Image

[Mini Review] เซรั่มมะขาม สูตรพลิกโฉมมาในส่วนผสมสุดปัง จากแบรนด์เขาค้อทะเลภู

เรื่องมีอยู่ว่า บังเอิญไปได้ Sample เซรั่มมะขามของแบรนด์เขาค้อทะเลภู ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางธรรมชาติแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งที่อยู่คู่บ้านเรามานานมากแล้วค่ะ

แบรนด์นี้เคยออกคอลเลคชั่นที่คอลแลบกับคุณสายป่าน บตบก คนสวยของเราอยู่หลายชิ้น และไม่แน่ใจว่าชิ้นนี้ได้คอลแลบคุณสายป่านด้วยไหม

ได้น้องมาจากการช็อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บวัตสัน

แรกๆ ก็ไม่ได้อะไรนะ แต่ด้านหลังมีรายการส่วนผสมแนบมาด้วย พอได้ดูส่วนผสมแล้วแบบว่า หูว์ ส่วนผสมร้ายกาจใช่เล่นนะเนี่ย

เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาเหมือนกันแฮะ เลือกส่วนผสมมาได้ค่อนข้างดีและปังมากค่ะ

จากส่วนผสมก็จะเห็นได้ว่าถึงจะบอกว่าเป็นเซรั่มมะขาม แต่นางก็แอบมีส่วนผสมของสารบำรุงอยู่หลายชนิดเหมือนกัน ถ้าเราแบ่งเป็นกลุ่มๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ

กลุ่มสีเขียว: วิตามินซี ซึ่งทางแบรนด์เลือกมา 2 รูปแบบ คือ Ascorbyl tetraisopalmitate ซึ่งละลายในน้ำมัน กับ Magnesium ascorbyl phosphate ซึ่งละลายได้ในน้ำ

โดยประโยชน์ของวิตามินซีที่เด่นๆ ก็จะเป็นในด้านของการเป็น Antioxidant เป็น Whitening โดยผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นเอนไซม์สำคัญในขั้นตอนการสร้าง melanin รวมไปถึงยังมีประโยชน์ในการเป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน และดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง

กลุ่มสีฟ้า: ให้เป็นสารเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น

  • Betaine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine นอกจากด้านการเติมน้ำ น้องยังมีประโยชน์แฝงในเรื่องการปรับฟิลลิ่งของสูตรตำรับ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • ไฮยาลูรอน ที่เติมน้ำให้ความชุ่มชื้นผิว

สีชมพู: เป็นสารบำรุงที่เด่นเรื่อง Whitening ก็จะมีสารสกัดจากชะเอม มะขาม Arbutin และใบ Mulberry

สีส้ม: คือ ความปังในการพัฒนาสูตร โดยการเลือกใช้ Dimethyl isosorbide (DMI) ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการเสริมการดูดซึมสารอื่นผ่านผิว (เป็น Penetration enhancer)

โดยรวมคือนอกจากเป็น Whitening serum ที่น่าสนใจแล้วยังดูแลผิวด้านอื่นๆ เสริมเข้ามา และการเลือกใช้วิตามินซี 2 รูปแบบ รูปแบบหนึ่งละลายได้ในน้ำ อีกรูปแบบละลายได้ในน้ำมัน ก็น่าสนใจดีค่ะ

นอกจากนี้ก็ไม่มีน้ำหอม หรือส่วนผสมอื่นที่ไม่เป็นมิตรกับผิวด้วย

ฟีลเซรั่มหลังจากที่ได้ลองใช้ 1 ซอง ถ้วน ก็คือ เนื้อค่อนข้างลื่นผิว ใช้เวลาสักนิดในการซึม/แห้ง แต่ให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างดี และเมื่อแห้งไปแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะหรือหนักผิว

และอีกจุดที่น่าสนใจคือราคาก็ไม่แพงมาก ราคาเต็มอยู่ที่ 399/30 มล. สำรวจราคาวันที่ 30 ธ.ค. ลดเหลือ 239 ที่วัตสันออนไลน์

ถ้าสนใจก็ตามไปแอบส่องแอบดูได้ค่ะ

https://invol.co/clflhd6

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของแถมมาจากการซื้อของด้วยเงินส่วนตัว การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมคู่หูเซรั่มสุดปังจากสเปน Flavo-C ultraglicans และ melatonin จากแบรนด์ ISDIN

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาเล่าถึงแบรนด์ ISDIN และ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่น่าสนใจ 2 ชิ้นให้ได้ชมกันค่ะ

เบื้องต้นขอกล่าวถึงแบรนด์ ISDIN ก่อนนะคะ แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์จากประเทศสเปนที่มีคอนเซปท์ที่น่าสนใจ โดยเริ่มจากการบอกว่าให้เราฟังผิวของตัวเอง ซึ่งจุดนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างประทับใจมาก เพราะเป็นคอนเซปท์เดียวกับที่ตัวเองยึดถือมาโดยตลอด คือ “Listen to your skin”

แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งมากว่า 45 ปีแล้ว โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมที่ดี มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อผิวหนังของเรา และน่าจะเป็นแบรนด์แรกๆ (ที่ส่วนตัวเคยเห็น) ที่กล่าวถึงความเป็นมิตรต่อเยื่อบุ Mucosa อย่างเช่น บริเวณดวงตา หรือ ริมฝีปาก แต่ก็ยังให้ความสนใจในเรื่องของ Sensory ไปพร้อมกัน ตามคำกล่าวของแบรนด์ที่กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์พัฒนามาเพื่อ “maximum efficacy and safety with innovative textures that ensure a satisfying practical and sensory experience”

โดยผลิตภัณฑ์ของทางแบรนด์มีหลายกลุ่ม และได้รับรางวัลจากนิตยสาร รวมถึงวงการความงามอยู่หลายชิ้นค่ะ

สำหรับ Content นี้ จะเน้นกล่าวถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 2 ชิ้นที่มาเป็นคู่กัน ตัวหนึ่งใช้ตอนเช้า อีกตัวใช้ก่อนนอน คือ ไลน์ของ Flavo-C ค่ะ

เริ่มที่ Flavo-C ultraglican ซึ่งเป็นเซรั่มที่มาในรูปแบบของแอมพูลแก้ว ภายในบรรจุเอาตำรับที่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่เน้นไปในทางด้าน Antioxidant และ เสริมความชุ่มชื้นเป็นหลัก

ซึ่งมีหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

ใน 1 กล่องประกอบด้วยแอมพูลแก้วจำนวน 30 แอมพูล พร้อมด้วยพลาสติกสำหรับหักปากหลอดแอมพูล และจุกซิลิโคนสำหรับช่วยในการหยดเซรั่ม จำนวน 3 ชิ้น

เมื่อประกอบเสร็จแล้วจะได้หน้าตาแบบนี้ค่ะ

ทางแบรนด์กล่าวว่า 1 แอมพูล ถ้าหักแล้วควรใช้ให้หมดภายใน 48 ชั่วโมงค่ะ

ค่า pH ของเนื้อเซรั่มอยู่ที่ราวๆ 4 – 5 นะคะ

เนื้อของเซรั่มจะเป็นเนื้อแบบใส

เกลี่ยง่าย ให้สัมผัสนุ่มลื่น ชุ่มชื้น สบายผิว

สำหรับส่วนผสมของสูตร Flavo-C ultraglican เป็นดังนี้นะคะ

จุดเด่นอย่างหนึ่งของแบรนด์ ISDIN คือ ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัคร อย่างสูตรผสมของ “L-ascorbic acid, proteoglycans และ proteoglycan stimulating tripeptide” ก็ผ่านการตีพิมพ์ในวารสาร Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

(ถ้าท่านใดสนใจ paper นี้สามารถดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรีค่ะ https://www.dovepress.com/antiaging-effects-of-a-novel-facial-serum-containing-l-ascorbic-acid-p-peer-reviewed-fulltext-article-CCID)

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นสูตรผสมของ Antioxidant 3 ตัวหลัก อย่างวิตามินซี อี ร่วมกับ Ergothioneine (EGT) น้องเป็น Amino acid ชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติ Antioxidant ในตัว ร่วมกับกลุ่มของสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นอย่าง Hyaluronic acid, Proteoglycan และวัตถุดิบตามเปเปอร์ที่เป็น Proteoglycan stimulating peptide ที่มีชื่อว่า Syn®-Hycan เด่นในการเสริมการสังเคราะห์ Hya ตามธรรมชาติของผิว

ซึ่ง Syn®-Hycan เป็นชื่อทางการค้าของ ส่วนผสมระหว่าง Glycerin, Aqua, Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate และ Magnesium Chloride

มาดูรายละเอียดสารบำรุงแต่ละตัวกันสักหน่อย

  • L-ascorbic acid เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระ, ในด้าน Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase เป็นส่วนประกอบในการสังเคราะห์คอลลาเจน และลดการอักเสบผ่านระบบ NF-kB
  • Tocopherol เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินอี มีคุณสมบัติละลายในไขมันจึงช่วยปกป้องไขมันดีๆในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากปฏิกิริยา oxidation
  • Ergothioneine (EGT) เป็นสารที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Histidine ประกอบด้วยส่วนของโมเลกุล Sulfur ทำให้มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ผ่านกลไกการ Reduction  และถ้าดูจากโครงสร้างจะเห็นว่าหมู่ Quaternary ammonium จะคล้ายกับส่วนที่มีใน Carnitine มีรายงานว่าสามารถเข้าไปเสริมการสร้างสารพลังงานสูงอย่าง ATP ใน Mitochondria ที่เป็นเหมือนโรงไฟฟ้าของเซลล์ ความเป็น Antioxidant ช่วยปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลาย จึงมีประโยชน์ในการชะลอวัย ทั้งนี้มีการทดสอบในระดับหลอดทดลองพบว่า EGT สามารถปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลายจากการฉายรังสี UV (Bazela et al, Cosmetics 2014, 1(1), 51-60)
  • Hydrolyzed hyaluronic acid ซึ่งเป็น Hya ที่ผ่านกระบวนการ Hydrolysis (ย่อย) ให้มีขนาดเล็กลงกว่ารูปแบบดั้งเดิม เพื่อเสริมความสามารถในการดูแลผิวที่ชั้นลึกขึ้น และ Proteoglycan ที่มีประโยชน์ในเชิงความชุ่มชื้นเช่นกัน
  • Syn®-Hycan เป็นวัตถุดิบเปปไทด์สังเคราะห์ที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพโดยผู้ผลิตวัตถุดิบ ว่ามีคุณสมบัติในการเสริมการสังเคราะห์ Hyaluron ภายในผิวในระดับหลอดทดลอง และมีประสิทธิภาพในการกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยในอาสาสมัคร

สำหรับเบสหลักเป็นเบสแบบน้ำ บางท่านเห็นส่วนผสมของ Bis-Hydroxyethoxypropyl Dimethicone อาจจะกังวลเรื่องซิลิโคน แต่สารตัวนี้เป็นซิลิโคนดัดแปลงที่มีคุณสมบัติเสริมความชุ่มชื้น ให้สัมผัสนุ่มนวล ไม่เหนอะหนะ และผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองผิว (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)

ในภาพรวมจึงเรียกได้ว่าเป็นเซรั่มที่ทั้งปกป้องและดูแลปัญหาผิวทั้งในด้านของริ้วรอยและความชุ่มชื้นไปพร้อมๆ กัน

ถัดมาเป็นเซรั่มสำหรับกลางคืน คือ Flavo-C Melatonin ซึ่งมาในรูปแบบของแอมพูลแก้วเช่นกัน มีหน้าตาเป็นประมาณนี้ค่ะ

ด้านในก็จะมาในรูปแบบคล้ายๆ กันค่ะ

ค่า pH ของสูตรนี้อยู่ที่ราวๆ 4 – 5 เช่นกันนะคะ

เนื้อเซรั่มมาในรูปแบบใสเช่นกัน

เกลี่ยได้ง่าย บางเบา ไม่เหนอะหนะ

คอนเซปท์ของตัวนี้ คือ น้องจะเสริมการฟื้นฟูและบำรุงผิวในช่วงกลางคืน

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นการรวมตัวเอาวิตามินซีในรูปแบบของ 3-O-Ethyl ascorbic acid ร่วมกับสารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Genus เดียวกับถั่วเขียว) และ Melatonin ในเบสรูปแบบน้ำ มีส่วนผสมของ Alcohol อยู่เล็กน้อย โดยดูจากลำดับส่วนผสม แต่ส่วนตัวใช้ได้ไม่เกิดปัญหาแห้งหรือระคายเคืองอะไร

ลองมาดูรายละเอียดของสารบำรุงกัน

  • 3-O-Ethyl ascorbic acid เป็นวิตามินซีรูปแบบหนึ่ง สำหรับประโยชน์ของวิตามินซีก็ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
  • สารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Vigna aconitifolia seed extract) ตัวนี้ข้อมูลจากทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์คล้ายวิตามินเอ แต่ไม่มีปัญหาด้านการระคายเคืองเหมือนกลุ่มวิตามินเอ

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยักษ์ใหญ่อย่าง BASF กล่าวว่า น้อง moth bean มีคุณสมบัติเสริมการสร้างและผลัดตัวเองของผิวที่หนังกำพร้า รวมทั้งเสริมการสร้าง Matrix ต่างๆ เช่น Collagen ในชั้นหนังแท้ โดยมีทั้งข้อมูลการทดสอบประสิทธิภาพทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร

ขอยกมาเล่าสองภาพนะคะ ภาพแรกเป็นประสิทธิภาพในการเสริมสร้างคอลลาเจนในระดับหลอดทดลอง วัดจากปริมาณกรดอะมิโน Proline ที่เพิ่มขึ้น

(Image from BASF)

ซึ่ง Proline เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญตัวนึงที่เป็นองค์ประกอบในสายของ Collagen

ภาพที่สองเป็นการวัดความลึกของริ้วรอยตีนกา (ค่า Volume จากเครื่อง Visioscan) ในอาสาสมัครเทียบกันระหว่างครีมที่ใช้สารสกัดจากถั่ว Moth bean กับ ครีมที่ใช้ Retinol พบว่าริ้วรอยตีนกาตื้นขึ้นทั้งคู่

(Image from BASF)

ดังนั้นหากจะกล่าวว่า น้อง Moth bean มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Retinol และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามใช้ หรือไม่ถูกกับ Retinol ก็ไม่น่าจะเกินจริงนัก

  • Melatonin อันนี้ยอมรับเลยว่าตอนได้เห็นส่วนผสมคือ ดิฉันสงสัยมาก ว่าการใช้ Melatonin ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีประโยชน์อะไร จนได้มาค้นข้อมูลเพิ่มเติม ถึงทราบว่า Melatonin ที่ทาลงไปบนผิว มีคุณสมบัติหลายประการ และมีการศึกษารองรับอยู่หลายชิ้น ส่วนตัวอิงจากบทความของ Day และ คณะ (2018) ที่รวบรวมเอาผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ Melatonin โดยหลักๆ กล่าวว่า Melatonin เป็น antioxidant ทางอ้อม (Indirect antioxidant) โดยมีผลไปเสริมสร้างเอนไซม์ที่เป็น Antioxidant ตามธรรมชาติของผิว สาร Metabolites ต่างๆ ที่เกิดจากการแปรสภาพ Melatonin มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง ลดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนทำให้เกิดริ้วรอยตามมา โดยในภาพรวมน้องมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัยและฟื้นฟูสภาพผิว (J Drugs Dermatol. 2018;17(8):966-969.)

ทำไมถึงต้องทา Melatonin ตอนกลางคืน?

     จากข้อมูลหลายๆ ข้อมูลกล่าวว่าผิวหนังของเราอาศัยระบบที่มี Melatonin เป็นตัวรักษาสมดุลและซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน ระบบนี้มีชื่อเรียกว่า melatoninergic antioxidative system (MAS)

โดยภาพรวมแล้วเซรั่มดังกล่าวจึงถือว่าเหมาะมากในการเป็น Regimen สำหรับฟื้นฟูผิวในยามกลางคืน และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหากับการใช้วิตามินเอและอนุพันธ์ต่างๆ

สำหรับการให้คะแนนวันนี้เป็นการให้คะแนนแบบภาพรวมนะคะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปว่า สูตรกลางวันพัฒนามาเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UV และสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน มาพร้อมกับการเสริมสร้าง Hyaluron ภายในผิว และเติมน้ำให้ผิวด้วย Hyaluron กับ Proteoglycan เมื่อใช้ร่วมกับเซรั่มฟื้นฟูผิวตอนกลางคืนที่เน้นฟื้นฟูผิวจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน พร้อมทั้งส่งเสริมการทำงานของผิวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เสมือนผิวมีสุขภาพที่ดีเฉกเช่นวัยเยาว์ ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ สำหรับสูตรกลางวันเรียกได้ว่าทำมาได้ไร้ที่ติ แต่ในสูตรกลางคืนอาจจะติตรงเรื่องของ Alcohol นิดหน่อย แม้ว่าน่าจะใส่มาไม่มาก และส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาระคายเคืองหรือรู้สึกไม่สบายผิวแต่อย่างใด สำหรับผลิตภัณฑ์ 2 ชิ้นนี้ ขอให้ไปที่ 4.5 ฟลาสก์ (กลางวัน 5 + กลางคืน 4 แล้วหารสอง)
  3. การใช้งาน ในด้านการใช้งานส่วนตัวไม่ติดปัญหาอะไร ในด้านของประสิทธิภาพจากการทดลองใช้มาร่วม 3 อาทิตย์ รู้สึกว่า ช่วยให้ผิวเรียบเนียนนุ่มกระชับยืดหยุ่น และผิวละเอียดมากขึ้น ในด้านของสีผิว จุดแดง จุดดำต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดูจางลง แต่งหน้าได้ติดทนขึ้น อาการระคายเคืองผิวต่างๆ ในช่วงที่ใช้เกิดน้อยลง ในภาพรวมคือค่อนข้างประทับใจ แต่ส่วนตัวจะค่อนข้างกังวลกับเรื่องของการหักแก้วแอมพูล การเก็บรักษาแก้วแอมพูล และการกำจัดเมื่อใช้หมด อยากให้เก็บไว้แล้วแยกทิ้งต่างหากเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนเก็บขยะ หรือถ้าหากที่ไหนมีถังขยะพิเศษสำหรับแก้วแตกก็คือจะดีมาก แต่แพคเกจแบบแอมพูลแบบนี้ก็มีข้อดีของเขา คือ ปกป้องเนื้อสารข้างในให้มีความคงตัวที่ดีและลดการปนเปื้อนที่อาจเกิดเมื่อเทียบกับภาชนะบรรจุอื่นที่เป็นระบบเปิด จุดนี้ขอไม่หักคะแนนเรื่องภาชนะนะคะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทย ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ช่วงนี้กำลังมีแคมเปญลดราคาอยู่นะคะ ซึ่งสามารถติดตามได้ที่จากทางเพจ Official, Lazada และ Shopee ได้เลยค่ะ

“Flagship Store” ShopeeMall  https://invol.co/clb1zun

“Flagship Store” LazMall : https://invol.co/clb1ztm

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มบำรุงปรับสภาพผิว สำหรับผิวที่มีปัญหาจุดด่างดำ Clair Mediatone Intensive dark spot solution serum จาก The Labatorian

ก่อนหน้านี้มี่เอาบทวิเคราะห์ส่วนผสมของเซรั่มดูแลปัญหาสิวสำหรับผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย Agness จากแบรนด์ The labatorian มาแชร์ให้ทุกท่านได้อ่านกัน

ถ้าท่านใดสนใจ สามารถตามไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้นะคะ
>>Click<<

วันนี้ขอหยิบเอาเซรั่มจากแบรนด์ The labatorian อีกสูตรมาให้ได้อ่านกันนะคะ
เซรั่มที่จะมารีวิววันนี้มีชื่อว่า Clair MediatoneTM Intensive dark spot solution serum ซึ่งมี่จะขอเรียกย่อๆ ว่า Clair นะคะ

น้องจะมาในหน้าตาคล้ายๆ กับ Agness แต่จะต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อยค่ะ

ส่วนบรรจุภัณฑ์ด้านในจะคล้ายๆ กัน คือ มาในขวดปั๊มที่ปิดสนิท (Closed system)

เนื้อเซรั่มจะมาในอารมณ์แบบครีมเจล ไม่มีกลิ่นเพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสนุ่มนวล ไม่เหนียวเหนอะหนะ เมื่อทิ้งไว้สักครู่จะรู้สึกเย็นสบายผิว และเรียบเนียน

สำหรับค่า pH ของน้องนั้นมี่ไม่ได้วัดให้นะคะ เนื่องจากเนื้อเซรั่มไม่เปียกบนกระดาษวัด pH ค่ะ

ส่วนของเรื่องการใช้งาน

หลังจากที่ได้ทดลองใช้มาราวๆ เกือบเดือน ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้เป็น Routine อยู่ก่อนหน้า ส่วนตัวรู้สึกว่า ประโยชน์ในด้านของการดูแลสีผิวนี่ นางจะค่อยๆ มา ไม่ได้ขาวแบบเร็วเว่อร์ มันจะเน้นเรื่องของการปรับสมดุลสีผิวให้ดูสว่างกระจ่างใส มารู้สึกตัวอีกทีก็แบบ อุ๊ย ผิว Glow จัง อะไรประมาณนั้น

ก่อนจะไปดูรายละเอียดส่วนผสม ขอเล่าถึงจุดเด่นของน้อง Clair ให้ฟังก่อนนะคะ

  • น้องผ่านการทดสอบการแพ้และการระคายเคือง ด้วยวิธี Closed patch test ในอาสาสมัคร
  • น้องผ่านการตรวจสอบปริมาณจุลินทรีย์ปนเปื้อนด้วยวิธี Total aerobic plate count
  • น้องมีสารบำรุงหลายชนิดที่เสริมกันอย่างลงตัวเผื่อดูแลปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ หมองคล้ำ และไม่กระจ่างใส
  • น้องเสริมสร้าง Barrier ผิวไปพร้อมกัน
  • Non-comedogenic ทดสอบแล้วว่าไม่อุดตันรูขุมขน

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ในส่วนผสมวันนี้มี่ทำไว้หลายสีอยู่นะคะ

เนื่องจากเป็นเซรั่มที่ดูแลปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ หมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส เลยขอหยิบยกเอาส่วนผสมที่มีประโยชน์ในเชิงด้านของ Whitening/Brightening ขึ้นมาเล่า
ก่อนนะคะ ส่วนผสมเหล่านี้มี่แสดงไว้ด้วยสีม่วงค่ะ

ส่วนผสมที่มีประโยชน์ด้าน Whitening

  • Tranexamic acid เป็น Whitening ตัวหนึ่งที่ดูแลปัญหาด้านจุดด่างดำได้ค่อนข้างดี มีรายงานว่าสารนี้มีคุณสมบัติไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ต้นตอ คือ ไปยับยั้งสาร Plasmin ที่จะไปกระตุ้นฮอร์โมน α-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ที่เป็นคุณแม่ของ Tyrosinase อีกที กล่าวง่ายๆ ว่า Tranexamic acid ไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ขั้นตอนแรกๆ เลยก็ว่าได้ (J Am Acad Dermatol 2011;October:699-714.)
  • Niacinamide ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 นางมีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการแต่ถ้าเป็นในด้านของ Whitening นางจะไปขัดขวางการส่งผ่านของเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก
  • Octadecenedioic acid หรือ เรียกย่อว่า ODA ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างจาก Whitening ทั่วไป โดย ODA ออกฤทธิ์ที่ peroxisome proliferator-activated receptor (PPAR) ซึ่งเป็นตัวรับชนิดหนึ่งที่ เกี่ยวข้องกับระบบต่างๆของร่างกายหลายระบบ รวมทั้งการสังเคราะห์เมลานิน โดย ODA มีผลไปทำให้การสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ลดลง จึงส่งผลให้เกิดการสร้างเม็ดสีได้น้อยลง ผิวจึงแลดูสว่างกระจ่างใส และ ODA ยังมีประโยชน์อื่นๆ เช่น มีคุณสมบัติในการชะลอวัย และการลดการอักเสบระคายเคือง (Int J Cosmet Sci. 2005; 27(2):123-32)
  • N-acetyl-D-glucosamine หรือ NAG น้องเป็นอนุพันธ์ของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่พบเป็นหน่วยย่อยของ Hyaluronic acid มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นโดยการเติมน้ำให้แก่ผิวหนังและอาจจะเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ Hyaluronic acid ของผิว สำหรับด้าน Whitening มีรายงานว่า NAG ไปป้องกันไม่ให้เอนไซม์ pro-tyrosinase ที่ยังออกฤทธิ์ไม่ได้ กลายสภาพเป็น tyrosinase ที่มีฤทธิ์ จึงไม่มีการสร้างเม็ดสี และยังมีประโยชน์ในด้านของการปรับสมดุลการผลัดผิวแบบอ่อนโยน (Int J Cosmet Sci. 2010;32(3):234.) และถ้าใช้ร่วมกับ Niacinamide จะให้ผลลดจุดด่างดำได้ดีขึ้น (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.) ซึ่งสูตรนี้ก็เป็นเช่นนั้น คือมี NAG+Niacinamide
  • Potassium 4-methoxy salicylate หรือ 4-MSK ร่วมกับ Arbutin, และสารสกัดจากรากชะเอม มีประโยชน์ในด้านของ Whitening ผ่านกระบวนการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase
  • Undecylenoyl phenylalanine รู้จักกันในนาม Sepiwhite MSH มีประโยชน์เป็น Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ซึ่งปกติมีหน้าที่กระตุ้นให้เอนไซม์ Tyrosinase ทำงาน และไปควบคุมกระบวนการ Melanosome transfer ไม่ให้ส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วให้ออกไปภายนอกจนเห็นเป็นสีผิว มีการศึกษาในอาสาสมัครชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ การทดสอบในอาสาสมัครที่ใช้สารนี้ในความเข้มข้น 1% ร่วมกับ Niacinamide 5% ให้ผลเป็น Whitening ที่ดีเมื่ออาสาสมัครใช้เป็นเวลา 8 สัปดาห์ (J Cosmet Dermatol. 2009;8(4):260-6.)

สีชมพู ป็นส่วนผสมที่มีประโยชน์ด้านการดูแลปัญหาการอักเสบระคายเคือง มีด้วยกันหลายตัว เช่น สารสกัดจากกุหลาบมอญ, Allantoin, Bisabolol สารสกัดจากว่านหางจระเข้ และ สารสกัดจากรากชะเอม จริงๆ เรื่องของปัญหาการอักเสบระคายเคืองก็เป็นปัญหาหนึ่งที่นำไปสู่การสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติไป กลายเป็นจุดด่างดำได้ ดังนั้นจะกล่าวว่า สารสีชมพู เป็น Whitening อ้อมๆ ก็คงไม่ดูเกินจริง

สีเขียวสะท้อนแสง มี 2 รายการ ได้แก่

  • Soy isoflavone สารพฤกษเคมีในกลุ่ม Isoflavone มีประโยชน์เป็น antioxidant และมีคุณสมบัติคล้ายเอสโตรเจน เลยมีชื่อเรียกว่า Phytoestrogen คือ เอสโตรเจนจากพืช ซึ่งมีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณสมบัติให้ผิวนุ่มฟู ยืดหยุ่น และแข็งแรง รวมไปถึงด้านการชะลอวัย และดูแลปัญหาริ้วรอย
  • Tropaeolum majus extract สารสกัดจากดอก Nasturtium ที่ประกอบด้วยสาร Polysaccharide ชื่อ Arabiongalactan เป็นสาระสำคัญ ออกฤทธิ์ผ่านกลไกที่ช่วยในการปรับสมดุลของผิวเพื่อแก้ปัญหาภาวะความเครียดเนื่องจากระดับของ Oxygen ต่ำ (Hypoxia) เมื่อเวลา Oxygen ต่ำ ผิวเราก็จะทำงานได้น้อยลง ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่แข็งแรง ไม่นุ่มฟู ไม่ยืดหยุ่น ถ้าหากมีปริมาณของ Oxygen เพียงพอ ก็จะช่วยเสริมกระบวนการทำงานต่างๆ ของผิว จึงมีประโยชน์ในผิวนุ่มนวล เรียบเนียน แข็งแรง และมีสุขภาพดี ปรับ Complexion ของผิวให้มี Appearance แบบ Glow สุขภาพดีตามธรรมชาติ

สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารไขมันทดแทน Barrier ผิวให้ผิวแข็งแรง

สีเขียวแก่ Boron nitride น้องเป็น Pigment ที่มีคุณสมบัติบางประการ แล้วแต่ชนิดและเกรดที่ใช้ น้องอาจจะไปช่วยเคลือบปกปิดริ้วรอยตื้นๆ ให้ผิวดูเรียบเนียน หรือ น้องมีความทึบแสง ช่วยอำพรางจุดด่างดำ หรือสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ให้ดูสม่ำเสมอ และดูสว่างขึ้น แต่ไม่ถึงกับขาววอก หรือ ติด Undertone เทาแบบการใช้ Pigment บางตัว

สีส้ม คือ สารสกัดจากเปลือกต้น Willow ประกอบด้วย BHA จากธรรมชาติ

ในภาพรวมคือ Clair เป็นเซรั่มชิ้นหนึ่งที่ประกอบด้วยสารบำรุงที่ดูแลปัญหาสีผิวได้ครบทั้งวงจร ตั้งแต่ก่อนการสร้างเม็ดสี ขณะสร้างเม็ดสี และ หลังการสร้างเม็ดสีเสร็จแล้ว

นอกจากสารที่เป็น Whitening แล้วยังเสริมสารบำรุงมาอีกหลายชนิด ที่ให้ประโยชน์อีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบระคายเคือง ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย รวมถึงเสริมสร้างและฟื้นฟู Barrier ผิว เรียกได้ว่าค่อนข้างครบ

ในด้านของส่วนผสมอื่นๆ น้องจะมาในเบสที่เป็นกึ่งๆ Emulsion-gel จึงเป็นเนื้อคล้ายครีม แต่มีความเบา และเย็นสบายแบบเจล ไม่เหนียวเหนอะหนะแล้วหนักผิว

และสุดท้ายนี้ คือ ในเซรั่มไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเป็นส่วนผสม

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปในด้านบน ส่วนของ Whitening น้อง Clair ประกอบด้วยสารบำรุงที่ดูแลได้ครบทั้ง 3 ระดับของการสร้างเม็ดสีผิว และยังเสริมสารบำรุงอื่นๆ เข้ามา ให้ประโยชน์ครบ จบทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบระคายเคือง ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย รวมถึงเสริมสร้างและฟื้นฟู Barrier ผิว เรียกได้ว่าค่อนข้างครบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเป็นส่วนผสม จึงไม่มีจุดให้หักคะแนน เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ด้านการใช้งาน ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน จากที่ส่วนตัวลองใช้ คือ น้อง Clair จะเน้นเรื่องของการปรับสมดุลสีผิวให้ดูสว่างกระจ่างใส มารู้สึกตัวอีกทีก็แบบว่า อุ๊ย ผิวดูมี Complexion ที่สวยงามขึ้น มีความ Glow แต่สำหรับคนผิวแห้ง อาจจะต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์อื่นเสริมอีก ถ้าใช้ตัวนี้อย่างเดียวบ่ายๆ จะแห้งเล็กน้อย แต่คนผิวมันน่าจะชอบ จุดนี้ขอให้ไป 4 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ The labatorian ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ The labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีม Whitening วิตามินรวมจากญี่ปุ่น Shimi AX จากแบรนด์ Kracie

สวัสดีค่ะ

มีผลิตภัณฑ์อยู่ตัวหนึ่งที่มีติดค้างรีวิวทุกคนมานานมากๆ จนใช้หมดไปสองหลอดแล้วก็ยังไม่ได้ฤกษ์นำมารีวิวเสียที

เอาหล่ะ ในที่สุด วันนี้ก็ได้ฤกษ์ รีวิวปิดท้ายวันหยุด ก่อนต้องตื่นไปทำงานแต่เช้ากันในวันพรุ่งนี้

นางก็คือ ครีม #ลูกรักบ้านมียอน Shimi AX จากแบรนด์ Kracie นั่นเองค่ะ

หน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

shimi 1.JPG

หลอดเก่าไป หลอดใหม่มา ตอนนี้หลอดที่สองก็หมด แต่ขอพักสักแป๊บ เพราะของล้นกรุมากๆ 555

 

ตัวหลอดมาแบบเรียบแต่โก้ หรูแต่ง่ายค่ะ

shimi 2

 

จริงๆในบ้านเรามีขายที่ Matsumoto kiyoshi นะคะ แต่มี่สั่งจากเว็บ Dokodemo เอาค่ะ ราคารวมค่าขนส่งแล้วก็ไม่ต่างกันมากนัก

 

คำว่า “Shimi” หรือ しみ เป็นคำที่กำลังอินเทรนด์ของฝั่งญี่ปุ่นเค้าค่ะ แปลว่ารอยเปื้อน แต่ในทางสกินแคร์และบิวตี้ หมายถึง จุดด่างดำ

 

สำหรับเนื้อครีมก็เป็นครีมเนื้อข้นๆหน่อย

shimi 3

ไม่มีกลิ่นค่ะ น่าจะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ขัดกับลุคที่ดูข้นๆของนางเลย

shimi 4

 

วันนี้ไม่ได้วัด pH เพราะเนื้อครีมนางไม่เปียกกระดาษ กระดาษเลยไม่เปลี่ยนสีค่ะ

 

สำหรับส่วนผสมวันนี้ มี่ใช้วิธีแกะจากข้างกล่องเอานะคะ เนื่องจากไม่สะดวกไปถ่ายรูปฉลากไทยในร้านจ้า

สผส

ซึ่งจากที่สังเกตมา ทางญี่ปุ่นเขาไม่ได้เรียงลำดับส่วนผสมจากความเข้มข้นมากไปหาน้อยนะคะ แต่จะเอา Active มาขึ้นก่อน ตามด้วยสารที่เป็นเบส หรือ Vehicle ของตำรับค่ะ

 

สำหรับสารบำรุง ที่สำคัญจะเป็นกลุ่มของวิตามินรวม 3 ชนิดหลัก คือ A C E ค่ะ

  • วิตามินเอ เป็นรูปแบบของ Retinyl palmitate ซึ่งถ้าเทียบกับฟอร์มอื่นแล้ว นางก็จะมีการระคายเคืองที่น้อยกว่า แต่กว่านางจะออกฤทธิ์ได้ นางต้องผ่านการแปรสภาพในผิวถึง 3 ขั้นตอน โดยประโยชน์ของวิตามินเอ กับผิวพรรณนั้น ค่อนข้างกว้างค่ะ โดยหลักๆ จะเด่นไปในด้านของริ้วรอย การปรับสมดุลการผลัดผิว ความกระชับและยืดหยุ่นของผิว และสิว
  • วิตามินซี มาในรูปแบบของ Ascorbyl glucoside ซึ่งเป็นรูปแบบที่เอาวิตามินซีมาจับกับน้ำตาล โดยประโยชน์ของวิตามินซี ก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเชิง Whitening, ลดการอักเสบระคายเคือง ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • วิตามินอี ตัวนี้น่าสนใจนะคะ เป็นรูปแบบของ Tocopheryl nicotinate ซึ่งเป็นสารลูกผสมระหว่างวิตามินอี กับ บี 3 ทางผู้ผลิตวัตถุดิบก็เคลมว่า ถ้านางลงผิว ผิวเราก็จะแปรสภาพจนได้วิตามินอี และ บี 3 ให้ประโยชน์หลายอย่างทั้ง Antioxidant, ลดการอักเสบระคายเคือง และในเชิงด้าน Whitening

antioxidants-06-00020-g001.jpg

(Duncan and Suzuki, . 2017 Mar; 6(1): 20.)

 

สำหรับ Tocopheryl nicotinate นอกจากผลที่กล่าวมาแล้ว นางมีคุณสมบัติในการเสริมการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆในผิวเสริมมา ซึ่งจริงๆก็มีใช้ในทางยามาซักพักแล้วค่ะ (The American Journal of Clinical Nutrition 1974. 27(10):1110-6)

 

สารบำรุงที่เหลืออยู่ ในส่วนของสีฟ้า คือ

  • Dipotassium glycyrrhizate ตัวนี้ได้มาจากชะเอมค่ะ มีคุณสมบัติในเชิงการลดการอักเสบระคายเคือง
  • Lactobacillus/lotus seed ferment ตัวนี้มีประโยชน์ในด้านชุ่มชื้นเป็นหลักค่ะ

 

และสีเขียว Cholesterol กับ Corn oil เป็นไขมันที่มีประโยชน์กับผิวค่ะ

 

ในส่วนผสมมีการใช้ Paraben เป็นสารกันเสีย แต่ส่วนตัวไม่ได้หักคะแนน Paraben แล้วนะคะ ถ้าใครไม่แพ้สารตัวนี้ นางก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรค่ะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ วันนี้ขอให้ 2 หมวด คือ ส่วนผสม และ การใช้งานนะคะ

  1. ส่วนผสม ในส่วนผสมทำมาได้ค่อนข้างดี และลำพังการผสมเอาวิตามิน A C E/B3 เข้าด้วยกันก็เรียกได้ว่า ให้ประโยชน์ในการดูแลผิวได้ครบวงจรแล้วค่ะ เหลือแค่ว่าเราไม่ทราบความเข้มข้นว่าเค้าใช้ในปริมาณเท่าไหร่ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ในตัวครีม เนื้อออกมาค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเหนียว หรือมันเยิ้ม (มี่ผิวผสม/แห้ง) แต่ด้วยความที่มีวิตามินเอ ส่วนตัวก็จะใช้แค่ตอนกลางคืนนะคะ แม้ว่า Retinyl palmitate จะเสี่ยงแพ้แสงน้อยกว่าตัวที่เป็นรูปแบบยา อย่าง acid แต่ก็ขอเลี่ยงการใช้กลางวันไว้ก่อนค่ะ สำหรับด้าน Whitening ส่วนตัวมองว่า นางค่อยๆปรับสภาพจุดด่างดำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้นค่ะ แต่ไม่ถึงกับจะมาแบบขาวขึ้นแบบเว่อร์วังรวดเร็วอะไรทำนองนั้นค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลากันไปเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่ม Whitening ที่มาพร้อมกับการฟื้นฟู Barrier ผิว และดูแลปัญหาด้านริ้วรอย จากเกาหลี กับ GluCA whitening serum

สวัสดีค่ะ

มี่ติดรีวิวเซรั่ม Whitening ตัวหนึ่งไว้ วันนี้ในที่สุดก็ถึงฤกษ์งามยามดีที่จะมารีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันแล้วค่ะ

เป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ GluCA ที่มีชื่อเรียบง่ายว่า Whitening serum ค่ะ

จากความเดิมตอนที่แล้วที่มี่ได้มาเล่าถึงแบรนด์ GluCA ไปว่า นางเป็นเวชสำอางประสิทธิภาพสูงจากเกาหลี ที่มีวางจำหน่ายในคลินิกและโรงพยาบาลผิวหนังชั้นนำของประเทศเกาหลีค่ะ

ซึ่งมี่เองก็มีโอกาสได้รู้จักจากการไปเดินชมงาน K-beauty expo 2019 เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาค่ะ

ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ GluCA ที่เข้ามาในไทยจะมีด้วยกัน 2 Line นะคะ คือ Line Clinic รุ่นสีฟ้า กับ Line whitening จะเป็นสีเทาค่ะ

โดยวันก่อนมี่ได้รีวิวตัว Essence จากกลุ่ม Clinic ไปแล้วนะคะ ซึ่งถ้าพลาด เพื่อนๆสามารถไปติดตามได้ตามลิงค์นี้เลยค่ะ (>>>Click<<<)

 

สำหรับวันนี้จะมารีวิวตัวเซรั่มจากกลุ่ม Whitening ทั้งกลุ่มจะมีผลิตภัณฑ์อยู่ 5 ชิ้น ได้แก่ โฟมล้างหน้า โทนเนอร์ ครีม อายครีม และ เซรั่มค่ะ

white line.jpg

 

สำหรับตัวเซรั่มจะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

Glu 1

ซึ่งจุดเด่นของภาชนะบรรจุคือ นางมีปุ่มล็อคอยู่ด้านหลัง ถ้าปุ่มนี้ล็อคอยู่ (เลื่อนไปทางซ้าย) จะกดเซรั่มออกมาไม่ได้ค่ะ ส่วนตัวมี่ชอบในจุดนี้มากๆ เพราะเวลาเราเดินทาง โหลดไปในกระเป๋า นางก็จะไม่โดนกระแทกจนเลอะเทอะออกมาค่ะ

Glu 3

เนื้อเซรั่มมาในรูปแบบของน้ำนม มีกลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหยตามธรรมชาติ

Glu 4

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมซาบไว แห้งไว ยังชุ่มชื้นอยู่แต่ไม่ถึงกับเหนอะหนะ

Glu 5

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ส่วนผสม white ใหม่

ในภาพรวมเป็นเซรั่มที่มาในเบสแบบอิมัลชั่น (เบสแบบน้ำนม) มีส่วนผสมของน้ำ และน้ำมัน ร่วมกับซิลิโคนบางชนิด ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

จากส่วนผสมวันนี้มี่ทำไว้หลายสีเหมือนเช่นเคยนะคะ ขอเปิดประเดิมที่

  • ขอเปิดด้วยสีม่วง อิออน Calcium และ Magnesium ในรูปแบบที่ละลายน้ำได้ ซึ่งสองตัวนี้ทางแบรนด์เคลมเรื่องของเทคโนโลยี Ion balance เพื่อควบคุมสมดุลของ Calcium และ Magnesium ของผิว ซึ่งประโยชน์ของ Calcium ที่มีต่อผิวนั้นมีมากมาย แต่หลักๆคือช่วยให้เซลล์ผิวเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและหน้าที่ (Differentiation) เป็นผิวที่โตเต็มวัย

โดย Calcium จะทำงานร่วมกับ Magnesium ในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ในเซลล์ที่มีสุขภาพดี อิออนของ Calcium และ Magnesium จะอยู่ในสภาวะที่สมดุล แต่ถ้าไม่สมดุล เซลล์ก็จะสุขภาพไม่ดี

glu ca mg

สำหรับประโยชน์ของ Calcium ที่ชัดเจนสำหรับผิวหนังก็คือเรื่องการ Differentiation ให้ผิวเราแข็งแรงและสมบูรณ์ ซึ่งรูปนี้อธิบายได้ชัดมากๆค่ะ

glu ca mg 2

  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้น ผ่านกระบวนการเติมน้ำให้ผิว ซึ่งประกอบด้วย Hyaluron 3 ชนิด ร่วมกับสารสกัดจากน้ำผึ้ง โปรวิตามินบี 5 และ Hydrolyzed collagen
  • สีเขียว คู่ผสมของ Palmitoyl tripeptide-1, Palmitoyl tetrapeptide-7 รู้จักกันในนามของ Matrixyl 3000 (จริงๆใน Matrixyl 3000 มีสารตัวอื่นประกอบด้วย แต่ขอละไว้นะคะ) ซึ่งมีประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย และมีงานวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพ
  • สีส้ม เป็นไขมันที่ทดแทนให้ผิว โดยตัวสำคัญคือ Ceramide NP หรือ Ceramide 3 ซึ่งตัวเซราไมด์เองมีความสำคัญมากกับความสามารถในการเป็นปราการเพื่อปกป้องผิว เสริมมาด้วย Phytosphingosine ซึ่งเป็นสารตั้งต้นให้ผิวเรานำไปสังเคราะห์ ceramide ได้ และกรดไขมัน Palmitic
  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารบำรุงต่างๆ ได้แก่
    • Niacinamide ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า และยังเป็น Antioxidant ด้วย (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
    • สารสกัดพืชมากมายถึง 19 ชนิด โดยมีสารสกัดหลัก 7 ชนิด ซึ่งผ่านการคัดเลือกมาจากฐานข้อมูลของทางแบรนด์ ว่าเป็น Combination ที่ให้ประโยชน์ในเชิง Whitening ได้ดี ได้แก่ สารสกัดจากชาเขียว Centella, Sea buckthorn, Mallow, เจียวกู้หลาน, Alchemilla vulgaris และ Primula veris ซึ่งผ่านการทดสอบแล้วทั้งในระดับหลอดทดลองและในอาสาสมัครว่า มีคุณสมบัติในการลดการสังเคราะห์เมลานินได้

gluca inviro

(Image from GluCA)

 

เราลองมาดูประโยชน์ของสารสกัดและสารบำรุงบางตัวกันดีกว่านะคะ

    • สารสกัดจากชาเขียว มีรายงานวิจัยอยู่ค่อนข้างมาก เช่น เป็น antioxidant เป็น Moisturizer ลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว (Dermatol Ther. 2013;26(3):267-71.) สารประกอบกลุ่ม Polysaccharide ที่พบในชาช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ และสารประกอบกลุ่ม Polyphenol ยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ (J Agric Food Chem. 2009;57(17):7757-62.)
    • สารสกัดจากเจียวกู้หลาน (Gymnostema pentaphyllum extract) ซึ่งปกติเรามักพบในสูตรชา แต่ในทางเครื่องสำอาง เจียวกู้หลานเป็นพืชที่มีความน่าสนใจเหมือนกัน เพราะมีคุณสมบัติเป็น antioxidant เสริมการทำงานของ Fibroblast และปกป้องผิวจากรังสี UV (ISRN Dermatology Volume 2014, Article ID 202876)
    • Primula veris extract หรือ Cowslip ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่ามีคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง และเป็น Antioxidant
    • สารสกัดจากคาโมมายล์ ลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
    • Adenosine มีประโยชน์ต่อผิวในด้านของการชะลอวัยและลดเลือนริ้วรอย

 

สำหรับสีแดงที่มีให้ไว้ คือกลุ่มของน้ำมันหอมระเหยจากเปลือกของพืชในตระกูล Citrus อาจจะทำให้เกิดอาการผิวไวต่อแสงได้ในบางคน จึงควรทากันแดดเสมอ หรือ นำผลิตภัณฑ์ไปใช้ในตอนกลางคืน ซึ่งในจุดนี้ส่วนตัวมี่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหลังจากใช้ทั้งเช้าและเย็นมาเกือบเดือน และด้วยแพคเกจที่พกพาสะดวก มีตัวล็อคฝา ป้องกันการหกเลอะเทอะในกระเป๋าเดินทางก็เลยชอบที่จะพกพาไปด้วยเวลาเดินทาง

ในภาพรวมถือว่าเป็นเซรั่มที่ทำมาได้น่าสนใจทั้งในด้านของ Package ทั้งส่วนผสม ที่คัดเลือกมาเสริมกันอย่างลงตัว และการเลือกใช้เทคโนโลยี Ion balance ที่เลือกใช้ทั้ง Calcium และ Magnesium มาเสริมกันได้อย่างลงตัว และให้ประโยชน์กับผิวได้หลายอย่าง เพราะไม่ใช่แค่เป็นเซรั่ม Whitening ธรรมดาแต่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่ให้ประโยชน์ทั้งด้านผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น ชะลอวัย ลดการอักเสบระคายเคือง และดูแลปัญหาด้านริ้วรอยไปพร้อมๆกัน

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ในด้านของสารบำรุง ตามที่กล่าวไปด้านบน ทางแบรนด์เลือกใช้สารบำรุงหลายชนิด มาเสริมกันได้อย่างลงตัว และให้ประโยชน์กับผิวได้หลายอย่าง เพราะไม่ใช่แค่เป็นเซรั่ม Whitening ธรรมดาแต่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่ให้ประโยชน์ทั้งด้านผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น ชะลอวัย ลดการอักเสบระคายเคือง และดูแลปัญหาด้านริ้วรอยไปพร้อมๆกัน จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ มีการใช้น้ำมันหอมระเหยจากพืชในสกุล Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแพ้แสงได้ในบางราย แต่ส่วนตัวมี่ใช้ทั้งเช้าเย็น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ถึงแม้จะไม่ได้เกี่ยวกับการใช้งานตรงๆ แต่ส่วนตัวชอบแพคเกจมาก ที่มีตัวล็อคฝากด และเนื้อสัมผัสของตัวเซรั่มก็ทำมาได้ค่อนข้างดี ชุ่มชื้น แต่ไม่ถึงกับเหนอะหนะมาก และเรื่องของประสิทธิภาพส่วนตัวมองว่าในด้านของการลดการอักเสบระคายเคือง และช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น ตรงนี้ทำมาได้ประทับใจมากๆ ส่วนเรื่อง Whitening กับ ริ้วรอย ช่วงนี้ยอมรับว่าไม่ได้มีปัญหาในจุดนี้ เลยยังไม่ทราบชัดเจนค่ะ แต่ขอให้คะแนนความพึงพอใจไว้ที่ 5 ฟลาสก์

คะแนน glu

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ แล้วพบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มเพื่อชะลอวัยสำหรับวัย Pre-agers จาก DNAh กับ Absolute bright serum age defense

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ DNAh (ดีนะห์) มาให้ได้ชมกันอีกแล้วค่ะ

ถ้าพูดถึงแบรนด์ DNAh มี่เคยรีวิวผลิตภัณฑ์ของเขาไว้หลายชิ้นเหมือนกันนะคะ

อย่างกันแดดก็น่าสนใจ >>Link รีวิวกันแดด DNAh<<

หรือ Sleeping pack หรือ มาส์กหน้าก่อนนอนก็ดูดีใช่เล่น >>Link รีวิวมาส์กหน้า DNAh<<

 

วันนี้ถึงคิวของเซรั่มที่มีชื่อว่า Absolute bright serum ค่ะ

ซึ่งเป็นเซรั่มที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่ม Pre-agers หรือ กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังจะก้าวข้ามวัยไปสู่วัย 30+ ที่จะเริ่มแก่นั่นเองค่ะ

เซรั่มตัวนี้นอกจากจะให้ประโยชน์ในเชิง Whitening แล้ว ยังมีประโยชน์เสริมในด้านของการต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัยด้วยค่ะ ดังจะเห็นได้จากคำว่า “Age defense” บนขวด

 

เรามาดูผลิตภัณฑ์กันดีกว่าค่ะ

ตัวเซรั่มบรรจุมาในขวดปั๊มอคริลิก ที่มีหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

se 1

เนื้อเซรั่มมาในลักษณะแบบใส มีกลิ่นหอมจางๆ

se 2

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะค่ะ

se 3

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

se 4

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส serum new

วันนี้มี่ทำส่วนผสมไว้ 5 สีเลยทีเดียวค่ะ

เรียงไปทีละสีเลยนะคะ

  • สีม่วง Rosa damascena callus culture extract สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของดอกกุหลาบมอญ ซึ่งเป็นกุหลาบที่มีคุณค่าในเชิงเครื่องสำอาง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่ามีคุณสมบัติเด่นในด้าน Whitening รองลงมาคือเป็น antioxidant ช่วยในการชะลอวัย และมีประโยชน์ในด้านลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • สีชมพู สูตรผสมของ Malva Sylvestris Extract (and) Alchemilla Vulgaris Extract (and) Melissa Officinalis Extract (and) Mentha Piperita Extract (and) Veronica Officinalis Extract (and) Achillea Millefolium Extract (and) Primula Veris Extract รู้จักกันในนาม Alpaflor Gigawhite เป็นสารสกัดจากพืช 7 ชนิด จากเทือกเขาแอลป์ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าให้คุณสมบัติเป็น Whitening โดยผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวการสร้างเม็ดสีผิว ทางผู้ผลิตได้ทดสอบในอาสาสมัครชาวเอเชีย พบว่ามีประโยชน์ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และลดเลือนจุดด่างดำตามอายุ (Age spot)
  • สีน้ำเงิน น้ำมันจากอาร์แกน มีประโยชน์ในด้านความชุ่มชื้น และทดแทนไขมันให้แก่ผิว
  • สีฟ้า เป็นสารที่ให้ประโยชน์ในเชิง Whitening ได้แก่
    • Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีประโยชน์กับผิวมากมาย ทั้งในเชิงความแข็งแรงของผิว ลดการอักเสบระคายเคือง และ Whitening
    • Tranexamic acid เป็นสารที่มีประวัติการใช้ในเชิงยาต้านการแข็งตัวของเลือด แต่มีผลข้างเคียงทำให้ผิวขาวขึ้น ทางเครื่องสำอางเลยเอามาวิจัยต่อ พบว่า.) มีรายงานว่า Tranexamic acid สามารถยับยั้ง Plasmin ปกติ Plasmin เป็นตัวตั้งต้นก่อนจะไปกระตุ้นฮอร์โมน alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวแม่ ที่ไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซท์ ทำงานได้ดีมากขึ้น (Active มากขึ้น) ก็สร้างเมลานินออกมาได้มากขึ้น (J Am AcadDermatol 2011;October:699-714.)
  • สีเขียวเป็นสารบำรุงอื่นๆ มีอยู่หลายตัวเลยทีเดียว ที่น่าสนใจได้แก่
    • สารสกัดจากไข่ปลาคาเวียร์ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดจากคาเวียร์ประกอบด้วยวิตามินและสารอาหารหลายชนิด ให้ประโยชน์ในเชิงด้านความชุ่มชื้น และชะลอวัยลดริ้วรอย
    • Sophora flavescens extract มีรายงานว่าสารสกัดจากส่วนรากมีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และ ลดการสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของ ถุงเก็บเมลานิน ที่มีชื่อว่า Melanosome และโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก (Pharm Biol. 2013;51(11):1467-76.)
    • สูตรผสมของ Lactobacillus/Soybean Ferment Extract (and) Saccharomyces/Viscum Album (Mistletoe) Ferment Extract (and) Saccharomyces/Imperata Cylindrica Root Ferment Extract มีชื่อทางการค้าว่า Natural HG ของเกาหลี ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่ามีประโยชน์เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง ช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว
    • Artemia extract น่าจะหมายถึงสารสกัดจาก Artemia Salina ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อยู่ในกลุ่ม Brine shrimp ผลการทดสอบในระดับหลอดทดลองของผู้ผลิตวัตถุดิบรายงานว่า วัตถุดิบนี้ช่วยเสริมการสร้างโปรตีน Keratin ของผิว ปกป้องผิวจากความเครียด รังสี UVB และ Infrared รวมถึงเสริมการสร้างคอลลาเจนของผิว จึงมีประโยชน์ไปในเชิงด้านการปกป้องผิว และชะลอการเกิดริ้วรอย

 

ตัวเซรั่มมาในเบสน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคนและไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

 

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง เป็นเซรั่มที่เสริมสารบำรุงมาหลายชนิด ให้ประโยชน์ที่ดีแก่ผิวในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเชิง Whitening, anti-aging ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกสบายผิว ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างครบ สยบเกือบทุกปัญหาผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ตัวเซรั่ม มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคน และสารอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีจุดให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน เนื้อเซรั่มค่อนข้างบางเบา ซึมซาบไว ไม่เหนอะหนะ อาจจะมีกลิ่นจางๆของวัตถุดิบติดมาบ้าง แต่ก็ถือว่าทำมาได้ดีนะคะ ส่วนในด้านการใช้งาน ช่วงแรกๆที่ใช้จะสัมผัสได้ถึงด้านความชุ่มชื้น ผิวนุ่มฟู และดูละเอียดขึ้น ส่วนในด้าน Whitening จะเริ่มตามมาที่ป่ระมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังใช้ค่ะ เหมาะกับพวกจุดด่างดำตามวัย รวมถึงพวกรอยดำต่างๆ ส่วนด้านริ้วรอย ช่วงนี้ผิวมี่ไม่ได้มีปัญหานี้เลยยังตอบไม่ได้ แต่ดูจากส่วนผสมแล้ว ถือว่าเขาทำมาได้ดีอยู่ สำหรับคนผิวแห้งมากๆ ตัวนี้ตัวเดียวอาจจะยังไม่พอ ต้องหามอยส์เจอไรเซอร์อื่นมาเสริมทับอีกชั้นหนึ่ง ส่วนคนผิวมัน คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะคะ จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์

 

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DNAh ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์ DNAh ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/deenahthailand

ช่องทางการจำหน่าย

เพจ DNAh

Line @ : DNAhThailand

qr

 

Shop store :ร้านยา ฟาร์มาคาเฟ่ จ.เชียงใหม่

 

สำหรับวันนี้ก็ขอลากันไปแค่นี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DNAh การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มบำรุงผิวสายคลีน ด้วยส่วนผสมสารสกัดจากธรรมชาติจากแบรนด์ Neem กับ Multiplant brightening serum

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์เซรั่มที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์น้องใหม่อย่าง Neem ซึ่งเป็นแบรนด์สกินแคร์สายคลีน ที่ใส่ใจการเลือกใช้ส่วนผสมของสารบำรุงจากธรรมชาติ ไม่ใช้ส่วนผสมที่อาจก่อการระคายเคืองให้กับผิวอย่างน้ำหอม แอลกอฮอล์ และ ซิลิโคน ค่ะ

ผลิตภัณฑ์ที่มี่หยิบยกเอามารีวิววันนี้เป็นตัว Multiplant brightening serum ที่ทำมาได้น่าสนใจมากเลยค่ะ โดยในด้านของสารบำรุงเรียกได้ว่าจัดเต็มเน้นใช้สารบำรุงที่สกัดจากธรรมชาติ ร่วมกับสารบำรุงสมัยใหม่ได้อย่างลงตัวค่ะ ไว้เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกทีในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

นอกจากตัว Neem multiplant brightening serum แล้ว ทางแบรนด์ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆที่น่าสนใจอีก 2 ชิ้น คือ เซรั่มเพิ่มความชุ่มชื้น SOS skin hydrating และ สบู่ Bright & Clear acne soap นะคะ

มีทั้งแบบจำหน่ายแยกปลีกเป็นชิ้น และจัดเซ็ตสวยงามในเซ็ต Neem acnoc recovery set ค่ะ

หน้าตาเป็นประมาณนี้นะคะ

ne 1

ใน Set นี้จะประกอบด้วยเครื่องสำอาง 3 ชิ้นนะคะ

ne 3

ตัวเซรั่มมอยส์เจอร์นั้นถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดีทีเดียว นอกจากด้านความชุ่มชื้นแล้วยังดูแลผิวด้านการระคายเคือง ไวท์เทนนิ่ง รวมไปถึงด้านริ้วรอยไปพร้อมๆกัน เซรั่มบางเบา ซึมไวไม่เหนอะหนะ

ส่วนสบู่ก็มาในเบสสบู่ธรรมชาติ (สบู่ saponification) ที่ใช้น้ำมันจากพืชหลายชนิดเป็นตัวขึ้นเนื้อสบู่ เสริมด้วย Ceramides และสารสกัดจากพืชอื่นๆอีกหลายชนิดเลยทีเดียว ฟองนุ่มละเอียด ไม่แห้งตึง

 

แต่พระเอกของวันนี้ที่เราจะมีรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมกัน คือ Neem multiplant brightening serum นั่นเองค่ะ

นางมาในขวดแก้วสีขาวทึบแสง มีหลอดหยดค่ะ

ne 4

เนื้อเซรั่มเป็นแบบเซรั่มเบสน้ำ สีออกเหลือง ซึ่งคาดว่าเป็นสีของสารสกัดจากธรรมชาตินะคะ

neem tex 1

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไวไม่เหนอะหนะค่ะ

neem tex 2

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 6 นะคะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

neem pH

ส่วนวันนี้ตัวพระเอก ที่นำมาวิเคราะห์ส่วนผสมจะเป็นเจ้า Neem multiplant brightening serum ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส multiplant

มาวิเคราะห์ส่วนผสมกันดีกว่านะคะ วันนี้ขอมาแบบจัดเต็มเลยค่ะ

ถ้าเราพิจารณากันจะพบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแทบทุกชนิดจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ

  1. Actives คือ สารบำรุง เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติที่ดี รวมไปถึงมีประโยชน์ทางชีวภาพ
  2. Base คือ เนื้อหลักของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
  3. Additive คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้ และมีความปลอดภัย

 

รายละเอียดส่วนผสมแต่ละตัว

  1. Actives หรือสารบำรุง วันนี้มี่ทำไว้ 3 เฉดสีค่ะ
  • ขอเปิดด้วยสีชมพู เป็นกลุ่มของสารที่ให้ประโยชน์ในเชิงด้าน Whitening ซึ่งมีอยู่ด้วยกันหลายชนิดค่ะ
    • สารสกัดจากชะเอม มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ลดการสร้างเมลานินช่วยให้สีผิวจางลง และยังมีประโยชน์เป็น Antioxidant ( 2014; 19(7):9101-13.)
    • Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า และยังเป็น Antioxidant ด้วย (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
    • 3-Glyceryl ascorbate เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินซี ซึ่งปกติแล้ววิตามินซีมีคุณสมบัติในด้าน Whitening การชะลอวัย และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว ผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า วิตามินซีรูปแบบนี้มาในรูปแบบไม่มีประจุ (Non-ionic) ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นได้ไปพร้อมๆกับการแสดงคุณสมบัติของวิตามินซี และมีข้อมูลความคงตัวที่ดี สามารถใช้ในผลิตภัณฑ์รูปแบบเจลใสได้ในความเข้มข้นสูง ตรงกันกับเซรั่มที่มาในความใสพอดี
    • N-Acetyl-D-Glucosamine นางเป็นอนุพันธ์ของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ Hyaluronic acid มีขนาดที่เล็กสามารถดูดซึมได้ เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังโดยดูดน้ำเข้าหาตัว และสามารถยับยั้งการ Glycosylation เพื่อเปลี่ยน pro-tyrosinase ไม่ให้เป็น tyrosinase จึงไม่มีฤทธิ์สร้างเม็ดสี มีรายงานการวิจัยกล่าวว่าสามารถควบคุมการผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น (Int J Cosmet Sci. 2010;32(3):234.) มีข้อมูลสนับสนุนว่าเมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide จะมีประโยชน์ในการลดจุดด่างดำได้ดีขึ้น (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
    • Diglucosyl gallic acid นางเป็นวัตถุดิบรางวัลระดับโลก มีชื่อทางการค้าว่า Brightenyl ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าเป็นสารที่เรียกว่า Skin complexion optimizer ช่วยปรับสมดุลให้ผิวกระจ่างใส มีกลไกการออกฤทธิ์ที่สลับซับซ้อนโดยสาร Diglucosyl gallic acid จะถูกแปรสภาพโดยจุลินทรีย์เจ้าบ้าน (หรือ Normal flora) บริเวณผิวชั้นนอก ให้ได้เป็นสารออกฤทธิ์ที่ให้ผลลดการอักเสบ ลดการสร้างเม็ดสีผ่านการยับยั้ง Nitric oxide และ Diacylglycerol
    • Glutathione เป็นเปปไทด์ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 3 ชนิด เป็น Antioxidant ที่ดี และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้าง เมลานินชนิดสีอ่อน ที่มีชื่อว่า Pheomelanin
    • สารสกัดจากขมิ้นชัน (Curcuma longa root extract) เป็น Antioxidant และมีประโยชน์ในการเป็น Whitening ผ่านการยับยั้งการสร้างเม็ดสี
    • Paeonia albiflora root extract สารสกัดจากรากโบตั๋นมีรายงานว่าเป็น Whitening โดยผ่านการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว
  • สีเขียว เป็นสารบำรุงอื่นๆ ได้แก่
    • น้ำจากดอก Witch hazel มีประโยชน์ในเชิงกระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน
    • สารสกัดจากว่านหางจระเข้ มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
    • สารสกัดจากใบบัวบก บัวบกเป็นพืชที่มีรายงานถึงฤทธิ์ทางชีวภาพไว้ค่อนข้างมาก ฤทธิ์ทางชีวภาพของบัวบกได้แก่ ฤทธิ์กระตุ้นการสมานแผล เสริมการสังเคราะห์ของ Collagen และ Fibronectin ในผิว มีประโยชน์ในเชิงการกระชับผิว และดูแลริ้วรอยที่เกิดก่อนวัย (Postepy Dermatol Alergol. 2013; 30(1):46-9.)
    • สารสกัดจากคาโมมายล์ และ ดาวเรือง มีประโยชน์ในเชิงการลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
    • สารสกัดจาก Neem (Azadirachta indica leaf extract) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารสกัดจากส่วนของใบ ประกอบด้วย azadirachtin, nimbin, nimbinin and nimbidin มีประโยชน์ในเชิงการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย รา ลดการอักเสบระคายเคือง และเป็น Antioxidant (TDS Neem Leaf Extract-NS, The Garden of Naturalsolution)
  • สีฟ้า เป็นส่วนผสมของ Hyaluron 2 ชนิด มีประโยชน์ในเชิงการเพิ่มความชุ่มชื้น
  1. ส่วนของเนื้อหลัก หรือ Base มาในเบสแบบน้ำ ประกอบด้วย น้ำ และ Glycerin
  2. สารปรุงแต่งอื่นๆ หรือ Additives ได้แก่
    • สารกันเสีย ได้แก่ Phenoxyethanol และ Sodium benzoate

 

โดยสรุป ถือเป็นเซรั่มเบสน้ำ ที่ทำมาได้ค่อนข้างดี เสริมสารบำรุงหลายชนิด ให้ประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening, Antioxidant ชะลอวัย ลดการอักเสบระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกสบายผิว พร้อมทั้งดูแลเรื่องรูขุมขน และปัญหาสิวไปพร้อมๆกัน และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว นั่นคือเซรั่มสูตรนี้ ไม่มีน้ำหอม แอลกอฮอล์ และซิลิโคน ค่ะ

 

มาให้คะแนนกันค่ะ

  1. สารบำรุง จากที่ได้กล่าวไปในด้านบน ถือว่ามาได้ค่อนข้างเต็ม และดูแลผิวได้ครบจบทุกปัญหา ให้ประโยชน์หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening, Antioxidant ชะลอวัย ลดการอักเสบระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกสบายผิว พร้อมทั้งดูแลเรื่องรูขุมขน และปัญหาสิวไปพร้อมๆกัน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ตัวเซรั่มทำมาได้ค่อนข้างดีนะคะ เนื้อบางเบา เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ทาแล้วสามารถลงสกินแคร์ในขั้นตอนอื่นได้เลยโดยไม่ต้องเว้นช่วง ในด้านของผลในเชิงไวท์เทนนิ่ง ส่วนตัวมี่ลองใช้ประมาณ 2 อาทิตย์ อาจจะยังฟันธงในด้านประสิทธิภาพไม่ได้ แต่ก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงในทางทีดีขึ้นค่ะ เรื่องของความนุ่มผิว แต่งหน้าได้ติดทน และรองพื้นตกร่องน้อยลง รอยด่างดำดูจางลงในระดับหนึ่ง ซึ่งเป็นที่น่าพอใจค่ะ แต่สำหรับคนผิวแห้ง อาจจะรู้สึกว่าแห้งตึงไปนิดหน่อย ต้องหาผลิตภัณฑ์อื่นมาทาทับเสริมอีกชั้นหนึ่ง หรือ อย่างถ้าเสริมเจ้าตัวเซรั่ม SOS skin hydrating ที่มาในเซ็ตเพิ่มมาอีกชิ้น เรื่องปัญหาความแห้งก็จะน้อยลง ด้วยความที่นางมีส่วนผสมของสารสกัดจากหลายชนิดที่เข้ามาดูแลผิวและเสริมกันกับ Multiplant ได้อย่างลงตัว ซึ่งจะเอามารีวิวให้ได้ชมกันในโอกาสต่อไปนะคะ ส่วนในคนผิวมันไม่น่ามีปัญหาค่ะ จุดนี้ขอให้ไป 4 ฟลาสก์

 

คะแนน ne

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Neem ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Neem โดยตรงเลยนะคะ

Facebook : Neemthailand (https://www.facebook.com/NeemThailand/)

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Neem การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มลดเลือนจุดด่างดำจากแบรนด์ Kene กับ Gen White dark spot corrector serum

สวัสดีค่ะ วันนี้มีรีวิวผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมาฝากกันอีกแล้วค่ะ

วันนี้เป็นรีวิวเซรั่ม Whitening ตัว Top จากแบรนด์ Kene กับตัว Genwhite ที่หลายคนแอบส่องกันอยู่ค่ะ

ตัว Genwhite นี้ ถือว่าเป็น Whitening ที่ทำมาได้น่าสนใจ ด้วยการเลือกใช้ส่วนผสมที่ผ่านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และได้ตีพิมพ์ใน international journal ถึง 6 ตัวด้วยกันมาทำงานเสริมฤทธิ์กันได้อย่างลงตัวค่ะ

ซึ่งปกติแล้วส่วนผสมที่นำมาใช้ในเครื่องสำอาง ไม่จำเป็นต้องมีการศึกษาประสิทธิภาพในคนก่อนเหมือนยา สามารถนำเอามาใช้ได้เลย แต่หลังๆมา บริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบก็พยายามศึกษาประสิทธิภาพทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่วัตถุดิบ (และเพิ่มราคาขายด้วย 555) หลายๆครั้งเลยทางบริษัทก็เอาไปตีพิมพ์เป็นบทความลงในวารสารวิชาการต่างๆ เพื่อแนะนำและเผยแพร่ให้คนในวงการเครื่องสำอางและผิวพรรณได้ทราบกัน ซึ่งเมื่อมีบทความในวารสารเหล่านี้แล้ว ความน่าเชื่อถือมันก็จะยิ่งมีมากขึ้นค่ะ ซึ่งใน Genwhite เองก็เลือกใช้วัตถุดิบที่มีผลงานตีพิมพ์รองรับ เพื่อให้เราได้รับประโยชน์จากส่วนผสมอย่างเต็มที่นั่นเองค่ะ

พูดถึงแบรนด์ Kene กันอีกซักรอบเนอะ

แบรนด์ Kene จัดเป็นแบรนด์เวชสําอางประสิทธิภาพสูง ที่เน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยเลือกใช้ส่วนผสมที่อิงตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสุขภาพผิวที่ดีนั่นเองค่ะ โดยมีสโลแกนหลักคือ “Innovative skin solution” ที่ทางแบรนด์น่าจะต้องการสื่อว่า ไม่ใช่แค่ดูแลผิวพื้นๆ แต่ต้องการจัดการปัญหาผิวพรรณอย่างจริงจัง โดยอิงตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ และใช้นวัตกรรมด้านผิวหนังสมัยใหม่นั่นเองค่ะ

 

ว่าแล้วก็ขออวดโฉมหน้าของเซรั่ม Genwhite ก่อนนะคะ

gen 1

นางมีชื่อเต็มๆว่า Kene Genwhite Dark spot corrector ค่ะ

เซรั่มตัวนี้มีความน่าสนใจเพราะเป็นเสมือนจุดศูนย์รวมของส่วนผสมและนวัตกรรมด้าน Whitening ในทางเครื่องสำอางไว้ในขวดเดียวกัน

ด้านในเป็นขวดปั๊มแบบสุญญากาศ (airless) สีขาว/ฟ้า ค่ะ

gen 2

สโลแกนของ Genwhite คือ “จัดการจุดด่างดำ เปลี่ยนแปลงจริง ด้วย 6 ส่วนผสมที่พิสูจน์แล้วทางวิทยาศาสตร์และตีพิมพ์ในวารสารระดับนานาชาติ”

20 res

(Image from Kene)

ทางแบรนด์เคลมว่า วัตถุดิบที่ใช้มีงานวิจัยกว่า 20 ฉบับ ออกฤทธิ์ผ่าน 4 กลไกหลักของการสร้างเม็ดสีผิว เอ๊ะ มีอะไรบ้างนะคะ ว่าแล้วก็ขอกล่าวถึงการสร้างเม็ดสีผิวซักหน่อยค่ะ

ในสมัยโบราณ เราทราบกันแค่ว่า ในผิว มีเซลล์ Melanocyte ที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสี Melanin จากกรดอะมิโน Tyrosine โดยใช้เอนไซม์ Tyrosinase ประมาณแผนภาพนี้ค่ะ

mela syn

สาร Whitening ในยุคเก่าๆเลยออกฤทธิ์ผ่านการยับยั้นเอนไซม์ Tyrosinase เพื่อลดการสร้างเม็ดสีผิว หรือ เร่งการผลัดผิวโดยใช้พวก AHA

 

แต่ต่อมานักวิทยาศาสตร์พบว่าการสังเคราะห์เม็ดสี Melanin นั้นมีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด และมีหลายๆระบบและกลไกในการควบคุมอย่างซับซ้อน ทำให้การใช้สาร Whitening ที่ไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase อย่างเดียว ก็จะไม่ค่อยพอ ทำให้วงการเครื่องสำอางมีสารนวัตกรรมใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ เพื่อตอบโจทย์และเสริมประสิทธิภาพด้านความขาวค่ะ

ขอยืมรูปของ Kene มาเล่าให้ฟังต่อ

 

mela mech.jpg

(Image from Kene)

จากรูปจะเห็นว่า ถ้าเราดูที่เซลล์ Melanocyte ที่สร้างเม็ดสี นางจะถูกควบคุมโดยปัจจัยอื่นๆ เช่น อนุมูลอิสระ ความเครียด การอักเสบ และฮอร์โมนตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมาก คือ เจ้า alpha-MSH มีชื่อเต็มๆว่า Melanocyte stimulating hormone หน้าที่ของนางก็แปลตรงตัวเลยค่ะ คือ นางเป็นฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ Melanocyte ให้ active มากขึ้น

วงการเครื่องสำอางเราก็มีสารที่เข้ามายับยั้งเอนไซม์ alpha-MSH อยู่หลายตัวเหมือนกันค่ะ

นอกจากสารที่ยับยั้งเอนไซม์ MSH แล้ว พวกสารต่อต้านอนุมูลอิสระ หรือ สารลดการอักเสบ ก็สามารถลดการสร้างเม็ดสีได้ผ่านกลไกในขั้นที่ 1 นี้เช่นกันค่ะ

กลไกที่สอง ก็คือ การสร้างเม็ดสีโดยใช้เอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งความจริงแล้ว เป็นขั้นตอนที่ซับซ้อนเหมือนกันไม่ใช่ว่ามีกรดอะมิโน มีเอนไซม์ และจบปิ๊ง เมลานินมา วงการเครื่องสำอางก็มีสารหลายชนิดที่ช่วยดูแลตรงนี้ค่ะ แต่เน้นการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เป็นหลัก

หลังจากสร้างเม็ดสีไปแล้ว ก็จะเข้าสู่จุดที่สาม คือการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วออกมายังเซลล์ผิวชั้นนอก ที่จะทำให้เราเห็นเป็นสีผิวค่ะ สารที่ออกฤทธิ์ในกลไกที่สามนี้มักจะเล่นผ่านการยับยั้งการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาข้างนอก หรือไปปรับเปลี่ยนกระบวนการขนส่งเม็ดสี ทำให้สีผิวไม่เข้มขึ้น

ซึ่งเซรั่ม Genwhite ของ Kene สามารถดูแลได้ค่อนข้างครอบคลุมเลยทีเดียว

รายละเอียดเดี๋ยวเราค่อยมาดูกันในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมกันอีกทีนะคะ

 

เกริ่นไปซะยืดยาวมาดูเนื้อเซรั่มกันบ้างดีกว่า

เซรั่มมาในเบสน้ำนม ทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม เลยจะมีกลิ่นจางๆของวัตถุดิบอยู่นิดหน่อยค่ะ

gen 4

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสนิ่มนวล ชุ่มชื้น แต่ไม่เหนอะหนะ

gen 5

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 6 นะคะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

gen 6

ถึงคิวของการวิเคราะห์ส่วนผสมแล้วค่ะ วันนี้ขอจัดเต็มแบบละเอียดให้สมกับความเลอค่าของ Genwhite

ส่วนผสม

สผส kene

ถ้าเราพิจารณากันจะพบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแทบทุกชนิดจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ

  1. Actives คือ สารบำรุง เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติที่ดี รวมไปถึงมีประโยชน์ทางชีวภาพ
  2. Base คือ เนื้อหลักของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
  3. Additive คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้ และมีความปลอดภัย

 

มี่ได้ทำสีส่วนผสมสารบำรุงไว้หลายๆสีนะคะ เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าแต่ละสีมีประโยชน์อะไรบ้าง

 

มาดูรายละเอียดส่วนผสมแต่ละตัวกันเลยนะคะ

  1. กลุ่มสารบำรุง (Active ingredients)
  • สีม่วง คือ คู่หูคู่ขวัญ Niacinamide + N-acetyl glucosamine ทางแบรนด์จัดเต็มมาที่ 5 + 3% เลยนะคะ
    • Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 ในด้าน Whitening นางมีบทบาทในการรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก นอกจากด้าน Whitening นางยังมีประโยชน์อื่นๆในด้านการลดการอักเสบระคายเคือง เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า และยังเป็น Antioxidant ด้วย (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
    • N-acetyl glucosamine ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของน้ำตาลชนิดหนึ่งที่เป็นองค์ประกอบของ Hyaluronic acid มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง ในด้าน Whitening นางสามารถยับยั้งการ Glycosylation เพื่อเปลี่ยน pro-tyrosinase ไม่ให้เป็น tyrosinase จึงไม่มีฤทธิ์สร้างเม็ดสี มีรายงานการวิจัยกล่าวว่า เมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide จะให้ผลลดจุดด่างดำได้ดีขึ้น (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • สีเขียว คือ สารบำรุงที่ให้ประโยชน์ด้าน Whitening เป็นหลัก ได้แก่
    • Undecylenoyl phenylalanine มีชื่อทางการค้าว่า Sepiwhite MSH ของบริษัท Seppic มีประโยชน์เป็น Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ซึ่งปกติมีหน้าที่กระตุ้นให้ไทโรซิเนสทำงาน ให้มีการสร้างเมลานินมากขึ้น และไปควบคุมกระบวนการ Melanosome transfer ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายที่เอาเมลานินที่สร้างเสร็จเข้าสู่เซลล์ผิวและเห็นเป็นสีผิว การทดสอบในอาสาสมัครที่ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้ในความเข้มข้น 2% วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าให้ผลดีในการลดเลือนจุดด่างดำที่เกิดจากแสงแดด (Solar lentigines) (Clin Exp Dermatol. 2010;35(5):473-6) อีกการศึกษาพบว่าให้ผลดีในการลดฝ้า (J Cosmet Dermatol. 2014;13(2):86-90.) การทดสอบในอาสาสมัครที่ใช้สารนี้ในความเข้มข้น 1% ร่วมกับ Niacinamide 5% ให้ผลเป็น Whitening ที่ดีเมื่ออาสาสมัครใช้เป็นเวลา 8 สัปดาห์ (J Cosmet Dermatol. 2009;8(4):260-6.) ทางแบรนด์อัดลงไปตาม paper ที่ 2% เลยทีเดียวค่ะ
    • Alpha-arbutin เป็น Whitening ที่ออกฤทธิ์ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase จัดมาที่ 1%
    • Rumex occidentalis extract มีชื่อทางการค้าว่า Tyrostat สกัดได้จากพืชที่ขึ้นในแถบอเมริกาเหนือ มี Claim ว่าสารนี้ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ได้แรงกว่า Arbutin และ Hydroquinone และให้ผลลดรอยแดงได้ด้วย
    • กลุ่มวิตามินซี ทางแบรนด์เลือกใช้ Ethyl ascorbic acid ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินซี ที่เคลมว่ามีขนาดเล็ก ดูดซึมได้ง่ายกว่ารูปแบบปกติ ร่วมกับ Ascorbic acid รูปแบบดั้งเดิม ประโยชน์ของวิตามินซีที่มีกับผิว คือ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว และมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสีของผิว และมีหลายๆแหล่งข้อมูลบอกว่า วิตามินซี สามรารถยับยั้งกระบวนการอักเสบในผิว และปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ด้วย จึงให้ประโยชน์ในด้าน ริ้วรอย ชะลอวัย ลดการอักเสบ และผิวขาวกระจ่างใสไปพร้อมๆกัน
    • 4-n-butyl resorcinol เป็นสาร Whitening ตัวหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ทำให้เมลานินถูกสร้างมาน้อยลง ผิวขาวขึ้น การทดสอบในอาสาสมัครที่เป็นฝ้ากับครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้ 0.1% เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ พบว่ารอยฝ้าจางลง และมีผลข้างเคียงน้อย (Ann Dermatol. 2010; 22(1): 21–) การทดสอบในอาสาสมัครโดยใช้ตำรับที่มีส่วนผสมของสารนี้ในความเข้มข้น 0.1% ที่เก็บกักใน Liposome เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่ามีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า และมีผลข้างเคียงต่ำ (J Dermatol. 2010 Apr;37(4):311-5.) ซึ่งทางแบรนด์เลือกใช้ในรูปแบบที่เก็บกักใน Liposome ชนิดประจุบวก (Cationic liposome) โดยมีเคลมว่า สามารถซึมลงไปยังบริเวณที่มีเซลล์ Melanocyte อยู่ได้ดี
    • cat
    • (Image from kene)
    • Tetrapeptide-30 Peptide ที่ประกอบด้วยกรดอะมิโน 4 ตัว คือ Proline-Lysine-Glutamine-Lysine (PKEK) มีการทดสอบในอาสาสมัครพบว่ามีคุณสมบัติเป็น Whitening ที่ดี เมื่อให้อาสาสมัครใช้ตำรับที่มีส่วนผสมของ PKEK peptide เป็นเวลา 12 สัปดาห์ สามารถลดจุดด่างดำที่เกิดหลังการอักเสบ และลดเลือนฝ้าได้ (J Cosmet Dermatol. 2011;10(3):217-23.) การทดสอบในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร พบว่าสามารถป้องกันไม่ให้เซลล์ผิวสร้างสารก่อการอักเสบกลุ่ม Interleukins ต่างๆ และ POMC (ซึ่งเป็นเปปไทด์ที่จะไปกระตุ้นให้มีการสังเคราะห์ MSH) เมื่อสัมผัสรังสี UVB เมื่อใช้ในอาสาสมัคร พบว่าสารนี้สามารถเสริมประสิทธิภาพของวิตามินซี ในรูป Sodium ascorbyl phosphate ในการเป็น Whitening ได้ดี (Exp Dermatol. 2012;21(2):140-6.)
    • Hexylresorcinol เป็น Whitening อีกตัวที่มีประสิทธิภาพ มีรายงานว่าสามารถยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ได้ (Protein J. 2004;23(2):135-41.) ข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่า สารกลุ่มนี้พบในข้าว Rye และ Wheat ให้ผลยับยั้งการสร้างเมลานิน กระตุ้นการสร้าง Glutathione ในผิว จึงให้ผลเสริมกันในการเป็น whitening
    • Aloesin เป็นสารพฤกษเคมีที่พบในว่านหางจระเข้ มีรายงานการวิจัยกล่าวว่ามีคุณสมบัติในการลดการสร้างเม็ดสีผิวผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase (Int J Cosmet Sci. 2008;30(2):121-30.) Aloesin สามารถเสริมฤทธิ์กับ arbutin ในการลดการสร้างเม็ดสีผิวโดยผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ในระดับหลอดทดลอง (Arch Pharm Res. 1999 Jun;22(3):232-6.) และ การทดสอบในอาสาสมัครพบว่าสูตรผสมของ Aloesin และ Arbutin ร่วมกันจะช่วยปกป้องไม่ผิวสีผิวเข้มขึ้นเมื่อสัมผัสรังสี UV ได้ดีกว่าการใช้อย่างใดอย่างหนึ่งแบบเดี่ยวๆ (Clin Exp Dermatol. 2002;27(6):513-5.)
  • กลุ่มสีน้ำตาล เป็นกลุ่มของไขมันที่ช่วยทดแทนไขมันที่เป็น Barrier ผิว ได้แก่ น้ำมันจาก Borage และเมล็ดองุ่น ซึ่งอุดมด้วยกรดไขมันจำเป็น ร่วมกับ Ceramide 3 ชนิด คือ Ceramide 3, Ceramide 1 และ Ceramide 6 และ Phytosphingosine ที่เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ Ceramide ได้ นอกจากนี้ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารนี้มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ลดรอยแดงจากสิว และลดการเกิดสิวได้ (Sphingosine, Evonik Industry)
  • กลุ่มสีฟ้า เป็นสารออกฤทธิ์อื่นๆ ได้แก่
    • Panthenol หรือโปรวิตามินบี 5 นอกจากคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว นางยังมีประโยชน์ด้านการลดการอักเสบและระคายเคืองในผิว
    • Sodium lactate และ Sodium PCA จัดเป็นสารในกลุ่ม Natural moisturizing factor หรือ NMF มีคุณสมบัติช่วยในการเก็บกักน้ำของผิว
    • สารสกัดจากใบ Blackberry (Rubus villosus leaf extract) เป็น Astringent ช่วยกระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน และเป็น antioxidant
    • สารสกัดจากชาเขียว เป็น Antioxidant
    • Tocopheryl acetate เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินอี เป็น Antioxidant และช่วยปกป้องสารบำรุงอื่นๆในผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสภาพ
    • Decarboxy carnosine HCl มีชื่อทางการค้าว่า Alistin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า มีคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ลดการอักเสบ ลดริ้วรอย และที่สำคัญคือ สารนี้มีประโยชน์ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากกระบวนการ Glycation (การที่น้ำตาลเข้ามาจับกับโปรตีนในผิว แล้วมีผลต่อการทำงานของผิว เช่น ถ้าจับกับคอลลาเจน จะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ปฏิกิริยานี้มักจะพบมากขึ้นเมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ ผิวไม่ยืดหยุ่นและริ้วรอย)
    • Sodium hyaluronate มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
    • Allantoin ลดการอักเสบและระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
    • Arginine เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่เป็น NMF และมีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการสมานแผล (Wound healing) ของผิว
    • Actinidia polygama fruit extract สารสกัดจาก Silver vine มีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ (Arch Pharm Res. 2003;26(12):1061-6.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดนี้ให้ผลเกี่ยวกับการลดริ้วรอยได้โดยไปต่อต้านการเกิด Glycation ของโปรตีน
    • Sodium citrate มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้น
  1. กลุ่มเนื้อหลัก (Base)

ตัวเซรั่มมาในเบสแบบน้ำนม หรือ Emulsion ที่ประกอบด้วย น้ำ น้ำมัน และซิลิโคนอยู่เล็กน้อย

  • กลุ่มของน้ำ มี น้ำ และสาร Glycerin, Butylene glycol และ Propylene glycol ที่ช่วยดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวแต่มี alcohol ติดมาท้ายๆ เข้าใจว่าน่าจะติดมากับวัตถุดิบอื่นในตำรับ
  • กลุ่มของน้ำมัน ได้แก่ Squalane ร่วมกับกลุ่ม น้ำมันจากธรรมชาติที่เป็นอักษรสีน้ำตาลที่ได้กล่าวไปด้านบน และ Isohexadecane ที่เป็นน้ำมันสังเคราะห์เนื้อบางเบา
  • กลุ่มของซิลิโคน ได้แก่ Cyclomethicone ที่ระเหยได้ ให้สัมผัสบางเบา และ Dimethicone ที่เคลือบผิวปกป้องและรักษาความชุ่มชื้น
  1. สารปรุงแต่งอื่นๆ (Additives) มีอยู่เท่าที่จำเป็น ได้แก่
  • กลุ่มสารเพิ่มความหนืด ได้แก่Sodium acrylate/sodium acryloyldimethyl taurate copolymer ตัวนี้เป็นทั้งสารเพิ่มความหนืด และช่วยผสานน้ำกับน้ำมันให้เข้ากันได้ กับ Carbomer และ xanthan gum
  • Dextrin เป็นสารกลุ่ม Polysaccharide ที่ละลายน้ำได้ ทำหน้าที่เป็น emulsifier และช่วยเพิ่มการละลายของสารบางชนิด และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นกับให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Emulsifier หรือ สารที่เชื่อมผสานน้ำกับน้ำมันให้เข้ากัน เป็น Tween 80 และ Sodium lauroyl lactylate
  • ตัวที่ใช้ทำ Liposome ประจุบวก น่าจะเป็น Lecithin กับ Behentrimonium chloride
  • สารกันเสียและสารจับโลหะ มี Phenoxyethanol และ Ethylhexylglycerin ร่วมกับ Disodium EDTA เป็นตัวอิออนจับโลหะ ช่วยเสริมความคงตัวของสารกันเสีย

 

แวะมาสรุปอีกรอบก่อนไปให้คะแนนนะคะ

ในด้านของกลุ่มสาร Whitening Genwhite เป็นเซรั่มที่ใส่สารที่มีประโยชน์ด้าน Whitening ที่ออกฤทธิ์เสริมกันผ่านหลายกลไก และสารที่ใช้มีรายงานการวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพ

ไม่ใช่แค่นั้น นางยังเซรั่มที่ไม่ได้ทำมาแค่ Whitening ธรรมดา แต่ยังเสริมสารบำรุงอีกหลายกลุ่ม คือ สารไขมันที่ช่วยฟื้นฟู Barrier ผิว สารต่อต้านกระบวนการ Glycation ซึ่งทำให้เกิดความแก่ พวก Antioxidant ชะลอวัย สารลดการอักเสบและระคายเคือง และสารเพิ่มความชุ่มชื้น

 

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง มีส่วนผสมของสารบำรุงค่อนข้างอัดแน่น ให้ประโยชน์หลายด้านไม่ว่าจะเป็น Whitening, ชะลอวัย ต่อต้านการ Glycation ฟื้นฟู Barrier ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และลดการอักเสบและระคายเคือง และยังมีเทคโนโลยี Cationic liposome เพื่อช่วยการนำส่งสาร 4-N-butyl resorcinol จุดนี้ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างครบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ตัวเบสทำมาได้ค่อนข้างดี และสารปรุงแต่งก็ไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่มี Alcohol ติดมา ก็จำเป็นต้องหักคะแนนเพื่อความยุติธรรม ในจุดนี้ส่วนตัวมี่ผิวแห้งก็ใช้ได้ ใช้มาร่วมเดือนก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนะคะ ให้ไป 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน Genwhite เป็นเซรั่มที่ทำมาได้เนื้อบางเบา มีสัมผัสนิ่มนวล ไม่เหนอะหนะ ในด้านความชุ่มชื้น ส่วนตัวมี่ผิวแห้ง อาจจะยังไม่ค่อยพอสำหรับช่วงนี้พอดีเป็นหน้าหนาวเนอะ แล้วเราก็อยู่เป็นสาวเหนือ มันจะแห้งหน่อยๆ ต้องหาครีมมอยส์เจอร์ไรเซอร์อื่นมาเสริมทับอีกชั้นหนึ่ง ส่วนตัวมี่ลองอันนี้มาเกือบเดือน ถ้าให้ไล่ลำดับ สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือเรื่องของผิวนุ่ม และที่สำคัญปีนี้ผิวไม่ลอกนะคะ รองพื้นยังแน่นเหมือนเดิม เรื่องผิวนุ่ม ชุ่มชื้นนี่ประมาณ 3 – 5 วันก็เริ่มสัมผัสได้แล้วค่ะ ส่วนเรื่อง Whitening มันจะไม่ได้ขาวแบบเว่อร์วัง ไม่ได้ทาปุ๊บขาวปั๊บ แต่นางจะเน้นค่อยๆปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยเฉพาะตรงจุดด่างดำ ก็มีคนทักอยู่ว่าช่วงนี้ดูมีออร่า ดูมี Complexion ที่ดีขึ้น ดูสุขภาพดีขึ้นค่ะ ถือว่าประทับใจกับผลที่ได้อยู่ค่ะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน kene

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Kene ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Kene ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/KeneThailand/

https://kene.co.th/

 

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Kene การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์สกินแคร์จาก Meaze’ เมสเซ่แบรนด์ออร์แกนิกไทย ที่มาใน Concept “ของขวัญจากธรรมชาติ”

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่มีรีวิวสกินแคร์ที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ Meaze’ (อ่านว่า เมสเซ่) เป็นแบรนด์ออร์แกนิกไทย ที่มาใน Concept “ของขวัญจากธรรมชาติ” ด้วยแนวคิดที่ว่า สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับผิวคือสารสกัดแท้จากธรรมชาติ โดยผลิตภัณฑ์จาก Meaze’ ได้รับการรับรองด้านสารสกัด จากหน่วยงานที่เชี่ยวชาญด้านสินค้าออร์แกนิก อาทิ Australia Organic Certification, USDA และ Vegan  กับ 2 ผลิตภัณฑ์อย่าง “Meaze‘ Dark Spot Corrector and eye lift up concentrate” และ “Meaze’ Contouring Facial Lift Hydro Gel”

ที่มี่ได้มาจะเป็นตัวไฮโดรเจล สูตรยกกระชับ V contouring facial lift hydrogel organic และ เซรั่มสูตร Whitening ที่มีชื่อว่า Organic dark spot corrector and eye lift up concentrate ค่ะ ตัวนี้ใช้ทาได้ทั้งหน้า และลงใต้ตาเป็นอายครีมไปในตัวแบบ 2 in 1

นางมาในกล่องสีขาวดูสะอาดตา โดยกล่องชมพู เป็น Hydrogel และ กล่องเขียวเป็นเซรั่มค่ะ

me1.JPG

ด้านในมาด้วยขวดอะคริลิก สีขาวมุก

me4

ตัวไฮโดรเจล มาในเนื้อแบบเจล มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

me hy 1

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ไม่เหนอะหนะ ไม่หนักผิว ซึมไว แห้งไวค่ะ

me hy 2

มีค่า pH อยู่ที่ราวๆ 6 – 7 นะคะ

me hy 3

ตัวเซรั่มดูคล้ายครีมเจล มีกลิ่นหอมอ่อนๆละมุนๆ

dark 1

เกลี่ยได้ง่าย ชุ่มชื้นดี ไม่เหนอะหนะ

dark 2

ตัวนี้ไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ เนื้อเซรั่มไม่เปียกกระดาษเลยไม่เปลี่ยนสีค่ะ

มาดูส่วนผสมกันทีละตัวเลยนะคะ เริ่มจากตัวกล่องชมพู Hydrogel สูตร Contouring

ส่วนผสม hydro

เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารบำรุงอยู่หลายชนิด แทนมาด้วยสีฟ้า สีเขียว และสีม่วงค่ะ ตัวที่น่าสนใจและเป็นเสมือนพระเอกของผลิตภัณฑ์คือ ‘Trifluoroacetyl tripeptide-2’ ขอย่อว่า TT2 นะคะ เจ้า TT2 ตัวนี้เป็นเปปไทด์ที่มีชื่อทางการค้าว่า Progeline ของประเทศฝรั่งเศส

การศึกษาระดับหลอดทดลองพบว่า TT2 สามารถกดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่เป็นเอนไซม์ย่อยสลายคอลลาเจนในผิว เมื่อโดนยับยั้ง ผลคือ คอลลาเจนไม่โดนสลายตัว

การศึกษาในผิวหนังมนุษย์ที่เอามาเพาะเลี้ยง พบว่าเอนไซม์นี้สามารถปกป้อง collagen และ elastin จากเอนไซม์ collagenase และ elastase ได้ ผลคือ คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวไม่สลายตัว

สารนี้ยังเสริมการสังเคราะห์สาร Proteoglycan ที่มีชื่อว่า Syndecan-1 ในผิว ซึ่งสารนี้ปกติทำงานในการรักษาสมดุลของผิว และเป็นแหล่งให้ growth factor ต่างๆมาจับ

เมื่อเราแก่ตัว ในผิวเราจะมีการสร้างสาร Progerin ออกมามากขึ้น (Prz Menopauzalny. 2015 Mar; 14(1): 53–58.) TT2 สามารถลดการสร้าง Progerin ของเซลล์ผิวได้ในระดับหลอดทดลอง จึงมีผลในการชะลอวัยหรือ Antiaging ซึ่งกลไกนี้เป็นกลไกที่ค่อนข้างใหม่และเป็นเอกลักษณ์ ทางผู้ผลิตเลยเอามาตั้งชื่อเปปไทด์ TT2 ว่า Progeline นั่นเอง

การทดสอบในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 10 คน พบว่า อาสาสมัครที่ทา TT2 มีสันกราม (Jawline) ที่ยกกระชับขึ้น

progeline 3

(Image from Lucas Meyer Cosmetics)

และอีกการศึกษาหนึ่ง ศึกษาในอาสาสมัครสุขภาพดีจำนวน 13 คน พบว่า ผิวหนังของอาสาสมัครที่ทา TT2 มีค่าความยืดหยุ่นและความกระชับเพิ่มขึ้น

progeline 4

(Image from Lucas Meyer Cosmetics)

(เอกสารอ้างอิง: E Loing, T Suere and E Lamarque, Trifluoroacetyl-tripeptide-2 to target senescence for anti-aging benefits, Cosm & Toil 127(4) 274-280 (Apr 2012). และ TDS ProgelineTM)

นอกจากนี้ส่วนผสมอื่นก็ออกแบบมาให้เสริมกันได้อย่างลงตัว จึงให้ประโยชน์ทั้งในด้าน ยกกระชับ ชะลอวัย ลดริ้วรอยเก่า ป้องกันริ้วรอยใหม่ เพิ่มความชุ่มชื้น และ ลดการอักเสบระคายเคืองไปพร้อมๆกัน

 

ส่วนอีกตัวเป็นกล่องเขียว สูตรเน้นไปที่ด้าน Whitening และดูแลผิวที่มีปัญหาฝ้ากระค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ส่วนผสม dark

ในภาพรวมเป็นเซรั่มที่มาในเบสแบบน้ำนม ประกอบด้วย น้ำ และน้ำมันจากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของซิลิโคน และแอลกอฮอล์ มีส่วนผสมของสารบำรุงอยู่หลายชนิด ตัวที่สนใจได้แก่

  1. กลุ่มของน้ำมันจากพืช มีสองชนิด คือ น้ำมันจากกาแฟ และ เมล็ดเชีย
  • Coffee oil (Coffee arabica seed oil) เป็นวัตถุดิบที่วงการเครื่องสำอางเริ่มให้ความสนใจ เป็นน้ำมันที่แยกมาจากเมล็ดกาแฟดิบ จัดเป็นน้ำมันแบบ Fixed oil มีการศึกษากับผิวหนังที่เพาะเลี้ยงในระดับหลอดทดลอง พบว่า น้ำมันจากเมล็ดกาแฟมีคุณสมบัติเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน elastin และ Glycosaminoglycan ของผิวได้ และยังช่วยเสริมการสังเคราะห์โปรตีนที่มีชื่อว่า Aquaporin-3 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนประตูคอยปกป้องไม่ให้น้ำและสารโมเลกุลเล็กๆอย่าง Glycerin ออกจากผิวได้ (J Cosmet Dermatol. 2009 Mar;8(1):56-62.) จึงมีประโยชน์ด้านริ้วรอย และความชุ่มชื้น
  • Chia seed oil (Salvia hispanica seed oil) ประกอบด้วยกรดไขมัน Alpha-linolenic acid ในปริมาณสูงถึงราวๆ 60% และ linoleic acid ประมาณ 25% มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง และฟื้นฟู Barrier ของผิว น้ำมันเมล็ดเชีย มีการศึกษาในอาสาสมัครทั้งกลุ่มที่มีอาการผิวแห้งจากโรคไตระยะสุดท้าย และในอาสาสมัครสุขภาพดี พบว่าอาสาสมัครที่ใช้น้ำมันเมล็ดเชียความเข้มข้น 4% ในตำรับเป็นเวลา 8 สัปดาห์ มีอาการคันที่น้อยลง มีความชุ่มชื้นมากขึ้น มี Barrier ของผิวที่แข็งแรงขึ้น (สังเกตุได้จากค่าน้ำระเหยออกจากผิวที่ลดลง) (Ann Dermatol. 2010 May;22(2):143-8.) การทดสอบกับหนูทดลองพบว่า Alpha-linolenic acid และ Linoleic acid สามารถลดการสร้างเม็ดสีผิวจากรังสี UV ได้ และการทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า ALA สามารถกดการสร้างเม็ดสีผิวได้ดี รองลงมาคือ Linoleic acid และ กรดไขมันทั้งสอง ยังมีผลช่วยเสริมการผลัดผิวได้อีก (Arch Dermatol Res. 1998 Jul;290(7):375-81.)
  1. กลุ่มของวิตามิน มีส่วนผสมของวิตามินซี อี บี3 Folic acid และ Coenzyme Q10 ซึ่งวิตามินแต่ละตัวก็จะมีประโยชน์กับผิวในหลายๆด้าน เมื่อรวมกัน 5 ตัวนี้จะมีประโยชน์ในด้าน Whitening, Antioxidant, ริ้วรอย และช่วยให้ผิวแข็งแรง
  2. กลุ่มของสารสกัดจากพืช มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ได้แก่ สารสกัดจากใบ Bearberry, แตงกวา Mulberry, ชะเอม ที่ให้ประโยชน์เสริมกันในด้านของ Whitening ลดการอักเสบระคายเคือง และเป็น Antioxidant ช่วยในการชะลอวัย

ในภาพรวมจะเห็นได้ว่า สารบำรุงที่ใส่มามีประโยชน์ในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง เป็น antioxidant ช่วยชะลอวัย

 

ให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์ใช้ส่วนผสมของสารบำรุงอยู่หลายชนิด ให้ประโยชน์ในด้านริ้วรอย ชะลอวัย ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการอักเสบและระคายเคือง โดยกล่องชมพู มีสารของเปปไทด์ที่มีกลไกการออกฤทธิ์เป็นเอกลักษณ์ผ่าน Progerin ในผิว นำเข้ามาจากฝรั่งเศส ส่วนสีเขียว ในด้านของไวท์เทนนิ่ง เรียกได้ว่าจัดมาผ่านหลายกลไก ตั้งแต่ก่อนการสร้างเมลานิน ไปจนถึงหลังจากเมลานินเสร็จแล้ว และยังเสริมมาด้านผิวแข็งแรง โดยการทดแทนไขมันคืนให้แก่ผิวและเสริมการสังเคราะห์ AQP-3 ซึ่งเป็นโปรตีนที่ผิวใช้ในการเก็บกักน้ำได้ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ทั้งสองชิ้นมาในเบสที่มีส่วนผสมของน้ำ สารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และน้ำมันจากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมของซิลิโคน แอลกอฮอล์ และสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ต้องบอกก่อนเลยว่า กลิ่นและเนื้อสัมผัสของเซรั่มทั้งสองขวดโดนจริตมาก ส่วนตัวมี่ชอบทั้งเนื้อสัมผัส และกลิ่น ส่วนด้านประสิทธิภาพ มี่ลองใช้มาประมาณเกือบๆ 2 อาทิตย์ พบว่า ในด้านความชุ่มชื้น ถือว่าทำมาได้ดี เมื่อทาเราจะได้ความรู้สึกสบายและผ่อนคลาย ใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น แต่งหน้าแต่งตาทับได้ไม่เลอะ ไม่ลอก ไม่เป็นขุย ในด้านริ้วรอย พวกริ้วรอยตื้นๆก็จะดูจางไป ส่วนด้านริ้วรอย Whitening รอยคล้ำ จุดด่างดำต่างๆ และรอยหางตา อาจจะต้องใช้เวลาอีกซักหน่อยค่ะ จุดนี้ขอให้คะแนนความชอบไป 5 ฟลาสก์

คะแนน mezae

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Meaze’ ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://m.facebook.com/meazeorganic/

 

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Meaze’ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม DermArtlogy Ageless cream สูตรปรับปรุงใหม่ กับ ampoule ทั้ง 5 สูตร พร้อมแบบสอบถามวิเคราะห์สภาพผิวตาม Baumann skin typing system

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่เอารีวิวครีม Ageless ตัวดังตัวใหม่ สูตรปรับปรุงจากแบรนด์ DermArtlogy มาฝากทุกคนกันค่ะ

DermArtlogy เป็นแบรนด์เวชสำอางน้องใหม่ในเครือของบริษัท Neopharm ประเทศเกาหลี ที่ผลิตครีมชื่อดังอย่าง Atopalm นั่นเองค่ะ

โดยตัว Ageless cream นี้ ก็มีการใช้เทคโนโลยี MLE (Multi-lamella emulsion) แบบแบรนด์ Atopalm ชื่อดังค่ะ

ในสูตรใหม่นี้ ทางแบรนด์เคลมว่า มีการเพิ่มส่วนผสมที่เสริมกระบวนการ Autophagy ของผิว เป็น 2 เท่ากันเลยค่ะ

หน้าตาของ Ageless cream สูตรใหม่เป็นแบบนี้ค่ะ

derm 1

ตัวแพคเกจจะดูหรูหรามากขึ้นกว่าสูตรเก่า เปลี่ยนจากขวดพลาสติก มาเป็นแบบพลาสติกอคริลิก ชนิด airless pump ที่มีความสวยงาม สีม่วงลาเวนเดอร์

ด้านตัวกล่องก็ปรับใหม่ค่ะ มาในความเรียบหรูและสวยงามมากขึ้น

derm 7

ที่ด้านหลังจะมีคำเคลมพร้อมกับส่วนผสมอยู่ค่ะ

derm 9

ก็จะพูดถึงเรื่องของ Aquatide กับ Technology MLE ซึ่งเดี๋ยวมี่มาเล่าให้ฟังอีกทีตอนถึงช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ และทำให้ครีม Ageless เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของสาว(และหนุ่ม)ผิวแพ้ง่ายก็คือเรื่องของการพัฒนาสูตรมาเป็นแบบ 10 non-added formula

derm 10

ซึ่งสารเหล่านี้ก็จะไม่ค่อยเป็นมิตรกับผิวเท่าไหร่ค่ะ

ล่าสุด Phenoxyethanol ที่เขาว่า safeๆ กัน ก็เริ่มเจอว่าทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บ้างแล้วหล่ะ เรียกได้ว่าทางแบรนด์ก็เกาะกระแสตัดออกไปเป็นรายแรกๆเลย

มาดูตัวครีมกันบ้างนะคะ

เนื้อครีมจะคล้ายๆกับสูตรเดิมค่ะ

derm 2

เกลี่ยง่าย ลื่นๆหน่อย แห้งไว ไม่เหนอะหนะและหนักผิว

derm 3

ค่า pH อยู่ที่ประมาณ 5 – 6 ค่ะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

derm 4

ในด้านของส่วนผสม เป็นดังนี้ค่ะ

สผส ageless ใหม่

ว่าแต่อะไรคือ Autophagy?

Autophagy เป็นศัพท์เทคนิคทางชีววิทยา หมายถึง ปฏิกิริยาที่เซลล์ในร่างกายทำลายเซลล์อีกเซลล์หนึ่ง แล้วนำเอาองค์ประกอบภายในเซลล์ที่โดนทำลายไป ไป Recycle สร้างเซลล์ใหม่ออกมาทดแทน เพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างปกติ

ที่ผิวหนังพบว่าการ Autophagy ของเซลล์ผิวหนังจะทำให้เซลล์ผิวทำงานได้ดีขึ้น มี Barrier ที่แข็งแรงขึ้น จึงสามารถลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ดี ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น (ค่า TEWL ลดลง)

โดยทางแบรนด์เคลมว่าส่วนผสมที่เสริมการเกิด Autophagy นี้ก็คือเจ้า Aquatide กับ Caprylamide MEA ค่ะ

 

ถ้าเราลองดูส่วนผสมจะมีส่วนของสารไขมันทดแทนผิว ร่วมกับ Pseudoceramides เปปไทด์ 1 ชนิด และ hyaluron ค่ะ

โดยสีม่วง จะเป็นกลุ่มของไขมันทดแทนผิวนะคะ

สีเขียว คือ Pseudoceramides ที่เป็นนวัตกรรมสิทธิบัตรของเครือ Neopharm เขา

  • Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA ตัวนี้มีชื่อย่อว่า PC-9S เป็นสิทธิบัตรของทาง Neopharm อิงตามสิทธิบัตรอเมริกา US patent US6221371B1 ของปี 2001 Claim ว่าให้ประโยชน์ในการเหนี่ยวนำให้ผิวสร้างไขมันใหม่ออกมาฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหาย มีรายงานการวิจัยทดสอบประสิทธิภาพของสารนี้ในหนูทดลอง พบว่า ตัวนี้เมื่อใช้ร่วมกับไขมันชนิดที่มีในผิว (Physiological lipids) สามารถกระตุ้นให้ผิวเรามีการสร้างตัวรับที่มีชื่อว่า PPAR-α ออกมา ซึ่งมีประโยชน์ในการลดการอักเสบของผิว และสามารถต้านผลเสียของสเตียรอยด์ที่ไปทำให้ผิวบาง Barrier ผิวเสื่อม น้ำระเหยออกจากผิวได้มาก การใช้ PC-9S จะช่วยเร่งการฟื้นฟู Barrier ผิวได้ดีขึ้น (Arch Dermatol Res. 2015 Nov;307(9):781-92.)
  • ส่วนผสม Caprylamide MEA กับ Hexacarboxymethyl dipeptide-12 คู่นี้ทางแบรนด์ Claim ว่าเป็นคู่ที่ช่วยส่งเสริมการเกิดกลไก Autophagy ของผิว ซึ่ง Autophagy เป็นกลไกในการซ่อมแซมตนเองของร่างกาย โดยกำจัดชิ้นส่วนที่มีความเสื่อมออกไป เอาชิ้นส่วนไป recycle เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูและสร้างชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบใหม่ๆขึ้นมาทดแทนส่วนเก่าที่เสื่อมสภาพไป ช่วยให้ผิวกลับคืนสู่สมดุล ลดความเครียด และลดความเสื่อมสภาพของผิว

 

สีฟ้า: Hexacarboxymethyl dipeptide-12 มีชื่อทางการค้าว่า Aquatide ของบริษัท incospharm ประเทศเกาหลีเช่นกัน สารตัวนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบเรียกเป็น “Skin vaccine” เป็นวัคซีนผิวที่ทาลงไปแล้วให้ผิวแข็งแรง โดยสารมีคุณสมบัติเพิ่มการทำงานของ Barrier ผิว ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ และมลภาวะ ลดการอักเสบ และปรับสมดุลให้แก่ผิว

มีรายงานการวิจัยกล่าวว่า ระบบนำส่งสารรูปแบบ MLE นี้สามารถเพิ่มการนำส่งสารเข้าสู่ผิว และสามารถลดและป้องกันผลเสียของสเตียรอยด์ในการทำให้เกิดอาการผิวบางได้ (Ann Dermatol. 2013 Feb;25(1):5-11.) ผลตรงนี้จึงน่าจะเอามาประมาณการณ์ได้คร่าวๆว่า ผลิตภัณฑ์แบบ MLE น่าจะมีประโยชน์ในการฟื้นฟูผิวที่ผ่านสเตียรอยด์มา

 

Ageless cream นี้ทางแบรนด์ก็จะเอามาใช้ร่วมกับ Ampoule อีก 5 สูตร ซึ่งมี่เคยรีวิวไว้แค่ 4 สูตร วันนี้เลยขอเอามารวบใหม่อีกรอบเลยนะคะ

derm 6

จะเห็นว่า Ampoule มี 5 สูตร  เราจะเลือกใช้อย่างไร ก็ต้องวัดกันจาก Baumann skin typing system ค่ะ

derm 5

อะไรคือ Baumann skin typing system??

Baumann skin typing system

การแบ่งสภาพผิวแบบนี้มีแนวคิดมาจาก คุณหมอ Leslie Baumann แพทย์ผิวหนัง และนักวิจัยระดับโลกที่มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารทาง Dermatology มากมาย รวมถึงหนังสือตำราอีกหลายเล่ม

นางคิดว่า สภาพผิวคน แค่ 4 อย่าง คือ Normal, Dry, Oily, Combination เนี่ย ไม่พอหรอก นางเลยจัดสรรการแบ่งสภาพผิวใหม่ โดยแบ่งผิวออกเป็น 16 ชนิด ตามปัจจัย 4 ด้าน

คือ

  1. การสร้างน้ำมันของผิว ถ้าผิวสร้างน้ำมันไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวแห้ง จะจัดเป็นสภาพผิว D คือ Dry แต่ถ้าผิวไม่แห้ง จะเป็น O คือ Oily
  2. ความทนทานของผิว คือ ผิวบอบบาง คือ S หรือ Sensitive skin และ ผิวแข็งแรง คือ R หรือ Resistant
    • ผิวบอบบางไม่ได้มีแค่การแพ้อย่างเดียว แต่ผิวบอบบางมีด้วยกันถึง 4 ประเภทค่ะ ได้แก่ ผิวที่เป็นสิวได้ง่าย ผิวที่มีความแดง ผิวที่ระคายเคือง และ ผิวที่เกิดการแพ้ค่ะ (ถ้าสนใจอ่านเรื่อง sensitive skin เพิ่ม สามารถตามไปได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click เพื่ออ่านเรื่อง sensitive skin<<)
  3. สีผิว สีผิวสม่ำเสมอ คือ N หรือ Non-pigmented ถ้ามีสีผิวไม่สม่ำเสมอ จะเป็น P หรือ Pigmented
  4. ริ้วรอย ถ้ามีริ้วรอย หรือ มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอย เช่น ทำงานกลางแดด สูบบุหรี่ ชอบอาบแดด จะจัดเป็น W หรือ Wrinkle แต่ถ้าไม่มี หรือ อายุน้อย จะจัดเป็น T คือ Tight

เอาสภาพผิวพวกนี้มาทำเป็นตาราง 4 * 4 ก็จะได้สภาพผิว 16 ชนิดนั่นเองค่ะ

baumann

ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเป็นผิวแบบไหน ทางแบรนด์เค้าก็มีแบบสอบถามสำหรับตรวจสภาพผิวมาให้ค่ะ มี่เลยขอแปลเป็นไทยให้ทุกท่านทำไปด้วยกันนะคะ ^^

เราจะทำไปด้วยกันทีละข้อเลยนะคะ และเอามาเรียงกันเพื่อเลือก ampoule ตามสภาพผิวค่ะ

q 1q 2q 3q 4

(All questionnaires were translated and adapted from dermArtlogy)

อย่างของมี่ จะเป็นแบบ DSNT นะคะ

  • Step1: D/O – D or O ถ้าผิวแห้งเลือก Ampoule Hydrating ถ้าผิวมันเลือก Ampoule Oil control
  • Step2: S/R – ผิวแดง ระคายเคืองง่ายหรือไม่ ถ้าใช่พิจารณาเพิ่ม Ampoule Calming
  • Step3: P/N – มีปัญหาผิวจุดด่างดา ผิวหมองคล้ำหรือไม่ ถ้าใช่พิจารณาเพิ่ม Whitening Ampoule
  • Step4: W/T – มีปัญหาริ้วรอยหรือผิวหย่อยคล้อยหรือไม่ ถ้าใช่พิจารณาเพิ่ม Revitalizing Ampoule (ถ้าอยากชะลอวัยก็สามารถใช้ Revitalizing ampoule เสริมได้นะคะ)

พอเราได้ Ampoule ตามที่เหมาะกับสภาพผิวที่เราต้องการแล้วก็ให้นำเอา Ampoule มาผสมกับ Ageless cream ในอัตราส่วน 1:1 แล้วทาทั่วใบหน้า เช้า/เย็น โดยใช้แค่อย่างเดียวขั้นตอนเดียวก็พอ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา (แต่กลางวันก็อย่าลืมทากันแดดนะคะ)

ลองดูส่วนผสมของ ampoule แต่ละสูตรกันอีกซักรอบนะคะ

สีน้ำเงิน: Hydrating

สผส hydra

ตัวนี้อาศัย Hya เป็นตัวชูโรงหลัก โดยทำหน้าที่ดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให่ผิว

 

สีเขียวแก่: oil-control

สผส oil

มีส่วนผสมของ Enantia chlorantha bark extract กับ Oleanolic acid สองตัวนี้คือวัตถุดิบ Evermat ของประเทศฝรั่งเศส มีคุณสมบัติควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และให้ผลดีเรื่องสิว โดยไปมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5alpha-reductase ซึ่งเป็นตัวสร้างฮอร์โมนเพศชายชนิด Dihydrotestosterone ที่มีฤทธิ์แรงขึ้น เป็นสาเหตุของสิว ผิวมัน และผมร่วง

นอกจากคู่นี้ก็ยังมี Zinc PCA ที่มีผลควบคุมความมัน และมี Hyaluron กับ กรดอะมิโน arginine ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว

สีเขียวอ่อน: Calming

สผส calm

ตัวนี้อาศัย Madecassoside ที่เป็นสารพฤกษเคมีที่พบในใบบัวบก เป็นตัวชูโรง สารนี้มีคุณสมบัติลดอักเสบ เป็น Anti-oxidant มีผลชะลอวัย กระตุ้น Fibroblast ให้สังเคราะห์ Collagen ได้ดีขึ้น และส่งเสริมกระบวนการสมานผิว ร่วมกับ Zinc gluconate ที่นอกจากจะเป็นสารฆ่าเชื้อ ลดการเกิดสิวแล้วมีประโยชน์หลายๆอย่างกับผิว เช่น ควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และส่งเสริมการสมานผิว

ตัวอื่นๆที่เสริมมาจะเป็น hyaluron และกรดอะมิโน Arginine ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว

สีม่วง: Revitalizing

สผส revi

เป็นสูตรที่อัดแน่นมาด้วย Peptide และสารที่มีประโยชน์ด้านริ้วรอย เช่น

  • sh-oligopeptide-1 เป็น Growth factor ชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า EGF มีคุณสมบัติเด่นในการลดริ้วรอย โดยมีรายงานการวิจัยรองรับว่ามีประโยชน์ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขนและช่วยปรับ Texture ของผิวให้เรียบเนียนขึ้น (J Drugs Dermatol. 2012;11(5):613-20.)
  • Palmitoyl pentapeptide-4 มีชื่อทางการค้าว่า Matrixyl ออกฤทธิ์กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน อิลาสติน และ Glycosaminoglycan ในผิว ตัวนี้มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการรองรับถึงประสิทธิภาพ (Int J Cosmet Sci. 2005;27(3):155-60)
  • Adenosine ก็เด่นเรื่องริ้วรอยเช่นกัน
  • Biotinoyl hexapeptide-2 amide เปปไทด์เชิงซ้อนของเกาหลี มีชื่อทางการค้าว่า Biotide ซึ่งเป็น peptide เชิงซ้อนที่จับกับวิตามิน Biotin ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวนุ่มฟูโดยมีผลเพิ่มการสะสมไขมันเฉพาะที่ และลดการอักเสบในผิว

นอกจากสารกลุ่ม peptide เหล่านี้แล้วก็เสริมมาด้วย hyaluron และ กรดอะมิโน arginine ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว มีวิตามินอีเป็น Antioxidant และปิดท้ายด้วย Beta-glucan ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับสมดุลผิวให้แข็งแรง

และสูตรสีน้ำตาล

สผส white

ส่วนผสมจะค่อนข้างเรียบง่าย แต่จัดมาหนัก ในด้าน Whitening นั้น นางอาศัยผลจาก Ascorbic acid หรือ วิตามินซี ร่วมกับ Arbutin เป็นหลัก เสริมมาด้วยกลุ่มของ Antioxidant อย่าง Ferulic acid ที่ได้จากธรรมชาติ และ วิตามินอี

ดูไปก็แอบคลับคล้ายคลับคลาว่า ส่วนผสมของ Ascorbic acid + Ferulic acid + Vitamin E นี่มันก็แอบเสริมฤทธิ์กันอยู่นะคะ

นอกจากนั้นยังเสริมเอา Allantoin กับ Panthenol เข้ามาเพื่อให้คุณสมบัติด้านการลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว และมี Arginine เป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

เบสมาในเบสน้ำ ไม่มีแอลกอฮอล์ และไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิวค่ะ

 

ว่าแล้วก็มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง: เป็นการเลือกใช้ Ageless cream เป็นตัวเบสหลัก แล้วให้เสริม Ampoule สูตรตามปัญหาผิวที่ต้องการ ในตัวของ Ageless cream ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ใช้สวนผสมที่มีนวัตกรรม และสิทธิบัตร รวมถึงมีงานวิจัยรองรับ เน้นไปที่การฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง ทีนี้พอ Barrier เราแข็งแรง ปัญหาผิวต่างๆก็จะค่อยๆหายไปเอง และการเลือกใช้คู่กับ ampoule จะตอบปัญหาผิวได้ค่อนข้างหลากหลาย การใช้ร่วมกันก็ประหยัดเวลาในการดูแลผิวได้เยอะเลย ตอบโจทย์วิถีชีวิตอันเร่งรีบของคนปัจจุบันค่ะ และด้วยความน่าสนใจ และแปลกใหม่ของเทคโนโลยี Autophagy ที่ได้รับรางวัลโนเบลด้วย จุดนี้คงต้องขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน จากช่วงก่อนส่วนตัวมี่จะชอบผสม Ageless cream คู่กับแอมพูลสีม่วง Revitalizing แต่ตอนนี้เราพัฒนาขึ้นค่ะ เราผสม Ageless cream สูตรใหม่กับ แอมพูลสีม่วง และสีน้ำเงินไปพร้อมๆกัน เนื้อสัมผัสของสูตรใหม่ไม่ค่อยต่างกับสูตรเดิมเท่าไหร่ค่ะ สูตรชุดนี้มี่จะเน้นเสริม Hyaluron เข้ามาช่วยเติมน้ำให้ผิวอีกทาง จะเติมแต่น้ำมันก็คงไม่เหมาะ เลยต้องเติมน้ำเข้ามาเสริมด้วย หลังจากใช้สูตรผสมชุดนี้เกือบเดือน สิ่งที่พบเลยก็คือ ผิวจะไม่ลอกเป็นขุย แม้ตอนนี้เชียงรายจะเริ่มหนาวมาก ปากแตกไปแล้ว แต่หน้ายังอยู่ หน้านุ่ม ชุ่มชื้น ฟู และเวลาเราตบๆมันจะมีความเด้งค่ะ เหมือนตบลูกโป่งน้ำ (ตบเบาๆนะคะ เดี๋ยวเจ็บ 55) โดยรวมมี่ก็ยังค่อนข้างชอบนะคะ ป่านนี้นางคงรอขึ้นแท่นลูกรักปีนี้ไปละ เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางเพจ Dermskinstore และทางแบรนด์ DermArtlogy ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand/

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้าและไม่ได้รับค่าตอบแทนในการรีวิว โปรดใช้วิจารณญาณ