Image

Update! เมื่อฉันใช้ Vitalift สูตรสีดำ Renew youth RetinAL ของ Dr.Different ครบ 3 เดือน

วันนี้ขอมาอัพเดทผลการใช้งานครีม Retinal ตัว Top สุดของ Dr.Different ที่มีชื่อว่า VITALIFT: Renew Youth RetinAL ที่เคยรีวิวไว้เมื่อเดือนก่อนตามลิงค์ด้านล่างนี้ค่ะ

>>Link review Vitalift Renew youth RetinAL

ขอเอาหน้าตาของน้องมาอวดอีกรอบนะคะ

สำหรับผลการใช้งานขอเริ่มจากภาพรวมก่อน

ถ้าถามความเห็นส่วนตัว คิดว่าครีมตัวนี้เริ่มให้ประโยชน์ในแง่ของความกระชับ ยืดหยุ่น ความละเอียดของผิวได้ตั้งแต่ช่วง ราวๆ 1 – 2 เดือนแล้วนะคะ เมื่อยิ่งใช้นานขึ้นจนครบ 3 เดือน ผิวก็จะยิ่งละเอียดมากขึ้น เวลาแต่งหน้าก็จะตกร่อง ตกหลุมน้อยลง ติดทนนานมากขึ้น

ส่วนตัวคิดว่าสูตรนี้ไม่ได้ทำให้ผิวแห้งเหมือนกับตัวสูตรเดิม เพราะตอนที่ใช้สูตรเดิมทาคอ แล้วคอแห้งลอกคัน แต่สูตรนี้ใช้ทาคอด้วยแต่ไม่เจอปัญหา ทั้งๆ ที่เข้าหน้าหนาวแล้วและอากาศแห้งกว่าตอนช่วงที่ลองใหม่ๆ (กันยายน ช่วงฤดูฝน)

ขอเทียบอีกภาพที่ใช้ฟังก์ชั่นปรับความคมชัดเพื่อดูลักษณะของผิวผ่านโปรแกรม Photoscape ที่ระดับเดียวกัน ถ้าตัดประเด็นเรื่องสีผิวออกไปเพราะอาจจะเกิดจากปริมาณแสง ความห่างของกล้อง การวางกล้อง ฯลฯ จะพบว่าผิวดูละเอียดมากขึ้น ความหยาบลดลง และ รูขุมขนดูเล็กลง ซึ่งสอดคล้องไปกับความรู้สึกนุ่ม และการตกร่องของเมคอัพที่รู้สึกได้ และเมื่อใช้ครบ 3 เดือน ความรู้สึกดีพวกนี้ก็ชัดขึ้น

ถ้าดูจากภาพเทียบกันระหว่าง Day 0 กับ Day 90 จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงของขนาดและรูเปิดของรูขุมขนมากขึ้น

โดยรวมไนท์ครีมตัวนี้เป็นตัวหนึ่งที่น่าสนใจทั้งในด้านของส่วนผสม และการใช้งาน แล้วถ้าใช้ครบ 6 เดือน จะมาอัพเดทกันอีกรอบนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: Dr.Different Thailand

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ไนท์ครีมวิตามินเอ ขั้นกว่าของ Vitalift กับ Vitalift Renew Youth Retinal จากแบรนด์ Dr.Different

วันนี้ขอหยิบเอาผลิตภัณฑ์ดีๆ จากแบรนด์ Dr.Different มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมอีกสักชิ้นนะคะ

ส่วนตัวเคยรีวิวผลิตภัณฑ์หลายๆ ชิ้นจากแบรนด์นี้ไปแล้ว แต่ละตัวเรียกได้ว่าค่อนข้างชอบ ถึงชอบมากเลยล่ะ

วันนี้เลยขอหยิบเอาน้องใหม่ล่าสุด ที่เป็นขั้นกว่าของพี่ๆ กลุ่มของ Vitalift ซึ่งสูตรนี้มาในหลอดสีดำ มีชื่อว่า Vitalift Renew Youth Retinal หน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตัวหลอดด้านในจะคล้ายกับซีรี่ส์ Vitalift ที่มีมาก่อนหน้า แต่มาในสีดำล้วน ที่ดูแล้วให้ความรู้สึก Luxury

สำหรับเนื้อครีมจะมีสีออกเหลือง ซึ่งเป็นสีตามธรรมชาติของ Retinaldehyde ค่ะ

เนื้อครีมค่อนข้างชุ่มชื้นและหนักกว่าตัวอื่นในซีรี่ส์ก่อนหน้า ซึ่งเข้าใจว่าอาจจะทำมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่เริ่มมีอายุ เพราะมักจะมีปัญหาผิวแห้ง และส่วนตัวเป็นคนผิวแห้งเลยชอบเนื้อครีมตัวนี้

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมขอเอาผลการใช้งานที่เวลา 40 วัน มาเทียบก่อนค่ะ

จริงๆ ดูจากภาพอาจจะไม่ค่อยชัดมาก แต่เท่าที่รู้สึกและสัมผัสได้เมื่อใช้ไปครบ 40 วัน คือ รู้สึกถึงความนุ่ม และความแน่นของผิว แล้วก็เวลาแต่งหน้ามีเมคอัพตกร่องน้อยลง และติดทนนานมากขึ้น แม้จะดูจากภาพไม่ชัดเจนนัก

ลองดูในอีกภาพที่เป็นการลงรายละเอียดมากขึ้น อาศัยการปรับความคมชัดของภาพที่ระดับเดียวกันผ่านโปรแกรม Photoscape ถ้าตัดประเด็นเรื่องสีผิวออกไป จะพบว่าผิวดูเหมือนจะละเอียดมากขึ้น ความหยาบลดลง และ รูขุมขนดูเล็กลง ซึ่งสอดคล้องไปกับความรู้สึกนุ่ม และการตกร่องของเมคอัพ

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

จากภาพจะเห็นว่าส่วนผสมของตัว Vitalift สูตรใหม่มีด้วยกันหลายกลุ่มนะคะ ขอเล่าไปทีละกลุ่มเลยค่ะ ในกลุ่มเดียวกันก็จะมีสีเดียวกัน โดยส่วนตัวพยายามรวบกลุ่มสารที่มีประโยชน์คล้ายๆ กันให้อยู่ด้วยกัน

สำหรับสารในกลุ่มสีเขียวจะเป็นกลุ่มของพวกน้ำมันที่มีประโยชน์ในด้านของการดูแล Barrier ผิวให้ผิวเราแข็งแรง ซึ่งถ้าผิวแข็งแรง ผิวก็จะมีสุขภาพดี และมีแนวโน้มเกิดการระคายเคืองน้อยกว่าผิวที่มี Barrier บอบบางกว่า

กลุ่มสีฟ้าจะเป็นกลุ่มของพวกสารเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการช่วยผิวเก็บกักน้ำ อย่าง Hya และ Sodium polyglutamate ที่หลายๆ ท่านคุ้นเคย และมีคุณสมบัติที่ดีในการเพิ่มความชุ่มชื้น โดยมีอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ คือ สารที่ได้จากการทำอนุพันธ์ของ กรดอะมิโน Glutamic acid อย่าง Phytosetryl/Behenyl/Octyldodecyl lauroyl glutamate ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นพวก Surfactant แต่นางเป็นสารที่สามารถเรียงตัวในรูปแบบของ Liquid crystal ได้เหมือนกับ Ceramide ที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว จึงมีประโยชน์ในด้านของความชุ่มชื้นได้ไม่แตกต่างจากการใช้ Ceramide

กลุ่มของสีน้ำเงินเป็นกลุ่ม peptide ที่ผสมกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ภายใต้เครื่องหมายทางการค้าว่า ElagenpeptideTM ซึ่งประกอบด้วย peptide 12 ชนิด ที่เลือกมาให้เสริมกันเป็นอย่างดี ขอเลือกบางตัวมากล่าวรายละเอียดนะคะ

  • Copper tripeptide-1 ตัวนี้น้องเป็นเปปไทด์ตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะมีรายงานการวิจัยกล่าวถึงอยู่หลายฉบับ โดยนางมีประโยชน์กับผิวค่อนข้างกว้างในด้านของการชะลอวัยและการลดเลือนริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติในการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน และ Matrix อื่นๆ ปกป้องไม่ให้สารเหล่านี้สลายตัว (BioMed Research International. 2015; 648108.) รวมถึงยังมีประโยชน์ในด้านของการสมานผิว และดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง (Int J Mol Sci. 2018 Jul; 19(7): 1987.)
  • Tripeptide-29 ตัวนี้เป็นเปปไทด์ที่เกิดจากกรดอะมิโน 3 ตัว คือ Glycine-Proline-Hydroxyproline ซึ่งเจ้า Hydroxyproline เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่พบได้ในสายคอลลาเจน การทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยงของทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า Tripeptide-29 เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • Hexapeptide-12 เปปไทด์ที่เกิดจากการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนที่เหมือนกับส่วนหนึ่งของสายเส้น Elastin ในผิว ทางผู้ผลิตวัตถุดิบได้ทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร พบว่าสารดังกล่าวมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความกระชับ และปรับสมดุลโทนสีผิว
  • Hexapeptide-9 ตัวนี้เป็นเปปไทด์ที่เกิดจากการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนที่เหมือนกับส่วนหนึ่งของสายเส้นคอลลาเจน ทางผู้ผลิตวัตถุดิบได้กล่าวว่า หน่วย Glycine-Proline-Glutamine ใน Hexapeptide-9 เป็นส่วนสำคัญของคอลลาเจน จึงมีประโยชน์ในการเสริมการสร้างคอลลาเจนของผิว โดยเฉพาะ Collagen IV และ VII ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชั้น Dermal-Epidermal Junction หรือ DEJ ที่ทำหน้าที่พยุงเอาชั้นผิวหนังภายนอกไว้ ไม่ให้ยุบตัวลงมาเกิดเป็นริ้วรอยลึก และเสริมกระบวนการ Wound healing ของผิว
  • Nicotinoyl tripeptide-35 เป็นเปปไทด์สายสั้นๆ ที่มาจับกับวิตามินบี 3 เมื่อลงไปในผิวได้จะถูกแปรสภาพได้เป็นวิตามินบี 3 และ tripeptide-35 ได้ประโยชน์ทั้งจากวิตามินบี 3 และจากเปปไทด์ ไปพร้อมๆ กัน
  • Acetyl hexapeptide-8 ตัวนี้เป็นเปปไทด์ชื่อดังตัวหนึ่งที่ ที่รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Argireline ออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาทที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อ (Neuromuscular junction-NMJ) ทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวเกิดเป็นริ้วรอยคลายตัว ทำให้ผิวแลดูเรียบขึ้น แต่ผลที่เกิดอยู่ไม่นาน

สีชมพูเป็นกลุ่มของวิตามิน ซึ่งทางแบรนด์เลือกใช้วิตามินบี 3 วิตามินเอ ในรูปแบบ Retinaldehyde วิตามินซี ในรูปแบบ Sodium ascorbyl phosphate และวิตามินอี ซึ่งจริงๆ วิตามินในแต่ละตัวก็จะมีประโยชน์หลายๆ อย่างแตกต่างกันไป ถ้ากล่าวแบบสรุปก็จะประมาณด้านล่าง

  • วิตามินบี 3 มีประโยชน์ในด้านของ Whitening, ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง และความแข็งแรงของ Barrier ผิว
  • วิตามินเอ มีประโยชน์หลายประการ โดยเด่นในเรื่องของการดูแลเรื่องริ้วรอย และปัญหาที่เกิดพร้อมๆ กับการ Aging
  • วิตามินซี มีประโยชน์ในด้าน Antioxidant, Whitening เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน และดูแลเรื่องการอักเสบละคายเคือง
  • วิตามินอี เป็น Antioxidant ในส่วนของไขมัน ปกป้องไม่ให้โครงสร้างที่เป็นไขมันถูกทำลาย

ปิดท้ายด้วยสีส้ม เป็นสารเสริมในด้านของ Antioxidant และการดูแลเรื่องริ้วรอย อย่างสารสกัดจากแครอทที่มีเบต้าแคโรทีนซึ่งสามารถสะสมตัวในบริเวณผิว ร่วมกับเบต้าแคโรทีนอิสระ และ Adenosine  

โดยรวมคือเป็นครีมบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวไปหลายๆ ด้านพร้อมกัน โดยเด่นที่ด้านของการชะลอวัย ชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ รวมถึงดูแลเรื่องริ้วรอยที่เกิดมาแล้ว ยาวไปถึงด้านความชุ่มชื้น ผิวแข็งแรง ดูแลปัญหาสิว และ Whitening ไปพร้อมๆ กัน

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ถือว่าทางแบรนด์เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives ตามที่ได้เกริ่นไปในด้านบน ครีมตัวนี้สามารถดูแลปัญหาผิวได้หลายประการ และค่อนข้างเด่นไปในด้านของการชะลอวัย และดูแลริ้วรอยให้แลดูจางลง ทั้งยังครอบคลุมไปถึงด้านความชุ่มชื้น ผิวแข็งแรง ดูแลปัญหาสิว และ เป็น Whitening ไปพร้อมๆ กัน หลอดเดียวครบจบทุกปัญหา แต่ห้ามทากลางวัน และห้ามผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ใช้ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ หรือ Base ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ลองใช้ไนท์ครีมตัวนี้มาเป็นเวลาเกือบๆ เดือนครึ่ง สิ่งที่รู้สึกได้คือเรื่องของความเรียบเนียน ความนุ่มและแน่นของผิว ซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อใช้ไปเรื่อยๆ จุดนี้ตนเองค่อนข้างชอบ และจะมาอัพเดทอีกครั้งเมื่อใช้ต่อไปอีก ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[My Fav] ลูกรักบ้านมียอนปี 2563 และ ครึ่งปีแรกของ 2564

Blog นี้จะเป็นการรวมเอาผลิตภัณฑ์ที่ชอบเป็นการส่วนตัวมารวมเอาไว้นะคะ

ช่วงปี 63 กับครึ่งปีแรกของปี 64 เรียกได้ว่า เป็นช่วงแห่งวิกฤติเลยก็ว่าได้ เพราะเจ้าโรคระบาด กับการ Lock-down เลยทำให้โพลล์ของ product ต่างๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนไปจากปีก่อนนัก เรียกได้ว่าอะไรที่ใช้มาแล้วชอบก็ยังคงใช้ต่อไป

ผลิตภัณฑ์ที่ชอบในช่วงปีครึ่งนี้ก็รวมไว้ในรูปด้านล่างนี้เลยค่ะ

กลุ่มโทนเนอร์/น้ำตบที่เลือกมา เป็น 2 ตัวนี้

Rose water ของ Mamonde

ตัวนี้เป็นโทนเนอร์ที่ค่อนข้างชุ่มผิว และด้วยกลิ่นหอมของกุหลาบ ช่วยให้ผ่อนคลายเป็นอย่างดีเลยหละ

T’else Jeju Artemisia ture essence

Essence จาก Artemisia (พืชใน Genus เดียวกับจิงจูฉ่าย) ของแบรนด์ T’else ส่วนตัวใช้เป็นน้ำตบ หลังเช็ดโทนเนอร์ค่ะ

ตัวนี้เคยรีวิวไว้คู่กับ Essence Kombucha จากแบรนด์เดียวกันค่ะ >>Link review

ส่วนสารพัด Skincare ที่เลือกมาในชุดนี้ ไม่ได้ใช้พร้อมกันทั้งหมดใน Routine เดียวกันนะคะ บางตัวก็ใช้พร้อมกัน บางตัวก็แยกใช้ในบางช่วงที่อีกตัวขาด ประมาณนั้น

Eye cream all about eye rich จากแบรนด์ Clinique

ส่วนตัวผิวค่อนข้างแห้ง เนื้อของ AAE rich เลยตอบโจทย์ความแห้งของใต้ตาได้เป็นอย่างดีเลยหละ

Vita A cream สูตร PhD จากแบรนด์ Dr.Different

ตัวนี้เอาจริงๆ ได้เริ่มใช้มาตั้งแต่ตัวเบาสุด มาตัว Forte มายันตัว PhD ยอมรับว่าหลายคนทักว่าผิวดีขึ้น รักน้องมากๆ

Link review >>Click

Serum จาก Dermartlogy ที่คว้ามาจะเป็น 2 สูตรใหม่ คนพี่ที่ออกมาก่อนจะเป็นตัว Ageless Barrier rejuvenating serum เนื้อจะออกเป็นเซรั่มสีโปร่งแสง นัวๆ ไม่ขุ่นไม่ใส ส่วนตัวชอบสูตรของคนพี่มากกว่ารุ่นคนน้องนะคะ

ส่วนคนน้องที่พึ่งออกมาทีหลัง มีชื่อว่า Ageless potent rejuvenating serum ขวดทางซ้ายมือในภาพ เป็นเนื้อน้ำนมบางเบา ส่วนผสมจัดเต็มมาเช่นเคยค่ะ

Review >>Click

ส่วน 2 ชิ้นด้านขวาสุดเป็น Skincare มาจากทางฝั่งญี่ปุ่น อย่าง d Program ส่วนตัวชอบสูตร Urban damage care concentrate กับ Emulsion สูตรสีม่วง

d Program นี้ล่าสุดเห็นนางพึ่ง repackage แล้วพูดถึง Microbiome เลยไม่แน่ใจว่าส่วนผสมเปลี่ยนด้วยไหม ถ้ามีโอกาสซื้อใหม่จะตั้งใจทำรีวิวแล้วค่ะ

สำหรับครีมบำรุงขอยกมาอยู่ในอีกภาพนะคะ ยังคงเป็น Real Barrier เจ้าเก่า ช่วงปี 62 ชอบสูตร Intense แต่ช่วงหลังนี้ชอบสูตร Extreme มากกว่าค่ะ

เคยรีวิวไว้แต่สูตร Intense นะคะ

Review >>Click

ส่วนกันแดด จะแยกน้องไปอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายในอีกภาพก็สงสารน้อง เลยเอามาวางคู่กับครีมบำรุง

เป็น Everyday aqua sun cream จากแบรนด์ Mamonde เจ้าเดิมค่ะ

กลุ่ม Base makeup จะเป็นแป้งของ Cezanne กับ รองพื้น Synchro skin self-refreshing ของ Shiseido ค่ะ

ปิดท้ายด้วยกลุ่ม Body ทั้งคู่มาจาก แบรนด์ Derma:B แบรนด์ในเครือของ Neopharm ที่ใช้เทคโนโลยี MLE ในการดูแลผิวเช่นกัน จะเป็นครีมทามือ ที่เหมาะมากตอนมือแห้งเพราะล้างมือบ่อย และ Body lotion ที่แม้จะใช้หน้าร้อนก็ไม่เหนอะหนะหรือเหนียวจนเกินไป

สำหรับในช่วงปีครึ่งนี้ ผลิตภัณฑ์ที่ชอบก็จะมีประมาณนี้ค่ะ ส่วนใครชอบตัวไหนไม่ชอบตัวไหนมาคุยแลกเปลี่ยนกันได้นะคะ 🙂

Image

วิเคราะห์ส่วนผสมไนท์ครีม Retinaldehyde สำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาสิว จากแบรนด์ Dr.Different VitaAcnal Tx Night cream

สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้มี่จะมาวิเคราะห์ส่วนผสมกับเล่ารายละเอียดคร่าวๆ ของครีมสำหรับดูแลปัญหาสิวต่างๆ รวมทั้งสิวเสี้ยนสิวอุดตันของแบรนด์ Dr.Different เจ้าเก่านะคะ

ทางแบรนด์ได้พัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับเน้นจัดเต็มไปที่ด้านการดูแลสิวโดยเฉพาะเลย ภายใต้ Product ที่มีชื่อว่า VitaAcnal Tx Night cream ค่ะ

โดยสำหรับวันนี้เรียกได้ว่าเป็น Mini-Review แล้วกันเนาะ เพราะส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาสิว เลยขอคุยกันตามหลักวิชาการนะคะ

ตัว Product มีหน้าตาประมาณนี้นะคะ

ในส่วนของตัวภาชนะ ก็จะคล้ายกับสินค้ากลุ่ม VitaA เพียงแต่กลุ่มดูแลสิวจะใช้โทนสีเขียวมินท์แทน

เนื้อครีมจะมาแบบคล้ายๆ กับสูตรปกตินะคะ

ก่อนเกลี่ย

หลังเกลี่ย

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมจะคล้ายๆ กับ VitaA สูตรปกตินะคะ เพียงแต่มีการปรับเล็กน้อย

  1. ตัดเอาน้ำมัน/ไขมันทิ้งไป เพื่อลดโอกาสในการอุดตัน
  2. เพิ่ม Capryloyl salicylic acid ที่จัดเป็น Lipohydroxy acid เข้ามา ตัวนี้ให้ประโยชน์หลายด้านเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการดูแลสิว หรือ Whitening รวมถึงเรื่องของการชะลอวัย
  3. ตัด Adenosine ออกไป เนื่องจากไม่ได้เน้นด้านริ้วรอยเหมือน VitaA

โดยยังคงใช้เทคโนโลยีระบบนำส่งสารแบบ Niosome ซึ่งเป็นระบบนำส่งสารแบบเป็นถุงที่มีผนังสองชั้น สร้างจากไขมัน ร่วมกับสารประกอบอื่นๆ โดย Niosome ที่ทางแบรนด์ใช้เป็นชนิด Multilamellar vesicle หมายความว่า มีผนังสองชั้นซ้อนกันหลายๆ ชุด

เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรที่ใช้สารชุดพิเศษที่ทางแบรนด์พัฒนาขึ้นมาค่ะ ซึ่งได้กล่าวไปในการรีวิวสูตร VitaA คราวก่อนค่ะ

ในวันนี้เราจะเพิ่มเรื่องของประโยชน์ของ Retinal ในการดูแลผิวที่มีปัญหาสิวค่ะ

  • การศึกษาชิ้นแรกเป็นของ Ford-Lacoste และคณะ เมื่อปี 1999 ได้ศึกษาคุณสมบัติในการขจัดการอุดตัน (Comedolytic) ของ Retinaldehyde (0.05%) เทียบกับ Retinoic acid (0.025%) ในหนูทดลอง พบว่าทั้งสองตัวให้ประสิทธิภาพในการย่อยสลายเศษซากเซลล์ผิวที่อุดตันได้ไม่ต่างกัน และยังพบว่าทั้งคู่เสริมความหนาให้แก่ชั้นผิวกำพร้าด้วย (Dermatology. 1999;199 Suppl 1:33-5.)
  • ต่อมา Pechére และคณะ เมื่อปี 2002 ได้พบว่า Retinaldehyde มีฤทธิ์ในการยับยั้งเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในระดับหลอดทดลอง และเมื่อเอามาทดสอบบริเวณหน้าผากของอาสาสมัครเป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่า จำนวนเชื้อก่อสิว อย่างเจ้า P. acnes และ เชื้อก่อหนอง อย่าง S. aureus ลดลง (Dermatology. 2002;205(2):153-8.)

ซึ่งก็ตรงกับเปเปอร์ทบทวนวรรณกรรมที่แบรนด์เอามาเล่าค่ะ

(Image from Dr.Different Official Website)

ทางแบรนด์เองก็มีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครนะคะ ซึ่งก็พบว่าให้ผลที่น่าสนใจทั้งในแง่ ลดสิวหัวปิดหัวเปิด ปริมาณน้ำมัน และปริมาณ Dead cell ที่ผิวผลัดทิ้งไม่ได้ ใน 4 สัปดาห์

ซึ่งมีภาพของกรณี Dead cell แนบมานะคะ เป็นการถ่ายภาพผ่านเครื่องมือ Visioscan ค่ะ

(Image from Dr.Different Official Website)

สำหรับ Product ตัวนี้ในมุมมอง ส่วนตัวมองว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง แม้ว่าส่วนผสมจะเป็นการ Combination ที่เห็นแล้วหรูหรามากนัก แต่ต้องยอมในแง่ของเทคโนโลยี และการทดสอบประสิทธิภาพทางคลินิกจริงยืนยันไม่เคลมไปเรื่อย

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมบำรุงรอบดวงตาและลำคอ Dr.Different Vitalift-A Eye & Neck ความเก๋ไก๋ที่มีมากกว่าครีม Vita-A สูตรปกติ

ทีเด็ดของ Dr.Different ยังไม่หมดนะคะ วันนี้เรามาดูรีวิวผลิตภัณฑ์บำรุงผิวรอบดวงตาและลำคอในกลุ่ม Vita-A อีกชิ้นกันดีกว่าค่ะ

สำหรับครีมตัวนี้ก็เรียกได้ว่าทำมาได้ดีไม่แพ้กับพี่น้องชิ้นอื่นๆ ในไลน์เลยหละ หน้าตาของน้องเป็นประมาณนี้นะคะ

มาถึงจุดนี้เชื่อว่าหลายคนคงเกิดคำถามในใจ เอ๊ะ ฉันมี Vita-A แล้ว ฉันยังต้องมีอันนี้ด้วยหรอ

คำตอบคือ สูตรของ Eye & neck มีการปรับส่วนผสมให้เหมาะสมกับการลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลงมากกว่าสูตรเดิมค่ะ เดี๋ยวเราค่อยไปดูกันในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

กลับมาที่ตัวผลิตภัณฑ์ค่ะ

ด้านในจะยังคงคอนเซปท์ดีไซน์ไว้ในรูปแบบเดิม เพียงแต่ใช้คำว่า Eye and Neck เพิ่มเข้ามา

สำหรับเนื้อครีมจะคล้ายกับสูตรอื่นๆ ในกลุ่มที่ได้รีวิวไปนะคะ

ก่อนเกลี่ย

หลังเกลี่ย

มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

จากส่วนผสมจะเห็นว่าออกมาคล้ายกับ Vita-A สูตรเดิมเพียงแต่จุดที่แตกต่างมีดังนี้ค่ะ

  • เพิ่มส่วนผสมของวิตามินบี 3 (Niacinamide) เข้ามา
  • เพิ่ม Peptide เข้ามา 11 ชนิดตามแบรนด์เคลม + Palmitoyl tetrapeptide-7 โดยรวมมีประโยชน์ในด้านของการกระชับผิวที่หย่อนคล้อย ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอยใหม่ มีประโยชน์ให้ริ้วรอยเก่าแลดูจางลง

โดยจะขอหยิบเอาเปปไทด์บางตัวที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังค่ะ

  • Hexapeptide-9 ประกอบด้วยกรดอะมิโนจำนวน 6 ตัว (NH2Gly-Pro-GlnGly-Pro-Gln-OH) ที่มีหน่วยซ้ำของ Glycine-Proline-Glutamine 2 หน่วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเส้นใยคอลลาเจน ทางผู้ผลิตเจ้าหนึ่งเคลมว่า หน่วย Glycine-Proline-Glutamine เป็นส่วนสำคัญของคอลลาเจน จึงมีประโยชน์ในการเสริมการสร้างคอลลาเจนของผิว โดยเฉพาะ Collagen IV และ VII ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชั้น Dermal-Epidermal Junction หรือ DEJ ที่ทำหน้าที่พยุงเอาชั้นผิวหนังภายนอกไว้ ไม่ให้ยุบตัวลงมาเกิดเป็นริ้วรอยลึก และเสริมกระบวนการ Wound healing  (A&PEP, Inc.)
  • Palmitoyl tripeptide-1 เป็นเปปไทด์ที่เกิดจากกรดอะมิโน 3 ตัว มาจับอยู่กับสายของกรดไขมัน Palmitic acid ซึ่งจุดนี้ผู้ผลิตเคลมว่า มีประโยชน์ในการเสริมการดูดซึมสาร และลดการเกิดการระคายเคือง สารนี้มีประโยชน์โดยเสริมการสังเคราะห์ Collagen, hyaluronic acid, และ glucosaminoglycan จึงมีส่วนในด้านของการเก็บน้ำรักษาความชุ่มชื้นของผิว และยังกล่าวว่ามีประโยชน์ในการฟื้นฟูไขมันต่างๆ ที่อยู่ระหว่างผิว ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว ผิวจึงแข็งแรงขึ้น (A&PEP, Inc.)
  • Tripeptide-29 เป็นเปปไทด์ที่เกิดจากกรดอะมิโน 3 ตัว มีโครงสร้างคล้ายกับหน่วยย่อยของ Collagen จึงมีชื่อเล่นๆ ว่า Collagen tripeptide มีประโยชน์ในด้านของความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน

เปปไทด์เหล่านี้ไม่ได้มีดีแค่เรื่องลดริ้วรอย แต่เปปไทด์หลายชนิดมีประโยชน์ต่อผิวหลายประการ จึงเรียกได้ว่า เซรั่มหลอดน้อยๆ หลอดนี้พร้อมดูแลปัญหาผิวหลายอย่าง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องริ้วรอยและผิวหย่อนคล้อย

สำหรับในด้านของเทคโนโลยี สูตรนี้ยังคงใช้เทคโนโลยีนำส่งแบบ Multilamellar vesicle เหมือนสูตรอื่นๆ ในกลุ่ม Vita-A เช่นกัน

(สามารถตามไปอ่านรีวิวของ Vita-A ได้ที่ลิงค์นี้นะคะ

https://miyeonthereviewer.com/2021/01/08/dr-diff-va-1mo/)

โดยการใช้ Retinal เพื่อการลดเลือดและดูแลปัญหาริ้วรอยนั้นมีการศึกษาทางคลินิกรับรองอยู่หลายชิ้นเลยทีเดียวค่ะ

สำหรับการใช้ Retinal คู่กับ Multi-peptide นี้ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Double effect เพื่อดูแลปัญหาได้อย่างตรงจุด ทั้งจากต้นเหตุ คือ ป้องกันการสลายตัวของคอลลาเจนเพราะความเครียดหรือรังสี UV รวมไปถึงเสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่ ผิวจึงมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น

ซึ่งอันที่จริง Retinal ตัวเดียวก็มีประโยชน์ในเรื่องของการเสริมการสร้างคอลลาเจนใหม่แล้ว เมื่อมาใช้ร่วมกันจึงให้ประโยชน์เสริมกันได้อย่างลงตัว

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

Update ผลการใช้ Dr.Different Vita-A PhD ครบ 3 เดือน

สวัสดีค่ะ สำหรับวันนี้ก็เป็น Content update ผลการใช้งาน Dr.Different Vita-A ครบ 3 เดือนนะคะ

โดยครีมวิตามินเอ ของ Dr.Different เป็นครีมวิตามินเอที่ใช้ Retinaldehyde เป็นสารบำรุงหลักค่ะ นำมาเก็บกักในถุงไลโปโซมที่มีผนังหลายชั้นเพื่อเสริมความคงตัว การนำส่ง และลดการระคายเคือง

เรามาดูหน้าตาของน้องกันอีกรอบนะคะ

ซึ่งตอนนี้น้องเปลี่ยนแพ็คเกจแล้วนะคะ

และน้องยังได้รับรางวัลอีกมากมายด้วยค่ะ

บทรีวิวของ Vita-A สามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้นะคะ

https://miyeonthereviewer.com/2021/01/08/dr-diff-va-1mo/

ในด้านของผลการใช้งานหลังครบ 3 เดือน โดยรวมรู้สึกว่าผิวดีขึ้น ละเอียดขึ้น นุ่ม และแน่นขึ้น รอยแดง และรอยเส้นเลือดดูจางลง การแต่งหน้าก็ทำได้ง่ายขึ้นรองพื้นและแป้งตกร่องตามรูขุมขนน้อยลง ติดทนนานมากขึ้น แม้ในภาพอาจจะไม่ค่อยชัดมากเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวยังมองว่าพอดูได้นะคะ

ลองเทียบกันระหว่างก่อนใช้กับหลังใช้ได้ 12 สัปดาห์

Disclaimer: Sponsored item

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมโทนเนอร์ผลัดผิวสูตรอ่อนโยนด้วย Polyhydroxy acid (PHA) ของแบรนด์ Dr.Different กับ Scaling Toner

สวัสดีค่ะ

วันนี้ขอมารีวิวอีกผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจจากแบรนด์ Dr.Different นะคะ

ถ้าถามเรื่องการผลัดผิว หรือ exfoliation/peeling ส่วนตัวมองว่ามันมีประโยชน์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นการดูแลให้ผิวชั้นขี้ไคลดูเรียบเนียน นุ่มนวล รวมไปถึงยังให้ประโยชน์ต่อด้านริ้วรอย และ Whitening ได้

แต่ว่าการผลัดผิวด้วย AHA นั้นอาจจะระคายเคืองได้ในบางคน ในทางเครื่องสำอางก็เลยพยายามหาวิธีการในการผลัดผิวแบบอ่อนโยนขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการใช้พวกผงเอนไซม์ หรือ ใช้พวกสารอื่นมาทดแทน AHA

ตัวหนึ่งที่น่าสนใจคือสารในกลุ่ม Polyhydroxy acid หรือ PHA ซึ่งส่วนใหญ่มาในรูปแบบของกรดน้ำตาล เช่น Gluconolactone หรือ Gluconic acid และ Lactobionic acid เป็นต้น ซึ่งตรงนี้เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังอีกรอบนะคะ

สารในกลุ่ม PHA นี้มีความอ่อนโยนกว่า AHA แล้วก็ผู้ที่มีปัญหาผิวระคายเคืองง่ายหลายๆ ประเภท หลายๆ ท่านก็สามารถใช้ได้ค่ะ (แต่ทั้งนี้การตอบสนองของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะคะ จึงไม่สามารถจะฟันธงได้ว่าใช้ได้แน่นอน หรืออย่างไร)

เกริ่นเสียยาวยืด ผลิตภัณฑ์ที่มารีวิววันนี้มีชื่อว่า Scaling toner น้องเป็น Toner ที่มีส่วนผสมของ Gluconolactone ซึ่งเป็น PHA ในความเข้มข้น 10% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่เหมาะสมในทางเครื่องสำอางค่ะ

หน้าตาประมาณนี้นะคะ

แวบแรกที่เห็นคือรู้สึกแบบเอ๊ะ ทำไมใหญ่จัง

พอเห็นภาชนะด้านใน คือแบบ อ๊าย น่ารัก

นางมาในแพคเกจที่เป็น ขวดรูปชมพู่ หรือ Erlenmeyer Flask คือ เป็นอินเนอร์ส่วนตัว ชอบค่ะ

ด้านในก็จะมีการ seal ปิดผนึกปากขวดเพื่อป้องกันหกค่ะ

เวลาใช้ส่วนตัวจะใช้กับสำลีนะคะ ใช้ก่อนนอน โดยโทนเนอร์จะมาในรูปแบบของของเหลว มีความหนืดเล็กน้อย ด้วยความไม่มีน้ำหอม เลยจะมีกลิ่นจางๆ ของวัตถุดิบอยู่บ้างค่ะ

หลังเช็ดแรกๆ จะชุ่ม แต่ถ้าทิ้งไว้สักพักส่วนตัวคิดว่าหนึบๆ ไปหน่อยค่ะ ส่วนตัวหลังจากเช็ดแล้วจะตบเบาๆ ก่อนลงเอสเซนส์ต่อเลยค่ะ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 4 นะคะ (Brand claim ที่ 4.5 ค่ะ ตรงนี้ทางแบรนด์น่าจะวัดด้วย pH meter ที่มีความแม่นยำสูงกว่ากระดาษวัด pH แบบที่เราใช้กันค่ะ)

มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

ในด้านของส่วนผสมวันนี้มี่ทำสีของสารบำรุงไว้ 4 สีนะคะ

เริ่มที่พระเอกของผลิตภัณฑ์ คือ Gluconolactone ค่ะ จัดเป็น Polyhydroxy acid (PHA) ที่เป็นอนุพันธ์ของน้ำตาล สารตัวนี้มีประโยชน์อยู่หลายอย่าง และมีงานวิจัยรองรับอยู่หลายฉบับ จึงขอหยิบยกเอามาเล่าบางชิ้นนะคะ

  • บทความของ Grimes และ คณะ (2004) กล่าวว่า Gluconolactone มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้น เสริมความแข็งแรงของ Barrier ผิวหนัง ได้ดีกว่า AHA และสามารถใช้ได้ในกลุ่มคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย (Cutis. 2004; 73(2 Suppl):3-13.)
  • การทดลองของ Edison และ คณะ (2004) เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ PHA และ AHA ในอาสาสมัคร เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ามีประโยชน์ไม่แตกต่างกันกับ AHA ในด้านของริ้วรอยที่เกิดก่อนวัย (Photoaging) และมีการระคายเคืองต่ำกว่า (Cutis. 2004;73(2 Suppl):14-7.)
  • การทดลองของ Bernstein และ คณะ (2004) ทดสอบความสามารถในการปกป้องผิวจากรังสี UV ทั้งในระดับหลอดทดลองและในผิวหนังมนุษย์ พบว่าสามารถเสริมการปกป้องรังสี UV ที่ผิวหนัง (Dermatol Surg. 2004; 30(2 Pt 1):189-95)
  • การทดลองของ Hunt และ Barnetson (1992) ทดสอบประสิทธิภาพของ Gluconolactone (14%) ในการดูแลสิว เทียบกับ ตัวยา Benzoyl peroxide (5%) พบว่ามีประสิทธิภาพในการดูแลปัญหาสิวไม่แตกต่างกันแต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า (Australas J Dermatol. 1992; 33(3):131-4.)

ในภาพรวม Gluconolactone มีประโยชน์ในแง่ของการผลัดผิว ดูแลปัญหาริ้วรอย สิว และยังมีคุณสมบัติเด่นในด้านอื่นๆ เช่น เป็น Antioxidant มีความสามารถในการดักจับอิออนของโลหะ (Chelating agent) ฯลฯ

ส่วนผสมอื่นๆ ที่น่าสนใจได้แก่

  • สารในกลุ่มสีบานเย็น มีประโยชน์ในด้านของความชุ่มชื้นเป็นหลัก รองลงมาคือความสามารถในการลดการระคายเคือง อย่าง Panthenol และ Beta-glucan
    • Beta-glucan เป็นสารในกลุ่ม Polysaccharide ที่ได้จากยีสต์ เห็ด และพืชหลายๆ ชนิด มีประโยชน์ในทางเครื่องสำอางหลายประการ เช่น antioxidant ชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย ปกป้องผิวจากรังสี UV และเพิ่มความชุ่มชื้น (Phytother Res. 2014;28(2):159-66.)
  • สารในกลุ่มสีฟ้า Allantoin และ Betaine มีประโยชน์ในการลดการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้น
  • สารสีเขียว Zinc PCA ซึ่งเป็นสารลูกผสมของ Zinc กับ Pyrollidone carboxylic acid (PCA) ซึ่ง PCA ปกติทำหน้าทีเป็น Natural moisturizing factor ที่อุ้มน้ำให้กับผิว Zinc เป็นแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติควบคุมความมัน และเป็นองค์ประกอบของเอนไซม์บางชนิด สำหรับ Zinc PCA มีรายงานการวิจัยกล่าวว่า Zinc PCA ช่วยปกป้องเซลล์ผิวหนังจากรังสี UVA ได้ โดยไปลดการสร้าง Activator protein 1 และ MMP-1 ที่มักจะสร้างเวลามีรังสี UV ซึ่งตัว MMP เป็นเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนในผิวทำให้เกิดความหย่อนยานและริ้วรอย (Int J Cosmet Sci. 2012; 34(1):23-8.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารนี้มีประโยชน์เป็นสารเติมน้ำให้ผิว (Humectant) ระงับเชื้อบางชนิด ควบคุมความมัน ลดริ้วรอยและชะลอวัย

ในภาพรวมคือ โทนเนอร์ PHA นอกจากผลัดผิวอย่างอ่อนโยนแล้ว ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกหลายๆ ตัว อย่างลงตัว จึงมีประโยชน์หลายอย่างกับผิว ไม่ว่าจะเป็นการชะลอวัย ดูแลปัญหาริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น ดูแลปัญหาเรื่องสิว

ส่วนผสมอื่นๆ ก็เรียกได้ว่าคัดเลือกมาอย่างดี ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไว้ในด้านบนว่าสารบำรุงในผลิตภัณฑ์นี้มีประโยชน์ในด้านของการผลัดผิวอย่างอ่อนโยน ชะลอวัย ดูแลปัญหาริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น และดูแลปัญหาเรื่องสิวไปพร้อมๆ กัน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรต่อผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบ Feeling หลังเช็ดใหม่ๆ นะคะ แต่ว่าพอทิ้งไว้สักพักส่วนตัวจะรู้สึกว่ามันหนึบไปหน่อย เลยใช้วิธีเช็ดเสร็จแล้วตบเบาๆ ก่อนลงเอสเซนส์ และสกินแคร์อื่นๆ ทับก็ดูแลในจุดนี้ได้ค่ะ ส่วนด้านของผลการใช้งาน เมื่อใช้ร่วมกับ Vita-A, CEQ และ Skincare ที่ใช้ในชีวิตประจำวันอื่นๆ ก็รู้สึกได้ว่าสุขภาพผิวดีขึ้นเรื่อยๆ นับว่า Happy แต่ขอแอบกดคะแนนเรื่องความหนึบ เลยขอให้ไป 4 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่ม antioxidant สุดปังของ Dr.Different กับเซรั่ม CEQ antioxidant serum

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์เด็ดอีกตัวจากแบรนด์ Dr.Different มาฝากกันค่ะ

ตัวที่จะนำมารีวิววันนี้เป็นเซรั่ม Antioxidant สูตรพิเศษที่ทางแบรนด์ Dr.Different คัดเลือกเอาส่วนผสมชั้นดีหลายๆ ตัวมารวมกันไว้ในขวดเดียว มาในเบสที่เป็นมิตรกับผิว และความพิเศษคือ นางสามารถจับเอาวิตามินที่ละลายน้ำมันมารวมกันไว้ในเซรั่มเบสน้ำเนื้อบางเบาใสกิ๊กได้

เซรั่มที่ว่ามีชื่อว่า CEQ Antioxidant serum ที่มีส่วนผสมหลักคือ วิตามินซี (15%) วิตามินอี และ โคเอนไซม์ Q10 ค่ะ

หน้าตามาในกล่องแบบนี้นะคะ

ตัวนี้ที่บริษัทนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราจะมีทั้งรุ่นที่เป็นกล่อง ภายในมี 3 ชุด และรุ่นกล่องเดี่ยว นะคะ

ส่วนนี้จะเป็นด้านในของกล่อง 3 ชุดค่ะ

กล่องเดี่ยวก็จะมีหน้าตาประมาณนี้

ด้านในก็จะมีการแยกชิ้นส่วนออกเป็น 2 ส่วนค่ะ

ซึ่งจุดนี้ส่วนตัวชอบมากๆ เป็นกรณีพิเศษ เพราะว่าสารกลุ่ม Antioxidant พวกนี้มักจะมีความ Sensitive ต่อออกซิเจนในอากาศ การใช้แพคเกจที่เป็นแก้ว มีฝาเป็นอลูมิเนียมแบบนี้จะช่วยลดการผ่านเข้าออกของอากาศได้ดีกว่าพวกพลาสติก และเวลาใช้งาน ถ้าเราเปิดทิ้งไว้นานๆ มันก็จะเสื่อม ดังนั้นการ repack มา pack น้อยๆ pack ละ 10 ml ก็จะดีกว่าในแง่ของความคงตัวค่ะ

พอจะใช้งานก็ค่อยมาประกอบร่าง กลายร่างเป็นแบบนี้

อีกความปังที่ชอบคือ ด้วยความที่น้องตัวเล็ก เวลาเราจะวางบางทีมันก็จะล้มเนาะ เราสามารถที่จะเอาตัวน้องกดลงไปยังรอยปรุด้านหลังให้วางได้ง่ายขึ้นค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นแบบน้ำใส สีออกเหลืองอมส้ม ส่วนตัวคาดว่าน่าจะเป็นสีของ Coenzyme Q10 ที่มีสีเหลืองตามธรรมชาติ

ในด้านกลิ่นนางจะมีกลิ่นของวัตถุดิบอยู่นิดหน่อย เพราะทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม

ส่วนเรื่องสัมผัสนั้น นางเกลี่ยได้ง่าย ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะหนักผิว

ในการวัดค่า pH อาจจะมีผลรบกวนจากสีของเนื้อเซรั่มอยู่บ้างนะคะ ได้ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 3 – 4 ซึ่งเหมาะกับสูตรที่มีวิตามินซีนะคะ (ในจุดนี้ทางแบรนด์เคลมไว้ที่ 3.5 ค่ะ)

แน่นอนว่า ถ้าไม่ได้ทำการทดสอบ ก็ไม่ใช่ Dr.Different แล้วค่ะ

คราวนี้หมอ Lee แกไปลองทดสอบเปรียบเทียบฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH เทียบกับแบรนด์ S แบรนด์ดัง พบว่า ได้ค่าความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ต่างกันนะคะ

(Image from Dr.Different)

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวม CEQ เป็นเซรั่มที่มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคน และ แอลกอฮอล์

ส่วนของสารบำรุงวันนี้ทำไว้หลายสี ในภาพรวมคือเน้นไปในเชิงของด้าน Antioxidant แบบรัวๆ รองลงมาจะเป็นด้านชุ่มชื้น การลดการระคายเคืองให้ความรู้สึกสบายผิว และริ้วรอย

มาดูสารบำรุงกันดีกว่านะคะ

  • สีฟ้า เป็นเหล่าบรรดาวิตามินต่างๆ ได้แก่ วิตามินซี อี และโคเอนไซม์ คิวเทน (Ubiquinone) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเซรั่ม CEQ เสริมมาด้วยวิตามินบี 5 และสารอื่นๆ อีกหลายชนิด ขอกล่าวถึงคุณสมบัติของวิตามินต่างๆ สักเล็กน้อยค่ะ
    • วิตามินซี นางเด่นในด้านของการเป็น Antioxidant ชะลอวัย การลดการอักเสบระคายเคือง ปกป้องผิวจากรังสี UV เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน และมีประโยชน์ในเชิงด้าน Whitening
      โดยวิตามินซีที่ใช้ใน CEQ เป็นรูปแบบ Ascorbic acid ที่พบได้ในธรรมชาติ เมื่อนำมาใส่ในตำรับที่มีค่า pH ราวๆ 3 – 4 (บนเว็บเกาหลีเคลมว่า 3.5) ก็จะมีความคงตัวที่ดี และมีรายงานว่าสามารถดูดซึมผ่านผิวได้ โดยรูปแบบนี้มีจุดเด่นคือสามารถออกฤทธิ์ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องแปรสภาพโดยผิวก่อน
    • วิตามินอี เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน ทำงานร่วมกับวิตามินซีที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งผิวเรามีทั้งน้ำและน้ำมัน การได้ทั้ง C และ E ก็จะช่วยเสริมกัน และนอกจากนี้ก็มีหลายๆ แหล่งข้อมูลกล่าวว่า วิตามิน C และ E สามารถที่จะช่วย Recycle ซึ่งกันและกันได้
    • โคเอนไซม์ คิวเทน เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในน้ำมันเช่นกัน นางเด่นในแง่ของการชะลอวัย และเสริมการสร้างพลังงานของผิว ให้ผิวทำงานได้ปกติ
    • วิตามินบี 5 ตัวนี้เด่นในแง่ของการลดการระคายเคือง และเพิ่มความชุ่มชื้น รวมไปถึงเสริมคุณสมบัติในการฟื้นฟู Barrier ของผิวตามธรรมชาติ
  • สีเขียว Ferulic acid ตัวนี้เป็นสารกลุ่ม Phenolic ที่พบได้ในพืชหลายๆ ชนิด มีรายงานอยู่หลายฉบับว่าการใช้ Ferulic acid ร่วมกับวิตามิน C และ E สามารถเสริมความคงตัว และช่วยปกป้องวิตามินเหล่านี้ให้คงรูปอยู่ได้นาน รวมถึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารเติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว อย่าง Sodium hyaluronate, Trehalose, Sodium PCA และกรดอะมิโน Arginine
  • สีม่วงอ่อน เป็นกลุ่มของสารที่มีประโยชน์ในเชิงของริ้วรอย อย่างสารสกัดจากใบบัวบก Adenosine และ Gluconolactone ที่จัดเป็น Polyhydroxy acid หรือ PHA ที่นอกจากจะเด่นในด้านของการเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น และ ผลัดผิวแบบอ่อนๆ แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านของการดูแลปัญหาสิวไปในตัว แต่ในจุดนี้อาจจะต้องดูความเข้มข้นในตำรับอีกที
  • สีน้ำเงิน มีอยู่ 2 ตัว ได้แก่ Fullerene และ Ectoin
    • Fullerene เป็นการจัดเรียงตัวในรูปแบบพิเศษของธาตุคาร์บอน ที่เรียงตัวในรูปแบบทรงกลม ประกอบด้วยคาร์บอน 60 หน่วย บางที่เรียกว่า C60 ตัว Fullerene นี้เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่กวาดรางวัลมาเยอะมากๆ เป็นสารสิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงประสิทธิภาพในการกระชับรูขุมขน (J Nanobiotechnology. 2014;12:6.) มีประโยชน์ในการดูแลปัญหาสิว โดยไปลดการอักเสบ และลดการหลั่งน้ำมันออกมาจากรูขุมขน (Nanomedicine. 2011;7(2):238-41.) และด้วยความที่นางเป็น Antioxidant ที่ดี นางเลยมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัย ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
    • Ectoin ตัวนี้เคยกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง นางเป็นวัตถุดิบที่หลังๆ มานี้มีคนให้ความสนใจนางเยอะมากๆ Ectoin เป็นสารที่พบในแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสนจะโหดร้าย ทำหน้าที่ปกป้องตัวแบคทีเรียจากอันตรายภายนอก หลักๆ คือ นางช่วยปกป้องผิวเราจากมลภาวะ รังสี UVA UVB รวมถึงสารอันตรายต่างๆภายนอก มีการทดสอบในระดับหลอดทดลงพบว่าเมื่อให้ Ectoin ไปในเซลล์เพาะเลี้ยง ก่อนเอาไปฉายรังสี UV พบว่าช่วยปกป้องไม่ให้เซลล์เพาะเลี้ยงเหล่านี้ตายไป (Skin Pharmacol Physiol. 2004; 17(5):232-7.)

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ที่แอบกังวลคือ น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกของพืชในตระกูล Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการไวต่อแสงได้ แต่ส่วนตัวใช้ทั้งเช้าเย็นมาเกือบๆ 2 อาทิตย์ ก็ไม่ได้พบปัญหาอะไรนะคะ

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives ทางแบรนด์เลือกมาได้ค่อนข้างดี เสริมกันไปเสริมกันมา ช่วยกันปกป้องซึ่งกันและกันได้อย่างลงตัว และยังเสริมสารลดการระคายเคืองที่อาจจะเกิดได้เองตามธรรมชาติ จากตัวของวิตามินซีเองและยังเสริมพวกสารที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้น กับปัญหาด้านริ้วรอยไปพร้อมๆ กัน จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในแง่ของเบส มาในเบสแบบน้ำ ปราศจาก แอลกอฮอล์ น้ำมัน และ ซิลิโคน สารปรุงแต่งต่างๆ เลือกมาแต่ชนิดที่มี Profile ค่อนข้างดี เป็นมิตรกับผิว แต่จะมีจุดที่ส่วนตัวรู้สึกกังวลก็คือเรื่องของน้ำมันหอมระเหยจากผิวของ Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะไวต่อแสงได้ในบางคน แต่ส่วนตัวใช้ทั้งเช้าและเย็น ไม่พบปัญหาใดๆ ค่ะ จุดนี้ขอหักคะแนนนิดหน่อย ได้ไป 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน เซรั่มมาในเนื้อแบบน้ำใส ถ้าเอาลงผิวหน้าเลยในตอนแรกจะต้องใช้เนื้อเซรั่มเปลืองนิดหน่อยกว่าจะเกลี่ยจนฟิน คือชุ่มทั่วหน้า ส่วนตัวเลยใช้หลังจากที่เช็ดโทนเนอร์ไป แล้วหน้ายังชุ่มอยู่ ก่อนจะลงตัวนี้ ก็จะเกลี่ยได้ง่ายขึ้น และใช้เนื้อเซรั่มน้อยลง ก็ชุ่มได้ทั่วหน้าเหมือนกัน ในแง่ของประสิทธิภาพ ส่วนตัวคิดว่า เซรั่ม CEQ นี้เอามาเสริมกับตัว Vita-A ที่เคยรีวิวไว้ก่อนหน้าได้เป็นอย่างดีเลยหละ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

อัพเดทสภาพผิวหลังใช้ Dr.Different Vita-A Night Cream ได้ 2 เดือน

สวัสดีค่ะทุกท่าน

เชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะผ่านตารีวิวมหากาพย์ Dr.Different Vita-A night cream มาแล้วนะคะ

(ส่วนใครที่พลาด สามารถตามไปรับชมได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ >>Click<<)

มาดูหน้าตาน้องกันอีกรอบนะคะ

ผลลัพธ์โดยรวมเป็นดังภาพนะคะ

โดยรวมส่วนตัวรู้สึกว่า ผิวละเอียดขึ้น และอวบอิ่มขึ้นนะคะ และดูเหมือนรอยเส้นเลือดจางลงค่ะ

นอกจากนี้ก็ยังรู้สึกว่าผิวนุ่มฟูมากขึ้นค่ะ เราลองเทียบระหว่าง ก่อนใช้ กับ หลังใช้ 2 เดือน (สัปดาห์ที่ 8) อีกทีนะคะ

ปล.ควบคุมแสงโดยใช้ Flash ถ่ายในเวลาใกล้เคียงกัน ที่ระยะห่างใกล้เคียงกัน

ในภาพอาจจะดูไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นะคะ

เราจะมาอัพเดทอีกครั้งในช่วง 3 เดือนค่ะ 🙂

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ครีมวิตามินเอสุดเนี้ยบจาก Dr.Different Vita-A cream พร้อมผลการใช้งาน 1 เดือน

สวัสดีค่ะ

เมื่อวันก่อนมี่มา Preview ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Vita A ของแบรนด์ Dr.Different ไป วันนี้เลยจะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมและเทคโนโลยีที่ทางแบรนด์ใช้ให้ได้ชมกันนะคะ

สำหรับ Preview ถ้าท่านใดพลาด สามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ

https://miyeonthereviewer.com/2020/12/18/preview-drdiff/

วันนี้จะมาเจาะลึกผลิตภัณฑ์กลุ่ม Vita A ทั้ง 3 สี ว่าแต่ละสีต่างกันอย่างไร และมี Step การใช้แบบไหน

ขอยกรูปเดิมขึ้นมาอีกรอบค่ะ

ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Vita A ของ Dr.Different มีด้วยกัน 3 สูตร 3 สี นะคะ

  • สีส้ม Vita-A cream มีปริมาณ Retinaldehyde 0.05%
  • สีแดง Vita-A cream forte มีปริมาณ Retinaldehyde 0.10%
  • สีม่วง Vita-A cream Ph.D. มีปริมาณ Retinaldehyde 0.12%

ตัวเซรั่มจะมาในรูปแบบหลอดบีบค่ะ

เนื้อครีมมีสีเหลือง ซึ่งเป็นสีของ Retinal และเนื่องจากไม่มีน้ำหอมเราจะได้กลิ่นจางๆ ของวัตถุดิบอยู่ ในด้านของการเกลี่ย ส่วนตัวมีผิวผสม/แห้ง มองว่า เกลี่ยได้ในระดับปานกลาง กำลังดี ไม่ยากไม่ลื่นจนเกินไป ซึมไว ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น และมีฟิล์มบางๆ เคลือบปกป้องผิวอยู่

เนื้อครีมทั้ง 3 สูตร มีลักษณะเหมือนกัน จะต่างก็แค่สี ซึ่งสีจะออกเหลืองขึ้นตามปริมาณวิตามินเอในสูตรค่ะ จึงขอโชว์เนื้อของสูตร Vita-A กับ Vita-A Forte แทนนะคะ

ในวันนี้ไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ

ก่อนจะไปดูส่วนผสมเรามาดูเทคโนโลยีของทางแบรนด์ก่อนดีกว่าค่ะ

ในเรื่องของความคงตัวของวิตามินเอ การระคายเคือง และการดูดซึมเข้าผิว ทางแบรนด์ได้ใช้เทคโนโลยีระบบนำส่งสารแบบ Niosome ซึ่งเป็นระบบนำส่งสารแบบเป็นถุงที่มีผนังสองชั้น สร้างจากไขมัน ร่วมกับสารประกอบอื่นๆ โดย Niosome ที่ทางแบรนด์ใช้เป็นชนิด Multilamellar vesicle หมายความว่า มีผนังสองชั้นซ้อนกันหลายๆ ชุด

เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรที่ใช้สารชุดพิเศษที่ทางแบรนด์พัฒนาขึ้นมาค่ะ

รูปจำลองลักษณะของ Niosome ชนิด Multilamellar vesicle

ซึ่งนอกจากจะมีประโยชน์ด้านการนำส่งวิตามินเอ และการลดการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้นแล้ว ทางแบรนด์ยังทดสอบแล้วว่า ระบบนี้ยังช่วยปกป้องวิตามินเอ ไม่ให้เสื่อมสภาพก่อนเวลาอันควร

(Image from Dr.Different Official Website)

นอกจากนี้ทุกสูตรได้ผ่านการทดสอบการระคายเคือง (Skin irritation test) และผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร

ที่เด่นๆ ได้แก่

หลังทดสอบเป็นระยะเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีความลึกของริ้วรอยลดลง

(Data from Dr.Different)

มีความหนาแน่นของชั้นผิว (Skin density) เพิ่มขึ้น

(Image from Dr.Different)

และมีค่าความยืดหยุ่นของผิว (Skin elasticity) เพิ่มขึ้น 6.7%

โดยในการใช้งาน เชื่อว่าหลายๆ คนต้องเกิดคำถามในใจแน่ๆ ว่า มี 3 สูตร เราต้องเลือกอย่างไรอ่ะ

ตรงจุดนี้ทางแบรนด์แนะนำว่า ให้เริ่มจากเริ่มจากสูตรสีส้ม ที่ความแรงอ่อนกว่าก่อน สำหรับผู้ที่ไม่เคยเจอกับ Retinoids มาก่อน เพื่อปรับผิว เตรียมผิวให้คุ้นชินกับ Retinoid โดยเริ่มจากทาก่อนนอนวันเว้นวัน จนขยับมาทาทุกวัน ซักประมาณ 1 เดือน หรือ หมด 1 หลอด ก่อนขยับไปสูตร Forte และ สูตร PhD ด้วยวิธีการเดียวกัน

แต่ด้วยความที่เราเคยใช้ Retinol มาได้ราวๆ 2 เดือนแล้ว เราเลยอัพ Step ไว อาจจะไวไปนิด มาเจอกับอากาศหนาวฉ่ำของเมืองเชียงรายพอดี ผิวเลยแห้งและระคายเคืองนิดหน่อยที่บริเวณคอ แต่พอใช้ Moisturizer ที่ดูแลเรื่อง Barrier ผิว อาการแห้งนี้ก็หายไป ก็ถือว่า ดีงามอยู่นะคะ

** ส่วนตัวอยากย้ำเตือนว่า กลุ่มวิตามินเอทาเฉพาะกลางคืนนะคะ เพราะอาจจะทำให้ผิวเราไว้ต่อแสงมากขึ้น

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

ทั้ง 3 สูตร ใช้ส่วนผสมที่เป็นเบสชุดเดียวกัน แตกต่างกันที่ปริมาณ/ความเข้มข้นของวิตามินเอ ในรูปแบบ Retinaldehyde ที่ใช้

ดังนี้ค่ะ

Vita-A cream

ส่วนผสมของ Vita-A cream forte

ส่วนผสม Vita-A Ph.D

สำหรับส่วนผสมมี่ทำสีไว้อยู่ 5 สี นะคะ

  • สีชมพู จะเป็นกลุ่มสารลดเลือนริ้วรอย อย่างพระเอกของเรา Retinal และ Adenosine ขอกล่าวถึง Retinal หน่อยนะคะ

ปกติ เวลาเราได้รับวิตามินเอเข้าไปในร่างกาย ถ้าอยู่ในรูปแบบ Retinol ร่างกายจะแปรสภาพตามความต้องการ ถ้ายังไม่อยากใช้ ก็จะเปลี่ยนเป็น Retinyl ester แล้วเก็บสะสมไว้ แต่ถ้าอยากใช้ ก็จะเปลี่ยนเป็น Retinal หรือ Retinaldehyde ก่อนเปลี่ยนเป็น Retinoic acid ที่ออกฤทธิ์ได้

แต่ตัว Retinoic acid ซึ่งออกฤทธิ์ได้เลยนั้นจัดเป็นยาตามกฏหมายค่ะ

ในทางเครื่องสำอางใช้กลุ่ม Retinol, Retinyl ester และ Retinal ได้

การออกฤทธิ์ของวิตามินเอ นั้นออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างกว้าง เพราะนางออกฤทธิ์เพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนหลายชนิด ที่ระดับของยีน จึงให้ผลกับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การปรับสภาพการสร้างเซลล์ผิวใหม่ การผลัดผิวเก่า การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของชั้นผิว ความแข็งแรงของชั้นผิว ปรับสมดุลการสร้างและย่อยสลายคอลลาเจน และพวก Matrix ต่างๆ ในที่สุดผิวก็จะเรียบเนียน นุ่ม กระชับ และแข็งแรง

แต่ข้อเสียของนางคือ ต้องใช้เวลาช่วงหนึ่งก่อนจะเริ่มเห็นหรือรู้สึกความเปลี่ยนแปลง

ทางเครื่องสำอางนิยมเอา Retinoids มาใช้ในการดูแลปัญหาเรื่องริ้วรอย ทั้งริ้วรอยก่อนวัยและริ้วรอยที่เกิดตามวัย และมีงานวิจัยจำนวนมากที่สนับสนุนถึงสรรพคุณและประโยชน์ของ Retinoids ต่อผิวหนัง

โดยมีงานชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2018 ได้ศึกษาประสิทธิภาพของ Retinaldehyde ในอาสาสมัคร โดยให้อาสาสมัคร 40 คน แบ่งเป็นสองกลุ่ม แต่ละกลุ่มให้ทาครีมที่มี Retinal 0.05% และ 0.1% วันละสองครั้ง เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครทั้ง 2 กลุ่มมีริ้วรอยที่ลดลง แต่กลุ่มที่ได้รับ Retinal 0.1% มีสีผิวที่สว่างและดูจางลง (หรือขาวขึ้น) (Kwon, et al. J Cosmet Dermatol. 2018;17:471–476.)

ส่วนตัวมี่เองได้ใช้มา 1 เดือนก็พบว่าผิวนุ่มและยืดหยุ่นมากขึ้นนะคะ ภาพเป็นดังนี้ค่ะ

เก็บภาพด้วยกล้องดิจิตัล ควบคุมสภาวะแสงด้วยแสงแฟลชจากตัวกล้อง

เทียบระหว่างก่อนใช้และหลังใช้ 1 เดือน

ที่พอสังเกตได้คือ ผิวจะมีความละเอียดมากขึ้นนะคะ และดูแข็งแรงขึ้น รอยเส้นเลือดต่างๆดู จางลงเล็กน้อย ส่วนในด้านความรู้สึกนั้น ส่วนตัวคิดว่า เวลาเราจิ้มบริเวณแก้มหรือ ตบเบาๆ รู้สึกว่าจะมีความยืดหยุ่น และรู้สึกมีอะไรต้านกลับมามากกว่าเมื่อก่อน ที่จะค่อนข้างรู้สึกกลวงค่ะ

แต่ช่วงเดือนแรกที่ใช้ (30 พ.ย. – 29 ธ.ค.) อากาศแถวเชียงรายนั้นหนาวพอดี ในภาพ 1 เดือน เลยจะเห็นขุยๆ หรือเกล็ดสีขาวๆ ที่แสดงถึงการแห้งของผิวอยู่บ้าง

ส่วนผสมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่

  • สีม่วง เป็นกลุ่มของสารเติมน้ำให้ผิวอย่าง Sodium hyaluronate กับ Polyglutamic acid (PGA) ขอกล่าวเพิ่มเติมถึง PGA ซักนิดนะคะ นางเป็นสารที่ได้จากกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ ประกอบด้วยสายยาวของกรดอะมิโน Glutamic acid ที่มีประโยชน์ในการจับน้ำได้ดี และเวลาลงผิวเอง นอกจากนางจะช่วยดึงน้ำให้ผิวได้แล้ว นางยังอาจจะถูกผิวย่อยสลายกลายเป็น Glutamic acid เดี่ยวๆ ที่เป็นสารดักจับน้ำตามธรรมชาติของผิว หรือ Natural moisturizing factor
  • สีฟ้า Squalane เป็นไขมันที่เคลือบปกป้องผิว
  • สีเขียว เป็นกลุ่มของไขมันจากธรรมชาติ ซึ่งมีทั้ง Ceramide, Cholesterol, phytosterol จาก rapeseed และ กรดไขมันจากน้ำมันดอกคำฝอย ซึ่งมี Linoleic acid เป็นองค์ประกอบสูง มีประโยชน์ในการทดแทนและฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสื่อมสลายไปตามเวลา ช่วยให้ผิวแข็งแรง

ถ้าอิงตามสิทธิบัตรของแบรนด์ กลุ่มไขมันพิเศษเหล่านี้และสารบางตัว ได้แก่ rapeseed sterol, phytosteryl/behenyl/octyldodecyl lauroyl glutamate, polyglyceryl-10 oleate, cholesterol, hydrogenated lecithin, ceramide, squalene, shea butter, safflower oil เขาเอามาทำเป็น Niosome ซึ่งแบบว่า พอมันลงไปในผิว มันก็เข้าไปผสมผสานรวมกับ Barrier ที่มันแหว่งหายไปได้เลย เพราะเรียงตัวมาในรูปแบบของผนังสองชั้นเหมือน Barrier ผิวเรา

(ตามไปอ่านเรื่อง Skin barrier เพิ่มเติมได้ที่ https://www.readawrite.com/c/25319935dd67060d68b72135e1c05544)

สุดท้ายนี้มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง เน้นไปที่ Retinal เป็นหลัก โดยใช้เทคโนโลยีการกักเก็บสารใน Niosome เข้ามาช่วยดูแลทั้งในด้านของความคงตัว การลดอาการระคายเคือง และการเสริมประสิทธิภาพ เสริมมาด้วยสารกลุ่มไขมันที่ฟื้นฟู Barrier ผิว ซึ่งส่วนใหญ่ ปัญหาของ Retinoids คือ อาจจะทำให้ผิวแห้งได้ เพราะมีผลกดการสร้าง Sebum ได้ในบางคน การเอาไขมันที่มีประโยชน์เหล่านี้มาเติม พร้อมกับเสริมสารจับน้ำอย่าง Hya กับ PGA เข้ามา ก็ให้ประโยชน์ในการลดโอกาสเกิดผิวแห้งได้ในระดับหนึ่ง ส่วนตัวมองว่าเป็นผลิตภัณฑ์วิตามินเอ ที่น่าสนใจตัวหนึ่งเลยหละ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวมองว่า การแนะนำการใช้ของแบรนด์ คือให้เริ่มจากสูตรสีส้ม ที่ความแรงอ่อนกว่าก่อน สำหรับผู้ที่ไม่เคยเจอกับ Retinoids มาก่อน เพื่อปรับผิว เตรียมผิวให้คุ้นชินกับ Retinoid เริ่มจากวันเว้นวัน จนขยับมาทาทุกวัน ซักประมาณ เดือนหนึ่ง หรือ หมด 1 หลอด ก่อนขยับไปสูตร Forte และ สูตร PhD ส่วนตัวมองว่ามันเป็นอะไรที่แบบว่า Dr.Lee ออกไอเดียได้เริ่ดมากในจุดนี้ ตามที่เล่าด้านบนเนาะ ด้วยความที่เราเคยใช้ Retinol มาได้ราวๆ 2 เดือนแล้ว เราเลยอัพ Step ไว อาจจะไวไปนิด มาเจอกับอากาศหนาวฉ่ำของเมืองเชียงรายพอดี ผิวเลยแห้งนิดหน่อย แต่พอใช้ Moisturizer ที่ดูแลเรื่อง Barrier ผิว อาการแห้งนี้ก็หายไป สำหรับผลที่ได้หลังจากใช้ครบเดือน ก็ Happy และ ตอบโจทย์ค่ะ รับไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ