Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมวิตามินซีสุดเนี้ยบด้วยเทคโนโลยีนำส่ง MVP และ MLE กับ ครีม Intensive Repair-C จากแบรนด์ Zeroid

เชื่อว่าหลายคนกำลังให้ความสนใจกับครีมวิตามินซี Intensive Repair-C จาก Zeroid ที่มาในสูตรสุดปังที่กำลังโด่งดังอยู่ ณ ขณะนี้

คอนเทนท์นี้จึงขอหยิบเอาครีมวิตามินซีตัวนี้มาวิเคราะห์ส่วนผสม และเล่ารายละเอียด MVP Technology ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการรักษาความคงสภาพและนำส่งวิตามินซีเข้าสู่ผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นมิตรกับผิวค่ะ

สำหรับครีม Intensive Repair-C นี้มาในหน้าตาประมาณนี้ และเนื่องจากอยู่ในไลน์ Intensive จึงเป็นธีมสีเขียวมะกอกค่ะ

โดยตัวแพคเกจหลักจะเป็นแบบหลอดบีบ ก้นกว้างที่สามารถตั้งวางบนโต๊ะเครื่องแป้งได้อย่างสะดวก มาในขนาด 50 ml ไม่มากเกินไป ไม่น้อยเกินไป และพกพาสะดวกยามจำเป็นต้องเดินทาง

เนื้อครีมค่อนข้างข้น ตามสไตล์ของไลน์ Intensive และเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราเลยจะได้กลิ่นของส่วนผสมอยู่จางๆ

ถึงแม้ว่าเนื้อจะดูเหมือนข้น เหนอะหนะ แต่ความจริงไม่ได้เหนอะหนะหรือหนักผิวเลย เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไวแห้งไว ทิ้งฟิล์มบางๆ เคลือบผิวให้ความรู้สึกนุ่ม เนียน ชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน

ถ่ายด้วยแสงแฟลชเพื่อดูความชุ่มชื้นของเนื้อครีม

มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

สำหรับส่วนผสมวันนี้ขอแบ่งเป็นกลุ่มๆ 4 กลุ่มค่ะ

สีเขียว คือ สูตรผสม Combination ของ MVP technology ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการนำส่งและรักษาความคงตัวของวิตามินซีค่ะ

โดยอาศัยอนุภาคของ Colloidal gold เป็นแกนกลางของ Carrier ให้วิตามินซีในรูปแบบของ Ascorbic acid (AA) มายึดเกาะ และรอบๆ AA มี Glutathione มาเกาะอยู่ ซึ่งเจ้า Glutathione นี่แหละที่จะช่วยเป็นตัวปกป้อง AA ของเรา และช่วย Recycle AA ที่โดน Oxidized ถูกทำลายไปด้วยอนุมูลอิสระต่างๆ ให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม เรียกได้ว่ามีความพัฒนาระบบ Carrier นี้ออกมาได้อย่างลงตัวเลยทีเดียว

(Image from Zeroid Official)

จึงไม่แปลกใจเลยที่ว่าระบบนี้จะสามารถรักษาความคงสภาพของ AA ไว้ได้เป็นอย่างดี

เมื่อทดสอบฤทธิ์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ โดยใช้สาร DPPH ซึ่งเป็นสารมาตรฐานในงานวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบฤทธิ์ในการต้านอนุมูลอิสระที่ได้รับการยอมรับในวงการวิชาการ พบว่าเทคโนโลยี MVP ที่มีทองคำ-AA-GSH 3 อย่างจะทำงานได้ดีกว่าการใช้ AA เดี่ยวๆ GSH เดี่ยวๆ หรือแค่เอาทองมาจับกับ AA หรือ GSH เฉยๆ

เพราะ GSH จะช่วย Recycle AA กลับมาให้อยู่ในรูปแบบที่ Active อีกครั้ง วนไปวนมาแบบนี้เรื่อยๆ

และเมื่อทดสอบเทียบกับ Ascorbyl glucoside กับ Sodium ascorbyl phosphate ก็พบว่าเทคโนโลยี MVP ที่มีทองคำ-AA-GSH 3 อย่าง ทำงานได้ดีกว่า

(Image from Zeroid Official)

เมื่อทดสอบประสิทธิภาพการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในเซลล์เพาะเลี้ยงเมื่อเทียบกับ AA พบว่า เทคโนโลยี MVP สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนได้ดีกว่า AA รูปแบบดั้งเดิม

ภาพ a คือ control เป็นเซลล์ Fibroblast เพาะเลี้ยงเปล่าๆ ใช้เป็นตัวควบคุม Fibroblast ด้วยเทคนิคนี้จะย้อมติดสีฟ้า

ภาพ b เป็นการใช้ AA ที่ความเข้มข้น 0.003% สังเกตว่าเมื่อย้อมสีคอลลาเจน ในเทคนิคนี้จะติดสีเขียว จะมีคอลลาเจนอยู่นิดหน่อย

ข้ามมาที่ภาพ d ซึ่งใช้เทคโนโลยี MVP ที่ความเข้มข้น 0.003% เท่ากับภาพ b จะเห็นว่าปริมาณของคอลลาเจนมีมากกว่ามาก และถ้าเจือจางลงไปอีก 10 เท่า ที่ความเข้มข้น 0.0003% ก็ยังให้ผลที่ดีกว่า AA จะกล่าวโดยนัยว่าฤทธิ์ดีขึ้น 10 เท่าก็คงไม่เกินจริงนัก

(Image from Zeroid Official)

ทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงไปแล้ว การดูดซึมล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง บอกเลยว่าผลการดูดซึมก็ไม่เบา เมื่อทดสอบการดูดซึมผ่านผิวหนัง (Percutaneous absorption) ด้วยอุปกรณ์ Franz cell พบว่าน้อง MVP สามารถดูดซึมได้ โดยเริ่มพบว่าลงไปที่ชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) ได้ตั้งแต่ 30 นาที ถือว่าเป็นอะไรที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

(Image from Zeroid Official)

สำหรับประสิทธิภาพในการปกป้องผิวจากมลภาวะ (โดยใช้ Ozone เป็นตัวแทน) รังสี UV และ Visible light โดยให้อาสาสมัครทาครีมที่มีวิตามินซีในรูปแบบ AA หรือ MVP ความเข้มข้น 0.5% แล้ววัดการเรืองแสงของ Betacarotene ในชั้นผิวด้วยเทคนิค Skin autoflorescence ซึ่งปกติเวลาผิวเราเสียหายเพราะรังสี UV หรืออนุมูลอิสระ Betacarotene จะถูกทำลายและมีปริมาณลดลง โดยพบว่า การใช้วิตามินซีรูปแบบ MVP มีข้อดีและปกป้อง Betacarotene ในผิวไม่ให้ถูกทำลายได้ดีกว่ารูปแบบ AA

(Image from Zeroid Official)

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของสารบำรุงเด่นๆ แทนด้วยสีน้ำตาลนะคะ

  • Methyl caprooyl tyrosinate ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า Defensamide มีรายงานว่าไปกระตุ้นเอนไซม์ Sphingosine Kinase 1 (SPHK1) ที่ Keratinocyte (เซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า) ซึ่งไปมีผลเพิ่มการสังเคราะห์ Antimicrobial peptides (AMP) ตามธรรมชาติของผิว จึงส่งเสริมและปกป้องผิวจากเชื้อจุลินทรีย์ และเสริมภูมิคุ้มกันให้แก่ผิว (Ref: Medchem Express; J Dermatol Sci. 2015;79(3):229-34.; J Immunol. 2018; 200(1 Supplement):170.14) นอกจากนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบยังกล่าวว่า มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ไปพร้อมๆกัน

(Image source: Medchem Express)

  • สารสกัดจาก Northern Truffle (Albatrellus confluens Extract) วัตถุดิบนวัตกรรมเหรียญทองแดงจากงาน in-cosmetics ประกอบด้วยสารพฤษเคมี grifolin, neogrifolin and scutigeral ที่ไปยับยั้งการนำส่งสัญญาณผ่านระบบ TRPV1 ซึ่งเป็นตัวรับความรู้สึกร้อนของผิว ที่เกี่ยวข้องกับอาการระคายเคือง พอยับยั้งไปแล้วก็จะไม่เกิดนำส่งสัญญาณ เลยไม่รู้สึกระคายเคือง จะรู้สึกสบายผิวแทน และตัววัตถุดิบเองยังมีข้อมูลว่ามีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ดูแลผิวที่แดงและระคายเคืองง่าย และลดรอยแดง (Ref: Rahn AG) มีรายงานการวิจัยที่ทดสอบสาร Grifolin ซึ่งแยกออกมาจากเห็ด Albatrellus ovinus เพื่อยืนยันความสามารถในการยับยั้ง TRPV1 และมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครพบว่า ครีมที่มีสารสกัดเห็ดนี้ที่ความเข้มข้น 3% ทำให้อาสาสมัครรู้สึกระคายเคืองและแสบผิวลดลง มีรอยแดงลดลง และเมื่อกระตุ้นด้วย Capsaicin จากพริก หรือความร้อน อาสาสมัครจะรู้สึกระคายเคืองและแสบผิวน้อยลง เพราะว่าสาร Grifolin นั้นไปยับยั้งการส่งสัญญาณผ่าน TRPV1 ไปเลยรู้สึกเคืองผิวน้อยลงนั่นเอง (Int J Cosmet Sci. 2017;39(4):379-385.)
  • Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester ตัวนี้อาจจะดูคล้ายว่าจะเป็น Calmosensine™ ที่เด่นเรื่องการ calm ผิวแต่ดูจากส่วนผสมที่เขาเรียงมาในลิสท์แล้วคาดว่าน่าจะเป็น Idealift™ (Butylene Glycol (and) Aqua (and) Sorbitan Laurate (and) Hydroxyethylcellulose (and) Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester) เพราะ Breakdown ออกมาแล้วตรงกันพอดี ตัว IdealiftTM นี่เด่นเรื่องของการเสริมการสังเคราะห์พวกเส้นใยที่เกี่ยวข้องกับความยืดหยุ่นของผิว ยกให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น ลดเลือนริ้วรอย

สีม่วงจะเป็นกลุ่มของไขมันที่ดูแล Barrier ผิว และให้ผิวนุ่มชุ่มชื้น ก็จะมีกลุ่มของ MLE และสารที่เป็นประโยชน์ในการดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิว

สีน้ำเงินจะเป็นกลุ่มของสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งก็มีอยู่หลายตัวและเสริมกันอย่างลงตัว

  • วิตามินบี 3 ที่ดูแลผิวได้หลายด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening การดูแลเรื่องการฟื้นฟู Barrier ผิวตามธรรมชาติผ่านการสังเคราะห์ไขมัน รวมไปถึงการอักเสบและระคายเคือง และด้วยความเข้มข้นที่ใส่มา 5% ตามแบรนด์เคลมก็อาจจะให้ประโยชน์ดูแลเรื่องสิวไปด้วย
  • วิตามินบี 5 ดูแลด้านความชุ่มชื้น และความรู้สึกสบายผิว
  • วิตามินอี เป็น Antioxidant
  • Madecassoside ที่ได้จากบัวบก ก็เด่นไม่แพ้กันในด้านของการดูแลเรื่องริ้วรอย
  • และสารบำรุงอื่นๆ อีกหลายชนิด

โดยรวมจึงเป็นครีมวิตามินซี ที่ไม่ใช่แค่วิตามินซีธรรมดา แต่ดูแลผิวได้ครบจบทุกปัญหา และยังดูแล Barrier ผิวไปพร้อมๆ กันอย่างลงตัว

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ก็ทำมาได้ค่อนข้างดีเลย ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเป็นส่วนประกอบ

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. Active หรือสารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน ทั้งในด้านของเทคโนโลยีที่น่าสนใจอย่าง MVP technology ที่เอามาผสานรวมกับ MLE และนวัตกรรมอื่นๆ ไหนจะทรัฟเฟิลเอย Defensamide เอย วิตามินอื่นๆ เอย จึงออกมาเป็นส่วนผสมที่ดูแลผิวได้ครบจบทุกปัญหา เป็นวิตามินซีที่ไม่ใช่แค่วิตามินซีธรรมดา รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวพึ่งได้ลองใช้มาประมาณ 2 อาทิตย์ (ข้อมูล ณ 10 พ.ย. 65) ด้านของ Whitening หรือ จุดด่างดำนั้น ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาในขณะนี้ เลยยังตอบไม่ได้ แต่ในด้านของความสบายผิว ความนุ่มนวล Texture ผิวที่ดูและความรู้สึกเมื่อสัมผัสผิว การแต่งหน้าติดทน ค่อนข้างไปในทิศทางที่ดี และไม่ได้รู้สึกระคายเคืองผิว จุดนี้ค่อนข้างชอบ และคิดว่าถ้าใช้ต่อไปเรื่อยๆ น่าจะเห็นอะไรๆ ชัดเจนขึ้น ขอให้ไป 5 ฟลาสก์ค่ะ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Zeroid สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันเลอค่ามาให้ได้รู้จักและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Zeroid โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ZeroidThailand

LazMall https://invol.co/clez4ss

ShopeeMall https://invl.io/clez4ue

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Zeroid การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

#Zeroid #ผิวแพ้ง่ายไว้ใจZeroid

#Repair –C  #MLE

Image

[Cosme-Diagnosis] มหกรรมวิเคราะห์ส่วนผสม รวมรีวิว 14 BHA Toner ตัวตึงแห่งปี 2022

สำหรับ Blog นี้จะเป็น Content รวมบทวิเคราะห์ส่วนผสม BHA toner ที่น่าสนใจในปี 2022 นี้ แต่ก่อนจะไปเริ่มวิเคราะห์ส่วนผสมขอกล่าวถึง BHA เล็กน้อยนะคะ

BHA หรือ Beta-hydroxy acid จัดเป็นสารในกลุ่มกรดอินทรีย์ (Organic acid) ชนิดหนึ่ง โดยชนิดที่เป็นที่รู้จักและนิยมใช้ในวงการเครื่องสำอางคือ Salicylic acid

น้องมีคุณสมบัติละลายได้ในไขมัน และมีคุณสมบัติในการย่อยสลายโปรตีน Keratin ที่เป็นองค์ประกอบในสิวอุดตัน (Comedone) เราเรียกคุณสมบัตินี้ว่า Comedolytic

โดยในความเข้มข้นสูงๆ จะจัดเป็นยาที่ใช้กัดหนังแข็งๆ ส่วนทางเครื่องสำอาง ความเข้มข้นที่ให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องการอุดตันในรูขุมขนคือ 0.5 – 2.0% ในสูตร

แต่ข้อเสียของวงการเครื่องสำอางคือเรามักจะไม่ทราบความเข้มข้นของสารที่เขียนอยู่บนฉลาก เว้นแต่ผู้ผลิตจะบอกเองค่ะว่าใส่มาเท่าไหร่ การดูลำดับส่วนผสมก็จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง

ด้วยคุณสมบัติในการผลัดผิวของ Salicylic acid จึงไม่แนะนำให้ใช้ในตอนกลางวัน และถ้าใช้ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดที่มีค่า SPF เหมาะสม และหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดค่ะ

และมีข้อควรระวังในผู้ที่มีประวัติแพ้ Aspirin หรือ กลุ่มยาแก้ปวดลดอักเสบชนิดที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพราะอาจจะเกิดการแพ้ได้

ไม่ควรใช้ในหญิงตั้งครรภ์นะคะ เพราะอาจจะมีความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ได้

สำหรับ content นี้ผลิตภัณฑ์ที่คัดเลือกมามีด้วย 14 ชิ้นค่ะ

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมขอ Disclaimer เล็กน้อยค่ะ

  1. Content นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ในเชิงการศึกษาเป็นหลัก
  2. Content นี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องสำอาง หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความงามแห่งใด
  3. Content นี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์โดยอาศัยหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  4. Content นี้มีการสอดแทรก Affiliated link โดยผู้เขียนอาจได้รับค่าตอบแทนจากการ Click link ที่แนบไว้ท้ายบทวิเคราะห์เครื่องสำอาง

ถ้าพร้อมแล้วขอเริ่มที่ตัวแรกเลยค่ะ

ขอเปิดประเดิมด้วยโทนเนอร์ดูแลสิวในตำนานจาก Some by Mi ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะได้ผ่านตามาบ้าง

สมัยก่อนน้องมีขวดใหญ่มากๆ ด้วย แต่ตอนนี้เหลือมีขายแต่ขวดเล็ก แล้วก็มีไลน์ใหม่ที่เป็นไลน์ชาเขียวออกมาแทน ส่วนตัวก็ยังไม่เคยหยิบเอารุ่นชาเขียวมาดูว่ามีส่วนผสมอะไรบ้าง

แต่ตัว AHA BHA PHA 30 Days Miracle Toner ส่วนผสมคือมาเต็มมาก ทั้งดูแลสิว และเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการเติมน้ำไปพร้อมๆ กัน

สำหรับสารบำรุงอื่นๆ นอกจากพวก Acids แล้วก็มี Niacinamide ที่เป็นตัวเต็งในวงการสกินแคร์ ร่วมกับสารสกัดจากพืชหลายชนิด และสารบำรุงที่ดูแล้วเด่นไปในทางด้านการเติมน้ำให้กับผิว จะมีรองๆ ก็จะเป็นด้าน Whitening กับ การดูแลเรื่องริ้วรอยผ่าน Adenosine

สารสกัดจากถั่วเลนทิล อาจจะเป็นตัว p-Refinyl ของ Silab ประเทศฝรั่งเศส ที่มีเคลมเกี่ยวกับการดูแลเรื่องรูขุมขนไม่กระชับ ควบคุมความมัน และดูแลเรื่องความรู้สึกกระชับผิวไปพร้อมๆ กัน

ขอแนบ Aff link บน Watsons https://invol.co/clew3bt

Laz Mall Some by Mi https://invol.co/clew3ca

ตัวถัดมาเคยเป็นตัวตึงของบ้านมียอน กับน้อง BHA Music Toner จากแบรนด์ Skin Talk สัญชาติเกาหลีเช่นกัน

ตอนนี้เขาปรับสูตรอีกรอบค่ะ จะไม่เหมือนกับสูตรเก่า เลยขอหยิบเอาสูตรเก่ามาวิเคราะห์เป็นกรณีศึกษาก่อน

จุดเด่นของน้องคือน้องใช้น้ำสกัดจากใบชาเขียวเป็นเบสหลัก เสริมมาด้วยสารสกัดและสารบำรุงหลายชนิด นอกจาก AHA BHA แล้ว ยังมีสารสกัดจากพืชและสารบำรุงที่โดดเด่นในด้านของการดูแลเรื่องการระคายเคือง การสมานผิว การเติมน้ำให้ผิว และดูแลเรื่องสิว

มีเคลมเรื่องของสารสกัดจากสาหร่าย Chlorella ว่ามีประโยชน์ในด้านริ้วรอย

แต่เสียดายที่ตอนนี้สูตรปรับใหม่มีเปลี่ยนส่วนผสมไปหลายอย่างเหมือนกันค่ะ

ดูสูตรเก่าไปแล้ว มาดูสูตรใหม่ล่าสุดบ้าง สูตรนี้ส่วนตัวยังไม่มีโอกาสได้ลองนะคะ แม้จะเห็นว่ามีขายตามแพลตฟอร์มออนไลน์อยู่บ้าง

ข้อมูลสูตรนี้เอามาจากเว็บไซต์ของแบรนด์ Skin Talk ประเทศเกาหลี นางบอกว่านางใช้น้ำชาเขียวแทนน้ำ แต่ดิฉันก็ยังเห็นน้ำอยู่นะ ต่อจากน้ำชาเขียวเลยค่ะ

จุดที่เปลี่ยนไปก็คือ มีการเพิ่ม Niacinamide เข้ามาในสูตร แล้วตัดเอา Chlorella กับ สาหร่ายเคลป์หมักทิ้งไป เพิ่มเอาสารสกัดจากรำข้าวเข้ามา

ในภาพรวมคือน้องก็ยังมีส่วนผสมที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว สมานผิว เติมน้ำ และดูแลเรื่องสิวได้อยู่

แต่ส่วนตัวแอบชอบส่วนผสมของตัวเก่ามากกว่า

ตัวถัดมา ก็เคยเป็นตัวตึงของบ้านมียอนเหมือนกัน เป็นของจากเกาหลีอีกเช่นกัน

เรายังคงอยู่กับความเก๋ไก๋ของ K-beauty ค่ะ

ตัวนี้คือ Natural BHA Skin Returning A-Sol จากแบรนด์ CosRX ตอนนี้น้องมี Official Mall บน Lazada แล้วนะคะ สมัยก่อนดิฉันต้องสั่งผ่าน iHerb เอา แต่เสียดายสูตรนี้เหมือนไม่มีขายแล้วค่ะ ณ ตอนนี้ ก็ขอหยิบยกเอามาเป็นกรณีศึกษา เพราะมีความน่าสนใจอยู่ค่ะ

สำหรับตัวนี้มี AHA BHA โดย BHA น้องมาในรูปแบบ Betaine salicylate ซึ่งเป็นอนุพันธ์ที่ได้จากการรวมตัวกันของ Salicylic acid กับ Betaine ที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine อีกที จุดเด่นของ Betaine salicylate คือ มีการเคลมว่ามีความอ่อนโยนกว่า Salicylic acid ปกติ และตัว Betaine เองก็เด่นเรื่องการดูแลการระคายเคืองไปด้วย

เบสหลักมาในสารสกัดจากโพรโพลิส ที่โดดเด่นเรื่องการดูแลผิวหลายๆ ประการ ทั้งด้านของสิว และการอักเสบระคายเคือง เสริมมาด้วย Panthenol และ Allantoin ที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน ตามมาด้วยสารสกัดจากเมล็ดของ Cassia obtusifolia ที่อาจจะเป็นของบริษัท Garden of Naturalsolution ประเทศเกาหลี ที่เคลมว่ามี Polysaccharide ที่มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการระคายเคือง และอาการคันผิว

มี Hya เล็กน้อยพอกรุบกริบ

ปิดท้ายจบด้วย Tea tree oil ถ้าดูจากลำดับส่วนผสมก็พอกล้อมแกล้มว่าอาจจะให้ประโยชน์ด้านสิว

โดยรวมคือ แลดูอ่อนโยน ด้วยความมีสารดูแลเรื่องการระคายเคืองหลายสิ่งอัน

มาถึงสูตรปัจจุบันของ BHA จากแบรนด์ CosRX กันบ้างค่ะ

น้องมีชื่อว่า AHA/BHA Clarifying treatment toner จริงๆ น้องก็เป็นตัวเก่าแก่ตัวหนึ่งในวงการนะคะ

ในด้านของ AHA นอกจากจะเป็น Acids แล้วก็ยังใช้น้ำแอปเปิ้ล ที่มี AHA ตามธรรมชาติ

ส่วนของ BHA เป็น Betaine salicylate เหมือนสูตรป้ายแดง และเสริมมาด้วย BHA ธรรมชาติจากเปลือกต้น Willow

สารบำรุงอาจจะไม่จัดเต็มมาก แต่ก็เด่นไปในทางการดูแลเรื่องการระคายเคืองค่ะ

ราคาไม่แพงเว่อวังนะคะ เป็นมิตรจับต้องได้

อันนี้ขอแนบ Aff link ของ Laz Mall ไว้เผื่อใครอยากไปลองตำ

https://invol.co/cleot31

เมื่อพูดถึง Betaine salicylate แล้ว ขอหยิบเอาอีกตัวที่ดูดีงามไม่แพ้กัน เป็นงานฝาหรั่งค่ะ

Squalane + BHA pore minimizing toner จากแบรนด์ Biossance ที่ไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง แต่น้องทำอะไรออกมาปังหลายๆ อย่างนะคะ

น้องมาในคอนเซปท์น่ารักๆ ส่วนผสมจัดเต็มด้วยสารสกัดจากธรรมชาติมากมายหลายชนิด ดูแลผิวได้ครบสยบทุกปัญหา ทั้งเรื่องสิว ผิวมัน การระคายเคือง Whitening เติมน้ำ รวมไปถึงอาจจะได้ประโยชน์ด้านริ้วรอย

กล่าวคือ รอยดำ รอยแดง รอยสิว ดูแลครบค่ะ

ส่วนของ Acid นั้นน้องเน้นไปที่ BHA ค่ะ โดยมี BHA ธรรมชาติจากเปลือก Willow ร่วมกับ Betaine salicylate

อีกจุดเด่นคือเสริม Squalane ที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผ่านกลไกการคืนไขมันให้ผิวนุ่มแบบ Emollient effect

อันนี้ขอแนบ Aff link ผ่านเว็บของ Sephora นะคะ ใครสนใจอยากลองเล่นก็ไปแอบส่องกันได้

https://invol.co/cleot19

ดูงานยากๆ ส่วนผสมเยอะๆ ไปแล้ว มาดูอะไรที่เรียบง่ายบ้างค่ะ กับแบรนด์ The INKEY List แบรนด์เรียบง่ายภายใต้คอนเซปท์ Knowledge Powered Skincare Products

ที่ใช้ส่วนผสมที่มีข้อมูลเรื่องประสิทธิภาพ และใช้เท่าที่จำเป็นตามเทรนด์ ‘The less is more’

Beta Hydroxy Acid ก็คือ BHA จริงๆ ค่ะ เสริมมาด้วย Betaine และ Biosaccharide gum-1 เพื่อดูแลด้านการระคายเคือง และเติมน้ำด้วย Hya

มี Zinc PCA ดูแลเรื่องควบคุมความมันและกระชับรูขุมขน

แต่ราคาจะแอบแรงนิดนึง เผื่อใครสนใจแอบไปส่องไปตำได้ค่ะ

ขอแนบ Aff link ไปยัง Sephora

https://invol.co/cleot1p

ตัวถัดมายังอยู่กับงานเกาหลีนะคะ อีก 1 ตัวตึงลูกรักบ้านมียอนที่มาในคอนเซปท์ “คงจะดีถ้าเรามี Peeling ที่ดูแล Barrier ผิวไปพร้อมๆ กัน”

ตัวนี้เป็น Toner สำหรับดูแลผิวมันและผิวที่มีปัญหาสิว จากแบรนด์ Zeroid แบรนด์ดังในเครือ Neopharm ประเทศเกาหลี เจ้าของสิทธิบัตรเทคโนโลยี MLE ที่เด่นเรื่องของการฟื้นฟู Barrier ผิว ดูแลเรื่องผิวแข็งแรง และความชุ่มชื้น

และแน่นอนว่า Toner สูตรนี้ก็มี MLE ด้วยค่ะ

สำหรับ Acids ในนี้จะเป็น AHA ร่วมกับ LHA (Lipohydroxy acid) ชนิด Capryloyl salicylic acid ที่เอา Salicylic acid มาจับกับไขมัน Caprylic acid เพื่อเสริมคุณสมบัติในการละลายไขมัน น้อง LHA นี้จริงๆ พัฒนามาโดยเครือ L’oreal แต่น่าจะหลุด Patent ไปแล้ว เราเลยเจอได้ในหลายๆ แบรนด์

LHA มีงานวิจัยรองรับว่ามีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายด้านๆ ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening, ริ้วรอย สำหรับเรื่องสิว น้องเหมือนจะเป็นตัวเสริมมากกว่า จากข้อมูลเรื่องการละลายซากเซลล์อุดตัน LHA จะเด่นไม่เท่า BHA แต่ถ้าใช้เสริมกับสารอื่นหรือยาที่ใช้เป็นประจำ น้องจะให้ประโยชน์ดีกว่าใช้สารนั้นอย่างเดียวล่ะ

สารเสริมอื่นๆ นอกจาก MLE ก็จะมี Betaine กับ Panthenol ที่ดูแลด้านการระคายเคือง ร่วมมากับ Hya ที่เติมน้ำ และ Zinc PCA ที่เด่นไปในเชิงการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และยังมีประโยชน์บ้างในด้านของริ้วรอย

ตัวนี้ราคาจะแอบแรงนิดหน่อย แต่ส่วนตัวก็เลิฟๆ ค่ะ

อันนี้ก็ขอแนบ Aff link ไปที่ Official Laz Mall ของแบรนด์ Zeroid นะคะ

https://invol.co/cleot2p

เมื่อพูดถึง LHA ขอมาดูงานไทยที่น่าสนใจบ้างค่ะ

น้องมาจากแบรนด์ Gravich กับ Acneology facial toner

ส่วนตัวได้เลือกน้องมาซักพัก และผ่านการใช้มา 2 ขวดแล้วนะคะ ด้วยความส่วนผสมดีงาม และราคาย่อมเยา ยิ่งมีโปรงามๆ คือ ไม่ถึง 200 บาท คือ คุ้มค่าปังเว่อร์

แบรนด์นี้ยังมีสกินแคร์อีกหลายชิ้นที่ดีงามไม่แพ้กันนะคะ

ในด้านของส่วนผสมของกลุ่ม Acids น้องจัดเต็มมากทั้ง AHA/BHA/PHA/LHA เสริมมาด้วย Niacinamide ที่เป็นตัวตึงด้านสกินแคร์

มีสารบำรุงอื่นๆ ที่ดูแลเรื่องการเติมน้ำ อย่าง Trehalose กับ Hya

ใช้ Biosaccharide gum-1 ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว คือ ดูแพงอ่ะ

สำหรับด้านสิวก็มี Zinc PCA, Witch hazel และวิตามินบี 6 ที่ดูแลเรื่องควบคุมความมันให้แก่ผิว

แนบ Aff link บน Laz Mall ค่ะ

https://invol.co/clep8j3

ดูงานไทยไปแล้ว อยากขอหยิบงานไทยอีกชิ้นมาเล่าให้ฟังต่อ

น้องมาในราคามิตรภาพ ส่วนตัวสอยมาจากร้านสีน้ำเงินค่ะ ตอนนั้นได้มาในราคาร้อยกว่าบาท

เป็น Tea tree chapter Anti-acne solutions first toner จากแบรนด์ Plantnery ค่ะ

อันนี้คือสมชื่อนะคะ Anti-acne solutions เพราะเน้นไปที่ acne แบบพุ่งมุ่งเป้ามาก

ไม่ว่าจะเป็นด้านการควบคุมความมันผ่าน Witch hazel วิตามินบี 6 Carnitine Zinc PCA ซึ่งบางตัวก็ให้ประโยชน์ดูแลกระชับรูขุมขนไปด้วย

ยังได้ประโยชน์ดูแลสิวจากสารสกัดใบ Neem และ Niacinamide

เติมน้ำด้วย Hya และดูแลการระคายเคืองด้วย Panthenol

ส่วนของ BHA นั้นเป็นชนิด Salicylic acid ตัวดั้งเดิมค่ะ

ขอแนบ Aff link บน Laz Mall นะคะ

https://invol.co/clep8ic

มาดูงานจากองุ่นที่เพื่อนสาวแสนสวยของหญิงเมนชั่นถึงกันบ้างค่ะ

น้อง Vinopure purifying toner จาก Caudelie แบรนด์ของฝรั่งเศส ที่อาจจะดูหาซื้อยากนิดหน่อย เพราะน้องมีที่ Sephora เราอาจจะต้องแบกร่างไปลองเนื้อนางก่อน

จุดที่น่าสนใจ คือ น้องใช้น้ำองุ่นมาเป็น AHA ธรรมชาติ ร่วมกับ Citric acid และ มี BHA ในรูปแบบ Salicylic acid ลดความระคายเคืองด้วย Rose water หอมกรุ่นที่เบลนด์กับน้ำมันหอมระเหยและสารหอมที่เป็นโมเลกุลที่พบเจอได้ตามธรรมชาติอย่างลงตัว

ติดนิดเดียวตรงมี Alcohol แต่ข้อดีของการมี Alcohol ก็คือน้องอาจจะช่วยขจัดเอา sebum ส่วนเกินบริเวณปากปล่องรูขุมขนออกไปได้ ก็จะอารมณ์เสริมๆ กัน และให้ความรู้สึกเย็นผิวตอนน้องระเหยไป แต่คนที่ sensitive กับ Alcohol ก็อาจจะห่างๆ นิดนึงเนอะ

แนบ Aff link จาก Sephora

https://invol.co/cleot25

ด้วยความที่ Caudelie เป็นงานฝรั่งเศส เลยขอหยิบเอา Effaclar ที่เป็นเสมือนนางเอกแห่งวงการผิวที่มีปัญหาสิวจากแบรนด์ Laroche-Posay ในเครือ L’oreal สัญชาติฝรั่งเศสเหมือนกันมาวิเคราะห์

เสียดายที่ตัวนี้ไม่มีในไทย เพราะน้องทำมาได้อย่างเด็ดดวงมาก น้องขึ้นทะเบียนเป็น OTC ใน USA ค่ะ

สำหรับส่วนผสมนอกจากน้ำแร่ La roche แล้วก็คือมี Salicylic acid ที่ความเข้มข้น 0.5% ตาม Guideline ในการดูแลสิว (0.5-2.0%) ร่วมกับ Glycolic acid ที่ 2.0% เสริมมาด้วย Capryloyl glycine ที่เด็ดดวงสำหรับสิว โดยทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า น้องไปยับยั้งเอนไซม์ 5alpha-reductase ที่เป็นเอนไซม์เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชาย Testosterone ให้กลายเป็น Dihydrotestosterone (DHT) ที่มีฤทธิ์แรงขึ้น

เจ้า DHT นี้ถ้ามีมากเกินไปก็จะส่งผลเสียหลายอย่าง เช่น ผิวมัน เป็นสิวง่าย ถ้าเป็นที่ผมก็ทำให้ผมร่วง

พอโดนยับยั้งไป DHT ก็จะไม่เยอะ ต่อมไขมันก็เลยไม่โดนกระตุ้น ไขมันที่สร้างออกมาก็เลยลดลง พอไม่มีไขมัน เชื้อ C. acnes ก็ไม่มีอะไรกิน อาการของสิวก็จะดีขึ้น

ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกนิดหน่อย อย่าง Polysaccharide จากเห็ดหูหนูขาว ที่เด่นเรื่องความชุ่มชื้น กับ Scutellaria extract ที่เด่นเรื่องของริ้วรอย คาดการณ์ว่าจะดูแลพวกรอยสิวอะไรแบบนี้ไปพร้อมๆ กัน

แต่ติดตรงที่มี Alcohol ใครที่ sensitive กับ Alcohol ก็เลี่ยงๆ แต่ใครผิวมันก็น่าจะชอบ

มาลองดูแบรนด์ที่น่าสนใจอีกแบรนด์นะคะ กับ Glamglow ที่รวบรวมสารพัด AHA เอาไว้เข้าด้วยกัน และมี BHA ในรูปแบบ Salicylic acid และ สารสกัดจากเปลือกต้น Willow

โดยในภาพรวมที่น่าสนใจคือ Mandelic acid ที่เป็น AHA ที่มีการกล่าวว่าให้ผลดีกับปัญหาสิว เสริมมาด้วยใบยูคาลิปตัส ซึ่งมีรายงานว่ามีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้าง Ceramide ของผิว (แต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็นวัตถุดิบตัวเดียวกันกับที่รายงานหรือเปล่า) มี Witch hazel ที่ดูแลเรื่องรูขุมขน

และสารสกัดจากสาหร่าย ซึ่งถ้าทราบข้อมูลสายพันธุ์เราอาจจะวิเคราะห์กันต่อไปได้ว่ามีประโยชน์ไปในทางไหน

ลดการระคายเคืองด้วยว่านหางจระเข้

มีลูกเล่นมุ้งมิ้งด้วย Charcoal และผงวิบวับจาก Mica

ปกติแบรนด์นี้จะเด่นเรื่อง Clay mask ตัวโทนเนอร์เลยทำมาอารมณ์ให้เป็น Clay วิบวับๆ

แต่ตัวนี้มี Alcohol นะคะ ใครที่ sensitive ก็อาจจะต้องเลี่ยงไป

ว่าแล้วก็ขอแนบ Aff link บน Sephora ค่ะ

https://invol.co/cleot1t

ปิดท้ายด้วยโทนเนอร์จากแบรนด์ Tarte ที่เด่นเรื่องของ makeup ส่วนตัวไม่คิดว่าน้องจะทำ skincare ออกมาได้ปังเว่อร์

ในภาพรวมน้องมี AHA+ BHA+ PHA ที่เสริมมาด้วยสารบำรุงหลายชนิดที่ให้ประโยชน์หลายๆ ด้าน ประเดิมด้วย Niacinamide ตัวตึงสกินแคร์

มีสารสกัดจากหัวหอมที่ดูแลพวกการสมานแผล (Wound healing) และ Sulfur ซึ่งเป็นสาร(เก่าแก่)ที่ใช้ในการดูแลสิว แต่ดูจากลำดับคาดว่าอาจจะยังไม่ถึง dose ที่ต้องการก็เป็นได้

ใครสนใจก็ลองไปแอบส่องแอบตำกันได้ค่ะ

แนบ Aff link:

https://invol.co/cleot1i

สำหรับ Content นี้ก็คงต้องขออนุญาตตัดจบไปที่ตรงนี้นะคะ โอกาสหน้าจะเอาอะไรมาวิเคราะห์ส่วนผสมต่อไปก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยค่ะ

ปิดท้ายด้วย Disclaimer อีกรอบค่ะ

  1. Content นี้จัดทำขึ้นมาเพื่อใช้ในเชิงการศึกษาเป็นหลัก
  2. Content นี้ไม่ได้รับการสนับสนุนจากเครื่องสำอาง หรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับความงามแห่งใด
  3. Content นี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์โดยอาศัยหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีการสอดแทรกความคิดเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
  4. Content นี้มีการสอดแทรก Affiliated link โดยผู้เขียนอาจได้รับค่าตอบแทนจากการ Click link ที่แนบไว้ท้ายบทวิเคราะห์เครื่องสำอาง
Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เปี่ยมไปด้วยความรัก LaLaaCram Youth-Full advanced renewal serum + moisturizer

สวัสดีค่ะทุกท่าน

วันนี้มีรีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสม Skincare น้องใหม่จากแบรนด์ LaLaaCram (ลา-ลา-แคลม) มาฝากกันค่ะ

แบรนด์ LaLaaCram เป็นแบรนด์ที่พัฒนาขึ้นมาโดยอิงจากประโยชน์ที่ยั่งยืนและความสุขที่ผู้บริโภคจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ชิ้นแรกของแบรนด์อย่าง Youth-Full Advanced Skin Renewal Serum + Moisturizer นั้นพัฒนามาในรูปแบบของ 2 in 1 serum + moisturizer เพื่อลดขั้นตอนในการบำรุงผิว หรือ Skincare regimen แต่ยังคงประโยชน์สูงสุดที่เราจะได้รับจากการใช้ผลิตภัณฑ์

ตัวผลิตภัณฑ์มุ่งเน้นไปที่การดูแลเรื่องของ Barrier ผิว พร้อมทั้งให้คุณสมบัติในการปกป้องและดูแลปัญหาต่างๆ ของผิวที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ชีวิตประจำวันไปพร้อมๆ กัน โดยอาศัยส่วนผสมของสารบำรุงผิวหลากหลายชนิดที่เลือกมาเป็นอย่างดี และมีหลักฐานรองรับว่าให้ประโยชน์กับผิว

หน้าตาผลิตภัณฑ์จะเป็นลักษณะกล่องสีเงินประมาณนี้ค่ะ

ตัวภาชนะบรรจุก็มาในสีเงินเช่นกันค่ะ

ความประทับใจแรกเมื่อเราแกะกล่อง คือ เมื่อเห็นคำโปรยด้านในค่ะ

ซึ่งมันตรงกับคอนเซปท์ของเราที่เราชอบพูดเสมอว่า เวลาทำเครื่องสำอางก็เหมือนทำอาหาร ให้ใส่ความรักลงไปด้วย ทางแบรนด์เองก็เช่นกัน ใส่ความรักลงไปหมดใจพร้อมๆ กับ ส่วนผสมที่เชื่อถือได้


ภาชนะบรรจุเป็นชนิด Airless pump ปกป้องเนื้อผลิตภัณฑ์จากการปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อม

เมื่อเรากด เนื้อครีมก็จะออกมาค่ะ

ตัวครีมจะดูเหมือนเป็นกึ่งๆ เจลครีม เนื้อค่อนข้างชุ่มผิว และเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราจะได้กลิ่นวัตถุดิบอยู่จางๆ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นผิว เมื่อทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีจะซึม/แห้งไป ไม่ทิ้งความเหนียวเหนอะหนะ

ก่อนไปดูส่วนผสมอยากบอกว่า ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ผ่านการทดสอบการแพ้และการระคายเคืองจากบริษัท Dermscan ซึ่งเป็นบริษัททดสอบเกี่ยวกับเครื่องสำอางชั้นนำของประเทศ พบว่าไม่ระคายเคืองในอาสาสมัครค่ะ

แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆ แต่ก็แสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่ และความรักที่ทางแบรนด์มีให้

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมของผลิตภัณฑ์จะเห็นได้ว่ามีอยู่ค่อนข้างเยอะ และส่วนใหญ่จะเป็นสารที่มีประโยชน์ในการบำรุงผิว ซึ่งส่วนตัวได้แบ่งเป็นสีๆ ตามประโยชน์หรือกลุ่มของสาร

ในภาพรวม คือ ถ้ามองในแง่ของมอยส์เจอไรเซอร์ที่เสริม Barrier ผิว น้องทำมาได้ค่อนข้างครบถ้วนเลย คือมีทั้งกลุ่มของไขมันที่เป็น Barrier อย่างพวก Ceramide, Cholesterol และกรดไขมันจากธรรมชาติ ร่วมกับสารจับน้ำตามธรรมชาติ หรือ Natural moisturizing factor (NMF) ที่เป็นกรดอะมิโน น้ำตาล กรดอินทรีย์ มีสารกลุ่ม Hyaluron หลากหลายชนิดที่มีประโยชน์ในการเติมและอุ้มน้ำให้ผิว และเสริมมาด้วยกลุ่มสารที่ดูแลปัญหาเรื่องการระคายเคืองผิวเพราะ Barrier ที่ไม่แข็งแรง และสำหรับคนที่กลัวว่ามอยส์เจอร์นี้จะมันเยิ้มเกินไป ทางแบรนด์ใช้สารสกัดจากเห็ด Fomes ตัดเข้ามาให้ประโยชน์ในด้านการควบคุมความมันกระชับรูขุมขน คือเรียกได้ว่าทำมาพร้อมมาก มาดูไปทีละกลุ่มกันเลยนะคะ

  • สีเขียว แทนด้วยกลุ่มของไขมันที่เป็น Barrier ผิว ที่เป็นสูตรผสมของ Ceramide NP; Ceramide AP; Ceramide EOP; Phytosphingosine; Cholesterol; Sodium Lauroyl Lactylate; Carbomer; Xanthan Gum รู้จักกันในนามชื่อทางการค้าว่า SK Influx จากบริษัท Evonik เจ้าพ่อแห่งวงการ Ceramides ในทางเครื่องสำอาง สารชุดนี้ทางผู้ผลิตวัตถุดิบได้ทดสอบประสิทธิภาพทั้งในระดับหลอดทดลองและในระดับอาสาสมัคร มีความโดดเด่นในแง่ของการเสริม Barrier และดูแลปัญหาผิวแห้งต่างๆ
  • สีชมพู เป็น Hyaluronic acid และอนุพันธ์ รวมทั้งหมด 8 รูปแบบที่ประสานกันอย่างลงตัว บางตัวเกาะติดเป็นฟิล์มแล้วให้ความชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกสบายผิว บางตัวก็ตัวเล็กหน่อยลงไปเติมน้ำและเสริมการกักเก็บน้ำที่หลายๆระดับความลึกของชั้นผิวชั้นนอก
  • สีน้ำตาล เป็นกลุ่มของ Moisturizer ที่ดูแลผ่านกระบวนการเติมน้ำเช่นกัน แบ่งได้เป็นกลุ่มย่อยๆ คือ พวกกรดอะมิโน ซึ่งมีด้วยกันหลากหลายชนิด น้ำตาล Glucose และกรดอินทรีย์ ที่พบเป็นองค์ประกอบของ NMF และยังมีสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น
    • Polyglutamic acid ซึ่งเป็นโพลิเมอร์ของกรดอะมิโน Glutamic อันนี้พบได้ตามธรรมชาติผ่านกระบวนการหมัก เช่นในการหมักนัตโตะ (ถั่วหมักสไตล์ญี่ปุ่น) ก็จับน้ำให้กับผิวได้คล้ายๆ กับ Hya ทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า เวลา PGA ลงไปในหนังชั้นนอกนางจะถูกผิวเราย่อยแล้วปลดปล่อยเอา Glutamic acid ตัวน้อยๆ ออกมา ทำหน้าที่เป็น NMF ได้อีกต่อหนึ่ง
    • สารสกัดจากคาราจีแนน ที่เป็นสาหร่ายชนิดหนึ่ง ถ้าไม่นับคุณสมบัติในการเพิ่มเนื้อสัมผัสให้กับครีมแล้ว สารสกัดนี้เมื่อผ่านกรรมวิธีการสกัดด้วยวิธีจำเพาะ ก็จะมีประโยชน์ที่เด่นในด้านของการเติมน้ำ และยังมีประโยชน์เสริมไปในทางการเป็น Antioxidant ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าวสารสกัดดังกล่าวยังมีประโยชน์ในการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนตามธรรมชาติของผิว
    • โปรวิตามินบี 5 ที่นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้นแล้วก็ยังมีประโยชน์อีกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการดูแลเรื่องการระคายเคือง และการฟื้นฟูสภาพผิว
  • สีน้ำเงิน เป็นกลุ่มของสารที่ดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว หรือ Soothing effect มีทั้งกลุ่มของ Oatmeal ที่โดดเด่นในด้านนี้และมีคุณสมบัติพิเศษในการเสริมความแข็งแรงให้กับผิว พวก Allantoin, Dipotassium glycyrrhizate ว่านหางจระเข้ และอีกตัวที่อยากกล่าวถึงคือ Hydroxyacetophenone ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า Symsave H เป็นสารที่มีประโยชน์หลายอย่าง (Muti-functional) ทั้งในแง่ของการขึ้นสูตรเป็นสารช่วยในตำรับโดยให้ประโยชน์เป็นสารเพิ่มประสิทธิภาพของสารกันเสีย และยังเป็นสารบำรุง โดยให้คุณสมบัติเป็น Antioxidant และเสริมในด้านการดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว
  • สีม่วง เป็นกลุ่มของสารบำรุงที่มีประโยชน์อื่นๆ มีด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่
    • Bifida ferment lysate ตอนนี้เทรนด์ Postbiotic มา น้องนับเป็น 1 ใน Postbiotic คือเป็นสารที่ได้จากการสกัดเอาระบบที่เลี้ยงแบคทีเรียสายพันธุ์ Prebiotic กลุ่ม Bifidobacterium ซึ่งมีประโยชน์หลายประการต่อผิว ในแง่ของการชะลอวัย ฟื้นฟูและปรับสภาพผิว
    • Fomes officinalis (mushroom) extract เป็นสารสกัดจากเห็ดที่มีประโยชน์ในการดูแลเรื่องปัญหาความมันส่วนเกิน และมีประโยชน์ในการดูแลเรื่องรูขุมขนกว้าง
    • สารสกัดจากบัวบก ที่มีประโยชน์กับผิวมากมาย โดยหลักๆ ก็เด่นไปทางด้านการชะลอวัยลดเลือนริ้วรอย
  • ปิดท้ายด้วยวิตามินบี 3 ที่มีประโยชน์กับผิวหลายประการ กล่าวโดยย่อคือ น้องเป็นส่วนประกอบของโคเอนไซม์กลุ่ม NAD/NADP ที่เสริมกระบวนการต่างๆ ตามธรรมชาติของผิว จึงมีประโยชน์กับผิวหลายด้าน และน้องยังมีประโยชน์ในการเป็น Whitening โดยไปยับยั้งกระบวนการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาข้างนอก รวมทั้งมีประโยชน์ในการดูแลเรื่องการระคายเคือง ปัญหาสิว และเสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าคัดเลือกมาอย่างดี และไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง มีด้วยกันหลากหลายกลุ่ม ซึ่งทำงานเสริมกันอย่างลงตัวในการดูแลปัญหาของผิว โดยเน้นไปที่ด้านของ Barrier ความชุ่มชื้นของผิว การระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว และอาจได้ประโยชน์ไปในถึงด้านของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลง และ Whitening รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ทดลองใช้อยู่ประมาณ 3 อาทิตย์ โดยเสริมเข้ามาใน Regimen ปกติ มีความประทับใจในด้านของเนื้อครีมที่แลดูชุ่มฉ่ำ แต่ก็ไม่แห้งจนเกินไปและไม่มันเยิ้มจนเกินไป โดยรวมค่อนข้างชอบ ส่วนคนผิวแห้งมากๆ ในวันที่อากาศแห้งมาก อาจจะต้องเสริมครีมทับอีกชั้นหนึ่ง ระหว่างที่ใช้จะมีช่วงหนึ่งที่มากทม. แล้วเอาน้องลงมาด้วย ระหว่างวันคือฟีลแบบกำลังดีเลย ไม่แห้งไป ไม่เยิ้มไป เหงื่อออกก็ไม่รู้สึกว่าเป็นเมือก โดยรวมชอบเนื้อครีมและความชุ่มชื้นที่ได้รับ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ LaLaaCram ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และมาแนะนำแบรนด์ที่มีคอนเซปท์น่ารักๆ มาให้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/Lalaacram24

Line: @LaLaaCram

และสำหรับท่านที่สนใจสินค้าสามารถตามไปส่องได้ที่ร้านค้า Official ของทางแบรนด์เลยนะคะ

Shopee: https://invol.co/clalt0l

Lazada: https://invol.co/clalt1e

Disclaimer/Conflict of Interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ LaLaaCram การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมคู่หูเซรั่มสุดปังจากสเปน Flavo-C ultraglicans และ melatonin จากแบรนด์ ISDIN

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาเล่าถึงแบรนด์ ISDIN และ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่น่าสนใจ 2 ชิ้นให้ได้ชมกันค่ะ

เบื้องต้นขอกล่าวถึงแบรนด์ ISDIN ก่อนนะคะ แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์จากประเทศสเปนที่มีคอนเซปท์ที่น่าสนใจ โดยเริ่มจากการบอกว่าให้เราฟังผิวของตัวเอง ซึ่งจุดนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างประทับใจมาก เพราะเป็นคอนเซปท์เดียวกับที่ตัวเองยึดถือมาโดยตลอด คือ “Listen to your skin”

แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งมากว่า 45 ปีแล้ว โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมที่ดี มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อผิวหนังของเรา และน่าจะเป็นแบรนด์แรกๆ (ที่ส่วนตัวเคยเห็น) ที่กล่าวถึงความเป็นมิตรต่อเยื่อบุ Mucosa อย่างเช่น บริเวณดวงตา หรือ ริมฝีปาก แต่ก็ยังให้ความสนใจในเรื่องของ Sensory ไปพร้อมกัน ตามคำกล่าวของแบรนด์ที่กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์พัฒนามาเพื่อ “maximum efficacy and safety with innovative textures that ensure a satisfying practical and sensory experience”

โดยผลิตภัณฑ์ของทางแบรนด์มีหลายกลุ่ม และได้รับรางวัลจากนิตยสาร รวมถึงวงการความงามอยู่หลายชิ้นค่ะ

สำหรับ Content นี้ จะเน้นกล่าวถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 2 ชิ้นที่มาเป็นคู่กัน ตัวหนึ่งใช้ตอนเช้า อีกตัวใช้ก่อนนอน คือ ไลน์ของ Flavo-C ค่ะ

เริ่มที่ Flavo-C ultraglican ซึ่งเป็นเซรั่มที่มาในรูปแบบของแอมพูลแก้ว ภายในบรรจุเอาตำรับที่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่เน้นไปในทางด้าน Antioxidant และ เสริมความชุ่มชื้นเป็นหลัก

ซึ่งมีหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

ใน 1 กล่องประกอบด้วยแอมพูลแก้วจำนวน 30 แอมพูล พร้อมด้วยพลาสติกสำหรับหักปากหลอดแอมพูล และจุกซิลิโคนสำหรับช่วยในการหยดเซรั่ม จำนวน 3 ชิ้น

เมื่อประกอบเสร็จแล้วจะได้หน้าตาแบบนี้ค่ะ

ทางแบรนด์กล่าวว่า 1 แอมพูล ถ้าหักแล้วควรใช้ให้หมดภายใน 48 ชั่วโมงค่ะ

ค่า pH ของเนื้อเซรั่มอยู่ที่ราวๆ 4 – 5 นะคะ

เนื้อของเซรั่มจะเป็นเนื้อแบบใส

เกลี่ยง่าย ให้สัมผัสนุ่มลื่น ชุ่มชื้น สบายผิว

สำหรับส่วนผสมของสูตร Flavo-C ultraglican เป็นดังนี้นะคะ

จุดเด่นอย่างหนึ่งของแบรนด์ ISDIN คือ ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัคร อย่างสูตรผสมของ “L-ascorbic acid, proteoglycans และ proteoglycan stimulating tripeptide” ก็ผ่านการตีพิมพ์ในวารสาร Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

(ถ้าท่านใดสนใจ paper นี้สามารถดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรีค่ะ https://www.dovepress.com/antiaging-effects-of-a-novel-facial-serum-containing-l-ascorbic-acid-p-peer-reviewed-fulltext-article-CCID)

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นสูตรผสมของ Antioxidant 3 ตัวหลัก อย่างวิตามินซี อี ร่วมกับ Ergothioneine (EGT) น้องเป็น Amino acid ชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติ Antioxidant ในตัว ร่วมกับกลุ่มของสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นอย่าง Hyaluronic acid, Proteoglycan และวัตถุดิบตามเปเปอร์ที่เป็น Proteoglycan stimulating peptide ที่มีชื่อว่า Syn®-Hycan เด่นในการเสริมการสังเคราะห์ Hya ตามธรรมชาติของผิว

ซึ่ง Syn®-Hycan เป็นชื่อทางการค้าของ ส่วนผสมระหว่าง Glycerin, Aqua, Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate และ Magnesium Chloride

มาดูรายละเอียดสารบำรุงแต่ละตัวกันสักหน่อย

  • L-ascorbic acid เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระ, ในด้าน Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase เป็นส่วนประกอบในการสังเคราะห์คอลลาเจน และลดการอักเสบผ่านระบบ NF-kB
  • Tocopherol เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินอี มีคุณสมบัติละลายในไขมันจึงช่วยปกป้องไขมันดีๆในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากปฏิกิริยา oxidation
  • Ergothioneine (EGT) เป็นสารที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Histidine ประกอบด้วยส่วนของโมเลกุล Sulfur ทำให้มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ผ่านกลไกการ Reduction  และถ้าดูจากโครงสร้างจะเห็นว่าหมู่ Quaternary ammonium จะคล้ายกับส่วนที่มีใน Carnitine มีรายงานว่าสามารถเข้าไปเสริมการสร้างสารพลังงานสูงอย่าง ATP ใน Mitochondria ที่เป็นเหมือนโรงไฟฟ้าของเซลล์ ความเป็น Antioxidant ช่วยปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลาย จึงมีประโยชน์ในการชะลอวัย ทั้งนี้มีการทดสอบในระดับหลอดทดลองพบว่า EGT สามารถปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลายจากการฉายรังสี UV (Bazela et al, Cosmetics 2014, 1(1), 51-60)
  • Hydrolyzed hyaluronic acid ซึ่งเป็น Hya ที่ผ่านกระบวนการ Hydrolysis (ย่อย) ให้มีขนาดเล็กลงกว่ารูปแบบดั้งเดิม เพื่อเสริมความสามารถในการดูแลผิวที่ชั้นลึกขึ้น และ Proteoglycan ที่มีประโยชน์ในเชิงความชุ่มชื้นเช่นกัน
  • Syn®-Hycan เป็นวัตถุดิบเปปไทด์สังเคราะห์ที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพโดยผู้ผลิตวัตถุดิบ ว่ามีคุณสมบัติในการเสริมการสังเคราะห์ Hyaluron ภายในผิวในระดับหลอดทดลอง และมีประสิทธิภาพในการกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยในอาสาสมัคร

สำหรับเบสหลักเป็นเบสแบบน้ำ บางท่านเห็นส่วนผสมของ Bis-Hydroxyethoxypropyl Dimethicone อาจจะกังวลเรื่องซิลิโคน แต่สารตัวนี้เป็นซิลิโคนดัดแปลงที่มีคุณสมบัติเสริมความชุ่มชื้น ให้สัมผัสนุ่มนวล ไม่เหนอะหนะ และผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองผิว (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)

ในภาพรวมจึงเรียกได้ว่าเป็นเซรั่มที่ทั้งปกป้องและดูแลปัญหาผิวทั้งในด้านของริ้วรอยและความชุ่มชื้นไปพร้อมๆ กัน

ถัดมาเป็นเซรั่มสำหรับกลางคืน คือ Flavo-C Melatonin ซึ่งมาในรูปแบบของแอมพูลแก้วเช่นกัน มีหน้าตาเป็นประมาณนี้ค่ะ

ด้านในก็จะมาในรูปแบบคล้ายๆ กันค่ะ

ค่า pH ของสูตรนี้อยู่ที่ราวๆ 4 – 5 เช่นกันนะคะ

เนื้อเซรั่มมาในรูปแบบใสเช่นกัน

เกลี่ยได้ง่าย บางเบา ไม่เหนอะหนะ

คอนเซปท์ของตัวนี้ คือ น้องจะเสริมการฟื้นฟูและบำรุงผิวในช่วงกลางคืน

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นการรวมตัวเอาวิตามินซีในรูปแบบของ 3-O-Ethyl ascorbic acid ร่วมกับสารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Genus เดียวกับถั่วเขียว) และ Melatonin ในเบสรูปแบบน้ำ มีส่วนผสมของ Alcohol อยู่เล็กน้อย โดยดูจากลำดับส่วนผสม แต่ส่วนตัวใช้ได้ไม่เกิดปัญหาแห้งหรือระคายเคืองอะไร

ลองมาดูรายละเอียดของสารบำรุงกัน

  • 3-O-Ethyl ascorbic acid เป็นวิตามินซีรูปแบบหนึ่ง สำหรับประโยชน์ของวิตามินซีก็ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
  • สารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Vigna aconitifolia seed extract) ตัวนี้ข้อมูลจากทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์คล้ายวิตามินเอ แต่ไม่มีปัญหาด้านการระคายเคืองเหมือนกลุ่มวิตามินเอ

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยักษ์ใหญ่อย่าง BASF กล่าวว่า น้อง moth bean มีคุณสมบัติเสริมการสร้างและผลัดตัวเองของผิวที่หนังกำพร้า รวมทั้งเสริมการสร้าง Matrix ต่างๆ เช่น Collagen ในชั้นหนังแท้ โดยมีทั้งข้อมูลการทดสอบประสิทธิภาพทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร

ขอยกมาเล่าสองภาพนะคะ ภาพแรกเป็นประสิทธิภาพในการเสริมสร้างคอลลาเจนในระดับหลอดทดลอง วัดจากปริมาณกรดอะมิโน Proline ที่เพิ่มขึ้น

(Image from BASF)

ซึ่ง Proline เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญตัวนึงที่เป็นองค์ประกอบในสายของ Collagen

ภาพที่สองเป็นการวัดความลึกของริ้วรอยตีนกา (ค่า Volume จากเครื่อง Visioscan) ในอาสาสมัครเทียบกันระหว่างครีมที่ใช้สารสกัดจากถั่ว Moth bean กับ ครีมที่ใช้ Retinol พบว่าริ้วรอยตีนกาตื้นขึ้นทั้งคู่

(Image from BASF)

ดังนั้นหากจะกล่าวว่า น้อง Moth bean มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Retinol และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามใช้ หรือไม่ถูกกับ Retinol ก็ไม่น่าจะเกินจริงนัก

  • Melatonin อันนี้ยอมรับเลยว่าตอนได้เห็นส่วนผสมคือ ดิฉันสงสัยมาก ว่าการใช้ Melatonin ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีประโยชน์อะไร จนได้มาค้นข้อมูลเพิ่มเติม ถึงทราบว่า Melatonin ที่ทาลงไปบนผิว มีคุณสมบัติหลายประการ และมีการศึกษารองรับอยู่หลายชิ้น ส่วนตัวอิงจากบทความของ Day และ คณะ (2018) ที่รวบรวมเอาผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ Melatonin โดยหลักๆ กล่าวว่า Melatonin เป็น antioxidant ทางอ้อม (Indirect antioxidant) โดยมีผลไปเสริมสร้างเอนไซม์ที่เป็น Antioxidant ตามธรรมชาติของผิว สาร Metabolites ต่างๆ ที่เกิดจากการแปรสภาพ Melatonin มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง ลดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนทำให้เกิดริ้วรอยตามมา โดยในภาพรวมน้องมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัยและฟื้นฟูสภาพผิว (J Drugs Dermatol. 2018;17(8):966-969.)

ทำไมถึงต้องทา Melatonin ตอนกลางคืน?

     จากข้อมูลหลายๆ ข้อมูลกล่าวว่าผิวหนังของเราอาศัยระบบที่มี Melatonin เป็นตัวรักษาสมดุลและซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน ระบบนี้มีชื่อเรียกว่า melatoninergic antioxidative system (MAS)

โดยภาพรวมแล้วเซรั่มดังกล่าวจึงถือว่าเหมาะมากในการเป็น Regimen สำหรับฟื้นฟูผิวในยามกลางคืน และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหากับการใช้วิตามินเอและอนุพันธ์ต่างๆ

สำหรับการให้คะแนนวันนี้เป็นการให้คะแนนแบบภาพรวมนะคะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปว่า สูตรกลางวันพัฒนามาเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UV และสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน มาพร้อมกับการเสริมสร้าง Hyaluron ภายในผิว และเติมน้ำให้ผิวด้วย Hyaluron กับ Proteoglycan เมื่อใช้ร่วมกับเซรั่มฟื้นฟูผิวตอนกลางคืนที่เน้นฟื้นฟูผิวจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน พร้อมทั้งส่งเสริมการทำงานของผิวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เสมือนผิวมีสุขภาพที่ดีเฉกเช่นวัยเยาว์ ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ สำหรับสูตรกลางวันเรียกได้ว่าทำมาได้ไร้ที่ติ แต่ในสูตรกลางคืนอาจจะติตรงเรื่องของ Alcohol นิดหน่อย แม้ว่าน่าจะใส่มาไม่มาก และส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาระคายเคืองหรือรู้สึกไม่สบายผิวแต่อย่างใด สำหรับผลิตภัณฑ์ 2 ชิ้นนี้ ขอให้ไปที่ 4.5 ฟลาสก์ (กลางวัน 5 + กลางคืน 4 แล้วหารสอง)
  3. การใช้งาน ในด้านการใช้งานส่วนตัวไม่ติดปัญหาอะไร ในด้านของประสิทธิภาพจากการทดลองใช้มาร่วม 3 อาทิตย์ รู้สึกว่า ช่วยให้ผิวเรียบเนียนนุ่มกระชับยืดหยุ่น และผิวละเอียดมากขึ้น ในด้านของสีผิว จุดแดง จุดดำต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดูจางลง แต่งหน้าได้ติดทนขึ้น อาการระคายเคืองผิวต่างๆ ในช่วงที่ใช้เกิดน้อยลง ในภาพรวมคือค่อนข้างประทับใจ แต่ส่วนตัวจะค่อนข้างกังวลกับเรื่องของการหักแก้วแอมพูล การเก็บรักษาแก้วแอมพูล และการกำจัดเมื่อใช้หมด อยากให้เก็บไว้แล้วแยกทิ้งต่างหากเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนเก็บขยะ หรือถ้าหากที่ไหนมีถังขยะพิเศษสำหรับแก้วแตกก็คือจะดีมาก แต่แพคเกจแบบแอมพูลแบบนี้ก็มีข้อดีของเขา คือ ปกป้องเนื้อสารข้างในให้มีความคงตัวที่ดีและลดการปนเปื้อนที่อาจเกิดเมื่อเทียบกับภาชนะบรรจุอื่นที่เป็นระบบเปิด จุดนี้ขอไม่หักคะแนนเรื่องภาชนะนะคะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทย ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ช่วงนี้กำลังมีแคมเปญลดราคาอยู่นะคะ ซึ่งสามารถติดตามได้ที่จากทางเพจ Official, Lazada และ Shopee ได้เลยค่ะ

“Flagship Store” ShopeeMall  https://invol.co/clb1zun

“Flagship Store” LazMall : https://invol.co/clb1ztm

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

วิเคราะห์ส่วนผสมไนท์ครีม Retinaldehyde สำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาสิว จากแบรนด์ Dr.Different VitaAcnal Tx Night cream

สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้มี่จะมาวิเคราะห์ส่วนผสมกับเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ของครีมสำหรับดูแลปัญหาสิวต่างๆ รวมทั้งสิวเสี้ยนสิวอุดตันของแบรนด์ Dr.Different เจ้าเก่านะคะ

ทางแบรนด์ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเน้นจัดเต็มไปที่ด้านการดูแลสิวโดยเฉพาะเลย ภายใต้ Product ที่มีชื่อว่า VitaAcnal Tx Night cream ค่ะ

โดยสำหรับวันนี้เรียกได้ว่าเป็น Mini-Review แล้วกันเนาะ เพราะส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาสิว เลยขอคุยกันตามหลักวิชาการนะคะ

ตัว Product มีหน้าตาประมาณนี้นะคะ

ในส่วนของตัวภาชนะ ก็จะคล้ายกับสินค้ากลุ่ม VitaA เพียงแต่กลุ่มดูแลสิวจะใช้โทนสีเขียวมินท์แทน

เนื้อครีมจะมาแบบคล้ายๆ กับสูตรปกตินะคะ

ก่อนเกลี่ย

หลังเกลี่ย

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมจะคล้ายๆ กับ VitaA สูตรปกตินะคะ เพียงแต่มีการปรับเล็กน้อย

  1. ตัดเอาน้ำมัน/ไขมันทิ้งไป เพื่อลดโอกาสในการอุดตัน
  2. เพิ่ม Capryloyl salicylic acid ที่จัดเป็น Lipohydroxy acid เข้ามา ตัวนี้ให้ประโยชน์หลายด้านเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดูแลสิว หรือ Whitening รวมถึงเรื่องของการชะลอวัย
  3. ตัด Adenosine ออกไป เนื่องจากไม่ได้เน้นด้านริ้วรอยเหมือน VitaA

โดยยังคงใช้เทคโนโลยีระบบนำส่งสารแบบ Niosome ซึ่งเป็นระบบนำส่งสารแบบเป็นถุงที่มีผนังสองชั้น สร้างจากไขมัน ร่วมกับสารประกอบอื่นๆ โดย Niosome ที่ทางแบรนด์ใช้เป็นชนิด Multilamellar vesicle หมายความว่า มีผนังสองชั้นซ้อนกันหลายๆ ชุด

เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรที่ใช้สารชุดพิเศษที่ทางแบรนด์พัฒนาขึ้นมาค่ะ ซึ่งได้กล่าวไปในการรีวิวสูตร VitaA คราวก่อนค่ะ

ในวันนี้เราจะเพิ่มเรื่องของประโยชน์ของ Retinal ในการดูแลผิวที่มีปัญหาสิวค่ะ

  • การศึกษาชิ้นแรกเป็นของ Ford-Lacoste และคณะ เมื่อปี 1999 ได้ศึกษาคุณสมบัติในการขจัดการอุดตัน (Comedolytic) ของ Retinaldehyde (0.05%) เทียบกับ Retinoic acid (0.025%) ในหนูทดลอง พบว่าทั้งสองตัวให้ประสิทธิภาพในการย่อยสลายเศษซากเซลล์ผิวที่อุดตันได้ไม่ต่างกัน และยังพบว่าทั้งคู่เสริมความหนาให้แก่ชั้นผิวกำพร้าด้วย (Dermatology. 1999;199 Suppl 1:33-5.)
  • ต่อมา Pechére และคณะ เมื่อปี 2002 ได้พบว่า Retinaldehyde มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในระดับหลอดทดลอง และเมื่อเอามาทดสอบบริเวณหน้าผากของอาสาสมัครเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่า จำนวนเชื้อก่อสิว อย่างเจ้า P. acnes และ เชื้อก่อหนอง อย่าง S. aureus ลดลง (Dermatology. 2002;205(2):153-8.)

ซึ่งก็ตรงกับเปเปอร์ทบทวนวรรณกรรมที่แบรนด์เอามาเล่าค่ะ

(Image from Dr.Different Official Website)

ทางแบรนด์เองก็มีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครนะคะ ซึ่งก็พบว่าให้ผลที่น่าสนใจทั้งในแง่ ลดสิวหัวปิดหัวเปิด ปริมาณน้ำมัน และปริมาณ Dead cell ที่ผิวผลัดทิ้งไม่ได้ ใน 4 สัปดาห์

ซึ่งมีภาพของกรณี Dead cell แนบมานะคะ เป็นการถ่ายภาพผ่านเครื่องมือ Visioscan ค่ะ

(Image from Dr.Different Official Website)

สำหรับ Product ตัวนี้ในมุมมอง ส่วนตัวมองว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง แม้ว่าส่วนผสมจะเป็นการ Combination ที่เห็นแล้วหรูหรามากนัก แต่ต้องยอมในแง่ของเทคโนโลยี และการทดสอบประสิทธิภาพทางคลินิกจริงยืนยันไม่เคลมไปเรื่อย

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Cosme-Diagnosis] วิเคราะห์ส่วนผสมสเปรย์ต้านมลภาวะและเกสรดอกไม้ตัวดัง Shiseido IHADA aller screen EX

สวัสดีค่ะ

ถ้าพูดถึงสเปรย์ต้านมลภาวะตัวดัง เชื่อว่าหลายๆท่านคงต้องเคยเห็นเจ้า IHADA aller screen EX ของเครือ Shiseido แน่ๆ

อ๊ะๆ เผื่อจะนึกไม่ออก หน้าตาน้องเป็นแบบนี้จ้า

SHOHIN_PL_C1_E07502_L.jpg

ที่ญี่ปุ่นนางมีจำหน่ายในร้านขายยาค่ะ ราคากรุบๆไม่แพงเลยจริงๆ

นางเป็นผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งที่น่าสนใจ และพัฒนาขึ้นมาจากงานวิจัยหลายๆชิ้น และแน่นอนว่าเป็นขวัญใจของ Blogger/Influencer หลายๆท่าน เลย

ยิ่งทำให้เราสนใจตัวนี้มากขึ้นเลยลองไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมมาค่ะ

 

ก่อนจะไปดูส่วนผสม อยากเล่าให้ฟังถึงเรื่องเกสรดอกไม้กับผิวหนังซักหน่อย

เราอาจจะคุ้นเคยว่า เวลาช่วงที่ในอากาศมีละอองเกสรมากๆ คนที่เป็นภูมิแพ้ก็จะมีอาการจาม น้ำมูกไหลเนอะ

หลังๆมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ละอองเกสรนี่ มันไม่ได้แค่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจนะ

หลายคณะ นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและการแพทย์ เจอว่าโปรตีนหรือเปปไทด์จากละอองเกสรดอกไม้ต่างๆหรือ ดอกหญ้าบางชนิด สามารถซึมผ่านผิวหนังที่มี Barrier ไม่สมบูรณ์ เช่น ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ อย่าง Atopic dermatitis หรือ Eczema แล้วลงไปเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ขึ้นมา ทำให้อาการของโรคผิวหนังแย่ลง

นอกจากเรื่องการแพ้แล้ว ก็มีการศึกษาพบว่าละอองเกสร สามารถไปลดความสามารถในการเป็น Barrier ของผิวได้อีก

จากนั้นก็มีการศึกษามาเป็นระยะๆว่าการทามอยส์เจอไรเซอร์บางกลุ่มสามารถลดการดูดซึมของโปรตีนจากละอองเกสรเหล่านี้ได้ และช่วยลดอาการแพ้ที่ผิวหนังได้ค่ะ

 

กลับมาที่ผลิตภัณฑ์ของเรา

Product ตัวนี้ออกมาได้หลายปีแล้วนะคะ ซึ่งตอนที่นางออกมาใหม่ๆ นางก็เป็นข่าวฮือฮาในเว็บ Cosmetics-design แล้วตั้งแต่เมื่อปี 2015

shi 2

(แหล่งข่าว https://www.cosmeticsdesign-asia.com/Article/2015/05/14/Shiseido-sees-opportunity-in-Japan-s-pollen-concerns)

 

หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาอีกว่า Shiseido เจอว่า ละอองเกสรนี่ทำร้าย Barrier ผิวได้ด้วยนะ นอกจากเหนี่ยวนำให้เกิดการแพ้

shi 1

(แหล่งข่าว https://www.cosmeticsdesign-europe.com/Article/2016/02/10/Shiseido-finds-pollen-can-damage-skin-barrier)

 

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ออกมาสู่ตลาดซักพักแล้ว จนเริ่มมาดังในบ้านเรา เมื่อ Blogger หลายๆท่านมีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ตัวนี้มากขึ้น ทำให้เราอยากได้อยากลองอยากมีไปด้วย เลยไปลองค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็พบว่านางทำมาได้ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวหละ

 

โดยกลไกการออกฤทธิ์ที่ทางแบรนด์เขา Claim ไว้ คือ นางจะไปสร้างเกราะที่มีประจุไฟฟ้า และสามารถผลักเอาละอองเกสร ฝุ่นละออง ชนิด PM 2.5 รวมถึงพวกไวรัส ไม่ให้เข้ามาสัมผัสผิวเราได้

ihada 2

(Image from Shiseido)

 

และโชคดีมาก ที่ในเว็บของทางแบรนด์เค้ามีส่วนผสมมาให้ เลยลองใช้ Google แปล + Miyeon เดา มาแกะส่วนผสมดูค่ะ

สผส ihada

แนบแบบภาษาญี่ปุ่นมาให้ด้วย เผื่อท่านใดอ่านได้ และมี่แปลผิดจะได้ช่วยแก้ไขในรายละเอียด

 

ดูจากส่วนผสมจะเห็นว่า มีสารประจุบวก อยู่ 2 ชนิด คือ เจ้า Polyquaternium-51 ซึ่งตัวนี้มีสูตรโครงสร้างคล้ายๆกับ Phospholipid ที่เป็นองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ต่างๆ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเขาเลยเคลมว่า สามารถเรียงตัวบนผิวได้ และเสริมเรื่องความชุ่มชื้น กับ Barrier ผิว

ส่วนอีกตัวคือ Distearyl dimonium chloride นางจัดเป็นสารประจุบวกในกลุ่มของ Cationic surfactant ซึ่งเดิมทีเราจะใช้สารในกลุ่มนี้เป็นครีมนวดผม เพราะสามารถจับกับผมเสียที่มีประจุเป็นลบ และช่วยปรับสภาพเส้นผมให้นุ่มสลวยสวยเงางาม

เช่นเดียวกัน นางสามารถเกาะกับองค์ประกอบในโปรตีนบนผิวที่มีประจุลบ ทำให้ติดบนผิวได้ยาวนาน

 

เจ้านี่เองที่สร้างเกราะทางไฟฟ้า มาช่วยเคลือบปกป้องผิวเราจากละอองเกสร และฝุ่นละอองต่างๆ

 

เรียกได้ว่าเป็นการใช้วัตถุดิบทางเครื่องสำอางได้อย่างชาญฉลาด เรียกได้ว่า เกือบจะต้องกราบแนบตักเลยทีเดียว

 

ส่วนในเบสก็มีสารในกลุ่มของ Fatty alcohol และน้ำมัน Mineral oil เพื่อช่วยให้ผิวไม่แห้ง และให้สัมผัสนุ่มลื่น ส่วนแอลกอฮอล์อย่าง Ethanol กับ Isopropanol ที่ใส่มาก็เพื่อให้ผลิตภัณฑ์แห้งไว และช่วยให้สารเหล่านี้แผ่กระจายเรียงตัวเป็นฟิล์มสวยๆได้นั่นเอง

ส่วนความกังวลเรื่องความระคายเคือง ถ้าดูจากวิธีการใช้งาน เราสเปรย์ที่ชั้นนอกสุดของผิว หลังจากบำรุงต่างๆมามากมาย และแต่งหน้าแล้ว จึงไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่นะคะ เว้นแต่คนที่ Sensitive มากๆ อาจจะต้องลองทดลองดูว่าทนไหวไหม เพราะการตอบสนองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน

 

สำหรับราคาที่ญี่ปุ่นก็ถือว่าไม่ได้แพงนะคะ

ขวด 50 กรัม 972 เยน (ราวๆ 291 บาท)

ขวด 100 กรัม 1728 เยน (ราวๆ 518 บาท)

 

ด้วยความที่เป็นขวดแบบบรรจุแก๊ส ให้ละอองแบบไมโคร ในการใช้งาน 1 ครั้ง จึงไม่ได้เปลืองมาก น่าจะใช้ทนอยู่

 

Disclaimer: บทความนี้เป็นการเขียนวิเคราะห์ส่วนผสมในเชิงวิชาการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีส่วนที่เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และใช้ในเชิงการศึกษา ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า ขอสงวนลิขสิทธิ์ในตัวบทความทั้งหมด และห้ามนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการค้า โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม

For educational purpose only

 

References

 

  1. Meinke et al. Skin Pharmacol Physiol. 2016;29(2):71-5. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/27027785
  2. Fölster-Holst et al. Clin Cosmet Investig Dermatol. 2015;8:539 -48. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/26604810
  3. Kumamoto et al. Arch Dermatol Res. 2016;308(1):49-54.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/26498292
  4. https://www.cosmeticsdesign-europe.com/Article/2016/02/10/Shiseido-finds-pollen-can-damage-skin-barrier
  5. https://www.cosmeticsdesign-asia.com/Article/2015/05/14/Shiseido-sees-opportunity-in-Japan-s-pollen-concerns
  6. https://www.shiseido.co.jp/cms/onlineshop/ih/bn/asex/

 

 

Image

[Ingredient spotlight] นวัตกรรมใหม่ทางเครื่องสำอาง กับ Exoskin ที่ออกฤทธิ์ Anti-aging ได้อย่างล้ำลึก

สวัสดีค่ะ

คืนนี้มี่มีส่วนผสมนวัตกรรมใหม่ๆทางเครื่องสำอางมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

วันนี้เป็นเรื่องของส่วนผสมที่ให้ผลด้าน Anti-aging ค่ะ

ส่วนผสมวันนี้มีชื่อทางการค้า (ยี่ห้อ) ว่า Exoskin เป็นวัตถุดิบของบริษัท Biocosmethic ประเทศฝรั่งเศสค่ะ

exo 1

สารนี้มีชื่อกลางในทางเครื่องสำอาง (INCI name) ว่า macadamia integrifolia seed oil (and) sea silt extract

เป็นสารสกัดจากตะกอนทะเลในเบสที่เป็นน้ำมันแมคคาเดเมียค่ะ

exo 3

(Image from: Biocosmethic)

ทางบริษัทก็มีการ Claim ว่าได้จากน้ำทะเลบริสุทธิ์แถวกัวเตมาลา

เจ้าตะกอนทะเลนี่ทำอะไรได้บ้างนะ ???

ว่ากันว่า สารสกัดจากตะกอนทะเลนี้สามารถกระตุ้นให้เซลล์ผิวเราสร้างตัวส่งสัญญาณที่มีชื่อว่า Exosome ออกมาค่ะ

exo 2

(Image from: Biocosmethic)

Exosome นี้ทำหน้าที่เป็นเสมือน Messenger นำข้อความจากชั้นหนังกำพร้า หรือ Epidermis ออกมายังหนังแท้ หรือ Dermis ค่ะ

Messenger ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้เซลล์บางชนิดทำงานและสร้างสารบางชนิดออกมาได้ค่ะ ตัวอย่างเช่น ไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนออกมา ผิวก็จะยืดหยุ่นมากขึ้น

ทางบริษัทก็ไม่ได้กล่าวลอยๆ นางมีการทดสอบทั้งในระดับหลอดทดลอง และ ในอาสาสมัครค่ะ

  • การทดสอบในระดับหลอดทดลอง
  1. –การทดสอบประสิทธิภาพในการลดการอักเสบที่ชั้นหนังกำพร้า
  2. –การทดสอบประสิทธิภาพในการฟื้นฟูปราการของผิว
  3. –การทดสอบการติดต่อสื่อสารระหว่างชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้
  4. –การทดสอบยืนยันว่าเซลล์ Fibroblast ได้รับข้อความจาก Exosome
  • การทดสอบเชิงคลินิกในอาสาสมัคร

พบว่าโดยรวมแล้วตัวตะกอนทะเล หรือ Exoskin มีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายด้านเลยค่ะ

exo 5

(Image from: Biocosmethic)

  • ลดการอักเสบ โดยไปมีผลยับยั้ง NF-kB และ TNF-α ซึ่งจะนำไปสู่ความชรา และความแก่ก่อนวัย ที่เรียกว่า Inflam’aging
  • เพิ่มความแข็งแรงของ Barrier ผิว โดยไปเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวชั้นนอก (หรือ Corneocyte)
  • เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน อิลาสติน และ ไฟบริลิน ออกมามากขึ้น ผิวจึงแน่นฟูและกระชับขึ้น

ในการทดสอบระดับอาสาสมัคร โดยให้อาสาสมัครทาครีมที่มี Exoskin ในความเข้มข้น 1.5% เป็นเวลา 56 วัน ทาแค่ครึ่งหน้า เทียบกับครีมเปล่าๆที่ไม่มี Exoskin พบว่า อาสาสมัครมีผิวที่เรียบขึ้น

exo 6

(Image from: Biocosmethic)

มีการแจกแบบสอบถามให้อาสาสมัครประเมินความรู้สึกต่อผิวตัวเองด้วยค่ะ

exo 7.jpg

(Image from: Biocosmethic)

  • 69% รู้สึกว่า ผิวแน่นขึ้นและยืดหยุ่นขึ้น
  • 77% รู้สึกว่า ผิวตัวเองสวยขึ้น
  • 61% รู้สึกว่า ผิวมีความกระจ่างใสมากขึ้น
  • 77% รู้สึกว่า ผิวหน้าเมื่อยามตื่นนอนดูความสดชื่นและมีชีวิตชีวา

 

ก็นับว่าเป็นวัตถุดิบตัวหนึ่งที่น่าสนใจและดูมีนวัตกรรม ดูเก๋ไก๋ ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยรวมกลไกการออกฤทธิ์ยังมีมากกว่านี้ แต่ค่อนข้างลึกและยาก มี่เลยตัดมาแค่บางจุดที่เข้าใจง่ายเฉยๆนะคะ

วัตถุดิบตัวนี้รู้สึกว่ามีแบรนด์ซื้อไปทำแป้งพัฟแล้วด้วยค่ะ

 

และก็ตอนนี้มีบริษัทนำเข้าวัตถุดิบแล้วนะคะ โดยบริษัท JR Serve Co.,Ltd.

ซึ่งถ้าใครสนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้กับทางบริษัทโดยตรงเลยนะคะ

อีเมล์: jirat@jrserve.co.th

 

Reference:

Biocosmethique. Exoskin Technical data sheet.

 

Image

[Ingredient Spotlight] Sequollagen สารสกัดจากยีสต์แห่งต้นไม้ยักษ์ เพื่อการฟื้นฟูและเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว

เมื่อราวๆเดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา มี่มีโอกาสได้ไปชมงาน in-cosmetics Asia ซึ่งเป็นงานแสดงวัตถุดิบ เครื่องไม้เครื่องมือ และความก้าวหน้าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางมาค่ะ

 

in-cosme.jpg

 

ปีนี้มีส่วนผสมใหม่ๆที่น่าสนใจอยู่หลายตัวเลย อย่างตัวที่ยกมากวันนี้เป็นวัตถุดิบของบริษัท Biocosmethique ประเทศฝรั่งเศส มีความนวัตกรรมดูแปลกใหม่ และดูทรงคุณค่ามากค่ะ

seq-2

 

Sequollagen เป็นชื่อทางการค้าของ Pichia ferment lysate filtrate เรียกง่ายๆว่าเป็นยีสต์หมักสายพันธุ์หนึ่งค่ะ

seq-1

 

ยีสต์ชนิดนี้ทางแบรนด์กล่าวว่าเป็นยีสต์ที่แยกได้จากต้น Sequoia ซึ่งเป็นต้นไม้สูงใหญ่ในอุทยานแห่งชาติ Yosemite national park ที่ Sierra Nevada mountain ประเทศอเมริกา

 

กล่าวกันว่าต้นไม้ชนิดนี้มีความทนทาน ทนต่อไฟ แมลง มีอายุยืนนานถึง 4000 ปีเลยทีเดียวค่ะ

 

ทางบริษัทจึงได้ทดลองเก็บเชื้อจากเปลือกไม้มา พบว่าเป็นยีสต์ตระกูล Pichia spp. พอเลี้ยงไปเลี้ยงมาพบว่าเจ้ายีสต์นี้ประกอบด้วยเอนไซม์ Prolyl hydroxylase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญเอนไซม์หนึ่งในการสร้างคอลลาเจนของผิวเรา

 

seq 3.jpg

(Image from Biocosmethique)

 

seq 4.jpg

(Image from Biocosmethique)

 

เอนไซม์ Prolyl hydroxylase จำเป็นต่อการเปลี่ยนกรดอะมิโน Proline ให้กลายเป็น Hydroxyproline ในสายคอลลาเจนค่ะ

 

เอนไซม์นี้อาศัยธาตุเหล็ก และวิตามินซี เป็นส่วนหนึ่งในการทำงาน นี่ก็อธิบายได้ว่าทำไมวิตามินซี ให้ผลเรื่องริ้วรอยได้ด้วย

 

การทดสอบของบริษัทพบว่า Sequollagen มีคุณสมบัติอยู่ 3 ประการหลักๆ คือ

  1. Rejuvenation คืนความอ่อนเยาว์ โดยส่งเสริมการทำงานของ Fibroblast ซึ่งเป็นเซลล์แม่ในการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ชั้นหนังแท้ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และอิลาสติน ในระดับหลอดทดลอง
  2. ปกป้องจากรังสี UV
  3. ลดริ้วรอย

 

This slideshow requires JavaScript.

(Image from Biocosmethique)

 

ซึ่งการทดสอบของทางบริษัทเป็นในระดับหลอดทดลอง (In-vitro) และระดับ Ex-vivo ซึ่งใช้ผิวหนังจริงมาเพาะเลี้ยงค่ะ

จะเห็นได้ว่าสารดังกล่าวมีคุณสมบัติเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน เพิ่มการทำงานของเซลล์แม่อย่าง Fibroblast และช่วยปกป้องเซลล์จากรังสี UV

 

ก็นับว่าเป็นวัตถุดิบตัวหนึ่งที่มีความน่าสนใจ และมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ดูแปลกแตกต่างออกไปจากที่เคยมีมา และส่วนตัวมี่เองยังไม่เคยเจอวัตถุดิบนี้ในเครื่องสำอางเลยค่ะ

 

ล่าสุดตอนนี้มีบริษัทนำเข้าวัตถุดิบแล้วนะคะ เป็นบริษัท JR Serve Co.,Ltd.

ซึ่งถ้าใครสนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้กับทางบริษัทโดยตรงเลยนะคะ

อีเมล์: jirat@jrserve.co.th

 

Reference:

Biocosmethique. Sequollagen Technical data sheet.

 

Disclaimer: บทความดังกล่าวเขียนขึ้นโดยอิงจากข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบเป็นหลัก และผู้เขียนไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆในการเขียนบทความ

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมาสค์เพื่อผิวกระจ่างใสตัวดังจากเกาะอังกฤษ Yllume ultimate illuminating complex mask

สวัสดีค่ะ… วันนี้มี่เอารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมของมาสค์เพื่อผิวขาวกระจ่างใสตัวดังจากอังกฤษมาฝากกันค่ะ

เป็นมาสค์เนื้อครีมจากแบรนด์ Yllume นั่นเอง เป็นชิ้นที่สามของแบรนด์แล้วค่ะ ที่มี่ได้รีวิว

แบรนด์นี้ก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ทานแล้วได้ประโยชน์เรื่องความกระจ่างใสด้วยค่ะ ส่วนตัวมี่เองก็ได้ทั้งทอลองทานและก็ทดลองใช้อาหารเสริม และ ครีมอยู่พักหนึ่ง และได้รีวิวไว้แล้วนะคะ

วันนี้เรามาดูโฉมหน้าของมาสค์กันบ้างค่ะ

 

ym 1

 

เขาจะมาในแพคเกจทรงกระบอกที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ค่ะ ข้างในก็จะมีกระปุกของมาสค์อยู่ค่ะ

 

ym 2

ตัวกระปุกมาสค์ เป็นกระปุกอคริลิกแบบหนา ซึ่งนางก็แถมช้อนไว้ตักมาสค์ให้ด้วยหนึ่งอันค่ะ

 

 

มาดูเนื้อมาสค์กันบ้างนะคะ

ตัวมาสค์เป็นมาสค์เนื้อครีมที่ค่อนข้างนุ่ม เกลี่ยได้ง่าย จะมีความลื่นอยู่พอตัว แต่ก็ไม่ถึงกับเหนอะหนะมากนักค่ะ

ตัวนี้ไม่มีกลิ่นนะคะ

 

ym 3

 

เวลาเกลี่ยจะดูเหมือนไม่ค่อยดูดซึมค่ะ ใช้เวลานวดๆซักนิด ตัวปื้นขาวก็จะหายไป

 

ym 4

 

ทางแบรนด์แนะนำวิธีใช้ไว้สองแบบนะคะ

  1. พอกไว้ประมาณ 10 นาที แล้วเช็ดออกด้วยสำลี หรือกระดาษทิชชู่นุ่มๆโดยไม่ต้องไปล้างออก
  2. พอกข้ามคืนเป็น Overnight mask (หรือ Sleeping pack) ค่ะ

พอเช็ดออกแล้วผิวจะรู้สึกนุ่ม ชุ่มชื้น

 

ym 6

 

 

ทางแบรนด์แนะนำว่า ใช้อาทิตย์ละครั้ง เพื่อช่วยให้ผิวมีความสว่างโกลว และมี Complexion ที่ดูสดใสกระจ่างใสขึ้นค่ะ

หรือจะใช้มากกว่านั้นก็ได้ ในวันที่เพลียๆ หรือไปออกแดดนานจนรู้สึกหมองคล้ำ ก็สามารถโปะลงไปได้เลยค่ะ

 

ตัวนี้แบรนด์ Claim ไว้ค่อนข้างแรงนะคะ เกี่ยวกับเรื่องของประสิทธิภาพ ทางแบรนด์ Claim ว่าเทียบเท่า Hydroquinone ที่ความแรง 4% เลยค่ะ แต่มีอาการข้างเคียงน้อยกว่า ซึ่งทางแบรนด์บอกว่าเป็นเพราะเขาใช้แต่ส่วนผสมจากธรรมชาตินั่นเองค่ะ เดี๋ยวเรามาดูรายละเอียดกันในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

 

เผื่อใครสนใจอยากอ่านแบบ original มี่ได้เอาภาพคำ Claim ของแบรนด์มาแปะให้ด้วยค่ะ

 

claiming yllume.jpg

(Image from Yllume UK official site)

 

ถ้าถามความเห็นมี่ มี่มองว่าไม่แปลกนะคะ เพราะส่วนผสมไวท์เทนนิ่งในเครื่องสำอางหลายๆชนิดก็มีงานวิจัยตีพิมพ์เปรียบเทียบกับ Hydroquinone อยู่

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

สผส mask

 

ในส่วนของสารบำรุงผิวนั้นมี่ทำสีม่วงเอาไว้ให้นะคะ

  • CARICA PAPAYA FRUIT EXTRACT คือ สารสกัดจากมะละกอ ซึ่งในมะละกอจะมีเอนไซม์ papain ที่ทำหน้าที่ย่อยโปรตีน แต่เอนไซม์นี้ไม่ค่อยคงตัวค่ะ ซึ่งทางแบรนด์ Claim ว่าเป็น สารสกัดที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ได้เป็น CROSS POLYMER ทำให้เอนไซม์ Papain มีความคงตัวสูง ให้ผลผลัดเซลล์ผิวแบบอ่อนโยน ไม่ระคายเคืองเหมือนตระกูลกรดผลไม้
  • SOLANIUM LYCOPERSICUM (TOMATO) FRUIT EXTRACT เป็นสารสกัดจากมะเขือเทศ ซึ่งทางแบรนด์ Claim ว่าใช้มะเขือเทศสีขาวสายพันธ์พิเศษ มีส่วนประกอบของสารในกลุ่ม Colorless carotenoids คือ สารกลุ่ม Carotenoid ที่ไม่มีสี ที่สำคัญคือ phytoene กับ phytofluene ทางแบรนด์บอกว่าในผิวของเรามีสารกลุ่มนี้อยู่ในชั้นผิวหนังชั้นนอกถึง 38% และพบว่าคนที่ขาดสารกลุ่ม Colorless carotenoids นี้จะมีสีผิวที่เข้มกว่าคนที่มีเยอะ รวมถึงอาจจะมีปัญหาผิวแพ้ง่าย ผิวแห้ง และเรื่องสิวได้มากกว่าด้วย นอกจากนี้ก็ยังมีตัว Lycopene ที่เป็น Antioxidant ที่ดี ซึ่งมีรายงานว่า Lycopene ในสารสกัดมะเขือเทศ สามารถปกป้องผิวหนังจากอันตรายจากรังสี UV ได้ (Br J Dermatol. 2011; 164(1):154-62.) ส่วนของเปลือกผลมีสาร Resveratrol ซึ่งให้ฤทธิ์แรงในการต้านอนุมูลอิสระ (J Agric Food Chem. 2006; 54(19):7175-9.)
  • ASCORBYL GLUCOSIDE เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีชนิดหนึ่งที่จับกับน้ำตาล มีความเป็นกรดลดลง มีความอ่อนโยนเพิ่มขึ้น มีคุณสมบัติลดการสร้างเม็ดสีโดยไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เป็น Antioxidant ที่ดี และเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสร้างคอลลาเจน
  • OLIVINE STONE EXTRACT เป็นสารสกัดจากหินอัญมณี Olivine สีเขียว ซึ่งทางแบรนด์บอกว่าสารสกัดจากหิน Olivine นี้มีคุณสมบัติช่วยลดภาวะเครียด (Stress) ของเซลล์ผิว เพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์ (ข้อมูลจาก Yllume official website)
  • HYDROLYZED PRUNUS DOMESTICA สารนวัตกรรมจากญี่ปุ่น ที่ Claim เรื่อง “Melanin diet” ออกฤทธิ์ขัดขวางการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปด้านนอก
  • BELLIS PERENNIS (DAISY) FLOWER EXTRACT คือ สารสกัดจากดอก Daisy ในสิทธิบัตรยุโรประบุว่าสารสกัดจาก Daisy สามารถใช้เป็น Whitening ได้โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สร้างเมลานิน (EP1737538 B1) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารสกัดออกฤทธิ์ครบถ้วนตั้งแต่ก่อนการสร้างเม็ดสี ยับยั้งการสร้างเม็ดสี และป้องกันไม่ให้เม็ดสีออกไปข้างนอก

นอกจากนี้ยังมี Vitamin E และ Dipotassium glycyrrhizate จากชะเอมที่มีผลลดการอักเสบในผิวได้

สารออกฤทธิ์ในกลุ่มผิวขาว ออกฤทธิ์ไปที่ขั้นตอนการสร้างเม็ดสี และยับยั้งการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก รวมทั้งผลัดผิวที่หม่นหมองออกไปด้วยเอนไซม์ papain cross polymer ซึ่งมีความอ่อนโยน สารสกัดจาก Daisy มีการ Claim ว่า ออกฤทธิ์ที่ขั้นตอนก่อนการสร้างเม็ดสีด้วย จึงถือว่าให้ผลครบทุกขั้นตอนของการสร้างเม็ดสี เสริมมาด้วย Antioxidant และสารไขมันทดแทนแก่ผิว

ส่วนของเนื้อหลักเป็นชนิด Emulsion ประกอบด้วยน้ำและน้ำมัน ไม่มีส่วนผสมของ Silicone และ Alcohol (ในทางเครื่องสำอางหมายถึง Ethanol หรือ Ethyl alcohol)

นอกจากนี้ทางแบรนด์บอกว่า ได้ทดสอบทางผิวหนัง และทดสอบการแพ้เรียบร้อยแล้ว (Dermatological and Allergy test) แต่ไม่ทราบรายละเอียดเรื่อง Sample size และวิธีที่ใช้นะคะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Active ingredients ในส่วนของสารบำรุงเรื่องความขาวนั้นมีอยู่หลายตัว ออกฤทธิ์อยู่หลายขั้นตอน ตั้งแต่ก่อนสร้างเม็ดสี ขั้นตอนการสร้างเม็ดสี ขั้นตอนการส่งผ่านเม็ดสี และการผลัดผิวทิ้งแบบอ่อนโยน รวมทั้งเสริมมาด้วยสารกลุ่ม Antioxidant และไขมันทดแทน แต่ยังดูเหมือนขาดสารเติมน้ำให้ผิวอยู่ ถ้าวัดกันที่ผลด้าน Whitening ก็ขอให้ไป 5 ฟลาสก์ แต่ถ้าวัดกันแบบองค์รวมจะขอให้ 4 ฟลาสก์
  2. เนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ Base เป็นรูปแบบ Emulsion จากน้ำและน้ำมัน ไม่มีส่วนผสมของ Silicone และ Alcohol แต่ สาร Ethylhexyl palmitate ที่ใช้อาจจะอุดตันรูขุมขนได้ในบางราย เลยขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. สารองค์ประกอบอื่นๆ หรือ Additives ไม่มีส่วนผสมของสาร Paraben ไม่มีน้ำหอม ไม่มีอะไรให้หักคะแนน เลยรับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่คิดว่า มาสค์นี้ทำมาได้ค่อนข้างยืดหยุ่นค่ะ สามารถใช้ได้ 2 แบบ คือ ทาไว้ 10 นาที แล้วเช็ดออก หรือ ล้างออกด้วยน้ำอุ่นๆก็ได้ หรือจะใช้เป็น Sleeping pack มาสค์หน้าข้ามคืนก็ได้ค่ะ เนื้อครีมไม่เหนอะหนะ ค่อนข้างเกลี่ยง่าย ขนาดไม่ใช้ Silicone มาช่วยปรับสัมผัส ยังได้ครีมที่เนื้อนุ่ม บางเบา ส่วนเรื่องความกระจ่างใส มี่ใช้มาสค์อาทิตย์ละ 2 ครั้งค่ะ มาเกือบเดือน ตอนเช้าจะรู้สึกผิวนุ่มขึ้น แต่มี่ว่าเรื่องความขาวนั้นยังไม่ได้ชัดมากนะคะ เหมือนมันจะค่อยๆเพิ่มความสว่าง และเพิ่ม Complexion ให้ผิวมากกว่า ส่วนตัวก็ติดน้ำหอมนะคะ อยากได้น้ำหอมอยู่ แต่ไม่มีก็ดีค่ะ เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์ค่ะ

 

คะแนน ym

 

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางเพจ Skin Scope ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้มี่ได้ทดลองใช้

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้กับทางเพจ Skin Scope โดยตรงเลยค่ะ

http://www.facebook.com/skinscope

 

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากเพจ Skin Scope การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Review: Rezme’ White & Firm Serum cream

Review: Rezme’ White & Firm Serum cream

วันนี้มี่แวะเอารีวิว Serum cream จากแบรนด์ Rezme’ มาฝากกันค่ะ

Concept ของ Serum cream ก็เป็นแบบ 2 in 1 ที่แบบว่าทาทีเดียวได้ทั้งซีรัมได้ทั้งครีมเลยค่ะ

ชื่อเต็มๆของผลิตภัณฑ์คือ Rezme’ White & Firm serum cream ค่ะ

rezme

ข้างในเป็นกระปุกแก้วสีขาวเหลือบมุก ฝาสีเงินค่ะ

IMG_0012-re

ตัวครีมเป็นสีขาว เนื้อนุ่ม หอมหวานคล้ายๆดอกไม้ผสมขนมหวานค่ะ

IMG_0013-re

เกลี่ยง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น เย็น ซึมค่อนข้างไว แห้งไว และไม่หนักผิวค่ะ

IMG_0015-re

วัดค่า pH กันซักหน่อย

IMG_0016-re

pH อยู่ที่ประมาณ 4-5 นะคะ ก็ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

มาดูส่วนผสมกันบ้างดีกว่าค่ะ

สผส

ส่วนผสมเรียกได้ว่าค่อนข้างมาเต็มเหมือนกันค่ะ ในส่วนของสารออกฤทธิ์มี่ทำสีเขียวไว้ให้ และในส่วนของสีฟ้า Ethoxydiglycol นี่เป็นตัวทำละลายพิเศษ มีคุณสมบัติเพิ่มการดูดซึมสารอื่นๆเข้าสู่ผิวหนัง ทำให้ได้ผลที่ดีขึ้นค่ะ (ทางวิทย์ฯเรียกว่า Penetration enhancer ค่ะ)

ในส่วนของสารออกฤทธิ์เรียกได้ว่าใส่มาค่อนข้างเยอะเลยหละ เพราะดูสารสกัดนี่มาหลังน้ำเลยทีเดียว

สารออกฤทธิ์เราแบ่งได้เป็น กลุ่ม ดังนี้นะคะ

  1. กลุ่มผิวขาว ได้แก่

–         Lepidum sativum extract ตัวนี้เป็นสารสกัดจาก Garden cress ไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบบอกว่า มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดเลือนริ้วรอยได้ สามารถยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน Melanocyte stimulating hormone (MSH) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ที่มีหน้าที่สร้างเมลานินทำงานได้ดีขึ้น เมื่อไปยับยั้ง MSH ก็จะทำให้เซลล์เมลาโนไซต์ทำงานได้ลดลง ผิวจึงขาวขึ้น

–         Arbutin ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว

–         Ascorbyl palmitate อนุพันธ์ของวิตามินซี นอกจากเรื่องการลดการสร้างเม็ดสีผิว แล้วยังช่วยเรื่องริ้วรอยโดยเป็นส่วนประกอบในการสร้างคอลลาเจน และเป็น Antioxidant

–         Glutathione ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว และเป็น Antioxidant

–         Evodia rutaecarpa extract สารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งในตำรับยาจีน มีคุณสมบัติร้อน มีรายงานการวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากกระบวนการอักเสบที่เกิดขึ้นจากรังสี UV (J Dermatol Sci. 2006;42(1):13-21.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารสกัดนี้ให้ผลกระตุ้นการไหลเวียนเลือดช่วยให้ผิวดูมีเลือดฝาดและมีสุขภาพดี ทำให้ผิวดูสว่างขึ้น (Gatulene Radiance, Gattefossé)

สรุปด้านผิวขาว สารออกฤทธิ์ที่ 2 Step คือ ขั้นตอนการสร้างเม็ดสีผิว และขั้นตอนก่อนสร้างเม็ดสีผิว โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี

  1. กลุ่มริ้วรอย ได้แก่

–         Acmella olearaceae สารสกัดจากผักบุ้งให้ผลเป็น Antioxidant และช่วยคุมมันได้

–         สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของพืช อย่าง Argan กับ Apple อันนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบเรียกกันไปเองว่า Stem cell จริงๆแล้วคือเป็นการสกัดเนื้อเยื่อเพาะเลี้ยงจากพืช ที่เรียกกันว่า Callus พวกนี้จะให้สารอาหารให้แก่ผิว ทำให้ผิวทำงานได้ดีขึ้น ริ้วรอยจะดูลดลง

–         Crocus chrysantus extract สารสกัดจากพืชตระกูลเดียวกับหญ้าฝรั่น (saffron) ในส่วนของฐานข้อมูลงานวิจัยมีกล่าวถึงแต่หญ้าฝรั่น สารสกัดจากเหง้าของพืชนี้มีชื่อทางการค้าว่า DermCom ของบริษัท Mibelle มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มการสื่อสารระหว่างเซลล์ สร้างสารเคมี สร้างเซลล์ผิว และสร้าง Growth factor ออกมาให้ผิวแข็งแรง ริ้วรอยลดลง ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

  1. กลุ่มลดการอักเสบและปกป้องผิว

–         Hordeum vulagare สารสกัดจากข้าวบาร์เลย์ ช่วยเรื่องเพิ่มความชุ่มชื้น และลดการระคายเคือง

–         Ectoin ช่วยปกป้องผิวจาก UV และช่วยลดการอักเสบในผิว

สำหรับส่วนประกอบอื่นๆก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว

ถึงเวลาให้คะแนน

  1. สารออกฤทธิ์ จากที่บรรยายไว้ด้านบนคือให้สมบัติด้านผิวขาว ริ้วรอย และลดการอักเสบกับปกป้องผิว โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี นี่ถ้ามีแต่ผิวขาวคงจะโดนหักคะแนน แต่เพราะมีอย่างอื่นมาเสริมด้วยก็เลยทำให้ดูดีขึ้นมาก ให้ผลได้ค่อนข้างครอบคลุมทั้ง ขาว ริ้วรอย ชะลอวัน ชุ่มชื้น และลดอักเสบ โดยรวมจึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. Base ส่วนของเนื้อหลักเป็นชนิดครีม เกิดจากน้ำมันกับน้ำ และซิลิโคน ส่วนของน้ำมันมีทั้งน้ำมันที่ดูดซึมเข้าไปบำรุงผิวได้ และไขมัน/ซิลิโคนที่เคลือบปกป้องผิว ส่วนของน้ำใช้ Propylene glycol เป็นตัวดึงน้ำ ไม่มีส่วนผสมของ Alcohol โดยรวมถือว่าทำมาได้ครบสำหรับการเป็น Moisturizer ดีๆซักชิ้น จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. Additives ไม่ใช้พาราเบน ในส่วนผสมไม่มี Fragrance แต่มี่ว่ามันก็หอมอยู่นะ หรือจะหอมสารสกัด? สาร Emulsifier ที่ใช้ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร จุดนี้ก็เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร เลยเป็น 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ได้ลองใช้มา 2 อาทิตย์ กว่าๆ ก็ถือว่าผิวนุ่มชุ่มชื้น และเรียบเนียน แต่งหน้าติดง่ายดีค่ะ โดยรวมก็ถือว่าประทับใจ โดยเฉพาะความหอม มันเป็นสไตล์ที่มี่ชอบพอดี จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Rezme’ ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์

https://www.facebook.com/RezmeOfficial

ได้เลยค่ะ

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Rezme’