Image

[BeautyUpdate] The Return of Biobalance

          เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะยังคุ้นๆ กับแบรนด์ Bio-Balance เวชสำอางชื่อดังจากบริษัท Alpaya ประเทศตุรกีที่เคยเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราเมื่อช่วงปี 2016

          ส่วนตัวเองก็มีโอกาสได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์อยู่ 2 ชิ้น คือ Whitening สำหรับผิวหน้า และ ผิวตัว สมัยนั้นหน้าตาน้องเป็นประมาณนี้ค่ะ

วันนี้เข้าไปดูอีกทีคือออกแบบได้ก้าวไกลหรูหราหมาเห่า แถมพัฒนาส่วนผสมให้ดูดีงามกว่าเดิมไปอีก

(Image from BioBalance official website)

          ผลิตภัณฑ์บางตัวของแบรนด์เข้ารอบสุดท้าย (เป็น Finalists) ในการประกวดเครื่องสำอางระดับโลก The Beauty Global Award Finalists ประจำปี 2021 ไปเรียบร้อย

          อย่างเจ้าเซรั่ม Hyaluron ชิ้นนี้ที่เรียกได้ว่าทำมาไม่น้อยหน้าใครเลย

   

(Image from BioBalance official website)

          ตอนนี้มีบริษัทในไทยที่นำเข้าผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ BioBalance กลับมาจำหน่ายอีกครั้ง ซึ่งก็มีอยู่หลายชิ้น กำลังจะทยอยๆ ตามกันมา เลยอยากเล่าประวัติของแบรนด์ ให้ได้ฟังกันสักเล็กน้อย

(Image from BioBalance official website)

แบรนด์ BioBalance พัฒนาขึ้นมาโดยเภสัชกร คุณ Kenan Alpay ในช่วงต้นๆ ของปี 90s โดยเลือกค้นคว้าวิจัยพืชพรรณที่มีคุณค่าจากที่ราบสูง Anatolia

(Image from BioBalance official website)

ในช่วงต้นๆ บริษัทก็มีชื่อตามตัวของคุณ Alpay คือ Alpay Pharmacy ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น Alpaya Dermaceuticals ในช่วงปี 2000 โดยมุ่งเน้นที่จะเลือกเอาส่วนผสมจากธรรมชาติมาพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพสำหรับดูแลเส้นผมและผิวพรรณ

ตอนนี้เองก็ส่งออกไปที่ 17 ประเทศทั่วโลกแล้ว

และว่ากันว่า แม้บริษัทจะเติบโตไปมาก อายุย่างเข้า 22 ปีแล้ว คุณ Alpay ยังคงเป็นผู้นำในการคิดค้นและพัฒนาสูตรต่างๆ ให้มีประสิทธิภาพและมีความทันสมัยอยู่เสมอ โดยพัฒนาร่วมกับนักวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางผู้เชี่ยวชาญ

(Image from BioBalance)

ตอนนี้ทางแบรนด์เองมีผลิตภัณฑ์มากมายที่น่าสนใจ ซึ่งส่วนตัวจะนำมาอัพเดทเป็นระยะ โดยจะเริ่มจากครีมบำรุงผิวรอบดวงตาก่อนในโอกาสถัดไปนะคะ

ขอโปรยหน้าตาของผลิตภัณฑ์ทิ้งไว้ก่อนมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมอีกทีค่ะ

แล้วพบกันใหม่ในโอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ BioBalance บทความนี้มีความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณในการติดตาม

Image

ประโยชน์ของ Zinc ต่อผิวพรรณ และรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมสเปรย์น้ำแร่ Trio-Zinc Mist จาก Novexpert เวชสำอางสายคลีนจากประเทศฝรั่งเศส

สวัสดีค่ะ วันนี้มีสาระดีๆ เกี่ยวกับประโยชน์ของ Zinc ที่มีต่อผิวมาฝากกัน

และมีรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมสเปรย์น้ำแร่ Zinc ตัวดังจาก Novexpert เวชสำอางของประเทศฝรั่งเศสมาฝากกันค่ะ

กล่าวถึงแบรนด์นี้กันสักเล็กน้อยนะคะ แบรนด์นี้เขาเด่นในแง่ของการเบลนด์เอาหลักการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีขั้นสูง ผสานเข้ากับส่วนผสมจากธรรมชาติที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยมาเป็นอย่างดี

แล้วก็มีความ Clean แล้วก็มีความไม่ใช้ส่วนผสมที่มาจากสัตว์ ก็เลยถือว่ามีความ Vegan ด้วยค่ะ

ส่วนตัวก็เคยมีโอกาสได้ลองสินค้าของทางแบรนด์อยู่หลายชิ้นอย่างตัวเซรั่มวิตามินซี กับเซรั่มไฮยา ซึ่งก็ชอบมากๆ ทั้งคู่

เคยทำรีวิวไว้นานมากแล้วไม่แน่ใจเขาเปลี่ยนส่วนผสมหรือยังนะคะ สามารถติดตามไปแวะอ่านเป็นแนวทางจากบน Blog ที่เคยทำไว้ได้ค่ะ

วิตซี https://miyeonthereviewer.com/2018/06/29/novexpertvc/

ไฮยา https://miyeonthereviewer.com/2018/07/10/novexpert-hya/

กลุ่มที่จะมารีวิวคราวนี้มาจากกลุ่มของ Trio Zinc นะคะ ซึ่งเน้นที่ Zinc เป็นพระเอกค่ะ

ในกลุ่มนี้มีผลิตภัณฑ์อยู่หลายชิ้น ส่วนใหญ่จะเหมาะกับปัญหาผิวมัน สิว แต่ก็ให้ประโยชน์ได้ในการชะลอวัย และ มีบางตัวที่คนผิวแห้งหรือผิวผสมก็เอามาประยุกต์ใช้ได้ค่ะ

(Image from Novexpert)

ซึ่งทางแบรนด์ก็ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพของ Hero ของไลน์อย่าง Purifying fluid ก็พบว่ามีประโยชน์ทั้งในด้านจุดด่างดำและริ้วรอยค่ะ

โดยตัวที่จะหยิบยกมารีวิวในวันนี้นั้นเป็นสเปรย์น้ำแร่ (Mist) ที่เคยเอามาเกริ่นๆ ว่ารักน้องมากๆ ช่วงก่อน คือเจ้า Trio-Zinc mist นั่นเองค่ะ

น้องมีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

แอบลุ้นให้มีขวดเล็กขนาดพกพา

สำหรับค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ

ในด้านการใช้งานนั้น จะเอามาสเปรย์หลังทำความสะอาดใบหน้าใช้เป็น Astringent toner ก็ได้ จะสเปรย์หลังแต่งหน้าแล้วเอาทิชชูกดทับเบาๆ (อย่าลากนะคะ แค่กดซับๆ) เพื่อช่วยให้เมคอัพดูสดและติดทน หรือจะสเปรย์เพื่อเติมน้ำ เสริมความชุ่มชื้น เพิ่มความสดชื่น คืนความสบายผิว ควบคุมความมันในระหว่างวันก็ดี

ส่วนผสม

สำหรับส่วนผสมก็คือตรงไปตรงมาแฟร์ๆ มีเกลือของ Zinc ที่เป็นที่นิยมในวงการอยู่ 3 ชนิด แอบชั้นสูงนิดนึง เพราะดูแพงกว่า Zinc sulfate ที่เราพบกันบ่อยๆ

และด้วยความที่มี Zinc ละลายในน้ำ อัดกระป๋องด้วยแก๊สไนโตรเจน น้องเลยประกอบด้วยสารจากธรรมชาติทั้งหมด 100%

ไม่มีสารอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องเลย

เรามาทำความรู้จักกับ Zinc กันนะคะ

Zinc เป็นแร่ธาตุชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญต่อทั้งร่างกายและความงามค่ะ

ถ้าโฟกัสที่ผิวพรรณ Zinc เป็นองค์ประกอบของเอนไซม์และสิ่งที่เราเรียกว่า transcription factors หลายชนิด ช่วยกันทำงานให้ผิวเราสวยงาม สมบูรณ์ แข็งแรง

สำหรับประโยชน์ของ Zinc ต่อผิว พอสรุปได้ประมาณนี้ค่ะ

  • ด้าน Immune: Zinc เสริมกระบวนการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันต่างๆ เช่น NK cell เสริมกระบวนการกำจัดเชื้อผ่านกระบวนการกินเชื้อไปทำลายแบบ Phagocytosis ควบคุมสภาวะสมดุลของกระบวนการต่างๆ ทางภูมิคุ้มกัน เช่น ปรับสมดุลการสร้างสารก่อการอักเสบ IL-6, TNF-α, Nitric oxide เป็นต้น
  • เป็น Antioxidant
  • ต่อต้านเอนไซม์ 5α-reductase ที่เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชายให้มีฤทธิ์แรงขึ้น และกระตุ้นการสร้าง Sebum ออกมา น้ำมัน Sebum นี้มันก็จะไปเรียกเชื้อ C. acnes (ชื่อเดิม P. acnes) ให้มากิน ก็กลายเป็นสิว
  • ควบคุมความมันผ่านคุณสมบัติ Astringent โดยไปกระชับรูขุมขน ลดการหลั่งน้ำมันออกมา
  • มีการศึกษาว่า Zinc เองก็เป็น Whitening ได้นะ เพียงแต่ต้องใช้ dose สูงหน่อย

จะเห็นว่า Zinc นี่ประโยชน์ดีๆ เยอะมาก

ลองมาดูรายละเอียดของ Zinc แต่ละตัวที่ทางแบรนด์เลือกใช้นะคะ

  • Zinc PCA เป็น Zinc ที่จับกับอนุพันธ์ของกรดอะมิโนอย่าง Pyrollidone carboxylic acid (PCA) ซึ่ง PCA ปกติทำหน้าที่เป็น สารจับน้ำให้ผิวตามธรรมชาติ ที่เราเรียกกันว่า Natural moisturizing factor (NMF) สำหรับ Zinc PCA มีรายงานการวิจัยกล่าวว่า Zinc PCA ช่วยปกป้องเซลล์ผิวหนังจากรังสี UVA ได้ โดยไปลดการสร้าง Activator protein 1 และ MMP-1 ที่มักจะสร้างเวลามีรังสี UV ซึ่งตัว MMP เป็นเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนในผิวทำให้เกิดความหย่อนยานและริ้วรอย (Int J Cosmet Sci. 2012; 34(1):23-8.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารนี้มีประโยชน์เป็นสารเติมน้ำให้ผิว (Humectant) ระงับเชื้อบางชนิด ควบคุมความมัน ลดริ้วรอยและชะลอวัย (Ajidew® ZN-100, Ajinomoto Ltd.)
  • Zinc gluconate เป็น Zinc ที่จับกับกรดน้ำตาล Gluconic acid ซึ่ง มีรายงานว่ามีคุณสมบัติในการเสริมการสมานแผลของผิว ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง มีคุณสมบัติเสริมในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียแบบอ่อนๆ นิยมใช้เสริมกับยาต่างๆ ในการรักษาสิว โดยมีรายงานว่าลดการดื้อยาปฏิชีวนะเมื่อใช้ร่วมกัน (Abendrot and Kalinowska-Lis, Int J Cosmet Sci. 2018; 4(40):319-327)
  • Zinc lactate เป็น Zinc ที่จับกับเกลือ Lactate ที่มาจากกรด Lactic ละลายน้ำได้ดี

จะเห็นว่า Zinc แต่ละรูปแบบที่เลือกมาก็คือเลือกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

วันนี้ก็ขอให้คะแนนแบบภาพรวมนะคะ

  • ส่วนผสม “The less is more” คือ คำที่นิยามส่วนผสมชุดนี้ได้ดีมาก น้องมาน้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ สวยใสมีประโยชน์ ด้วยคุณประโยชน์ของ Zinc ที่ละลายน้ำได้ ไม่มีส่วนผสมอื่นๆ มากวนผิวกวนใจ ถ้านับเฉพาะด้านการควบคุมความมันและประโยชน์จาก Zinc เอาไปเลย 5 ฟลาสก์
  • การใช้งาน น้องออกแบบมาตอบโจทย์ สำหรับคนผิวมัน คนที่อยากคุมมัน หรือ ผิวผสมที่อยากได้น้ำแร่ที่ใช้แล้วสบายผิวไม่แห้งเกินไป ส่วนตัวเองก็ชอบ และใช้ได้โดยไม่รู้สึกว่าตึงหรือแห้ง เอาไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Novexpert สาขาประเทศไทยด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

อีกอย่างที่อยากบอกก่อนทิ้งท้ายคือเรื่องค่าตัวน้อง น้องมีค่าตัวแค่ 350/150 ml ซึ่งถือว่า Cost-Effective คุ้มค่าคุ้มราคามากๆ

สำหรับช่องทางการจำหน่ายเป็นดังนี้ค่ะ

ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

📍เซ็นทรัลลาดพร้าว

📍สยามพารากอน

ช่องทางออนไลน์

Lazmall: https://s.lazada.co.th/s.hLxxF

Shopee Multibrand.: https://shope.ee/AUEf4T2QwS

ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Line : @noverxpertthailand

IG : novexpertthailand

FB : Novexpert Thailand

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Novexpert สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ครีมเจล Nutradeica จาก ISDIN ครีมเจลสุดดีงามที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจคนมีปัญหากับการใส่ mask

จากที่หลายวันก่อนได้ Preview ครีมเจล Nutradeica ของแบรนด์ ISDIN ไป วันนี้ขอมารีวิวแบบละเอียดๆ กันอีกสักครั้ง

น้องเป็นครีมเจลที่พัฒนามาสำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาความมันส่วนเกิน มันจนระคายเคืองหรือมีรอยแดงง่าย หรือผิวมันระหว่างวัน รวมไปถึงปัญหาระคายเคืองจากการใส่ Mask และความไม่สบายผิวจากเซ็บเดิร์ม

น้องมีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตัวแพคเกจหลักมาในรูปแบบหลอด

เนื้อครีมมาในรูปแบบของครีมที่ดูแล้วมีความคล้ายกับเจล ไม่มีกลิ่น เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกสดชื่น สบายผิว ไม่เหนอะหนะ

ก่อนจะไปรีวิวส่วนผสม ขอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนนะคะ

ถ้ากล่าวถึง Seborrheic dermatitis (SD) หรือที่รู้จักกันในนามย่อๆว่า เซ็บเดิร์ม นั้น SD ถือว่าเป็น 1 ในอาการผิดปกติทางผิวหนังที่พบได้บ่อยอาการหนึ่ง โดยอาจพบได้ถึง 10% ของประชากรเลยทีเดียว

ความน่ารำคาญอย่างหนึ่งของ SD คือ นางจะเป็นคล้ายๆ อาการเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ หายแล้วก็กลับมาใหม่ ซึ่งก็เรียกได้ว่ารบกวนชีวิตไม่น้อย

บริเวณที่เป็น SD ได้บ่อยจะเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่เยอะ อย่าง หน้า หนังศรีษะ แผ่นหลัง หน้าอก รวมถึงบริเวณข้อพับ รอยต่อต่างๆ เช่นขอบจมูก

SD นั้นเป็นอาการที่แบบเรียกได้ว่ายังงงๆ ว่าน้องจะเป็นอาการกลุ่มไหนกันแน่ ระหว่าง ผิวอักเสบ (Dermatitis) ติดเชื้อยีสต์ หรือ แค่การอักเสบเฉยๆ เพราะมีการค้นพบว่าสาเหตุหลักของการเกิด SD นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ ตามภาพ

โดยเชื่อกันว่าผู้ที่มีความไว ร่างกายจะมีกลไกอะไรบางอย่างไปเปลี่ยนยีสต์ Malassezia จากที่เคยเป็นเจ้าบ้านผู้น่ารักให้กลายเป็นตัวที่สร้างสารก่อการอักเสบออกมา ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและอื่นๆ จนเกิดอาการของ SD ต่อไป (Dessinioti and Katsambas. Clin Dermatol. 2013;31(4):343-351.)

อาการหลักๆ ของ SD ที่พบได้บ่อยก็จะเป็น ผิวเป็นขุย ผิวมีรอยแดง และ คัน

ซึ่ง Nutradeica พัฒนามาตอบกลไกทั้ง 3 นี้ได้อย่างครบและลงตัว

โดยทางแบรนด์ได้ทดสอบแล้วพบว่า แลทั้ง 3 ปัญหาของ SD ได้อย่างลงตัว และรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทา

(Image from ISDIN)

สำหรับการเลือกใช้นั้นทางแบรนด์ก็ทำ Guide มาให้ประมาณนี้ค่ะ

(Image from ISDIN)

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

จากส่วนผสมวันนี้ ขอกล่าวถึงชุดผสม Combination พิเศษ ของ Piroctone olamine, Zinc PCA, hydroxyphenyl propamidobenzoic acid, biosaccharide gum-2 และ stearyl glycyrrhetinate ซึ่งเป็น Combination สูตรเฉพาะของทางแบรนด์ ที่มีการศึกษาและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติหลายฉบับถึงประสิทธิภาพในอาสาสมัครเป็น SD ชนิดไม่รุนแรง และในอาสาสมัครที่มีปัญหาการระคายเคืองจากการสวม Mask รวมทั้งพวกสิวจาก Mask

ลองมาดูประโยชน์ของ combination นี้กันนะคะ

  • การศึกษาในปี 2019 ของ Granger และคณะ ศึกษาประสิทธิภาพของส่วนผสม combination นี้ ในผิวหนังเพาะเลี้ยง พบว่าลดจำนวนของยีสต์ M. furfur และสารก่ออักเสบ IL-1 และ TNF-α ลงได้ โดยผลของการลดสารก่อการอักเสบนั้นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสเตียรอยด์อ่อนๆ Hydrocortisone (Granger, et al. Dermatol Ther (Heidelb). 2019;9:571–578)
  • การศึกษาในปี 2019 ของ Dall’Oglio และคณะ ศึกษาประสิทธิภาพของสูตรผสม 3 อย่าง piroctone olamine, stearyl glycyrrhetinate, และ zinc PCA ในอาสาสมัครที่เป็น SD เป็นเวลา 60 วัน พบว่าเริ่มสังเกตอาการที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่วันที่ 15 หลังจากใช้ตำรับ (Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology 2019:12 103–108)
  • การศึกษาเมื่อปี 2020 ของ Balato และคณะ ได้ศึกษาประสิทธิภาพของครีม Nutradeica DS ที่มีส่วนผสมของ combination นี้ ในอาสาสมัครที่เป็น SD จำนวน 12 คน ให้ทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน พบว่าอาสาสมัครมีอาการที่ดีขึ้น ทางผู่วิจัยได้วัดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus epidermidis และยีสต์ M. furfur ที่อาจจะเกี่ยวกับ SD ก็พบว่าลดลง และปริมาณการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบต่างๆ ก็ลดลง โดยรวมก็คือ ครีมมีประสิทธิภาพดีในการลดอาการระคายเคือง และจำนวนเชื้อก่อโรค (Balato, et al. Dermatol Ther (Heidelb). 2020;10:87–98)
(Balato, et al. Dermatol Ther (Heidelb). 2020;10:87–98)

อีกชิ้นที่น่าสนใจคือการศึกษาเมื่อปี 2020 ของ Fabroccini ได้ศึกษาประสิทธิภาพของตำรับ Nutradeica ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสวม mask เป็นเวลานานๆ โดยให้ทาครีมวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 28 วัน พบว่า อาการคัน ระคายเคือง ความรู้สึกไม่สบายผิว และผิวแห้งลดลง โดยเริ่มเห็นผลตั้งแต่วันที่ 7 หลังใช้

(Image from ISDIN)

มาทำความรู้จักส่วนผสมบางตัวกันดีกว่านะคะ

  • Hydroxyphenyl Propamidobenzoic Acid ตัวนี้เป็นสารอนุพันธ์ของ Avenanthramide ที่พบได้ในข้าวโอ๊ต ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารดังกล่าวมีคุณสมบัติลดการอักเสบระคายเคือง และอาการคันได้ โดยออกฤทธิ์ผ่านกลไกของสารก่อการแพ้อย่าง Histamine
  • Biosaccharide gum-2 คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ เป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตของน้ำตาล Rhamnose กับน้ำตาลอื่นๆ มีประโยชน์ในการดูแลด้านการอักเสบ รอยแดง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า นางทำหน้าที่เป็น Glyco-messenger ที่ลดการทำงานของสารก่อการอักเสบอย่าง IL-1
  • Stearyl Glycyrrhetinate เป็นสารดัดแปลงจาก Glycyrrhetinic acid ที่ได้จากชะเอม มีบทบาทในการดูแลเรื่องการอักเสบ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Zinc PCA เป็นสารลูกผสมของแร่ธาตุ Zinc ที่มีคุณสมบัติที่ดีกับผิวหลายอย่าง ซึ่งจะเด่นไปในทางด้านควบคุมความมัน กับ PCA ที่เป็นสารจับน้ำ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารนี้มีประโยชน์เป็นสารเติมน้ำให้ผิว (Humectant) ระงับเชื้อบางชนิด ควบคุมความมัน ชะลอวัยและดูแลเรื่องริ้วรอย บางรายงานกล่าวว่า Zinc ยังไปยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase (Dermatol. Res. Pract. 2014;2014:709152) ที่เป็นเอนไซม์ที่เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชาย testosterone ได้เป็น dihydrotestosterone ที่มีฤทธิ์แรงขึ้น ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น และนำไปสู่ภาวะผิวมัน รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิว
  • Piroctone olamine เป็นสารที่มีคุณสมบัติยับยั้งยีสต์ M. furfur

โดยสรุป ในด้านของสารบำรุงคือทำมาได้ค่อนข้างดี และตอบโจทย์ปัญหา SD 3 ประการ คือ ยีสต์ ความมันส่วนเกิน และอาการคัน ระคายเคือง ตามที่ทางแบรนด์เขากล่าว

ส่วนผสมอื่นๆ ที่ทางแบรนด์เลือกมาคือค่อนข้างทำได้ดี ไม่มีสารที่จะไปทำให้ผิวมันมากขึ้น และไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว สารปรุงแต่งในตำรับอย่าง PMMA (Polymethyl methacrylate) ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับความมันส่วนเกินให้ผิวเสริมมาอีก

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง เรียกได้ว่าทางแบรนด์มีการพัฒนาสูตรตำรับมาเป็นอย่างดี เลือกสารที่มีประโยชน์ และมีกลไกการดูแลผิวที่ครอบคลุมครบทุกความต้องการของปัญหา SD ดังที่ได้กล่าวไป ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว และสารปรุงแต่งบางตัวยังมีประโยชน์ต่อผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ก่อนอื่นต้องออกตัวว่าส่วนตัวไม่ได้มีปัญหา SD แต่มีบ้างที่ใส่ mask ไปนานๆ แล้วระคายเคือง ไม่สบายผิว พอได้ใช้ตัวนี้ ตอนแรกก็หวั่นๆ ว่าจะแห้งไปไหม แต่ผลที่ได้คือ ค่อนข้างน่าประทับใจ คือ ไม่แห้งไป แล้วก็เบาสบายผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์

สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทย ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

“Flagship Store” ShopeeMall https://invol.co/clb1zun

“Flagship Store” LazMall : https://invol.co/clb1ztm

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เปี่ยมไปด้วยความรัก LaLaaCram Youth-Full advanced renewal serum + moisturizer

สวัสดีค่ะทุกท่าน

วันนี้มีรีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสม Skincare น้องใหม่จากแบรนด์ LaLaaCram (ลา-ลา-แคลม) มาฝากกันค่ะ

แบรนด์ LaLaaCram เป็นแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมาโดยอิงจากประโยชน์ที่ยั่งยืนและความสุขที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของแบรนด์อย่าง Youth-Full Advanced Skin Renewal Serum + Moisturizer นั้นพัฒนามาในรูปแบบของ 2 in 1 serum + moisturizer เพื่อลดขั้นตอนในการบำรุงผิว หรือ Skincare regimen แต่ยังคงประโยชน์สูงสุดที่เราจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์

ตัวผลิตภัณฑ์มุ่งเน้นไปที่การดูแลเรื่องของ Barrier ผิว พร้อมทั้งให้คุณสมบัติในการปกป้องและดูแลปัญหาต่างๆ ของผิวที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันไปพร้อมๆ กัน โดยอาศัยส่วนผสมของสารบำรุงผิวหลากหลายชนิดที่เลือกมาเป็นอย่างดี และมีหลักฐานรองรับว่าให้ประโยชน์กับผิว

หน้าตาผลิตภัณฑ์จะเป็นลักษณะกล่องสีเงินประมาณนี้ค่ะ

ตัวภาชนะบรรจุก็มาในสีเงินเช่นกันค่ะ

ความประทับใจแรกเมื่อเราแกะกล่อง คือ เมื่อเห็นคำโปรยด้านในค่ะ

ซึ่งมันตรงกับคอนเซปท์ของเราที่เราชอบพูดเสมอว่า เวลาทำเครื่องสำอางก็เหมือนทำอาหาร ให้ใส่ความรักลงไปด้วย ทางแบรนด์เองก็เช่นกัน ใส่ความรักลงไปหมดใจพร้อมๆ กับ ส่วนผสมที่เชื่อถือได้


ภาชนะบรรจุเป็นชนิด Airless pump ปกป้องเนื้อผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม

เมื่อเรากด เนื้อครีมก็จะออกมาค่ะ

ตัวครีมจะดูเหมือนเป็นกึ่งๆ เจลครีม เนื้อค่อนข้างชุ่มผิว และเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราจะได้กลิ่นวัตถุดิบอยู่จางๆ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นผิว เมื่อทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีจะซึม/แห้งไป ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ

ก่อนไปดูส่วนผสมอยากบอกว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผ่านการทดสอบการแพ้และการระคายเคืองจากบริษัท Dermscan ซึ่งเป็นบริษัททดสอบเกี่ยวกับเครื่องสำอางชั้นนำของประเทศ พบว่าไม่ระคายเคืองในอาสาสมัครค่ะ

แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ และความรักที่ทางแบรนด์มีให้

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์จะเห็นได้ว่ามีอยู่ค่อนข้างเยอะ และส่วนใหญ่จะเป็นสารที่มีประโยชน์ในการบำรุงผิว ซึ่งส่วนตัวได้แบ่งเป็นสีๆ ตามประโยชน์หรือกลุ่มของสาร

ในภาพรวม คือ ถ้ามองในแง่ของมอยส์เจอไรเซอร์ที่เสริม Barrier ผิว น้องทำมาได้ค่อนข้างครบถ้วนเลย คือมีทั้งกลุ่มของไขมันที่เป็น Barrier อย่างพวก Ceramide, Cholesterol และกรดไขมันจากธรรมชาติ ร่วมกับสารจับน้ำตามธรรมชาติ หรือ Natural moisturizing factor (NMF) ที่เป็นกรดอะมิโน น้ำตาล กรดอินทรีย์ มีสารกลุ่ม Hyaluron หลากหลายชนิดที่มีประโยชน์ในการเติมและอุ้มน้ำให้ผิว และเสริมมาด้วยกลุ่มสารที่ดูแลปัญหาเรื่องการระคายเคืองผิวเพราะ Barrier ที่ไม่แข็งแรง และสำหรับคนที่กลัวว่ามอยส์เจอร์นี้จะมันเยิ้มเกินไป ทางแบรนด์ใช้สารสกัดจากเห็ด Fomes ตัดเข้ามาให้ประโยชน์ในด้านการควบคุมความมันกระชับรูขุมขน คือเรียกได้ว่าทำมาพร้อมมาก มาดูไปทีละกลุ่มกันเลยนะคะ

  • สีเขียว แทนด้วยกลุ่มของไขมันที่เป็น Barrier ผิว ที่เป็นสูตรผสมของ Ceramide NP; Ceramide AP; Ceramide EOP; Phytosphingosine; Cholesterol; Sodium Lauroyl Lactylate; Carbomer; Xanthan Gum รู้จักกันในนามชื่อทางการค้าว่า SK Influx จากบริษัท Evonik เจ้าพ่อแห่งวงการ Ceramides ในทางเครื่องสำอาง สารชุดนี้ทางผู้ผลิตวัตถุดิบได้ทดสอบประสิทธิภาพทั้งในระดับหลอดทดลองและในระดับอาสาสมัคร มีความโดดเด่นในแง่ของการเสริม Barrier และดูแลปัญหาผิวแห้งต่างๆ
  • สีชมพู เป็น Hyaluronic acid และอนุพันธ์ รวมทั้งหมด 8 รูปแบบที่ประสานกันอย่างลงตัว บางตัวเกาะติดเป็นฟิล์มแล้วให้ความชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกสบายผิว บางตัวก็ตัวเล็กหน่อยลงไปเติมน้ำและเสริมการกักเก็บน้ำที่หลายๆระดับความลึกของชั้นผิวชั้นนอก
  • สีน้ำตาล เป็นกลุ่มของ Moisturizer ที่ดูแลผ่านกระบวนการเติมน้ำเช่นกัน แบ่งได้เป็นกลุ่มย่อยๆ คือ พวกกรดอะมิโน ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายชนิด น้ำตาล Glucose และกรดอินทรีย์ ที่พบเป็นองค์ประกอบของ NMF และยังมีสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น
    • Polyglutamic acid ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ของกรดอะมิโน Glutamic อันนี้พบได้ตามธรรมชาติผ่านกระบวนการหมัก เช่นในการหมักนัตโตะ (ถั่วหมักสไตล์ญี่ปุ่น) ก็จับน้ำให้กับผิวได้คล้ายๆ กับ Hya ทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า เวลา PGA ลงไปในหนังชั้นนอกนางจะถูกผิวเราย่อยแล้วปลดปล่อยเอา Glutamic acid ตัวน้อยๆ ออกมา ทำหน้าที่เป็น NMF ได้อีกต่อหนึ่ง
    • สารสกัดจากคาราจีแนน ที่เป็นสาหร่ายชนิดหนึ่ง ถ้าไม่นับคุณสมบัติในการเพิ่มเนื้อสัมผัสให้กับครีมแล้ว สารสกัดนี้เมื่อผ่านกรรมวิธีการสกัดด้วยวิธีจำเพาะ ก็จะมีประโยชน์ที่เด่นในด้านของการเติมน้ำ และยังมีประโยชน์เสริมไปในทางการเป็น Antioxidant ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าวสารสกัดดังกล่าวยังมีประโยชน์ในการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนตามธรรมชาติของผิว
    • โปรวิตามินบี 5 ที่นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้นแล้วก็ยังมีประโยชน์อีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการดูแลเรื่องการระคายเคือง และการฟื้นฟูสภาพผิว
  • สีน้ำเงิน เป็นกลุ่มของสารที่ดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว หรือ Soothing effect มีทั้งกลุ่มของ Oatmeal ที่โดดเด่นในด้านนี้และมีคุณสมบัติพิเศษในการเสริมความแข็งแรงให้กับผิว พวก Allantoin, Dipotassium glycyrrhizate ว่านหางจระเข้ และอีกตัวที่อยากกล่าวถึงคือ Hydroxyacetophenone ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Symsave H เป็นสารที่มีประโยชน์หลายอย่าง (Muti-functional) ทั้งในแง่ของการขึ้นสูตรเป็นสารช่วยในตำรับโดยให้ประโยชน์เป็นสารเพิ่มประสิทธิภาพของสารกันเสีย และยังเป็นสารบำรุง โดยให้คุณสมบัติเป็น Antioxidant และเสริมในด้านการดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว
  • สีม่วง เป็นกลุ่มของสารบำรุงที่มีประโยชน์อื่นๆ มีด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่
    • Bifida ferment lysate ตอนนี้เทรนด์ Postbiotic มา น้องนับเป็น 1 ใน Postbiotic คือเป็นสารที่ได้จากการสกัดเอาระบบที่เลี้ยงแบคทีเรียสายพันธุ์ Prebiotic กลุ่ม Bifidobacterium ซึ่งมีประโยชน์หลายประการต่อผิว ในแง่ของการชะลอวัย ฟื้นฟูและปรับสภาพผิว
    • Fomes officinalis (mushroom) extract เป็นสารสกัดจากเห็ดที่มีประโยชน์ในการดูแลเรื่องปัญหาความมันส่วนเกิน และมีประโยชน์ในการดูแลเรื่องรูขุมขนกว้าง
    • สารสกัดจากบัวบก ที่มีประโยชน์กับผิวมากมาย โดยหลักๆ ก็เด่นไปทางด้านการชะลอวัยลดเลือนริ้วรอย
  • ปิดท้ายด้วยวิตามินบี 3 ที่มีประโยชน์กับผิวหลายประการ กล่าวโดยย่อคือ น้องเป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์กลุ่ม NAD/NADP ที่เสริมกระบวนการต่างๆ ตามธรรมชาติของผิว จึงมีประโยชน์กับผิวหลายด้าน และน้องยังมีประโยชน์ในการเป็น Whitening โดยไปยับยั้งกระบวนการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาข้างนอก รวมทั้งมีประโยชน์ในการดูแลเรื่องการระคายเคือง ปัญหาสิว และเสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าคัดเลือกมาอย่างดี และไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง มีด้วยกันหลากหลายกลุ่ม ซึ่งทำงานเสริมกันอย่างลงตัวในการดูแลปัญหาของผิว โดยเน้นไปที่ด้านของ Barrier ความชุ่มชื้นของผิว การระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว และอาจได้ประโยชน์ไปในถึงด้านของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลง และ Whitening รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ทดลองใช้อยู่ประมาณ 3 อาทิตย์ โดยเสริมเข้ามาใน Regimen ปกติ มีความประทับใจในด้านของเนื้อครีมที่แลดูชุ่มฉ่ำ แต่ก็ไม่แห้งจนเกินไปและไม่มันเยิ้มจนเกินไป โดยรวมค่อนข้างชอบ ส่วนคนผิวแห้งมากๆ ในวันที่อากาศแห้งมาก อาจจะต้องเสริมครีมทับอีกชั้นหนึ่ง ระหว่างที่ใช้จะมีช่วงหนึ่งที่มากทม. แล้วเอาน้องลงมาด้วย ระหว่างวันคือฟีลแบบกำลังดีเลย ไม่แห้งไป ไม่เยิ้มไป เหงื่อออกก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเมือก โดยรวมชอบเนื้อครีมและความชุ่มชื้นที่ได้รับ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ LaLaaCram ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และมาแนะนำแบรนด์ที่มีคอนเซปท์น่ารักๆ มาให้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/Lalaacram24

Line: @LaLaaCram

และสำหรับท่านที่สนใจสินค้าสามารถตามไปส่องได้ที่ร้านค้า Official ของทางแบรนด์เลยนะคะ

Shopee: https://invol.co/clalt0l

Lazada: https://invol.co/clalt1e

Disclaimer/Conflict of Interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ LaLaaCram การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมออยล์บำรุงผิวกาย Derma:B Intensive barrier multi-oil

เปิด Blog ด้วยคำโปรยสวยๆ “คงจะดี ถ้ามี Body oil ดีๆ สักชิ้น ที่ไม่ใช่แค่ทาแล้วเคลือบ (Occlusive) ผิวเฉยๆ แต่ให้คุณสมบัติในการทดแทนไขมันธรรมชาติคืนให้แก่ผิว และดูแลปัญหาเรื่องความแห้งกร้าน หยาบกระด้างไปพร้อมๆ กัน”

ถ้าเราแบ่งประเภทของสาร Moisturizer ในเครื่องสำอางเฉพาะกลุ่มของน้ำมัน เราจะแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ Occlusive กับ Emollient

2 ตัวนี้ต่างกันตรงนี้ สารกลุ่ม Occlusive จะไปเคลือบปกป้องผิว ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ในขณะที่สารกลุ่ม Emollient มักจะซึมลงไปในผิว และไม่ค่อยมีผลลดค่า TEWL (แต่ Emollient บางตัวก็ลดค่า TEWL ได้นะ ก็จะเรียกเป็น Semi-occlusive)

Emollient ส่วนมากจะเป็นไขมันที่พบได้ในร่างกายเรา บ้างก็เรียกเป็น Physiological lipids ซึ่งจะมีประโยชน์ในการทดแทนไขมันในผิวหนัง ยามที่ผิวเราขาด

ตัวอย่าง Emollient เช่น น้ำมันจากพืชธรรมชาติ รวมไปถึงพวก Physiological lipids อย่าง Ceramide, Cholesterol, fatty acids

วันนี้ขอหยิบเอา Body oil จากแบรนด์ Derma:B ที่เคยเกริ่นไปใน Blog ก่อน ตามลิงค์นี้ค่ะ

https://miyeonthereviewer.com/2022/03/20/brand-update-dermab/

แบรนด์ Derma:B เป็นแบรนด์ในเครือของบริษัท Neopharm ที่เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์กลุ่มดูแลผิวกายโดยเฉพาะ

Body oil ที่หยิบมารีวิวใน Blog นี้มีชื่อว่า Intensive barrier multi-oil

สำหรับเนื้อสัมผัส ตัวน้องจะเป็นน้ำมันที่เหลวหน่อย มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์เป็นโทนดอกไม้หวานๆ ซึ่งทางแบรนด์ได้เบลนด์กลิ่นนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย จะมีความเงาวาวเหมือนเราใช้น้ำมันทาผิว เพียงแต่จะไม่เหนียวหนึบ ไม่เหนอะหนะและหนักผิว

ส่วนนี้จะเป็น Profile กลิ่นของน้ำมันสูตรนี้ซึ่งเบลนด์มาในโทน Sweet/Citrus/Floral นะคะ

(Image from Derma:B)

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ขอแบ่งกลุ่มส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้เป็น 5 สี ซึ่งจะกล่าวถึงทีละสีนะคะ

  • สีชมพู เป็นกลุ่มของน้ำมันจากธรรมชาติ ซึ่งถ้านับรวมน้ำมันพื้นฐานแล้ว ก็มีด้วยกัน 15 ชนิด ซึ่งทางแบรนด์จะเคลมน้ำมันที่หายาก ซึ่งมีมูลค่าสูง ประกอบด้วยสารพฤกษเคมีที่มีประโยชน์มากมาย อย่างน้ำมันจากเมล็ดบรอกโคลี แครอท Black currant เมล็ดมะเขือเทศ เมล็ดชาเขียว (คนละชนิดกับเมล็ดของชาน้ำมัน Camellia oleifera ที่พบเจอกันทั่วไปนะคะ) ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าน้ำมันจาก C. sinensis มีประโยชน์ที่ดีหลายด้านทั้งในด้านของ Antioxidant, การลดการอักเสบระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิว

ภาพของฝักและเมล็ดชาเขียว (Image from Derma:B Official Website)

ส่วนตัวขออนุญาตกล่าวถึงในภาพรวม ปกติกลุ่มของน้ำมันจากธรรมชาติก็จะประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็น และสารที่มีประโยชน์ในกลุ่มที่เรียกว่า Unsaponifiables ที่หมายถึง สารอื่นในน้ำมันที่ไม่สามารถทำปฏิกิริยา Saponification กับด่างได้ ตัวอย่างเช่น พวก Tocopherol, Carotenoids, Phytosterols เป็นต้น พวกนี้มีประโยชน์ต่างๆ มากมายต่อผิว เช่น เป็น Antioxidant และลดอาการอักเสบระคายเคือง

  • สีม่วงบานเย็น เป็นกลุ่มของ Pseudoceramide อย่าง Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA ร่วมกับ Ceramide NP และ Phytosterols ที่เสริมเข้ามา
    • สำหรับ Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA มีชื่อเล่นว่า PC9S ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เป็นเป็นสิทธิบัตรของทาง Neopharm อิงตามสิทธิบัตรอเมริกา US patent US6221371B1 ของปี 2001 Claim ว่าให้ประโยชน์ในการเหนี่ยวนำให้ผิวสร้างไขมันใหม่ออกมาฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหาย มีรายงานการวิจัยทดสอบประสิทธิภาพของสารนี้ในหนูทดลอง พบว่า ตัวนี้เมื่อใช้ร่วมกับไขมันชนิดที่มีในผิว (Physiological lipids) สามารถกระตุ้นให้ผิวเรามีการสร้าง Receptor ในกลุ่ม PPAR-α ซึ่งมีประโยชน์ในการลดการอักเสบของผิว และเสริมกระบวนการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิวตามธรรมชาติ (Arch Dermatol Res. 2015 Nov;307(9):781-92.)
    • PC9S ร่วมกับสารอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะเรียงตัวอยู่ในรูปแบบของ MLE ซึ่งมีประโยชน์ในการเสริมความแข็งแรงให้แก่ Barrier ของผิว (สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดตามอ่านต่อได้ที่ https://miyeonthereviewer.com/2022/03/03/dermartlogy-atg/)
  • สีเขียว Acetyl glutamine เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glutamine ที่มีความคงตัวดีขึ้น ข้อมูลจากทางผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า Glutamine เป็นกรดอะมิโนที่เรามีอยู่แล้วเพื่อใช้ตอบสนองต่อความเครียด โดยเมื่อเกิดสภาวะเครียดขึ้น จะมีการเหนี่ยวนำให้ Glutamine เข้าไปในเซลล์ แล้วส่งผลให้เกิดการปรับสมดุลตัวเองเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
(Image from DAMY CHEMICAL CO., LTD.)

โดยทางบริษัทได้ศึกษาพบว่าเมื่อมีระดับของ Glutamine เพิ่มขึ้น ก็จะมีปริมาณของ ATP เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลให้การทำงานต่างๆ ของผิวเกิดได้ตามปกติ นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการศึกษาในอาสาสมัคร พบว่า Acetyl glutamine มีประสิทธิภาพที่ดีหลายประการ เช่น

  1. เสริมความชุ่มชื้น
  2. เสริมสร้าง Barrier ผิวให้แข็งแรงขึ้น
  3. ปรับ Texture ผิวให้เรียบเนียน
  • สีน้ำเงินเข้ม กลุ่มของพวก Peptide และ Folic acid ซึ่งเป็น Combination ที่โดดเด่นและมีประโยชน์ต่อผิวในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านของการเสริมกระบวนการทำงานตามธรรมชาติของผิว ดูแลเรื่องของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย ปัญหาของสีผิวไม่สม่ำเสมอ รวมไปถึงด้านการอักเสบระคายเคืองผิว และต่อต้านอนุมูลอิสระ
    • Combination นี้ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Bio-placentaTM ซึ่งชุดของส่วนผสมก็จะคล้ายๆ กับวัตถุดิบ Bio-placenta ที่มีผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครแล้วเช่นกัน (ข้อมูลจาก DAMY CHEMICAL CO., LTD.)
  • สีฟ้า เป็นสารเติมน้ำอย่าง Sodium hyaluronate และ Panthenol ที่นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้นแล้วยังมีประโยชน์ในเชิงด้านการดูแลปัญหาการอักเสบระคายเคืองของผิว

ในภาพรวมคือน้องเป็น Body oil ที่ไม่ใช่แค่ Oil ที่มาทาเคลือบผิว หรือเรียกเป็น Occlusive ธรรมดา แต่น้องเป็นน้ำมันที่เสริมสารบำรุงมาหลายชนิด ให้ประโยชน์ในการดูแลปัญหาผิวรูปแบบต่างๆ โดยไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความแข็งแรงของผิว ดูแลเรื่อง Barrier ผิว เพราะมีส่วนประกอบของทั้ง MLE, Ceramide และสารไขมันทดแทนจากน้ำมันพืชพรรณต่างๆ ให้ความรู้สึกสบายผิว และยังได้ประโยชน์ไปในถึงด้านการชะลอวัย ปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนน่าสัมผัส

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน นอกจากน้องจะมีส่วนประกอบของน้ำมันจากธรรมชาติแล้ว ยังเสริมมาด้วยส่วนผสมของสารบำรุงผิวต่างๆ ที่ให้ประโยชน์ได้หลายด้าน ทั้งในด้านของการชะลอวัย ดูแลเรื่องปัญหาริ้วรอย ความรู้สึกไม่สบายผิว ความแข็งแรงของ Barrier ผิว ปรับสมดุลของผิวและปกป้องผิวจากปัญหาที่เกิดจากความเครียดภายนอก เช่น พวกมลภาวะต่างๆ รวมถึงอาจจะได้ในด้านความสม่ำเสมอของสีผิว หรือเชิง Whitening ไปอีก ขอให้คะแนน 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน เริ่มที่เนื้อสัมผัสก่อน ส่วนตัวค่อนข้างชอบความบางเบา ไม่เหนอะหนะ ไม่เหนียวในระหว่างวัน ตามมาด้วยกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ให้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ถึงแม้จะเป็นช่วงที่อากาศร้อนชื้นยังรู้สึกว่าไม่ได้เหนอะหนะจนรู้สึกรำคาญตัว เผลอๆ เบากว่า Body lotion บางชิ้นเสียอีก อีกจุดที่น่าสนใจคือไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อนเสื้อผ้า ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Derma:B สาขาประเทศไทยด้วยนะคะที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DermaBThailand

หรือ สามารถตามไปส่องร้านค้า Official ของทางแบรนด์ได้เลยนะคะ

Lazada: https://invol.co/claix7f

Shopee: https://invol.co/claix96

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Derma:B สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

เซรั่มวิตามินซี 3 สูตรของ AlphaScience เลือกอย่างไร? มา Preview กันดีกว่า

สวัสดีค่ะ สำหรับ Content นี้จะขอมา Preview และแนะนำเซรั่มที่เป็น Hero ทั้ง 3 สูตรของทางแบรนด์ AlphaScience ให้ได้รับชมกันค่ะ

สืบเนื่องจาก Blog ก่อนหน้าได้แนะนำแบรนด์ AlphaScience ไปว่าเป็นแบรนด์เวชสำอางที่เชื่อในสมดุลของผิว เราทุกคนมีผิวที่มีสุขภาพดีได้แค่รักษาสภาวะสมดุลของผิว ซึ่งทางแบรนด์เลือกที่จะพัฒนากลุ่มสารที่เป็น Antioxidant ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อปกป้องผิวไม่ให้เสียสมดุลจากวิถีชีวิต และปัจจัยต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม

(สำหรับท่านที่พลาดไปสามารถกลับไปตามอ่านได้ที่ลิงค์นี้นะคะ https://miyeonthereviewer.com/2022/04/10/intro-to-alphascience/)

อันนี้บังเอิญไปเจอมาจาก Official Facebook Page ของ AlphaScience แล้วชอบมาก เลยขอเอามานำเสนอ

(Image from AlphaScience Official Facebook)

กล่าวคือเป็นการผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์และธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างลงตัวเพื่อดูแลปัญหาริ้วรอยที่เกิดตามกาลเวลาของผิว

โดยวัตถุดิบหลักที่ทางแบรนด์เลือกใช้ จะเป็นกลุ่มของสารธรรมชาติต่างๆ อย่างเช่น Tannic acid ซึ่งเป็นสารที่จัดเป็นพฤกษเคมีในกลุ่ม Polyphenol ชนิด Tannin ที่พบได้ในพืชทั่วไปหลายชนิด โดยเฉพาะต้นสนยักษ์ Sequoia (ซีคัวญา; Sequoiadendron giganteum)

นอกจาก Tannic acid แล้วก็ยังมีสารจากธรรมชาติอีกหลายชนิด เช่น Gallic acid, Phytic acid ซึ่งทุกๆ ตัวล้วนแต่มีประโยชน์กับผิวทั้งนั้นเลย

สำหรับสูตร Serum ที่เป็น Hero products ทั้ง 3 ตัว ก็ตามภาพนี้เลยค่ะ

ซึ่งส่วนตัวได้สรุปรายละเอียดและการเลือกใช้แต่ละตัวไว้เป็นรูปค่ะ

โดยอิงข้อมูลส่วนหนึ่งจากส่วนผสม อีกส่วนจากทางแบรนด์ AlphaScience สาขาประเทศไทย และอีกบางส่วนจาก AlphaScience Official website ค่ะ

ส่วนนี้จะเป็นภาพที่ทาง AlphaScience Official website ใช้ในการแนะนำเซรั่มค่ะ

(Image from AlphaScience Official Facebook)

ประเดิมที่น้อง Alphabright ค่ะ

ถัดมาเป็นน้อง Phytic[TC}

และปิดท้ายด้วยน้อง Tannic[CF]

ซึ่งในโอกาสถัดไปจะมาลงรายละเอียดรีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มแต่ละสูตรต่อไปนะคะ

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ AlphaScience สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่จัดส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/AlphascienceThailand

สำหรับท่านที่สนใจสามารถติดตามเข้าไปดูที่ Official mall ได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ

Lazada: https://invol.co/cla9tuw

Shopee: https://invol.co/cla9tvv

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ AlphaScience สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ ผู้เขียนอาจได้ประโยชน์จากการคลิ้กลิงค์ที่มี Affiliated

Image

[Beauty update/Brand introduction] เวชสำอางจากฝรั่งเศส AlphaScience เวชสำอางนวัตกรรม Vitamin C complex

สำหรับคอนเทนท์นี้จะมาแนะนำแบรนด์ AlphaScience แบรนด์เวชสำอางแบรนด์ดังจากประเทศฝรั่งเศสค่ะ

แบรนด์ AlphaScience เปิดตัวในงานประชุมวิชาการที่มีชื่อว่า AMWC world congress ในปี 2016 งานประชุมนี้เป็นงานประชุมวิชาการแถวหน้าของโลกในด้านความงามและศาสตร์การชะลอวัย พอนับมาจนเดือนเมษายน 2022 นี้ก็ครบ 6 ปีพอดีเลย

(Image from AlphaScience Official Facebook)

6 ปีที่ผ่านมาทางแบรนด์นำเสนอผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่พัฒนาขึ้นมาจากงานวิจัยต่างๆ อยู่หลายชิ้นเลย เรียกได้ว่าแต่ละชิ้นนั้นน่าสนใจไม่แพ้กันเลยทีเดียว

ก่อนจะไปดูผลิตภัณฑ์ ขอกล่าวถึง Philosophy หรือปรัชญาของแบรนด์กันก่อนค่ะ

ทางแบรนด์ยึดถือหลักการ “Supporting the skin’s own ecosystem for health with ingredients of natural origin and allowing the skin to retain all of its vital force”

นั่นคือ ทางแบรนด์เชื่อในสมดุลของผิว เราทุกคนมีผิวที่มีสุขภาพดีได้แค่รักษาสภาวะสมดุลของผิว ซึ่งการใช้ชีวิตประจำวัน รวมถึงสิ่งแวดล้อมต่างๆ มันทำให้ผิวเสียสมดุล ถ้าเราสามารถดูแลและปรับผิวให้เข้าสู่สมดุลของเขา แล้วที่เหลือผิวเราจะจัดการต่อเอง โดยเลือกใช้ส่วนผสมจากธรรมชาติเพื่อปล่อยให้ผิวเราค่อยๆ ปรับตัวเองกลับคืนสู่สมดุล แล้วผิวเราก็จะมีสุขภาพดีขึ้นมาได้

ทางแบรนด์เลือกที่จะพัฒนากลุ่มสารที่เป็น Antioxidant ที่มีประสิทธิภาพสูง เพื่อปกป้องผิวไม่ให้เสียสมดุลจากวิถีชีวิต และปัจจัยต่างๆ จากสิ่งแวดล้อม โดยมีนักวิจัยหลัก ผู้ก่อตั้งแบรนด์อย่าง Dr. Alfred Marchal, PhD

Dr. Alfred Marchal, PhD

ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวของแบรนด์ที่ Dr. Marchal และทีม พัฒนามา ก็คือ พัฒนามาเพื่อตอบโจทย์ทั้งกลุ่มของผู้บริโภคทั่วไป กลุ่มของศัลยแพทย์ และกลุ่มของแพทย์ผิวหนัง โดยคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์นี้จะมีคุณสมบัติเป็น Dermocosmetic ที่ส่งเสริมกับกระบวนการหัตถการต่างๆ ได้อย่างลงตัว และเกิดคุณสมบัติในการบำรุงผิวต่อผู้บริโภคอย่างสูงสุด

ถึงแม้ว่าดูเหมือนปรัชญาแบรนด์จะมุ่งเน้นไปที่สารธรรมชาติ แต่จริงๆ แล้วทางแบรนด์มุ่งเน้นพัฒนาตำรับที่มีทั้งส่วนผสมของสารจากธรรมชาติ และสารสังเคราะห์ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ เพื่อให้ได้ตำรับที่มีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภคค่ะ

เนื่องจากทางแบรนด์มุ่งเน้นพัฒนากลุ่ม Antioxidant ที่มี Combination ที่เหมาะสมและลงตัว ส่วนตัวเลยจะขอเริ่มจากการค่อยๆ หยิบยกเอากลุ่มของ Antioxidant serum ทั้ง 3 สูตร ที่เป็นเสมือนตัวเอกของแบรนด์มาเล่าให้ฟังกันต่อไปนะคะ แต่ขอสปอยล์ไว้นิดหน่อยค่ะ จุดเด่นที่น่าสนใจของเซรั่ม Antioxidant ทั้ง 3 สูตรนี้อยู่ที่สิ่งที่แบรนด์เรียกว่า Third generation of Vitamin C มันคืออะไร ทางแบรนด์สรุปมาเป็นภาพด้านล่างนี้ค่ะ

(Image from AlphaScience Official Website)

เป็นอันทราบกันว่า Vitamin C (ขอย่อว่า VC) รูปแบบ L-Ascorbic acid ที่ใช้กันตามธรรมชาตินั้นมีปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความคงตัว และการดูดซึมเข้าสู่ผิว ทำให้เกิดการพัฒนาต่างๆ โดย Dr.Marchal ได้แบ่งการใช้ VC เป็น 3 ยุค

  • ยุคแรก เป็นการพัฒนาตำรับให้อยู่ในรูปแบบของผลิตภัณฑ์ที่ไม่มีน้ำ (Anhydrous) หรือ มีน้ำเป็นองค์ประกอบน้อย อย่างที่ Dr.Marchal ทำในช่วงนั้น คือ การพัฒนาตำรับให้อยู่ในรูปแบบของครีมชนิดเบสน้ำมัน (w/o emulsion) ก็พบว่าเพิ่มความคงตัวได้ดีขึ้นในระดับหนึ่ง
  • ยุคที่สอง เป็นการพัฒนาอนุพันธ์ใหม่ๆ ของ VC ออกมา และพยายามจะปรับสูตรของ VC ต่อ โดยยุคนั้น Dr.Marchal ลองทำ VC รูปแบบอนุพันธ์ ในเบสซิลิโคน ถึงแม้ว่าจะมีความคงตัวที่ดี แต่ลงผิวแล้วกลับไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะอนุพันธ์ของ VC เปลี่ยนกลับมาเป็น L-Ascorbic acid ไม่มากนัก
  • ยุคที่สาม Dr.Marchal คิดค้นสิ่งที่เรียกว่า Vitamin C complex โดยเอาไปใช้ร่วมกับสารธรรมชาติที่มีชื่อว่า Tannic acid ซึ่งเป็นสารกลุ่ม Polyphenol ที่มีโมเลกุลใหญ่ในกลุ่มของพวก Tannin ลำพังตัวมันเองก็มีประโยชน์ต่อผิวหนังมากมาย และเมื่อเอามาใช้ร่วมกับ VC แล้ว กลายเป็นว่าเสริมความคงตัวให้กับ VC ได้เป็นอย่างดี

เลยเป็นที่มาของการเคลมว่า Third generation VC ซึ่งเป็น VC รูปแบบพื้นฐานที่ทางแบรนด์ใช้ในผลิตภัณฑ์ต่างๆ เพื่อให้มีความคงตัวและมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะได้นำมาเล่าให้ฟังต่อไปค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจสามารถติดตามเข้าไปดูที่ Official mall ได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยนะคะ

Lazada: https://invol.co/cla9tuw

Shopee: https://invol.co/cla9tvv

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ AlphaScience สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ ผู้เขียนอาจได้ประโยชน์จากการคลิ้กลิงค์ที่มี Affiliated

Image

[รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม] ครีมกันแดดผสมสารสกัดจากถั่วเกาหลี KA UV Superbloc Fluid protector SPF50+ PA+++

สวัสดีค่ะ วันนี้มีรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมกันแดดรูปแบบซองที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เป็นกันแดดน้องใหม่จาก KA แบรนด์ไทยที่อยู่คู่กับสังคมไทยมานาน มีชื่อว่า KA UV Superbloc Fluid Protector มีค่า SPF 50+ และค่า PA+++

มีหน้าตาเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับกันแดดชิ้นนี้จุดเด่นคงหนีไม่พ้นความบางเบาของเนื้อ คุณสมบัติในการกันน้ำ กันเหงื่อ คุมมัน และส่วนผสมของสารบำรุงที่น่าสนใจ ซึ่งจะได้กล่าวอีกทีในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมค่ะ

เนื้อของตัวกันแดดจะเป็นเนื้อคล้ายโลชั่น มีความหนืดปานกลาง มีกลิ่นเฟรช ออกแนวส้มอ่อนๆ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย แห้งไว เมื่อทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที ให้ความรู้สึกที่ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่เงาวาว ไม่เทา ไม่เป็นปื้น

เมื่อฉายแสงแฟลชส่องดูจะเห็นว่าไม่ได้วาวมากนัก และแทบจะไม่ติด undertone เทาเลย แม้ว่าจะมีส่วนผสมของ Physical sunscreen ซึ่งบางคนอาจจะกังวลว่าทาแล้วจะติด undertone เทา

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

วันนี้แบ่งส่วนผสมไว้เป็น 4 สีนะคะ

ขอเริ่มที่สีฟ้า ซึ่งเป็นสารกันแดด เป็นชนิดผสม มีทั้ง Chemical และ Physical sunscreen ที่กันแดดได้ครอบคลุม และดูมีความคงตัวดี

  • Ethylhexyl methoxycinnamate เป็น Chemical sunscreen ที่เด่นไปในทางการป้องกันรังสี UVB
  • Ethylhexyl salicylate เป็น Chemical sunscreen ที่เด่นไปในทางการป้องกันรังสี UVB
  • 4-methylbenzylidene camphor เป็น Chemical sunscreen ที่เด่นไปในทางการป้องกันรังสี UVB
  • Zinc oxide และ Titanium dioxide เป็น Physical sunscreen ที่ปกติจะป้องกันรังสี UV ได้ครอบคลุม

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของสารบำรุงที่แทนด้วยสีม่วง ซึ่งประกอบด้วยสารสกัดจากพืช 3 ชนิด ภายใต้ Combination ระหว่าง Butylene Glycol (and) Water (and) Phaseolus radiatus Seed Extract (and) Betula platyphylla Japonica Bark Extract (and) Rumex crispus Root Extract ชุดนี้เป็นวัตถุดิบนำเข้าจากประเทศเกาหลี หรือที่ทางแบรนด์ชูในส่วนของมังบีน พืชสมุนไพรเกาหลี เป็นเกราะผิวจากธรรมชาติ ที่ช่วยต้านผิวเครียดจากยูวี

Combination นี้เด่นไปที่การดูแลปัญหาด้านการอักเสบระคายเคือง อาการไม่สบายผิวที่เกิดจากมลภาวะ และสารก่อการระคายเคืองต่างๆ ที่พบได้ทั่วไป

พืชทั้ง 3 ตัวนี้จริงๆ แต่ละตัวก็มีประโยชน์ และมีจุดเด่นของมันเองอยู่แล้ว แต่พอเอามาใช้ร่วมกันพบว่าให้ประโยชน์ในการเสริมฤทธิ์การลดการอักเสบระคายเคืองที่ดีขึ้น และทางผู้ผลิตวัตถุดิบมีการทดสอบในอาสาสมัคร พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครใช้ตำรับที่มีสารดังกล่าว ก่อนไปสัมผัสสารก่อระคายเคือง พบว่าอาการต่างๆ ของการระคายเคืองนั้นลดลง

ขอแยกกล่าวประโยชน์ของสารสกัดพืชทีละตัวนะคะ

  • Phaseolus radiatus seed extract สารสกัดจากถั่ว Mung bean สายพันธุ์ของทางเกาหลี มีประโยชน์ในเชิงของการดูแลเรื่องการลดการอักเสบระคายเคือง ผ่านกระบวนการต่อต้านสารก่อการแพ้ตัวแม่อย่าง Histamine (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)
  • Betula platyphylla var. Japonica เป็นสารสกัดจากพืชในกลุ่ม Birch ที่ใช้กันทั่วไปในวงการเครื่องสำอาง สายพันธุ์นี้มีชื่อเรียกว่า Asian White Birch เป็นพืชที่มีการใช้ในตำรับยาโบราณเกี่ยวกับอาการอักเสบหลายรูปแบบ รวมทั้งอาการอักเสบทางผิวหนังชนิด Atopic (J Ethnopharmacol. 2008; 116(2):270-8.) ซึ่งลำพังตัวน้องเองก็เด่นในด้านของการดูแลเรื่องการลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) โดยมีกลไกที่น่าสนใจคือ น้องสามารถไปป้องกันไม่ให้สารก่อระคายเคืองกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันแล้วปลดปล่อยเอาสารก่อการแพ้ การอักเสบต่างๆ ออกมา รวมถึงไปยับยั้งไม่ให้เอนไซม์ Caspase-1 ทำงาน เอนไซม์นี้ทำหน้าที่ไปเปลี่ยน pro-IL-1b ที่อยู่ในรูปแบบตั้งต้น ให้กลายเป็น IL-1b ที่ไปทำให้เกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ ต่อ

ประมาณภาพนี้

พอน้องไปยับยั้ง Caspase-1 ก็จะไม่เกิด IL-1b อาการระคายเคืองต่างๆ ก็ไม่เกิด

ความพิเศษอีกอย่าง คือ น้องยังมีคุณสมบัติปกป้องผิวเราจากรังสี UV (Photoprotective) โดยไปช่วยปกป้อง Fibroblast และ Keratinocyte ไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี UV ซึ่งเรียกได้ว่าเหมาะกับการใช้ในผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)

  • Rumex crispus root extract ตัวนี้นอกจากประโยชน์ในด้านของการดูแลการระคายเคืองแล้ว น้องยังช่วยปกป้องพวกอิลาสติน กับ ไฮยาลูรอนของเราไม่ให้ถูกทำลายจากเอนไซม์ Elastase และ Hyaluronidase (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)

สีเขียวมะกอก เป็นน้ำมันธรรมชาติจากทานตะวัน และ สีเขียวเป็นวิตามินอี ซึ่งเป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในน้ำมัน

จุดเด่นอีกอย่างของตำรับนี้ คือ ค่อนข้างเหมาะกับผู้ที่มีเหงื่อมาก เพราะว่าในตำรับมีการใช้ส่วนผสมของสารก่อฟิล์มที่เคลือบปกป้องผิวในกลุ่มของ Fluorosilicone ซึ่งกันน้ำ กันเหงื่อ และกันน้ำมันได้ดี ทั้งยังให้ความรู้สึกไม่เหนียวเหนอะหนะ สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าเลือกมาอย่างดี และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันนะคะ

  1. สารกันแดดและสารบำรุง ในแง่ของสารกันแดด เป็นรูปแบบผสมกายภาพ-เคมี กันแดดได้ครอบคลุมทั้ง UVA และ UVB สำหรับสารบำรุงที่เสริมมานั้น เน้นไปที่การปกป้องผิวจากการอักเสบระคายเคือง และดูแลผิวจากรังสี UV จึงขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีจุดที่ให้หักคะแนน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ถึงแม้ว่าส่วนตัวจะมีสภาพผิวผสมค่อนไปทางแห้ง แต่ก็สามารถใช้ครีมกันแดดนี้ได้โดยไม่แห้งเกินไป และไม่เยิ้มเกินไป จะมีก็ในบางวันถ้าทาบำรุงที่ชุ่มชื้นไม่พอ อาจจะรู้สึกแห้งตึงบริเวณแก้มได้ ซึ่งก็แก้ปัญหาได้ด้วยการใช้สเปรย์ Mist ในด้านของการปกป้องจากแดด ส่วนตัวได้ทดลองใช้แล้วได้ออกแดดบ้างในช่วงเวลาเที่ยง ก็พบว่าไม่ได้เจอปัญหาผิวแดงง่าย หรือระคายเคืองอะไร ขอให้ไป 4 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ KA ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ KA โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/KAThailandOfficial

ราคา ซองละ 39 บาท/10 มล.

สถานที่จำหน่าย ร้านเครื่องสำอางทั่วไป, CJ และ ร้านค้า Official บน Shopee และ Lazada

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ KA การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเวชสำอางสุดเนี้ยบจาก แบรนด์ Herbitage กับ Be-Barrier 24.7 Restoring serum และ Concentrate 25.8 Serum booster

สวัสดีค่ะ วันนี้มีรีวิว/บทวิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่งที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เป็นผลิตภัณฑ์เซรั่ม 2 สูตร จากแบรนด์ Herbitage ที่มีชื่อว่า Be-Barrier 24.7 Restoring serum และ Concentrate 25.8 Serum booster นะคะ

ก่อนอื่นขอแนะนำแบรนด์ Herbitage ซักหน่อยนะคะ

แบรนด์ HERBITAGE เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สกินแคร์ที่เหมาะกับผิวของคนไทย ด้วยการใช้สารสกัดธรรมชาติของไทย และสารออกฤทธิ์ทางวิทยาศาสตร์ที่มีงานวิจัยรับรอง โดยทางแบรนด์ได้ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับสถาบัน KAPI (Kasetsart Agricultural and Agro-Industrial Product Improvement Institute) หรือ สถาบันผลิตผลเกษตรฯ ของทาง ม.เกษตรศาสตร์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์สกินแคร์จากสารสกัดธรรมชาติขั้นสูง (Purified Natural Extracts) ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย

เซรั่มที่จะนำมาวิเคราะห์ส่วนผสมทั้ง 2 ตัวในวันนี้ มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตัวเซรั่ม Be-Barrier 24.7 เป็นเซรั่มสำหรับใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน มาในโทนสีน้ำเงิน

บรรจุภัณฑ์เป็นขวดปั๊มแบบ Airless ค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นเนื้อสีขาวน้ำนม เนื้อบางเบา

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย เนื้อบางเบา เมื่อทาทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีจะระเหยและซึมซาบไปจนหมด

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

สำหรับสูตร 25.8 เป็นเซรั่มสำหรับกลางคืน จะมาในโทนสีเขียวนะคะ

บรรจุภัณฑ์เป็นขวดปั๊มแบบ Airless เช่นกันค่ะ

เนื้อเซรั่มจะมีสีเหลืองนวล ซึ่งคาดว่ามาจากสีของวิตามินเอ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย เนื้อบางเบา เมื่อทาทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีจะระเหยและซึมซาบไปจนหมดเช่นกัน

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 เช่นกัน

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสม อยากเล่าให้ฟังก่อนว่า ทางแบรนด์มีการทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด เมื่อใช้ร่วมกันในอาสาสมัครชาวไทย จำนวน 30 คน เป็นเวลา 28 วัน ผ่านทางคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าการใช้เซรั่มทั้ง 2 สูตรร่วมกันมีประโยชน์ดังนี้ค่ะ

  • อาสาสมัครมีค่าความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มมากขึ้น (เมื่อวัดด้วยเครื่องมือ Corneometer)
  • อาสาสมัครมีริ้วรอยที่แลดูตื้นขึ้น ทั้งตำแหน่งรอยตีนกา และริ้วรอยบริเวณขอบปาก (Marionette’s line)
  • อาสาสมัครมีผิวที่กระจ่างใสขึ้น (เมื่อเทียบจากค่า Luminousity)
  • ทั้ง 2 ตำรับไม่พบว่าก่อการระคายเคืองในอาสาสมัคร

ส่วนนี้จะเป็นผลการทดลองที่น่าสนใจนะคะ

(Image from Herbitage)

สำหรับผลิตภัณฑ์เซ็ตนี้ส่วนตัวได้ให้คุณแม่ทดลองใช้เป็นเวลา 3 อาทิตย์ ตัวคุณแม่เองก็ชื่นชอบและกล่าวว่ารู้สึกผิวนุ่มกระชับและเรียบเนียนขึ้นค่ะ

จากภาพถ่ายถึงแม้ว่าตัวโทนสีผิวจะดูเหมือนสว่างและมี undertone ไปในโทนอมชมพูมากขึ้น แต่เนื่องจากการถ่ายภาพแม้จะใช้แสงแฟลชเป็นตัวควบคุมให้สภาวะแสงเท่ากันแล้ว แต่อาจมีปัจจัยอื่นๆ มารบกวนได้ จึงยังไม่สามารถฟันธง หรือบอกได้ชัดเจนว่าใช้เซรั่มแล้วดูขาวขึ้น

เราลองมาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ โดยจะขอวิเคราะห์ไปทีละตัวค่ะ

ส่วนผสม Be-Barrier 24.7

สำหรับส่วนผสมของตัว 24.7 นี้ ถ้าอิงตามแบรนด์เคลมก็คือ ส่วนผสมของสารบำรุงทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 24.7% ส่วนตัวได้แบ่งเป็นสีๆ และจะกล่าวถึงทีละกลุ่มสีนะคะ

ขอเริ่มที่ Bromelain ก่อนนะคะ

  • Bromelain เป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่พบได้ในสับปะรด มีคุณสมบัติในการย่อยโปรตีน ซึ่งถ้าเอามาใช้ทางผิวหนัง เอนไซม์นี้จะไปย่อยสลายเศษขี้ไคลอย่างอ่อนโยน จุดที่สำคัญของทางแบรนด์ Herbitage คือ Bromelain นี้ เป็นเอนไซม์บริสุทธิ์จากเหง้าสับปะรด ที่ผ่านการวิจัยและควบคุมธรรมชาติโดยม.เกษตรศาสตร์

ถัดมาเป็นกลุ่มของสารไขมันต่างๆ ใช้สีเขียวมะกอกแทนนะคะ

  • Cholesterol, Ceramide NP, Phytosphingosine เป็นไขมันที่สำคัญในการเป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว เสริมมาด้วยน้ำมันจากมะกอก และ Caprylic/capric triglycerides ที่ให้กรดไขมันแก่ผิว
  • Shea butter มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่าง ทั้งในด้านของความชุ่มชื้น และมีส่วนประกอบของสารกลุ่ม Phytosterol ที่ดูแลการอักเสบระคายเคืองผิว
  • Squalane เคลือบปกป้องผิว

ซึ่งกลุ่มของ Ceramides complex นี้มีอยู่ที่ความเข้มข้น 10% ในตำรับ

สีเขียวแก่ เป็นกลุ่มของสาร Natural moisturizing factor (NMF) ที่พบได้ตามธรรมชาติในผิว ซึ่งมีทั้งกรดอะมิโน Sodium PCA ที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน และ น้ำตาล Glucose

สีน้ำเงิน เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นเช่นกัน ขอหยิบเอามากล่าวบางตัว

  • Hyaluronic acid และอนุพันธ์ต่างๆ รวม 8 ตัว การเลือกใช้ Hya ในหลายๆ รูปแบบให้ประโยชน์ในการปกป้องและดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิวในหลายๆ ระดับชั้น
  • Glyceryl glucoside เป็นสารที่ประกอบด้วยโครงสร้างของ Glycerin จับกับน้ำตาล พบได้ในธรรมชาติ มีรายงานกล่าวถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้าง Aquaporin-3 ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประโยชน์ในการช่วยเก็บกักน้ำให้แก่ผิว และเมื่อใช้ร่วมกับ Glycerin จะมีประสิทธิภาพในการดูแลเรื่องความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น
  • สารสกัดจากสาหร่าย Chondrus crispus extract ตัวนี้ขอหยิบมาไว้ในสีน้ำเงินด้วย เพราะประกอบด้วยสารในกลุ่ม Polysaccharide ที่มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเช่นกัน

สีชมพู เป็นสารบำรุงที่น่าสนใจ

  • Tranexamic acid ตัวนี้เมื่อก่อนเคยใช้เป็นยาห้ามเลือด แต่เจอว่ามีผลในเชิง Whitening เลยมีการเอามาทำวิจัยต่อยอด พบว่า Tranexamic acid ออกฤทธิ์โดยไปยับยั้ง Plasmin ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นที่ไปกระตุ้นฮอร์โมน alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ที่ไปกระตุ้นให้หน่วยสร้างเม็ดสี หรือ เมลาโนไซท์ทำงาน สร้างเมลานินและส่งผ่านออกมาภายนอกมากขึ้น เมื่อไปยับยั้งผลคือ มีการสร้างและส่งผ่านเมลานินออกมาน้อยลง (J Am AcadDermatol 2011;October:699-714.) มีการศึกษาประสิทธิภาพของ Tranexamic acid เข้มข้น 3 % ในอาสาสมัคร พบว่าให้ผลในการลดเลือนรอยฝ้าเทียบเท่าสูตรผสมของ Hydroquinone กับ Dexamethasone แต่ผลข้างเคียงต่ำกว่ามาก (J Res Med Sci. 2014;19(8):753-7.) ตัวนี้จัดมาในตำรับที่ 3%
  • Ectoine เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่มีโครงสร้างเป็นวงกลม สร้างโดยแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างโหดร้าย (Extremophile) ทำหน้าที่ปกป้องตัวเขาเองจากอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากปัจจัยกายภาพและเคมี มีการพบว่าตัว Ectoine จะทำหน้าที่ดึงเอาน้ำมาเกาะไว้กับตัวเองแล้วกลายเป็นชั้นโครงสร้างที่ช่วยปกป้องโปรตีนองค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญของเซลล์เอาไว้ เรียกว่าเป็น Ectoine hydrocomplex (Clin Dermatol. 2008;26(4):326–633.) เจ้า Hydrocomplex ดังกล่าวส่งผลดีถึงองค์ประกอบทั้งเซลล์ คือปกป้องเซลล์นั้นให้มีปริมาณน้ำเหมาะสม และทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อปริมาณน้ำต่ำลง จะไปมีผลต่อระบบของการอักเสบทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา ในกรณีของผิวหนัง การมี Ectoine จะช่วยให้ Lipid barrier ของผิวทำงานได้ตามปกติและมีความแข็งแรง ผิวจึงแข็งแรง และเก็บกักน้ำได้ดี (มีการระเหยของน้ำออกจากผิว/Transepidermal water loss; TEWL น้อย) (Biophys Chem. 2010;150(1–3):37–46.) มีการทดสอบประสิทธิภาพในทางผิวหนังอยู่หลายชิ้น ซึ่งได้กล่าวถึงในบทความวิชาการล่าสุดของ Kauth และ Truvosa (Dermatology and Therapy. 2022;12:295–313) ในภาพรวมคือ Ectoine ให้ประโยชน์ในการปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ลดการอักเสบระคายเคือง รวมทั้งดูแลปัญหาผิวอักเสบและระคายเคืองต่างๆ

สีม่วง เป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ในการดูแลด้านความรู้สึกระคายเคืองของผิว ได้แก่ Bisabolol, Allantoin, Panthenol และ Betaine

ในภาพรวมส่วนผสมต่างๆ ที่มีในเซรั่ม 24.7 นี้ ให้ความโดดเด่นในแง่ของการดูแล Barrier ผิว ปกป้องให้ผิวแข็งแรง ฟื้นฟู ให้ประโยชน์ครอบคลุมไปถึงการผลัดผิวแบบอ่อนๆ และ Whitening

อีกตัวเป็นสูตรสีเขียว 25.8 ค่ะ

ส่วนผสม

สูตรสีเขียวจะประกอบด้วยสารบำรุงหลายชนิดเหมือนกันนะคะ ถ้าอิงตามแบรนด์เคลมก็คือ ส่วนผสมของสารบำรุงทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 25.8% พอดี

สำหรับ Bromelain ก็ดังที่ได้กล่าวไปก่อนในสูตร 24.7 นะคะ

ในสูตร 25.8 มีเพิ่มส่วนผสมของสารสีส้มมาอีกชุด คือ Lactobacillus/Pumpkin fruit ferment filtrate ซึ่งเป็น สารที่ได้จากการหมักฟักทองด้วยจุลินทรีย์ Lactobacillus ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า เมื่อหมักฟักทองด้วยกรรมวิธีพิเศษแล้วจะสามารถแยกเอากลุ่มสารที่มีคุณสมบัติเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีน ซึ่งเวลาใช้งานเอนไซม์นี้จะไปย่อยสลายเศษขี้ไคลอย่างอ่อนโยน รวมถึงพวกเศษซากจุลินทรีย์ที่เกาะอยู่บนขี้ไคลเหล่านั้น ส่งผลให้ผิวแลดูกระจ่างใส และเสริมกระบวนการผลัดผิวใหม่ตามธรรมชาติ ด้วยความที่นางมีประโยชน์คล้ายกัน เลยขอแบ่งไว้ในกลุ่มสีเดียวกัน

สำหรับในแง่ของสารบำรุงหลัก

เริ่มเปิดมาที่สีเขียวขี้ม้า Bakuchiol ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่พบได้ในพืชหลายชนิด มาในความเข้มข้น 1% มีคุณสมบัติและกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับพวกวิตามินเอ แต่มีความปลอดภัยสูงกว่า มีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย และดูแลปัญหาสิว

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของวิตามินที่แทนด้วยสีส้มอ่อน ได้แก่ วิตามินเอ อี ซี บี3 กล่าวกันจริงๆ การมีเพียงวิตามินเหล่านี้ก็ดูแลปัญหาผิวได้เกือบครบจบทุกปัญหา ขอกล่าวแบบสรุปๆ นะคะ

  • วิตามินเอ ในที่นี้ทางแบรนด์ใช้ในรูปแบบ Retinaldehyde หรือ Retinal ในความเข้มข้น 0.1% ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ดีในการดูแลปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ รวมถึงเรื่องของปัญหาสิวและรูขุมขน
  • วิตามินอี ใช้ในรูปแบบ Tocopheryl acetate เป็น Antioxidant ที่ละลายไขมัน ปกป้องส่วนของน้ำมันของผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระ และช่วยปกป้องสารไขมันรวมถึงสารอื่นในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะ Oxygen
  • วิตามินซี ใช้ในรูปแบบ Ascorbyl glucoside ในความเข้มข้น 4% มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการชะลอวัย โดยเป็น Antioxidant เป็น Whitening ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สังเคราะห์เมลานิน ลดการอักเสบระคายเคือง และเป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจนตามธรรมชาติ
  • วิตามินบี 3 มาในความเข้มข้น 10% มีประโยชน์กับผิวหลายประการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านของ Whitening ที่ดูแลไป ณ กระบวนการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก การอักเสบระคายเคือง ปัญหาสิว และ เสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิวให้ผิวแข็งแรง

สีน้ำเงินป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้น ผ่านกระบวนการดูดจับน้ำ และเก็บกักน้ำ ได้แก่ น้ำตาล Trehalose, Hya และ Polyquaternium-51 ที่ให้คุณสมบัติปกป้องและให้ความรู้สึกสบายผิวไปในตัว

สีบานเย็น เป็นกลุ่มของสารบำรุงที่โดดเด่นด้านการดูแลปัญหาการระคายเคือง ได้แก่ Bisabolol, Allantoin, Dipotassium glycyrrhizate และ สารสกัดจาก Portulaca

สีฟ้าอ่อน เป็นสารบำรุงอื่นๆ ขอหยิบยกมากล่าวเพียงบางตัวนะคะ

  • Gossypium herbaceum extract ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบได้กล่าวว่า สารสกัดจากเมล็ดฝ้ายมีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการควบคุมความมันส่วนเกินในขณะที่เพิ่มความชุ่มชื้นไปด้วย ลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)
  • สารสกัดจากบัวบก ก็มีประโยชน์ที่ดีและโดดเด่นหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการชะลอวัย การดูแลปัญหาเรื่องริ้วรอย รวมไปถึงปัญหาด้านการอักเสบและระคายเคือง และเป็น Antioxidant
  • สารสกัดจากต้นหลิว Salix alba extract ประกอบด้วย BHA ธรรมชาติ ในรูปของ Salicin ซึ่งเมื่อลงผิวจะเปลี่ยนเป็น Salicylic acid ที่มีประโยชน์ในการดูแลปัญหาการอุดตันของผิว
  • Gluconolactone จัดเป็น PHA มีประโยชน์ในด้านของการเติมน้ำให้ผิว และผลัดผิวอย่างอ่อนโยน และอาจจะได้ประโยชน์ในการดูแลปัญหาสิว

ในภาพรวม เซรั่ม 25.8 นี้ เน้นไปในด้านของริ้วรอยเป็นหลัก รองๆ มา จะเป็นเรื่องของการชะลอวัย Whitening และให้ประโยชน์ในเรื่องของปัญหาสิว ถือว่าดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม

มาให้คะแนนกันนะคะ

  1. สารบำรุง ในด้านของสารบำรุง ตัวเซรั่มทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เรียกได้ว่าจัดมาได้ค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์และดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ในส่วนของการใช้งานผลิตภัณฑ์ชุดนี้ ส่วนตัวได้ให้คุณแม่ทดลองใช้ จากการสัมภาษณ์คุณแม่ค่อนข้างพึงพอใจในตัวผลิตภัณฑ์นะคะ ทั้งในแง่ของความชุ่มชื้น ความกระชับ และความเรียบเนียนของผิวเป็นหลักค่ะ จุดนี้คุณแม่ให้คะแนนเต็มที่ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ และขอบคุณทางแบรนด์ Herbitage ค่ะที่ได้ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่พัฒนามาจากงานวิจัย และยังผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครมาให้ได้เปิดหูเปิดตาและได้ทดลองใช้

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ทางแบรนด์ Herbitage โดยตรงเลยนะคะ

Facebook fanpage https://www.facebook.com/HerbitageThailand

Official store ของแบรนด์

Shopee : https://bit.ly/2PmOxy7

Lazada : https://bit.ly/3fzwrUy

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Herbitage การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Beauty Update] Introduction to Derma:B และ Derma:B มีตัวแทนจำหน่ายในไทยแล้วนะ

แบรนด์ Derma:B เป็นแบรนด์เวชสำอางบำรุงผิวกายในเครือ Neopharm แบรนด์หนึ่ง ที่น่าสนใจค่ะ

ส่วนตัวมีโอกาสได้รู้จักกับสินค้าในแบรนด์ Derma:B มาพักใหญ่ๆ ตั้งแต่ปี 2019 ตอนนั้นไปเกาหลีพอดี เป็นช่วงเดือนเมษายน

ยังผิวแห้งแตกลอกมาก จำเป็นต้องไปหาซื้อ Body lotion ในร้าน Olive young มาใช้ประทังชีวิต

คิดถึง Olive Young จัง ป่านนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ

แล้วก็สะดุดเข้ากับ Body lotion ของแบรนด์ Derma:B ส่วนหนึ่งก็เพราะช่วงนั้นเราใช้ของของเครือ Neopharm อยู่หลายชิ้น เลยค่อนข้างไว้ใจแบรนด์ในเครือค่ะ

Derma:B ขวดแรกในชีวิต สอยมาจาก Olive Young ที่ปูซาน

กลับมาที่แบรนด์ Derma:B นอกจากประเด็นเรื่องการใช้ส่วนผสมของ MLE ที่เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง Neopharm แล้ว ผลิตภัณฑ์แต่ละตัวยังมีการเสริมเอาสารบำรุงอื่นๆ เข้ามาเพื่อช่วยดูแล ฟื้นฟู และปกป้องผิวให้แข็งแรง โดยทาง Derma:B มีหลักการ ที่มีชื่อว่า “Simple & Perfect” ด้วยการดูแลผิว 3 ขั้นตอน

เทคโนโลยี MLE ย่อมาจาก Multi-lamellar emulsion ซึ่งเป็นระบบนำส่งรูปแบบหนึ่งที่พัฒนามาให้มีโครงสร้างของสารไขมันเรียงตัวกันเป็นผนัง 2 ชั้น ซ้อนกันหลายๆ ชุด

โดยในโครงสร้างของสารไขมันนี้จะประกอบด้วยส่วนที่ชอบน้ำ และ ส่วนที่ชอบน้ำมัน ในส่วนที่ชอบน้ำก็จะสามารถเก็บเอาสารที่ชอบน้ำเอาไว้ได้ อย่างของ Derma:B ก็เก็บเอา Panthenol เอาไว้ ส่วนของฝั่งที่ชอบไขมันก็จะเก็บเอาพวกสารที่ละลายน้ำมันเอาไว้ได้ เช่นพวกน้ำมันจากธรรมชาติต่างๆ

ซึ่งการเรียงตัวแบบนี้จะคล้ายกับโครงสร้างของไขมันที่เป็น Barrier ผิวเราตามธรรมชาติ ทำให้สามารถแทรกซึมและปกป้องผิวให้ความชุ่มชื้นได้ยาวนาน จุดนี้ผ่านการทดสอบว่าช่วยผิวเก็บกักน้ำได้ถึง 48 ชั่วโมง

สำหรับ Body Lotion ของแบรนด์ ติดอันดับสินค้าขายดีของร้าน Olive young มา 4 ปีซ้อนด้วยนะคะ

(Image from Derma:B Korea Official Website)