Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมโฟมล้างหน้า CeraVe cream-to-foam Hydrating Cleanser

สำหรับคอนเทนท์นี้เราลองมาดูรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมโฟมล้างหน้าจากแบรนด์ CeraVe รุ่น Hydrating cream-to-foam cleanser กันบ้างนะคะ

น้องเป็นโฟมล้างหน้าที่พัฒนามาได้ค่อนข้างดีโดยเลือกใช้ Surfactant ที่ดัดแปลงมาจากกรดอะมิโน (Amino acid-based surfactant) ซึ่งสามารถให้ฟองได้แต่ก็ยังมีความอ่อนโยนกับผิว เสริม Ceramide ด้วย MVE technology ที่เป็นเทคโนโลยีเด่นของทางแบรนด์ ร่วมกับ สารจับน้ำให้ผิวตามธรรมชาติ ที่เรียกกันว่า Natural moisturizing factor (NMF) อีกหลายชนิด ซึ่งเดี๋ยวจะได้เล่าให้ฟังตอนวิเคราะห์ส่วนผสม

สำหรับอีก 2 รุ่น ที่เป็น Foaming cleanser กับ Hydrating cleanser ทางเพจเคยรีวิวไว้ก่อนหน้านี้ สามารถติดตามย้อนหลังได้ที่ Blog ด้านล่างนี้เลยค่ะ

>>Click อ่านรีวิว CeraVe Foaming cleanser กับ Hydrating cleanser<<

หน้าตาของน้องเป็นประมาณนี้ค่ะ

ในภาพจะเป็นรุ่นหลอดขนาด 100 กรัม จะมีรุ่นขวดปั๊มขนาด 8 oz./236 ml ด้วยนะคะ

ส่วนของฟองจะเป็นฟองแบบเล็กละเอียดคล้ายครีม

ค่า pH หลังละลายน้ำจะอยู่ทีป่ระมาณ 6 ซึ่งก็ถือว่าใกล้เคียงกับผิวอยู่

ส่วนผสมเป็นดังนี้

สำหรับส่วนผสมวันนี้แบ่งเป็น 5 กลุ่มตามสีตามคุณสมบัติ

เนื่องจากเป็นกลุ่ม Cleanser เลยขอเริ่มที่สีน้ำตาลที่เป็นกลุ่มของ Surfactant ที่เป็นพระเอกในการทำความสะอาด

  • Sodium methyl cocoyl taurate ตัวนี้เป็น Surfactant ที่ได้จากการดัดแปลงกรดอะมิโน Methyl taurine ด้วยไขมันจากมะพร้าว ซึ่งตัวน้องให้ฟองที่ดี แล้วก็มีความอ่อนโยนสูง
  • Coco-betaine กับ Sodium cocoyl isethionate สองตัวนี้ก็เป็น Surfactant ที่มีความอ่อนโยนต่อผิว
  • PEG-6 caprylic/capric glycerides นี้เด่นในแง่ของการทำความสะอาดพวกเมคอัพ แล้วก็ให้ฟีลลิ่งที่นุ่มๆ ผิว ซึ่งก็ตอบเคลมเรื่องของผลิตภัณฑ์สามารถใช้ล้างเมคอัพไปพร้อมๆ กับการล้างหน้าในขั้นตอนเดียวกัน

สีชมพู เป็นกลุ่มของไขมันต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ในการดูแล Barrier ผิว

  • Ceramides 3 ชนิด ไดเแก Ceramide NP, AP และ EOP ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกเซราไมด์มาเบลนด์กันให้คล้ายกับผิวเรา เพราะว่าผิวหนังของคนเราประกอบด้วย Ceramides อยู่หลายชนิด โดยสามารถแบ่ง Ceramides ในผิวได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ตามชนิดของกรดไขมันที่เป็นองค์ประกอบในโมเลกุล คือ Ceramides กลุ่ม N เป็น Ceramide ที่มีกรดไขมันชนิดปกติ กลุ่ม A มีกรดไขมันที่มีหมู่ Hydroxyl ที่ตำแหน่ง alpha-carbon และกลุ่ม EO มีกรดไขมันชนิดที่มีการ Esterified บริเวณ Hydroxyl ตำแหน่ง Omega ว่ากันว่า เซราไมด์กลุ่ม EO จะมีความสำคัญมากที่สุดในการทำให้ Barrier ของผิวแข็งแรง
  • Cholesterol เป็นไขมันอีกชนิดที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญของ Barrier ผิว
  • Phytosphingosine เป็นเบสชนิดหนึ่งกลุ่ม Sphingoid ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในโครงสร้างของ Ceramide ตัว Phytosphingosine มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการ และมีการศึกษาถึงประโยชน์อยู่บ้าง ที่น่าสนใจคือ น้องมีคุณสมบัติที่ดีในการดูแลการอักเสบและระคายเคืองผิว และเสริมการบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) ของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า (Keratinocyte) ให้เป็นตัวเต็มไวที่ทำงานได้สมบูรณ์ (Mol Med. 2006; 12(1-3): 17–24.)

สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการเติมน้ำให้ผิว ได้แก่ สารในกลุ่มของ NMF เช่น กรดอะมิโน Sodium lactate, Hydroxyethyl urea

สีม่วง Hyaluronate เป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

สีเขียว Salicylic acid เป็น BHA ที่มีคุณสมบัติในการละลายสิวอุดตัน (Comedolytic)

ส่วนของเบสและสารปรุงแต่งอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว และมีการเลือกใช้สารโพลิเมอร์กลุ่มประจุบวกในกลุ่มของ Polyquaternium เข้ามาเพื่อเคลือบปกป้องผิว และลดการระคายเคืองจาก Surfactant ในสูตร

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ Cleanser เลยขอปรับการให้คะแนนเป็น สารทำความสะอาด ส่วนผสมอื่นๆ และการใช้งาน

  1. สารทำความสะอาด เลือกชนิดที่มีความอ่อนโยนกับผิว มีความสามารถในการทำความสะอาดที่ดี และบางชนิดมีฟอง ซึ่งก็ตรงตามเคลมเรื่อง Cream-to-foam และมี PEG-6 caprylic/capric glyceride ที่ดูแลเรื่องการทำความสะอาดพวกเมคอัพตามเคลม ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในด้านของสารบำรุง มีการใช้สารไขมันที่ดูแล Barrier ผิวเข้ามา เสริมพวก NMF และ มี BHA เป็นส่วนประกอบ สำหรับสารอื่นๆ นั้น ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวคิดว่าน้องเป็น Cleanser ตัวนึงที่ทำมาได้ดี หลังล้างไม่แห้งตึงมากเหมือนพวกที่เป็น Soap-type cleanser แต่ด้วยความเป็นคนชอบฟองเยอะๆ และชอบให้ Cleanser มีกลิ่นหอม เลยขอให้ 4 ฟลาสก์ เนื่องจากฟองยังไม่ได้เยอะมาก และตัวกลิ่นจะเป็นกลิ่นของส่วนผสมที่เป็นวัตถุดิบอยู่

ท่านทีสนใจสามารถตามไปส่องเพื่ออัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ กับ Official Mall ของทางแบรนด์ได้เลยนะคะ

Shopee Mall: https://invl.io/clfdg1w

Laz Mall: https://invol.co/clfdg2j

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาจากทางแบรนด์ CeraVe การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ ผู้เขียนไม่ได้รับค่าตอบแทนในการเขียนรีวิวนี้และไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ในการขายสินค้า แต่ผู้เขียนอาจได้รับส่วนแบ่งจากการคลิ้กลิงค์ไปทำรายการ ณ ร้านค้า

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมูสโฟมล้างหน้านุ่มแน่น Cloud จาก The Labatorian

ก่อนหน้านี้ทางเพจได้นำเสนอมูสโฟมล้างหน้าชิ้นหนึ่งที่มีฟองโฟมมูสแน่นนุ่มสู้มือไป วันนี้ขอหยิบเอาส่วนผสมของน้องมาวิเคราะห์กันต่อ

ผลิตภัณฑ์มูสโฟมนี้มีชื่อว่า Cloud Fluffy amino gentle barrier cleanser จากแบรนด์ the Labatorian ซึ่งมีผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจหลายๆ ชิ้น และทางเพจได้เคยนำเสนอไปก่อนหน้านี้

สำหรับท่านที่พลาด สามารถรับชมรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจจากทางแบรนด์ได้ตามลิงค์เลยนะคะ

เซรั่มสำหรับดูแลผิวที่เป็นสิวง่าย Agness >>Click

เซรั่มสำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาจุดด่างดำ Clair >>Click

และเซรั่มดูแล Barrier ผิวสุดปัง Brikk ที่พึ่งเปิดตัวไม่นานมานี้ >>Click

วันนี้ถึงคิวของน้อง Cloud แล้วค่ะ ขอแอบอวดความน่ารักของ Box set ที่ทางแบรนด์ส่งมาให้สักหน่อย

น่ารักเนอะ

สำหรับตัวมูสนี้มาในกระป๋องอะลูมิเนียมแบบอัดก๊าซ ซึ่งเรียกตำรับแบบนี้กันว่า Aerosol ค่ะ

เนื้อโฟมก็นุ่มแน่นสู้มือสุดๆ

ลองวัดค่า pH หลังละลายมูสในน้ำได้อยู่ที่ราวๆ 5 ซึ่งถือว่าทำมาได้ใกล้เคียงกับค่า pH ของผิว

รายการส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมวันนี้มี่ทำไว้ สีตามกลุ่ม ประโยชน์และวัตถุประสงค์ในการใช้

เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดจึงขอเปิดประเดิมด้วยกลุ่มสารทำความสะอาดค่ะ

  • กลุ่มสารทำความสะอาดแทนด้วยสีส้ม ซึ่งมีด้วยกัน 3 ชนิด คือ Lauryl hydroxysultaine, Disodium cocoyl glutamate และ Caprylyl/capryl glucoside ซึ่งเป็นสารทำความสะอาดชนิดที่อ่อนโยนกับผิวทั้ง 3 ตัว
    • ขอ Focus ที่ Lauryl hydroxysultaine ซึ่งเป็นสารทำความสะอาดที่น่าสนใจตัวหนึ่ง มีความอ่อนโยนที่ดี ทำความสะอาดดี ฟองดี และยังมีความคงตัวสูง ไม่สลายตัวปลดปล่อยสารที่ไม่เป็นมิตรออกมาง่ายๆ
    • Disodium cocoyl glutamate เป็นสารทำความสะอาดชนิดอ่อนโยนที่ดัดแปลงจากกรดอะมิโน Glutamic acid มีความอ่อนโยนเช่นกัน
    • ส่วน Caprylyl/capryl glucoside นั้นเป็นสารทำความสะอาดชนิดไม่มีประจุ มีความอ่อนโยนเช่นเดียวกัน
  • กลุ่มสารที่ดูแลเรื่องการระคายเคือง แทนด้วยสีฟ้า ซึ่งมีด้วยกัน 4 ตัว ขอเลือกกล่าวถึงตัวที่น่าสนใจ 2 ตัว คือ
    • Acetyl dipeptide-1 cetyl ester น้องเป็นเปปไทด์ที่เด่นในแง่ของการลดความรู้สึกระคายเคือง ซึ่งมีการศึกษารองรับในอาสาสมัคร โดยให้อาสาสมัครทา Capsaicin เพื่อเกิดการระคายเคือง แล้วทาผลิตภัณฑ์ที่มีสารตัวนี้ลงไป พบว่า สารนี้สามารถลดการระคายเคืองและความรู้สึกแสบร้อนที่เกิดขึ้น (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:18-20.)
    • Hydroxyacetophenone มีชื่อทางการค้าว่า Symsave H เป็นสาร Muti-functional ให้ประโยชน์เป็นสารเพิ่มประสิทธิภาพของสารกันเสีย ให้คุณสมบัติเสริมในด้านการลดการระคายเคือง และเป็น Antioxidant
  • สีชมพู O-cymen-5-Ol มีอีกชื่อว่า Isopropyl methylphenol เรียกกันย่อๆ ว่า IPMP น้องเป็นสารกลุ่ม Terpenes ที่พบได้ในพืชหลายๆชนิด มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงคุณสมบัติระงับเชื้อราและแบคทีเรียบางชนิด (Int Dent J. 2011;61 Suppl 3:33-40.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารนี้ใช้เป็น Preservative booster ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสารระงับเชื้อชนิดอื่นๆในตำรับ และมีคุณสมบัติในการควบคุมความมัน และลดจำนวนเชื้อก่อโรคสิว (Ref: TDS ParbFree® IPMP100)
  • สีม่วง คือ วิตามินอี ซึ่งเป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน

อีกจุดที่น่าสนใจคือในตำรับมีการใช้ Buffer เพื่อควบคุมค่า pH ให้คงที่ โดยใช้ Citric acid คู่กับ Sodium citrate และมีรายงานว่าการใช้ Buffer กรดอ่อนมีประโยชน์ในการดูแลผิว (แต่ทั้งนี้ขึ้นกับค่า pH ของตำรับด้วย)

ในภาพรวมคือเป็น Cleanser ชิ้นหนึ่งที่ทำมาได้น่าสนใจ เลือกใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยน แต่คงไว้ซึ่งฟองโฟมหนานุ่มแน่น และเสริมสารบำรุงที่ดูแลผิวได้ในหลายๆ ด้าน ถึงแม้ว่าพวก Cleanser จะสัมผัสผิวไม่นาน การมีสารบำรุงอยู่ก็น่าจะดีกว่าไม่มี และสารลดระคายเคืองอย่าง Acetyl dipeptide-1 cetyl ester ก็อาจจะให้ประโยชน์ในการลดการระคายเคืองจากการล้างหน้าได้

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดขอปรับหัวข้อการให้คะแนนเล็กน้อยนะคะ

  1. สารทำความสะอาด เป็นเหมือนหัวใจหลักของ Cleanser ซึ่งทางแบรนด์เลือกใช้มาอย่างดี เป็นชนิดที่อ่อนโยนหมด ส่วนเรื่องฟองก็แจ่ม ดังนั้นใครสายฟองแต่กลัว surfactant แรงๆ ตัวนี้ก็น่าจะเป็นทางเลือกที่ดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. สารบำรุงและส่วนผสมอื่นๆ สารบำรุงที่ใส่ลงมามีประโยชน์หลายอย่าง เช่น ดูแลเรื่องการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว ดูแลเรื่องสิวและเรื่องของความชุ่มชื้นผิว สำหรับส่วนผสมอื่นๆ นั้น ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไป 5 ฟลาสก์เช่นกัน
  3. การใช้งาน ส่วนตัวเป็นคนบ้าฟองอยู่แล้ว ดังนั้นตัวนี้คือตอบโจทย์ค่ะ คนผิวแห้งแบบดิฉันอย่านวดนานจนเพลิน จะรู้สึกแห้งตึงได้ ครั้งแรกๆ ดิฉันนวดสนุกมากยิ่งนวดฟองยิ่งแน่นยิ่งนุ่ม กลายเป็นนวดเพลินไป หน้าแห้ง ให้ลองนวดประมาณ 30 วิ พอสนุกสนานก็ไปล้างออก ก็ไม่แห้งตึงระคายเคืองแล้วค่ะ สำหรับผิวมันก็เพิ่มเวลาใช้งานไปตามความเหมาะสมค่ะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ The labatorian ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

IG : the_labatorian

Line official : @labatorian

Facebook : Labatorian

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ The labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Mini Review] เซรั่มมะขาม สูตรพลิกโฉมมาในส่วนผสมสุดปัง จากแบรนด์เขาค้อทะเลภู

เรื่องมีอยู่ว่า บังเอิญไปได้ Sample เซรั่มมะขามของแบรนด์เขาค้อทะเลภู ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางธรรมชาติแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งที่อยู่คู่บ้านเรามานานมากแล้วค่ะ

แบรนด์นี้เคยออกคอลเลคชั่นที่คอลแลบกับคุณสายป่าน บตบก คนสวยของเราอยู่หลายชิ้น และไม่แน่ใจว่าชิ้นนี้ได้คอลแลบคุณสายป่านด้วยไหม

ได้น้องมาจากการช็อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บวัตสัน

แรกๆ ก็ไม่ได้อะไรนะ แต่ด้านหลังมีรายการส่วนผสมแนบมาด้วย พอได้ดูส่วนผสมแล้วแบบว่า หูว์ ส่วนผสมร้ายกาจใช่เล่นนะเนี่ย

เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาเหมือนกันแฮะ เลือกส่วนผสมมาได้ค่อนข้างดีและปังมากค่ะ

จากส่วนผสมก็จะเห็นได้ว่าถึงจะบอกว่าเป็นเซรั่มมะขาม แต่นางก็แอบมีส่วนผสมของสารบำรุงอยู่หลายชนิดเหมือนกัน ถ้าเราแบ่งเป็นกลุ่มๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ

กลุ่มสีเขียว: วิตามินซี ซึ่งทางแบรนด์เลือกมา 2 รูปแบบ คือ Ascorbyl tetraisopalmitate ซึ่งละลายในน้ำมัน กับ Magnesium ascorbyl phosphate ซึ่งละลายได้ในน้ำ

โดยประโยชน์ของวิตามินซีที่เด่นๆ ก็จะเป็นในด้านของการเป็น Antioxidant เป็น Whitening โดยผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นเอนไซม์สำคัญในขั้นตอนการสร้าง melanin รวมไปถึงยังมีประโยชน์ในการเป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน และดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง

กลุ่มสีฟ้า: ให้เป็นสารเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น

  • Betaine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine นอกจากด้านการเติมน้ำ น้องยังมีประโยชน์แฝงในเรื่องการปรับฟิลลิ่งของสูตรตำรับ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • ไฮยาลูรอน ที่เติมน้ำให้ความชุ่มชื้นผิว

สีชมพู: เป็นสารบำรุงที่เด่นเรื่อง Whitening ก็จะมีสารสกัดจากชะเอม มะขาม Arbutin และใบ Mulberry

สีส้ม: คือ ความปังในการพัฒนาสูตร โดยการเลือกใช้ Dimethyl isosorbide (DMI) ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการเสริมการดูดซึมสารอื่นผ่านผิว (เป็น Penetration enhancer)

โดยรวมคือนอกจากเป็น Whitening serum ที่น่าสนใจแล้วยังดูแลผิวด้านอื่นๆ เสริมเข้ามา และการเลือกใช้วิตามินซี 2 รูปแบบ รูปแบบหนึ่งละลายได้ในน้ำ อีกรูปแบบละลายได้ในน้ำมัน ก็น่าสนใจดีค่ะ

นอกจากนี้ก็ไม่มีน้ำหอม หรือส่วนผสมอื่นที่ไม่เป็นมิตรกับผิวด้วย

ฟีลเซรั่มหลังจากที่ได้ลองใช้ 1 ซอง ถ้วน ก็คือ เนื้อค่อนข้างลื่นผิว ใช้เวลาสักนิดในการซึม/แห้ง แต่ให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างดี และเมื่อแห้งไปแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะหรือหนักผิว

และอีกจุดที่น่าสนใจคือราคาก็ไม่แพงมาก ราคาเต็มอยู่ที่ 399/30 มล. สำรวจราคาวันที่ 30 ธ.ค. ลดเหลือ 239 ที่วัตสันออนไลน์

ถ้าสนใจก็ตามไปแอบส่องแอบดูได้ค่ะ

https://invol.co/clflhd6

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของแถมมาจากการซื้อของด้วยเงินส่วนตัว การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิวเซรั่มฟื้นฟู Barrier ที่เนื้อบางเบาอย่างไม่น่าเชื่อ กับ Brikk 6 in 1 daily skin barrier treatment essence จาก The labatorian

สำหรับ Content นี้จะมาเล่าถึงเซรั่มที่น่าสนใจ ซึ่งทางแบรนด์ออกแบบมาเพื่อฟื้นฟู Barrier ผิวในทุกมิติ จากแบรนด์ The Labatorian ซึ่งทางเพจเราได้นำเสนอบทวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์หลายๆ ชิ้นไปก่อนหน้านี้ค่ะ

วันนี้จะมาวิเคราะห์เซรั่มน้องใหม่ของทางแบรนด์ ที่พึ่งเปิดตัวเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมานี้ค่ะ

เซรั่มน้องใหม่นี้มีชื่อว่า Brikk ซึ่งว่ากันว่ากว่าทางแบรนด์จะได้สูตรนี้มานั้นผ่านการปรับสูตรมามากกว่า 50 สูตรเลยทีเดียวจนกว่าจะได้สูตรที่ดีงามขนาดนี้

น้องใหม่ Brikk มีหน้าตาประมาณนี้นะคะ

ตัวแพคเกจนั้นมาในขวดแก้วที่ด้านในเป็นฝาปั๊มค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นเนื้อแบบใส จะได้กลิ่นหอมของกุหลาบจางๆ ซึ่งมาจาก Rose water ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ นอกจากจะให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) แล้วก็ยังได้กลิ่นหอมด้วย

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย แรกๆ จะให้สัมผัสลื่นๆ ผิว แต่เมื่อทิ้งไว้สักพัก ไม่ถึง 1 นาที ตัวเซรั่มจะซึม/แห้งไป ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ชุ่มชื้น และไม่เหนียวเหนอะหนะ

ค่า pH นั้นอยู่ที่ประมาณ 5 นะคะ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับค่า pH ของผิว

รายการส่วนผสมนั้นเรียกได้ว่าจัดเต็มคาราเบลมาเกินเบอร์เกินหน้าเกินตาความเป็นเซรั่มใสมาก

ก่อนจะไปดูที่ส่วนผสม เรามาลอง Revised trend ใหม่ล่าสุดของ Barrier ผิวกันค่ะ

ในสมัยก่อนเรากล่าวกันว่า Barrier ผิวประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วน คือ

  1. ไขมันที่อยู่ระหว่างเซลล์ Corneocytes (เซลล์ในชั้น Stratum corneum)
  2. Natural moisturizing factor (NMF)
  3. ตัวเซลล์ Corneocyte เองที่เรียงตัวแบบคดเคี้ยว และในเซลล์มีโปรตีน Keratin ที่อัดกันแน่น ทำหน้าที่ปกป้อง Lipid barrier อีกชั้นหนึ่ง ตัวเซลล์ Corneocyte เอง จะมีเปลือกที่เป็นโปรตีนเชิงซ้อน ที่เรียกว่า Cornified envelope หรือ Corneocyte envelope เคลือบอยู่อีกชั้น เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้อีกชั้นหนึ่ง

เราเรียกโมเดลที่แสดงถึงสิ่ง 3 สิ่งนี้ว่า Brick-wall model ตามภาพค่ะ

ทีนี้ถ้าเราย้อนกลับไป เราแบ่ง Barrier ของผิวออกเป็นกลุ่มๆ ค่ะ

  1. Physical barrier คือ ตัวผิวเอง โครงสร้างที่สมบูรณ์ของผิวหนังเป็นตัวปกป้องไม่ให้ของดีๆ ภายในออกไปข้างนอก และป้องกันไม่ให้อันตรายจากภายนอกเข้ามาข้างใน
  2. Chemical barrier คือ พวกสารเคมีต่างๆ ที่ผิวเราสร้างขึ้นมา การรักษาสภาวะ pH ให้เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคโตได้ บางที่อาจจะนับรวม Biochemical barrier เข้ามาไว้ด้วย คือพวก Antimicrobial peptide ที่ผิวเราสร้างขึ้นมาระงับเชื้อก่อโรคต่างๆ ตัวที่ดังๆ ก็เช่น Defensin
  3. Immunological barrier คือ ระบบภูมิคุ้มกันของผิวเรานั่นเอง ที่คอยปกป้องผิวจากทั้งสารเคมี และพวกจุลินทรีย์ต่างๆ
  4. และล่าสุด เราเริ่มมีการพูดถึง Microbiological barrier คือ พวกจุลินทรีย์หลากหลายชนิด และเจ้าแมลง Dermodex ที่อาศัยกันเป็นชุมชน Microbiome น้องมีปฏิกิริยากับผิวเราทำให้ Immune ของผิวเราทำงานอยู่ตลอดเวลา เป็นเหมือนการซ้อมรบ และเป็นเหมือนการกระตุ้นให้ผิวเราสร้างสารต่างๆ ออกมา เพื่อทำหน้าที่ในชีวิตประจำวัน

เจ้า Microbiological barrier นี่แหละ ที่เป็นที่มาของเทรนด์การเลือกใช้ Pre-pro-post biotics ในทางเครื่องสำอางเพื่อสุขภาพที่ดี เพราะถ้า Microbiome ของเราอยู่ในสภาวะสมดุลดี ผิวเราก็จะสมดุลดีไปด้วย

โดยตัว Brikk นั้นเคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily ที่ดูแลผิวเสมือนรวมเอาเซรั่ม 6 ขวดเข้าไว้ด้วยกัน ดังนี้

  • Antioxidant ด้วยส่วนผสมของ Antioxidant ชั้นเลิศอย่าง Resveratrol กับ Ferulic acid
  • Anti-pollution ตัวที่น่าสนใจก็คือ Ectoine กับพวกสารที่ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Microbiome ดูแลด้วย Prebiotics
  • Lipid & NMF ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Soothing ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Hydration เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างยาวนาน

เราลองมาดูส่วนผสมของ Brikk กันนะคะว่าดูแล Barrier ผิวได้ในทุกมิติ และเป็นเซรั่ม 6 ขวดในขวดเดียวกันได้ อย่างไร

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมของ Brikk นั้นมีใช้หลายสีเพื่อแบ่งกลุ่มนะคะ เรามาลองดูตัวที่น่าสนใจกันค่ะ

  • กลุ่ม Microbiome ใช้แทนด้วยสีเขียวมะกอก
    • ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย Prebiotic 2 ชนิด ได้แก่ Inulin และ Beta-glucan และ Post-biotic อย่าง Lactococcus ferment lysate
    • Inulin เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น Chicory, artichoke ซึ่งจัดเป็น Prebiotic ชนิดหนึ่ง น้องเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีที่เรียกกันว่า Probiotic ในทางเครื่องสำอางมีการใช้ Inulin เพื่อเป็น Moisturizer โดยข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า Inulin มีความสามารถในการเป็น Moisturizer ที่ดีกว่า Hyaluronic acid (Ref: TDS preBIULIN AGA)
    • Beta-glucan เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และในพืชบางชนิด เช่น Oat ซึ่งนอกจากความสามารถในการเป็น Prebiotic แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านการเป็น Moisturizer และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect
    • Lactococcus ferment lysate เป็นกลุ่มสารที่ได้จากการย่อยระบบที่เลี้ยงจุลินทรีย์ Probiotic อย่าง Lactoccus เราเลยเรียกว่า Postbiotic ข้อมูลจากวัตถุดิบ ProRenew Complex CLR™ กล่าวว่าใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์ Lactococcus lactis ซึ่งมีรายงานงานวิจัยสนับสนุนถึงประโยชน์ที่ดีหลายชนิด เช่น คุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิวในผิวหนังเพาะเลี้ยง (Lett Appl Microbiol. 2019;68(6):530-536.) เสริมการทำงานของ Barrier ผิวผ่าน Antimicrobial peptide ที่ชื่อ Defensin ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องผิวตามธรรมชาติ และเสริมการสร้าง Filaggrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญตัวหนึ่งของผิว ไม่ว่าจะเป็น เป็นสารตั้งต้นของ NMF และ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของ Cornified envelope ที่ให้ Corneocyte แข็งแรง ปกป้องผิวเราจากอันตรายต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ผลทั้งสองอย่างทดสอบในผิวหนังเพาะเลี้ยง และมีการทดสอบในอาสาสมัครโดยให้ทาตำรับที่มี Lactococcus วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 30 วัน พบว่าผิวหนังของอาสาสมัครมี Barrier ที่แข็งแรงขึ้น วัดจากค่าการระเหยของน้ำจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ที่ลดลง และช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว (Skin Pharmacol Physiol. 2019;32(2):72-80.)
  • สีบานเย็น เป็นพวกสารที่เสริมคุณสมบัติการเป็น Barrier ของผิว อย่างพวก Ceramide, Cholesterol และ Sphingoid base ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของ Ceramide อย่าง Phytoshingosine
  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารที่เติมน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งมีด้วยกันหลายตัว เช่น
    • Ectoine เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่มีโครงสร้างเป็นวงกลม สร้างโดยแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างโหดร้าย (Extremophile) ทำหน้าที่ปกป้องตัวเขาเองจากอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากปัจจัยกายภาพและเคมี มีการพบว่าตัว Ectoine จะทำหน้าที่ดึงเอาน้ำมาเกาะไว้กับตัวเองแล้วกลายเป็นชั้นโครงสร้างที่ช่วยปกป้องโปรตีนองค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญของเซลล์เอาไว้ เรียกว่าเป็น Ectoine hydrocomplex (Clin Dermatol. 2008;26(4):326–633.) เจ้า Hydrocomplex ดังกล่าวส่งผลดีถึงองค์ประกอบทั้งเซลล์ คือปกป้องเซลล์นั้นให้มีปริมาณน้ำเหมาะสม และทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อปริมาณน้ำต่ำลง จะไปมีผลต่อระบบของการอักเสบทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา ในกรณีของผิวหนัง การมี Ectoine จะช่วยให้ Lipid barrier ของผิวทำงานได้ตามปกติและมีความแข็งแรง ผิวจึงแข็งแรง และเก็บกักน้ำได้ดี (มีการระเหยของน้ำออกจากผิว/Transepidermal water loss; TEWL น้อย) (Biophys Chem. 2010;150(1–3):37–46.) มีการทดสอบประสิทธิภาพในทางผิวหนังอยู่หลายชิ้น ซึ่งได้กล่าวถึงในบทความวิชาการล่าสุดของ Kauth และ Truvosa (Dermatology and Therapy. 2022;12:295–313) ในภาพรวมคือ Ectoine ให้ประโยชน์ในการปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ลดการอักเสบระคายเคือง รวมทั้งดูแลปัญหาผิวอักเสบและระคายเคืองต่างๆ (Skin Pharmacol Physiol. 2004; 17(5):232-7.) ยังมีการทดสอบพบว่า Ectoine ให้ประโยชน์เป็น Whitening ได้อีก โดยไป block ผลจาก MSH ไม่ให้กระตุ้นให้เกิดการสร้าง Melanin ออกมาเมื่อเจอรังสี UV (Antioxidants (Basel). 2020;9(1):63.)
    • Polyquaternium-51 ตัวนี้เป็น Polymer สังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับไขมัน Phospholipid บนผิวของเรา ว่ากันว่านางจะเคลือบผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นของนางดีกว่า Hyaluronic acid
    • Saccharide isomerate ที่เด่นเรื่องการจับน้ำให้ผิวได้อย่างยาวนาน เพราะน้องสามารถเกาะติดบนผิวได้ดีและอยู่บนผิวได้นาน ถ้าเราไม่ล้างออกไป
    • Betaine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine ที่นอกจากจะเพิ่มความชุ่มชื้น ยังดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว และปรับ Feeling ของสูตรให้ไม่เหนอะหนะไปพร้อมๆ กัน
    • กรดอะมิโน และสารอื่นที่จัดเป็น Natural moisturizing factor หรือ NMF มีคุณสมบัติในการจับน้ำให้แก่ผิว
  • สีเขียว คู่หูคู่ขวัญ Niacinamide (B3) + N-acetyl-D-glucosamine (NAG) เราคงไม่กล่าวถึงประโยชน์ของ B3 และ NAG แบบแยกกัน เพราะทั้ง 2 ตัวก็มีประโยชน์กับผิวมากโขอยู่ สำหรับการใช้ร่วมกันนั้นมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • สีน้ำเงิน สารบำรุงอื่นๆ ยกตัวอย่างบางตัวที่น่าสนใจ เช่น
    • Syn-Hycan (Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate) สารชื่อยาวๆ นี้เป็นเปปไทด์สังเคราะห์ เทคโนโลยีสิทธิบัตร ซึ่งทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า มีคุณสมบัติในการเสริมการทำงานของ TGF-Beta ที่มีตามธรรมชาติของผิว ซึ่งส่งผลต่อไปให้มีการสังเคราะห์กลุ่มสาร Matrix จำพวก Hyaluron, Lumican และ Decorin ซึ่งมีคุณสมบัติให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และมีความแข็งแรง รวมทั้งช่วยเสริมการเรียงตัวของคอลลาเจนเดิมในผิวให้อยู่ในโครงร่างที่แข็งแรง (ปกติเวลาเราอายุเพิ่มขึ้นสายเส้นใยของคอลลาเจนจะฉีกขาดไปตามกาลเวลา และมีการเรียงตัวที่ไม่สวยงามไม่เป็นระเบียบแบบเดิม ผิวเลยหย่อนคล้อย ไม่กระชับ)
    • สูตรผสมของ Water (and) Butylene Glycol (and) PEG-60 Almond Glycerides (and) Caprylyl Glycol (and) Glycerin (and) Carbomer (and) Nordihydroguaiaretic Acid (and) Oleanolic Acid รู้จักกันในนาม AC.NetTM จาก Croda ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เบลนด์กันมาอย่างลงตัวเพื่อดูแลปัญหาสิว ผิวมัน และรูขุมขนกว้าง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยังระบุว่า สารชุดนี้ยังยับยั้งการเจริญของพวก C. acnes ที่ก่อสิว และ P. ovale ที่ก่อปัญหาผิวหลายประการ เช่น รูขุมขนอักเสบ
    • Ferulic acid กับ Resveratrol เป็น Antioxidant ที่น่าสนใจ
  • สีส้ม Hyaluron มากมายหลายรูปแบบ ที่มีประโยชน์ในการเติมน้ำให้กับผิวในหลายๆ ระดับ
  • สีชมพู กลุ่มสารที่ดูแลด้านการระคายเคืองผิว ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)

ในภาพรวมส่วนผสมของสารบำรุงที่ใส่ลงมาทำงานเสริมกันอย่างลงตัวทั้งในด้านการฟื้นฟู Barrier ผิว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของไขมัน ส่วนของโปรตีน Filaggrin พวก NMF และยังดูแลเรื่อง Microbiome รวมทั้งเติมน้ำ ฟื้นฟู ดูแลปัญหาผิวมัน สิว รูขุมขนกว้าง ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) ไปพร้อมๆ กัน สมกับที่เคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily จริงๆ

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives ก็ตามที่ได้เกริ่นไปในด้านบน คือ คุณเขาจัดมาเต็มมาก เอาไปเถอะ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลย จึงไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผลิตภัณฑ์เสริม Barrier ส่วนใหญ่เนื้อจะค่อนข้างหนัก แต่น้อง Brikk นั้นทำมาได้ดีมาก บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ คนที่มีผิวมันน่าจะชอบ ส่วนคนที่มีผิวแห้ง หรือผสม/แห้ง อาจจะต้องหาครีมมาทับอีกชั้นหนึ่งถึงจะเลิศเลอขั้นสูงสุด หลังจากที่ได้ลองใช้มาเกือบเดือนส่วนตัวคิดว่าน้องทำมาได้ดีจริงๆ ผลไม่ได้หวือหวาแบบค่ำคืนเดียวปิ๊ง แต่มันจะค่อยๆ รู้สึกไปเอง แบบใช้มาสักพัก เอ๊ะ ทำไมวันนี้หน้านุ่ม มันจะเป็นฟีลแบบอยู่ดีๆ รู้สึกตัวอีกทีก็ผิวดีอะไรแบบนี้ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ The labatorian ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

IG : the_labatorian

Line official : @labatorian

Facebook : Labatorian

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ The labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวกาย CeraVe Moisturizing Lotion (revised 12/2022)

เชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะคุ้นตา คุ้นชิน แล้วก็อาจจะเคยใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวกายของ CeraVe กันมาบ้างแล้วนะคะ

แบรนด์ CeraVe นี่เป็นแบรนด์เวชสำอางบำรุงผิวที่พัฒนาร่วมกับแพทย์ผิวหนังชั้นน้ำของอเมริกา มีราคาที่จับต้องได้ หาซื้อได้ง่าย และเป็นที่นิยมทั่วโลกเลยทีเดียวค่ะ

แบรนด์ CeraVe นั้นเป็นเวชสำอางแบรนด์อันดับ 1 ที่แพทย์ผิวหนังในอเมริกาแนะนำ

ซึ่งสูตรที่ทางบริษัท L’oreal Thailand นำเข้ามาจำหน่ายในไทยนั้น ก็ได้ผ่านการวิจัยและปรับสูตรเพื่อให้เหมาะกับการใช้ในอากาศบ้านเราด้วยค่ะ

ซึ่งก็มีด้วยกันหลายสูตร ท่านที่สนใจสามารถติดตามรับชมได้ที่บน Official website ของทางแบรนด์ CeraVe ประเทศไทยได้เลยค่ะ

(Image from CeraVe Thailand Official Website)

สำหรับ Content นี้เราจะมาอัพเดทและวิเคราะห์ส่วนผสมของ CeraVe Moisturizing Lotion กันอีกครั้งนะคะ

สำหรับหน้าตาน้องก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ

ก็จะขอเล่าเรื่องของปราการผิว (Skin Barrier) ของเรา แล้วก็เทคโนโลยี MVE ของทางแบรนด์เล็กน้อยก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

ในผิวชั้นนอกของเรา จะมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 3 อย่าง ที่ทำหน้าที่เป็นตัวปกป้องรักษาความชุ่มชื้นให้คงอยู่ในผิว และป้องกันไม่ให้สารอันตรายต่างๆเข้ามาในผิว ที่เราเรียกกันว่า Barrier ผิวค่ะ

สิ่งเหล่านี้ได้แก่

  1. ไขมันที่เรียงตัวเป็นชั้นๆ หรือ Lipid lamellar
  2. สารชอบน้ำ ที่เรียกว่า Natural moisturizing factor เช่น พวกกรดอะมิโน น้ำตาล ยูเรีย และอิออนบางชนิด
  3. โปรตีนเคราติน และการเรียงตัวแบบสลับซับซ้อนของเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นนอก ที่ชื่อ Corneocyte

ว่ากันว่า ไขมันนั้นสำคัญที่สุดในการเป็น Barrier ของผิวนะคะ

แน่นอนว่า ไขมันนี้ เป็นคนละชนิดกับ น้ำมัน Sebum ที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมันในรูขุมขน

ไขมันส่วนนี้อยู่ในผิวชั้นนอกของเรา เรียงตัวเป็นชั้นๆ ประกอบด้วยไขมัน 3 ชนิดหลักๆ คือ Ceramide, Cholesterol และ กรดไขมันค่ะ

และองค์ประกอบที่พบมากที่สุดในไขมันนี้ก็คือ Ceramide ที่พบได้เกือบถึง 50% เลยทีเดียว และนางก็มีความสำคัญมากกับความแข็งแรงของ Barrier ผิว

Ceramide นั้นมีหลายชนิดค่ะ แต่ชนิดที่มีความสำคัญคงหนีไม่พ้น Ceramide 1 แต่ทางเครื่องสำอางเราไม่ค่อยนำมาใช้กัน เพราะปัญหาเรื่องความคงตัว เลยหยิบเอา Ceramide 3 ที่คงตัวดีกว่ามาใช้กันเสียมากกว่า

ข้อดีอย่างหนึ่งของ CeraVe ก็คือ ใช้ Ceramide 3 ชนิด คือ Ceramide 1, Ceramide 3 และ Ceramide 6-II ในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อเสริมการฟื้นฟู Barrier ผิวของเราได้อย่างลงตัวค่ะ

ส่วนเทคโนโลยี MVE นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการนำส่งสารบำรุงเข้าสู่ผิวค่ะ

MVE นั้นย่อมาจาก Multivesicular emulsion ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีทั้งสิทธิบัตร และงานวิจัยรองรับรับ โดยเป็นระบบนำส่งที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมที่มีหลายๆชั้น คล้ายหัวหอม เวลาลงผิว ก็จะค่อยๆปลดปล่อยออกมาทีละชั้น ทำให้สารเพิ่มความชุ่มชื้นต่างๆอยู่ในผิวได้นานขึ้น (Ref: J Clin Aesthet Dermatol. 2016; 9(12): 26–32.)

(Image from CeraVe Thailand)

ซึ่งตรงนี้ทางแบรนด์เองก็มีผลการทดสอบประสิทธิภาพด้านความชุ่มชื้นในอาสาสมัครด้วยนะคะ

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

จากส่วนผสมวันนี้ทำสีของสารบำรุงไว้ 2 สีค่ะ

ในส่วนของสารบำรุงสีม่วงจะเป็นส่วนของสารไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิวค่ะ ซึ่งได้แก่

  • Ceramides ทั้ง 3 ชนิด คือ Ceramide 1, 3 และ 6-II ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกเซราไมด์ได้อย่างชาญฉลาด ผิวหนังของคนเราประกอบด้วย Ceramides อยู่หลายชนิดก็จริง อันนี้ขอลงลึกนิดหน่อย ถ้าแบ่งแบบง่ายๆ เราสามารถแบ่ง Ceramides ในผิวได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ตามชนิดของกรดไขมันที่เป็นองค์ประกอบในโมเลกุล คือ Ceramides กลุ่ม N เป็น Ceramide ที่มีกรดไขมันชนิดปกติ กลุ่ม A มีกรดไขมันที่มีหมู่ Hydroxyl ที่ตำแหน่ง alpha-carbon และกลุ่ม EO มีกรดไขมันชนิดที่มีการ Esterified บริเวณ Hydroxyl ตำแหน่ง Omega ว่ากันว่า เซราไมด์กลุ่ม EO จะมีความสำคัญมากที่สุดในการทำให้ Barrier ของผิวแข็งแรง และผิวเราต้องมีสัดส่วนของ Ceramide A, N และ EO ที่เหมาะสมถึงมีผิวแข็งแรง ทีนี้ทางแบรนด์ก็เลยหยิบเอาเซราไมด์ตัวแทนจากแต่ละกลุ่มมาใส่ในครีม ถึงบอกว่านี่คือการใช้ได้อย่างชาญฉลาด
  1. Ceramide AP เป็น Ceramide ในกลุ่ม A มีชื่ออีกชื่อว่า Ceramide 6 II
  2. Ceramide NP เป็น Ceramide ในกลุ่ม N มีชื่ออีกชื่อว่า Ceramide 3 ตัวนี้เป็นเซราไมด์ชนิดที่พบมากที่สุดในผิวเรา
  3. Ceramide EOP เป็น Ceramide ในกลุ่ม EO ที่มีกรดไขมันสายยาวๆอยู่ แต่จากแหล่งข้อมูล มี่ก็ยังมีความสับสนอยู่ เพราะ Ceramide 1 ที่แท้ทรูคือ Ceramide EOS
  • Cholesterol เป็นอีก 1 องค์ประกอบที่สำคัญของ Barrier ผิว
  • Phytosphingosine เป็นเบสชนิดหนึ่งกลุ่ม Sphingoide ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในโครงสร้างของ Ceramide

ตัว Phytosphingosine ของมันเองก็มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการ และมีการศึกษาวิจัยรองรับอยู่หลายชิ้น ที่น่าสนใจคือ น้องมีคุณสมบัติที่ดีในการดูแลการอักเสบและระคายเคืองผิว และเสริมการบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) ของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า (Keratinocyte) ให้ทำงานได้สมบูรณ์และโตเต็มไว (Mol Med. 2006; 12(1-3): 17–24.)

  • Caprylic/capric glycerides เป็นไขมันชนิด Triglycerides ซึ่งผิวเราสามารถย่อยสลายแปรสภาพได้เป็นกรดไขมัน กับ Glycerin

สีฟ้า เป็นสารบำรุงอื่นๆ ที่ไม่ได้จัดเข้ากับ Barrier lipid ได้แก่

  • Sodium hyaluronate ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้น
  • Tocopherol หรือวิตามินอี เป็น antioxidant

ในภาพรวมจึงเน้นไปที่ความแข็งแรงของผิว และเสริมความชุ่มชื้น

และในสูตรไม่มีส่วนผสมสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนดีกว่าค่ะ วันนี้ส่วนผสมมีไม่ค่อยเยอะมาก ขอแบ่งให้คะแนนเป็น 2 หมวดนะคะ

  1. ส่วนผสม ถ้าพิจารณาในด้านของส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกับ Barrier ผิวทั้งหมด ตัวนี้ยังถือว่าขาดกลุ่ม NMF ที่เป็นสารโมเลกุลเล็กอยู่นะคะ แต่ถ้าพิจารณาในด้านของสารไขมันที่เสริมสร้าง Barrier ผิวทั้งหมด ตัวนี้ถือว่าทำมาได้ดี และมีความชาญฉลาด ที่เลือกใช้เซราไมด์ทั้ง 3 กลุ่มหลัก คือ A, N และ EO ตามชนิดที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว ส่วนผสมทุกตัวที่ใส่มามีความเป็นมิตรกับผิวดีค่ะ และอย่าลืมประเด็นของเรื่อง MVE technology ด้วย จุดนี้ขอให้คะแนนแบบในภาพรวมที่ 4 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน น้องเป็นโลชั่นที่ให้สัมผัสที่ค่อนข้างบางเบามาก ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะ ในส่วนของสัมผัสหลังใช้ก็ถือว่าค่อนข้างดีค่ะ เบาสบายผิว เอามาทาได้ทั้งหน้าและตัวค่ะ ขวดเดียวครบจบทั้งหน้าตัว ระหว่างวันถ้าเหงื่อออกก็ไม่ได้เยิ้มหรือรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว รับไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ CeraVe ประเทศไทย ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ CeraVe ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/CeraveThailandOfficial/

หรือจะตามไปส่องอัพเดทโปรโมชั่นใหม่ๆ ก็สามารถทำได้ตามสะดวกเลยค่ะ

Shopee Mall: https://invl.io/clfdg1w

Laz Mall: https://invol.co/clfdg2j

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาจากทางแบรนด์ CeraVe การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ ผู้เขียนไม่ได้รับค่าตอบแทนในการเขียนรีวิวนี้และไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ในการขายสินค้า แต่ผู้เขียนอาจได้รับส่วนแบ่งจากการคลิ้กลิงค์ไปยังร้านค้า

Image

[Preview] ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สุดปังจาก Biobalance

เมื่อช่วงต้นเดือนทีผ่านมานี้ ทาง Biobalance ประเทศไทยได้นำเอาสินค้าความงามเข้ามาจำหน่ายในไทยอีกหลายรายการเลย

วันนี้เลยขออัพเดทให้ได้ชมกัน พร้อม Preview นิดหน่อยพอเป็นพิธีค่ะ

แบรนด์ Biobalance นั้นเป็นแบรนด์เวชสำอางที่น่าสนใจแบรนด์หนึ่งนะคะ ด้วยความที่ทางทีมผู้พัฒนาสูตรเลือกส่วนผสมจากธรรมชาติมาเบลนด์รวมกันอย่างลงตัว และตัวสินค้าเองก็มีราคาที่ย่อมเยา ไม่แพง จับต้องได้ เข้าถึงง่ายค่ะ

ส่วนตัวเคยทำ Brand introduction ไว้ หากท่านใดสนใจรับชมสามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้ได้เลยค่ะ

https://miyeonthereviewer.com/2022/08/26/brandintro-biobalance/

และ ได้รีวิว Eye cream ที่น่าสนใจ ราคามิตรภาพไว้ที่ลิงค์นี้ค่ะ

https://miyeonthereviewer.com/2022/09/23/biobalance-eye/

สำหรับสินค้าใหม่จากทาง Biobalance นั้นพึ่งวางจำหน่ายไปเมื่อ 11 พฤศจิกายนที่ผ่านมาค่ะ โดยขอเริ่มที่ 3 ชิ้นนี้ก่อนนะคะ

มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตอนแรกที่เห็นเจ้ากล่องเหลืองๆ คือแบบ อันนี้อะไร ทำไมดูคลีนๆ ดูไปดูมาก็น่ารักดี

น้องชื่อ Hello clean Brightening cleansing balm with pure vitamin C

น้องเป็น Cleansing balm เนื้อนุ่ม แว่บแรกที่เปิดกระปุกมา ดูเหมือนจะแข็งนะคะ แต่เอาช้อนตักเข้าไปคือนุ่มมาก เหมือนไอศกรีมเลย

Hello clean มีส่วนผสมของวิตามินซี ร่วมกับสารสกัดจากดอก Porcelain (Hoya lacunosa flower extract) เข้าใจว่าน่าจะหมายถึง Crodarom® Porcelain Flower (INCI: Caprylic/Capric Triglyceride (and) Hoya Lacunosa Flower Extract) ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมไปในเชิงของการให้ความรู้สึกสบายผิว ลดความระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้นและเป็น Antioxidant

ความน่ารักจุดแรกอยู่ที่น้องจะเปลี่ยนเนื้อจากบาล์มนุ่มๆ กลายเป็นออยล์ที่ให้สัมผัสหรูหราแบบ Silky เมื่อเรานวดวนๆ ไป ตอนล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆ ผิวเราจะนุ่มมากเว่อร์

ส่วนตัวแนะนำให้ใช้เป็นเทคนิค Double clean นะคะ นวดๆ วนๆ จนฉ่ำใจ แล้วไปล้างด้วยโฟมหรือเจลล้างหน้าต่ออีกครั้ง มันจะฟินมาก

ความน่ารักจุดที่สองอยู่ที่ เราไม่ค่อยเห็นใครเคลมเกี่ยวกับการล้าง Sunscreen บนพวกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเท่าไหร่ แต่น้อง Hello clean เคลมว่าทำได้ค่ะ ก็ถือเป็นอะไรที่ดูน่ารักและน่าสนใจไปอีกแบบ

ถัดมาจะเป็นกลุ่มที่ทางแบรนด์เรียกว่า Super serum ซึ่ง ณ ขณะนี้ที่เข้ามาในบ้านเรามีด้วยกัน 2 สูตร คือ สูตร Pure vitamin C ที่เป็นวิตามินซีในความเข้มข้น 10% และ สูตร Retinol’E ซึ่งเป็น วิตามินเอ รูป Retinol 0.3% ร่วมกับ วิตามินอีรูป Tocopheryl acetate + Tocopherol รวม 2% ค่ะ

ตัวภาชนะเป็นขวดสีชาที่มีดรอปเปอร์นะคะ

สำหรับส่วนผสมของ Pure vitamin C นั้นมาแบบเรียบง่าย คลีนๆ ลีนๆ คือ เป็นวิตามินซี Ascorbic acid ละลายใน Propanediol ที่มีข้อมูลความปลอดภัยค่อนข้างดีค่ะ มีกันอยู่แค่ 2 ส่วนผสม ตรงตาม Concept ‘The less is more’ เป๊ะๆ

ส่วนตัว Retinol’E นั้น เป็นเบสแบบออยล์นะคะ อาศัย Coco-caprylate/caprate ที่เป็นออยล์ดัดแปลงจากน้ำมันมะพร้าว มีน้ำหนักเบา ไม่เหนอะหนะเป็นเบสหลัก ละลายเอาเรตินอล และวิตามินอีเอาไว้ เสริมมาด้วย Squalane เคลือบผิวให้ชุ่มชื้น และ Bisabolol ที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น คาโมมายล์ มีความเด่นในด้านการลดการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมของสินค้าชุดใหม่นี้สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยค่ะ

Facebook: https://www.facebook.com/BiobalanceOfficialThailand

Official LazMall: https://invol.co/cle62s0

Official Shopee Mall: https://invle.co/cle62tp

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Biobalance สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมวิตามินซีสุดเนี้ยบด้วยเทคโนโลยีนำส่ง MVP และ MLE กับ ครีม Intensive Repair-C จากแบรนด์ Zeroid

เชื่อว่าหลายคนกำลังให้ความสนใจกับครีมวิตามินซี Intensive Repair-C จาก Zeroid ที่มาในสูตรสุดปังที่กำลังโด่งดังอยู่ ณ ขณะนี้

คอนเทนท์นี้จึงขอหยิบเอาครีมวิตามินซีตัวนี้มาวิเคราะห์ส่วนผสม และเล่ารายละเอียด MVP Technology ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการรักษาความคงสภาพและนำส่งวิตามินซีเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับผิวค่ะ

สำหรับครีม Intensive Repair-C นี้มาในหน้าตาประมาณนี้ และเนื่องจากอยู่ในไลน์ Intensive จึงเป็นธีมสีเขียวมะกอกค่ะ

โดยตัวแพคเกจหลักจะเป็นแบบหลอดบีบ ก้นกว้างที่สามารถตั้งวางบนโต๊ะเครื่องแป้งได้อย่างสะดวก มาในขนาด 50 ml ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และพกพาสะดวกยามจำเป็นต้องเดินทาง

เนื้อครีมค่อนข้างข้น ตามสไตล์ของไลน์ Intensive และเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราเลยจะได้กลิ่นของส่วนผสมอยู่จางๆ

ถึงแม้ว่าเนื้อจะดูเหมือนข้น เหนอะหนะ แต่ความจริงไม่ได้เหนอะหนะหรือหนักผิวเลย เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไวแห้งไว ทิ้งฟิล์มบางๆ เคลือบผิวให้ความรู้สึกนุ่ม เนียน ชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน

ถ่ายด้วยแสงแฟลชเพื่อดูความชุ่มชื้นของเนื้อครีม

มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

สำหรับส่วนผสมวันนี้ขอแบ่งเป็นกลุ่มๆ 4 กลุ่มค่ะ

สีเขียว คือ สูตรผสม Combination ของ MVP technology ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการนำส่งและรักษาความคงตัวของวิตามินซีค่ะ

โดยอาศัยอนุภาคของ Colloidal gold เป็นแกนกลางของ Carrier ให้วิตามินซีในรูปแบบของ Ascorbic acid (AA) มายึดเกาะ และรอบๆ AA มี Glutathione มาเกาะอยู่ ซึ่งเจ้า Glutathione นี่แหละที่จะช่วยเป็นตัวปกป้อง AA ของเรา และช่วย Recycle AA ที่โดน Oxidized ถูกทำลายไปด้วยอนุมูลอิสระต่างๆ ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เรียกได้ว่ามีความพัฒนาระบบ Carrier นี้ออกมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

(Image from Zeroid Official)

จึงไม่แปลกใจเลยที่ว่าระบบนี้จะสามารถรักษาความคงสภาพของ AA ไว้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อทดสอบฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยใช้สาร DPPH ซึ่งเป็นสารมาตรฐานในงานวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ได้รับการยอมรับในวงการวิชาการ พบว่าเทคโนโลยี MVP ที่มีทองคำ-AA-GSH 3 อย่างจะทำงานได้ดีกว่าการใช้ AA เดี่ยวๆ GSH เดี่ยวๆ หรือแค่เอาทองมาจับกับ AA หรือ GSH เฉยๆ

เพราะ GSH จะช่วย Recycle AA กลับมาให้อยู่ในรูปแบบที่ Active อีกครั้ง วนไปวนมาแบบนี้เรื่อยๆ

และเมื่อทดสอบเทียบกับ Ascorbyl glucoside กับ Sodium ascorbyl phosphate ก็พบว่าเทคโนโลยี MVP ที่มีทองคำ-AA-GSH 3 อย่าง ทำงานได้ดีกว่า

(Image from Zeroid Official)

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์เพาะเลี้ยงเมื่อเทียบกับ AA พบว่า เทคโนโลยี MVP สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนได้ดีกว่า AA รูปแบบดั้งเดิม

ภาพ a คือ control เป็นเซลล์ Fibroblast เพาะเลี้ยงเปล่าๆ ใช้เป็นตัวควบคุม Fibroblast ด้วยเทคนิคนี้จะย้อมติดสีฟ้า

ภาพ b เป็นการใช้ AA ที่ความเข้มข้น 0.003% สังเกตว่าเมื่อย้อมสีคอลลาเจน ในเทคนิคนี้จะติดสีเขียว จะมีคอลลาเจนอยู่นิดหน่อย

ข้ามมาที่ภาพ d ซึ่งใช้เทคโนโลยี MVP ที่ความเข้มข้น 0.003% เท่ากับภาพ b จะเห็นว่าปริมาณของคอลลาเจนมีมากกว่ามาก และถ้าเจือจางลงไปอีก 10 เท่า ที่ความเข้มข้น 0.0003% ก็ยังให้ผลที่ดีกว่า AA จะกล่าวโดยนัยว่าฤทธิ์ดีขึ้น 10 เท่าก็คงไม่เกินจริงนัก

(Image from Zeroid Official)

ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงไปแล้ว การดูดซึมล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง บอกเลยว่าผลการดูดซึมก็ไม่เบา เมื่อทดสอบการดูดซึมผ่านผิวหนัง (Percutaneous absorption) ด้วยอุปกรณ์ Franz cell พบว่าน้อง MVP สามารถดูดซึมได้ โดยเริ่มพบว่าลงไปที่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ได้ตั้งแต่ 30 นาที ถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

(Image from Zeroid Official)

สำหรับประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากมลภาวะ (โดยใช้ Ozone เป็นตัวแทน) รังสี UV และ Visible light โดยให้อาสาสมัครทาครีมที่มีวิตามินซีในรูปแบบ AA หรือ MVP ความเข้มข้น 0.5% แล้ววัดการเรืองแสงของ Betacarotene ในชั้นผิวด้วยเทคนิค Skin autoflorescence ซึ่งปกติเวลาผิวเราเสียหายเพราะรังสี UV หรืออนุมูลอิสระ Betacarotene จะถูกทำลายและมีปริมาณลดลง โดยพบว่า การใช้วิตามินซีรูปแบบ MVP มีข้อดีและปกป้อง Betacarotene ในผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ดีกว่ารูปแบบ AA

(Image from Zeroid Official)

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของสารบำรุงเด่นๆ แทนด้วยสีน้ำตาลนะคะ

  • Methyl caprooyl tyrosinate ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า Defensamide มีรายงานว่าไปกระตุ้นเอนไซม์ Sphingosine Kinase 1 (SPHK1) ที่ Keratinocyte (เซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า) ซึ่งไปมีผลเพิ่มการสังเคราะห์ Antimicrobial peptides (AMP) ตามธรรมชาติของผิว จึงส่งเสริมและปกป้องผิวจากเชื้อจุลินทรีย์ และเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ผิว (Ref: Medchem Express; J Dermatol Sci. 2015;79(3):229-34.; J Immunol. 2018; 200(1 Supplement):170.14) นอกจากนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบยังกล่าวว่า มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ไปพร้อมๆกัน

(Image source: Medchem Express)

  • สารสกัดจาก Northern Truffle (Albatrellus confluens Extract) วัตถุดิบนวัตกรรมเหรียญทองแดงจากงาน in-cosmetics ประกอบด้วยสารพฤษเคมี grifolin, neogrifolin and scutigeral ที่ไปยับยั้งการนำส่งสัญญาณผ่านระบบ TRPV1 ซึ่งเป็นตัวรับความรู้สึกร้อนของผิว ที่เกี่ยวข้องกับอาการระคายเคือง พอยับยั้งไปแล้วก็จะไม่เกิดนำส่งสัญญาณ เลยไม่รู้สึกระคายเคือง จะรู้สึกสบายผิวแทน และตัววัตถุดิบเองยังมีข้อมูลว่ามีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ดูแลผิวที่แดงและระคายเคืองง่าย และลดรอยแดง (Ref: Rahn AG) มีรายงานการวิจัยที่ทดสอบสาร Grifolin ซึ่งแยกออกมาจากเห็ด Albatrellus ovinus เพื่อยืนยันความสามารถในการยับยั้ง TRPV1 และมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครพบว่า ครีมที่มีสารสกัดเห็ดนี้ที่ความเข้มข้น 3% ทำให้อาสาสมัครรู้สึกระคายเคืองและแสบผิวลดลง มีรอยแดงลดลง และเมื่อกระตุ้นด้วย Capsaicin จากพริก หรือความร้อน อาสาสมัครจะรู้สึกระคายเคืองและแสบผิวน้อยลง เพราะว่าสาร Grifolin นั้นไปยับยั้งการส่งสัญญาณผ่าน TRPV1 ไปเลยรู้สึกเคืองผิวน้อยลงนั่นเอง (Int J Cosmet Sci. 2017;39(4):379-385.)
  • Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester ตัวนี้อาจจะดูคล้ายว่าจะเป็น Calmosensine™ ที่เด่นเรื่องการ calm ผิวแต่ดูจากส่วนผสมที่เขาเรียงมาในลิสท์แล้วคาดว่าน่าจะเป็น Idealift™ (Butylene Glycol (and) Aqua (and) Sorbitan Laurate (and) Hydroxyethylcellulose (and) Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester) เพราะ Breakdown ออกมาแล้วตรงกันพอดี ตัว IdealiftTM นี่เด่นเรื่องของการเสริมการสังเคราะห์พวกเส้นใยที่เกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นของผิว ยกให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย

สีม่วงจะเป็นกลุ่มของไขมันที่ดูแล Barrier ผิว และให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ก็จะมีกลุ่มของ MLE และสารที่เป็นประโยชน์ในการดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิว

สีน้ำเงินจะเป็นกลุ่มของสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งก็มีอยู่หลายตัวและเสริมกันอย่างลงตัว

  • วิตามินบี 3 ที่ดูแลผิวได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening การดูแลเรื่องการฟื้นฟู Barrier ผิวตามธรรมชาติผ่านการสังเคราะห์ไขมัน รวมไปถึงการอักเสบและระคายเคือง และด้วยความเข้มข้นที่ใส่มา 5% ตามแบรนด์เคลมก็อาจจะให้ประโยชน์ดูแลเรื่องสิวไปด้วย
  • วิตามินบี 5 ดูแลด้านความชุ่มชื้น และความรู้สึกสบายผิว
  • วิตามินอี เป็น Antioxidant
  • Madecassoside ที่ได้จากบัวบก ก็เด่นไม่แพ้กันในด้านของการดูแลเรื่องริ้วรอย
  • และสารบำรุงอื่นๆ อีกหลายชนิด

โดยรวมจึงเป็นครีมวิตามินซี ที่ไม่ใช่แค่วิตามินซีธรรมดา แต่ดูแลผิวได้ครบจบทุกปัญหา และยังดูแล Barrier ผิวไปพร้อมๆ กันอย่างลงตัว

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ก็ทำมาได้ค่อนข้างดีเลย ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเป็นส่วนประกอบ

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. Active หรือสารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน ทั้งในด้านของเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่าง MVP technology ที่เอามาผสานรวมกับ MLE และนวัตกรรมอื่นๆ ไหนจะทรัฟเฟิลเอย Defensamide เอย วิตามินอื่นๆ เอย จึงออกมาเป็นส่วนผสมที่ดูแลผิวได้ครบจบทุกปัญหา เป็นวิตามินซีที่ไม่ใช่แค่วิตามินซีธรรมดา รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวพึ่งได้ลองใช้มาประมาณ 2 อาทิตย์ (ข้อมูล ณ 10 พ.ย. 65) ด้านของ Whitening หรือ จุดด่างดำนั้น ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาในขณะนี้ เลยยังตอบไม่ได้ แต่ในด้านของความสบายผิว ความนุ่มนวล Texture ผิวที่ดูและความรู้สึกเมื่อสัมผัสผิว การแต่งหน้าติดทน ค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี และไม่ได้รู้สึกระคายเคืองผิว จุดนี้ค่อนข้างชอบ และคิดว่าถ้าใช้ต่อไปเรื่อยๆ น่าจะเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น ขอให้ไป 5 ฟลาสก์ค่ะ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Zeroid สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันเลอค่ามาให้ได้รู้จักและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Zeroid โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ZeroidThailand

LazMall https://invol.co/clez4ss

ShopeeMall https://invl.io/clez4ue

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Zeroid การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

#Zeroid #ผิวแพ้ง่ายไว้ใจZeroid

#Repair –C  #MLE

Image

[Cosme-Diagnosis] มหกรรมวิเคราะห์ส่วนผสม รวมรีวิว 14 BHA Toner ตัวตึงแห่งปี 2022

สำหรับ Blog นี้จะเป็น Content รวมบทวิเคราะห์ส่วนผสม BHA toner ที่น่าสนใจในปี 2022 นี้ แต่ก่อนจะไปเริ่มวิเคราะห์ส่วนผสมขอกล่าวถึง BHA เล็กน้อยนะคะ

BHA หรือ Beta-hydroxy acid จัดเป็นสารในกลุ่มกรดอินทรีย์ (Organic acid) ชนิดหนึ่ง โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักและนิยมใช้ในวงการเครื่องสำอางคือ Salicylic acid

น้องมีคุณสมบัติละลายได้ในไขมัน และมีคุณสมบัติในการย่อยสลายโปรตีน Keratin ที่เป็นองค์ประกอบในสิวอุดตัน (Comedone) เราเรียกคุณสมบัตินี้ว่า Comedolytic

โดยในความเข้มข้นสูงๆ จะจัดเป็นยาที่ใช้กัดหนังแข็งๆ ส่วนทางเครื่องสำอาง ความเข้มข้นที่ให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องการอุดตันในรูขุมขนคือ 0.5 – 2.0% ในสูตร

แต่ข้อเสียของวงการเครื่องสำอางคือเรามักจะไม่ทราบความเข้มข้นของสารที่เขียนอยู่บนฉลาก เว้นแต่ผู้ผลิตจะบอกเองค่ะว่าใส่มาเท่าไหร่ การดูลำดับส่วนผสมก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง

ด้วยคุณสมบัติในการผลัดผิวของ Salicylic acid จึงไม่แนะนำให้ใช้ในตอนกลางวัน และถ้าใช้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF เหมาะสม และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดค่ะ

และมีข้อควรระวังในผู้ที่มีประวัติแพ้ Aspirin หรือ กลุ่มยาแก้ปวดลดอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพราะอาจจะเกิดการแพ้ได้

ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์นะคะ เพราะอาจจะมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ได้

สำหรับ content นี้ผลิตภัณฑ์ที่คัดเลือกมามีด้วย 14 ชิ้นค่ะ

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมขอ Disclaimer เล็กน้อยค่ะ

  1. Content นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ในเชิงการศึกษาเป็นหลัก
  2. Content นี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องสำอาง หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความงามแห่งใด
  3. Content นี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์โดยอาศัยหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  4. Content นี้มีการสอดแทรก Affiliated link โดยผู้เขียนอาจได้รับค่าตอบแทนจากการ Click link ที่แนบไว้ท้ายบทวิเคราะห์เครื่องสำอาง

ถ้าพร้อมแล้วขอเริ่มที่ตัวแรกเลยค่ะ

ขอเปิดประเดิมด้วยโทนเนอร์ดูแลสิวในตำนานจาก Some by Mi ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ผ่านตามาบ้าง

สมัยก่อนน้องมีขวดใหญ่มากๆ ด้วย แต่ตอนนี้เหลือมีขายแต่ขวดเล็ก แล้วก็มีไลน์ใหม่ที่เป็นไลน์ชาเขียวออกมาแทน ส่วนตัวก็ยังไม่เคยหยิบเอารุ่นชาเขียวมาดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง

แต่ตัว AHA BHA PHA 30 Days Miracle Toner ส่วนผสมคือมาเต็มมาก ทั้งดูแลสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการเติมน้ำไปพร้อมๆ กัน

สำหรับสารบำรุงอื่นๆ นอกจากพวก Acids แล้วก็มี Niacinamide ที่เป็นตัวเต็งในวงการสกินแคร์ ร่วมกับสารสกัดจากพืชหลายชนิด และสารบำรุงที่ดูแล้วเด่นไปในทางด้านการเติมน้ำให้กับผิว จะมีรองๆ ก็จะเป็นด้าน Whitening กับ การดูแลเรื่องริ้วรอยผ่าน Adenosine

สารสกัดจากถั่วเลนทิล อาจจะเป็นตัว p-Refinyl ของ Silab ประเทศฝรั่งเศส ที่มีเคลมเกี่ยวกับการดูแลเรื่องรูขุมขนไม่กระชับ ควบคุมความมัน และดูแลเรื่องความรู้สึกกระชับผิวไปพร้อมๆ กัน

ขอแนบ Aff link บน Watsons https://invol.co/clew3bt

Laz Mall Some by Mi https://invol.co/clew3ca

ตัวถัดมาเคยเป็นตัวตึงของบ้านมียอน กับน้อง BHA Music Toner จากแบรนด์ Skin Talk สัญชาติเกาหลีเช่นกัน

ตอนนี้เขาปรับสูตรอีกรอบค่ะ จะไม่เหมือนกับสูตรเก่า เลยขอหยิบเอาสูตรเก่ามาวิเคราะห์เป็นกรณีศึกษาก่อน

จุดเด่นของน้องคือน้องใช้น้ำสกัดจากใบชาเขียวเป็นเบสหลัก เสริมมาด้วยสารสกัดและสารบำรุงหลายชนิด นอกจาก AHA BHA แล้ว ยังมีสารสกัดจากพืชและสารบำรุงที่โดดเด่นในด้านของการดูแลเรื่องการระคายเคือง การสมานผิว การเติมน้ำให้ผิว และดูแลเรื่องสิว

มีเคลมเรื่องของสารสกัดจากสาหร่าย Chlorella ว่ามีประโยชน์ในด้านริ้วรอย

แต่เสียดายที่ตอนนี้สูตรปรับใหม่มีเปลี่ยนส่วนผสมไปหลายอย่างเหมือนกันค่ะ

ดูสูตรเก่าไปแล้ว มาดูสูตรใหม่ล่าสุดบ้าง สูตรนี้ส่วนตัวยังไม่มีโอกาสได้ลองนะคะ แม้จะเห็นว่ามีขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่บ้าง

ข้อมูลสูตรนี้เอามาจากเว็บไซต์ของแบรนด์ Skin Talk ประเทศเกาหลี นางบอกว่านางใช้น้ำชาเขียวแทนน้ำ แต่ดิฉันก็ยังเห็นน้ำอยู่นะ ต่อจากน้ำชาเขียวเลยค่ะ

จุดที่เปลี่ยนไปก็คือ มีการเพิ่ม Niacinamide เข้ามาในสูตร แล้วตัดเอา Chlorella กับ สาหร่ายเคลป์หมักทิ้งไป เพิ่มเอาสารสกัดจากรำข้าวเข้ามา

ในภาพรวมคือน้องก็ยังมีส่วนผสมที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว สมานผิว เติมน้ำ และดูแลเรื่องสิวได้อยู่

แต่ส่วนตัวแอบชอบส่วนผสมของตัวเก่ามากกว่า

ตัวถัดมา ก็เคยเป็นตัวตึงของบ้านมียอนเหมือนกัน เป็นของจากเกาหลีอีกเช่นกัน

เรายังคงอยู่กับความเก๋ไก๋ของ K-beauty ค่ะ

ตัวนี้คือ Natural BHA Skin Returning A-Sol จากแบรนด์ CosRX ตอนนี้น้องมี Official Mall บน Lazada แล้วนะคะ สมัยก่อนดิฉันต้องสั่งผ่าน iHerb เอา แต่เสียดายสูตรนี้เหมือนไม่มีขายแล้วค่ะ ณ ตอนนี้ ก็ขอหยิบยกเอามาเป็นกรณีศึกษา เพราะมีความน่าสนใจอยู่ค่ะ

สำหรับตัวนี้มี AHA BHA โดย BHA น้องมาในรูปแบบ Betaine salicylate ซึ่งเป็นอนุพันธ์ที่ได้จากการรวมตัวกันของ Salicylic acid กับ Betaine ที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine อีกที จุดเด่นของ Betaine salicylate คือ มีการเคลมว่ามีความอ่อนโยนกว่า Salicylic acid ปกติ และตัว Betaine เองก็เด่นเรื่องการดูแลการระคายเคืองไปด้วย

เบสหลักมาในสารสกัดจากโพรโพลิส ที่โดดเด่นเรื่องการดูแลผิวหลายๆ ประการ ทั้งด้านของสิว และการอักเสบระคายเคือง เสริมมาด้วย Panthenol และ Allantoin ที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน ตามมาด้วยสารสกัดจากเมล็ดของ Cassia obtusifolia ที่อาจจะเป็นของบริษัท Garden of Naturalsolution ประเทศเกาหลี ที่เคลมว่ามี Polysaccharide ที่มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการระคายเคือง และอาการคันผิว

มี Hya เล็กน้อยพอกรุบกริบ

ปิดท้ายจบด้วย Tea tree oil ถ้าดูจากลำดับส่วนผสมก็พอกล้อมแกล้มว่าอาจจะให้ประโยชน์ด้านสิว

โดยรวมคือ แลดูอ่อนโยน ด้วยความมีสารดูแลเรื่องการระคายเคืองหลายสิ่งอัน

มาถึงสูตรปัจจุบันของ BHA จากแบรนด์ CosRX กันบ้างค่ะ

น้องมีชื่อว่า AHA/BHA Clarifying treatment toner จริงๆ น้องก็เป็นตัวเก่าแก่ตัวหนึ่งในวงการนะคะ

ในด้านของ AHA นอกจากจะเป็น Acids แล้วก็ยังใช้น้ำแอปเปิ้ล ที่มี AHA ตามธรรมชาติ

ส่วนของ BHA เป็น Betaine salicylate เหมือนสูตรป้ายแดง และเสริมมาด้วย BHA ธรรมชาติจากเปลือกต้น Willow

สารบำรุงอาจจะไม่จัดเต็มมาก แต่ก็เด่นไปในทางการดูแลเรื่องการระคายเคืองค่ะ

ราคาไม่แพงเว่อวังนะคะ เป็นมิตรจับต้องได้

อันนี้ขอแนบ Aff link ของ Laz Mall ไว้เผื่อใครอยากไปลองตำ

https://invol.co/cleot31

เมื่อพูดถึง Betaine salicylate แล้ว ขอหยิบเอาอีกตัวที่ดูดีงามไม่แพ้กัน เป็นงานฝาหรั่งค่ะ

Squalane + BHA pore minimizing toner จากแบรนด์ Biossance ที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง แต่น้องทำอะไรออกมาปังหลายๆ อย่างนะคะ

น้องมาในคอนเซปท์น่ารักๆ ส่วนผสมจัดเต็มด้วยสารสกัดจากธรรมชาติมากมายหลายชนิด ดูแลผิวได้ครบสยบทุกปัญหา ทั้งเรื่องสิว ผิวมัน การระคายเคือง Whitening เติมน้ำ รวมไปถึงอาจจะได้ประโยชน์ด้านริ้วรอย

กล่าวคือ รอยดำ รอยแดง รอยสิว ดูแลครบค่ะ

ส่วนของ Acid นั้นน้องเน้นไปที่ BHA ค่ะ โดยมี BHA ธรรมชาติจากเปลือก Willow ร่วมกับ Betaine salicylate

อีกจุดเด่นคือเสริม Squalane ที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผ่านกลไกการคืนไขมันให้ผิวนุ่มแบบ Emollient effect

อันนี้ขอแนบ Aff link ผ่านเว็บของ Sephora นะคะ ใครสนใจอยากลองเล่นก็ไปแอบส่องกันได้

https://invol.co/cleot19

ดูงานยากๆ ส่วนผสมเยอะๆ ไปแล้ว มาดูอะไรที่เรียบง่ายบ้างค่ะ กับแบรนด์ The INKEY List แบรนด์เรียบง่ายภายใต้คอนเซปท์ Knowledge Powered Skincare Products

ที่ใช้ส่วนผสมที่มีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพ และใช้เท่าที่จำเป็นตามเทรนด์ ‘The less is more’

Beta Hydroxy Acid ก็คือ BHA จริงๆ ค่ะ เสริมมาด้วย Betaine และ Biosaccharide gum-1 เพื่อดูแลด้านการระคายเคือง และเติมน้ำด้วย Hya

มี Zinc PCA ดูแลเรื่องควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน

แต่ราคาจะแอบแรงนิดนึง เผื่อใครสนใจแอบไปส่องไปตำได้ค่ะ

ขอแนบ Aff link ไปยัง Sephora

https://invol.co/cleot1p

ตัวถัดมายังอยู่กับงานเกาหลีนะคะ อีก 1 ตัวตึงลูกรักบ้านมียอนที่มาในคอนเซปท์ “คงจะดีถ้าเรามี Peeling ที่ดูแล Barrier ผิวไปพร้อมๆ กัน”

ตัวนี้เป็น Toner สำหรับดูแลผิวมันและผิวที่มีปัญหาสิว จากแบรนด์ Zeroid แบรนด์ดังในเครือ Neopharm ประเทศเกาหลี เจ้าของสิทธิบัตรเทคโนโลยี MLE ที่เด่นเรื่องของการฟื้นฟู Barrier ผิว ดูแลเรื่องผิวแข็งแรง และความชุ่มชื้น

และแน่นอนว่า Toner สูตรนี้ก็มี MLE ด้วยค่ะ

สำหรับ Acids ในนี้จะเป็น AHA ร่วมกับ LHA (Lipohydroxy acid) ชนิด Capryloyl salicylic acid ที่เอา Salicylic acid มาจับกับไขมัน Caprylic acid เพื่อเสริมคุณสมบัติในการละลายไขมัน น้อง LHA นี้จริงๆ พัฒนามาโดยเครือ L’oreal แต่น่าจะหลุด Patent ไปแล้ว เราเลยเจอได้ในหลายๆ แบรนด์

LHA มีงานวิจัยรองรับว่ามีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายด้านๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening, ริ้วรอย สำหรับเรื่องสิว น้องเหมือนจะเป็นตัวเสริมมากกว่า จากข้อมูลเรื่องการละลายซากเซลล์อุดตัน LHA จะเด่นไม่เท่า BHA แต่ถ้าใช้เสริมกับสารอื่นหรือยาที่ใช้เป็นประจำ น้องจะให้ประโยชน์ดีกว่าใช้สารนั้นอย่างเดียวล่ะ

สารเสริมอื่นๆ นอกจาก MLE ก็จะมี Betaine กับ Panthenol ที่ดูแลด้านการระคายเคือง ร่วมมากับ Hya ที่เติมน้ำ และ Zinc PCA ที่เด่นไปในเชิงการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และยังมีประโยชน์บ้างในด้านของริ้วรอย

ตัวนี้ราคาจะแอบแรงนิดหน่อย แต่ส่วนตัวก็เลิฟๆ ค่ะ

อันนี้ก็ขอแนบ Aff link ไปที่ Official Laz Mall ของแบรนด์ Zeroid นะคะ

https://invol.co/cleot2p

เมื่อพูดถึง LHA ขอมาดูงานไทยที่น่าสนใจบ้างค่ะ

น้องมาจากแบรนด์ Gravich กับ Acneology facial toner

ส่วนตัวได้เลือกน้องมาซักพัก และผ่านการใช้มา 2 ขวดแล้วนะคะ ด้วยความส่วนผสมดีงาม และราคาย่อมเยา ยิ่งมีโปรงามๆ คือ ไม่ถึง 200 บาท คือ คุ้มค่าปังเว่อร์

แบรนด์นี้ยังมีสกินแคร์อีกหลายชิ้นที่ดีงามไม่แพ้กันนะคะ

ในด้านของส่วนผสมของกลุ่ม Acids น้องจัดเต็มมากทั้ง AHA/BHA/PHA/LHA เสริมมาด้วย Niacinamide ที่เป็นตัวตึงด้านสกินแคร์

มีสารบำรุงอื่นๆ ที่ดูแลเรื่องการเติมน้ำ อย่าง Trehalose กับ Hya

ใช้ Biosaccharide gum-1 ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว คือ ดูแพงอ่ะ

สำหรับด้านสิวก็มี Zinc PCA, Witch hazel และวิตามินบี 6 ที่ดูแลเรื่องควบคุมความมันให้แก่ผิว

แนบ Aff link บน Laz Mall ค่ะ

https://invol.co/clep8j3

ดูงานไทยไปแล้ว อยากขอหยิบงานไทยอีกชิ้นมาเล่าให้ฟังต่อ

น้องมาในราคามิตรภาพ ส่วนตัวสอยมาจากร้านสีน้ำเงินค่ะ ตอนนั้นได้มาในราคาร้อยกว่าบาท

เป็น Tea tree chapter Anti-acne solutions first toner จากแบรนด์ Plantnery ค่ะ

อันนี้คือสมชื่อนะคะ Anti-acne solutions เพราะเน้นไปที่ acne แบบพุ่งมุ่งเป้ามาก

ไม่ว่าจะเป็นด้านการควบคุมความมันผ่าน Witch hazel วิตามินบี 6 Carnitine Zinc PCA ซึ่งบางตัวก็ให้ประโยชน์ดูแลกระชับรูขุมขนไปด้วย

ยังได้ประโยชน์ดูแลสิวจากสารสกัดใบ Neem และ Niacinamide

เติมน้ำด้วย Hya และดูแลการระคายเคืองด้วย Panthenol

ส่วนของ BHA นั้นเป็นชนิด Salicylic acid ตัวดั้งเดิมค่ะ

ขอแนบ Aff link บน Laz Mall นะคะ

https://invol.co/clep8ic

มาดูงานจากองุ่นที่เพื่อนสาวแสนสวยของหญิงเมนชั่นถึงกันบ้างค่ะ

น้อง Vinopure purifying toner จาก Caudelie แบรนด์ของฝรั่งเศส ที่อาจจะดูหาซื้อยากนิดหน่อย เพราะน้องมีที่ Sephora เราอาจจะต้องแบกร่างไปลองเนื้อนางก่อน

จุดที่น่าสนใจ คือ น้องใช้น้ำองุ่นมาเป็น AHA ธรรมชาติ ร่วมกับ Citric acid และ มี BHA ในรูปแบบ Salicylic acid ลดความระคายเคืองด้วย Rose water หอมกรุ่นที่เบลนด์กับน้ำมันหอมระเหยและสารหอมที่เป็นโมเลกุลที่พบเจอได้ตามธรรมชาติอย่างลงตัว

ติดนิดเดียวตรงมี Alcohol แต่ข้อดีของการมี Alcohol ก็คือน้องอาจจะช่วยขจัดเอา sebum ส่วนเกินบริเวณปากปล่องรูขุมขนออกไปได้ ก็จะอารมณ์เสริมๆ กัน และให้ความรู้สึกเย็นผิวตอนน้องระเหยไป แต่คนที่ sensitive กับ Alcohol ก็อาจจะห่างๆ นิดนึงเนอะ

แนบ Aff link จาก Sephora

https://invol.co/cleot25

ด้วยความที่ Caudelie เป็นงานฝรั่งเศส เลยขอหยิบเอา Effaclar ที่เป็นเสมือนนางเอกแห่งวงการผิวที่มีปัญหาสิวจากแบรนด์ Laroche-Posay ในเครือ L’oreal สัญชาติฝรั่งเศสเหมือนกันมาวิเคราะห์

เสียดายที่ตัวนี้ไม่มีในไทย เพราะน้องทำมาได้อย่างเด็ดดวงมาก น้องขึ้นทะเบียนเป็น OTC ใน USA ค่ะ

สำหรับส่วนผสมนอกจากน้ำแร่ La roche แล้วก็คือมี Salicylic acid ที่ความเข้มข้น 0.5% ตาม Guideline ในการดูแลสิว (0.5-2.0%) ร่วมกับ Glycolic acid ที่ 2.0% เสริมมาด้วย Capryloyl glycine ที่เด็ดดวงสำหรับสิว โดยทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า น้องไปยับยั้งเอนไซม์ 5alpha-reductase ที่เป็นเอนไซม์เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ให้กลายเป็น Dihydrotestosterone (DHT) ที่มีฤทธิ์แรงขึ้น

เจ้า DHT นี้ถ้ามีมากเกินไปก็จะส่งผลเสียหลายอย่าง เช่น ผิวมัน เป็นสิวง่าย ถ้าเป็นที่ผมก็ทำให้ผมร่วง

พอโดนยับยั้งไป DHT ก็จะไม่เยอะ ต่อมไขมันก็เลยไม่โดนกระตุ้น ไขมันที่สร้างออกมาก็เลยลดลง พอไม่มีไขมัน เชื้อ C. acnes ก็ไม่มีอะไรกิน อาการของสิวก็จะดีขึ้น

ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกนิดหน่อย อย่าง Polysaccharide จากเห็ดหูหนูขาว ที่เด่นเรื่องความชุ่มชื้น กับ Scutellaria extract ที่เด่นเรื่องของริ้วรอย คาดการณ์ว่าจะดูแลพวกรอยสิวอะไรแบบนี้ไปพร้อมๆ กัน

แต่ติดตรงที่มี Alcohol ใครที่ sensitive กับ Alcohol ก็เลี่ยงๆ แต่ใครผิวมันก็น่าจะชอบ

มาลองดูแบรนด์ที่น่าสนใจอีกแบรนด์นะคะ กับ Glamglow ที่รวบรวมสารพัด AHA เอาไว้เข้าด้วยกัน และมี BHA ในรูปแบบ Salicylic acid และ สารสกัดจากเปลือกต้น Willow

โดยในภาพรวมที่น่าสนใจคือ Mandelic acid ที่เป็น AHA ที่มีการกล่าวว่าให้ผลดีกับปัญหาสิว เสริมมาด้วยใบยูคาลิปตัส ซึ่งมีรายงานว่ามีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้าง Ceramide ของผิว (แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวัตถุดิบตัวเดียวกันกับที่รายงานหรือเปล่า) มี Witch hazel ที่ดูแลเรื่องรูขุมขน

และสารสกัดจากสาหร่าย ซึ่งถ้าทราบข้อมูลสายพันธุ์เราอาจจะวิเคราะห์กันต่อไปได้ว่ามีประโยชน์ไปในทางไหน

ลดการระคายเคืองด้วยว่านหางจระเข้

มีลูกเล่นมุ้งมิ้งด้วย Charcoal และผงวิบวับจาก Mica

ปกติแบรนด์นี้จะเด่นเรื่อง Clay mask ตัวโทนเนอร์เลยทำมาอารมณ์ให้เป็น Clay วิบวับๆ

แต่ตัวนี้มี Alcohol นะคะ ใครที่ sensitive ก็อาจจะต้องเลี่ยงไป

ว่าแล้วก็ขอแนบ Aff link บน Sephora ค่ะ

https://invol.co/cleot1t

ปิดท้ายด้วยโทนเนอร์จากแบรนด์ Tarte ที่เด่นเรื่องของ makeup ส่วนตัวไม่คิดว่าน้องจะทำ skincare ออกมาได้ปังเว่อร์

ในภาพรวมน้องมี AHA+ BHA+ PHA ที่เสริมมาด้วยสารบำรุงหลายชนิดที่ให้ประโยชน์หลายๆ ด้าน ประเดิมด้วย Niacinamide ตัวตึงสกินแคร์

มีสารสกัดจากหัวหอมที่ดูแลพวกการสมานแผล (Wound healing) และ Sulfur ซึ่งเป็นสาร(เก่าแก่)ที่ใช้ในการดูแลสิว แต่ดูจากลำดับคาดว่าอาจจะยังไม่ถึง dose ที่ต้องการก็เป็นได้

ใครสนใจก็ลองไปแอบส่องแอบตำกันได้ค่ะ

แนบ Aff link:

https://invol.co/cleot1i

สำหรับ Content นี้ก็คงต้องขออนุญาตตัดจบไปที่ตรงนี้นะคะ โอกาสหน้าจะเอาอะไรมาวิเคราะห์ส่วนผสมต่อไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

ปิดท้ายด้วย Disclaimer อีกรอบค่ะ

  1. Content นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ในเชิงการศึกษาเป็นหลัก
  2. Content นี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องสำอาง หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความงามแห่งใด
  3. Content นี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์โดยอาศัยหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  4. Content นี้มีการสอดแทรก Affiliated link โดยผู้เขียนอาจได้รับค่าตอบแทนจากการ Click link ที่แนบไว้ท้ายบทวิเคราะห์เครื่องสำอาง
Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Eye cream สุดเลอค่าในราคาที่จับต้องได้ กับ Brightening eye cream จาก Biobalance

สวัสดีค่ะ

หลายวันก่อนส่วนตัวได้อัพเดทรายละเอียดเกี่ยวกับแบรนด์ที่น่าสนใจอย่าง Biobalance ไป วันนี้เลยขอมาอัพเดท รีวิว และวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ครีมบำรุงรอบดวงตา สูตร Brightening eye cream ต่อค่ะ

Eye cream สูตรนี้มาในหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ด้านในเป็นหลอดแบบเรียว

ด้านหลังกล่องจะมีแนะนำคุณ Alpay เภสัชกรผู้ก่อตั้งแบรนด์ และกล่าวถึง Active ในหลอดนี้ค่ะ

ท่านที่พลาดบทแนะนำแบรนด์ Biobalance แล้วสนใจสามารถตามไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click แนะนำ Biobalance<<

เนื้อครีมมีสีขาว มีกลิ่นหอมนวลๆ

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไวไม่เหนอะหนะ แต่ยังคงความชุ่มชื้น

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมของอายครีมนี้มีสารบำรุงอยู่ด้วยกันหลายชนิด หลักๆ จะเป็นกลุ่มวิตามินรวม เปปไทด์ที่ดูแลเรื่องริ้วรอย กลุ่มสารที่ดูแลเรื่องการไหลเวียนเลือด และสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งแทนด้วยสีแต่ละสี

  • ขอเริ่มที่สีม่วง เป็นคู่ผสมของ N-hydroxysuccinimide และ Chrysin เป็นคู่ผสมที่เหมือนพี่น้อง ช่วยกันดูแลเรื่องของรอยคล้ำใต้ตา ซึ่งอาจมีสาเหตุมาจากการสะสมของของเหลวบริเวณรอบดวงตาจากการไหลเวียนเลือดที่ไม่ดี โดย

Chrysin เป็นสารพฤกษเคมีในกลุ่ม Polyphenol ที่พบได้ในหลายแหล่ง เช่น น้ำผึ้ง Propolis และในพืช รวมถึงผลไม้หลายชนิด ตัว Chrysin เองมีรายงานถึงคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบระคายเคือง ข้อมูลจากผู้ผลิต Claim ว่ามีส่วนช่วยในการกำจัดพวกเม็ดสี (Pigment) ที่สะสมในเส้นเลือดฝอยใต้ตา จึงช่วยลดเลือนรอยคล้ำรอบดวงตาให้แลดูจางลง มีรายงานหนึ่งกล่าวว่า Chrysin มีคุณสมบัติเสริมการทำงานของเอนไซม์ UGT1A1 ซึ่งมีผลต่อเนื่องในการกำจัด Bilirubin ที่อาจจะสะสมค้างในหลอดเลือดฝอยบริเวณใต้ดวงตา มีรายงานการวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเมลานิน (Biochem Biophys Res Commun. 2011; 411(1):121-5.) และมีคุณสมบัติปกป้องผิวและองค์ประกอบของผิวจากรังสี UV (J Agric Food Chem. 2011; 59(15):8391-400., Pharm Biol. 2016;54(11):2692-2700)

N-hydroxysuccinimide เป็นสารที่ทำงานร่วมกับ Chrysin ในการกำจัดเอาพวก Hemoglobin และ pigment อื่นๆในตาคล้ำ ออกไปทิ้งยังบริเวณอื่นๆของร่างกาย โดยไปช่วยให้ธาตุเหล็กที่เป็นองค์ประกอบ ใน Heme ละลายน้ำได้ดีขึ้น จึงถูกขับออกไปจากบริเวณใต้ตาได้

  • สีน้ำตาล คู่เปปไทด์ Palmitoyl Oligopeptide, Palmitoy Tetrapeptide-7 โดย Palmitoyl oligopeptide บางแหล่งก็กล่าวว่าหมายถึง Palmitoyl tripeptide-1 โดยสองตัวนี้ทำงานเสริมกันในการเสริมสร้างคอลลาเจน และสารเส้นใยในกลุ่ม Glycosaminoglycans (GAGs) เพื่อให้ผิวมีความกระชับ แข็งแรง แน่น (Firm) ลดเลือนริ้วรอย และปกป้องเส้นใยเหล่านี้ไม่ให้ถูกทำลายจากสภาวะต่างๆ เช่น ความเครียด รังสี UV
  • สีน้ำเงิน เป็นกลุ่มของวิตามินรวม ได้แก่
    • Niacinamide ขวัญใจสายสกินแคร์ นางเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening, ด้านการชะลอวัย ดูแลปัญหาการอักเสบระคายเคืองSodium ascorbyl phosphate นางเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินซี ซึ่งมีคุณสมบัติบำรุงผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระ และวิตามินซีเอง ตามธรรมชาติยังมีคุณสมบัติในการเป็น Whitening ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวการสร้างเม็ดสี วิตามินซีเองยังมีประโยชน์ในการลดการอักเสบระคายเคือง และเป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจนTocopheryl acetate เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินอี เป็น Antioxidant เช่นกัน
    • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 ที่เด่นในด้านของความชุ่มชื้นและลดการอักเสบระคายเคือง รวมถึงเสริมความแข็งแรงให้แก่ผิว
  • สีฟ้า เป็นสารสกัดจากพืชและสารบำรุงอื่นๆ ได้แก่
    • สารสกัดจากโรสแมรี่ เป็น Antioxidantสารสกัดจากชะเอม ที่เป็น Whitening และดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคืองAllantoin ที่ดูแลเรื่องการระคายเคือง
    • สารสกัดจากใบบัวบกที่มีประโยชน์กับผิวหลายประการ โดยจะเด่นไปที่ด้านการดูแลเรื่องริ้วรอย
  • สีชมพู Titanium dioxide ตอนแรกเข้าใจว่าใส่มาเพื่อให้ความขาว บดบังปกปิดสีผิวเดิมเหมือน Alumina แต่ด้วยความวงเล็บคำว่า nano จึงมีประโยชน์ในการปกป้องผิวจากรังสี UV ไป แต่ตัว product ไม่ได้ Claim ด้านการป้องกันแสงแดด
  • สีเขียว Alumina เป็นเม็ดสี (Pigment) สีขาว ที่อำพรางสีผิว ปกปิดให้ผิวแลดูขาวขึ้นกระจ่างขึ้น

ในส่วนของเนื้อหลักนั้น มาในรูปแบบของอิมัลชั่น ที่มีน้ำ น้ำมันและซิลิโคนตามปกติ ไม่มีส่วนผสมของ Alcohol และสารอื่นที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มีสารปรุงแต่งอยู่ 2 ตัวที่อาจจะมีปัญหากับผู้ที่ไวต่อการระคายเคืองได้ อย่าง Sodium cetearyl sulfate ซึ่งเป็นสารกลุ่ม surfactant ประจุลบ ที่อาจจะระคายเคืองผิว กับ Chlorhexidine digluconate ที่ใส่มาเป็นสารระงับเชื้อ เข้าใจได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์สำหรับรอบดวงตาจึงมีความใส่ใจด้านการปนเปื้อนเชื้อ แต่สารนี้อาจจะก่อระคายเคืองได้ แต่ทั้งนี้การระคายเคืองนั้นขึ้นกับความเข้มข้นของสาร โดยสองตัวนี้มาในลำดับท้ายๆ และการตอบสนองก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อีกทั้งในสูตรยังมีสารที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองอยู่หลายตัว จึงไม่น่าเป็นกังวลอะไร ซึ่งส่วนตัวนั้นได้ทดลองใช้มาประมาณ 2 อาทิตย์ ก็ใช้ได้ไม่พบอาการผิดปกติอะไร

ให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Active ดังที่ได้กล่าวไปว่าเป็น Eye cream ที่ดูเหมือนจะเป็น Eye cream พื้นๆ สูตรคลาสสิค ไม่หวือหวา แต่ส่วนผสมของคุณเขาจัดมาได้ครบมาก จบทุกปัญหาความต้องการของครีมบำรุงผิวรอบดวงตา ไม่ว่าจะเป็นด้านของริ้วรอย รอยคล้ำรอบดวงตา น้องตอบโจทย์ได้อย่างลงตัว รวมทั้งยังเสริมวิตามินและเปปไทด์ที่ดูแลเรื่องการชะลอวัยมาพร้อม สำรวจราคาใน LazMall official ของทางแบรนด์อยู่ที่ 499 บาท (ณ 23 ก.ย. 65) ราคานี้ ทำมาได้ครบขนาดนี้ เอาไปเลยค่ะ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวไปเรื่องของสารก่อการระคายเคืองนั้น ถึงแม้ว่าจะพัฒนาสูตรมาได้ค่อนข้างดี เลือกใช้สารที่ดูแลและป้องกันปัญหาระคายเคืองเข้ามา และส่วนตัวเองก็สามารถใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่เพื่อความแฟร์เลยจำเป็นต้องหักคะแนน เหลือ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวค่อนข้างชอบความบางเบาของครีมชิ้นนี้ แต่ถึงแม้จะบางเบาก็ไม่ถึงกับทำให้ผิวรอบดวงตาแห้ง ในด้านของประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอยและรอยคล้ำนั้น ส่วนตัวพึ่งทดลองได้ประมาณ 2 อาทิตย์ อาจจะยังตอบโจทย์ได้ไม่ชัด แต่ก็รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Biobalance สาขาประเทศไทยที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/BiobalanceOfficialThailand

Official LazMall: https://invol.co/cle62s0

Official Shopee Mall: https://invle.co/cle62tp

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Biobalance สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[BeautyUpdate] The Return of Biobalance

          เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะยังคุ้นๆ กับแบรนด์ Bio-Balance เวชสำอางชื่อดังจากบริษัท Alpaya ประเทศตุรกีที่เคยเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราเมื่อช่วงปี 2016

          ส่วนตัวเองก็มีโอกาสได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อยู่ 2 ชิ้น คือ Whitening สำหรับผิวหน้า และ ผิวตัว สมัยนั้นหน้าตาน้องเป็นประมาณนี้ค่ะ

วันนี้เข้าไปดูอีกทีคือออกแบบได้ก้าวไกลหรูหราหมาเห่า แถมพัฒนาส่วนผสมให้ดูดีงามกว่าเดิมไปอีก

(Image from BioBalance official website)

          ผลิตภัณฑ์บางตัวของแบรนด์เข้ารอบสุดท้าย (เป็น Finalists) ในการประกวดเครื่องสำอางระดับโลก The Beauty Global Award Finalists ประจำปี 2021 ไปเรียบร้อย

          อย่างเจ้าเซรั่ม Hyaluron ชิ้นนี้ที่เรียกได้ว่าทำมาไม่น้อยหน้าใครเลย

   

(Image from BioBalance official website)

          ตอนนี้มีบริษัทในไทยที่นำเข้าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ BioBalance กลับมาจำหน่ายอีกครั้ง ซึ่งก็มีอยู่หลายชิ้น กำลังจะทยอยๆ ตามกันมา เลยอยากเล่าประวัติของแบรนด์ ให้ได้ฟังกันสักเล็กน้อย

(Image from BioBalance official website)

แบรนด์ BioBalance พัฒนาขึ้นมาโดยเภสัชกร คุณ Kenan Alpay ในช่วงต้นๆ ของปี 90s โดยเลือกค้นคว้าวิจัยพืชพรรณที่มีคุณค่าจากที่ราบสูง Anatolia

(Image from BioBalance official website)

ในช่วงต้นๆ บริษัทก็มีชื่อตามตัวของคุณ Alpay คือ Alpay Pharmacy ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น Alpaya Dermaceuticals ในช่วงปี 2000 โดยมุ่งเน้นที่จะเลือกเอาส่วนผสมจากธรรมชาติมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับดูแลเส้นผมและผิวพรรณ

ตอนนี้เองก็ส่งออกไปที่ 17 ประเทศทั่วโลกแล้ว

และว่ากันว่า แม้บริษัทจะเติบโตไปมาก อายุย่างเข้า 22 ปีแล้ว คุณ Alpay ยังคงเป็นผู้นำในการคิดค้นและพัฒนาสูตรต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและมีความทันสมัยอยู่เสมอ โดยพัฒนาร่วมกับนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางผู้เชี่ยวชาญ

(Image from BioBalance)

ตอนนี้ทางแบรนด์เองมีผลิตภัณฑ์มากมายที่น่าสนใจ ซึ่งส่วนตัวจะนำมาอัพเดทเป็นระยะ โดยจะเริ่มจากครีมบำรุงผิวรอบดวงตาก่อนในโอกาสถัดไปนะคะ

ขอโปรยหน้าตาของผลิตภัณฑ์ทิ้งไว้ก่อนมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมอีกทีค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในโอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ BioBalance บทความนี้มีความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการติดตาม