Review: Rezme’ White & Firm Serum cream

Review: Rezme’ White & Firm Serum cream

วันนี้มี่แวะเอารีวิว Serum cream จากแบรนด์ Rezme’ มาฝากกันค่ะ

Concept ของ Serum cream ก็เป็นแบบ 2 in 1 ที่แบบว่าทาทีเดียวได้ทั้งซีรัมได้ทั้งครีมเลยค่ะ

ชื่อเต็มๆของผลิตภัณฑ์คือ Rezme’ White & Firm serum cream ค่ะ

rezme

ข้างในเป็นกระปุกแก้วสีขาวเหลือบมุก ฝาสีเงินค่ะ

IMG_0012-re

ตัวครีมเป็นสีขาว เนื้อนุ่ม หอมหวานคล้ายๆดอกไม้ผสมขนมหวานค่ะ

IMG_0013-re

เกลี่ยง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น เย็น ซึมค่อนข้างไว แห้งไว และไม่หนักผิวค่ะ

IMG_0015-re

วัดค่า pH กันซักหน่อย

IMG_0016-re

pH อยู่ที่ประมาณ 4-5 นะคะ ก็ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

มาดูส่วนผสมกันบ้างดีกว่าค่ะ

สผส

ส่วนผสมเรียกได้ว่าค่อนข้างมาเต็มเหมือนกันค่ะ ในส่วนของสารออกฤทธิ์มี่ทำสีเขียวไว้ให้ และในส่วนของสีฟ้า Ethoxydiglycol นี่เป็นตัวทำละลายพิเศษ มีคุณสมบัติเพิ่มการดูดซึมสารอื่นๆเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้ได้ผลที่ดีขึ้นค่ะ (ทางวิทย์ฯเรียกว่า Penetration enhancer ค่ะ)

ในส่วนของสารออกฤทธิ์เรียกได้ว่าใส่มาค่อนข้างเยอะเลยหละ เพราะดูสารสกัดนี่มาหลังน้ำเลยทีเดียว

สารออกฤทธิ์เราแบ่งได้เป็น กลุ่ม ดังนี้นะคะ

  1. กลุ่มผิวขาว ได้แก่

–         Lepidum sativum extract ตัวนี้เป็นสารสกัดจาก Garden cress ไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบบอกว่า มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดเลือนริ้วรอยได้ สามารถยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน Melanocyte stimulating hormone (MSH) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ที่มีหน้าที่สร้างเมลานินทำงานได้ดีขึ้น เมื่อไปยับยั้ง MSH ก็จะทำให้เซลล์เมลาโนไซต์ทำงานได้ลดลง ผิวจึงขาวขึ้น

–         Arbutin ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว

–         Ascorbyl palmitate อนุพันธ์ของวิตามินซี นอกจากเรื่องการลดการสร้างเม็ดสีผิว แล้วยังช่วยเรื่องริ้วรอยโดยเป็นส่วนประกอบในการสร้างคอลลาเจน และเป็น Antioxidant

–         Glutathione ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว และเป็น Antioxidant

–         Evodia rutaecarpa extract สารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งในตำรับยาจีน มีคุณสมบัติร้อน มีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากกระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นจากรังสี UV (J Dermatol Sci. 2006;42(1):13-21.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารสกัดนี้ให้ผลกระตุ้นการไหลเวียนเลือดช่วยให้ผิวดูมีเลือดฝาดและมีสุขภาพดี ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น (Gatulene Radiance, Gattefossé)

สรุปด้านผิวขาว สารออกฤทธิ์ที่ 2 Step คือ ขั้นตอนการสร้างเม็ดสีผิว และขั้นตอนก่อนสร้างเม็ดสีผิว โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี

  1. กลุ่มริ้วรอย ได้แก่

–         Acmella olearaceae สารสกัดจากผักบุ้งให้ผลเป็น Antioxidant และช่วยคุมมันได้

–         สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของพืช อย่าง Argan กับ Apple อันนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบเรียกกันไปเองว่า Stem cell จริงๆแล้วคือเป็นการสกัดเนื้อเยื่อเพาะเลี้ยงจากพืช ที่เรียกกันว่า Callus พวกนี้จะให้สารอาหารให้แก่ผิว ทำให้ผิวทำงานได้ดีขึ้น ริ้วรอยจะดูลดลง

–         Crocus chrysantus extract สารสกัดจากพืชตระกูลเดียวกับหญ้าฝรั่น (saffron) ในส่วนของฐานข้อมูลงานวิจัยมีกล่าวถึงแต่หญ้าฝรั่น สารสกัดจากเหง้าของพืชนี้มีชื่อทางการค้าว่า DermCom ของบริษัท Mibelle มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการสื่อสารระหว่างเซลล์ สร้างสารเคมี สร้างเซลล์ผิว และสร้าง Growth factor ออกมาให้ผิวแข็งแรง ริ้วรอยลดลง ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

  1. กลุ่มลดการอักเสบและปกป้องผิว

–         Hordeum vulagare สารสกัดจากข้าวบาร์เลย์ ช่วยเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้น และลดการระคายเคือง

–         Ectoin ช่วยปกป้องผิวจาก UV และช่วยลดการอักเสบในผิว

สำหรับส่วนประกอบอื่นๆก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว

ถึงเวลาให้คะแนน

  1. สารออกฤทธิ์ จากที่บรรยายไว้ด้านบนคือให้สมบัติด้านผิวขาว ริ้วรอย และลดการอักเสบกับปกป้องผิว โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี นี่ถ้ามีแต่ผิวขาวคงจะโดนหักคะแนน แต่เพราะมีอย่างอื่นมาเสริมด้วยก็เลยทำให้ดูดีขึ้นมาก ให้ผลได้ค่อนข้างครอบคลุมทั้ง ขาว ริ้วรอย ชะลอวัน ชุ่มชื้น และลดอักเสบ โดยรวมจึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. Base ส่วนของเนื้อหลักเป็นชนิดครีม เกิดจากน้ำมันกับน้ำ และซิลิโคน ส่วนของน้ำมันมีทั้งน้ำมันที่ดูดซึมเข้าไปบำรุงผิวได้ และไขมัน/ซิลิโคนที่เคลือบปกป้องผิว ส่วนของน้ำใช้ Propylene glycol เป็นตัวดึงน้ำ ไม่มีส่วนผสมของ Alcohol โดยรวมถือว่าทำมาได้ครบสำหรับการเป็น Moisturizer ดีๆซักชิ้น จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. Additives ไม่ใช้พาราเบน ในส่วนผสมไม่มี Fragrance แต่มี่ว่ามันก็หอมอยู่นะ หรือจะหอมสารสกัด? สาร Emulsifier ที่ใช้ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร จุดนี้ก็เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร เลยเป็น 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ได้ลองใช้มา 2 อาทิตย์ กว่าๆ ก็ถือว่าผิวนุ่มชุ่มชื้น และเรียบเนียน แต่งหน้าติดง่ายดีค่ะ โดยรวมก็ถือว่าประทับใจ โดยเฉพาะความหอม มันเป็นสไตล์ที่มี่ชอบพอดี จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Rezme’ ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์

https://www.facebook.com/RezmeOfficial

ได้เลยค่ะ

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Rezme’

[Review] Herbacist by Pharmacist Pomegranate Day & Night Treatment Cream

[Review] Herbacist by Pharmacist Pomegranate Day & Night Treatment Cream

วันนี้มี่แวะเอาครีมทับทิมกุหลาบพันปี จากแบรนด์ Herbacist by pharmacist มารีวิวให้ชมกันค่ะ ครีมตัวนี้เป็นแบรนด์ของไทย เห็นว่าพัฒนาและวิจัยมาโดยทีมงานเภสัชกรค่ะ

โฉมหน้าผลิตภัณฑ์เป็นกระปุกพลาสติกหนาสีขาวคาดเงิน มีฉลากสีชมพูรูปทับทิมค่ะ

IMG_3638-re

ตัวเนื้อครีมมีสีชมพู กลิ่นหอมอ่อนๆค่ะ

(จริงๆสีชมพูนะคะ แต่ถ่ายออกมาดันขาวซะงั้น)

IMG_3643-re

เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ให้ความรู้สึกเย็นและสบายผิวดีค่ะ

IMG_3644-re

ก่อนไปดูส่วนผสมมาวัด pH กันหน่อยนะคะ

IMG_3645-re

ค่า pH อยู่ที่ประมาณ 6-7 ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดีค่ะ pH เป็นกลาง

มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

สผส

มารู้จักสารบางตัวที่เด่นๆกันดีกว่านะคะ

Punica granatum extract คือ สารสกัดจากทับทิม แต่ละชิ้นส่วนของทับทิมก็จะมีประโยชน์แตกต่างกันไป ถ้าเป็นใบก็จะมีพวก Tannin ที่ให้ผลกระชับรูขุมขน และเป็น Antioxidant ได้ดี ส่วนเปลือกผลก็มีพวก Tannin และ Polyphenol ที่เป็น Antioxidant ที่ดี ส่วนของผลก็จะมีน้ำตาลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว มีวิตามินช่วยบำรุงผิว และก็มีพวก Polyphenol ที่ช่วยเป็น Antioxidant ที่ดีเช่นกัน จุดนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าได้มาจากส่วนไหนแต่ทุกๆส่วนก็มีประโยชน์เหมือนกันหมด

Rhododendron ferrugineum leaf cell culture extract สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของกุหลาบ ข้อมูลจากผู้ผลิต Claim ว่าสารสกัดจากเซลล์นี้มีฤทธิ์ปกป้องสเตมเซลล์ในผิว ช่วยเพิ่ม Barrier function ของผิว ช่วยเพิ่มความคงทนของผิวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ และสภาพแวดล้อมต่างๆ (ข้อมูลจาก TDS ของPhytoCellTecTM Alp Rose จากบริษัท Mibelle)

Saccharide isomerate เป็นสารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่มีกลไกการออกฤทธิ์แบบพิเศษ คือไปจับกับโปรตีนบนผิว ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน

Panthenol เป็นโปรวิตามินบี 5 เมื่อเข้าผิวแล้วจะถูกผิวเปลี่ยนเป็นวิตามินบี 5 มีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยตัวมันเองสามารถซึมเข้าสู่ผิวและดูดน้ำเข้ามาเก็บไว้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ลดการอักเสบ เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ผิว ช่วยเรื่องการสมานแผล และลดริ้วรอย ซึ่งคุณสมบัติในการเป็น Moisturizer ของ Panthenol มีรายงานตีพิมพ์รองรับ คือ สามารถช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของผิวหนัง ช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากผิว รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้ (J Cosmet Sci. 2011; 62(4):361-70.)

สารสกัดจาก Chamomile กับ Allantoin ช่วยลดการอักเสบในผิว ให้ความรู้สึกสบายผิว และป้องกันการแพ้

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

ปกติ เราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ
1. Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
2. Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้
3. Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

ก็จะให้คะแนนกันตามนี้เลยนะคะ

1.Actives มีส่วนผสมของสารสกัดจากเปลือกทับทิมที่ให้ผลเป็น Antioxidant เสริมกับสารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของกุหลาบ Alps ที่ช่วยให้ผิวแข็งแรง ที่เหลือก็จะเป็นตัว Moisturizer กับตัวลดอักเสบในผิว โดยรวมจึงให้ผลไปในเชิง Prevention เพื่อชะลอความแก่ที่อาจจะเกิดขึ้นเพราะความเครียด หรือมลภาวะต่างๆ ถ้ามีพวกวิตามินซี อี หรือพวก Antioxidant อื่นๆเสริมมาอีกหน่อยน่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์

2.Base มาในรูปแบบครีม ประกอบด้วยส่วนของน้ำกับน้ำมัน ในส่วนของน้ำมี Glycerin เป็นสารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ส่วนของน้ำมันมี Hydrogenated polydecene ที่เป็นน้ำมันสังเคราะห์ ทำหน้าที่เคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้นภายใน สารนี้ไม่ดูดซึมจึงมีความเสี่ยงอุดตันน้อยมาก ส่วนผสมชุดนี้ขาดน้ำมันจากพืชที่ดูดซึมเข้าไปทดแทนไขมันในผิวอยู่ แต่น้ำมันจากพืชพวกนี้มันอาจจะอุดตันได้ในบางคน การที่ไม่มีน้ำมันก็คือจะอุดตันน้อยลง และเหมาะกับทุกสภาพผิว จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์

3.Additives สารประกอบอื่นๆที่ใส่เข้ามามีอยู่ไม่กี่ชนิด แต่ละชนิดที่ใส่มาก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไร แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเสริมให้ผิวเหมือนกัน ส่วนผสมชุดนี้ไม่มีซิลิโคน ไม่มีพาราเบน แต่มีน้ำหอม ปกติก็ไม่เคยหักคะแนนน้ำหอมในสกินแคร์ทั่วไปที่ไม่ใช่รอบดวงตามาก่อน จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

4.การใช้งาน ครีมมีน้ำหนักเบา ซึมไว ไม่เหนอะหนะ สามารถใช้ได้ทั้งกลางวันกลางคืน ส่วนตัวใช้มาเกือบ 2 อาทิตย์ พอทาตอนกลางวันแล้วรู้สึกว่าหน้ามันขึ้นเล็กน้อย ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอากาศร้อนขึ้นมาพอดี หรือว่าเพราะครีม แต่โดยรวมถือว่าพึงพอใจอยู่ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทาง

Fanpage facebook: https://www.facebook.com/herbacist

Website: http://herbacist-shop.com/index.html

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Herbacist by Pharmacist ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ทดลองใช้

สำหรับวันนี้มีแค่นี้ ขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

[Mini-Review] Holika Holika Good cera

[Mini-Review] Holika Holika Good cera

เมื่อตอนปลายๆเดือน มิ.ย. ที่ผ่านมา มี่ไปเที่ยวเกาหลี แวะซื้อของที่ร้าน Holika Holika เลยได้รับ Sample ของกลุ่ม Good cera แถมมาค่ะ

ย่าน Myeong-dong เหมือนสรวงสวรรค์แห่งนักชอปเชียวค่ะ ประมาณว่าเอาชั้นไปทิ้งไว้ตรงนี้ทั้งอาทิตย์ชั้นก็ไม่เบื่อ

เมียงดง

Line นี้เห็นว่าเน้นไปที่ ceramide ค่ะ

Ceramide จริงๆแล้วเป็นไขมันที่สำคัญชนิดหนึ่งในผิว มีบทบาทเกี่ยวกับการสร้างโครงสร้างชั้นไขมันที่เรียกว่า Lipid Lamellar structure ที่สำคัญในการป้องกันน้ำระเหยจากผิว (Skin barrier function)

ทำให้เครื่องสำอาง/เวชสำอาง หลายๆแบรนด์ใช้ Ceramide แล้วก็ Claim เรื่อง Barrier function ค่ะ

ตัวอย่างที่ได้รับมาก็คือ

good cera-edit

Good cera ultra toner
Good cera ultra emulsion
Good cera All in one Master
Good cera super cream

พยายามลองค้นส่วนผสมแล้ว ได้มาแค่ตัว Ultra toner ค่ะ

Full ingredients list:
(จาก holikaholika.ca)
water, butylene, glycol, betaine, glycerin, glyceryl acrylate/acrylic acid copolymer, propylene glycol, dimethicone, dimethicone/vinyl dimethicone crosspolymer, peg-20 sorbitan cocoate, gylcosyl trehalose, hydrogenated starch hydroylsate, diphenylsiloxy phenyltrimethicone, triethylhexanoin, polyglyceryl-10 myristate, polyquaternium-51, glyceryl polymethacrylate, aleuritic acid, yeast extract, glycoproteins, dipotassium glycyrrhizinate, panthenol, cetearyl alcohol, gylceryl stearate, stearic acid, ethylhexyl isononanoate, phytosteryl/isostearyl/cetyl/stearyl/behenyl dimer dilinoleate, cetearyl glucoside, hydroxypropyl bispalmitamide mea, glycine soja (soybean) sterols, meadowfoam estolide, ceramide 3, hydrogenated polydecene, butyrospermum parkii (shea) butter, ceteareth-20, glyceryl citrate/lactate/linoleate/oleate, glycosphingolipids, ceramide 6 ii, eruca sativa leaf extract, sodium hyaluronate, xanthan gum, acrylates/c10-30 alkyl acrylate crosspolymer, peg-60 hydrogenated castor oil, caramel, disodium edta, tromethamine, citrus aurantium, bergamia (bergamot) fruit oil, fragrance, phenoxyethanol, caprylhydroxamic acid, caprylyl glycol

จากส่วนผสมเห็นว่ามีสารหลายๆตัวที่มีประโยชน์ต่อผิว เช่น

Glycoproteins
hydroxypropyl bispalmitamide mea เป็น Ceramide สังเคราะห์ค่ะ
meadowfoam estolide
ceramide 3
glycosphingolipids
ceramide 6 ii

เป็น Ingredients ที่ค่อนข้างเลอค่า จำหน่ายในราคาแค่ 14900 วอน/200 ml (500 บาท/200มล หรือ 2.5บาท/1มล.) ถือว่าถูกมากกกกกกกกกกกกกกก แต่เนื่องจากส่วนผสมมีน้ำหอม ทำให้คนที่เป็น Atopic dermatitis หรือผิวแพ้ง่ายบางชนิด อาจจะใช้ไม่ได้ ผิดกับเวชสำอางในร้านยา/รพ.

วันนี้เป็น Mini-review เลยไม่เจาะลึกนะคะ

ภาชนะบรรจุขนาดปกติมาในรูปแบบขวดปั๊ม น่าจะใช้สะดวกค่ะ

20010221

สำหรับคะแนน
ส่วนผสม 5/5
ภาชนะบรรจุ 5/5
ความนุ่มผิว 5/5
ความชุ่มชื้น 5/5
กลิ่น 5/5 (กลินแนว Herb-Citrus เป็นความชอบส่วนบุคคลค่ะ)

โอกาสหน้าจะมาเจาะลึกรายละเอียดของผลิตภัณฑ์นี้นะคะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านค่ะ

[Beauty Talks] My Special skincare

[Beauty Talks] My Special skincare

ปกติเราน่าจะแบ่งการดูแลผิวออกเป็น 2 แบบ (มั้งคะ ตามคหสต.)

คือ 1. Routine care คือ การดูแลทุกๆวัน เช้า-เย็น กับ 2. Special care คือ การดูแลพิเศษ นานๆที แบบเข้มข้น (ว่างั้น)

วันนี้เอา Special care ของมี่มาแชร์ให้ชมกันค่ะ

10592817_10202726347900009_5645098694820530694_n

เรียกจากซ้ายไปขวาเลยนะคะ

1. Hair Removal Cream จาก Miniso

เป็นครีมสำหรับกำจัดขน (ตัวต้นแบบในบ้านเราน่าจะ Opilca ค่ะ) ซื้อมาใช้แทนของบูทส์ ที่ขาดตลาดไปนานมาก จริงๆติดของบูทส์มากกว่าค่ะ

ช่วงแรกๆเราใช้ ขนก็จะขึ้นถี่เหมือนเราโกนค่ะ แต่พอใช้ไปๆ ขนก็จะนุ่มขึ้น และขึ้นช้าลงค่ะ ตอนนี้ใช้เดือนละครั้ง เผลอๆก็ 6 อาทิตย์ครั้งค่ะ

แต่เนื่องจากส่วนผสมเป็นด่างกับ Thioglycolate จึงควรทดสอบการแพ้และการระคายเคืองก่อนใช้นะคะ

2. Play therapy soft clay pack จาก Etude

เป็นมาสค์โคลน ที่เหมาะกับคนผิวมันค่ะ จริงๆมี่ผิวแห้ง แต่เอามาใช้นานๆที เดือนละครั้งถึงสองครั้ง โดยมีความเชื่อว่า Clay จะช่วยดูดซับสารพิษที่ตกค้างในผิวได้

ตัวนี้จะเย็นๆ หอมมินท์ ให้ความรู้สึกสดชื่นดีค่ะ

แต่คนผิวแห้ง ใช้แล้วยิ่งแห้งขึ้นไปอีก แต่รู้สึกว่าสะอาดผิวดี

3. Black head clear oil gel จาก It’s Skin

เป็น Lipogel (ตามคหสต.) ที่มาพร้อมกับหัวแปรงเป็นขนๆเล็กๆ เป็นยางนุ่มๆ เอามาถูวนๆตรงจมูกและคางเพื่อกำจัดสิวเสี้ยน ส่วนตัวมี่ใช้อาทิตย์ละ 1-2 ครั้งค่ะ

เข้าใจว่าผลิตภัณฑ์ลักษณะนี้แบรนด์ที่ทำมาแบรนด์แรกคือของ Laneige นะคะ แต่ยังไม่เคยใช้ของ Laneige มาใช้ของอันนี้ก่อน ไปเกาหลีเจอโปรขายคู่ PO effector ราคาพิเศษพอดีค่ะ

4. Soothing & Moisture Aloe vera 92% จาก Nature republic

ตัวนี้พึ่งเขียนรีวิวแบบละเอียดใน Cosme-Diagnosis ค่ะ

เป็นเจลใสๆ กลิ่นหอมๆคล้ายแตงกวา เอาสำลีมาจุ่ม ละเอามาแปะบนหน้าแทนมาสค์ เย็นชุ่มฉ่ำ ฟินเว่อร์ค่ะ

ติดตามได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ

[Cosme-Diagnosis] Aloe 92% Soothing gel จาก Nature republic

[Cosme-Diagnosis] Aloe 92% Soothing gel จาก Nature republic

Cosme-Diagnosis เป็นบทวิเคราะห์เครื่องสำอางแบบละเอียดโดยดูจากส่วนผสม อิงตามฐานข้อมูลทางวิทยาศาสตร์

ตัวนี้เป็นลูกรักอีกตัวนึงของมี่เลยค่ะ

aloe +cotton

ที่เอาสำลีมาวางๆข้างๆก็เพราะว่า ชอบที่จะเอาสำลีมาจุ่มเจล ละมาแปะบนหน้า แทนมาสค์ ชุ่มชื่น สดชื่นคลายเหนื่อย และทำให้หิว (เพราะกลิ่นนางเหมือนแตงกวา กับผักๆซักอย่าง)

เนื้อเจลจะเป็นเจลใสๆ หนืดๆ เหนียวๆ แต่เกลี่ยง่าย

aloe texture

 

aloe hand

รูปให้เห็นส่วนผสมค่ะ

ingredients

ปกติเครื่องสำอางจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ
1. Active (สารสำคัญ) เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติ/ฤทธิ์ทางชีวภาพ
2. Base คือ เนื้อของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
3. Additive คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้

มี่จะขอวิเคราะห์แยกให้คะแนนตามส่วนนะคะ

คุณสมบัติของสารแยกตามหน้าที่

  1. Actives ได้แก่
    • Aloe barbadensis leaf extract คือ สารสกัดจากว่านหางจรเข้ จากรายงานการวิจัยสารสกัดจากว่านหางจรเข้ มีรายงานการวิจัยกล่าวว่าสามารถออกฤทธิ์เป็นสารช่วยให้ผิวขาวได้โดยไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการ Melanin aggregation ทำให้สีผิวจางลง โดยตัวที่เป็นตัวออกฤทธิ์คือ Aloin ที่พบในใบ (Planta Med. 2012; 78(8):767-71.) การทดสอบผลของไลโปโซมที่บรรจุว่านหางจรเข้ต่อผิวหนังพบว่า มีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งเซลล์ผิวหนัง (Keratinocyte proliferation) และกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน (J Oleo Sci. 2009; 58(12):643-50.) แต่การที่บอกว่าใส่มา 92% นั้นตอบโจทย์อะไรยังไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ทราบความบริสุทธิ์ของการสกัด ว่ามีเนื้อสารจริงๆกี่เปอร์เซนต์กัน บางที 92% นี่อาจจะมีตัวทำละลายไปแล้วซัก 90% เหลือเนื้อพฤกษเคมีใน Aloe จริงๆแค่ 2% ก็ได้ ในขณะที่บางอย่างใส่มาแค่ 5% แต่เป็นสารสกัดแบบเข้มข้น มีความบริสุทธิ์สูง ก็อาจจะให้ผลได้มากกว่าก็ได้
    • Polyglutamic acid โพลิเมอร์ที่เกิดจากกรดอะมิโน Glutamic acid พบได้ใน Natto ซึ่งเป็นสิ่งที่จุลินทรีย์บางชนิดสร้างระหว่างกระบวนการหมัก ในทางเภสัชกรรมมีประโยชน์ในการเป็นระบบนำส่ง ส่วนในทางเครื่องสำอางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าสามารถดูดและจับน้ำได้มากถึง 5000 เท่าของน้ำหนักตัวมัน และมีรายงานการวิจัยอีกฉบับกล่าวว่า Polyglutamic acid ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่สามารถกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ (Chem Biodivers. 2010; 7(6):1555-62.) น่าจะมีส่วนช่วยให้ระบบผิวหนังแข็งแรงขึ้น
    • Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับความชุ่มชื้นของผิว
    • Calendula officinalis extract คือ สารสกัดจาก Pot marigold ตระกูลดาวเรือง มีประโยชน์เป็น Anti-oxidant เพราะมีสารประกอบ Phenolic compound หลายชนิด และยังช่วยปกป้องผิวหนังไม่ให้ถูกทำร้ายจากรังสี UV ได้ (J Ethnopharmacol. 2010; 127(3):596-601)
    • Mentha viridis extract คือ สารสกัดจาก Spearmint มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ Antioxidant (Iran J Pharm Res. 2011; 10(4):787-93.) ฤทธิ์ต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) (Environ Toxicol Pharmacol. 2008; 26(1):92-5.) ผู้ผลิตวัตถุดิบบอกว่ามีสารกลุ่ม Tannin, Polyphenols และมีคุณสมบัติช่วยให้สบายผิว (Soothing effect)
    • Melissa officinalis extract สารสกัดจาก Lemon balm ไม่พบงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง ผู้ผลิตให้ข้อมูลว่าสารสกัดนี้มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย, Antioxidant และ ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)
  2. Base เป็นผลิตภัณฑ์ชนิด Hydrogel ประกอบด้วยน้ำ ของเหลวอื่นที่ละลายได้ในน้ำ และสารก่อเจล (สารเพิ่มความหนืด) เรียงตามลำดับจากลำดับของส่วนผสม ได้แก่ Alcohol, Dipropylene glycol, Butylene glycol, Glycerine, Propylene glycol, 1,2-Hexanediol, water ซึ่งมีสารดึงน้ำให้ผิวดีๆหลายตัว แต่มี Alcohol ซึ่ง Alcohol เองก็ไม่ได้จะเลวร้ายตลอดไปเสมอไป เพราะช่วยให้ผลิตภัณฑ์ระเหยไวขึ้น ให้ความรู้สึกที่ดีตอนทา และกระชับรูขุมขน แต่ บางคนอาจจะไวต่อแอลกอฮอล์ก็ได้ แม้จะมีในส่วนผสมแค่น้อยนิด สำหรับความทนของผิวต่อแอลกอฮอล์ของแต่ละคนก็จะต่างกันไป จึงระบุไม่ได้
  3. Additives ได้แก่

3.1 Emulsifier/Surfactant ได้แก่ Betaine เป็นสาร Surfactant ที่มีทั้งประจุบวกและลบในตัวเดียวกัน มีคุณสมบัติช่วยปรับสภาพผิว ให้ความรู้สึกลื่นผิว ร่วมกับ PEG-60 Hydrogenated castor oil เป็นอนุพันธ์จากน้ำมันละหุ่ง มีคุณสมบัติช่วยให้ได้สารละลายใส
3.2 สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Glyceryl polyacrylate กับ Carbomer
3.3 สารปรับ pH คือ Triethanolamine ใช้ปรับ pH ให้เพิ่มขึ้น
3.4 Preservatives ได้แก่ Phenoxyethanol กับ 1,2-Hexanediol ซึ่งมีฤทธิ์เพิ่มความชุ่มชื้นได้ ร่วมกับสารจับโลหะ EDTA
3.5 Fragrance คือ น้ำหอม

ถึงเวลาให้คะแนนค่ะ

  1. Actives เน้นไปที่สารเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ทั้งว่านหางจรเข้ Hyaluron กะ Polyglutamic acid เสริมด้วยสารสกัดพืชที่ให้ความสบายผิว บวกกับมีฤทธิ์ Antioxidant อยู่ด้วย จึงถือว่าน่าจะค่อนข้างครบสำหรับการเป็น Moisture and Soothing gel ตามชื่อของผลิตภัณฑ์ แต่ถ้าถามว่า ตัวเลข 92% นี่ตอบโจทย์อะไรให้มี่มั้ย ตอบว่า 92% นั้นตอบโจทย์อะไรยังไม่ได้ เพราะว่าเราไม่ทราบความบริสุทธิ์ของการสกัด ว่ามีเนื้อสารจริงๆกี่เปอร์เซนต์กัน บางที 92% นี่อาจจะมีตัวทำละลายไปแล้วซัก 90% เหลือเนื้อพฤกษเคมีใน Aloe จริงๆแค่ 2% ก็ได้ ในขณะที่บางอย่างใส่มาแค่ 5% แต่เป็นสารสกัดแบบเข้มข้น มีความบริสุทธิ์สูง ก็อาจจะให้ผลได้มากกว่าก็ได้ แต่ความครบในการเป็น Moisture gel ก็ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. Base เป็นส่วนของ Hydrogel ที่มีสารดูดน้ำให้ผิวเยอะมาก แต่มี Alcohol เข้าใจว่าควรจะใส่เพราะไม่เช่นนั้นผลิตภัณฑ์น่าจะเหนียวและหนักผิวพอดู Alcohol อาจจะทำให้คนที่ไว เกิดอาการระคายเคือง หรือรู้สึกแดง ร้อนได้ ดังนั้นคนที่ไวต่อ Alcohol มากๆ ควรทดสอบการระคายเคืองก่อนใช้งาน แต่สำหรับคนปกติไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เพราะสัดส่วนของสารที่เป็น Moisturizer มีค่อนข้างมาก จึงขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. Additives ไม่ได้มีอะไรมากมายหลายชนิด มีแค่สารก่อเจล สารทำให้ใส สารปรับ pH กับ Preservatives ซึ่งก็มีตัวที่ให้คุณสมบัติพิเศษเสริมแก่ผิวอย่าง Betaine ที่ช่วยปรับสภาพผิวให้ผิวเรียบเนียน และ PEG-60 Hyrogenated castor oil ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  4. ราคา ผลิตภัณฑ์มีราคาที่เคาน์เตอร์ไทยอยู่ 200 บาท ผลิตภัณฑ์มาในรูปแบบกระปุก ขนาด 300 ml ตกเป็น 0.67 บาท/มล. ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างถูก เผลอๆถูกกว่าทำเองด้วยซ้ำ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

point

[Basic Cosmetic Science] แสงแดด และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

[Basic Cosmetic Science] แสงแดด และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด

วันนี้เอาบทความวิชาการเกี่ยวกับแสงแดด และผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดมาฝากค่ะ

สงสัยไหมว่า ทำไมเราต้องทากันแดด จริงๆไม่ใช่แค่กลัวดำอย่างเดียวนะคะ แต่แสงแดดแฝงไว้ด้วยอันตรายอื่นๆอีกมากมายเลยค่ะ ในแสงแดดประกอบด้วยรังสีต่างๆหลายๆรังสี แต่ที่น่าจะมีอันตรายที่สุดน่าจะเป็นรังสี UV ค่ะ

รังสี UV ประกอบด้วยสาม Range ตามความยาวคลื่น คือรังสี UVA UVB และ UVC ค่ะ

UV ray

ทางสถาบัน CIE ได้แบ่งรังสี UV ออกเป็น 3 ย่าน คือ UVA UVB และ UVC เรียงตามความยาวคลื่นจากยาวไปหาสั้น ซึ่งสำหรับรังสี UV ตัวที่มีความยาวคลื่นยาว (ตัวเลขมาก) จะมีความสามารถในการแทรกซึมลงไปลึกกว่าตัวที่มีความยาวคลื่นสั้น (ตัวเลขน้อย) แต่ ตัวที่มีความยาวคลื่นสั้นจะมีพลังงานสูง มีอำนาจทำลายสูง

ดังนั้นถ้ามองตามค่าความยาวคลื่นของรังสียูวี ทั้ง 3 ชนิด
UVA (400-320 nm)
UVB (320-290 nm)
UVC (<290 nm)

รังสี UVC ก็จะมีพลังงานสูงที่สุด ทำลายผิวหนังได้มากที่สุด แต่รังสี UVC โดนกรองไปโดยชั้นโอโซน ไม่มาถึงพื้นโลก แต่เนื่องจากปัจจุบันนี้ชั้นโอโซนเองก็ถูกทำลายไปค่อนข้างเยอะ จึงควรจะพิจารณาเรื่อง UVC ได้ แต่องค์การต่างๆและผู้ผลิตสารเคมียังให้ความสนใจกับ UVA และ UVB มากกว่า

เขาบอกว่าปริมาณรังสี UV ที่ลงมาในโลก เป็นรังสี UVA มากกว่ารังสี UVB 10-30 เท่า แต่เรากลับมองที่ความสำคัญของ UVB มากกว่า เพราะกลัวดำ

ผลกระทบของรังสี UV ต่อผิวหนัง
* UVB ทำให้เกิด Sunburn และ ดำ (เพราะมีผลแค่ผิวหนังชั้นนอก) แต่ยังมีฤทธิ์แฝงไปกดภูมิคุ้มกันที่ผิวหนัง และก่อให้เซลล์ต่างๆมีความผิดปกติไป จนอาจเกิดเป็นมะเร็งได้

*UVA ทำให้เกิด Sunburn ก็ได้ แต่น้อยมาก (แค่ 15% ถ้าเทียบกับ UVB) ฤทธิ์หลักๆ ของ UVA ก็คือ ทะลุลงไปที่ชั้นหนังแท้ ไปก่อให้เกิดปฏิกิริยาที่มีชื่อสวยๆว่า “Photobiological reaction” แปลเป็นภาษาไทยว่า ปฏิกิริยาชีวภาพแสง ทำให้เกิดอนุมูลอิสระต่างๆในชั้นผิว ทำลาย Collagen และ Elastin ต่างๆในผิว เกิดเป็นริ้วรอยก่อนวัย และยังก่อให้เกิดมะเร็งโดยไปเสริมฤทธิ์กับ UVB นอกจากนี้ยังมีอีกรายงานที่บอกว่า UVA ไปกระตุ้นให้มีการสังเคราะห์ Melanin ซึ่งเป็นเม็ดสีผิวเพิ่มขึ้น

ดังนั้นการทาผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดจึงควรจะมีวัตถุประสงค์ในการใช้เพื่อเป็นการป้องกัน Photobiological reaction มากกว่าการป้องกันไม่ให้ดำเพราะแดด จึงจะถูกต้องค่ะ

สำหรับผลิตภัณฑ์กันแดด เราก็แบ่งตัวป้องกันแสงแดด หรือ Sunscreen ออกเป็น 2 ประเภท ตามกลไกในการออกฤทธิ์ ได้แก่ Physical กับ Chemical sunscreen ค่ะ

1. Physical sunscreen เป็นสารกันแดดที่ออกฤทธิ์โดยไปสะท้อน หรือกระเจิง รังสี UV ที่มาตกกระทบผิว ในสมัยก่อนเขามองว่า เฉพาะพวกแร่ธาตุ Inorganic pigment ต่างๆเท่านั้นที่เป็น Physical sunscreen แต่เดี๋ยวนี้มีเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้น สามารถบีบอัดโมเลกุลสารเคมีต่างๆ ให้กลายเป็น Physical sunscreen ได้ เช่นกัน จึงไม่สามารถใช้นิยามว่า Physical sunscreen คือ สารที่ไม่ใช่สารอินทรีย์ ต่อไป

สารประเภทนี้จะสะท้อนรังสี UV ได้ทุกความยาวคลื่น แบบไม่จำเพาะเจาะจง และมีความเฉื่อย จึงมีบริษัทหลายๆบริษัทเอาตรงนี้มาเป็นจุดขาย ว่าของเขาใช้แต่ Physical sunscreen

2. Chemical sunscreen เป็นสารกันแดดที่ออกฤทธิ์ผ่านการดูดซับรังสี UV แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงของอิเกลตรอนในโมเลกุล เหมือนกับชื่อ คือ มีการเปลี่ยนแปลงทางเคมี

สารประเภทนี้มักจะเป็นสารอินทรีย์ที่มี Aromatic ring และ Carbonyl group อยู่ในโครงสร้าง (จุดนี้คนเคยผ่านวิชาเคมีมาน่าจะจำได้บ้าง ไม่รู้จะแปลอย่างไรดี)

สารประเภทนี้จะจำเพาะกับรังสี UV แค่บางความยาวคลื่นเท่านั้นขึ้นกับชนิดของสารเคมีนั้นๆเราจึงมักเห็นว่าในผลิตภัณฑ์กันแดดแบบนี้จะมีสารกันแดดหลายๆตัว (อย่างน้อย 2 ตัว) เพื่อให้ครอบคลุมรังสี UV ทุกความยาวคลื่น หรืออาจจะเสริมกับ Physical sunscreen เพื่อให้ได้ความสมบูรณ์ในการปกป้องรังสี UV

จริงๆทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางก็ยังมีพวก Auxillary sunscreen อีก คือเป็นสารเสริมประสิทธิภาพของ Sunscreen แต่ยังไม่ขอกล่าวถึงค่ะ

ลองดูรายละเอียดของสารแต่ละกลุ่มดีกว่าค่ะ

Physical sunscreen

physi

Physical sunscreen เป็นสารอะไรก็ตาม (ซึ่งส่วนใหญ่เป็น Inorganic pigment) ที่ทำหน้าที่สะท้อน-กระเจิงรังสี UV ทุกความยาวคลื่นออกไปไม่ให้โดนผิวค่ะ จริงๆแล้วเดี๋ยวนี้เขามีเทคโนโลยีใหม่ๆ ทำให้สารอินทรีย์ออกฤทธิ์แบบนี้ได้ด้วย แต่ขอไม่ลงรายละเอียดนะคะ

ถ้ามองถึง Physical sunscreen แล้ว ชนิดที่นิยมใช้กันมากในท้องตลาดก็จะเป็น Titanium dioxide กับ Zinc oxide ซึ่งพวกนี้เวลาเราทาๆ จะมองเห็นเป็นคราบขาว หรือที่เรียกกันติดปากว่า ขาววอก

เพราะพวกนี้ออกฤทธิ์สะท้อน-กระเจิงแสง ความสามารถในการออกฤทธิ์ของมันก็จะขึ้นกับความสามารถในการแผ่กระจายและปกคลุมบนผิวของมัน ซึ่งก็จะขึ้นกับขนาดอนุภาคของมันอีกทีค่ะ  ถ้าอนุภาคมีขนาดใหญ่ๆ เช่น Titanium dioxide หรือ Zinc oxide ทั่วๆไป เวลาทาก็จะเห็นเป็นปื้นสีขาว อาจจะรู้สึกหยาบๆแห้งๆตอนทาได้ แต่ถ้ามีขนาดเล็กลง เช่น Micronized Titanium หรือ Zinc เวลาทาก็จะค่อนข้างเนียนขึ้น พวกนี้ก็จะสามารถปกคลุมผิวหนังได้มากกว่าแบบใหญ่ๆ

สำหรับแบบที่ดีที่สุด เช่นตัววัตถุดิบจากทางญี่ปุ่นและเกาหลี เขาจะใช้อนุภาค สองขนาดแบบเล็กมากๆ (หลักหน่วยนาโนเมตร) กับอนุภาคที่ใหญ่กว่า (ประมาณ 200 นาโนเมตร) ก็จะสามารถเคลือบคลุมผิวได้สมบูรณ์ และเกิดปื้นขาวไม่มากเท่าไหร่

particle size-e1
แต่อย่างไรก็ดี พวกนี้มีขนาดเล็กๆ สามารถดูดซึมเข้าไปในรูขุมขนได้ แต่สารจำพวกนี้ส่วนมาก มักจะไม่อุดตันรูขุมขนนะคะ แต่การใช้แบบพร่ำเพรื่อ โดยไม่จำเป็นก็อาจจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไหร่ในระยะยาว แม้ว่าข้อมูลจะยังไม่เพียงพอว่าจะเกิดอะไรได้บ้่าง แต่ก็ควรจะป้องกันไว้ก่อนค่ะ ดังนั้นถ้าเป็นโลชั่นก่อนนอน ควรมองหาตัวที่ไม่ได้ใส่พวกนี้ค่ะ

(ขนาดอนุภาคที่เล็กกว่า 1000 นาโนเมตร สามารถถูกดูดซึมเข้ารูขุมขนได้ และขนาดอนุภาคที่น้อยกว่า 100 นาโนเมตร สามารถหลุดจากรากขน เข้าไปในกระแสเลือดได้)

แม้ว่าพวกนี้จะสามารถป้องกันยูวีได้ครอบคลุมทุก Spectrum แต่ว่าก็มีนักวิจัยบางท่านทดสอบแล้วพบว่า Titanium dioxide จะเด่นที่ UVB และ Zinc oxide เด่นที่ UVA ค่ะ แต่ก็เป็นที่น่าแปลกว่า ใน EU ไม่ได้อนุญาตให้ใช้ Zinc oxide เป็น Sunscreen ทั้งๆที่ทางฝั่งเอเชีย กับอเมริกา เริ่มหันมาใช้แบบผสมผสาน หรือเน้นไปทาง Zinc oxide มากขึ้นค่ะ เพราะเขาตระหนักถึงอันตรายของ UVA ที่เป็นผลระยะยาวมากกว่า

พวกนี้จริงๆแล้วมีความปลอดภัยสูง เพราะเฉื่อยต่อปฏิกิริยา ไม่ทำให้เกิดการแพ้และการระคายเคืองค่ะ แต่ก็มีงานวิจัยอยู่ชื้นหนึ่งที่เขาลองทำในระดับหลอดทดลอง (In vitro) พบว่า อนุภาคพวกนี้เวลาโดนรังสีไปนานๆ แทนที่มันจะสะท้อน มันกลับดูดซับรังสีเอาไว้ แล้วปล่อยอนุมูลอิสระต่างๆออกมา ซึ่งพวกนี้เป็นพิษกับเซลล์ค่ะ แต่ว่าโชคดีที่ผลนี้ไม่พบในระดับสิ่งมีชีวิต (In vivo)

Titanium dioxide

 

Chemical sunscreen

Chemical sunscreen เป็นสารอินทรีย์ที่มี Aromatic ring และ Carbonyl group ที่มีความสามารถในการดูดซับรังสียูวีที่ความยาวคลื่นหนึ่งๆที่จำเพาะกับโครงสร้าง แล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในโมเลกุล ก่อนจะถ่ายเทพลังงานทิ้ง เพื่อให้ดูดซับรังสีได้ใหม่ ด้วยเหตุผลเรื่องการเปลี่ยนแปลงของระดับพลังงานในโมเลกุล ทำให้สารพวกนี้เมื่อถึงเวลาหนึ่งจะเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ต้องทาบ่อยๆ (เช่น ทุก 2 ช.ม.)

chemic
และเนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงเมื่อโดนแสง จึงอาจจะทำให้เกิดการแพ้และการระคายเคืองได้

Chemical sunscreen ที่พบบ่อยในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง เช่น Camphor derivatives (ตัวอย่างสารในกลุ่มที่นิยมคือ Mexoryl SX), Octyl methoxycinnamate (Parsol MCX), Benzophenone ฯลฯ

สารกันแดดกลุ่มนี้ในท้องตลาดมีใช้กันไม่กี่ชนิด เพราะส่วนมากออกสู่ตลาดแล้วก็ถูกถอนออกไป เพราะทำให้เกิดการแพ้ หรือการกลายพันธุ์ได้ และการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับสารพวกนี้มีน้อยมาก ด้วยเหตุผลด้านกฎหมาย และความปลอดภัยในการใช้งาน

ซึ่ง ชนิดที่ใช้ได้ ความเข้มข้นต่ำสุด-สูงสุดที่ให้ใช้ แตกต่างกันไปตามแต่ละประเทศ เช่น บางอย่าง EU ใช้ได้ แต่ USA ไม่ให้ใช้

เคยมีงานวิจัยหนึ่งของทางต่างประเทศเขาตรวจปัสสาวะของหญิงที่ทาครีมกันแดดที่มีส่วนผสมของ Benzophenone บ่อยๆ พบว่ามีสารนี้ออกมาในปัสสาวะด้วย จุดนี้บอกอะไรเรา??

นั่นก็คือสารกันแดดกลุ่มนี้บางชนิดสามารถถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ แล้วอาจจะเกิด Metabolism ในร่างกายได้เป็นสารอะไรก็ไม่ทราบ ซึ่งอาจจะปลอดภัย หรือไม่ปลอดภัยก็ได้ จุดนี้ยังไม่มีข้อมูลอะไรมายืนยัน ทาง FDA ก็เลยยังอนุญาตให้ใช้กันต่อ

สารกันแดดบางตัวก็มีปัญหาเรื่องความคงตัว อย่าง Avobenzone ที่ต้องอาศัย Octocrylene หรือสารอื่นๆ เพื่อเข้ามาช่วยเพิ่มความคงตัวให้แก่เค้า

จากสาเหตุพวกนี้ก็เลยทำให้ผู้ประกอบการบางรายหันมา Claim เรื่องกันแดดว่าใช้แต่ Physical sunscreen ค่ะ ทั้งๆที่ Chemical sunscreen ถ้าใช้กันถูกวิธี มันก็ไม่ได้อันตรายหรือน่ากลัวอะไร

ดังนั้นส่วนตัวมี่เองเลยเชียร์ Physical sunscreen มากกว่าค่ะ จะได้ปกป้องยาวนาน ไม่ต้องเติมบ่อยๆ และเสี่ยงเรื่องอันตรายจากการแพ้ได้น้อยกว่าค่ะ

ประสิทธิภาพของ Sunscreen

เรามักจะเห็นข้อความที่ข้างๆขวดเครื่องสำอางหลายๆแบรนด์มีคำว่า SPF ตามด้วยตัวเลข กับ PA ตามด้วยเครื่องหมาย + ค่าพวกนี้คืออะไร เปรียบเทียบกันได้อย่างไร วันนี้จะนำเอารายละเอียดพวกนี้มาเล่าสู่กันฟังค่ะ

ค่าดัชนีพวกนี้เป็นค่าที่อุตสาหกรรมเครื่องสำอางใช้เป็นตัวบ่งชี้ความสามารถในการป้องกันแสงแดดของผลิตภัณฑ์ค่ะ ซึ่งถ้าเราแบ่งตามความสามารถในการป้องกันรังสี UV ชนิดที่ผ่านเข้ามายังโลก เราจะแบ่งกลุ่มค่า Parameter เหล่านี้ได้เป็น 2 กลุ่มค่ะ

กลุ่มแรก เป็นตัวเลขที่ใช้บอกประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVB ค่ะ เรียกว่า SPF ซึ่งย่อมาจาก Sun protection factor

ค่านี้ได้จากการทำการทดลองหา ประสิทธิภาพในการป้องกัน UVB ว่าทาแล้วเกิด Erythema (รอยแดง หรือ Sunburn) ช้ากว่าไม่ได้ทากี่เท่า (ทำในคน) ซึ่งวัดเป็นปริมาณความเข้มข้นของแสงที่รับเข้าไป แต่เรามักจะเข้าใจผิดว่า มันนับเป็นเวลา เช่นทาแล้วอยู่ได้นานกว่ากี่ชั่วโมง

เช่น คนๆหนึ่งสามารถถูก UVB จำนวน 100 รังสี ได้โดยไม่ไหม้ พอทาผลิตภัณฑ์หนึ่งลงไปแล้วสามารทนแดดได้เพิ่มขึ้นเป็น 800 รังสี ผลิตภัณฑ์นี้ก็มีค่า SPF เท่ากับ 8 คือ ช่วยเพิ่มความเข้มแสงที่ทนได้ 8 เท่า (เหมือนช่วยกรองไปบางส่วน)

ถึงแม้ว่าปริมาณรังสีที่ได้รับ ก็จะมีเรื่องของเวลารับแสงมาเกี่ยวข้อง แต่ว่า ในทางปฏิบัติจริงๆไม่สามารถเทียบปริมาณรังสีกลับมาเป็นเวลาได้ เพราะว่า แดดที่ช่วงเวลาต่างๆกันจะมีปริมาณรังสีไม่เท่ากัน โดยแดดตอนเที่ยงจะมีรังสีเข้มข้นกว่า

เพราะการวัดค่า SPF เป็นเพียงการวัดการป้องกันรังสี UVB จึงไม่สมบูรณ์เพราะยังไม่ได้วัดการป้องกันรังสี UVA

สำหรับ Parameter ที่ใช้วัดประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UVA มี 2 ค่า คือ UVAPF กับ PPD

ขอดูที่ค่า PPD ก่อนนะคะ ค่า PPD ก็เป็นการวัดแบบคล้ายๆกับ SPF แต่ต่างกันตรงที่ว่า PPD วัดความดำที่เกิดขึ้นจากรังสี UVA แทนการวัด Sunburn หรือรอยแดงที่เกิดจากรังสี UVB แบบใน SPF

ค่า PPD บ้านเราไม่ค่อยเห็นใช้กันมากเหมือนค่า PA ค่ะ

ค่า PA ย่อมาจาก Protection Grade of UVA เป็นการแบ่งเกรดตามค่าความสามารถในการป้องกัน UVA ค่ะ ซึ่งให้เกรดเป็นเครื่องหมาย + ++ และ +++
โดย PA+ มี UVAPF อยู่ที่ 2-4
PA++ มี UVAPF อยู่ที่ 4-8
และ PA+++ มี UVAPF มากกว่า 8

References:

Bernard G. (2009) in  Handbook of  Cosmetic Science and Technology, 3rd ed.

Levy S.B. (2009) in  Handbook of  Cosmetic Science and Technology, 3rd ed.

[Review] It’s Skin Power 10 Formula 9 สูตร

[Review] It’s Skin Power 10 Formula 9 สูตร

สมัยก่อนมี่ติดผลิตภัณฑ์จาก DHC มาก คือเรียกได้ว่า เป็น Skincare จากเคาน์เตอร์ชิ้นแรกในชีวิตเลยก็ว่าได้ ใช้ DHC มาตลอดจนกระทั่ง DHC เลิกจำหน่ายในไทย ก็ไปตุนตอนเค้า Sayonara sale ไว้พอสมควรเลยค่ะ หลังจากเริ่มพร่อง เวลาเพื่อนๆพี่ๆน้องๆไปญี่ปุ่นก็จะฝากเค้าซื้อกลับมาเสมอ จนเริ่มหมด ไม่รู้จะใช้อะไรดี คนรู้จักก็ไม่มีใครมีแผนจะไปญี่ปุ่น เลยเริ่มมองหา Skincare ชิ้นอื่น ก็ลองเข้าเวบไปเรื่อยๆ ไปเจอเวบพรีออร์เดอร์เวบหนึ่งเข้า ละไปสะดุดกับเจ้า YE effector จาก It’s Skin ที่มีราคาไม่แพงมาก เลยลองสั่งมาใช้ แรกๆก็ไม่รู้หรอกค่ะว่ามันประกอบด้วยอะไรบ้าง ส่วนผสมนางก็เขียนเป็นภาษาเกาหลี อ่านไม่ออก จนกระทั่งเคาน์เตอร์ของ It’s Skin มาเปิดที่เชียงใหม่ ที่โลตัสมีโชค (หรือรวมโชค จำไม่ได้ – -*) ก็เลยเห็นส่วนผสม แล้วก็ติดใจ ใช้มาเรื่อยๆเลยค่ะ

 

นับวันๆ ก็เริ่มลองนู่นลองนี่เพิ่ม แล้วยิ่งเวลาเคาน์เตอร์เขา Sale 50% ซึ่งก็จัดอยู่บ่อยๆเหมือนกัน ก็ไปสอยอันนู้นอันนี้มาลองเพิ่มเรื่อยๆ สุดท้ายเมื่อเดือนมิย ที่ผ่านมา ไปเกาหลี เลยจัดมาเต็มค่ะ พร้อมกับเครื่องสำอางแบรนด์อื่นอีกหลายๆชิ้น จนทุกวันนี้ติดเกาหลีงอมแงม

 

เข้าเรื่องดีกว่าค่ะ ตัวที่จะเอามารีวิววันนี้เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม Power 10 formula ซึ่งตัวที่มี่ใช้จริงๆ มี 4 ตัวค่ะ คือ YE WR PO และ Q10 ส่วนที่เหลืออีก 5 ชิ้นเป็นเทสเตอร์ซองๆที่ได้รับมาค่ะ

 

ถ้ามีโอกาสจะทำ Cosme-Diagnosis เจาะลึก 4 ตัวที่ใช้อยู่นะคะ

 

IMG_2692-edit

ตัวที่ได้ Tester มาก็จะมี VE (ซื้อแล้ว แต่ยังไม่ได้ใช้) LI WH VC และ GF (ซื้อแล้ว แต่ยังไม่ได้ใช้)

ลองดู Texture ของทุกๆสูตรในรูปดีกว่าค่ะ

IMG_2694-edit

 

เรียงจากซ้ายไปขวาเลยนะคะ

Q10 จะมาในรูปแบบเจล มีเม็ดบีดส์สีเหลืองๆ เข้าใจว่าเป็น Coenzyme Q10 ซึ่งไม่ละลายน้ำ เลยต้องทำให้อยู่ในรูปแบบเม็ดบีดส์กระจายตัวอยู่ค่ะ การดูดซึมค่อนข้างไว รู้สึกแปลกๆตอนทาแล้วเม็ดบีดส์แตก แต่ซักพักก็จะซึมหายไปหมด ไม่ทิ้งคราบอะไรค่ะ ให้คะแนนความพึงพอใจ 8/10

VE มาในรูปแบบเจลค่อนข้างมัน มีเกล็ดๆแผ่นๆสีขาวๆ เข้าใจว่าน่าจะเป็น Vitamin E ซึ่งละลายในน้ำได้น้อยเช่นกันค่ะ การดูดซึมค่อนข้างไว ไม่เหนอะหนะมาก (หรือเพราะมี่ผิวแห้งก็ไม่รู้ค่ะ) ให้คะแนนความพึงพอใจ 8/10 ตัวนี้ซื้อมาแล้ว กะว่าจะทาเฉพาะกลางคืนค่ะ

LI มาในรูปแบบเจลเช่นกัน ดูดซึมไว ไม่เหนอะหนะ แต่เนื่องจากความต้องการทางเครื่องสำอางของมี่ตอนนี้เน้นไปที่ ความชุ่มชื้นกับเรื่องริ้วรอยแล้ว จึงไม่ค่อยสนใจกลุ่ม Whitening แล้วค่ะ จริงๆของเค้าน่าสนใจนะ คือ ชะเอมนอกจากผิวขาว ยังลดการอักเสบในผิวได้ด้วย ให้คะแนนความพึงพอใจ 6/10

WH มาในรูปแบบของเหลว มันนิดๆ ดูดซึมไวมาก ไม่เหนอะหนะ ตัวนี้ใช้ Arbutin เป็นส่วนประกอบ เน้นไปที่ความเป็น Whitening เลย สาวๆที่อยากขาวน่าจะชอบค่ะ ด้วยราคาแบบว่า โยนครีมประตูน้ำทิ้งไปเลย ใช้อันนี้ดีกว่า ดูมีคุณค่า แต่มันเหลวไปนิด มันจะไหลจากมือตอนทาด้วยค่ะ ให้คะแนน 6/10

VC เป็นเจลหนืดๆนิดหน่อย สีขุ่นๆ ดูดซึมไว ไม่เหนอะหนะค่ะ ตัวนี้เคยใช้อยู่ แล้วก็หยุดไป เพราะ Skincare เริ่มเยอะ ขี้เกียจทาหลายๆอย่าง ให้คะแนนความพึงพอใจ 8/10

GF เป็นเจลความหนืดต่ำ สีใส ดูดซึมไว ไม่เหนอะหนะ เน้นไปที่ความชุ่มชื้น ซื้อมาแล้วแต่ยังไม่ได้แกะใช้ค่ะ ให้คะแนนความพึงพอใจ 8/10

YE เป็นเจลความหนืดต่ำ สีขุ่นนิดๆ ดูดซึมไว ไม่เหนอะหนะ มีกลิ่นแนวสมุนไพร แรกๆก็กลิ่นแปลกๆดี พอใช้ไปใช้ไป เริ่มเบื่อ ตัวนี้ใช้แล้วหน้านุ่มมาก (ใช้มาได้เกือบ 6 เดือนแล้วค่ะ) ยังไม่คิดจะเปลี่ยน ติดงอมแงม ให้คะแนนความพึงพอใจ 10/10

WR เป็นเจลหนืดปานกลาง สีเหลือง-น้ำตาล ดูดซึมไว ไม่เหนอะหนะ แต่กลิ่นฉุนไปหน่อย ตัวนี้เน้นไปเรื่องริ้วรอย มีสาร Adenosine กับสารสกัดอื่นๆที่ให้ผลเรื่องริ้วรอย ตัวนี้ใช้ครั้งแรกคือฟินมาก ทาก่อนนอนเช้าตื่นมาหน้าตึงมาก ถ้ากลิ่นดีกว่านี้คงรักเลย แต่นี่ทนใช้ เพราะยังหาตัวแทนไม่ได้ค่ะ ให้คะแนนความพึงพอใจ 6/10 คือกลิ่นแรงมากอ่ะ

PO เป็นโลชั่นหนืดมาก ดูดออกจากขวดค่อนข้างยาก ดูดซึมช้า มันเล็กน้อย พอใช้ไปๆ ก้นขวดจะดูดไม่ออก เทไม่ได้ ต้องเอาไม้พันสำลีล้วงไปเอาออกมาเพื่อจะทา ตัวนี้เน้นไปที่ฤทธิ์กระชับรูขุมขน ของเค้าก็ดีนะ คือผลิตภัณฑ์กระชับรูขุมขนบางอันใช้แล้วจะแสบ แต่อันนี้คือไม่แสบค่ะ ใช้ได้เลยทีเดียว เสียดายที่มันหนืดมากกกกกกก ใช้ยาก หมดขวดนี้จะไปลองของ Holika แทนค่ะ ให้คะแนนความพึงพอใจ 6/10 คือมันหนืดมาก กว่าจะเอาออกมาทาได้

 

สำหรับข้อมูลของส่วนผสม จะทยอยๆนำมาจัดแบบละเอียดให้นะคะ ซึ่งมีข้อมูลอยู่แค่บางตัวค่ะ

By Lady Miiyeon

หมีเกาะฟลาสก์

 

[Beauty-Talks] น้ำเกลือ เกลือขัดผิว และผลึกเกลือ

[Beauty-Talks] น้ำเกลือ เกลือขัดผิว และผลึกเกลือ

Beauty-Talks เป็นบทความเมาท์และนินทาเครื่องสำอาง/ผลิตภัณฑ์สุขภาพต่างๆในท้องตลาด

Beauty-Talks วันนี้คือ น้ำเกลือ เกลือขัดผิว และผลึกเกลือ

หลังจากที่มีกระแสการเอาน้ำเกลือ 0.9% หรือที่เรียกว่า Normal Saline Solution หรือ NSS มาเริ่มเช็ดหน้าแทนโทนเนอร์ เราก็เห็นบรรดาสาวๆต่างๆเอามาใช้กันอย่างมากมายเกลื่อนกลาด จริงๆแล้ว แต่ถ้ามองจากคุณสมบัติแล้ว ในน้ำเกลือ ส่วนใหญ่เป็นสารละลายที่ปราศจากเชื้อ ดังนั้นถ้าจะนำมาใช้เช็ดหน้า เช็ดได้ค่ะ แต่คงไม่มีประโยชน์อะไรพิเศษต่อผิว มิหนำซ้ำ ถ้าเกลือแห้ง ตกผลึกอยู่บนผิว เกลือมันผลึกคมมากนะคะ แล้วเราไปเช็ดต่อด้วยสำลี เกลือจะบาดผิวไหม???

น้ำเกลือ-crys

แล้วหลายๆแหล่งข้อมูลเองก็กล่าวว่า เจ้า Sodium Chloride นี่อุดตันรูขุมขนได้ แค่เกลือ มันไปอุดตันได้ไงไม่รู้ อันนี้ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่เคยอ่าน paper เก่าแก่ ผลการทดสอบ Comedogenic test ในหูกระต่าย เห็นว่า positive อยู่นะคะ

ที่สำคัญคือ ผลิตภัณฑ์มีทั้งโทนเนอร์ เอสเซนส์ ของมิสทีน คิวท์เพรสอะไรนี่ ของเค้าก็ดีนะ ราคาก็ไม่สูงมาก มีประโยชน์กว่าด้วย ถ้าไม่แพ้ หรือไม่ไวต่อแอลกอฮอล์ซะก่อนนะคะ

เห็นบางคน เล่าว่า ใช้แล้วรู้เลย รูขุมขนเล็กลง ก็เป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดจากคนนั้นหยุดอะไรซักอย่างที่มันเคยอุดตันไป ละมาใช้น้ำเกลือแทน พอผิวไม่เจอสิ่งอุดตัน เราล้างหน้าทกวันๆ ไอสิ่งที่อุดตันอยู่ก็หลุดออกไป รูขุมขนมันก็เลยเล็กลง (เดาล้วนๆ)

แต่ กรณีการ Claim เรื่องน้ำเกลือ นี่ ก็โอเคนะคะ ไม่มีไรเสียหาย ไม่อันตราย ไม่เหมือนอะไรบางอย่างที่แอบใส่นู่นใส่นี่ลงไป ละบอกขาวๆ ปลอดภัยๆ มีอย. แต่แอบเป็นห่วงผู้บริโภค กลัวได้ความเชื่อผิดๆไปค่ะ

ทีนี้ลองมาดูรูปผลึกเกลือกันดีกว่าค่ะ

ผลึกเกลือ-9yf

เป็นรูปผลึกเกลือ จากเกลือขัดผิวในท้องตลาดยี่ห้อหนึ่งค่ะ รูปนี้ถ่ายเองค่ะตั้งแต่สมัยยังเป็น นศ. อยู่เลย เก่ามาก สมัยนั้นการทำ Lab อะไรๆยังไม่ค่อยเก่ง กล้องก็เทคโนโลยียังไม่หรูหรา ได้แค่นี้เองค่ะ (ไอกลมๆสีดำๆนั่นฟองอากาศนะคะ มี่ไม่ถนัดการใช้กล้องจุลทรรศน์ค่ะ เลยทำ Slide ไม่สวยเท่าไหร่)

จะเห็นว่าเม็ดเกลือเอง มีความคมมาก ซึ่งอาจจะบาดผิวได้ ดังนั้นเกลือขัดผิวทุกชนิด หรือสครับที่มีส่วนผสมของเกลือ ไม่ควรเอามาขัดหน้านะคะ อาจจะทำให้เกิดรอยขูดขีดที่ผิวได้

สำหรับกรณีของน้ำเกลือ คือมันก็คงไม่เว่อร์ขนาดทาแล้วเกลือตกผลึกเป็นเม็ดๆหรอก แต่ คำถามคือ เวลาเอาน้ำเกลือเช็ดหน้า แล้วเกลือหายไปไหน? เกลือมันไม่ได้ระเหยไปพร้อมกับน้ำหรอก มันอาจจะดูดซึมเข้าไปข้างใน แล้วอยู่ในรูปแบบสารละลายในผิว ซึ่งก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่มีหลายๆแหล่งข้อมูลก็บอกว่า เกลืออุดตันรูขุมขนและทำให้เกิดสิวได้ อันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกันนะคะ ว่าจริงหรือไม่จริง และมันไปอุดตันได้อย่างไร แต่ถ้าให้เดา เกลืออาจจะไปตกผลึกในรูขุมขน ส่วนตรง Sebaceous gland หรือ ต่อมไขมัน ซึ่งองค์ประกอบหลักเป็นพวกไขมัน/น้ำมัน เกลือพวกนี้ไม่ละลายในไขมันและน้ำมัน และถ้ามีมากๆ อาจจะรวมตัวกันและตกผลึกอยู่ในนั้นก็ได้ (มั้ง)

หรือถ้าเช็ดน้ำเกลือเสร็จ แล้วไปเช็ดด้วยผลิตภัณฑ์ที่มี Alcohol อีก ก่อนที่เกลือจะถูกดูดซึมเข้าผิว จะเกิดปรากฏการณ์ทางเคมีที่เรียกว่า Dehydration effect โดย Alcohol จะไปดึงน้ำออกจากสารละลายเกลือ และทำให้เกลือตกผลึกได้ง่ายขึ้น อาจจะบาดผิวได้

ส่วนหนึ่งของบทความเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคลค่ะ อิงจากหลักวิทยาศาสตร์นิดหน่อย ถ้ามีความเห็นอย่างไร Discuss แลกเปลี่ยนความคิดกันได้นะคะ ยินดีค่ะ

สรุป:
จากรูป อยากบอกอะไร?
1. การขัดผิวเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่ควรทำบ่อยเกินไป และไม่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความคม อย่างเกลือ (สครับน้ำตาล ยังไม่เคยเอามาส่องดูเหมือนกันค่ะ ถ้าอนาคตได้ Access เข้าใช้กล้องจุลทรรศน์ได้ จะถ่ายภาพมาอวดค่ะ)
2. เกลือขัดผิวมีความคมมาก ไม่ควรนำมาขัดหน้า
3. เกลือขัดผิวที่เอามาขัดตัว ไม่ควรขัดบ่อย ควรใช้อาทิตย์ละครั้งสองครั้งพอค่ะ
4. สครับเกลือที่มี AHA เช่น มะขามเปียก โยเกิร์ต หรือผลไม้อื่นๆ จะช่วยผลัดผิวออกได้มากกว่าเดิมอีก ควรเว้นช่วงการใช้หน่อย อย่าใช้บ่อยเกิน
5. น้ำเกลือ เอาไว้ล้างแผลดีกว่าไหม หรือเอาไว้ล้างหน้า ละก็ไปล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกทีน่าจะโอเคกว่าการเช็ดละปล่อยให้แห้งเองค่ะ