Image

[Preview] ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สุดปังจาก Biobalance

เมื่อช่วงต้นเดือนทีผ่านมานี้ ทาง Biobalance ประเทศไทยได้นำเอาสินค้าความงามเข้ามาจำหน่ายในไทยอีกหลายรายการเลย

วันนี้เลยขออัพเดทให้ได้ชมกัน พร้อม Preview นิดหน่อยพอเป็นพิธีค่ะ

แบรนด์ Biobalance นั้นเป็นแบรนด์เวชสำอางที่น่าสนใจแบรนด์หนึ่งนะคะ ด้วยความที่ทางทีมผู้พัฒนาสูตรเลือกส่วนผสมจากธรรมชาติมาเบลนด์รวมกันอย่างลงตัว และตัวสินค้าเองก็มีราคาที่ย่อมเยา ไม่แพง จับต้องได้ เข้าถึงง่ายค่ะ

ส่วนตัวเคยทำ Brand introduction ไว้ หากท่านใดสนใจรับชมสามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ

https://miyeonthereviewer.com/2022/08/26/brandintro-biobalance/

และ ได้รีวิว Eye cream ที่น่าสนใจ ราคามิตรภาพไว้ที่ลิงค์นี้ค่ะ

https://miyeonthereviewer.com/2022/09/23/biobalance-eye/

สำหรับสินค้าใหม่จากทาง Biobalance นั้นพึ่งวางจำหน่ายไปเมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมาค่ะ โดยขอเริ่มที่ 3 ชิ้นนี้ก่อนนะคะ

มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตอนแรกที่เห็นเจ้ากล่องเหลืองๆ คือแบบ อันนี้อะไร ทำไมดูคลีนๆ ดูไปดูมาก็น่ารักดี

น้องชื่อ Hello clean Brightening cleansing balm with pure vitamin C

น้องเป็น Cleansing balm เนื้อนุ่ม แว่บแรกที่เปิดกระปุกมา ดูเหมือนจะแข็งนะคะ แต่เอาช้อนตักเข้าไปคือนุ่มมาก เหมือนไอศกรีมเลย

Hello clean มีส่วนผสมของวิตามินซี ร่วมกับสารสกัดจากดอก Porcelain (Hoya lacunosa flower extract) เข้าใจว่าน่าจะหมายถึง Crodarom® Porcelain Flower (INCI: Caprylic/Capric Triglyceride (and) Hoya Lacunosa Flower Extract) ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมไปในเชิงของการให้ความรู้สึกสบายผิว ลดความระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้นและเป็น Antioxidant

ความน่ารักจุดแรกอยู่ที่น้องจะเปลี่ยนเนื้อจากบาล์มนุ่มๆ กลายเป็นออยล์ที่ให้สัมผัสหรูหราแบบ Silky เมื่อเรานวดวนๆ ไป ตอนล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ผิวเราจะนุ่มมากเว่อร์

ส่วนตัวแนะนำให้ใช้เป็นเทคนิค Double clean นะคะ นวดๆ วนๆ จนฉ่ำใจ แล้วไปล้างด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้าต่ออีกครั้ง มันจะฟินมาก

ความน่ารักจุดที่สองอยู่ที่ เราไม่ค่อยเห็นใครเคลมเกี่ยวกับการล้าง Sunscreen บนพวกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเท่าไหร่ แต่น้อง Hello clean เคลมว่าทำได้ค่ะ ก็ถือเป็นอะไรที่ดูน่ารักและน่าสนใจไปอีกแบบ

ถัดมาจะเป็นกลุ่มที่ทางแบรนด์เรียกว่า Super serum ซึ่ง ณ ขณะนี้ที่เข้ามาในบ้านเรามีด้วยกัน 2 สูตร คือ สูตร Pure vitamin C ที่เป็นวิตามินซีในความเข้มข้น 10% และ สูตร Retinol’E ซึ่งเป็น วิตามินเอ รูป Retinol 0.3% ร่วมกับ วิตามินอีรูป Tocopheryl acetate + Tocopherol รวม 2% ค่ะ

ตัวภาชนะเป็นขวดสีชาที่มีดรอปเปอร์นะคะ

สำหรับส่วนผสมของ Pure vitamin C นั้นมาแบบเรียบง่าย คลีนๆ ลีนๆ คือ เป็นวิตามินซี Ascorbic acid ละลายใน Propanediol ที่มีข้อมูลความปลอดภัยค่อนข้างดีค่ะ มีกันอยู่แค่ 2 ส่วนผสม ตรงตาม Concept ‘The less is more’ เป๊ะๆ

ส่วนตัว Retinol’E นั้น เป็นเบสแบบออยล์นะคะ อาศัย Coco-caprylate/caprate ที่เป็นออยล์ดัดแปลงจากน้ำมันมะพร้าว มีน้ำหนักเบา ไม่เหนอะหนะเป็นเบสหลัก ละลายเอาเรตินอล และวิตามินอีเอาไว้ เสริมมาด้วย Squalane เคลือบผิวให้ชุ่มชื้น และ Bisabolol ที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น คาโมมายล์ มีความเด่นในด้านการลดการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของสินค้าชุดใหม่นี้สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยค่ะ

Facebook: https://www.facebook.com/BiobalanceOfficialThailand

Official LazMall: https://invol.co/cle62s0

Official Shopee Mall: https://invle.co/cle62tp

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Biobalance สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมวิตามินซีสุดเนี้ยบด้วยเทคโนโลยีนำส่ง MVP และ MLE กับ ครีม Intensive Repair-C จากแบรนด์ Zeroid

เชื่อว่าหลายคนกำลังให้ความสนใจกับครีมวิตามินซี Intensive Repair-C จาก Zeroid ที่มาในสูตรสุดปังที่กำลังโด่งดังอยู่ ณ ขณะนี้

คอนเทนท์นี้จึงขอหยิบเอาครีมวิตามินซีตัวนี้มาวิเคราะห์ส่วนผสม และเล่ารายละเอียด MVP Technology ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการรักษาความคงสภาพและนำส่งวิตามินซีเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับผิวค่ะ

สำหรับครีม Intensive Repair-C นี้มาในหน้าตาประมาณนี้ และเนื่องจากอยู่ในไลน์ Intensive จึงเป็นธีมสีเขียวมะกอกค่ะ

โดยตัวแพคเกจหลักจะเป็นแบบหลอดบีบ ก้นกว้างที่สามารถตั้งวางบนโต๊ะเครื่องแป้งได้อย่างสะดวก มาในขนาด 50 ml ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และพกพาสะดวกยามจำเป็นต้องเดินทาง

เนื้อครีมค่อนข้างข้น ตามสไตล์ของไลน์ Intensive และเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราเลยจะได้กลิ่นของส่วนผสมอยู่จางๆ

ถึงแม้ว่าเนื้อจะดูเหมือนข้น เหนอะหนะ แต่ความจริงไม่ได้เหนอะหนะหรือหนักผิวเลย เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไวแห้งไว ทิ้งฟิล์มบางๆ เคลือบผิวให้ความรู้สึกนุ่ม เนียน ชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน

ถ่ายด้วยแสงแฟลชเพื่อดูความชุ่มชื้นของเนื้อครีม

มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

สำหรับส่วนผสมวันนี้ขอแบ่งเป็นกลุ่มๆ 4 กลุ่มค่ะ

สีเขียว คือ สูตรผสม Combination ของ MVP technology ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการนำส่งและรักษาความคงตัวของวิตามินซีค่ะ

โดยอาศัยอนุภาคของ Colloidal gold เป็นแกนกลางของ Carrier ให้วิตามินซีในรูปแบบของ Ascorbic acid (AA) มายึดเกาะ และรอบๆ AA มี Glutathione มาเกาะอยู่ ซึ่งเจ้า Glutathione นี่แหละที่จะช่วยเป็นตัวปกป้อง AA ของเรา และช่วย Recycle AA ที่โดน Oxidized ถูกทำลายไปด้วยอนุมูลอิสระต่างๆ ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เรียกได้ว่ามีความพัฒนาระบบ Carrier นี้ออกมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

(Image from Zeroid Official)

จึงไม่แปลกใจเลยที่ว่าระบบนี้จะสามารถรักษาความคงสภาพของ AA ไว้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อทดสอบฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยใช้สาร DPPH ซึ่งเป็นสารมาตรฐานในงานวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ได้รับการยอมรับในวงการวิชาการ พบว่าเทคโนโลยี MVP ที่มีทองคำ-AA-GSH 3 อย่างจะทำงานได้ดีกว่าการใช้ AA เดี่ยวๆ GSH เดี่ยวๆ หรือแค่เอาทองมาจับกับ AA หรือ GSH เฉยๆ

เพราะ GSH จะช่วย Recycle AA กลับมาให้อยู่ในรูปแบบที่ Active อีกครั้ง วนไปวนมาแบบนี้เรื่อยๆ

และเมื่อทดสอบเทียบกับ Ascorbyl glucoside กับ Sodium ascorbyl phosphate ก็พบว่าเทคโนโลยี MVP ที่มีทองคำ-AA-GSH 3 อย่าง ทำงานได้ดีกว่า

(Image from Zeroid Official)

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์เพาะเลี้ยงเมื่อเทียบกับ AA พบว่า เทคโนโลยี MVP สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนได้ดีกว่า AA รูปแบบดั้งเดิม

ภาพ a คือ control เป็นเซลล์ Fibroblast เพาะเลี้ยงเปล่าๆ ใช้เป็นตัวควบคุม Fibroblast ด้วยเทคนิคนี้จะย้อมติดสีฟ้า

ภาพ b เป็นการใช้ AA ที่ความเข้มข้น 0.003% สังเกตว่าเมื่อย้อมสีคอลลาเจน ในเทคนิคนี้จะติดสีเขียว จะมีคอลลาเจนอยู่นิดหน่อย

ข้ามมาที่ภาพ d ซึ่งใช้เทคโนโลยี MVP ที่ความเข้มข้น 0.003% เท่ากับภาพ b จะเห็นว่าปริมาณของคอลลาเจนมีมากกว่ามาก และถ้าเจือจางลงไปอีก 10 เท่า ที่ความเข้มข้น 0.0003% ก็ยังให้ผลที่ดีกว่า AA จะกล่าวโดยนัยว่าฤทธิ์ดีขึ้น 10 เท่าก็คงไม่เกินจริงนัก

(Image from Zeroid Official)

ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงไปแล้ว การดูดซึมล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง บอกเลยว่าผลการดูดซึมก็ไม่เบา เมื่อทดสอบการดูดซึมผ่านผิวหนัง (Percutaneous absorption) ด้วยอุปกรณ์ Franz cell พบว่าน้อง MVP สามารถดูดซึมได้ โดยเริ่มพบว่าลงไปที่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ได้ตั้งแต่ 30 นาที ถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

(Image from Zeroid Official)

สำหรับประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากมลภาวะ (โดยใช้ Ozone เป็นตัวแทน) รังสี UV และ Visible light โดยให้อาสาสมัครทาครีมที่มีวิตามินซีในรูปแบบ AA หรือ MVP ความเข้มข้น 0.5% แล้ววัดการเรืองแสงของ Betacarotene ในชั้นผิวด้วยเทคนิค Skin autoflorescence ซึ่งปกติเวลาผิวเราเสียหายเพราะรังสี UV หรืออนุมูลอิสระ Betacarotene จะถูกทำลายและมีปริมาณลดลง โดยพบว่า การใช้วิตามินซีรูปแบบ MVP มีข้อดีและปกป้อง Betacarotene ในผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ดีกว่ารูปแบบ AA

(Image from Zeroid Official)

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของสารบำรุงเด่นๆ แทนด้วยสีน้ำตาลนะคะ

  • Methyl caprooyl tyrosinate ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า Defensamide มีรายงานว่าไปกระตุ้นเอนไซม์ Sphingosine Kinase 1 (SPHK1) ที่ Keratinocyte (เซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า) ซึ่งไปมีผลเพิ่มการสังเคราะห์ Antimicrobial peptides (AMP) ตามธรรมชาติของผิว จึงส่งเสริมและปกป้องผิวจากเชื้อจุลินทรีย์ และเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ผิว (Ref: Medchem Express; J Dermatol Sci. 2015;79(3):229-34.; J Immunol. 2018; 200(1 Supplement):170.14) นอกจากนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบยังกล่าวว่า มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ไปพร้อมๆกัน

(Image source: Medchem Express)

  • สารสกัดจาก Northern Truffle (Albatrellus confluens Extract) วัตถุดิบนวัตกรรมเหรียญทองแดงจากงาน in-cosmetics ประกอบด้วยสารพฤษเคมี grifolin, neogrifolin and scutigeral ที่ไปยับยั้งการนำส่งสัญญาณผ่านระบบ TRPV1 ซึ่งเป็นตัวรับความรู้สึกร้อนของผิว ที่เกี่ยวข้องกับอาการระคายเคือง พอยับยั้งไปแล้วก็จะไม่เกิดนำส่งสัญญาณ เลยไม่รู้สึกระคายเคือง จะรู้สึกสบายผิวแทน และตัววัตถุดิบเองยังมีข้อมูลว่ามีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ดูแลผิวที่แดงและระคายเคืองง่าย และลดรอยแดง (Ref: Rahn AG) มีรายงานการวิจัยที่ทดสอบสาร Grifolin ซึ่งแยกออกมาจากเห็ด Albatrellus ovinus เพื่อยืนยันความสามารถในการยับยั้ง TRPV1 และมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครพบว่า ครีมที่มีสารสกัดเห็ดนี้ที่ความเข้มข้น 3% ทำให้อาสาสมัครรู้สึกระคายเคืองและแสบผิวลดลง มีรอยแดงลดลง และเมื่อกระตุ้นด้วย Capsaicin จากพริก หรือความร้อน อาสาสมัครจะรู้สึกระคายเคืองและแสบผิวน้อยลง เพราะว่าสาร Grifolin นั้นไปยับยั้งการส่งสัญญาณผ่าน TRPV1 ไปเลยรู้สึกเคืองผิวน้อยลงนั่นเอง (Int J Cosmet Sci. 2017;39(4):379-385.)
  • Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester ตัวนี้อาจจะดูคล้ายว่าจะเป็น Calmosensine™ ที่เด่นเรื่องการ calm ผิวแต่ดูจากส่วนผสมที่เขาเรียงมาในลิสท์แล้วคาดว่าน่าจะเป็น Idealift™ (Butylene Glycol (and) Aqua (and) Sorbitan Laurate (and) Hydroxyethylcellulose (and) Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester) เพราะ Breakdown ออกมาแล้วตรงกันพอดี ตัว IdealiftTM นี่เด่นเรื่องของการเสริมการสังเคราะห์พวกเส้นใยที่เกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นของผิว ยกให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย

สีม่วงจะเป็นกลุ่มของไขมันที่ดูแล Barrier ผิว และให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ก็จะมีกลุ่มของ MLE และสารที่เป็นประโยชน์ในการดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิว

สีน้ำเงินจะเป็นกลุ่มของสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งก็มีอยู่หลายตัวและเสริมกันอย่างลงตัว

  • วิตามินบี 3 ที่ดูแลผิวได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening การดูแลเรื่องการฟื้นฟู Barrier ผิวตามธรรมชาติผ่านการสังเคราะห์ไขมัน รวมไปถึงการอักเสบและระคายเคือง และด้วยความเข้มข้นที่ใส่มา 5% ตามแบรนด์เคลมก็อาจจะให้ประโยชน์ดูแลเรื่องสิวไปด้วย
  • วิตามินบี 5 ดูแลด้านความชุ่มชื้น และความรู้สึกสบายผิว
  • วิตามินอี เป็น Antioxidant
  • Madecassoside ที่ได้จากบัวบก ก็เด่นไม่แพ้กันในด้านของการดูแลเรื่องริ้วรอย
  • และสารบำรุงอื่นๆ อีกหลายชนิด

โดยรวมจึงเป็นครีมวิตามินซี ที่ไม่ใช่แค่วิตามินซีธรรมดา แต่ดูแลผิวได้ครบจบทุกปัญหา และยังดูแล Barrier ผิวไปพร้อมๆ กันอย่างลงตัว

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ก็ทำมาได้ค่อนข้างดีเลย ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเป็นส่วนประกอบ

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. Active หรือสารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน ทั้งในด้านของเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่าง MVP technology ที่เอามาผสานรวมกับ MLE และนวัตกรรมอื่นๆ ไหนจะทรัฟเฟิลเอย Defensamide เอย วิตามินอื่นๆ เอย จึงออกมาเป็นส่วนผสมที่ดูแลผิวได้ครบจบทุกปัญหา เป็นวิตามินซีที่ไม่ใช่แค่วิตามินซีธรรมดา รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวพึ่งได้ลองใช้มาประมาณ 2 อาทิตย์ (ข้อมูล ณ 10 พ.ย. 65) ด้านของ Whitening หรือ จุดด่างดำนั้น ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาในขณะนี้ เลยยังตอบไม่ได้ แต่ในด้านของความสบายผิว ความนุ่มนวล Texture ผิวที่ดูและความรู้สึกเมื่อสัมผัสผิว การแต่งหน้าติดทน ค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี และไม่ได้รู้สึกระคายเคืองผิว จุดนี้ค่อนข้างชอบ และคิดว่าถ้าใช้ต่อไปเรื่อยๆ น่าจะเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น ขอให้ไป 5 ฟลาสก์ค่ะ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Zeroid สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันเลอค่ามาให้ได้รู้จักและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Zeroid โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ZeroidThailand

LazMall https://invol.co/clez4ss

ShopeeMall https://invl.io/clez4ue

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Zeroid การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

#Zeroid #ผิวแพ้ง่ายไว้ใจZeroid

#Repair –C  #MLE

Image

[Beauty update/Brand introduction] เวชสำอางจากฝรั่งเศส AlphaScience เวชสำอางนวัตกรรม Vitamin C complex

สำหรับคอนเทนท์นี้จะมาแนะนำแบรนด์ AlphaScience แบรนด์เวชสำอางแบรนด์ดังจากประเทศฝรั่งเศสค่ะ

แบรนด์ AlphaScience เปิดตัวในงานประชุมวิชาการที่มีชื่อว่า AMWC world congress ในปี 2016 งานประชุมนี้เป็นงานประชุมวิชาการแถวหน้าของโลกในด้านความงามและศาสตร์การชะลอวัย พอนับมาจนเดือนเมษายน 2022 นี้ก็ครบ 6 ปีพอดีเลย

(Image from AlphaScience Official Facebook)

6 ปีที่ผ่านมาทางแบรนด์นำเสนอผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่พัฒนาขึ้นมาจากงานวิจัยต่างๆ อยู่หลายชิ้นเลย เรียกได้ว่าแต่ละชิ้นนั้นน่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว

ก่อนจะไปดูผลิตภัณฑ์ ขอกล่าวถึง Philosophy หรือปรัชญาของแบรนด์กันก่อนค่ะ

ทางแบรนด์ยึดถือหลักการ “Supporting the skin’s own ecosystem for health with ingredients of natural origin and allowing the skin to retain all of its vital force”

นั่นคือ ทางแบรนด์เชื่อในสมดุลของผิว เราทุกคนมีผิวที่มีสุขภาพดีได้แค่รักษาสภาวะสมดุลของผิว ซึ่งการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ มันทำให้ผิวเสียสมดุล ถ้าเราสามารถดูแลและปรับผิวให้เข้าสู่สมดุลของเขา แล้วที่เหลือผิวเราจะจัดการต่อเอง โดยเลือกใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อปล่อยให้ผิวเราค่อยๆ ปรับตัวเองกลับคืนสู่สมดุล แล้วผิวเราก็จะมีสุขภาพดีขึ้นมาได้

ทางแบรนด์เลือกที่จะพัฒนากลุ่มสารที่เป็น Antioxidant ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อปกป้องผิวไม่ให้เสียสมดุลจากวิถีชีวิต และปัจจัยต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม โดยมีนักวิจัยหลัก ผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง Dr. Alfred Marchal, PhD

Dr. Alfred Marchal, PhD

ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวของแบรนด์ที่ Dr. Marchal และทีม พัฒนามา ก็คือ พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งกลุ่มของผู้บริโภคทั่วไป กลุ่มของศัลยแพทย์ และกลุ่มของแพทย์ผิวหนัง โดยคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์นี้จะมีคุณสมบัติเป็น Dermocosmetic ที่ส่งเสริมกับกระบวนการหัตถการต่างๆ ได้อย่างลงตัว และเกิดคุณสมบัติในการบำรุงผิวต่อผู้บริโภคอย่างสูงสุด

ถึงแม้ว่าดูเหมือนปรัชญาแบรนด์จะมุ่งเน้นไปที่สารธรรมชาติ แต่จริงๆ แล้วทางแบรนด์มุ่งเน้นพัฒนาตำรับที่มีทั้งส่วนผสมของสารจากธรรมชาติ และสารสังเคราะห์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพื่อให้ได้ตำรับที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคค่ะ

เนื่องจากทางแบรนด์มุ่งเน้นพัฒนากลุ่ม Antioxidant ที่มี Combination ที่เหมาะสมและลงตัว ส่วนตัวเลยจะขอเริ่มจากการค่อยๆ หยิบยกเอากลุ่มของ Antioxidant serum ทั้ง 3 สูตร ที่เป็นเสมือนตัวเอกของแบรนด์มาเล่าให้ฟังกันต่อไปนะคะ แต่ขอสปอยล์ไว้นิดหน่อยค่ะ จุดเด่นที่น่าสนใจของเซรั่ม Antioxidant ทั้ง 3 สูตรนี้อยู่ที่สิ่งที่แบรนด์เรียกว่า Third generation of Vitamin C มันคืออะไร ทางแบรนด์สรุปมาเป็นภาพด้านล่างนี้ค่ะ

(Image from AlphaScience Official Website)

เป็นอันทราบกันว่า Vitamin C (ขอย่อว่า VC) รูปแบบ L-Ascorbic acid ที่ใช้กันตามธรรมชาตินั้นมีปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคงตัว และการดูดซึมเข้าสู่ผิว ทำให้เกิดการพัฒนาต่างๆ โดย Dr.Marchal ได้แบ่งการใช้ VC เป็น 3 ยุค

  • ยุคแรก เป็นการพัฒนาตำรับให้อยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำ (Anhydrous) หรือ มีน้ำเป็นองค์ประกอบน้อย อย่างที่ Dr.Marchal ทำในช่วงนั้น คือ การพัฒนาตำรับให้อยู่ในรูปแบบของครีมชนิดเบสน้ำมัน (w/o emulsion) ก็พบว่าเพิ่มความคงตัวได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง
  • ยุคที่สอง เป็นการพัฒนาอนุพันธ์ใหม่ๆ ของ VC ออกมา และพยายามจะปรับสูตรของ VC ต่อ โดยยุคนั้น Dr.Marchal ลองทำ VC รูปแบบอนุพันธ์ ในเบสซิลิโคน ถึงแม้ว่าจะมีความคงตัวที่ดี แต่ลงผิวแล้วกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะอนุพันธ์ของ VC เปลี่ยนกลับมาเป็น L-Ascorbic acid ไม่มากนัก
  • ยุคที่สาม Dr.Marchal คิดค้นสิ่งที่เรียกว่า Vitamin C complex โดยเอาไปใช้ร่วมกับสารธรรมชาติที่มีชื่อว่า Tannic acid ซึ่งเป็นสารกลุ่ม Polyphenol ที่มีโมเลกุลใหญ่ในกลุ่มของพวก Tannin ลำพังตัวมันเองก็มีประโยชน์ต่อผิวหนังมากมาย และเมื่อเอามาใช้ร่วมกับ VC แล้ว กลายเป็นว่าเสริมความคงตัวให้กับ VC ได้เป็นอย่างดี

เลยเป็นที่มาของการเคลมว่า Third generation VC ซึ่งเป็น VC รูปแบบพื้นฐานที่ทางแบรนด์ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้มีความคงตัวและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะได้นำมาเล่าให้ฟังต่อไปค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจสามารถติดตามเข้าไปดูที่ Official mall ได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะคะ

Lazada: https://invol.co/cla9tuw

Shopee: https://invol.co/cla9tvv

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ AlphaScience สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ ผู้เขียนอาจได้ประโยชน์จากการคลิ้กลิงค์ที่มี Affiliated

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมคู่หูเซรั่มสุดปังจากสเปน Flavo-C ultraglicans และ melatonin จากแบรนด์ ISDIN

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาเล่าถึงแบรนด์ ISDIN และ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่น่าสนใจ 2 ชิ้นให้ได้ชมกันค่ะ

เบื้องต้นขอกล่าวถึงแบรนด์ ISDIN ก่อนนะคะ แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์จากประเทศสเปนที่มีคอนเซปท์ที่น่าสนใจ โดยเริ่มจากการบอกว่าให้เราฟังผิวของตัวเอง ซึ่งจุดนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างประทับใจมาก เพราะเป็นคอนเซปท์เดียวกับที่ตัวเองยึดถือมาโดยตลอด คือ “Listen to your skin”

แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งมากว่า 45 ปีแล้ว โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมที่ดี มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อผิวหนังของเรา และน่าจะเป็นแบรนด์แรกๆ (ที่ส่วนตัวเคยเห็น) ที่กล่าวถึงความเป็นมิตรต่อเยื่อบุ Mucosa อย่างเช่น บริเวณดวงตา หรือ ริมฝีปาก แต่ก็ยังให้ความสนใจในเรื่องของ Sensory ไปพร้อมกัน ตามคำกล่าวของแบรนด์ที่กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์พัฒนามาเพื่อ “maximum efficacy and safety with innovative textures that ensure a satisfying practical and sensory experience”

โดยผลิตภัณฑ์ของทางแบรนด์มีหลายกลุ่ม และได้รับรางวัลจากนิตยสาร รวมถึงวงการความงามอยู่หลายชิ้นค่ะ

สำหรับ Content นี้ จะเน้นกล่าวถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 2 ชิ้นที่มาเป็นคู่กัน ตัวหนึ่งใช้ตอนเช้า อีกตัวใช้ก่อนนอน คือ ไลน์ของ Flavo-C ค่ะ

เริ่มที่ Flavo-C ultraglican ซึ่งเป็นเซรั่มที่มาในรูปแบบของแอมพูลแก้ว ภายในบรรจุเอาตำรับที่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่เน้นไปในทางด้าน Antioxidant และ เสริมความชุ่มชื้นเป็นหลัก

ซึ่งมีหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

ใน 1 กล่องประกอบด้วยแอมพูลแก้วจำนวน 30 แอมพูล พร้อมด้วยพลาสติกสำหรับหักปากหลอดแอมพูล และจุกซิลิโคนสำหรับช่วยในการหยดเซรั่ม จำนวน 3 ชิ้น

เมื่อประกอบเสร็จแล้วจะได้หน้าตาแบบนี้ค่ะ

ทางแบรนด์กล่าวว่า 1 แอมพูล ถ้าหักแล้วควรใช้ให้หมดภายใน 48 ชั่วโมงค่ะ

ค่า pH ของเนื้อเซรั่มอยู่ที่ราวๆ 4 – 5 นะคะ

เนื้อของเซรั่มจะเป็นเนื้อแบบใส

เกลี่ยง่าย ให้สัมผัสนุ่มลื่น ชุ่มชื้น สบายผิว

สำหรับส่วนผสมของสูตร Flavo-C ultraglican เป็นดังนี้นะคะ

จุดเด่นอย่างหนึ่งของแบรนด์ ISDIN คือ ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัคร อย่างสูตรผสมของ “L-ascorbic acid, proteoglycans และ proteoglycan stimulating tripeptide” ก็ผ่านการตีพิมพ์ในวารสาร Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

(ถ้าท่านใดสนใจ paper นี้สามารถดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรีค่ะ https://www.dovepress.com/antiaging-effects-of-a-novel-facial-serum-containing-l-ascorbic-acid-p-peer-reviewed-fulltext-article-CCID)

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นสูตรผสมของ Antioxidant 3 ตัวหลัก อย่างวิตามินซี อี ร่วมกับ Ergothioneine (EGT) น้องเป็น Amino acid ชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติ Antioxidant ในตัว ร่วมกับกลุ่มของสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นอย่าง Hyaluronic acid, Proteoglycan และวัตถุดิบตามเปเปอร์ที่เป็น Proteoglycan stimulating peptide ที่มีชื่อว่า Syn®-Hycan เด่นในการเสริมการสังเคราะห์ Hya ตามธรรมชาติของผิว

ซึ่ง Syn®-Hycan เป็นชื่อทางการค้าของ ส่วนผสมระหว่าง Glycerin, Aqua, Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate และ Magnesium Chloride

มาดูรายละเอียดสารบำรุงแต่ละตัวกันสักหน่อย

  • L-ascorbic acid เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระ, ในด้าน Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase เป็นส่วนประกอบในการสังเคราะห์คอลลาเจน และลดการอักเสบผ่านระบบ NF-kB
  • Tocopherol เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินอี มีคุณสมบัติละลายในไขมันจึงช่วยปกป้องไขมันดีๆในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากปฏิกิริยา oxidation
  • Ergothioneine (EGT) เป็นสารที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Histidine ประกอบด้วยส่วนของโมเลกุล Sulfur ทำให้มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ผ่านกลไกการ Reduction  และถ้าดูจากโครงสร้างจะเห็นว่าหมู่ Quaternary ammonium จะคล้ายกับส่วนที่มีใน Carnitine มีรายงานว่าสามารถเข้าไปเสริมการสร้างสารพลังงานสูงอย่าง ATP ใน Mitochondria ที่เป็นเหมือนโรงไฟฟ้าของเซลล์ ความเป็น Antioxidant ช่วยปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลาย จึงมีประโยชน์ในการชะลอวัย ทั้งนี้มีการทดสอบในระดับหลอดทดลองพบว่า EGT สามารถปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลายจากการฉายรังสี UV (Bazela et al, Cosmetics 2014, 1(1), 51-60)
  • Hydrolyzed hyaluronic acid ซึ่งเป็น Hya ที่ผ่านกระบวนการ Hydrolysis (ย่อย) ให้มีขนาดเล็กลงกว่ารูปแบบดั้งเดิม เพื่อเสริมความสามารถในการดูแลผิวที่ชั้นลึกขึ้น และ Proteoglycan ที่มีประโยชน์ในเชิงความชุ่มชื้นเช่นกัน
  • Syn®-Hycan เป็นวัตถุดิบเปปไทด์สังเคราะห์ที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพโดยผู้ผลิตวัตถุดิบ ว่ามีคุณสมบัติในการเสริมการสังเคราะห์ Hyaluron ภายในผิวในระดับหลอดทดลอง และมีประสิทธิภาพในการกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยในอาสาสมัคร

สำหรับเบสหลักเป็นเบสแบบน้ำ บางท่านเห็นส่วนผสมของ Bis-Hydroxyethoxypropyl Dimethicone อาจจะกังวลเรื่องซิลิโคน แต่สารตัวนี้เป็นซิลิโคนดัดแปลงที่มีคุณสมบัติเสริมความชุ่มชื้น ให้สัมผัสนุ่มนวล ไม่เหนอะหนะ และผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองผิว (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)

ในภาพรวมจึงเรียกได้ว่าเป็นเซรั่มที่ทั้งปกป้องและดูแลปัญหาผิวทั้งในด้านของริ้วรอยและความชุ่มชื้นไปพร้อมๆ กัน

ถัดมาเป็นเซรั่มสำหรับกลางคืน คือ Flavo-C Melatonin ซึ่งมาในรูปแบบของแอมพูลแก้วเช่นกัน มีหน้าตาเป็นประมาณนี้ค่ะ

ด้านในก็จะมาในรูปแบบคล้ายๆ กันค่ะ

ค่า pH ของสูตรนี้อยู่ที่ราวๆ 4 – 5 เช่นกันนะคะ

เนื้อเซรั่มมาในรูปแบบใสเช่นกัน

เกลี่ยได้ง่าย บางเบา ไม่เหนอะหนะ

คอนเซปท์ของตัวนี้ คือ น้องจะเสริมการฟื้นฟูและบำรุงผิวในช่วงกลางคืน

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นการรวมตัวเอาวิตามินซีในรูปแบบของ 3-O-Ethyl ascorbic acid ร่วมกับสารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Genus เดียวกับถั่วเขียว) และ Melatonin ในเบสรูปแบบน้ำ มีส่วนผสมของ Alcohol อยู่เล็กน้อย โดยดูจากลำดับส่วนผสม แต่ส่วนตัวใช้ได้ไม่เกิดปัญหาแห้งหรือระคายเคืองอะไร

ลองมาดูรายละเอียดของสารบำรุงกัน

  • 3-O-Ethyl ascorbic acid เป็นวิตามินซีรูปแบบหนึ่ง สำหรับประโยชน์ของวิตามินซีก็ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
  • สารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Vigna aconitifolia seed extract) ตัวนี้ข้อมูลจากทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์คล้ายวิตามินเอ แต่ไม่มีปัญหาด้านการระคายเคืองเหมือนกลุ่มวิตามินเอ

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยักษ์ใหญ่อย่าง BASF กล่าวว่า น้อง moth bean มีคุณสมบัติเสริมการสร้างและผลัดตัวเองของผิวที่หนังกำพร้า รวมทั้งเสริมการสร้าง Matrix ต่างๆ เช่น Collagen ในชั้นหนังแท้ โดยมีทั้งข้อมูลการทดสอบประสิทธิภาพทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร

ขอยกมาเล่าสองภาพนะคะ ภาพแรกเป็นประสิทธิภาพในการเสริมสร้างคอลลาเจนในระดับหลอดทดลอง วัดจากปริมาณกรดอะมิโน Proline ที่เพิ่มขึ้น

(Image from BASF)

ซึ่ง Proline เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญตัวนึงที่เป็นองค์ประกอบในสายของ Collagen

ภาพที่สองเป็นการวัดความลึกของริ้วรอยตีนกา (ค่า Volume จากเครื่อง Visioscan) ในอาสาสมัครเทียบกันระหว่างครีมที่ใช้สารสกัดจากถั่ว Moth bean กับ ครีมที่ใช้ Retinol พบว่าริ้วรอยตีนกาตื้นขึ้นทั้งคู่

(Image from BASF)

ดังนั้นหากจะกล่าวว่า น้อง Moth bean มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Retinol และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามใช้ หรือไม่ถูกกับ Retinol ก็ไม่น่าจะเกินจริงนัก

  • Melatonin อันนี้ยอมรับเลยว่าตอนได้เห็นส่วนผสมคือ ดิฉันสงสัยมาก ว่าการใช้ Melatonin ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีประโยชน์อะไร จนได้มาค้นข้อมูลเพิ่มเติม ถึงทราบว่า Melatonin ที่ทาลงไปบนผิว มีคุณสมบัติหลายประการ และมีการศึกษารองรับอยู่หลายชิ้น ส่วนตัวอิงจากบทความของ Day และ คณะ (2018) ที่รวบรวมเอาผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ Melatonin โดยหลักๆ กล่าวว่า Melatonin เป็น antioxidant ทางอ้อม (Indirect antioxidant) โดยมีผลไปเสริมสร้างเอนไซม์ที่เป็น Antioxidant ตามธรรมชาติของผิว สาร Metabolites ต่างๆ ที่เกิดจากการแปรสภาพ Melatonin มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง ลดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนทำให้เกิดริ้วรอยตามมา โดยในภาพรวมน้องมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัยและฟื้นฟูสภาพผิว (J Drugs Dermatol. 2018;17(8):966-969.)

ทำไมถึงต้องทา Melatonin ตอนกลางคืน?

     จากข้อมูลหลายๆ ข้อมูลกล่าวว่าผิวหนังของเราอาศัยระบบที่มี Melatonin เป็นตัวรักษาสมดุลและซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน ระบบนี้มีชื่อเรียกว่า melatoninergic antioxidative system (MAS)

โดยภาพรวมแล้วเซรั่มดังกล่าวจึงถือว่าเหมาะมากในการเป็น Regimen สำหรับฟื้นฟูผิวในยามกลางคืน และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหากับการใช้วิตามินเอและอนุพันธ์ต่างๆ

สำหรับการให้คะแนนวันนี้เป็นการให้คะแนนแบบภาพรวมนะคะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปว่า สูตรกลางวันพัฒนามาเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UV และสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน มาพร้อมกับการเสริมสร้าง Hyaluron ภายในผิว และเติมน้ำให้ผิวด้วย Hyaluron กับ Proteoglycan เมื่อใช้ร่วมกับเซรั่มฟื้นฟูผิวตอนกลางคืนที่เน้นฟื้นฟูผิวจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน พร้อมทั้งส่งเสริมการทำงานของผิวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เสมือนผิวมีสุขภาพที่ดีเฉกเช่นวัยเยาว์ ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ สำหรับสูตรกลางวันเรียกได้ว่าทำมาได้ไร้ที่ติ แต่ในสูตรกลางคืนอาจจะติตรงเรื่องของ Alcohol นิดหน่อย แม้ว่าน่าจะใส่มาไม่มาก และส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาระคายเคืองหรือรู้สึกไม่สบายผิวแต่อย่างใด สำหรับผลิตภัณฑ์ 2 ชิ้นนี้ ขอให้ไปที่ 4.5 ฟลาสก์ (กลางวัน 5 + กลางคืน 4 แล้วหารสอง)
  3. การใช้งาน ในด้านการใช้งานส่วนตัวไม่ติดปัญหาอะไร ในด้านของประสิทธิภาพจากการทดลองใช้มาร่วม 3 อาทิตย์ รู้สึกว่า ช่วยให้ผิวเรียบเนียนนุ่มกระชับยืดหยุ่น และผิวละเอียดมากขึ้น ในด้านของสีผิว จุดแดง จุดดำต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดูจางลง แต่งหน้าได้ติดทนขึ้น อาการระคายเคืองผิวต่างๆ ในช่วงที่ใช้เกิดน้อยลง ในภาพรวมคือค่อนข้างประทับใจ แต่ส่วนตัวจะค่อนข้างกังวลกับเรื่องของการหักแก้วแอมพูล การเก็บรักษาแก้วแอมพูล และการกำจัดเมื่อใช้หมด อยากให้เก็บไว้แล้วแยกทิ้งต่างหากเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนเก็บขยะ หรือถ้าหากที่ไหนมีถังขยะพิเศษสำหรับแก้วแตกก็คือจะดีมาก แต่แพคเกจแบบแอมพูลแบบนี้ก็มีข้อดีของเขา คือ ปกป้องเนื้อสารข้างในให้มีความคงตัวที่ดีและลดการปนเปื้อนที่อาจเกิดเมื่อเทียบกับภาชนะบรรจุอื่นที่เป็นระบบเปิด จุดนี้ขอไม่หักคะแนนเรื่องภาชนะนะคะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทย ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ช่วงนี้กำลังมีแคมเปญลดราคาอยู่นะคะ ซึ่งสามารถติดตามได้ที่จากทางเพจ Official, Lazada และ Shopee ได้เลยค่ะ

“Flagship Store” ShopeeMall  https://invol.co/clb1zun

“Flagship Store” LazMall : https://invol.co/clb1ztm

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่ม antioxidant สุดปังของ Dr.Different กับเซรั่ม CEQ antioxidant serum

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์เด็ดอีกตัวจากแบรนด์ Dr.Different มาฝากกันค่ะ

ตัวที่จะนำมารีวิววันนี้เป็นเซรั่ม Antioxidant สูตรพิเศษที่ทางแบรนด์ Dr.Different คัดเลือกเอาส่วนผสมชั้นดีหลายๆ ตัวมารวมกันไว้ในขวดเดียว มาในเบสที่เป็นมิตรกับผิว และความพิเศษคือ นางสามารถจับเอาวิตามินที่ละลายน้ำมันมารวมกันไว้ในเซรั่มเบสน้ำเนื้อบางเบาใสกิ๊กได้

เซรั่มที่ว่ามีชื่อว่า CEQ Antioxidant serum ที่มีส่วนผสมหลักคือ วิตามินซี (15%) วิตามินอี และ โคเอนไซม์ Q10 ค่ะ

หน้าตามาในกล่องแบบนี้นะคะ

ตัวนี้ที่บริษัทนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราจะมีทั้งรุ่นที่เป็นกล่อง ภายในมี 3 ชุด และรุ่นกล่องเดี่ยว นะคะ

ส่วนนี้จะเป็นด้านในของกล่อง 3 ชุดค่ะ

กล่องเดี่ยวก็จะมีหน้าตาประมาณนี้

ด้านในก็จะมีการแยกชิ้นส่วนออกเป็น 2 ส่วนค่ะ

ซึ่งจุดนี้ส่วนตัวชอบมากๆ เป็นกรณีพิเศษ เพราะว่าสารกลุ่ม Antioxidant พวกนี้มักจะมีความ Sensitive ต่อออกซิเจนในอากาศ การใช้แพคเกจที่เป็นแก้ว มีฝาเป็นอลูมิเนียมแบบนี้จะช่วยลดการผ่านเข้าออกของอากาศได้ดีกว่าพวกพลาสติก และเวลาใช้งาน ถ้าเราเปิดทิ้งไว้นานๆ มันก็จะเสื่อม ดังนั้นการ repack มา pack น้อยๆ pack ละ 10 ml ก็จะดีกว่าในแง่ของความคงตัวค่ะ

พอจะใช้งานก็ค่อยมาประกอบร่าง กลายร่างเป็นแบบนี้

อีกความปังที่ชอบคือ ด้วยความที่น้องตัวเล็ก เวลาเราจะวางบางทีมันก็จะล้มเนาะ เราสามารถที่จะเอาตัวน้องกดลงไปยังรอยปรุด้านหลังให้วางได้ง่ายขึ้นค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นแบบน้ำใส สีออกเหลืองอมส้ม ส่วนตัวคาดว่าน่าจะเป็นสีของ Coenzyme Q10 ที่มีสีเหลืองตามธรรมชาติ

ในด้านกลิ่นนางจะมีกลิ่นของวัตถุดิบอยู่นิดหน่อย เพราะทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม

ส่วนเรื่องสัมผัสนั้น นางเกลี่ยได้ง่าย ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะหนักผิว

ในการวัดค่า pH อาจจะมีผลรบกวนจากสีของเนื้อเซรั่มอยู่บ้างนะคะ ได้ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 3 – 4 ซึ่งเหมาะกับสูตรที่มีวิตามินซีนะคะ (ในจุดนี้ทางแบรนด์เคลมไว้ที่ 3.5 ค่ะ)

แน่นอนว่า ถ้าไม่ได้ทำการทดสอบ ก็ไม่ใช่ Dr.Different แล้วค่ะ

คราวนี้หมอ Lee แกไปลองทดสอบเปรียบเทียบฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH เทียบกับแบรนด์ S แบรนด์ดัง พบว่า ได้ค่าความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ต่างกันนะคะ

(Image from Dr.Different)

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวม CEQ เป็นเซรั่มที่มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคน และ แอลกอฮอล์

ส่วนของสารบำรุงวันนี้ทำไว้หลายสี ในภาพรวมคือเน้นไปในเชิงของด้าน Antioxidant แบบรัวๆ รองลงมาจะเป็นด้านชุ่มชื้น การลดการระคายเคืองให้ความรู้สึกสบายผิว และริ้วรอย

มาดูสารบำรุงกันดีกว่านะคะ

  • สีฟ้า เป็นเหล่าบรรดาวิตามินต่างๆ ได้แก่ วิตามินซี อี และโคเอนไซม์ คิวเทน (Ubiquinone) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเซรั่ม CEQ เสริมมาด้วยวิตามินบี 5 และสารอื่นๆ อีกหลายชนิด ขอกล่าวถึงคุณสมบัติของวิตามินต่างๆ สักเล็กน้อยค่ะ
    • วิตามินซี นางเด่นในด้านของการเป็น Antioxidant ชะลอวัย การลดการอักเสบระคายเคือง ปกป้องผิวจากรังสี UV เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน และมีประโยชน์ในเชิงด้าน Whitening
      โดยวิตามินซีที่ใช้ใน CEQ เป็นรูปแบบ Ascorbic acid ที่พบได้ในธรรมชาติ เมื่อนำมาใส่ในตำรับที่มีค่า pH ราวๆ 3 – 4 (บนเว็บเกาหลีเคลมว่า 3.5) ก็จะมีความคงตัวที่ดี และมีรายงานว่าสามารถดูดซึมผ่านผิวได้ โดยรูปแบบนี้มีจุดเด่นคือสามารถออกฤทธิ์ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องแปรสภาพโดยผิวก่อน
    • วิตามินอี เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน ทำงานร่วมกับวิตามินซีที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งผิวเรามีทั้งน้ำและน้ำมัน การได้ทั้ง C และ E ก็จะช่วยเสริมกัน และนอกจากนี้ก็มีหลายๆ แหล่งข้อมูลกล่าวว่า วิตามิน C และ E สามารถที่จะช่วย Recycle ซึ่งกันและกันได้
    • โคเอนไซม์ คิวเทน เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในน้ำมันเช่นกัน นางเด่นในแง่ของการชะลอวัย และเสริมการสร้างพลังงานของผิว ให้ผิวทำงานได้ปกติ
    • วิตามินบี 5 ตัวนี้เด่นในแง่ของการลดการระคายเคือง และเพิ่มความชุ่มชื้น รวมไปถึงเสริมคุณสมบัติในการฟื้นฟู Barrier ของผิวตามธรรมชาติ
  • สีเขียว Ferulic acid ตัวนี้เป็นสารกลุ่ม Phenolic ที่พบได้ในพืชหลายๆ ชนิด มีรายงานอยู่หลายฉบับว่าการใช้ Ferulic acid ร่วมกับวิตามิน C และ E สามารถเสริมความคงตัว และช่วยปกป้องวิตามินเหล่านี้ให้คงรูปอยู่ได้นาน รวมถึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารเติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว อย่าง Sodium hyaluronate, Trehalose, Sodium PCA และกรดอะมิโน Arginine
  • สีม่วงอ่อน เป็นกลุ่มของสารที่มีประโยชน์ในเชิงของริ้วรอย อย่างสารสกัดจากใบบัวบก Adenosine และ Gluconolactone ที่จัดเป็น Polyhydroxy acid หรือ PHA ที่นอกจากจะเด่นในด้านของการเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น และ ผลัดผิวแบบอ่อนๆ แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านของการดูแลปัญหาสิวไปในตัว แต่ในจุดนี้อาจจะต้องดูความเข้มข้นในตำรับอีกที
  • สีน้ำเงิน มีอยู่ 2 ตัว ได้แก่ Fullerene และ Ectoin
    • Fullerene เป็นการจัดเรียงตัวในรูปแบบพิเศษของธาตุคาร์บอน ที่เรียงตัวในรูปแบบทรงกลม ประกอบด้วยคาร์บอน 60 หน่วย บางที่เรียกว่า C60 ตัว Fullerene นี้เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่กวาดรางวัลมาเยอะมากๆ เป็นสารสิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงประสิทธิภาพในการกระชับรูขุมขน (J Nanobiotechnology. 2014;12:6.) มีประโยชน์ในการดูแลปัญหาสิว โดยไปลดการอักเสบ และลดการหลั่งน้ำมันออกมาจากรูขุมขน (Nanomedicine. 2011;7(2):238-41.) และด้วยความที่นางเป็น Antioxidant ที่ดี นางเลยมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัย ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
    • Ectoin ตัวนี้เคยกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง นางเป็นวัตถุดิบที่หลังๆ มานี้มีคนให้ความสนใจนางเยอะมากๆ Ectoin เป็นสารที่พบในแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสนจะโหดร้าย ทำหน้าที่ปกป้องตัวแบคทีเรียจากอันตรายภายนอก หลักๆ คือ นางช่วยปกป้องผิวเราจากมลภาวะ รังสี UVA UVB รวมถึงสารอันตรายต่างๆภายนอก มีการทดสอบในระดับหลอดทดลงพบว่าเมื่อให้ Ectoin ไปในเซลล์เพาะเลี้ยง ก่อนเอาไปฉายรังสี UV พบว่าช่วยปกป้องไม่ให้เซลล์เพาะเลี้ยงเหล่านี้ตายไป (Skin Pharmacol Physiol. 2004; 17(5):232-7.)

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ที่แอบกังวลคือ น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกของพืชในตระกูล Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการไวต่อแสงได้ แต่ส่วนตัวใช้ทั้งเช้าเย็นมาเกือบๆ 2 อาทิตย์ ก็ไม่ได้พบปัญหาอะไรนะคะ

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives ทางแบรนด์เลือกมาได้ค่อนข้างดี เสริมกันไปเสริมกันมา ช่วยกันปกป้องซึ่งกันและกันได้อย่างลงตัว และยังเสริมสารลดการระคายเคืองที่อาจจะเกิดได้เองตามธรรมชาติ จากตัวของวิตามินซีเองและยังเสริมพวกสารที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้น กับปัญหาด้านริ้วรอยไปพร้อมๆ กัน จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในแง่ของเบส มาในเบสแบบน้ำ ปราศจาก แอลกอฮอล์ น้ำมัน และ ซิลิโคน สารปรุงแต่งต่างๆ เลือกมาแต่ชนิดที่มี Profile ค่อนข้างดี เป็นมิตรกับผิว แต่จะมีจุดที่ส่วนตัวรู้สึกกังวลก็คือเรื่องของน้ำมันหอมระเหยจากผิวของ Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะไวต่อแสงได้ในบางคน แต่ส่วนตัวใช้ทั้งเช้าและเย็น ไม่พบปัญหาใดๆ ค่ะ จุดนี้ขอหักคะแนนนิดหน่อย ได้ไป 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน เซรั่มมาในเนื้อแบบน้ำใส ถ้าเอาลงผิวหน้าเลยในตอนแรกจะต้องใช้เนื้อเซรั่มเปลืองนิดหน่อยกว่าจะเกลี่ยจนฟิน คือชุ่มทั่วหน้า ส่วนตัวเลยใช้หลังจากที่เช็ดโทนเนอร์ไป แล้วหน้ายังชุ่มอยู่ ก่อนจะลงตัวนี้ ก็จะเกลี่ยได้ง่ายขึ้น และใช้เนื้อเซรั่มน้อยลง ก็ชุ่มได้ทั่วหน้าเหมือนกัน ในแง่ของประสิทธิภาพ ส่วนตัวคิดว่า เซรั่ม CEQ นี้เอามาเสริมกับตัว Vita-A ที่เคยรีวิวไว้ก่อนหน้าได้เป็นอย่างดีเลยหละ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีม Whitening วิตามินรวมจากญี่ปุ่น Shimi AX จากแบรนด์ Kracie

สวัสดีค่ะ

มีผลิตภัณฑ์อยู่ตัวหนึ่งที่มีติดค้างรีวิวทุกคนมานานมากๆ จนใช้หมดไปสองหลอดแล้วก็ยังไม่ได้ฤกษ์นำมารีวิวเสียที

เอาหล่ะ ในที่สุด วันนี้ก็ได้ฤกษ์ รีวิวปิดท้ายวันหยุด ก่อนต้องตื่นไปทำงานแต่เช้ากันในวันพรุ่งนี้

นางก็คือ ครีม #ลูกรักบ้านมียอน Shimi AX จากแบรนด์ Kracie นั่นเองค่ะ

หน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

shimi 1.JPG

หลอดเก่าไป หลอดใหม่มา ตอนนี้หลอดที่สองก็หมด แต่ขอพักสักแป๊บ เพราะของล้นกรุมากๆ 555

 

ตัวหลอดมาแบบเรียบแต่โก้ หรูแต่ง่ายค่ะ

shimi 2

 

จริงๆในบ้านเรามีขายที่ Matsumoto kiyoshi นะคะ แต่มี่สั่งจากเว็บ Dokodemo เอาค่ะ ราคารวมค่าขนส่งแล้วก็ไม่ต่างกันมากนัก

 

คำว่า “Shimi” หรือ しみ เป็นคำที่กำลังอินเทรนด์ของฝั่งญี่ปุ่นเค้าค่ะ แปลว่ารอยเปื้อน แต่ในทางสกินแคร์และบิวตี้ หมายถึง จุดด่างดำ

 

สำหรับเนื้อครีมก็เป็นครีมเนื้อข้นๆหน่อย

shimi 3

ไม่มีกลิ่นค่ะ น่าจะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ขัดกับลุคที่ดูข้นๆของนางเลย

shimi 4

 

วันนี้ไม่ได้วัด pH เพราะเนื้อครีมนางไม่เปียกกระดาษ กระดาษเลยไม่เปลี่ยนสีค่ะ

 

สำหรับส่วนผสมวันนี้ มี่ใช้วิธีแกะจากข้างกล่องเอานะคะ เนื่องจากไม่สะดวกไปถ่ายรูปฉลากไทยในร้านจ้า

สผส

ซึ่งจากที่สังเกตมา ทางญี่ปุ่นเขาไม่ได้เรียงลำดับส่วนผสมจากความเข้มข้นมากไปหาน้อยนะคะ แต่จะเอา Active มาขึ้นก่อน ตามด้วยสารที่เป็นเบส หรือ Vehicle ของตำรับค่ะ

 

สำหรับสารบำรุง ที่สำคัญจะเป็นกลุ่มของวิตามินรวม 3 ชนิดหลัก คือ A C E ค่ะ

  • วิตามินเอ เป็นรูปแบบของ Retinyl palmitate ซึ่งถ้าเทียบกับฟอร์มอื่นแล้ว นางก็จะมีการระคายเคืองที่น้อยกว่า แต่กว่านางจะออกฤทธิ์ได้ นางต้องผ่านการแปรสภาพในผิวถึง 3 ขั้นตอน โดยประโยชน์ของวิตามินเอ กับผิวพรรณนั้น ค่อนข้างกว้างค่ะ โดยหลักๆ จะเด่นไปในด้านของริ้วรอย การปรับสมดุลการผลัดผิว ความกระชับและยืดหยุ่นของผิว และสิว
  • วิตามินซี มาในรูปแบบของ Ascorbyl glucoside ซึ่งเป็นรูปแบบที่เอาวิตามินซีมาจับกับน้ำตาล โดยประโยชน์ของวิตามินซี ก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเชิง Whitening, ลดการอักเสบระคายเคือง ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • วิตามินอี ตัวนี้น่าสนใจนะคะ เป็นรูปแบบของ Tocopheryl nicotinate ซึ่งเป็นสารลูกผสมระหว่างวิตามินอี กับ บี 3 ทางผู้ผลิตวัตถุดิบก็เคลมว่า ถ้านางลงผิว ผิวเราก็จะแปรสภาพจนได้วิตามินอี และ บี 3 ให้ประโยชน์หลายอย่างทั้ง Antioxidant, ลดการอักเสบระคายเคือง และในเชิงด้าน Whitening

antioxidants-06-00020-g001.jpg

(Duncan and Suzuki, . 2017 Mar; 6(1): 20.)

 

สำหรับ Tocopheryl nicotinate นอกจากผลที่กล่าวมาแล้ว นางมีคุณสมบัติในการเสริมการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆในผิวเสริมมา ซึ่งจริงๆก็มีใช้ในทางยามาซักพักแล้วค่ะ (The American Journal of Clinical Nutrition 1974. 27(10):1110-6)

 

สารบำรุงที่เหลืออยู่ ในส่วนของสีฟ้า คือ

  • Dipotassium glycyrrhizate ตัวนี้ได้มาจากชะเอมค่ะ มีคุณสมบัติในเชิงการลดการอักเสบระคายเคือง
  • Lactobacillus/lotus seed ferment ตัวนี้มีประโยชน์ในด้านชุ่มชื้นเป็นหลักค่ะ

 

และสีเขียว Cholesterol กับ Corn oil เป็นไขมันที่มีประโยชน์กับผิวค่ะ

 

ในส่วนผสมมีการใช้ Paraben เป็นสารกันเสีย แต่ส่วนตัวไม่ได้หักคะแนน Paraben แล้วนะคะ ถ้าใครไม่แพ้สารตัวนี้ นางก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรค่ะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ วันนี้ขอให้ 2 หมวด คือ ส่วนผสม และ การใช้งานนะคะ

  1. ส่วนผสม ในส่วนผสมทำมาได้ค่อนข้างดี และลำพังการผสมเอาวิตามิน A C E/B3 เข้าด้วยกันก็เรียกได้ว่า ให้ประโยชน์ในการดูแลผิวได้ครบวงจรแล้วค่ะ เหลือแค่ว่าเราไม่ทราบความเข้มข้นว่าเค้าใช้ในปริมาณเท่าไหร่ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ในตัวครีม เนื้อออกมาค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเหนียว หรือมันเยิ้ม (มี่ผิวผสม/แห้ง) แต่ด้วยความที่มีวิตามินเอ ส่วนตัวก็จะใช้แค่ตอนกลางคืนนะคะ แม้ว่า Retinyl palmitate จะเสี่ยงแพ้แสงน้อยกว่าตัวที่เป็นรูปแบบยา อย่าง acid แต่ก็ขอเลี่ยงการใช้กลางวันไว้ก่อนค่ะ สำหรับด้าน Whitening ส่วนตัวมองว่า นางค่อยๆปรับสภาพจุดด่างดำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้นค่ะ แต่ไม่ถึงกับจะมาแบบขาวขึ้นแบบเว่อร์วังรวดเร็วอะไรทำนองนั้นค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลากันไปเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ซีรั่มวิตามินซีน้องใหม่จากแบรนด์ OMG! Oh my glam Boost C E HYA Serum ซีรั่มที่ใครได้ลองใช้ แล้วต้องร้อง OMG!

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวซีรั่มวิตามินซีที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เป็นซีรั่มวิตามินซีจากแบรนด์ OMG Oh my glam! ที่มีชื่อว่า Boost C E HYA Serum ค่ะ

คอนเซปท์ของแบรนด์ก็คือ “ซีรั่มที่ใครได้ลองใช้ แล้วต้องร้อง OMG!”

หน้าตาเป็นประมาณนี้นะคะ

omg 1

ด้านในเป็นขวดแบบปั๊มค่ะ

omg 2

เนื้อซีรั่มเป็นแบบเบสน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เลยจะมีกลิ่นจางๆของวัตถุดิบอยู่นิดหน่อยค่ะ

omg 3

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ

omg 4

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 3 – 4 ซึ่งเหมาะกับการเป็นผลิตภัณฑ์วิตามินซีค่ะ

โดยทางแบรนด์เคลมว่า ค่า pH ณ วันผลิต ซึ่งถ้าดูจากข้างกล่องที่มี่ได้มา คือ 26/6/2562 วัดด้วย pH meter จะอยู่ 3.5 ซึ่งตัวกระดาษอินดิเคเตอร์ที่วัดได้ สีก็อยู่ระหว่าง 3 และ 4 ค่ะ ก็ถือว่าแลดู Stable และคงที่ อยู่นะคะ

omg 5

มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

สผส omg

ส่วนผสมวันนี้มี่ทำสารบำรุงและสารที่น่าสนใจไว้หลายสีนะคะ

  • ขอเริ่มที่สีฟ้าค่ะ เป็นกลุ่มของวิตามิน และสารพฤกษเคมีที่ได้จากธรรมชาติ ได้แก่
    • L-ascorbic acid โดย L-ascorbic acid เป็นรูปแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ ซึ่งเมื่อลงผิวได้ นางไม่ต้องผ่าน Metabolism ของผิว นางออกฤทธิ์ได้เลยจึงมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิว แต่ข้อจำกัดคือ มีความคงตัวค่อนข้างต่ำค่ะ ซึ่งทางแบรนด์ก็มีการเสริมความคงตัวให้ด้วยกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสริม antioxidant และ การปรับ pH ให้อยู่ราวๆ 3.5
      สำหรับประโยชน์ของวิตามินซีของผิวพรรณ ได้แก่ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว และมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสีของผิว รวมไปถึงคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง และมีหลายๆแหล่งข้อมูลบอกว่า วิตามินซี สามารถยับยั้งกระบวนการอักเสบในผิว และปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ด้วย จึงให้ประโยชน์ในด้าน ริ้วรอย ชะลอวัย ลดการอักเสบ และผิวขาวกระจ่างใสไปพร้อมๆกัน ทางแบรนด์ใส่มาที่ระดับ 17.5% ค่ะ
    • Tocotrienols และ Tocopherol เป็นวิตามินอีรูปแบบธรรมชาติเช่นกัน มีประโยชน์เป็น Antioxidant ค่ะ ทางแบรนด์เคลมว่า ใช้วิตามินอี 2%
      ซึ่งปกติแล้ว วิตามินอี กับ ซี จะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยปกป้องซึ่งกันและกัน และช่วย Regenerate วิตามินที่ทำงานต้านอนุมูลอิสระจนเสื่อมสภาพไปให้กลับมาสดใหม่ไฉไลเหมือนเดิม
    • Ferulic acid เป็นพฤกษเคมีในกลุ่ม Phenolic มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี ซึ่งมีหลายๆงานวิจัยนะคะ ที่กล่าวว่า การใช้ Ascorbic acid ร่วมกับ Tocopherol และ Ferulic acid จะช่วยให้สารทั้งสามตัวมีความคงตัวที่ดี และมีประสิทธิภาพที่ดีค่ะ
    • Caffeic acid และ p-Coumaric acid ทั้งสองตัวนี้ก็เป็นพฤกษเคมีในกลุ่ม Phenolic ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดีเช่นกันค่ะ
  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมีด้วยกันหลายตัวค่ะ ได้แก่
    • Panthenol คือโปรวิตามินบี 5 มีประโยชน์ในเชิงการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และลดการอักเสบระคายเคือง
    • Hyaluronic acid สองชนิด คือ Hya ขนาดใหญ่ กับ Hydrolyzed Hya ขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยเติมน้ำให้ผิวในหลายระดับของชั้นผิว
    • Bifida ferment lysate เรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบจากจุลินทรีย์ตัวหนึ่งที่หลังๆมานี้วงการเครื่องสำอางหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากๆ วัตถุดิบนี้มีข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบสนับสนุนถึงคุณสมบัติในการเสริมกระบวนการฟื้นฟูตัวเองของผิวที่เกิดจากรังสี UV และความเครียดต่างๆ รวมถึง ปรับสมดุลการทำงานต่างๆของผิว และ เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มีบทความวิชาการฉบับหนึ่งที่กล่าวว่า การใช้สารสกัดจาก Bifidobacterium longum สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ลดโอกาสเกิดการแพ้ระคายเคือง ทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร ที่ความเข้มข้น 10% (Exp Dermatol. 2010 Aug;19(8):e1-8.) ซึ่งเป็นความเข้มข้นเดียวกับที่ทางแบรนด์เคลมว่าใช้ค่ะ
    • L-glutathione เป็นรูปแบบที่ Active ของ Glutathione ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant และยังมีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสีผิว และ ยังเหนี่ยวนำให้ผิวสร้างเมลานินชนิด Pheomelanin ซึ่งมีสีอ่อน ในภาพรวมจึงมีประโยชน์ในเชิง Whitening และการป้องกันริ้วรอย
  • สีส้ม สารกลุ่มนี้ไม่เชิงเป็นสารบำรุง แต่เป็นสารเสริมที่ช่วยเพิ่มความเสถียรให้แก่ผลิตภัณฑ์ค่ะ มีด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่
    • Ethylhexyl methoxycrylate รู้จักกันภายใต้ชื่อทางการค้า SolaStay® S1 มีประโยชน์เป็นตัวปกป้องสารไม่ให้เสื่อมสภาพจากรังสี UV ที่มาจากแสง
    • Pentaerythrityl tetra-di-t-butyl hydroxyhydrocinnamate สารชื่อยาวๆนี้รู้จักกันภายใต้ชื่อทางการค้า Tinogard® TT เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่ม Phenolic ที่ได้จากการสังเคราะห์ มีความคงตัวสูง ให้ผลดีในการปกป้องปฏิกิริยา Oxidation ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความร้อน
    • Benzotriazolyl dodecyl p-cresol รู้จักกันภายใต้ชื่อทางการค้า Tinogard® TL มีประโยชน์เป็นตัวปกป้องสารไม่ให้เสื่อมสภาพจากรังสี UV ที่มาจากแสง

 

จากที่ได้กล่าวมาจะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว คัดเลือกส่วนผสมมาอย่างดี โดยนอกจากจะเลือกส่วนผสมที่เป็น Antioxidant ในกลุ่มของ Phenolic จากธรรมชาติ อย่าง Ferulic acid, Caffeic acid และ p-Coumaric acid มาช่วย Stabilize ตัววิตามินซีให้มีความเสถียรสูงแล้ว ยังใช้กลุ่มของ Antioxidant และสารปกป้องแสง (Photoprotective agents) เข้ามาช่วยกันเป็นเสมือนกองทัพช่วยกันปกป้ององค์หญิงวิตามินซีให้ยังคงความคงสดใหม่ คงสภาพได้ยาวนานขึ้น แถมยังเสริมเอาสารบำรุงอื่นๆเข้ามาได้อย่างลงตัวค่ะ

อีกจุดที่น่าสนใจ คือ ความใส่ใจของแบรนด์ในการเลือกใช้ Propanediol แทนสารเพิ่มความชุ่มชื้นกลุ่มเก่าอย่าง Propylene glycol (PG) ซึ่งตัว PG ระยะหลังๆมาก็มีรายงานว่าทำให้เกิดการแพ้และระคายเคืองได้บ่อย แต่ตัว Propanediol เป็นสารที่ได้จากการหมักน้ำตาลจากข้าวโพด เพื่อเปลี่ยนเป็น Propanediol ตัวนี้ทางบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่ามีความปลอดภัยที่ดีกว่า PG ค่ะ  และเมื่อใช้ร่วมกับ Glycerin พบว่าประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นจะดีขึ้นด้วย

เนื่องจากวันนี้ส่วนผสมมีไม่เยอะมาก เลยขอแบ่งการให้คะแนนเป็น 2 หัวข้อนะคะ

  1. ส่วนผสม ในซีรั่มมาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซิลิโคน และสารอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ในด้านของสารบำรุง นอกจากวิตามินซีแล้ว ยังเสริมเอาสารบำรุงอื่นๆ และสารเสริมที่ช่วยปกป้องวิตามินซีและสารบำรุงอื่นในตำรับให้ Stable จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน เป็นปกติของผิวที่เมื่อโดนวิตามินซีในสภาวะที่เป็นกรดอาจจะรู้สึกอุ่น หรือยุบยิบได้ ซึ่งอาการนี้จะหายไปเมื่อเราใช้ไปซักระยะค่ะ สำหรับด้านของประสิทธิภาพส่วนตัวมองว่าตัวนี้ค่อนข้างโอเคในแง่ของจุดด่างดำ และความกระชับ firm และเด้งของผิวค่ะ โดยรวมค่อนข้างชอบเลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน omg

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ OMG ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Line@: @ohmyglam.skincare

Facebook: ohmyglam.skincare

Instagram: ohmyglam.skincare

Mail: ohmyglam.official@gmail.com

Tel: +66-6-5391-4544

วันนี้คงต้องขอตัวกันไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ OMG การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มวิตามินซีจากฝรั่งเศส กับ Novexpert Booster with Vitamin C เซรั่มที่โดดเด่นด้วยนวัตกรรมวิตามินซี Hybrid และสารสกัดสิทธิบัตร

สวัสดีค่ะ

หลายวันก่อนมี่เล่าให้ฟังว่าไปได้สกินแคร์ของใหม่มาจากแบรนด์ Novexpert ของฝรั่งเศส

ซึ่งชื่อแบรนด์ Novexpert มาจาก New + Expert ทางแบรนด์ก่อตั้งขึ้นมาจากผู้เชี่ยวชาญในวงการสมุนไพร ชีววิทยา แพทย์ผิวหนัง และนักเคมีที่มีชื่อเสียงหลายคน

NOVEXPERT.jpg

ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ก็ได้คิดค้นวัตถุดิบ และสูตรส่วนผสมสกินแคร์ของแบรนด์ มาเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหลายๆสูตรค่ะ

 

ตัวที่มี่ได้มาเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มของ Hyaluronic acid กับ Vitamin C ที่คิดค้นสูตรโดย Dr. Daniel Colletta อาจารย์มหาวิทยาลัย นักเคมีอินทรีย์ที่มีชื่อเสียงค่ะ

 

วันนี้จะขอเอาเซรั่มวิตามินซี หรือ ตัว Booster with Vitamin C มารีวิวให้ได้ชมกันค่ะ

หน้าตาเป็นประมาณนี้ค่ะ

VC 1.JPG

เปิดกล่องมาก็จะเจอหน้าของ Dr.Colletta ผู้วิจัยสูตรนี้อยู่ค่ะ

VC 2

ตัววิตซีนี้มาในขวดแก้วสองชั้นสีส้ม ด้านในฉาบทึบแสง เป็นขวดแบบปั๊มค่ะ

VC 3

ขนาดบรรจุ 30 ml ค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นสีส้ม กลิ่นหอมคล้ายส้ม แต่จะออกหวานๆกว่า

vc 4

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะ

vc 5

ลองวัดค่า pH ดูจะอยู่ที่ราวๆ 3 – 4 ค่ะ เพื่อรักษาเสถียรภาพให้แก่วิตามินซี

vc 6

ตรงนี้ไม่แน่ใจว่าสีของผลิตภัณฑ์จะรบกวนการอ่านค่าสีกระดาษ pH ของเราหรือเปล่านะคะ ทางแบรนด์เคลมว่า pH อยู่ที่ประมาณ 4 – 5 ค่ะ

 

ทางแบรนด์เคลมว่า เหมาะกับทุกสภาพผิวและสภาพอากาศค่ะ เราไม่ค่อยจะเห็นแบรนด์เครื่องสำอางที่ใส่ใจในสภาพอากาศของพื้นที่ที่ลูกค้าอาศัยอยู่นะคะ

tableau climat GB

(Image from Novexpert)

 

กลุ่มที่กา * ในรูปทางแบรนด์แนะนำให้เสริมด้วยครีมสำหรับชะลอวัย หรือ มอยส์เจอร์ไรเซอร์อื่นๆด้วยอีกชั้น หรือจะผสมกันไปเลยก่อนทาลงผิวก็ได้ค่ะ

 

 

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส vc

ในด้านส่วนผสมนั้น นางเปิดตัวมาด้วยความอลังมากเว่อร์ตามสไตล์ของแบรนด์

วันนี้ก็ขอมาวิเคราะห์แบบจัดเต็มอีกสักครั้ง

ถ้าเราพิจารณากันจะพบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแทบทุกชนิดจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ

  1. Actives คือ สารบำรุง เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติที่ดี รวมไปถึงมีประโยชน์ทางชีวภาพ
  2. Base คือ เนื้อหลักของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
  3. Additives คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้ และมีความปลอดภัย

 

วันนี้มีสารบำรุงอยู่หลายสี เดี๋ยวค่อยว่ากันไปตามหมวดสีนะคะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives
  • เปิดด้วยสีส้ม พระเอกของเรา เป็นกลุ่มของวิตามินซีค่ะ ทางแบรนด์เลือกใช้มา 2 รูปแบบ
  • Ascorbyl methylsilanol pectinate ตัวนี้เป็นวิตามินซีตัวที่ได้จากการทำปฏิกิริยาระหว่าง วิตามินซี กับ Silicon และ Pectin มีชื่อทางการค้าว่า Ascorbosilane C มีการเคลมว่า สามารถละลายน้ำได้ดี มีความคงตัวที่สูง และเสริมแร่ธาตุ Silica และ Vitamin C ให้ผิวพร้อมๆกัน เพื่อเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน

ปกติวิตามินซี มีประโยชน์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ เป็น Whitening โดยผ่านการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว และเป็นส่วนประกอบของกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน จึงอาจจะมีประโยชน์ในเรื่องการลดริ้วรอย

ข้อมูลผลการทดสอบในระดับหลอดทดลองจากผู้ผลิตวัตถุดิบพบว่า

  1. สามารถปกป้องเซลล์ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์ในชั้นหนังแท้ ทำหน้าที่สร้างคอลลาเจน ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ

assi 1

(Image from Exsymol S.A.M.)

2. เสริมความคงตัวของเยื่อหุ้มเซลล์ ให้มีความแข็งแรงและทนทานต่ออนุมูลอิสระมากขึ้น

assi 2

(Image from Exsymol S.A.M.)

จากรูป เมื่อใช้ VC รูปแบบนี้ในความเข้มข้นที่สูงขึ้น จะทำให้เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์ Fibroblast เรียงเป็นระเบียบมากขึ้น จะมีความทนทานต่ออนุมูลอิสระมากกว่า

  • 3-O-Ethyl ascorbic acid เป็นวิตามินซีรูปแบบอีเธอร์ของทางญี่ปุ่น ที่เคลมว่ามีขนาดเล็กกว่าวิตซีปกติ มีความคงตัวที่ดี

 

ซึ่ง Booster serum สูตรนี้ใส่ วิตามินซี 2 รูปแบบนี้รวมกันในความเข้มข้น 25% เลยทีเดียวหละ ซึ่งทางแบรนด์เองก็เคลมว่า มีประโยชน์ในการลดการสร้างเม็ดสีผิว และ เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนได้ดีกว่าวิตซี และสารอื่นในรูปแบบดั้งเดิม

nov 1

(Image from Novexpert Thailand)

nov 2

(Image from Novexpert Thailand)

  • สีม่วง สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาล (Laminaria ochroleuca extract) ตรงนี้เข้าใจว่าหมายถึง สารสกัดสิทธิบัตร สิทธิบัตร Novaxyline ที่เป็นสารเชิงซ้อนของสาหร่ายสีน้ำตาลกับ Polysaccharide (สารในกลุ่มของคาร์โบไฮเดรต) ทำให้ได้วัตถุดิบที่ออกฤทธิ์ผ่านกลไก Sirtuin ซึ่งเป็นโปรตีนหนึ่งในผิว ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานหลายๆอย่างในผิว หลักๆจะเกี่ยวข้องกับการชะลอวัยของผิว โดยมีคำกล่าวว่า “Sirtuin คือ Longevity protein ของร่างกาย” พอเราแก่ตัวลง Surtuin ก็จะลดลง ทำให้ผิวทำงานได้น้อยลง รวมถึงเกิดโรคผิวหนังบางชนิดขึ้นมาได้ด้วย

 

เจ้า Novaxyline นี้ สามารถไปเพิ่มการสังเคราะห์ Surtuin ในผิวให้ทำงานได้มากขึ้น เป็นการชะลอวัยด้วยกลไกใหม่ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

การทดสอบในระดับหลอดทดลองของทางแบรนด์พบว่า Novaxyline มีประโยชน์ในการปกป้องเซลล์ผิวไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะอนุมูลอิสระ

nov 3

(Image from Novexpert)

 

และช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้แก่ผิว โดยการทดสอบในหลอดทดลอง เมื่อย้อมด้วยสีพิเศษ เซลล์ที่แก่ตัวจะมีสีน้ำเงิน พอเสริม Novaxyline ลงไป เซลล์แก่ๆ ก็จะลดลง

nov 4

(Image from Novexpert)

  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้น โดยการเติมน้ำให้ผิว ได้แก่
    • Sodium PCA และ Sodium Lactate จัดเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นในกลุ่มที่เรียกได้ว่า Natural moisturizing factor หรือ NMF พวกนี้ผิวเราก็มี ทำหน้าที่ช่วยอุ้มน้ำให้กับผิว
    • Sodium hyaluronate เพิ่มความชุ่มชื้น
    • Saccharide isomerate ตัวนี้เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพสูง ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า โครงสร้างของสารไปจับกับกรดอะมิโน Lysine ของ Keratin ในผิว แล้วให้คุณสมบัติเป็นสารดูดน้ำ อุ้มน้ำ รักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน ไม่ถูกล้างออกไปได้ง่ายๆเหมือน moisturizer อื่นๆ
  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของ Pigment ที่ช่วยให้ความสว่างแก่ผิว อำพรางและปกปิด รวมถึงคุณสมบัติ Blur แสงจาก Silica ทำให้ผิวดูสวยงาม ได้แก่ Silica, Mica, Titanium dioxide (CI 77891)
  • สีเขียว เป็นสารบำรุงอื่นๆ ได้แก่
    • Glucosyl hesperidin ตัวนี้อาจเรียกว่าเป็น Citrus bioflavonoids มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี รวมถึงผู้ผลิตวัตถุดิบยังเคลมว่า ช่วยเสริมการไหลเวียนเลือด ทำให้ผิวดูกระจ่างใส อมชมพู มีสุขภาพดี
    • Anogeissus leinocarpus bark extract สารสกัดจาก African birch ผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดนี้เพิ่มการดูดซึมวิตามินซีเข้าไปใน Fibroblast ซึ่งมีประโยชน์ในการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว และยังเป็น Antioxidant, ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ MMP ที่เป็นตัวทำลายคอลลาเจนในผิวในระดับหลอดทดลอง ตัวผู้ผลิตวัตถุดิบทดสอบประสิทธิภาพสารสกัดนี้ในระดับหลอดทดลอง แล้วพบว่ามีคุณสมบัติในการลดริ้วรอย
    • ella
    • (Image from Givaudan Active Beauty)

 

  • Tocopherol คือ วิตามินอี เป็น Antioxidant
  • Beta-carotene เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ในร่างกายเรา เมื่อซึมลงไปในผิว ก็จะถูกผิวแปรสภาพเป็นวิตามินเอ ที่ให้ประโยชน์กับผิวมากมาย ปกติ Beta-carotene สามารถสะสมตัวในชั้นผิวได้ ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากรังสี UV
  • Bisabolol สารประกอบที่พบในพืชหลายชนิด เช่น คาโมมายล์ มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง
  • Adenosine มีประโยชน์ในการลดริ้วรอย และเสริมการทำงานของผิว
  • Biosaccharide gum-2 คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ มีส่วนประกอบของน้ำตาล Rhamnose กับน้ำตาลอื่นๆ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบและระคายเคืองของผิว
  • Phytic acid ตัวนี้เป็นกรดอินทรีย์ชนิดหนึ่ง พบได้ในพืชหลายชนิด ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสกัดออกมาจากข้าว ให้คุณสมบัติเป็นสารผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน ตัวผู้ผลิตทดสอบแล้วกล่าวว่าให้ผลในการผลัดผิวได้เทียบเท่า Glycolic acid แต่อ่อนโยนกว่า และระคายเคืองผิวน้อย

phytic 1

(Image from Biosil Technologies Inc.)

 

2. เนื้อของผลิตภัณฑ์ ประกอบด้วย น้ำและสารอื่นที่ละลายได้ในน้ำ ร่วมกับ น้ำมันจากธรรมชาติ ไม่มีแอลกอฮอล์ และซิลิโคน

  • ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ กับสารอื่นที่ละลายได้ในน้ำ คือ Glycerin, Methylpropanediol, Propanediol ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ ไม่ได้ใช้พวก Glycol เลย เนื่องจากบางแหล่งเคลมว่า การสังเคราะห์พวก Glycol อาจปนเปื้อนสารก่อมะเร็ง
  • น้ำมันจากธรรมชาติ Caprylic/capric triglyceride อันนี้อยู่ในลำดับท้ายๆ อาจจะเป็นส่วนประกอบที่ติดมากับสารสกัดในสูตร

3. สารปรุงแต่งอื่นๆ ได้แก่

  • สารกลุ่ม Emulsifier และ Surfactant ที่ช่วยเพิ่มความคงตัว ได้แก่ Polyglyceryl-2 dipolyhydroxystearate และ Lauryl glucoside
  • Buffer ที่ช่วยควบคุมค่า pH ให้คงที่ ได้แก่ Citric acid และ Sodium citrate
  • สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Xanthan gum และ Sclerotium gum
  • น้ำหอม ทางแบรนด์เคลมว่าใช้กลิ่นหอมจากธรรมชาติ และไม่ใช่สารหอมในสูตรผสม Fragrance Mix 1 และ 2 ที่คนมักจะแพ้กันบ่อย จะเห็นว่ามีความใส่ใจแม้กระทั่งในรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
  • สารที่ทำได้หลายหน้าที่
    • Glyceryl caprylate เป็นได้ทั้งสารเพิ่มความชุ่มชื้น มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ อาจใช้เป็น Preservative เป็น Emulsifier
    • แป้งข้าวโพด (Zea mays starch) มีได้หลายหน้าที่ ทั้งให้สัมผัสแห้ง เบา บายผิว ช่วยดูดซับความมัน รวมไปถึงเพิ่มความหนืด

 

โดยสรุป ถือว่าเป็นเซรั่มวิตามินซี ที่มาด้วยความเข้มข้น 25% แต่เหนือกว่าเซรั่มวิตามินซีธรรมดา ด้วย ส่วนผสมของ Ascorbosilane นวัตกรรมที่เอาวิตซีไปจับคู่กับ Silicon และ Pectin เพื่อเสริมความคงตัว และการดูดซึม ร่วมกับ 3-O-Ethyl ascorbic acid ที่มีข้อมูลด้านความคงตัวพอควร

นอกจากวิตซีแล้วยังเสริมสารบำรุงอื่นๆเข้ามากมากมาย เช่น Novaxyline ที่เป็นสิทธิบัตรของแบรนด์ ให้ประโยชน์ในด้านการชะลอความแก่ รวมไปถึงริ้วรอย ร่วมกับสารบำรุงอื่นๆที่เสริมประโยชน์ให้วิตามินซีได้อย่างลงตัว พร้อมลดการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น

 

ตัวเบสเรียกได้ว่าทำมาได้ด้วยความใส่ใจ ไม่มีแอลกอฮอล์ ซิลิโคน และ ไม่มีแม้กระทั่ง Glycol ซึ่งหลายๆแหล่งบอกว่าในการสังเคราะห์อาจปนเปื้อนด้วยสารก่อมะเร็ง

สารปรุงแต่งอื่นๆก็เลือกมาได้ดิบดี ไม่มีสารที่อาจรบกวนผิวเลย

 

ให้คะแนนดีกว่าค่ะ วันนี้ขอแบ่งเป็น 3 หมวดนะคะ

  1. สารบำรุง ในด้านของตัวหลักอย่างวิตามินซีนั้น เรียกได้ว่าผสานเอานวัตกรรมของญี่ปุ่นเข้าร่วมกับฝรั่งเศสได้อย่างลงตัว เลือกใช้วิตามินซีที่มีข้อมูลความคงตัวค่อนข้างดี ร่วมกับสารบำรุงอีกมากมายหลายชนิด ที่เอามาเสริมกับวิตามินซี พร้อมตัดลดป้องกันการระคายเคืองที่อาจเกิดขึ้น โดยรวมคือ เป็นวิตซีที่เหนือกว่าการเอาวิตซีมาละลายน้ำละยัดลงขวด ถ้าให้เกิน 5 ได้ คงให้ไป 200 แต่นี่คะแนนเต็ม 5 ก็คงให้ไปที่ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ทำมาได้อย่างลงตัว คำนึงต่อทั้งผิวของผู้ใช้ และสิ่งแวดล้อม ไม่มีสารที่อาจจะรบกวนผิวอยู่เลย ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ในด้านของการใช้งาน ต้องยอมรับว่า วันแรกๆที่ใช้ จะแอบรู้สึกแสบๆผิวหน่อยๆ ตอนแรกก็กะจะถอดใจละ แต่ใช้ไปใช้มา ซักประมาณ 1 สัปดาห์นี่อาการระคายเคือง อาการแสบยุบยิบก็จะหายไป พอใช้ครบสองสัปดาห์ก็สบายผิว ในด้านของจุดด่างดำ กับ ด้านของริ้วรอย ต้องยอมรับว่า ผิวมี่ในช่วงนี้ไม่ได้มีจุดด่างดำหรือริ้วรอยอยู่ แต่ในด้านของความรู้สึกกระชับ นุ่ม แน่น เวลาตบๆแล้วเด้งๆนี่ต้องยกให้ค่ะ เอาเครื่อง BIA มาคอนเฟิร์มที่ด้านล่างละกันเนอะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน nov

เสริมนิดหน่อย เรื่องเครื่อง BIA

BIA นี่ย่อมาจาก Bioelectric impedance analysis เป็นการวัดแรงต้านทางทางไฟฟ้าขององค์ประกอบต่างๆในผิว ซึ่งจะมีทั้งน้ำ ที่นำไฟฟ้าได้ และไขมัน ที่ไม่นำไฟฟ้าค่ะ ซึ่งเราก็ไม่ถนัดฟิสิสก์เท่าไหร่ ประเด็นนี้เลยไม่ค่อยแน่ใจนะคะ

ถ้าถามว่าเครื่อง BIA นี้น่าเชื่อถือแค่ไหน ส่วนตัวมี่คิดว่าน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง เพราะลองวัดผิวหลายๆบริเวณ ค่าที่ได้ก็ไม่เท่ากัน อย่างวัดต้นขา ซึ่งจะแห้งมากเว่อร์ ค่าความชื้นกับความมันก็จะติดลบ พอเอามาวัดหน้า ค่าความชื้นกับค่าความมันก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง + ค่ะ ถ้าเราลองวัดผิวที่เดียวกันซ้ำๆ ค่าที่ได้ก็จะออกมาใกล้เคียงกันค่ะ แต่ก็ได้ในระดับ Home use นะคะ คงยังไม่ถูกต้องมากถึงขนาดหยิบเอาไปวัดผิวอะไรในงานวิจัยได้

 

ก่อนเริ่ม Novexpert

ค่า Moist กับ ค่า Rough อยู่ในช่อง 0 พอดี คือ ผิวชุ่มชื้นแบบกลางๆ ความหยาบอยู่ในเกณฑ์กลาง

พอเริ่ม Novexpert ทั้ง 2 ตัว ประมาณ 4 สัปดาห์

ค่า Moist เพิ่มเป็น +2 ค่า Rough เพิ่มเป็น +2 คือ ผิวชุ่มชื้นเพิ่มมากขึ้น และมีความหยาบลดลง

อันนี้วัดผิวหลังอาบน้ำในตอนเช้า ก่อนลงสกินแคร์ค่ะ

ผลวัดผิว

ถือว่าค่อนข้างพอใจนะคะกับผลที่ได้

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Novexpert ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

Facebook: Novexpert Thailand (https://www.facebook.com/NovexpertThailand/)

line@ : @novexpertthailand

Instagram: novexpertofficialthailand

 

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Novexpert การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มวิตามินซีสด ที่มีความ DIY ให้เราได้เทผสมเอง Perfect C serum ของแบรนด์ Januar

สวัสดีค่ะ สงครามแห่งวิตามินซีในบ้านมียอนยังไม่จบนะคะ คราวนี้เรามีโฉมหน้าผู้เข้าแข่งขันคนใหม่ เป็นเซรั่มวิตามินซีสด เอ๊ะ สดแบบไหน แบบไหนคือสด ต้องมาลองดูกันค่ะ

ที่ขึ้นชื่อว่าวิตามินซีสด เพราะว่าเราจะได้ผสมวิตามินซีลงในเบสเซรั่มแบบสดๆด้วยมือเราเองค่ะ เรียกได้ว่า มีความ DIY นิดหน่อย พอกรุบกริบ

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีชื่อว่า Perfect C serum ของแบรนด์ Januar ค่ะ ซึ่งมีส่วนผสมของวิตามินซีในรูปแบบ L-ascorbic acid แบบดั้งเดิมอยู่ที่ 15% หลังผสมค่ะ

นางจะมาในกล่องกระดาษแบบนี้นะคะ

jan 3

เมื่อเราแกะออกมาเราจะเจอขวดอยู่ 2 ใบ ใบแรกเป็นขวดทรงป้อมๆคล้ายระฆังคว่ำสีชา ภายในบรรจุเอาเบสเซรั่มเอาไว้ อีกใบจะเป็นขวดแก้วสีชา ที่มีฝาใสๆอยู่ค่ะ ใบนี้จะมีผงวิตามินซีอยู่ ซึ่งทางแบรนด์ Claim ว่า ใช้ผงขนาดเล็กละเอียด Ultrafine powder มีขนาดเล็กกว่า 45 ไมครอน เพื่อให้ผสมได้ง่าย และคงประสิทธิภาพของวิตามินซีให้คงอยู่ก่อนการผสมค่ะ

jan 4

วิธีผสมก็ง่ายแสนง่าย แค่เทเซรั่มเบส ลงในขวดที่มีผงวิตามินซีอยู่ ปิดฝาและเขย่า จากนั้นนำไปใส่ในตู้เย็นไว้ 1 ชั่วโมง เพื่อให้ส่วนผสมเซ็ทตัวค่ะ

This slideshow requires JavaScript.

ตัวเซรั่มหลังผสมมาในเบสแบบใส เหลวนิดหน่อย ไม่มีน้ำหอม เราเลยจะได้กลิ่นบางๆของวัตถุดิบอยู่ค่ะ

jan 9

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่ายนะคะ ซึมไวแห้งไวไม่เหนอะหนะ

jan 10

เวลาใช้ก็วอร์มซักหน่อยแล้วค่อยละเลงบนหน้าค่ะ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 3 – 4 ซึ่งเป็นค่า pH ที่ทำให้วิตามินซีอยู่ในรูปแบบไม่แตกตัว ช่วยเสริมความคงตัว และเสริมการดูดซึมค่ะ

jan 8

ถ้ายังไม่ได้ผสมตัวผลิตภัณฑ์จะมีอายุ 2 ปี และถ้าผสมแล้วก็ควรเก็บไว้ในตู้เย็นเพื่อยืดอายุค่ะ ผสมแล้วจะอยู่ได้นานประมาณ 3 เดือนในตู้เย็น

 

ในด้านของส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สผส jan

จากส่วนผสมวันนี้ แม้จะมีสารไม่เยอะ แต่มี่ทำมาหลายสีเชียว เอ๊ะมันคืออะไรยังไงนะ

เริ่มกันที่พระเอกของเรา แน่นอนว่าต้องหนีไม่พ้นวิตามินซีค่ะ

  • สีฟ้า: วิตามินซี ใช้ในรูปแบบของ L-ascorbic acid ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ เป็นรูปแบบที่มีรายงานการวิจัยรองรับอยู่ค่อนข้างมากค่ะ ตัววิตามินซีมีประโยชน์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในการชะลอวัย มีส่วนในการช่วยยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสี จึงมีประโยชน์เป็น Whitening และเป็นส่วนประกอบของกระบวนการสังเคราะห์คอลลาเจน จึงอาจจะมีประโยชน์ในเรื่องการลดริ้วรอย รูปแบบดั้งเดิมนี้มีความเป็นกรดสูง มีความคงตัวต่ำ สลายตัวง่าย และดูดซึมเข้าผิวหนังได้ไม่มาก จึงต้องอาศัยสารเพิ่มการดูดซึมและการปรับค่า pH ของตำรับ ซึ่งในที่นี้ มี Ethoxydiglycol เป็นตัวเสริมการดูดซึม หรือ percutaneous absorption enhancer นั่นเอง และมีการปรับ pH ให้อยู่ในช่วง 3 – 4 ซึ่งทำให้วิตามินซีอยู่ในรูปแบบไม่แตกตัว จึงเสริมการดูดซึมเข้าผิวได้
  • สีน้ำเงิน: Tocopherol และ Ferulic acid
    • Ferulic acid ตัวนางเองเป็นสารพฤกษเคมีบริสุทธิ์ที่พบในพืชหลายชนิด มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการลดการอักเสบและช่วยปกป้องผิวจากรังสี UVB (Food Chem Toxicol. 2015;82:72-8.)
    • Tocopherol คือวิตามินอี เป็น antioxidant ช่วยต้านอนุมูลอิสระ

 

ความพีคอยู่ที่ มีรายงานการศึกษาวิจัยอยู่หลายฉบับที่กล่าวว่าการใช้ Ferulic acid และวิตามินอี ในตำรับวิตามินซี จะช่วยเพิ่มความคงตัวให้แก่วิตามินซี และเสริมประสิทธิภาพกันและกันในการเป็น antioxidant ได้ดี

นอกจากนี้การแยกวิตามินซีเก็บในขวดในรูปแบบผง ซึ่งเป็นของแข็ง จะช่วยเสริมความคงตัวของวิตามินซี ไม่ให้สลายตัวไปได้ไวเหมือนในเบสน้ำทั่วไปก่อนถึงมือเรานั่นเอง

 

  • สีเขียว เป็นสารบำรุงที่เสริมเข้ามา ได้แก่ Panthenol หรือโปรวิตามินบี 5 มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น และลดการอักเสบและระคายเคือง ร่วมกับ Sodium hyaluronate ที่ช่วยเสริมความชุ่มชื้นเช่นกัน

 

ตัวเบส มาในเบสแบบน้ำ ที่เสริมสารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่าง Glycerin, Propylene glycol และ Butylene glycol

 

อีกจุดที่น่าสนใจคือไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวค่ะ

 

วันนี้ส่วนผสมไม่เยอะ มี่เลยขอแบ่งคะแนนเป็น 2 หมวดนะคะ คือ ส่วนผสม กับ การใช้งาน

  1. ส่วนผสม เป็นเซรั่มวิตามินซีที่มีความน่าสนใจ คือ แยกเก็บวิตามินซีไว้ในรูปแบบผง เพื่อยืดความคงตัวของวิตามินซี เสริมมาด้วย Vitamin E และ Ferulic acid ซึ่งเป็นสูตรผสม หรือ Combination ที่มี paper รองรับว่าสามารถเสริมความคงตัวของกันและกันได้เป็นอย่างดี และเสริมด้วย Panthenol ซึ่งช่วยลดการอักเสบระคายเคืองจากการทาวิตซีซึ่งเป็นกรดอ่อน และไฮยา ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ถือว่าทำมาได้ดี ตัวเบสก็มีสารช่วยดูดน้ำให้ผิวเพิ่มความชุ่มชื้นอยู่ และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไป 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบคอนเซปท์การแยกผสม เพราะดูมีความ DIY ให้เราได้มีส่วนร่วมในการเตรียม เนื้อสัมผัสทำมาได้ดี ไม่แห้งมากจนเกินไป และไม่เหนียวเหนอะหนะจนเกินไป แต่ตัวเซรั่มจะออกเหลวไปนิดนึง เวลาใช้อาจจะไม่ค่อยสะดวก และส่วนตัวมี่ผิวแห้งอาจจะต้องหามอยส์เจอไรเซอร์อื่นๆมาเสริมอีกชั้นหนึ่ง ให้ไป 4 ฟลาสก์

 

คะแนน jan

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Januar ด้วยนะคะที่ส่งสินค้าน่ารักๆคอนเซปท์เก๋ๆ มาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Line: @Januar (มี @ ด้านหน้าด้วยนะคะ)

Facebook: JanuarBeauty

Tel: 095-960-4240

 

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Januar การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม] ศึกแห่งวิตามินซีของบ้านมียอนยังไม่จบ กับน้องใหม่เวชสำอางซีรั่มวิตามินซีเข้มข้น 15% จากแบรนด์ Mederi cosmeceuticals มาในเบส water free อันเลอค่าน่าชื่นชม

สวัสดีค่ะ

เรียกได้ว่าสงครามแห่งวิตามินซีของบ้านมียอนยังไม่จบนะคะ เมื่อมียอนมีวิตซีตัวใหม่ จากแบรนด์ Mederi cosmeceuticals เข้ามาเป็นสมาชิกในบ้าน

ซีรั่มตัวนี้เห็นว่าพัฒนามาโดยนักวิทยาศาสตร์ที่จบสาขาเภสัชเคมีมาโดยตรงค่ะ

มีชื่อเต็มๆว่า Mederi Powerful-strength booster & repair serum

เป็นซีรั่มที่ผสมวิตามินซีเข้มข้น 15% ผ่านการทดสอบความปลอดภัยโดยแพทย์ผิวหนัง (Dermatologically tested) ด้วยค่ะ

หน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

 

mederi.JPG

นางจะมาในกล่องกระดาษสีขาว ดูคลาสสิค มาในสไตล์ minimal ดีค่ะ

ด้านในเป็นขวดปั๊มแบบ air-less

med 2

เนื้อซีรั่มเป็นของเหลวใส ไม่มีกลิ่น เพราะทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอมค่ะ

med 3

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย สัมผัสบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ แต่อาจจะซึมช้าไปหน่อยต้องทิ้งไว้ซักแป๊บนึง หรือเอามาผสมครีมอื่นๆแล้วลง จะได้ Feeling ที่ดีขึ้นค่ะ

med 4

ตัวนี้จะเอามาใช้เดี่ยวๆเลย หลังเช็ดโทนเนอร์ หรือ จะเอามาผสมกับครีมที่ใช้ประจำก่อนลงหน้าทีเดียวเลยก็ได้ค่ะ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 4 ซึ่งเป็นกรดหน่อยๆ จะทำให้วิตามินซีรูปแบบ ascorbic acid บางส่วนในตำรับอยู่ในรูปแบบที่ไม่แตกตัว เพื่อเสริมการดูดซึมและเสริมความคงตัวได้ในระดับหนึ่ง

ตรงนี้ทางแบรนด์ Claim ว่ามีค่า pH ที่ 3.5 นะคะ เพื่อให้วิตามินซีอยู่ในรูปแบบไม่แตกตัว ซึ่งทางแบรนด์วัดด้วยเครื่องวัด pH ของมี่วัดด้วยกระดาษ ค่าก็จะไม่ได้แม่นยำมากนักค่ะ

med 5

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สผส mederi

จากส่วนผสมจะเห็นว่าเป็นการใช้วิตามินซีในฟอร์ม L-ascorbic acid ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมที่ลงผิวได้แล้วออกฤทธิ์ได้เลยไม่ต้องผ่านการแปรสภาพกลับมาก่อน แต่ปัญหาของเขาคือด้านการดูดซึม ซึ่งทางแบรนด์ได้เสริมตรงนี้โดยการทำให้ตำรับอยู่ในช่วง pH ที่เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อให้วิตซีอยู่ในรูปแบบไม่แตกตัว จึงดูดซึมเข้าสู่ผิวได้

และมีการใช้ Etoxydiglycol ซึ่งจัดเป็นสารที่เรียกว่า Penetration enhancer ช่วยเสริมการดูดซึมของสารอื่นเข้าสู่ผิว

ปัญหาอีกด้านคือ ความคงตัว ซึ่งในระบบก็เป็นระบบแบบ Water free คือ ไม่มีน้ำเลย เป็นวิตซีที่ละลายมาในเบสของ Ethoxydiglycol และ Butylene glycol ซึ่งการเบลนด์กันของตัวทำละลายทั้งสองนี้ช่วยปรับ Feeling ให้ดีขึ้นเยอะเลยหละ

วิตามินซี มีประโยชน์มากมายกับผิวนะคะ ไม่ว่าจะเป็น

  • Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่จะทำให้เกิดความเสื่อมต่างๆของผิว มีประโยชน์ในการชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย
  • Whitening โดยไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการสร้างเม็ดสีผิวเมลานิน
  • ลดการอักเสบ โดยไปมีผลรบกวนการทำงานของ NF-KB ซึ่งเมื่อถูกกระตุ้นจะทำให้ผิวมีการสร้างอนุมูลอิสระ และสารกลุ่ม Cytokine ที่ไปเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบต่างๆต่อไป
  • เป็นองค์ประกอบหนึ่งในขั้นตอนการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว โดยเป็น Cofactor ของเอนไซม์ Prolyl hydroxylase และ Lysyl hydroxylase ซึ่งเปลี่ยนกรดอะมิโน Proline และ Lysine ให้กลายเป็น Hydroxyproline และ Hydroxylysine ที่เป็นกรดอะมิโนเอกลักษณ์ที่พบในคอลลาเจน

วิตซีนี่ถือเป็นอาวุธสำคัญในการป้องกันและต่อต้านปัญหาผิวเลยหละ

ทางแบรนด์มีผลการวิเคราะห์ความเข้มข้นของวิตามินซีในตำรับด้วยเครื่องมือวิเคราะห์ที่มีชื่อว่า HPLC ค่ะ ว่าใส่มาอัดแน่นที่ 15% จริงจัง

วันนี้ส่วนผสมมีไม่ค่อยเยอะ มี่เลยขอให้คะแนนใน 2 ด้านนะคะ

  1. ส่วนผสม มีความเรียบง่าย ทางแบรนด์ใช้วิตามินซี ในรูปแบบ L-ascorbic acid ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ ในความเข้มข้น 15% มาในเบสแบบไม่มีน้ำ เสริมมาด้วย Ethoxydiglycol ที่เสริมด้านการดูดซึมเข้าสู่ผิว มีส่วนผสมอยู่เท่าที่จำเป็นจริงๆค่ะ ด้วย factor ด้านความเรียบง่าย การใช้เบสที่ไม่มีน้ำ ค่า pH และการเลือกใช้ Penetration enhancer ในจุดนี้ถือว่าทำมาได้ดีไม่แพ้แบรนด์เคาน์เตอร์เลยทีเดียว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ตัวซีรั่มเนื้อไม่หนักมาก ไม่มีน้ำหอม เลยมีกลิ่นจางๆของวัตถุดิบอยู่ ด้านของ Feeling และ Texture ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ค่อนข้างบางเบา แต่ในแง่ของการซึมและการแห้ง อาจจะดูช้าไปหน่อย ต้องเว้นช่วงไปแป๊บนึง ส่วนความรู้สึกแสบร้อน หรือระคายเคือง ส่วนตัวมี่ใช้มาประมาณ 1 อาทิตย์ ก็ไม่ได้รู้สึกว่าร้อน หรือระคายเคือง ไม่สบายผิวอะไรค่ะ แรกๆก็ลงสด แต่หลังๆเริ่มเอามาผสมกับตัว Goat milk toner วอร์มๆบนมือก่อนละเลงบนหน้า ก็จะรู้สึกแฮปปี้ดี เรื่องประสิทธิภาพ ระยะเวลา 1 อาทิตย์ อาจจะยังตอบด้านไวท์เทนนิ่งหรือริ้วรอยไม่ค่อยชัด แต่ด้านของพวกรอยแดง หรือ ผื่นคัน พวกนี้จะเกิดน้อยลงนะคะ ซึ่งส่วนตัวมี่รู้สึกเช่นนี้กับวิตซีทุกตัวที่เคยใช้ ว่าให้ประโยชน์ด้านการป้องกันการแพ้ และการเกิดผื่นของผิวเราได้ดีค่ะ จึงถือว่า วิตซีของ Mederi ทำมาได้ดีไม่แพ้วิตซีอื่นๆที่เคยได้ลองใช้มาเลยหละ แต่ส่วนตัวขอติเรื่องสัมผัสกับ Feeling นิดนึง จุดนี้ขอให้ไป 4 ฟลาสก์

 

คะแนน mederi

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Mederi ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://facebook.com/mederi.cosmeceuticals/

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Mederi cosmeceuticals การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ