1. เอามาล้างหน้า โดยเอาโคลนที่ละลายแล้วมาขัดเบาๆ อารมณ์คล้ายๆสครับ
  2. พอกหน้า ทาโคลนที่ละลายแล้วลงบนใบหน้า พอกไว้ประมาณ 3 – 5 นาที แล้วไปล้างออก จะให้ผลในการดูดซับน้ำมันและสิ่งสกปรกบนผิวได้ดี
  3. ทำความสะอาดร่างกาย เอามาขัดตัวแทน Body scrub ก็ได้ค่ะ

 

ความหนืดนั้น ขึ้นกับความชอบของแต่ละคนเลยค่ะ ถ้าชอบหนืดๆมากๆก็ใส่น้ำผสมน้อยหน่อย ชอบแบบเหลวๆ เกลี่ยง่ายๆ ก็ใส่น้ำผสมเยอะหน่อย

 

clay-1

 

หลังจากล้างออกค่ะ

 

clay-2

 

สำหรับส่วนผสมของตัวโคลน Midelt 102 นี้เป็นโคลน Moroccan Lava clay (Ghassoul) บริสุทธิ์เลยค่ะ

ว่ากันว่า ทางแบรนด์ ไปสรรหาโคลนถึงที่เมือง midelt (มิเดลท์) ประเทศโมรอคโค กันเลยทีเดียวค่ะ

%e0%b9%80%e0%b8%81%e0%b9%87%e0%b8%9a%e0%b9%82%e0%b8%84%e0%b8%a5%e0%b8%99

 

โคลนกัสโซลที่ทางแบรนด์ได้มาเป็นโคลนที่มีกรรมวิธีการผลิตด้วยมือ และตากแห้งจนเกิดเป็นแผ่นแบบที่เห็นค่ะ

 

clay

 

ทางแบรนด์กล่าวว่าโคลนที่ผสมน้ำแล้ว จะเกิดการแตกตัวของอนุภาคเล็กๆที่เป็นไอออนจะช่วยดูดซับความมันและสิ่งสกปรกช่วยขจัดเซลล์ผิวหมองคล้ำให้หลุดออกไป กัสโซลอุดมไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เช่น ธาตุเหล็กและซิลิกาที่มีอยู่นั้น จะทำให้ผิวแข็งแรงสุขภาพดีชุ่มชื้นและเรียบเนียน จะช่วยให้ผลัดเซลล์ผิวเก่าและกระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ ปรับสภาพผิวให้สมดุล ได้เป็นอย่างดี มีความชุ่มชื้น โดยเฉพาะการทำงานของแมกนีเซียมและแคลเซียม คือสิ่งจำเป็นที่จะช่วยดูแลให้ผิวดูมีสุขภาพดี  เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทำให้ชั้นหนังกำพร้าแข็งแรงและช่วยปรับสภาพเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้ดีและเรียบเนียนขึ้นการทำงานของส่วนผสมจากแร่ธาตุต่างๆที่มีในกัสโซลนี้ทำให้ผิวมีความชุ่มชื้นดูกระจ่างใสบำรุงผิวที่อ่อนแอให้แข็งแรงผิวสัมผัสเนียนกระชับขึ้นเหมาะสำหรับบำรุงผิว แห้ง

ผิวบอบบางหรือผิวคล้ำเสียจากการออกแดด

 

 

 

ตัวต่อมาเป็นสบู่อาร์แกน ค่ะ

 

ซึ่งมาในห่อกระดาษสาเช่นกัน

 

e-9

 

 

ซึ่งภายในเป็นตัวสบู่สีขาวสวย ที่ห่อหุ้มด้วยพลาสติกสุญญากาศค่ะ

 

e-10

 

ทางแบรนด์กล่าวว่าสบู่ตัวนี้ได้จากการทำ Saponification แบบเย็น ผลิตด้วยมือค่ะ

สำหรับตัวเนื้อสบู่ เมื่อเปียกน้ำแล้วจะให้ความลื่นค่ะ และค่อนข้างนุ่ม ส่วนปริมาณฟองนั้นจะไม่เยอะมากค่ะ

 

soap

 

ตัวนี้สำหรับมี่ หลังล้างออกก็ไม่แห้งตึงเลยค่ะ

 

สำหรับส่วนผสมของสบู่นั้น ประกอบด้วย น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ  (Extra Virgin Olive Oil) น้ำมันอาร์แกน(Argan Oil) ที่ความเข้มข้นสูง 25% และ น้ำมันมะพร้าว (Coconut Oil)

 

ถ้าพูดถึง Argan oil นั้น อย่างที่มี่ได้กล่าวไปในตอนก่อนว่า ทางแบรนด์ไปสรรหามาจากแถบชานเมืองเอสเซาอิของประเทศโมรอคโคเลยทีเดียวค่ะ

 

ส่วนน้ำมันมะกอก ทางแบรนด์ก็ไปเลือกสรรผลมะกอกจากที่ Adatepe เช่นกันค่ะ

 

 

 

และสุดท้ายเป็นเซ็ตทดลอง Kamakura set B ค่ะ

 

e-7

ห่อมาในกระดาษสาเช่นกันค่ะ

 

 

 

ภายในเซ็ตจะประกอบด้วย

 

e-8

  1. Lavender Argan balm : Oulmes ในถุงพลาสติกสุญญากาศ
  2. โคลนกัสโซล : Midelt
  3. สบู่น้ำมันมะกอกบริสุทธิ์พิเศษ : Adatepe

 

เป็นเซ็ตที่มีราคาย่อมเยาว์ จับต้องได้ ดูจากงานฝีมือแล้วคุ้มค่าน่าค้นหามากค่ะ

 

จะเห็นว่าทุกผลิตภัณฑ์ ทุกขั้นตอนนี่ทางแบรนด์ใส่ใจรายละเอียดมากจริงๆค่ะ

 

สุดท้ายนี้ก็ขอให้คะแนนซักหน่อย ขอให้คะแนนในภาพรวมเหมือนกับครั้งก่อนนะคะ

 

จากคะแนนเต็ม 5 มี่ขอให้ 5 เต็มเลยค่ะ ด้วยความ Handmade พิถีพิถัน และเอาใจใส่ของทางแบรนด์ และเจ้าของแบรนด์ รวมทั้งแพคเกจ และการใช้งาน

 

eavam-%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมลองเข้าไปดูได้ที่เว็บไซต์ของแบรนด์ เฟสบุ๊ค และ IG ของแบรนด์เลยนะคะ

 

Website:

http://eavam.com /

Original Home

Facebook และ IG : eavamchiangmai

 

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นซื้อด้วยตัวเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและสุคนธบำบัด (Aromatherapy) และอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

 

 

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมาสค์ข้ามคืนเพื่อความสว่างใส Giniv Blanginiv masque de minuit

สวัสดีค่ะ

 

วันนี้มี่มีรีวิวมาสค์เก๋ๆจากแบรนด์น้องใหม่ Giniv มาฝากกันค่ะ

 

ดูคำ Claim ของแบรนด์ก่อนเนอะ

“แบรนด์ Giniv เป็นแบรนด์ที่มีคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับการผนวกพลังแห่งพฤกษาสกัดธรรมชาติผสานเข้ากับเทคโนโลยีแห่งอนาคตที่สอดประสานกันอย่างลงตัว และด้วยความเชื่อในศิลปะแห่งการบำบัดจึงรังสรรค์เนื้อผลิตภัณฑ์และกลิ่นบำบัดอย่างประณีต เพื่อมอบประสบการณ์แห่งการปรนนิบัติผิวอย่างล้ำลึกและเห็นผล

 

The New Generation of Multi-action Brightening Technology.

เปล่งรัศมีแห่งผิวสว่างเจิดจรัส ยับยั้ง 3 กระบวนการหมองคล้ำก้าวสู่บัญญัติใหม่แห่งความสว่างใสดุจรุ่งอรุณใหม่แห่งผิว เพราะผู้หญิงเอเชียนั้นมีผิวที่บอบบางและมีแนวโน้มที่ต้องเผชิญกับปัญหาผิวหมองคล้ำได้ง่ายกว่า จึงควรปรนนิบัติผิวอย่างเข้าใจและตรงจุด”

 

ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Blanginiv ที่มี่ได้มามีทั้งหมด 2 ตัว นะคะ เป็นมาสค์หน้าข้ามคืน กับเซรัมค่ะ

 

ตอนได้มาเขาจะแพคมาในกล่องสีขาว มีความหรูหราอยู่นะคะ

 

giniv-6

 

พอแกะกล่องจะเจอกระดาษห่อที่เป็น Signature ของแบรนด์ค่ะ

 

giniv-7

 

หน้าตาตัวมาสค์และ เซรัมค่ะ

 

giniv-8

 

วันนี้ขอรีวิวตัวมาสค์ก่อนนะคะ มาสค์ตัวนี้มีชื่อเต็มว่า Giniv masque de minuit หรือ Multi-action brightening midnight mask นั่นเองค่ะ

 

Mask ตัวนี้ลงหนังสือ L’officiel เล่มล่าสุดของเดือน กย. ด้วยนะคะ

 

giniv-3

 

มาสค์ของแบรนด์จะมาในกล่องสีขาวคาดโบว์แดงดูหรูหราดีค่ะ ตัวเนื้อมาสค์เป็นแบบเนื้อครีม อยู่ในขวดแบบ Airless pump ที่ทางแบรนด์ให้ชื่อว่า Zero-air lock ค่ะ

 

giniv-4

 

มาสค์เป็นเนื้อครีมสีขาว มีกลิ่นหอมละมุนโทนดอกไม้หวานๆ

 

12

 

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นดี ซึมผิวได้ไว ไม่เหนอะหนะและหนักผิวค่ะ

 

mask-tex

 

ในกลุ่ม Blanginiv นี้ทางแบรนด์ Claim เรื่องผลลัพธ์ 7 ประการนะคะ

 

giniv 5.JPG

 

มาดูส่วนผสมบ้างดีกว่าค่ะ

 

%e0%b8%aa%e0%b9%88%e0%b8%a7%e0%b8%99%e0%b8%9c%e0%b8%aa%e0%b8%a1-mask

 

ส่วนผสมของมาสค์ตัวนี้นั้นเรียกได้ว่าค่อนข้างจัดเต็มมาเลยทีเดียว อัดแน่นไปด้วยส่วนผสมที่ให้ผลด้าน Whitening, moisturizing และ anti-aging แบบ 3 in 1 เลยทีเดียวค่ะ

 

โดยทางแบรนด์เน้น Claim ที่ 3 ส่วนผสมหลักค่ะ คือ สารสกัดจากยอดอ่อน Swiss garden cress (Lepidum sativum sprout extract) ตัว Beta-white และ Wild thymes ค่ะ

 

ซึ่งถ้านอกเหนือจาก 3 ตัวนี้แล้ว ส่วนผสมอื่นๆก็ดูหรูหราไม่แพ้กันเลยค่ะ ลองมาดูกันดีกว่า

 

ในด้าน Whitening นั้น มี่แทนด้วยสีฟ้านะคะ

จะเห็นว่ามี Whitening หลายตัวเลย และให้ผลครอบคลุมทุกขั้นตอนในการสร้างและส่งผ่านเม็ดสี Melanin จึงให้ผลเสริมกันในการเป็น whitening ที่ดี

ตัวที่น่าสนใจเช่น

  • สารสกัดจากชะเอม, Dipotassium glycyrrhizate, arbutin, kojic dipalmitate, hexyl resorcinol และ vitamin C 2 ชนิด ให้ผลลดการสร้างเม็ดสีผิว โดยไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สร้างเม็ดสีผิว
  • Acetyl glucosamine กับ Niacinamide ให้ผลเสริมฤทธิ์กันในด้าน Whitening และ Anti-aging โดย Acetyl glucosamine ให้ผลยับยั้งการเปลี่ยน pro-tyrosinase ไม่ให้เป็น tyrosinase จึงไม่มีฤทธิ์สร้างเม็ดสี และเป็นหน่วยย่อยของ hyaluron ในผิวให้ผลเรื่องการเติมน้ำ ส่วน Niacinamide ให้ผลยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปด้านนอก การเสริมฤทธิ์ของสารทั้งสองจะช่วยให้ skin tone สม่ำเสมอและกระจ่างใสขึ้น (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • Oligopepetide-68 มีชื่อทางการค้าว่า Beta-white มีผลด้าน Whitening ตั้งแต่ระดับก่อนการสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ออกมาเลยทีเดียว (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)
  • Thymus serpillum extract สารสกัดจาก Thyme ข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่าสารสกัดนี้มีฤทธิ์เป็น Whitening โดยไปยับยั้งโปรตีน Kinesin ที่เกี่ยวข้องกับขั้นตอนการส่งผ่าน Melanosome ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมายังผิวชั้นนอก
  • Lepidum sativum sprout extract สารสกัดจาก Swiss garden cress ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบบอกว่า มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดเลือนริ้วรอยได้ สามารถยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน Melanocyte stimulating hormone (MSH) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ที่มีหน้าที่สร้างเมลานินทำงานได้ดีขึ้น เมื่อไปยับยั้ง MSH ก็จะทำให้เซลล์เมลาโนไซต์ทำงานได้ลดลง ผิวจึงขาวขึ้น

 

โดยรวมคือ สารในกลุ่ม Whitening ที่ใส่มาคือขัดขวางการสร้างเม็ดสีผิวแทบจะทุก Step เลยทีเดียวค่ะ

 

ต่อมา คือ สารบำรุงกลุ่มบานเย็น เป็นสารกลุ่มไขมันทดแทนให้กับผิว ให้ผลด้านความชุ่มชื้น

 

และสุดท้าย คือ สารกลุ่มสีน้ำตาล เป็นสารบำรุงอื่นๆ มีทั้งตัวที่มีส่วนช่วย ให้ความรู้สึกสบายผิว ลดการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้น Antioxidant และลดริ้วรอย

 

อีกจุดที่เด่น น่าจะเป็นตัว Glycosphere (Palmitoyl Hydroxypropyltrimonium Amylopectin/Glycerin Crosspolymer) ซึ่งเป็นสารประกอบเชิงซ้อนของคาร์โบไฮเดรตและไขมัน ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารนี้ใช้เป็นระบบนำส่งที่สามารถเก็บกักสารได้ทั้งสารที่ละลายน้ำและน้ำมัน ทั้งโมเลกุลใหญ่และเล็ก (Kobo products, Inc.) และนำพาไปสู่ชั้นผิว โดยมี่เดาว่า น่าจะเอามาเก็บ Vit A, C และ E ค่ะ

 

มีส่วนของ Alcohol ติดมา ซึ่งก็ไม่ได้อยู่ลำดับต้นๆ อาจจะติดมากับพวกวัตถุดิบสารสกัดก็ได้ค่ะ ส่วนตัวมี่ใช้แล้วก็ไม่ได้รู้สึกระคายเคืองหรืออะไรนะคะ และสารที่เหลืออื่นๆก็ไม่มีตัวไหนที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

 

ส่วนผสมอัดแน่นจัดเต็มขนาดนี้สมกับคำ Claim ของแบรนด์ ที่กล่าวว่า “The best brightening midnight mask” จริงๆค่ะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. กลุ่มสารบำรุง หรือ Actives จากที่ได้เล่าให้ฟังในด้านบน เรียกได้ว่าจัดเต็มและแน่นมาก คงไม่มีอะไรให้หักคะแนนค่ะ รับไป 5 ฟลาสก์เน้นๆ
  2. กลุ่มเนื้อหลัก หรือ Base เป็นสารในรูปแบบครีม ประกอบด้วยน้ำ น้ำมัน และซิลิโคน มีทั้งสารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว สารกลุ่มไขมันทดแทนผิว และสารเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น แต่ติดตรงที่มี Alcohol ปนมา แม้จะไม่อยู่ในลำดับต้นๆ แต่เพื่อความแฟร์ในการรีวิวก็ต้องหักคะแนนไป เหลือ 4 ฟลาสก์
  3. กลุ่มสารปรุงแต่ง หรือ Additives ไม่ได้มีสารตัวไหนที่ไม่เป็นมิตรกับผิว แถมยังมีจุดเด่นเรื่องระบบนำส่ง จึงขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  4. คะแนนการใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบกลิ่น สัมผัสและเนื้อของมาสค์นะคะ มาสค์มีเนื้อเบา แต่ว่าชุ่มชื้น สิ่งที่มี่สัมผัสได้ในช่วง 2 สัปดาห์ระหว่างใช้ คือ ความชุ่มชื้น และ ความนุ่มฟูของผิวค่ะ ส่วนเรื่องสีผิว มีคนทักนะคะว่าดูผิวขาวขึ้น แต่มี่ยังไม่ค่อยรู้สึกอาจจะเพราะอยู่กับผิวตัวเองทุกวันก็ได้ค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์ค่ะ

 

%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99-mask

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Giniv ด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Home

FB : @ginivofficial

IG : ginivofficial

 

Discliamer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Giniv การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆในการเขียนรีวิว และไม่มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

Image

รีวิว ผลิตภัณฑ์สปาบำรุงผิว eavam Skincare ลูกครึ่งไทย/ญี่ปุ่นสุดเก๋ไก๋ part 1

 

เมื่อช่วงที่ผ่านมามี่มีโอกาสได้รู้จักกับ Skincare น่ารักๆแบรนด์หนึ่งเลยลองสั่งซื้อมาใช้ดูค่ะ

แบรนด์ eavam (อีวาม) เป็นแบรนด์ที่น่าสนใจแบรนด์หนึ่งค่ะ มีความ Original มี Signature ที่เป็นเอกลักษณ์ และที่สำคัญคือ สินค้าจะผลิต Handmade แบบพิถีพิถันด้วยความประณีตทุกชิ้นค่ะ

eavam.jpg

ทางแบรนด์ eavam มีเจ้าของเป็นคนญี่ปุ่น ซึ่งขึ้นชื่อว่าคนญี่ปุ่นก็จะมีความพิถีพิถันเป็นของคู่กันอยู่แล้วค่ะ ว่ากันว่าเจ้าของแบรนด์ ได้เดินทางหาวัตถุดิบต่างๆจากนานาประเทศด้วยตัวเองเพื่อนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ และนำเอาวัฒนธรรมไทยเข้ามาผสมผสานไว้ได้อย่างลงตัวค่ะ

eavam-2

ว่าแล้วก็ลองสั่งสินค้ามาซักหน่อยค่ะ มี่สั่งจากบนเวบไซต์ของแบรนด์โดยตรงค่ะ และใช้วิธีส่งแบบ EMS เอา

eavam-mix

มีความน่ารักและเอาใจใส่นะคะ มีการ์ดแนบมาด้วยค่ะ

ทางแบรนด์ Claim ไว้ค่อนข้างน่าสนใจทีเดียวค่ะ
1. เดินทางไปเลือกวัตถุดิบเองและติดต่อกับผู้ผลิตโดยตรง (ทุกรายการ ตั้งแต่ เม็ดอาร์แกน ผลมะกอก ขี้ผึ้งที่นำมาผลิตเป็นส่วนผสม)
2. นำเข้าโดยผู้ผลิตโดยตรง
3. มีข้อสัญญากับผู้ผลิตเรื่องรับออเดอร์แล้วจึงจะเริ่มผลิตไม่มีการผลิตเก็บไว้ในสต๊อก
4. การผลิตด้วยการทำมือทีละชิ้น ไม่ใช้เครื่องจักรชิ้นใหญ่
5. ผลิตสบู่ด้วยกระบวนการผลิตแบบเย็น
6. หีบห่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้วัตถุดิบที่ย่อยสลายได้
7. ใช้น้ำมันอาร์แกนเป็นส่วนผสมหลักในปริมาณที่มากกว่าแบรนด์อื่น
8.เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นธรรมชาติล้วนๆไม่เติมแต่งสีกลิ่นลงไปในผลิตภัณฑ์
9. เพิ่มอาชีพและรายได้ให้กับคนในชุมชน

จะเห็นว่าหีบห่อนี่เป็นกระดาษสา หรือ ผ้าดิบ เป็นงานฝีมือ มีความประณีตในการห่อ

ผลิตภัณฑ์ที่มี่สั่งมา มี 5 ชนิด นะคะ

1. กัสโซล midelt 102
2. สบู่อาร์แกน sumimou 102
3. อาร์แกนบาล์ม sumimou 103
4. ลาเวนเดอร์อาร์แกนบาล์ม 0ulmes 03
5. kamakura set B

มี่จัดมาทุกอันเลยค่ะ อย่างละอัน

วันนี้จะขอรีวิวตัว อาร์แกนบาล์มก่อนนะคะ

อาร์แกนบาล์มที่ทางแบรนด์จำหน่ายจะมีรูปแบบที่มาพร้อมภาชนะ Ceramic กับแบบ Refill ค่ะ มี่เลยซื้อแบบกลิ่น Lavender ในภาชนะ Ceramic และซื้อ Refill สูตรธรรมดามาค่ะ

ดูหน้าตากันหน่อยเนอะ เมื่อเราแกะหีบห่อมาจะได้หน้าตาแบบนี้ค่ะ

eavam-balm-1

มีแผ่นคู่มือ 1 แผ่น ชามเซรามิคพร้อมฝาปิด ในอีกด้านที่มีบาล์มอยู่เขาใช้วิธีปิดผนึกด้วยระบบสุญญากาศค่ะ พร้อมกับไม้พายทำมาจากไม้สัก รูปร่างคล้ายๆใบของต้นจามจุรี ไว้ตักบาล์ม และที่วางไม้ทำจากเซรามิก ค่ะ

ดูเก๋ไก๋อะ อีกรูปนะคะ

7.jpg

ว่ากันว่าภาชนะเซรามิกนี้ทำมือนะคะ
เวลาเราใช้เราจะใช้ไม้พายนั้นตักบาล์มออกมาเท่าที่เราต้องการค่ะ จะเอามาทาทั้งหน้าก็ได้ ทาเป็นลิปบาล์มก็ได้ หรือ สำหรับคุณผู้ชายจะใช้ทาหลังโกนหนวดก็ได้ค่ะ

eavam-balm-2

เนื้อบาล์มเมื่อสัมผัสผิว จะหลอมละลายอย่างรวดเร็ว เกลี่ยง่าย และให้สัมผัสที่ดีค่ะ

balm

สำหรับสูตร Oulmes 03 และ 103 ซึ่งมีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากดอก Lavender ก็จะมีกลิ่นหอมละมุนของลาเวนเดอร์ค่ะ

balm-2

ในทาง Aromatherapy ว่ากันว่า Lavender oil นั้นมีคุณสมบัติช่วยให้ผ่อนคลาย และยังมีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้ด้วยค่ะ

สำหรับสูตร Refill ก็จะห่อมาในกระดาษสาค่ะ มีความ Handmade อยู่เช่นกัน

refill

ส่วนด้านในก็จะเป็นบาล์มที่บรรจุมาในถุงสุญญากาศ ปิดสนิท พร้อมเอามาใส่ถาดเซรามิกที่มีอยู่ได้ทันทีค่ะ หรือถ้าอยากใส่ภาชนะอื่นก็แค่นวดๆให้อ่อนตัว หรือจะตัดแบ่งก็ได้ค่ะ

refill-2

สำหรับส่วนผสมนั้น ประกอบด้วยส่วนผสมแค่ 2 ชนิด คือ Argan oil และ ขี้ผึ้งดอกลำไยจากจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ

ถ้าพูดถึง Argan oil นั้น เป็นน้ำมันที่ได้จากเมล็ดของผล Argan ซึ่งว่ากันว่า น้ำมันอาร์แกนที่ใช้ในผลิตภัณฑ์ของ eavam นั้น ได้มาจากทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในแถบชานเมืองเอสเซาอิของประเทศโมรอคโค ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีต้นอาร์แกนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติมากที่สุด ทางแบรนด์ได้คัดสรรผลอาร์แกนที่มีคุณภาพด้วยวิธีการเก็บเกี่ยวอย่างพิถีพิถันที่ภูมิภาค sumimou ผู้ผลิตที่ร่วมการค้ากับ eavam ที่ซุมิโม (sumimou) ไม่ว่าจะเป็นจากผู้ผลิตในมาร์ราเคช (Marrakech) หรืออากาดีร์ (Agadir) สามารถจัดหาเมล็ดอาร์แกนตามปริมาณและคุณภาพที่สมบูรณ์แบบตามรายการสั่งซื้อที่พวกเขาได้รับ โดยไม่ต้องสกัดน้ำมันกักตุนไว้ในสต๊อก การผลิตน้ำมันของพวกเขานั้นขึ้นอยู่กับปริมาณการสั่งซื้อที่ได้รับแต่ละครั้ง

ในทาง Aromatherapy ระบุว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของ Argan oil มีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น ลดรอยแตกลาย

ถ้าพูดถึงการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ Argan oil ก็มีมายาวนานพอสมควรเลยค่ะ

การทดสอบประสิทธิภาพของ Argan oil แบบทา ในสตรีวัยทองจำนวน 60 คน เป็นเวลา 60 วัน พบว่าค่า TEWL (การระเหยของน้ำออกจากผิว) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ค่านี้สื่อว่า Barrier ผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น และพบว่าระดับน้ำในผิวชั้นนอก หรือ Epidermis มีค่าสูงขึ้น (Prz Menopauzalny. 2014;13(5):280-8.) อีกชิ้นหนึ่งทดสอบในสตรีวัยทอง จำนวน 30 คน เป็นเวลา 60 วัน พบว่าผิวหนังมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น (Clin Interv Aging. 2015;10:339-49.)

นอกจากนี้การศึกษาล่าสุดในช่วงต้นปีนี้ ได้พบว่า Argan oil มีผลช่วยสมานแผลในหนูทดลองที่มีแผลไหม้ได้ด้วย (Ostomy Wound Manage. 2016 Mar;62(3):26-34.)

โดยรวมผลจากการศึกษาดังกล่าว ก็จะสามารถสรุปได้ว่า Argan oil นั้นให้ผลด้านความชุ่มชื้น ความแข็งแรงของ Barrier ผิว การสมานแผลค่ะ

ส่วนขี้ผึ้งจากดอกลำไยนั้น ว่ากันว่า เป็นขี้ผึ้งที่มีกลิ่นหอมหวานเหมือนดอกลำไยและมีลักษณะพิเศษคือได้เนื้อบาล์มสีอ่อนๆสวยงาม น้ำผึ้งคือผลผลิตมาจากที่ผึ้งไปเก็บรวบรวมเกสรดอกลำไยและขี้ผึ้งคือผลพลอยจากการเลี้ยงผึ้งฟาร์มผึ้งที่เราติดต่อซื้อขายด้วยนั้นเกิดขึ้นจากการรักและใส่ใจในการดูแลผึ้งเป็นอย่างดี รวมทั้งได้รับความร่วมมือจากสวนผลไม้และสิ่งแวดล้อมใกล้ๆฟาร์ม ในการลดปริมาณการใช้สารเคมี (งดการใช้สารเคมีในสวนตั้งแต่ช่วงเริ่มเลี้ยงผึ้งจนถึงช่วงที่ผึ้งทำรังเพราะจะทำให้ผึ้งตายก่อนถึงเวลาที่ลำไยออกดอกและไม่สามารถดูดน้ำหวานจากเกสรได้)

eavam-3

จะเห็นว่าทุกขั้นตอนนี่ทางแบรนด์ใส่ใจรายละเอียดมากจริงๆค่ะ

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่เหลือ มี่จะหยิบมารีวิวในครั้งถัดไปนะคะ

สุดท้ายนี้ก็ขอให้คะแนนซักหน่อย วันนี้ไม่รู้จะให้คะแนนอย่างไรดี เพราะส่วนผสมมีแค่ Argan oil กับ ขี้ผึ้งดอกลำใยก็เลยขอให้คะแนนในภาพรวมแทนนะคะ

จากคะแนนเต็ม 5 มี่ขอให้ 5 เต็มเลยค่ะ ด้วยความ Handmade พิถีพิถัน และเอาใจใส่ของทางแบรนด์ และเจ้าของแบรนด์ รวมทั้งแพคเกจ และการใช้งาน

%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99-eavam

จบแล้วค่ะ ขอบคุณที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ พบกันใหม่โอกาสถัดไปค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมลองเข้าไปดูได้ที่เวบไซต์ของแบรนด์ เฟสบุค และ IG ของแบรนด์เลยนะคะ

Website:

http://eavam.com /

Original Home

Facebook และ IG : eavamchiangmai

 

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นซื้อด้วยตัวเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและสุคนธบำบัด (Aromatherapy) และอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ[/center]

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมลดริ้วรอยตัวดังจากสเปน Martiderm Proteum serum anti-aging ultra-intensive

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่แวะเอารีวิวของเซรัมลดริ้วรอยตัวดังจากแบรนด์ Martiderm เวชสำอางจากฝั่งสเปนมาฝากกันค่ะ

 

เป็นเซรัมที่มีชื่อว่า Proteum serum anti-aging ultra-intensive ค่ะ

 

ตัวเซรัมหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

 

pro 1

 

มาในขวดปั๊มสีดำ ดูหรูหรา Classic น่าเกรงขามมากเลยค่ะ ขวดบรรจุ 30 ml ค่ะ

 

 

ตัวเซรัมเป็นเนื้อสีออกเหลืองครีมอ่อนๆ มีความเงา มีกลิ่นหอม

 

pro 3

 

เนื้อเซรัมจะเป็นเนื้อน้ำนมเกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย มีสัมผัสลื่น ตอนลงแรกๆจะมีปื้นๆนิดๆแต่พอเกลี่ยเสร็จก็จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆค่ะ

 

pro 4

 

ด้านหลังกล่องจะมีคำ Claim อยู่ค่ะ

 

pro 2

 

สำหรับการใช้งานทางแบรนด์บอกว่าให้ใช้วันละครั้งในตอนเช้าค่ะ

 

 

 

ทางแบรนด์มีผลการทดสอบในอาสาสมัครด้วยนะคะ

 

proteum 3

(Image from Martiderm)

 

มี่ลองวัด pH ดู ยังพอวัดได้อยู่ค่ะ ปกติถ้าผลิตภัณฑ์มีสีและ Pigment มันจะค่อนข้างรบกวนการอ่านอยู่

 

pro 5

 

คิดว่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ

 

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

สผส proteum

 

จากส่วนผสมมี่ได้ทำแถบสีไว้ให้แล้วนะคะ

ส่วนสีฟ้าอมเขียว: เป็นกลุ่มส่วนผสมที่ดูดีมีนวัตกรรม ให้ผลด้านริ้วรอย ได้แก่

  • Glycine max (Soybean) seed Polysaccharides เป็นสารประกอบกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ได้จากถั่วเหลือง ทางแบรนด์ตั้งชื่อว่า Proteum 89+® และ Claim ว่าเป็นสารในกลุ่ม Proteoglycan ขนาดเล็กที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการสังเคราะห์ Proteoglycan ที่ชื่อ Decorin และ Vesican ในผิว ให้ผลเพิ่มความกระชับ (Firmness) และ ความยืดหยุ่น (Elasticity) ของผิว

 

ขอกล่าวรายละเอียดของ Decorin กับ Vesican ซักหน่อยนะคะ สองตัวนี้เป็น Proteoglycan ที่มีอยู่ในผิวค่ะ

 

decorin.jpg

(Image from Martiderm)

 

Proteoglycan พวกนี้จะเรียงกันเป็นร่างแหสลับซับซ้อนเหมือนแปรงล้างขวด เกาะอยู่กับโปรตีนที่เป็นสายหลัก Decorin เป็น Proteoglycan ขนาดเล็ก และ Versican เป็น Proteoglycan ขนาดใหญ่ค่ะ พวกนี้จะเรียงกันเป็นร่างแหและจับกับ Hyaluron และ Collagen อยู่ในผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น มีความกระชับ (Li et al, Sci Rep. 2013;3:2422.) เวลาคนเราแก่ตัวลง รวมถึงเวลาโดนรังสี UV บ่อยๆ โครงสร้างพวกนี้ก็จะมีความผิดปกติไป ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยขึ้น

 

บทบาทของ Decorin นั้น จะไปจับกับ Collagen Type 1 ในชั้นผิว ช่วยให้ Collagen เรียงตัวในแบบที่เหมาะสม และปกป้องไม่ให้ Collagen โดนย่อยสลายโดยเอนไซม์ในผิว

 

ส่วน Versican นั้น ตัวมันเองก็มีความสามารถในการอุ้มน้ำ และยังจะไปจับกับ Hyaluronic acid ในชั้นผิว ช่วยอุ้มน้ำได้อีกต่อนึง

 

ทางแบรนด์ได้ทดสอบผลของสาร Proteum 89 ด้วยค่ะ มี่ไม่แน่ใจในระเบียบวิธีวิจัยของเขานะคะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นระดับหลอดทดลอง (In vitro) ยืนยันแล้วว่า สารให้ผลกระตุ้นการสร้าง Decorin และ Versican ได้จริง

 

โดย Proteum 89 ในความเข้มข้น 1% ให้ผลกระตุ้นการสร้าง Versican ได้ 1.83 เท่า

 

proteum 1

(Image from Martiderm)

 

และกระตุ้นการสร้าง Decorin ได้ 1.78 เท่าค่ะ

 

proteum 2

(Image from Martiderm)

 

 

  • Tocopheryl retinoate อนุพันธ์ใหม่เป็นลูกผสมของวิตามินอีและเอ เป็นตัวนำพา (Carrier) ของกันและกันเข้าไปในผิว ให้ผลเรื่องการลดริ้วรอยจากวิตามินเอ และการเป็น Antioxidant ของวิตามินอี มีงานวิจัยตั้งแต่เมื่อปี 2006 กล่าวถึงผลในการเป็น Antioxidant, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและ Hyaluronic acid ในระดับหลอดทดลอง และ ให้ผลช่วยให้ริ้วรอยตื้นขึ้นในอาสาสมัคร (Okano et al., J Dermatol Sci Suppl. 2006;2(1):S65-S74) มี่คิดว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบตัวเดียวกับ Tocoretinate-10 ของบ. Nikko Chemical ของญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วย Caprylic/ Capric Triglyceride, D-δ-Tocopherol Retinoate และ D-δ-Tocopherolทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim เรื่องริ้วรอย Antioxidant กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน และ hyaluron ในผิวเช่นเดียวกัน

 

  • Acetyl hexapeptide-51 amide Peptide ที่มีชื่อทางการค้าว่า Juveleven ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าให้ผลปกป้อง DNA และช่วยเร่งกลไกการฟื้นฟู DNA ตามธรรมชาติของผิวให้เกิดได้ไวขึ้น

 

juv

(Image from Lipotec)

 

ส่วนตัวที่เหลือได้แก่

 

สีเขียว: สารบำรุงทั่วไป มีส่วนผสมของวิตามินบี5 บี3 ซี และอี 4 ตัวนี้ให้ผลโดยรวมในด้านความชุ่มชื้น ไวท์เทนนิ่ง Antioxidant และการเพิ่มความแข็งแรงของผิว

 

สีม่วง: สารไขมันทดแทนให้ผิว เพราะคนที่เริ่มมีอายุขึ้นการสร้างไขมันในผิวจะเกิดได้น้อยลง

 

สารสีส้ม จริงๆไม่ใช่สารออกฤทธิ์ค่ะ แต่เป็นกลุ่มของ Pigment ที่ช่วยบดบัง อำพราง รอยต่างๆบนผิว โดยเจ้า Mica จะช่วยสะท้อนแสงทำให้ดูสว่าง ส่วนเจ้า Titanium dioxide มีคุณสมบัติปกปิด และ Silica บางชนิดจะช่วยกระเจิงแสง ทำให้ร่องรอยต่างๆดูเบลอไป

 

การมีอยู่ของ Pigment พวกนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูไม่ค่อยจำเป็นสำหรับกลางคืนเท่าไหร่นัก เพราะทาแล้วก็ไปนอน แต่ถ้าจะใช้เช้าเย็นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ

 

มาให้คะแนนดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Active ingredients ด้วยความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของตัว Proteum 89+® ซึ่งออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ เสริมด้วยวิตามิน A B3 B5 C E จึงให้ผลบำรุงผิวได้ครบถ้วนและรอบด้าน จากที่ได้เล่าให้ฟังไว้ในด้านบน เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อหลัก หรือ Base มาในรูปแบบของ Emulsion ประกอบด้วย น้ำ น้ำมัน และซิลิโคน ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ มีส่วนของสารเติมน้ำ สารเคลือบผิว และสารไขมันทดแทนอยู่ครบถ้วน เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่งอื่นๆ ไม่มีตัวไหนมีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน จริงๆตัวนี้มี่ค่อนข้างรักเลยนะคะ เกือบจะเป็นลูกรักและ ติดอีกนิดนึงที่กลิ่น ไม่ใช่กลิ่นที่เป็น Spec ของมี่เลยจริงๆ ตอนนี้ค่อยๆกระมิดกระเมี้ยนใช้ ระวังหมด ช่วงแรกๆ ก็ลงทั้งหน้าอยู่ค่ะ แต่ระยะหลังๆนี้เอามาเน้นทาบำรุงใต้ตาค่ะ ช่วยเรื่องริ้วรอยได้ดีเหมือนกันค่ะ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Martiderm ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ สำหรับแบรนด์ Martiderm ในประเทศไทย มีบริษัท Advance aesthetic เป็นผู้นำเข้าแบบถูกต้องนะคะ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

เฟสบุคของบริษัท http://www.facebook.com/advanceaestheticthailand ได้เลยค่ะ

 

ขอบคุณที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Martiderm การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมและไพร์มเมอร์กันแดดต้านมลพิษจากแบรนด์ Tender

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่มีรีวิวผลิตภัณฑ์ต่อต้านมลภาวะ Anti-pollution จากแบรนด์ Tender แบรนด์น้องใหม่ แต่ส่วนผสมนั้นแซ่บไม่แพ้รุ่นพี่เลยนะคะ

 

สกินแคร์ของแบรนด์ Tender ที่มี่ได้มา มี 2 ชิ้นค่ะ เป็นตัว Serum และ กันแดดเนื้อ Primer ค่ะ

 

มาด้วยแพคเกจน่ารักสดใสมุ้งมิ้งค่ะ

 

tender 1

 

เรามาเริ่มกันกับตัว Serum ก่อนเลยนะคะ

 

Serum นั้นมาในขวดปั๊ม สีขาว ตกแต่งแนว Minimal สีเขียวนมๆ

 

tender 2

 

ตรงนี้เป็นคำ Claim ที่ด้านหลังกล่องค่ะ

 

tender 3

 

เนื้อเซรัมเป็นกึ่งๆน้ำนม มีกลิ่นหอมจางๆค่ะ เกลี่ยค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสลื่น บางเบา ซึมไว ไม่เหนอะหนะ

 

 

วัดค่า pH ซักหน่อยนะคะ

 

tender 6

 

ค่า pH อยู่ระหว่าง 5 – 6 ค่ะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างค่ะ

 

สำหรับตัวเซรัมส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

 

สผส primer

 

ส่วนผสมของสารบำรุงมี่ทำสีม่วงไว้ให้ค่ะ ที่มาในลำดับแรกๆจะเป็นตัว Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ซึ่งมีประโยชน์หลายๆด้านนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Whitening, ลดการอักเสบ ดูแลปัญหาสิว และเพิ่มการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว

 

สารบำรุงที่มาเด่นไม่แพ้กันก็คือส่วนผสมของ Plankton extract และ Arginine ferulate ค่ะ สารนี้เป็นนวัตกรรมจากฝรั่งเศส ที่ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าให้ผลเกี่ยวกับการ Detoxification (หรือย่อๆว่า Detox) และการชะลอวัยค่ะ ซึ่งเวลาใช้ด้วยกัน สารทั้งสองจะช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันค่ะ

 

สารสกัดจากสาหร่ายสีแดง Chondrus cripis น่าจะตรงกับวัตถุดิบ Oligogeline ของบ. Seppic จากทางฝรั่งเศส ซึ่งให้ผลเรื่องความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว

 

และสุดท้าย Broccoli extract (Brassica oleracea italica) นี้มี่คิดว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบที่ชื่อ BioDtoxTM ซึ่งประกอบด้วย Propanediol (and) Bioflavonoids (and) Brassica Oleracea Italica (Broccoli) Extract (and) Aloe Barbadensis Leaf Extract

 

ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า ให้ผลในการ Detox ช่วยต่อต้านมลภาวะ ลดการอักเสบ ต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารบำรุงชุดนี้ช่วยปกป้อง Barrier ผิวไม่ให้ถูกทำลายเพราะ Sodium lauryl sulfate ได้ด้วยค่ะ (REF: cosmetic business)

 

จริงๆลำพัง Broccoli ก็ให้ผลเป็น Antioxidant ที่ดีอยู่ในตัวแล้วค่ะ ยิ่งมาประกบกับ Bioflavonoids ซึ่งเป็นสารที่พบในเปลือกส้ม และพืชหลายๆชนิด พวกนี้ก็เป็น Antioxidant ที่ดีอีกค่ะ โดยรวมคือ มหกรรมแห่ง Antioxidant

 

แล้วคหสต.มี่คิดว่าสารพวกนี้น่าจะคงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ เพราะตัวที่จะตายแทนพวกนี้คือวิตอีค่ะ วิตอีจะเป็นผู้เสียสละพลีชีพเพื่อรักษาสิ่งพวกนี้ไว้

 

ส่วนผสมทุกตัวมีความอ่อนโยน ทางแบรนด์ Claim ว่าสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่าย เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี

 

ส่วนอีกตัวเป็นกันแดดไพรม์เมอร์ค่ะ มีชื่อเต็มๆว่า complete primer UV protection Anti-pollution SPF50 PA+++ UVA/UVB

 

tender 7

 

นางมาในแพคเกจที่เป็นหลอดบีบค่ะ

ตรงนี้จะเป็นคำ Claim ด้านหลังกล่องนะคะ

 

tender 10

 

เนื้อครีมเป็นครีมสีเหลืองอ่อน มี pigment ขนาดเล็กละเอียดมาก เป็นประกายแวววาว ดู Glow แบบไม่มันเยิ้มค่ะ

 

 

ตัวนี้มี่ไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ เพราะมีเม็ด pigment จะรบกวนการอ่านสีค่ะ

 

 

มาดูส่วนผสมกันค่ะ

 

สผส เซรัม

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าส่วนของสารบำรุงจะดูคล้ายกับตัว Serum นะคะ จะมีต่างกันเล็กน้อยค่ะ

 

ถ้าพูดถึงสารกันแดดมี่ทำสีฟ้าไว้ให้ค่ะ เป็นกันแดดผสมเคมีและกายภาพค่ะ

  • Ethylhexyl methoxycinnamate ตัวนี้เด่น UVB
  • Octocrylene ดูดซับช่วง UVB และเป็นตัวเพิ่มความคงตัวค่ะ
  • Ethylhexyl triazone ตัวนี้ก็เด่น UVB ค่ะ
  • Diethylamino Hydoxybenzoyl Hexyl Benzoate ตัวนี้เด่น UVA มีความคงตัวค่อนข้างสูง และก็ถ้าเสริมกับสารในกลุ่ม Triazone อีกตัวหนึ่งก็จะได้ผลดีขึ้น
  • titanium dioxide เป็นกันแดดกายภาพ อาศัยการสะท้อนรังสีเอา

 

กันแดดมี SPF ที่ 50 และกันน้ำกันเหงื่อได้ ไม่ลอยไม่วอกไม่เทาเลยค่ะ และจากกลุ่มสารกันแดดที่ใช้โดยรวมก็ถือว่ากันแดดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีค่ะ

 

ส่วนของสารบำรุงนั้นจะคล้ายกับตัวเซรัม แต่มีการเพิ่ม Lithothamnium calcarum extract เข้ามาค่ะ

 

สารสกัดนี้เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่ง ทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าอุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ให้ผลเป็น Moisturizer, เป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing)

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

 

  1. สารบำรุง ทั้งสองตัวเน้นไปที่การเป็น Antioxidant และตัววัตถุดิบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ Detox ซึ่งสารบำรุงที่ทางแบรนด์เลือกใช้ก็เป็นสารนำเข้าจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เกาหลี และสเปน ทำให้ดูมีราคา ซึ่งสารที่เลือกใช้ก็มีการ Claim เกี่ยวกับเรื่อง Pollution อยู่ นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนของ Whitening และ ความชุ่มชื้น สำหรับตัวกันแดดก็ถือว่ากันได้ครบและครอบคลุมดี เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อผลิตภัณฑ์ ทั้งสองตัวมาในรูปแบบของ Emulsion ที่ประกอบด้วยน้ำและน้ำมัน ตัวเซรัมไม่มีส่วนผสมของ Silicone ด้วยค่ะ แถมส่วนผสมทั้งสองตัวก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่งอื่นๆ ทั้งสองตัวไม่ได้มีสารตัวไหนที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน เซรัมค่อนข้างบางเบาค่ะ อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีผิวแห้งมาก ส่วนตัวมี่คิดว่า ถ้าทาแล้ว หาครีมหรือมอยส์เจอร์มาทาทับอีกชั้นหนึ่งก็จะพอดีค่ะ ส่วนตัวกันแดดไพร์มเมอร์ ถ้าทาเดี่ยวๆจะดูเงาๆหน่อยนะคะ แต่ถ้าทาแล้วลงรองพื้นทับ กับปัดแป้งฝุ่นอีกรอบจะสวยฉ่ำพอดีค่ะ ส่วนข้อติก็มี่คิดว่านางมาในหลอดเล็กไปนิดนึงค่ะ โดยรวมขอให้ไป 4 ฟลาสก์ค่ะ

 

คะแนน

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Tender ด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

http://www.tenderskincare.com

http://www.facebook.com/tenderskincare

instragram:Tenderskincareofficial

line : @tenderskincare

 

Discliamer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Tender การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมน้ำมัน Argan ออร์แกนิก Or’agan 100% Organic argan oil moisturizer

สวัสดีค่ะ เรามาต่อกันกับผลิตภัณฑ์ดีๆจากแบรนด์ Or’agan กันนะคะ สำหรับผลิตภัณฑ์จาก Or’agan ที่มีได้มา มีทั้งหมด 4 ชิ้น เริ่มจาก Black soap หรือ สบู่ดำ ตามด้วยน้ำมันสารพัดประโยชน์ Bath body massage oil และ Ghassoul Clay วันนี้มาทิ้งทวนด้วย 100% Organic argan oil moisturizer ค่ะ

 

ว่าแล้วเราก็มาดูหน้าตาของผลิตภัณฑ์กันดีกว่าค่ะ

 

oil 1.jpg

 

ตัวผลิตภัณฑ์จะมาในขวดแก้วที่มีรูปทรงเป็นเอกลักษณ์นะคะ ขวดที่มี่ได้มาเป็น Size 10 ml ที่อยู่ในเซ็ตของขวัญของทางแบรนด์ ตัวฝาจะเป็นฝาแบบสเปรย์ค่ะ

 

ที่ด้านหลังกล่องจะมีคำ Claim ดังภาพค่ะ

 

oil 2

 

เป็นเกี่ยวกับเรื่องวัตถุดิบว่าเป็นการสกัดเย็นจากเมล็ดอาร์แกนออร์แกนิก และเป็นการสกัดครั้งแรก รวมทั้งได้รับตรา Ecocert ซึ่ง ตรานี้ไม่ได้ได้มาง่ายนะคะ มีระบบระเบียนและข้อกำหนด หรือ Requirement ที่เยอะเหมือนกันค่ะ

 

มาดูเนื้อสัมผัสกันบ้างค่ะ

 

oil 3

 

เนื้อ oil มีความหนืดอยู่ค่อนข้างน้อยค่ะ มีกลิ่นเฉพาะตัว คล้ายถั่ว ไหลได้อย่างอิสระ ทำให้เกลี่ยได้ง่าย มีสัมผัสที่ค่อนข้างบางเบา ถ้าวัดตามหลักทาง Aromatherapy ซึ่งแบ่ง oil เป็น 3 แบบ คือ Light oil, Medium oil และ Thick oil ตัวนี้น่าจะอยู่ในเกณฑ์ Light-to-Medium ค่ะ

 

การดูดซึมนั้นใช้เวลาพอสมควรค่ะ

 

oil 4

 

ใครที่ไม่ชอบความเหนอะหนะของ oil มี่แนะนำว่า สามารถเอามาผสมกับโลชั่น ในอัตราส่วน oil 1: lotion 2 วอร์มๆให้เข้ากันก่อนเอาลงผิวได้นะคะ จะทำให้ออยล์มีความมันลดลง และยังช่วยให้ซึมผิวได้ดีขึ้นด้วยค่ะ

 

สำหรับส่วนผสมก็คือ ประกอบด้วยน้ำมันจากเมล็ดอาร์แกนออร์แกนิก 100% เลยค่ะ

 

ดูรายละเอียดกันซักหน่อยนะคะ

 

น้ำมันอาร์แกนนั้นน้ำมันจากเมล็ดของต้น Argan (Argania spinosa) ซึ่งในทาง Aromatherapy ระบุว่าน้ำมันที่มีส่วนผสมของ Argan oil มีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น ลดรอยแตกลาย

 

ถ้าพูดถึงการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับ Argan oil ก็มีมายาวนานพอสมควรเลยค่ะ

 

มีการศึกษาชิ้นหนึ่งได้กล่าวว่า Argan oil นั้น มีผลต่อการสร้างเม็ดสีผิวในระดับหลอดทดลองด้วยค่ะ ทำให้ได้ผลเรื่อง Whitening ด้วย (Evid Based Complement Alternat Med. 2013; 2013: 340107.)

 

การทดสอบประสิทธิภาพของ Argan oil แบบทา ในสตรีวัยทองจำนวน 60 คน เป็นเวลา 60 วัน พบว่าค่า TEWL (การระเหยของน้ำออกจากผิว) ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ค่านี้สื่อว่า Barrier ผิวมีความแข็งแรงมากขึ้น และพบว่าระดับน้ำในผิวชั้นนอก หรือ Epidermis มีค่าสูงขึ้น (Prz Menopauzalny. 2014;13(5):280-8.) อีกชิ้นหนึ่งทดสอบในสตรีวัยทอง จำนวน 30 คน เป็นเวลา 60 วัน พบว่าผิวหนังมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น (Clin Interv Aging. 2015;10:339-49.)

 

นอกจากนี้การศึกษาล่าสุดในช่วงต้นปีนี้ ได้พบว่า Argan oil มีผลช่วยสมานแผลในหนูทดลองที่มีแผลไหม้ได้ด้วย (Ostomy Wound Manage. 2016 Mar;62(3):26-34.)

 

โดยรวมผลจากการศึกษาดังกล่าว ก็จะสามารถสรุปได้ว่า Argan oil นั้นให้ผลด้านความชุ่มชื้น ความแข็งแรงของ Barrier ผิว การสมานแผล และ Whitening ค่ะ

 

วันนี้ไม่รู้จะให้คะแนนอย่างไรดี เพราะส่วนผสมมีแค่ Argan oil ก็เลยขอให้คะแนนในภาพรวมแทนนะคะ

 

จากคะแนนเต็ม 5 สำหรับ Argan oil ตัวนี้ มี่ขอให้ 4 ฟลาสก์ค่ะ เนื่องจากแพคเกจเป็นแบบสเปรย์ ที่ค่อนข้างกดออกยาก และเวลากดมันจะกระจายพอสมควรนะคะ

 

คะแนน argan oil

 

สุดท้ายนี้ขอบคุณทางแบรนด์ Or’agan ด้วยนะคะที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามมาจนจบ

 

 

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์ Or’agan เลยนะคะ

 

https://www.facebook.com/theoraganth

 

 

 

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของขวัญจากแบรนด์ Or’agan การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและสุคนธบำบัด (Aromatherapy) และอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมาสค์เพื่อผิวกระจ่างใสตัวดังจากเกาะอังกฤษ Yllume ultimate illuminating complex mask

สวัสดีค่ะ… วันนี้มี่เอารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมของมาสค์เพื่อผิวขาวกระจ่างใสตัวดังจากอังกฤษมาฝากกันค่ะ

เป็นมาสค์เนื้อครีมจากแบรนด์ Yllume นั่นเอง เป็นชิ้นที่สามของแบรนด์แล้วค่ะ ที่มี่ได้รีวิว

แบรนด์นี้ก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทานแล้วได้ประโยชน์เรื่องความกระจ่างใสด้วยค่ะ ส่วนตัวมี่เองก็ได้ทั้งทอลองทานและก็ทดลองใช้อาหารเสริม และ ครีมอยู่พักหนึ่ง และได้รีวิวไว้แล้วนะคะ

วันนี้เรามาดูโฉมหน้าของมาสค์กันบ้างค่ะ

 

ym 1

 

เขาจะมาในแพคเกจทรงกระบอกที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ค่ะ ข้างในก็จะมีกระปุกของมาสค์อยู่ค่ะ

 

ym 2

ตัวกระปุกมาสค์ เป็นกระปุกอคริลิกแบบหนา ซึ่งนางก็แถมช้อนไว้ตักมาสค์ให้ด้วยหนึ่งอันค่ะ

 

 

มาดูเนื้อมาสค์กันบ้างนะคะ

ตัวมาสค์เป็นมาสค์เนื้อครีมที่ค่อนข้างนุ่ม เกลี่ยได้ง่าย จะมีความลื่นอยู่พอตัว แต่ก็ไม่ถึงกับเหนอะหนะมากนักค่ะ

ตัวนี้ไม่มีกลิ่นนะคะ

 

ym 3

 

เวลาเกลี่ยจะดูเหมือนไม่ค่อยดูดซึมค่ะ ใช้เวลานวดๆซักนิด ตัวปื้นขาวก็จะหายไป

 

ym 4

 

ทางแบรนด์แนะนำวิธีใช้ไว้สองแบบนะคะ

  1. พอกไว้ประมาณ 10 นาที แล้วเช็ดออกด้วยสำลี หรือกระดาษทิชชู่นุ่มๆโดยไม่ต้องไปล้างออก
  2. พอกข้ามคืนเป็น Overnight mask (หรือ Sleeping pack) ค่ะ

พอเช็ดออกแล้วผิวจะรู้สึกนุ่ม ชุ่มชื้น

 

ym 6

 

 

ทางแบรนด์แนะนำว่า ใช้อาทิตย์ละครั้ง เพื่อช่วยให้ผิวมีความสว่างโกลว และมี Complexion ที่ดูสดใสกระจ่างใสขึ้นค่ะ

หรือจะใช้มากกว่านั้นก็ได้ ในวันที่เพลียๆ หรือไปออกแดดนานจนรู้สึกหมองคล้ำ ก็สามารถโปะลงไปได้เลยค่ะ

 

ตัวนี้แบรนด์ Claim ไว้ค่อนข้างแรงนะคะ เกี่ยวกับเรื่องของประสิทธิภาพ ทางแบรนด์ Claim ว่าเทียบเท่า Hydroquinone ที่ความแรง 4% เลยค่ะ แต่มีอาการข้างเคียงน้อยกว่า ซึ่งทางแบรนด์บอกว่าเป็นเพราะเขาใช้แต่ส่วนผสมจากธรรมชาตินั่นเองค่ะ เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดกันในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

 

เผื่อใครสนใจอยากอ่านแบบ original มี่ได้เอาภาพคำ Claim ของแบรนด์มาแปะให้ด้วยค่ะ

 

claiming yllume.jpg

(Image from Yllume UK official site)

 

ถ้าถามความเห็นมี่ มี่มองว่าไม่แปลกนะคะ เพราะส่วนผสมไวท์เทนนิ่งในเครื่องสำอางหลายๆชนิดก็มีงานวิจัยตีพิมพ์เปรียบเทียบกับ Hydroquinone อยู่

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

สผส mask

 

ในส่วนของสารบำรุงผิวนั้นมี่ทำสีม่วงเอาไว้ให้นะคะ

  • CARICA PAPAYA FRUIT EXTRACT คือ สารสกัดจากมะละกอ ซึ่งในมะละกอจะมีเอนไซม์ papain ที่ทำหน้าที่ย่อยโปรตีน แต่เอนไซม์นี้ไม่ค่อยคงตัวค่ะ ซึ่งทางแบรนด์ Claim ว่าเป็น สารสกัดที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ได้เป็น CROSS POLYMER ทำให้เอนไซม์ Papain มีความคงตัวสูง ให้ผลผลัดเซลล์ผิวแบบอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองเหมือนตระกูลกรดผลไม้
  • SOLANIUM LYCOPERSICUM (TOMATO) FRUIT EXTRACT เป็นสารสกัดจากมะเขือเทศ ซึ่งทางแบรนด์ Claim ว่าใช้มะเขือเทศสีขาวสายพันธ์พิเศษ มีส่วนประกอบของสารในกลุ่ม Colorless carotenoids คือ สารกลุ่ม Carotenoid ที่ไม่มีสี ที่สำคัญคือ phytoene กับ phytofluene ทางแบรนด์บอกว่าในผิวของเรามีสารกลุ่มนี้อยู่ในชั้นผิวหนังชั้นนอกถึง 38% และพบว่าคนที่ขาดสารกลุ่ม Colorless carotenoids นี้จะมีสีผิวที่เข้มกว่าคนที่มีเยอะ รวมถึงอาจจะมีปัญหาผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง และเรื่องสิวได้มากกว่าด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีตัว Lycopene ที่เป็น Antioxidant ที่ดี ซึ่งมีรายงานว่า Lycopene ในสารสกัดมะเขือเทศ สามารถปกป้องผิวหนังจากอันตรายจากรังสี UV ได้ (Br J Dermatol. 2011; 164(1):154-62.) ส่วนของเปลือกผลมีสาร Resveratrol ซึ่งให้ฤทธิ์แรงในการต้านอนุมูลอิสระ (J Agric Food Chem. 2006; 54(19):7175-9.)
  • ASCORBYL GLUCOSIDE เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีชนิดหนึ่งที่จับกับน้ำตาล มีความเป็นกรดลดลง มีความอ่อนโยนเพิ่มขึ้น มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีโดยไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เป็น Antioxidant ที่ดี และเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสร้างคอลลาเจน
  • OLIVINE STONE EXTRACT เป็นสารสกัดจากหินอัญมณี Olivine สีเขียว ซึ่งทางแบรนด์บอกว่าสารสกัดจากหิน Olivine นี้มีคุณสมบัติช่วยลดภาวะเครียด (Stress) ของเซลล์ผิว เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ (ข้อมูลจาก Yllume official website)
  • HYDROLYZED PRUNUS DOMESTICA สารนวัตกรรมจากญี่ปุ่น ที่ Claim เรื่อง “Melanin diet” ออกฤทธิ์ขัดขวางการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปด้านนอก
  • BELLIS PERENNIS (DAISY) FLOWER EXTRACT คือ สารสกัดจากดอก Daisy ในสิทธิบัตรยุโรประบุว่าสารสกัดจาก Daisy สามารถใช้เป็น Whitening ได้โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สร้างเมลานิน (EP1737538 B1) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารสกัดออกฤทธิ์ครบถ้วนตั้งแต่ก่อนการสร้างเม็ดสี ยับยั้งการสร้างเม็ดสี และป้องกันไม่ให้เม็ดสีออกไปข้างนอก

นอกจากนี้ยังมี Vitamin E และ Dipotassium glycyrrhizate จากชะเอมที่มีผลลดการอักเสบในผิวได้

สารออกฤทธิ์ในกลุ่มผิวขาว ออกฤทธิ์ไปที่ขั้นตอนการสร้างเม็ดสี และยับยั้งการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก รวมทั้งผลัดผิวที่หม่นหมองออกไปด้วยเอนไซม์ papain cross polymer ซึ่งมีความอ่อนโยน สารสกัดจาก Daisy มีการ Claim ว่า ออกฤทธิ์ที่ขั้นตอนก่อนการสร้างเม็ดสีด้วย จึงถือว่าให้ผลครบทุกขั้นตอนของการสร้างเม็ดสี เสริมมาด้วย Antioxidant และสารไขมันทดแทนแก่ผิว

ส่วนของเนื้อหลักเป็นชนิด Emulsion ประกอบด้วยน้ำและน้ำมัน ไม่มีส่วนผสมของ Silicone และ Alcohol (ในทางเครื่องสำอางหมายถึง Ethanol หรือ Ethyl alcohol)

นอกจากนี้ทางแบรนด์บอกว่า ได้ทดสอบทางผิวหนัง และทดสอบการแพ้เรียบร้อยแล้ว (Dermatological and Allergy test) แต่ไม่ทราบรายละเอียดเรื่อง Sample size และวิธีที่ใช้นะคะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Active ingredients ในส่วนของสารบำรุงเรื่องความขาวนั้นมีอยู่หลายตัว ออกฤทธิ์อยู่หลายขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนสร้างเม็ดสี ขั้นตอนการสร้างเม็ดสี ขั้นตอนการส่งผ่านเม็ดสี และการผลัดผิวทิ้งแบบอ่อนโยน รวมทั้งเสริมมาด้วยสารกลุ่ม Antioxidant และไขมันทดแทน แต่ยังดูเหมือนขาดสารเติมน้ำให้ผิวอยู่ ถ้าวัดกันที่ผลด้าน Whitening ก็ขอให้ไป 5 ฟลาสก์ แต่ถ้าวัดกันแบบองค์รวมจะขอให้ 4 ฟลาสก์
  2. เนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ Base เป็นรูปแบบ Emulsion จากน้ำและน้ำมัน ไม่มีส่วนผสมของ Silicone และ Alcohol แต่ สาร Ethylhexyl palmitate ที่ใช้อาจจะอุดตันรูขุมขนได้ในบางราย เลยขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. สารองค์ประกอบอื่นๆ หรือ Additives ไม่มีส่วนผสมของสาร Paraben ไม่มีน้ำหอม ไม่มีอะไรให้หักคะแนน เลยรับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่คิดว่า มาสค์นี้ทำมาได้ค่อนข้างยืดหยุ่นค่ะ สามารถใช้ได้ 2 แบบ คือ ทาไว้ 10 นาที แล้วเช็ดออก หรือ ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆก็ได้ หรือจะใช้เป็น Sleeping pack มาสค์หน้าข้ามคืนก็ได้ค่ะ เนื้อครีมไม่เหนอะหนะ ค่อนข้างเกลี่ยง่าย ขนาดไม่ใช้ Silicone มาช่วยปรับสัมผัส ยังได้ครีมที่เนื้อนุ่ม บางเบา ส่วนเรื่องความกระจ่างใส มี่ใช้มาสค์อาทิตย์ละ 2 ครั้งค่ะ มาเกือบเดือน ตอนเช้าจะรู้สึกผิวนุ่มขึ้น แต่มี่ว่าเรื่องความขาวนั้นยังไม่ได้ชัดมากนะคะ เหมือนมันจะค่อยๆเพิ่มความสว่าง และเพิ่ม Complexion ให้ผิวมากกว่า ส่วนตัวก็ติดน้ำหอมนะคะ อยากได้น้ำหอมอยู่ แต่ไม่มีก็ดีค่ะ เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์ค่ะ

 

คะแนน ym

 

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางเพจ Skin Scope ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้มี่ได้ทดลองใช้

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้กับทางเพจ Skin Scope โดยตรงเลยค่ะ

http://www.facebook.com/skinscope

 

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากเพจ Skin Scope การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

Miyeon’s Lab — รีวิว/Screening หา สารกลุ่ม Polyphenol ในสกินแคร์ และ homemade beauty

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกๆท่าน

วันนี้มี่มาลองตรวจหา Polyphenol ในสกินแคร์ที่มี่ใช้เป็นประจำทุกวันให้ชมกันค่ะ

Polyphenol คือ อะไร ??

Polyphenol เป็นสารพฤกษเคมีในพืช กลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่ง ทีประกอบด้วยโครงสร้างที่มีหมู่ฟังก์ชั่น ฟีนอล และ -OH อยู่หลายๆตัว ซึ่งสารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติที่ดีในเชิงเครื่องสำอางมากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Antioxidant, ลดการอักเสบ, Whitening และกลุ่มสาร Polyphenol ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง คือ Tannin ซึ่งมีรสฝาด ให้ผลกระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน และ มีผลฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้บางชนิดค่ะ

การตรวจ Polyphenol ง่ายๆ

จะใช้วิธี Ferric chloride reagent ค่ะ หยดลงไปแล้วสังเกตการเปลี่ยนสี จากสีเหลือง เป็น เขียว น้ำเงิน ม่วง ดำ น้ำตาล หรือ แดง ซึ่งสีที่เกิดขึ้นจะสอดคล้องกับชนิดของ Polyphenol ที่พืชมีค่ะ ถ้าเป็น Tannin มักจะให้สีน้ำเงิน และ เขียว

ซึ่งการตรวจแบบนี้เราเรียกว่า Screening test ซึ่งไม่ได้ถูกต้อง 100% นะคะ แต่ก็มีประโยชน์ในการคัดกรองเบื้องต้นค่ะ

พอดี Ferric chloride ที่ซื้อมา เหลือ เลยลองเอามาตรวจ Skincare เล่นๆค่ะ

ก่อนทำก็ละลาย Ferric chloride ให้ได้ความเข้มข้นที่เหมาะสมก่อนค่ะ

จะได้เป็นสารละลายสีเหลืองน้ำตาลค่ะ

fecl3.jpg
มี่ลองเอา Skincare ที่ใช้เป็นประจำมาตรวจดูค่ะ

fe 1

เยอะเชียว

เราเริ่มกันที่ Madre Labs Rose petal witch hazel toner ค่ะ

fe 2

ตอนแรกคิดว่าจะให้ผลบวกนะคะ เพราะ Witch hazel มี Tannin และ Polyphenol อยู่เยอะ แต่ผลคือ

fe 3

ไม่เกิดปฎิกิริยาค่าาา อาจจะเพราะว่าเจือจางเกินไปก็ได้

ตัวที่สอง Missha near skin black tea toner โทนเนอร์ชาดำของเกาหลีค่ะ

fe 4

ตัวนี้ก็ไม่เกิดปฎิกิริยาค่ะ

fe 5

ตัวที่สาม Skin Talk BHA music toner ลูกรักบ้านมียอนนั่นเองค่ะ

fe 6

ตัวนี้ให้ผลบวกนะคะ ได้เป็นสีม่วงค่ะ

fe 7

ตัวที่สี่ Labstory V10 Revital Whitening Intensive Booster ค่ะ

fe 8

ตัวนี้ดูไม่ค่อยชัด แต่เหมือนจะให้ผลบวกนะคะ ได้เป็นสีน้ำตาลอมเขียว

fe 9

ตัวที่ 5 Hada rizumu น้ำตบ Royal jelly และ Hyaluron ของ Kose cosmeport

fe 10

ตัวนี้คิดไว้แล้วว่าจะไม่เกิดปฏิกิริยา ก็ไม่เกิดจริงค่ะ

fe 11

ตัวที่ 6 Deep sea marine collagen ampoule ของ Mizon ลูกรักเช่นกัน

fe 12

ตัวนี้คิดไว้ว่าคงไม่เกิดปฎิกิริยา ก็ไม่เกิดจริงค่ะ เพราะส่วนผสมนางเป็นพวกคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีน

fe 13

ตัวที่ 7 It’s Skin GF effector ลูกรักเช่นกัน

fe 14

ตัวนี้ก็ไม่เกิดปฏิกิริยาค่ะ

fe 15

ลองดูพวก Homemade beauty บ้างนะคะ

สูตรแรก น้ำใบชาจีนต้มค่ะ

fe 16

ไม่เกิดจ้า ทั้งๆที่ควรจะเกิด อาจจะเพราะต้มเจืองจางไป

fe 17

สูตรสอง น้ำใบทับทิมต้มค่ะ

fe 18

ตัวนี้ค่อนข้างชัดค่ะ ว่าเปลี่ยนเป็นสีอมเขียว

fe 19

จบแล้วค่า

ถึงตัวที่ไม่ได้เกิดปฏิกิริยา ก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่มีประโยชน์นะคะ เพราะวิธีนี้มันมีข้อจำกัดอยู่เยอะเหมือนกันค่ะ เขาอาจจะมี แต่เจืองจางไปหน่อย เลยไม่ทำปฏิกิริยาก็ได้

ขอบคุณที่รับชมมาจนจบนะคะ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นซื้อด้วยตัวเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นด้วย Ferric chloride reagent ซึ่งมีข้อจำกัดหลายประการ และการอ่านสีอ่านด้วยตาเปล่า การเตรียมตัวอย่างไม่ได้ใช้เครื่องชั่ง อาจจะมีการคาดเคลื่อน จึงเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น