Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่ม antioxidant สุดปังของ Dr.Different กับเซรั่ม CEQ antioxidant serum

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์เด็ดอีกตัวจากแบรนด์ Dr.Different มาฝากกันค่ะ

ตัวที่จะนำมารีวิววันนี้เป็นเซรั่ม Antioxidant สูตรพิเศษที่ทางแบรนด์ Dr.Different คัดเลือกเอาส่วนผสมชั้นดีหลายๆ ตัวมารวมกันไว้ในขวดเดียว มาในเบสที่เป็นมิตรกับผิว และความพิเศษคือ นางสามารถจับเอาวิตามินที่ละลายน้ำมันมารวมกันไว้ในเซรั่มเบสน้ำเนื้อบางเบาใสกิ๊กได้

เซรั่มที่ว่ามีชื่อว่า CEQ Antioxidant serum ที่มีส่วนผสมหลักคือ วิตามินซี (15%) วิตามินอี และ โคเอนไซม์ Q10 ค่ะ

หน้าตามาในกล่องแบบนี้นะคะ

ตัวนี้ที่บริษัทนำเข้ามาจำหน่ายในบ้านเราจะมีทั้งรุ่นที่เป็นกล่อง ภายในมี 3 ชุด และรุ่นกล่องเดี่ยว นะคะ

ส่วนนี้จะเป็นด้านในของกล่อง 3 ชุดค่ะ

กล่องเดี่ยวก็จะมีหน้าตาประมาณนี้

ด้านในก็จะมีการแยกชิ้นส่วนออกเป็น 2 ส่วนค่ะ

ซึ่งจุดนี้ส่วนตัวชอบมากๆ เป็นกรณีพิเศษ เพราะว่าสารกลุ่ม Antioxidant พวกนี้มักจะมีความ Sensitive ต่อออกซิเจนในอากาศ การใช้แพคเกจที่เป็นแก้ว มีฝาเป็นอลูมิเนียมแบบนี้จะช่วยลดการผ่านเข้าออกของอากาศได้ดีกว่าพวกพลาสติก และเวลาใช้งาน ถ้าเราเปิดทิ้งไว้นานๆ มันก็จะเสื่อม ดังนั้นการ repack มา pack น้อยๆ pack ละ 10 ml ก็จะดีกว่าในแง่ของความคงตัวค่ะ

พอจะใช้งานก็ค่อยมาประกอบร่าง กลายร่างเป็นแบบนี้

อีกความปังที่ชอบคือ ด้วยความที่น้องตัวเล็ก เวลาเราจะวางบางทีมันก็จะล้มเนาะ เราสามารถที่จะเอาตัวน้องกดลงไปยังรอยปรุด้านหลังให้วางได้ง่ายขึ้นค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นแบบน้ำใส สีออกเหลืองอมส้ม ส่วนตัวคาดว่าน่าจะเป็นสีของ Coenzyme Q10 ที่มีสีเหลืองตามธรรมชาติ

ในด้านกลิ่นนางจะมีกลิ่นของวัตถุดิบอยู่นิดหน่อย เพราะทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม

ส่วนเรื่องสัมผัสนั้น นางเกลี่ยได้ง่าย ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะหนักผิว

ในการวัดค่า pH อาจจะมีผลรบกวนจากสีของเนื้อเซรั่มอยู่บ้างนะคะ ได้ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 3 – 4 ซึ่งเหมาะกับสูตรที่มีวิตามินซีนะคะ (ในจุดนี้ทางแบรนด์เคลมไว้ที่ 3.5 ค่ะ)

แน่นอนว่า ถ้าไม่ได้ทำการทดสอบ ก็ไม่ใช่ Dr.Different แล้วค่ะ

คราวนี้หมอ Lee แกไปลองทดสอบเปรียบเทียบฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ DPPH เทียบกับแบรนด์ S แบรนด์ดัง พบว่า ได้ค่าความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระที่ไม่ต่างกันนะคะ

(Image from Dr.Different)

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวม CEQ เป็นเซรั่มที่มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคน และ แอลกอฮอล์

ส่วนของสารบำรุงวันนี้ทำไว้หลายสี ในภาพรวมคือเน้นไปในเชิงของด้าน Antioxidant แบบรัวๆ รองลงมาจะเป็นด้านชุ่มชื้น การลดการระคายเคืองให้ความรู้สึกสบายผิว และริ้วรอย

มาดูสารบำรุงกันดีกว่านะคะ

  • สีฟ้า เป็นเหล่าบรรดาวิตามินต่างๆ ได้แก่ วิตามินซี อี และโคเอนไซม์ คิวเทน (Ubiquinone) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเซรั่ม CEQ เสริมมาด้วยวิตามินบี 5 และสารอื่นๆ อีกหลายชนิด ขอกล่าวถึงคุณสมบัติของวิตามินต่างๆ สักเล็กน้อยค่ะ
    • วิตามินซี นางเด่นในด้านของการเป็น Antioxidant ชะลอวัย การลดการอักเสบระคายเคือง ปกป้องผิวจากรังสี UV เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน และมีประโยชน์ในเชิงด้าน Whitening
      โดยวิตามินซีที่ใช้ใน CEQ เป็นรูปแบบ Ascorbic acid ที่พบได้ในธรรมชาติ เมื่อนำมาใส่ในตำรับที่มีค่า pH ราวๆ 3 – 4 (บนเว็บเกาหลีเคลมว่า 3.5) ก็จะมีความคงตัวที่ดี และมีรายงานว่าสามารถดูดซึมผ่านผิวได้ โดยรูปแบบนี้มีจุดเด่นคือสามารถออกฤทธิ์ได้เลยโดยไม่จำเป็นต้องแปรสภาพโดยผิวก่อน
    • วิตามินอี เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน ทำงานร่วมกับวิตามินซีที่ละลายได้ในน้ำ ซึ่งผิวเรามีทั้งน้ำและน้ำมัน การได้ทั้ง C และ E ก็จะช่วยเสริมกัน และนอกจากนี้ก็มีหลายๆ แหล่งข้อมูลกล่าวว่า วิตามิน C และ E สามารถที่จะช่วย Recycle ซึ่งกันและกันได้
    • โคเอนไซม์ คิวเทน เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในน้ำมันเช่นกัน นางเด่นในแง่ของการชะลอวัย และเสริมการสร้างพลังงานของผิว ให้ผิวทำงานได้ปกติ
    • วิตามินบี 5 ตัวนี้เด่นในแง่ของการลดการระคายเคือง และเพิ่มความชุ่มชื้น รวมไปถึงเสริมคุณสมบัติในการฟื้นฟู Barrier ของผิวตามธรรมชาติ
  • สีเขียว Ferulic acid ตัวนี้เป็นสารกลุ่ม Phenolic ที่พบได้ในพืชหลายๆ ชนิด มีรายงานอยู่หลายฉบับว่าการใช้ Ferulic acid ร่วมกับวิตามิน C และ E สามารถเสริมความคงตัว และช่วยปกป้องวิตามินเหล่านี้ให้คงรูปอยู่ได้นาน รวมถึงมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารเติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว อย่าง Sodium hyaluronate, Trehalose, Sodium PCA และกรดอะมิโน Arginine
  • สีม่วงอ่อน เป็นกลุ่มของสารที่มีประโยชน์ในเชิงของริ้วรอย อย่างสารสกัดจากใบบัวบก Adenosine และ Gluconolactone ที่จัดเป็น Polyhydroxy acid หรือ PHA ที่นอกจากจะเด่นในด้านของการเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น และ ผลัดผิวแบบอ่อนๆ แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านของการดูแลปัญหาสิวไปในตัว แต่ในจุดนี้อาจจะต้องดูความเข้มข้นในตำรับอีกที
  • สีน้ำเงิน มีอยู่ 2 ตัว ได้แก่ Fullerene และ Ectoin
    • Fullerene เป็นการจัดเรียงตัวในรูปแบบพิเศษของธาตุคาร์บอน ที่เรียงตัวในรูปแบบทรงกลม ประกอบด้วยคาร์บอน 60 หน่วย บางที่เรียกว่า C60 ตัว Fullerene นี้เป็นวัตถุดิบหนึ่งที่กวาดรางวัลมาเยอะมากๆ เป็นสารสิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงประสิทธิภาพในการกระชับรูขุมขน (J Nanobiotechnology. 2014;12:6.) มีประโยชน์ในการดูแลปัญหาสิว โดยไปลดการอักเสบ และลดการหลั่งน้ำมันออกมาจากรูขุมขน (Nanomedicine. 2011;7(2):238-41.) และด้วยความที่นางเป็น Antioxidant ที่ดี นางเลยมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัย ป้องกันการเกิดริ้วรอยก่อนวัยอันควร
    • Ectoin ตัวนี้เคยกล่าวถึงอยู่หลายครั้ง นางเป็นวัตถุดิบที่หลังๆ มานี้มีคนให้ความสนใจนางเยอะมากๆ Ectoin เป็นสารที่พบในแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แสนจะโหดร้าย ทำหน้าที่ปกป้องตัวแบคทีเรียจากอันตรายภายนอก หลักๆ คือ นางช่วยปกป้องผิวเราจากมลภาวะ รังสี UVA UVB รวมถึงสารอันตรายต่างๆภายนอก มีการทดสอบในระดับหลอดทดลงพบว่าเมื่อให้ Ectoin ไปในเซลล์เพาะเลี้ยง ก่อนเอาไปฉายรังสี UV พบว่าช่วยปกป้องไม่ให้เซลล์เพาะเลี้ยงเหล่านี้ตายไป (Skin Pharmacol Physiol. 2004; 17(5):232-7.)

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ที่แอบกังวลคือ น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกของพืชในตระกูล Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการไวต่อแสงได้ แต่ส่วนตัวใช้ทั้งเช้าเย็นมาเกือบๆ 2 อาทิตย์ ก็ไม่ได้พบปัญหาอะไรนะคะ

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives ทางแบรนด์เลือกมาได้ค่อนข้างดี เสริมกันไปเสริมกันมา ช่วยกันปกป้องซึ่งกันและกันได้อย่างลงตัว และยังเสริมสารลดการระคายเคืองที่อาจจะเกิดได้เองตามธรรมชาติ จากตัวของวิตามินซีเองและยังเสริมพวกสารที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้น กับปัญหาด้านริ้วรอยไปพร้อมๆ กัน จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในแง่ของเบส มาในเบสแบบน้ำ ปราศจาก แอลกอฮอล์ น้ำมัน และ ซิลิโคน สารปรุงแต่งต่างๆ เลือกมาแต่ชนิดที่มี Profile ค่อนข้างดี เป็นมิตรกับผิว แต่จะมีจุดที่ส่วนตัวรู้สึกกังวลก็คือเรื่องของน้ำมันหอมระเหยจากผิวของ Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดภาวะไวต่อแสงได้ในบางคน แต่ส่วนตัวใช้ทั้งเช้าและเย็น ไม่พบปัญหาใดๆ ค่ะ จุดนี้ขอหักคะแนนนิดหน่อย ได้ไป 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน เซรั่มมาในเนื้อแบบน้ำใส ถ้าเอาลงผิวหน้าเลยในตอนแรกจะต้องใช้เนื้อเซรั่มเปลืองนิดหน่อยกว่าจะเกลี่ยจนฟิน คือชุ่มทั่วหน้า ส่วนตัวเลยใช้หลังจากที่เช็ดโทนเนอร์ไป แล้วหน้ายังชุ่มอยู่ ก่อนจะลงตัวนี้ ก็จะเกลี่ยได้ง่ายขึ้น และใช้เนื้อเซรั่มน้อยลง ก็ชุ่มได้ทั่วหน้าเหมือนกัน ในแง่ของประสิทธิภาพ ส่วนตัวคิดว่า เซรั่ม CEQ นี้เอามาเสริมกับตัว Vita-A ที่เคยรีวิวไว้ก่อนหน้าได้เป็นอย่างดีเลยหละ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้เปิดหูเปิดตา ได้ทดลองใช้ และทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม] ยอมใจ KENE BrightageC เซรั่มวิตามินซีที่ไม่ได้มีดีแค่ Vitamin C

สวัสดีค่ะ วันนี้มีรีวิวผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมาฝากกันอีกแล้วค่ะ

ถ้าพูดถึงเซรั่มแล้ว หนึ่งในหลายๆตัวที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นเซรั่ม BrightageC จากแบรนด์ Kene ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงของชาวเน็ตอยู่มาซักระยะแล้วค่ะ

ส่วนตัวมี่เองก็พึ่งมีโอกาสได้ลองใช้เซรั่มดังกล่าว ก็ถือว่า เลอค่าสมคำร่ำลือจริงๆค่ะ

แบรนด์ Kene เป็นแบรนด์เวชสําอางประสิทธิภาพสูง ที่เน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยเลือกใช้ส่วนผสมที่อิงตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสุขภาพผิวที่ดีนั่นเองค่ะ โดยมีสโลแกนหลักคือ “Innovative skin solution” ที่ทางแบรนด์น่าจะต้องการสื่อว่า ไม่ใช่แค่ดูแลผิวพื้นๆ แต่ต้องการจัดการปัญหาผิวพรรณอย่างจริงจัง โดยอิงตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ และใช้นวัตกรรมด้านผิวหนังสมัยใหม่นั่นเองค่ะ

ว่าแล้วก็ขออวดโฉมหน้าของเซรั่ม BrightageC ก่อนนะคะ

kene 1

โดยชื่อผลิตภัณฑ์คือ BrightageC ก็มาจากคำว่า Bright + Age + C ซึ่งก็คือการเข้าไปทำให้ผิวสว่างใส พร้อมๆกับจัดการปัญหาผิวแห่งวัย โดยมีส่วนผสมหลักเป็น Vitamin C  ค่ะ

โดยที่ทางแบรนด์เลือกใช้ตัว VitaminC ก็เพราะตัว VitaminC มันมีหลักฐานว่าช่วยทั้งการลดความหมองคล้ำผ่านการยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านหลายๆกลไก เพราะผิวที่อายุมากขึ้นคอลลาเจนจะลดลง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาเช่น ผิวไม่เรียบเนียน ริ้วรอย และการเสียความยืดหยุ่น

 

ปกติแล้วสารที่จะมากระตุ้นการสร้าง collagen ที่ได้รับความนิยมในวงการผิวหนังตัวหนึ่งก็คือ Vitamin A หรือกลุ่มของ Retinol แต่สารนี้มีปัญหาด้านความระคายเคือง ยิ่งถ้าใช้มากก็จะยิ่งระคายเคืองมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาในด้านความคงตัวและการขึ้นสูตร

Vitamin C ก็เลยจึงนับเป็นอีกส่วนผสมที่น่าสนใจหากต้องการต่อสู้กับปัญหาของคอลลาเจนที่ลดลงและความหมองคล้ำค่ะ ขอเอาคำพูดของเจ๊ Draelos ที่เป็นแพทย์ผิวหนังท่านหนึ่งที่มีผลงานตำราหลายๆเล่มมาแชร์ค่ะ มี่ก็จำได้ไม่ค่อยแน่นอน แต่นางบอกประมาณว่า “Vitamin C remains our important armamentatrium for anti-aging purpose” แปลง่ายๆว่า วิตซีนี่ก็คืออาวุธ/คลังแสงสำคัญในการต่อต้านความชราของเรา

 

ไหนๆก็พูดถึงผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยแล้ว มี่ขอพูดถึงกลไกความแก่ของผิวกันนิดนึงค่ะ

ปกติแล้วสาเหตุหลักของความแก่ หรือ Aging ของร่างกาย รวมทั้งผิวของนี่มี 2 สาเหตุหลักค่ะ

  1. สาเหตุอันแรก เรียกว่า intrinsic factor คือปัจจัยภายใน เป็นธรรมชาติของร่างกายทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้ผิวบางลง คอลลาเจนลดลง ไขมันในบางจุดลดลง เช่น พันธุกรรม สาเหตุกลุ่มนี้เราไปเปลี่ยนอะไรมันไม่ได้ แต่เราชะลอได้ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือการใช้เครื่องสำอาง
  2. สาเหตุที่สอง เรียกว่า extrinsic factor คือปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด และการสูบบุหรี่ สาเหตุกลุ่มนี้เราสามารถป้องกันได้ โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด การทาผลิตภัณฑ์กันแดด งดการสูบบุหรี่ เป็นต้น

ลองสังเกตกันง่ายๆนะคะ เวลาดูผิวผู้สูงอายุ หรือคนที่ทำงานกลางแดดนานๆ บริเวณที่ได้รับแสงแดด ผิวจะเหี่ยวและมีจุดด่างดำ มากกว่าบริเวณที่ไม่โดนแสงเช่นบริเวณลำตัว ผลจากแสงแดดที่ทำให้ผิวแก่เราก็จะเรียกมันว่า photoaging ค่ะ

 

 

เกริ่นอะไรไปก็ไม่รู้ยืดยาว กลับเข้ามาเรื่อง BrightageC กันต่อค่ะ ที่พูดมานี่มีหนึ่งเรื่องที่อยากจะบอกคือ มันมีการศึกษาว่าถึงแม้จะทากันแดดได้ดี ปริมาณเหมาะสมแต่เราก็สามารถป้องกันอนุมูลอิสระจาก UV ได้เพียง บางส่วนเท่านั้น แสดงว่าถึงแม้จะทากันแดดดีแต่ก็มีอนุมูลอิสระบางส่วนที่เข้าไปทำร้ายผิวให้เกิดความเสียหายได้อยู่ดี เราถึงต้องเสริม antioxidant ให้ผิวเพื่อหักล้างผลเสียของรังสี UA ที่เล็ดรอดเข้าไปในผิว

 

BrightageC เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่มี antioxidant ที่ดีคือมี vitamin C เข้มข้นผสานกับ antioxidant อีกหลายๆตัวที่จะทั้งป้องกัน photoaging และแก้ไขปัญหาคอลลาเจนที่ลดลงผ่านการทำงานร่วมกับ signal peptide อีกหลายตัวในการส่งสัญญาณกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ๆขึ้นมาทดแทนคอลลาเจนที่เสียไป

ตัวนี้อาศัย Vitamin C 2 รูปแบบ (Ester + Ether) และ เปปไทด์ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิว เป็นพระเอก และ นางเอกชูโรงค่ะ

แอบยืมภาพจากข้างกล่องมาใช้ซักหน่อย

kene 3

ที่ด้านข้างกล่องก็จะมี Claiming เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่จะได้อยู่ด้วยค่ะ

kene 2

ดูกล่องเยอะและ มาดูข้างในบ้างดีกว่าค่ะ

kene 4

ตัวเซรั่มเป็นหลอดสีขาวด้าน หัวหลอดกว้าง วางในแนวตั้งได้สะดวก

เนื้อเซรั่มเป็นสีขาว ไม่มีกลิ่น ทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอมค่ะ

kene 5

เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ใช้ได้ทั้งเช้าทั้งเย็น ตอนเช้าทาเสร็จก็ลงเมคอัพได้เลย และถ้าดูจากเนื้อ คิดว่าน่าจะได้ทุกสภาพผิวค่ะ ส่วนผิวแห้งมากๆอาจจะไม่พอให้เสริม moisturizer ทับอีกชั้น ก่อนลงกันแดดนะคะ

kene 6

วัดค่า pH ซักหน่อยนะคะ

kene 7

 

pH อยู่ที่ประมาณ 6 ซึ่งใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ มาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่า Vitamin C ต้องอยู่ในสภาวะที่เป็นกรดถึงจะคงตัวและดูดซึมได้ แต่ความจริงแล้ววิตามินซีในรูป Ascorbic acid ที่จำเป็นต้องเป็นอยู่ในตำรับที่มีค่า pH เป็นกรด เพื่อให้ตัววิตามินอยู่ในรูปแบบที่ไม่แตกตัวถึงจะมีการดูดซึมเข้าผิวได้ดี ส่วนในรูปอนุพันธ์นั้น ด้วยความที่มีสายไขมันเป็นตัวนำส่งเข้าผิวอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับสูตรให้เป็นกรด ซึ่งน่าจะช่วยลดการระคายเคืองผิวไปด้วยในตัว

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

สผส kene

ตรงข้างกล่อง ทางแบรนด์ก็จะมี Claiming ของปริมาณที่ใช้อยู่ด้วยค่ะ

สผส claim

วันนี้เรามารีวิวกันแบบละเอียด แจงจัดหนักทุกส่วนผสมเลยนะคะ

ถ้าเราพิจารณากันจะพบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแทบทุกชนิดจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ

  1. Actives คือ สารบำรุง เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติที่ดี รวมไปถึงมีประโยชน์ทางชีวภาพ
  2. Base คือ เนื้อหลักของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
  3. Additive คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้ และมีความปลอดภัย

 

มี่ได้ทำสีส่วนผสมสารบำรุงไว้หลายๆสีนะคะ เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าแต่ละสีมีประโยชน์อะไรบ้าง

 

มาดูรายละเอียดส่วนผสมแต่ละตัวกันเลยนะคะ

  1. กลุ่มสารบำรุง (Active ingredients)
  • สีม่วง คือ พระเอกของเราในวันนี้ค่ะ เป็นกลุ่มของวิตามินซี ซึ่งทางแบรนด์ใส่มา 3 รูป หรือ Form คือ Ascorbyl tetraisopalmitate, 3-O-Ethyl ascorbic acid และ Ascorbic acid ตัวดั้งเดิม โดย ตัวแรก Ascorbyl tetraisopalmitate เป็นรูปที่ละลายในไขมัน โดยตัวของสร้างของเขาคือ เป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่มีสายไขมันจับอยู่กับโมเลกุลของวิตามินซี 4 สาย จึงมีความเป็นกรดต่ำ และดูดซึมเข้าผิวได้ดี โดยอาศัยโครงสร้างของสายไขมันเป็นตัวพาเอาเข้าไปในผิว และพอเข้าผิว ผิวเราจะค่อยๆตัดสายไขมันออก ได้เป็นวิตามินซีรูปแบบดั้งเดิมในผิว

VC MOA

(ที่มา: Nikko Chemicals Co., Ltd.)

ส่วนเจ้า 3-O-Ethyl ascorbic acid ว่ากันว่าเป็นรูปที่มีขนาดโมเลกุลเล็กกว่า Ascorbic acid ธรรมชาติ มีเคลมว่าจะดูดซึมได้ง่ายกว่า

 

ประโยชน์ของวิตามินซีที่มีกับผิว คือ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว และมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสีของผิว และมีหลายๆแหล่งข้อมูลบอกว่า วิตามินซี สามรารถยับยั้งกระบวนการอักเสบในผิว และปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ด้วย จึงให้ประโยชน์ในด้าน ริ้วรอย ชะลอวัย ลดการอักเสบ และผิวขาวกระจ่างใสไปพร้อมๆกัน

 

ทางแบรนด์จัดเต็มเรื่องของความเข้มข้นที่ใส่มาด้วยนะคะ

Ascorbyl tetraisopalmitate 10%

3-O Ethyl ascorbic acid 2%

 

  • สีน้ำเงิน เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้น โดยดูดน้ำให้กับผิว
    • Sorbitol เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง
    • Sodium lactate เป็นสารที่จัดเป็น Natural moisturizing factor หรือ NMF ที่มีอยู่ในผิวตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ดูดน้ำและเก็บกักน้ำให้ผิว ว่ากันว่ามีประสิทธิภาพสูงมากเมื่อเทียบกับสารดูดน้ำอื่นๆ
    • Panthenol หรือโปรวิตามินบี 5 นอกจากคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว นางยังมีประโยชน์ด้านการลดการอักเสบและระคายเคืองในผิว รวมไปถึงมีคุณสมบัติในการสมานผิวได้ด้วย
    • Sodium PCA เป็นสาร NMF เช่นเดียวกัน
    • Beta-glucan เป็นสารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ที่ดีกับผิว โดยมีข้อมูลกล่าวถึงคุณสมบัติ antioxidant ลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น สมานผิว และปกป้องผิวจากรังสี UV (Phytother Res. 2014 Feb;28(2):159-66.)
    • Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับความชุ่มชื้นของผิว จุดนี้ทางแบรนด์เคลมว่าใช้ในรูปแบบที่มีอนุภาคขนาดเล็ก หรือ แบบ nano ที่ดูดซึมเข้าไปในผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นจากภายใน
  • สีเขียว เป็นกลุ่มของสารไขมันทดแทน Barrier ผิว เพื่อให้ผิวแข็งแรงได้แก่
    • น้ำมันจากพืช อย่าง Jojoba และ เมล็ดองุ่น ซึ่งมีกรดไขมันจำเป็นอยู่
    • Squalane เป็นไขมันที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เลียนแบบไขมันที่ต่อมไขมันเราสร้างขึ้นมา ทำหน้าที่เคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น
    • Ceramide 3 และ Ceramide 6II เป็นไขมันที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของ Barrier ผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันอันตรายจากภายนอก และป้องกันไม่ให้น้ำและสารภายในหลุดรอดออกไปจากผิว
    • Cholesterol เป็นไขมันอีกชนิดที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier มีรายงานว่าการทา Cholesterol สามารถปกป้องผลเสียที่เกิดจากรังสี UV ต่อผิวได้ โดยไปลดการสร้างเอนไซม์ MMP-1 ที่ไปย่อยคอลลาเจน และ ลดการสร้างสารก่ออักเสบ ในกลุ่ม Interleukin ได้ (J Dermatol Sci. 2012;65(2):110-7.)
    • Phytosphingosine เป็นเบสที่เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์เซราไมด์ของผิว
    • Lecithin เป็น Phospholipid ชนิดหนึ่งที่พบได้ในผิว ในทางเครื่องสำอางอาจจะนำมาเป็นส่วนนึงของระบบนำส่งสารเข้าผิว
  • สีฟ้า กลุ่มชะลอวัย และลดริ้วรอย ได้แก่
    • Decarboxy carnosine HCl มีชื่อทางการค้าว่า Alistin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า มีคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ลดการอักเสบ ลดริ้วรอย และที่สำคัญคือ สารนี้มีประโยชน์ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากกระบวนการ Glycation (การที่น้ำตาลเข้ามาจับกับโปรตีนในผิว แล้วมีผลต่อการทำงานของผิว เช่น ถ้าจับกับคอลลาเจน จะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ปฏิกิริยานี้มักจะพบมากขึ้นเมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ ผิวไม่ยืดหยุ่นและริ้วรอย)

alistin

(ที่มา: Exsymol S.A.M.)

  • Tetrapeptide-21 เป็นสารกลุ่ม Peptide มีชื่อทางการค้าว่า TEGO Pep 4-17 นำเข้าจากเยอรมัน ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า เปปไทด์นี้ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้าง องค์ประกอบที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในผิว ได้แก่ Collagen, Hyaluronic acid และ Fibronection ซึ่งเป็น ไกลโคโปรตีนที่ช่วยยึดจับ ECM ต่างๆไว้เพื่อให้ผิวยืดหยุ่นและกระชับ ที่สำคัญคือมีงานวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพของสารในการเพิ่มการสังเคราะห์ ECM และประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนในอาสาสมัคร (Experimental Dermatology, 2011;20:602-604)
  • สูตรผสมของ Palmitoyl tetrapeptide-7 กับ Palmitoyl tripeptide-1 มีชื่อทางการค้าว่า Matrixyl 3000 นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เป็นเปปไทด์สายสั้นๆที่จับกับกรดไขมัน Palmitic เพื่อใช้เป็นตัวนำส่งให้ดูดซึมเข้าผิวดีขึ้น จัดเป็นสารที่เรียกว่า Matrikine ทำหน้าที่เสมือนเป็นคนส่งสาร หรือ Messenger ที่ช่วยให้ผิวมีการฟื้นฟูและซ่อมแซมตนเอง โดยไปช่วยส่งเสริมการสร้าง ECM ในผิว และลดเลือนริ้วรอย
  • Resveratrol เป็นสาร Antioxidant ประสิทธิภาพสูงที่พบในไวน์แดง มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอวัย มีรายงานกล่าวว่าสารนี้สามารถมีส่วนช่วยให้ผิวขาว ผ่านกลไกการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ยับยั้งไทโรซิเนส และช่วยปกป้องผิวไม่ให้ดำคล้ำจากรังสี UVB ได้ (Biomol Ther (Seoul). 2014; 22(1):35-40.)
  • Carnitine เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีบทบาทในการ Metabolism ของไขมันงานวิจัยกล่าวว่าการทา L-carnitine จะมีผลไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการ metabolism ของไขมันในเซลล์ Sebocyte ที่ต่อมไขมันทำให้ไขมันลดลง ให้ผลควบคุมความมันของผิวหนัง (J Cosmet Dermatol. 2012; 11(1):30-6.)
  • Ubiquinone หรือ Co-enzyme Q10 เป็นสาร Antioxidant ที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นกัน มีงานวิจัยกล่าวว่าการทา Coenzyme Q10 จะช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระ และเพิ่มความสามารถในการเป็น Antioxidant ของผิว ( 2015;41(6):383-90.)
  • กลุ่มสุดท้ายสีส้ม เป็นสารบำรุงอื่นๆ ได้แก่
    • Rubus villosus leaf extract สารสกัดจาก Blackberry ส่วนของใบมีรายงานว่าเป็น Antiaging ที่ดี โดยมีคุณสมบัติต่อต้านการทำงานของเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนในผิว ลดการอักเสบ และเป็น Antioxidant ((Int J Cosmet Sci. 2007;29(5):411)
    • Camellia sinensis leaf extract คือ สารสกัดจากชาเขียว มีรายงานวิจัยอยู่ค่อนข้างมาก เช่น เป็น antioxidant เป็น Moisturizer ลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว (Dermatol Ther. 2013;26(3):267-71.) และ สารประกอบกลุ่ม Polysaccharide ที่พบในชาช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ และสารประกอบกลุ่ม Polyphenol ยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ (J Agric Food Chem. 2009;57(17):7757-62.)
    • Rumex occidentalis extract มีชื่อทางการค้าว่า Tyrostat สกัดได้จากพืชที่ขึ้นในแถบอเมริกาเหนือ มี Claim ว่าสารนี้ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ได้แรงกว่า Arbutin และ Hydroquinone และให้ผลลดรอยแดงได้ด้วย ตัวนี้ทางแบรนด์จัดเต็มมา 1.5%
    • Tocopheryl acetate เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินอี ที่เป็น Antioxidant เช่นกัน นอกจากนี้วิตามินอีสามารถช่วย Recycle วิตามินซีที่เสื่อมสภาพให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง

 

โดยรวมจึงเห็นได้ว่าสารบำรุงที่ใส่มา นอกจากมีประโยชน์ด้าน Whitening และ Antiaging ลดริ้วรอยแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟู Barrier ผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง และที่สำคัญคือ ต่อต้านการเกิด Glycation ที่เป็นเทรนด์ใหม่ของวงการได้ด้วย

 

  1. ส่วนของเนื้อหลัก หรือ Base ประกอบด้วยน้ำ และน้ำมัน ไม่มีซิลิโคน และแอลกอฮอล์ ดังนี้
    • ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ และสารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น อย่าง Glycerin, Butylene glycol และ Propylene glycol
    • ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Isohexadecane เป็นน้ำมันสังเคราะห์ที่ระเหยได้ ให้สัมผัสบางเบา กับ Synthetic wax ที่ช่วยเพิ่มเนื้อให้ครีม

 

  1. ส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่
    • สารเชื่อมประสานน้ำกับน้ำมัน และ ตัวเพิ่มความหนืด จะเป็นกลุ่มของ Polysorbate, Sodium acrylate/sodium acryloyldimethyltaurate copolymer, Carbomer และ xanthan gum
    • สารเสริมประสิทธิภาพกันเสีย คือ Ethylhexylglycerin ซึ่งเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ด้วย
    • สารกันเสีย คือ Phenoxyethanol
    • สารประจุบวก
      • Hydroxyethyl behenamidopropyl dimonium chloride เป็นสารประจุบวกที่มีชื่อทางการค้าว่า Incroquat™ Behenyl HE ใน Skincare จะเกาะติดผิว ช่วยให้ผิวนุ่ม และให้สัมผัสที่แห้งและบางเบา ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่ามีความอ่อนโยน
      • Polyquaternium-67 เป็น Polymer ของสารประจุบวกที่เมื่อใช้ร่วมกับ Hyaluronic acid จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างยาวนาน

 

แวะสรุปอีกซักครั้งก่อนไปให้คะแนนนะคะ

โดยสรุป BrightageC Line&Radiance corrector ตัวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเซรั่มวิตซี ในท้องตลาดที่น่าสนใจมากค่ะ โดยความแตกต่างหลักๆที่น่าสนใจคือ การใช้อนุพันธ์วิตามินซีแบบใหม่ที่มีความเข้มข้นสูง คาดหวังในประสิทธิภาพได้ และที่แตกต่างจากเซรั่มวิตซีอีกหลายๆตัวทั่วไป ก็คือการที่มันไม่ได้มีแค่วิตซี แต่มีส่วนผสมของ signal peptide 2 ชนิด หรือที่ทางแบรนด์เรียกว่า collagen boosting peptideที่เข้ามาช่วยในเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่มาทดแทนคอลลาเจนเดิมในผิว และมีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวหลายๆชนิด เช่น กลุ่ม antioxidant, antiglycation, whitening, ส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟู Barrier ผิวเพื่อผิวที่แข็งแรง และส่วนผสม อื่นๆ อย่างที่มี่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น  จุดนี้ก็อาจจะเป็นข้อดีที่แตกต่างจาก วิตซีตัวอื่นๆในท้องตลาด

 

ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้? คำถามนี้คิดว่าเดี๋ยวคงมีคนแอบมาถาม หนูใช้ดีไหมคะ เหมาะกับหนูไหมคะ

จริงๆน่าจะต้องแบ่งเป็นสองกลุ่มนะคะ คือกลุ่มที่มีริ้วรอยจุดด่างดำแล้ว ผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะเข้าไปช่วยจัดการปัญหาที่มีอยู่ และป้องกันไม่ให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น

 

ส่วนคนที่ยังไม่มีปัญหา มองว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยค่ะกับการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม antioxidant เพราะมันจะลดความเสียหายที่เราสะสมจากแสงแดด ปัจจัยความเสียหายจากภายนอก เหมือนที่ได้ยกตัวอย่างเช่นผิวในร่มผ้าให้ฟังกันไป ดังนั้นยิ่งเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เร็วยิ่งดีค่ะ อีกหนึ่งประโยชน์ที่ผิวที่ยังไม่มีริ้วรอยจะได้จากผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือ เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้นผิวจะดูเรียบเนียน รูขุมขนก็จะดูเล็กลงได้ค่ะ

 

มี่จะค่อนข้าง Concern เรื่องกันแดดนะคะ ดังนั้นการทากันแดดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะคะ หากต้องการมีผิวที่อ่อนเยาว์เสมอค่ะ

 

ถึงเวลาของการให้คะแนนค่ะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้เล่าให้ฟังในด้านบนว่า นอกจากพระนาง Vitamin C และ Collagen boosting peptides แล้ว ยังมีเหล่านักแสดงสมทบอีกมากมายก่ายกอง ที่มีประโยชน์ในด้าน Whitening และ Antiaging ตามเคลมของผลิตภัณธ์แล้ว ยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟู Barrier ผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง และที่สำคัญคือ ต่อต้านการเกิด Glycation ที่เป็นเทรนด์ใหม่ของวงการได้ด้วย วัตถุดิบสารบำรุงส่วนใหญ่ นำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่ได้มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ช่วงนี้ผิวมี่จะเป็นแนวผิวผสมค่อนแห้ง เซรั่มตัวนี้ลงแล้วจะค่อนข้างสบายผิว แต่กับบริเวณที่แห้งอย่างแก้มจะยังไม่พอ ต้องเสริมมอยส์เจอร์ทับอีกชั้นก่อนลงกันแดด ส่วนตัวมี่ได้ทดลองใช้ประมาณ 3 อาทิตย์ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงตาม Claim หลักของแบรนด์ คือ เรื่องของผิวเรียบเนียนขึ้น และความสม่ำเสมอของสีผิวจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถึงกับว่าทาปุ๊บจะขาวปั๊บขาวแบบหวือหวามาก นางจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป พอใช้มาราวๆ 3 อาทิตย์ก็จะเริ่มมีคนทักว่าดูผิวมีสุขภาพดีขึ้น พวกจุดด่างดำต่างๆก็ดูจางลงโดยเฉพาะรอยดำจากสิวจะมีความสม่ำเสมอมากขึ้น นอกจากนี้ก็รู้สึกว่าผิวนุ่มฟูขึ้น อารมณ์เหมือนได้เรื่องผิวฟูเรียบเนียนไปพร้อมๆกับความสว่างใสขึ้น ส่วนหนึ่งพอผิวมันดูเรียบเนียนขึ้นเหมือนกับหน้ามันก็ดูเนียนๆใสๆขึ้นไปด้วย โดยรวมถือว่าค่อนข้างชอบค่ะ ให้ ไป 5 ฟลาสก์ โดยรวมถือว่าค่อนข้างชอบค่ะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Kene ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Kene ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/KeneThailand/

https://kene.co.th/

 

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Kene การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมลดริ้วรอยตัวดังจากสเปน Martiderm Proteum serum anti-aging ultra-intensive

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่แวะเอารีวิวของเซรัมลดริ้วรอยตัวดังจากแบรนด์ Martiderm เวชสำอางจากฝั่งสเปนมาฝากกันค่ะ

 

เป็นเซรัมที่มีชื่อว่า Proteum serum anti-aging ultra-intensive ค่ะ

 

ตัวเซรัมหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

 

pro 1

 

มาในขวดปั๊มสีดำ ดูหรูหรา Classic น่าเกรงขามมากเลยค่ะ ขวดบรรจุ 30 ml ค่ะ

 

 

ตัวเซรัมเป็นเนื้อสีออกเหลืองครีมอ่อนๆ มีความเงา มีกลิ่นหอม

 

pro 3

 

เนื้อเซรัมจะเป็นเนื้อน้ำนมเกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย มีสัมผัสลื่น ตอนลงแรกๆจะมีปื้นๆนิดๆแต่พอเกลี่ยเสร็จก็จะไม่ทิ้งร่องรอยใดๆค่ะ

 

pro 4

 

ด้านหลังกล่องจะมีคำ Claim อยู่ค่ะ

 

pro 2

 

สำหรับการใช้งานทางแบรนด์บอกว่าให้ใช้วันละครั้งในตอนเช้าค่ะ

 

 

 

ทางแบรนด์มีผลการทดสอบในอาสาสมัครด้วยนะคะ

 

proteum 3

(Image from Martiderm)

 

มี่ลองวัด pH ดู ยังพอวัดได้อยู่ค่ะ ปกติถ้าผลิตภัณฑ์มีสีและ Pigment มันจะค่อนข้างรบกวนการอ่านอยู่

 

pro 5

 

คิดว่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ

 

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

สผส proteum

 

จากส่วนผสมมี่ได้ทำแถบสีไว้ให้แล้วนะคะ

ส่วนสีฟ้าอมเขียว: เป็นกลุ่มส่วนผสมที่ดูดีมีนวัตกรรม ให้ผลด้านริ้วรอย ได้แก่

  • Glycine max (Soybean) seed Polysaccharides เป็นสารประกอบกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ได้จากถั่วเหลือง ทางแบรนด์ตั้งชื่อว่า Proteum 89+® และ Claim ว่าเป็นสารในกลุ่ม Proteoglycan ขนาดเล็กที่ออกฤทธิ์กระตุ้นการสังเคราะห์ Proteoglycan ที่ชื่อ Decorin และ Vesican ในผิว ให้ผลเพิ่มความกระชับ (Firmness) และ ความยืดหยุ่น (Elasticity) ของผิว

 

ขอกล่าวรายละเอียดของ Decorin กับ Vesican ซักหน่อยนะคะ สองตัวนี้เป็น Proteoglycan ที่มีอยู่ในผิวค่ะ

 

decorin.jpg

(Image from Martiderm)

 

Proteoglycan พวกนี้จะเรียงกันเป็นร่างแหสลับซับซ้อนเหมือนแปรงล้างขวด เกาะอยู่กับโปรตีนที่เป็นสายหลัก Decorin เป็น Proteoglycan ขนาดเล็ก และ Versican เป็น Proteoglycan ขนาดใหญ่ค่ะ พวกนี้จะเรียงกันเป็นร่างแหและจับกับ Hyaluron และ Collagen อยู่ในผิว ทำให้ผิวยืดหยุ่น มีความกระชับ (Li et al, Sci Rep. 2013;3:2422.) เวลาคนเราแก่ตัวลง รวมถึงเวลาโดนรังสี UV บ่อยๆ โครงสร้างพวกนี้ก็จะมีความผิดปกติไป ทำให้เกิดเป็นริ้วรอยขึ้น

 

บทบาทของ Decorin นั้น จะไปจับกับ Collagen Type 1 ในชั้นผิว ช่วยให้ Collagen เรียงตัวในแบบที่เหมาะสม และปกป้องไม่ให้ Collagen โดนย่อยสลายโดยเอนไซม์ในผิว

 

ส่วน Versican นั้น ตัวมันเองก็มีความสามารถในการอุ้มน้ำ และยังจะไปจับกับ Hyaluronic acid ในชั้นผิว ช่วยอุ้มน้ำได้อีกต่อนึง

 

ทางแบรนด์ได้ทดสอบผลของสาร Proteum 89 ด้วยค่ะ มี่ไม่แน่ใจในระเบียบวิธีวิจัยของเขานะคะ แต่คิดว่าน่าจะเป็นระดับหลอดทดลอง (In vitro) ยืนยันแล้วว่า สารให้ผลกระตุ้นการสร้าง Decorin และ Versican ได้จริง

 

โดย Proteum 89 ในความเข้มข้น 1% ให้ผลกระตุ้นการสร้าง Versican ได้ 1.83 เท่า

 

proteum 1

(Image from Martiderm)

 

และกระตุ้นการสร้าง Decorin ได้ 1.78 เท่าค่ะ

 

proteum 2

(Image from Martiderm)

 

 

  • Tocopheryl retinoate อนุพันธ์ใหม่เป็นลูกผสมของวิตามินอีและเอ เป็นตัวนำพา (Carrier) ของกันและกันเข้าไปในผิว ให้ผลเรื่องการลดริ้วรอยจากวิตามินเอ และการเป็น Antioxidant ของวิตามินอี มีงานวิจัยตั้งแต่เมื่อปี 2006 กล่าวถึงผลในการเป็น Antioxidant, กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและ Hyaluronic acid ในระดับหลอดทดลอง และ ให้ผลช่วยให้ริ้วรอยตื้นขึ้นในอาสาสมัคร (Okano et al., J Dermatol Sci Suppl. 2006;2(1):S65-S74) มี่คิดว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบตัวเดียวกับ Tocoretinate-10 ของบ. Nikko Chemical ของญี่ปุ่น ซึ่งประกอบด้วย Caprylic/ Capric Triglyceride, D-δ-Tocopherol Retinoate และ D-δ-Tocopherolทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim เรื่องริ้วรอย Antioxidant กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน และ hyaluron ในผิวเช่นเดียวกัน

 

  • Acetyl hexapeptide-51 amide Peptide ที่มีชื่อทางการค้าว่า Juveleven ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าให้ผลปกป้อง DNA และช่วยเร่งกลไกการฟื้นฟู DNA ตามธรรมชาติของผิวให้เกิดได้ไวขึ้น

 

juv

(Image from Lipotec)

 

ส่วนตัวที่เหลือได้แก่

 

สีเขียว: สารบำรุงทั่วไป มีส่วนผสมของวิตามินบี5 บี3 ซี และอี 4 ตัวนี้ให้ผลโดยรวมในด้านความชุ่มชื้น ไวท์เทนนิ่ง Antioxidant และการเพิ่มความแข็งแรงของผิว

 

สีม่วง: สารไขมันทดแทนให้ผิว เพราะคนที่เริ่มมีอายุขึ้นการสร้างไขมันในผิวจะเกิดได้น้อยลง

 

สารสีส้ม จริงๆไม่ใช่สารออกฤทธิ์ค่ะ แต่เป็นกลุ่มของ Pigment ที่ช่วยบดบัง อำพราง รอยต่างๆบนผิว โดยเจ้า Mica จะช่วยสะท้อนแสงทำให้ดูสว่าง ส่วนเจ้า Titanium dioxide มีคุณสมบัติปกปิด และ Silica บางชนิดจะช่วยกระเจิงแสง ทำให้ร่องรอยต่างๆดูเบลอไป

 

การมีอยู่ของ Pigment พวกนี้ทำให้ผลิตภัณฑ์ดูไม่ค่อยจำเป็นสำหรับกลางคืนเท่าไหร่นัก เพราะทาแล้วก็ไปนอน แต่ถ้าจะใช้เช้าเย็นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ

 

มาให้คะแนนดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Active ingredients ด้วยความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของตัว Proteum 89+® ซึ่งออกฤทธิ์ได้ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ เสริมด้วยวิตามิน A B3 B5 C E จึงให้ผลบำรุงผิวได้ครบถ้วนและรอบด้าน จากที่ได้เล่าให้ฟังไว้ในด้านบน เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อหลัก หรือ Base มาในรูปแบบของ Emulsion ประกอบด้วย น้ำ น้ำมัน และซิลิโคน ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ มีส่วนของสารเติมน้ำ สารเคลือบผิว และสารไขมันทดแทนอยู่ครบถ้วน เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่งอื่นๆ ไม่มีตัวไหนมีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน จริงๆตัวนี้มี่ค่อนข้างรักเลยนะคะ เกือบจะเป็นลูกรักและ ติดอีกนิดนึงที่กลิ่น ไม่ใช่กลิ่นที่เป็น Spec ของมี่เลยจริงๆ ตอนนี้ค่อยๆกระมิดกระเมี้ยนใช้ ระวังหมด ช่วงแรกๆ ก็ลงทั้งหน้าอยู่ค่ะ แต่ระยะหลังๆนี้เอามาเน้นทาบำรุงใต้ตาค่ะ ช่วยเรื่องริ้วรอยได้ดีเหมือนกันค่ะ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Martiderm ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ สำหรับแบรนด์ Martiderm ในประเทศไทย มีบริษัท Advance aesthetic เป็นผู้นำเข้าแบบถูกต้องนะคะ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

เฟสบุคของบริษัท http://www.facebook.com/advanceaestheticthailand ได้เลยค่ะ

 

ขอบคุณที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Martiderm การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมและไพร์มเมอร์กันแดดต้านมลพิษจากแบรนด์ Tender

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่มีรีวิวผลิตภัณฑ์ต่อต้านมลภาวะ Anti-pollution จากแบรนด์ Tender แบรนด์น้องใหม่ แต่ส่วนผสมนั้นแซ่บไม่แพ้รุ่นพี่เลยนะคะ

 

สกินแคร์ของแบรนด์ Tender ที่มี่ได้มา มี 2 ชิ้นค่ะ เป็นตัว Serum และ กันแดดเนื้อ Primer ค่ะ

 

มาด้วยแพคเกจน่ารักสดใสมุ้งมิ้งค่ะ

 

tender 1

 

เรามาเริ่มกันกับตัว Serum ก่อนเลยนะคะ

 

Serum นั้นมาในขวดปั๊ม สีขาว ตกแต่งแนว Minimal สีเขียวนมๆ

 

tender 2

 

ตรงนี้เป็นคำ Claim ที่ด้านหลังกล่องค่ะ

 

tender 3

 

เนื้อเซรัมเป็นกึ่งๆน้ำนม มีกลิ่นหอมจางๆค่ะ เกลี่ยค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสลื่น บางเบา ซึมไว ไม่เหนอะหนะ

 

 

วัดค่า pH ซักหน่อยนะคะ

 

tender 6

 

ค่า pH อยู่ระหว่าง 5 – 6 ค่ะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างค่ะ

 

สำหรับตัวเซรัมส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

 

สผส primer

 

ส่วนผสมของสารบำรุงมี่ทำสีม่วงไว้ให้ค่ะ ที่มาในลำดับแรกๆจะเป็นตัว Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ซึ่งมีประโยชน์หลายๆด้านนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Whitening, ลดการอักเสบ ดูแลปัญหาสิว และเพิ่มการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว

 

สารบำรุงที่มาเด่นไม่แพ้กันก็คือส่วนผสมของ Plankton extract และ Arginine ferulate ค่ะ สารนี้เป็นนวัตกรรมจากฝรั่งเศส ที่ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าให้ผลเกี่ยวกับการ Detoxification (หรือย่อๆว่า Detox) และการชะลอวัยค่ะ ซึ่งเวลาใช้ด้วยกัน สารทั้งสองจะช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันค่ะ

 

สารสกัดจากสาหร่ายสีแดง Chondrus cripis น่าจะตรงกับวัตถุดิบ Oligogeline ของบ. Seppic จากทางฝรั่งเศส ซึ่งให้ผลเรื่องความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว

 

และสุดท้าย Broccoli extract (Brassica oleracea italica) นี้มี่คิดว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบที่ชื่อ BioDtoxTM ซึ่งประกอบด้วย Propanediol (and) Bioflavonoids (and) Brassica Oleracea Italica (Broccoli) Extract (and) Aloe Barbadensis Leaf Extract

 

ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า ให้ผลในการ Detox ช่วยต่อต้านมลภาวะ ลดการอักเสบ ต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารบำรุงชุดนี้ช่วยปกป้อง Barrier ผิวไม่ให้ถูกทำลายเพราะ Sodium lauryl sulfate ได้ด้วยค่ะ (REF: cosmetic business)

 

จริงๆลำพัง Broccoli ก็ให้ผลเป็น Antioxidant ที่ดีอยู่ในตัวแล้วค่ะ ยิ่งมาประกบกับ Bioflavonoids ซึ่งเป็นสารที่พบในเปลือกส้ม และพืชหลายๆชนิด พวกนี้ก็เป็น Antioxidant ที่ดีอีกค่ะ โดยรวมคือ มหกรรมแห่ง Antioxidant

 

แล้วคหสต.มี่คิดว่าสารพวกนี้น่าจะคงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ เพราะตัวที่จะตายแทนพวกนี้คือวิตอีค่ะ วิตอีจะเป็นผู้เสียสละพลีชีพเพื่อรักษาสิ่งพวกนี้ไว้

 

ส่วนผสมทุกตัวมีความอ่อนโยน ทางแบรนด์ Claim ว่าสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่าย เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี

 

ส่วนอีกตัวเป็นกันแดดไพรม์เมอร์ค่ะ มีชื่อเต็มๆว่า complete primer UV protection Anti-pollution SPF50 PA+++ UVA/UVB

 

tender 7

 

นางมาในแพคเกจที่เป็นหลอดบีบค่ะ

ตรงนี้จะเป็นคำ Claim ด้านหลังกล่องนะคะ

 

tender 10

 

เนื้อครีมเป็นครีมสีเหลืองอ่อน มี pigment ขนาดเล็กละเอียดมาก เป็นประกายแวววาว ดู Glow แบบไม่มันเยิ้มค่ะ

 

 

ตัวนี้มี่ไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ เพราะมีเม็ด pigment จะรบกวนการอ่านสีค่ะ

 

 

มาดูส่วนผสมกันค่ะ

 

สผส เซรัม

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าส่วนของสารบำรุงจะดูคล้ายกับตัว Serum นะคะ จะมีต่างกันเล็กน้อยค่ะ

 

ถ้าพูดถึงสารกันแดดมี่ทำสีฟ้าไว้ให้ค่ะ เป็นกันแดดผสมเคมีและกายภาพค่ะ

  • Ethylhexyl methoxycinnamate ตัวนี้เด่น UVB
  • Octocrylene ดูดซับช่วง UVB และเป็นตัวเพิ่มความคงตัวค่ะ
  • Ethylhexyl triazone ตัวนี้ก็เด่น UVB ค่ะ
  • Diethylamino Hydoxybenzoyl Hexyl Benzoate ตัวนี้เด่น UVA มีความคงตัวค่อนข้างสูง และก็ถ้าเสริมกับสารในกลุ่ม Triazone อีกตัวหนึ่งก็จะได้ผลดีขึ้น
  • titanium dioxide เป็นกันแดดกายภาพ อาศัยการสะท้อนรังสีเอา

 

กันแดดมี SPF ที่ 50 และกันน้ำกันเหงื่อได้ ไม่ลอยไม่วอกไม่เทาเลยค่ะ และจากกลุ่มสารกันแดดที่ใช้โดยรวมก็ถือว่ากันแดดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีค่ะ

 

ส่วนของสารบำรุงนั้นจะคล้ายกับตัวเซรัม แต่มีการเพิ่ม Lithothamnium calcarum extract เข้ามาค่ะ

 

สารสกัดนี้เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่ง ทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าอุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ให้ผลเป็น Moisturizer, เป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing)

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

 

  1. สารบำรุง ทั้งสองตัวเน้นไปที่การเป็น Antioxidant และตัววัตถุดิบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ Detox ซึ่งสารบำรุงที่ทางแบรนด์เลือกใช้ก็เป็นสารนำเข้าจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เกาหลี และสเปน ทำให้ดูมีราคา ซึ่งสารที่เลือกใช้ก็มีการ Claim เกี่ยวกับเรื่อง Pollution อยู่ นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนของ Whitening และ ความชุ่มชื้น สำหรับตัวกันแดดก็ถือว่ากันได้ครบและครอบคลุมดี เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อผลิตภัณฑ์ ทั้งสองตัวมาในรูปแบบของ Emulsion ที่ประกอบด้วยน้ำและน้ำมัน ตัวเซรัมไม่มีส่วนผสมของ Silicone ด้วยค่ะ แถมส่วนผสมทั้งสองตัวก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่งอื่นๆ ทั้งสองตัวไม่ได้มีสารตัวไหนที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน เซรัมค่อนข้างบางเบาค่ะ อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีผิวแห้งมาก ส่วนตัวมี่คิดว่า ถ้าทาแล้ว หาครีมหรือมอยส์เจอร์มาทาทับอีกชั้นหนึ่งก็จะพอดีค่ะ ส่วนตัวกันแดดไพร์มเมอร์ ถ้าทาเดี่ยวๆจะดูเงาๆหน่อยนะคะ แต่ถ้าทาแล้วลงรองพื้นทับ กับปัดแป้งฝุ่นอีกรอบจะสวยฉ่ำพอดีค่ะ ส่วนข้อติก็มี่คิดว่านางมาในหลอดเล็กไปนิดนึงค่ะ โดยรวมขอให้ไป 4 ฟลาสก์ค่ะ

 

คะแนน

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Tender ด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

http://www.tenderskincare.com

http://www.facebook.com/tenderskincare

instragram:Tenderskincareofficial

line : @tenderskincare

 

Discliamer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Tender การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเบต้ากูแคน Cocktail mix จาก Zerie-B Vitta Colla Beta glucan C

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่นำเอาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (หรือที่เราเรียกติดปากกันว่า อาหารเสริม) ดีๆฝีมือคนไทยมารีวิวให้ชมค่ะ

กับตัว Zerie-B Vitta Colla Beta glucan C ค่ะ ซึ่งเป็นสูตรผสมของเบต้ากลูแคน คอลลาเจน กรดอะมิโน แร่ธาตุ และผงผลไม้ค่ะ

ดูหน้าตากันก่อนเลยนะคะ

medi 1

นางจะมาในกล่องโทนชมพูขาวพาสเทล สไลด์เปิดออกมาข้างในจะมีตัววิตามิน ซึ่งเป็นแคปซูลอยู่ค่ะ กล่องหนึ่งมี 30 เม็ด ทานได้ 2 อาทิตย์ – 1 เดือนค่ะ

แคปซูลเป็นสีชมพูอ่อน/ชมพูแก่มุก ดูสวยงามดีค่ะ

 

เม็ดยา

 

ผงยาข้างในเป็นสีเหลือง/น้ำตาล มีกลิ่นสมุนไพร และกลิ่นหวานอมเปรี้ยวคล้ายเปลือกส้ม

 

ผงยา

 

ตรงนี้เป็นรูปด้านหลังของกล่องค่ะ

 

medi 2

นางผลิตจากโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน GMP/HACCP และ ISO 9001 ด้วยค่ะ

 

มาดูรายละเอียดของส่วนผสมที่น่าสนใจกันดีกว่านะคะ

 

  • Beta glucan จากยีสต์ ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สาร Beta-glucan เป็นสารประกอบในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ที่มีคุณสมบัติช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของร่างกาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ข้อมูลจากงานวิจัยในสัตว์ทดลองและในเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า Beta-glucan ที่สกัดจากยีสต์ให้ผลดีในการฆ่าเซลล์มะเร็งบางชนิด (เป็น Cytotoxic ต่อเซลล์มะเร็งบางชนิด) (Kobayashi et al., J Cancer Res Clin Oncol (2005) 131: 527–538)
  • สูตรผสมของ Hydrolyzed marine Collagen กับ Coenzyme Q10, Selenium และ เมล็ดองุ่น ไปคล้ายกับงานวิจัยของ De Luca และคณะ (2016) ซึ่งใช้ Marine collagen peptides กับ Coenzyme Q10, Selenium และ เปลือกองุ่น ทดสอบในอาสาสมัคร พบว่า ให้ผลดีในการเพิ่มความชุ่มชื้น และความยืดหยุ่นในผิว (De Luca et al, Oxid Med Cell Longev. 2016;2016:4389410.)
  • ผงผลไม้ที่มีประโยชน์หลายชนิด อย่าง แอปเปิ้ล สตรอเบอรี่ กีวี ทับทิม และ ส้ม มีสารพฤกษเคมีจากธรรมชาติที่เป็น Antioxidant ได้ดีค่ะ
  • L-glutathione ก็เป็น Antioxidant ที่ดีเช่นกันค่ะ

 

โดยรวมคือ สารที่ใส่มาส่วนใหญ่เน้นไปที่คุณสมบัติการเป็น Antioxidant ที่ดี มี Beta-glucan ที่ช่วยเรื่องภูมิคุ้มกัน และมีคอลลาเจนที่ช่วยเรื่องผิวพรรณ ความเห็นส่วนตัวมี่คิดว่าดูเหมือนปริมาณต่อเม็ดจะน้อยไปนิดนึงนะคะ แต่สารพวกนี้หลายๆชนิด เราไม่มีค่าปริมาณที่แนะนำในแต่ละวัน เลยไม่แน่ใจว่าต้องเท่าไหร่มันถึงจะได้ผลนะคะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

 

  1. ส่วนผสม เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เน้นการบำรุงผิวพรรณเป็นหลัก อาศัยส่วนผสมที่เป็น Antioxidant ที่ดี เสริมมาด้วยคอลลาเจน และเบต้ากลูแคน โดยรวมก็ถือว่ามีอยู่หลายชนิดที่ช่วยเสริมคุณสมบัติซึ่งกันและกัน แต่ส่วนตัวมี่คิดว่าแต่ละตัวมีปริมาณอย่างละนิดอย่างละหน่อย เลยดูเหมือนอาจจะยังไม่สุด แต่ก็เหมาะกับคนที่ไม่อยากกินหลายๆเม็ด จัดอันนี้เม็ดเดียวจบ จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์ค่ะ
  2. การรับประทาน ตัวแคปซูลค่อนข้างทานง่าย มีกลิ่นที่ดี ส่วนตัวมี่พึ่งทานได้ครบ 1 กล่อง ก็รู้สึกดีค่ะ แม้จะมีช่วงที่นอนดึกติดกันหลายวันเพราะทำงาน แต่ก็ไม่ได้โทรมลงไปมากแบบที่เคย จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์ เช่นกันค่ะ

 

คะแนน medisci

 

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Meddesci ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองรับประทาน และขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์ Meddesci

https://www.facebook.com/Meddesci

 

และทางเวบไซต์ www.meddesci.com ได้เลยค่ะ

 

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของขวัญจากแบรนด์ Meddesci การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

รีวิว วิเคราะห์ส่วนผสม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร French Glory Extra OPC 150 จาก USA

รีวิว วิเคราะห์ส่วนผสม ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร French Glory Extra OPC 150 จาก USA

วันนี้มี่แวะเอาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (หรือ ที่เราเรียกกันติดปากว่า อาหารเสริม) จากอเมริกามารีวิวให้ชมกันนะคะ

 

เป็นผงชง OPC สกัดจากเมล็ดองุ่นฝรั่งเศส องุ่นแดงฝรั่งเศส เปลือกสนฝรั่งเศส ผสมด้วย สารสกัดจาก Bilberry Citurs bioflavoboids และวิตามินซี จากแบรนด์ French Glory® สูตร Extra ค่ะ

ซึ่งคอนเซปท์ของผลิตภัณฑ์คือ อิงมาจากคำว่า “French paradox” ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของคนฝรั่งเศสที่จิบไวน์ กินองุ่น แล้วมีอายุยืนยาว มีสุขภาพร่างกายและหัวใจที่แข็งแรง

ในองุ่นนั้นมีสารพฤกษเคมีที่สำคัญ เป็นกลุ่ม Polyphenols อยู่หลายชนิด หนึ่งในนั้นมีชื่อเรียกว่า Oligomeric proanthocyanidins หรือ OPCs

โครงสร้างของ OPCs นั้น ค่อนข้างสลับซับซ้อน เกิดจากสายของสารในกลุ่ม Flavonoid หลายตัวมาต่อกันได้หลายแบบ กลายเป็น OPC ได้หลายชนิด ในองุ่นเองนี่ก็มีถึง 8 ชนิด (Bombardelli and Morazzoni. Fitoterapia 1995;66:291-317) สารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดีมาก

 

มาดูหน้าตาของผลิตภัณฑ์ดีกว่าค่ะ

 

OPC 1

มาในรูปแบบกระปุกค่ะ 1 กระปุกมี 300 กรัมนะคะ ทานได้ 3 เดือน

ตัวกระปุก Seal มาอย่างเรียบร้อย เพื่อปกป้องสารข้างในเอาไว้

OPC 3

วิธีการชงคือ ใช้ช้อนตวงตักมา 1 ช้อน ปาดเรียบ (ประมาณ 3.33 กรัม) ชงผสมกับน้ำธรรมดาที่อุณหภูมิห้อง (ไม่อุ่นไม่เย็น) 60 mL

เพื่อความสะดวก เขาก็จะมีช้อนตวง กับ ถ้วยตวงให้ค่ะ

OPC 2

 

ตักมา 1 ช้อนแล้วปาดให้เรียบเลยค่ะ

 

OPC 4

ตัวผงนั้นจะเป็นผงร่วนๆ สีม่วงอมน้ำตาล มีกลิ่นองุ่นอยู่นิดๆ ค่ะ

OPC 5

แล้วเราก็เติมน้ำลงไป 60 ml ให้ถึงขีดของถ้วยตวงค่ะ

 

OPC 6

คนให้เข้ากันค่ะ

 

OPC 7

 

มันจะมีฟองอยู่เล็กน้อย ไม่ต้องตกใจอะไรค่ะ ฟองนี้เกิดจากสารพฤกษเคมีในสารสกัดองุ่นและเปลือกสน

ลักษณะจะเป็นน้ำสีแดงๆอมม่วงนะคะ นี่คือสีของสารสกัดจากองุ่นแดงเลยค่ะ เพราะเขาไม่ได้ใส่สีมา

 

OPC 8

เอ้า ดื่มค่ะ ชงเสร็จก็ดื่มเลยนะคะ อย่าทิ้งไว้นาน รสชาตไม่หวานมาก จะออกเฝื่อนๆ ซึ่งเป็นรสตามธรรมชาติของพวก Tannin และ OPC ค่ะ เปรี้ยวนิดๆ กลิ่นหอมคล้ายไวน์แดง ทานง่ายมากค่ะ

วิธีการทานนั้นก็ให้ทานตอนท้องว่าง ส่วนตัวมี่ทานตอนเช้าหลังตื่นนอนแปรงฟันเสร็จก็ทานเลย ก่อนจะไปอาบน้ำอาบท่าและแต่งตัวมาทานข้าวเช้า

ทางแบรนด์แนะนำวิธีการเก็บรักษาให้ด้วยนะคะ คือ ให้เราแบ่งจากกระปุกหลัก มาใส่กระปุกรอง แล้วค่อยๆตักจากกระปุกรองมากินค่ะ จะได้ป้องกันไม่ให้ผลิตภัณฑ์ดูดความชื้นจนจับก้อนค่ะ

กระปุกหลักนั้นก็ใส่ถุงซิบไว้ และใส่กล่องปิดฝาให้สนิทค่ะ

 

OPC 9

สำหรับส่วนผสมนั้น ดูจากฉลากโภชนาการด้านข้างขวด เป็นดังนี้เลยค่ะ

 

สผส OPC

 

ในส่วนของสารออกฤทธิ์จะได้แก่

  1. สารสกัดจากเปลือกสนฝรั่งเศส (Maritime pine bark extract) ซึ่งประกอบด้วยพฤกษเคมีหลายชนิด รวมทั้งสารในกลุ่ม OPCs ซึ่งมีคุณสมบัติเรื่อง Antioxidant ที่ดี วัตถุดิบเปลือกสนที่ดังๆในตลาด มี 2 ยี่ห้อ คือ Pycnogenol® กับ Flavangenol® ซึ่งตัวแรกจะมีงานวิจัยสนับสนุนเกี่ยวกับ การเพิ่มความหนาแน่นของกระดูก กับทางด้านเสริมภูมิคุ้มกัน ส่วน Flavangenol นั้นมีงานวิจัยเกี่ยวกับคุณสมบัติด้านผิวพรรณ มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งให้อาสาสมัครทาน Flavangenol 12 สัปดาห์ พบว่าอาการของ Photoaging (การแก่ก่อนวัย) ดีขึ้น ริ้วรอยลดลง สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น (Clin Interv Aging. 2012;7:275-86.) คือจุดนี้เราไม่รู้ว่าเขาเอาวัตถุดิบยี่ห้อไหนมาใส่ เราก็เอามาอิงเป็นแนวทางแล้วกันเนาะ สรุปคือ Antioxidant ค่ะ
  2. สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ซึ่งก็มี OPC อยู่เป็นองค์ประกอบในปริมาณค่อนข้างสูงเช่นกัน มีงานวิจัยอยู่ค่อนข้างมาก เกี่ยวกับคุณสมบัติเรื่องการป้องกันมะเร็ง ป้องกันฟันผุ และเสริมภูมิคุ้มกัน ตัวนี้ทางแบรนด์ได้ใช้สารสกัดนำเข้าจากฝรั่งเศส ยี่ห้อ Vitaflavan® ซึ่ง Standardized (ตรวจสอบมาตรฐานของสารสกัด) แล้วให้มีความเข้มข้นของ Polyphenol อย่างน้อย 96% ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดตัวนี้ยังให้ประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนักเพิ่มเข้ามาอีกด้วยค่ะ
  3. สารสกัดจากองุ่นแดง ประกอบด้วยสารในกลุ่ม Polyphenol อยู่หลายชนิด ให้ผลเป็น Antioxidant ที่ดี ทางแบรนด์บอกว่าได้ใช้ ยี่ห้อ ExGrape® ของฝรั่งเศสเช่นกัน วัตถุดิบนี้ได้รับ Halal ด้วย
  4. สารสกัดจาก Bilberry ประกอบด้วยพฤกษเคมีอยู่หลายชนิด นอกจากกลุ่ม Polyphenols แล้วยังมีอีก 1 ตัว ที่สำคัญ คือ Lutein ซึ่งให้คุณสมบัติในการบำรุงสายตา ลดความเสื่อมของ Retina ซึ่งเป็นจุดรับแสงในดวงตา มีรายงานการวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติของ Bilberry ในการปกป้องเซลล์ Retina ไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะแสงสีน้ำเงิน หรือ Blue light ได้ (BMC Complement Altern Med. 2014 Apr 2;14:120.)
  5. Citrus bioflavonoids เป็นกลุ่มของ Flavonoids ที่พบในพืชตระกูลส้ม มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี มีงานวิจัยหลายฉบับสนับสนุนถึงการเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดฝอย และการเสริมภูมิคุ้มกันได้
  6. Ascorbic acid มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ถึงแม้จะดูเหมือนน้อย แต่ก็ได้อยู่ครึ่งหนึ่งของร่างกายที่เราต้องการในแต่ละวัน

 

ส่วนสารประกอบอื่นๆนั้นก็มีประโยชน์เพื่อ แต่งรส ป้องกันการจับก้อน ทำให้สารสกัดก่อตัวกันเป็นผงละเอียด และช่วยให้ชงได้ง่ายขึ้น ซึ่งไม่มีตัวไหนเป็นพิษเป็นภัยอะไร

 

จุดเด่นอีกอย่างคือ คำว่า “Isotonic” คำนี้เป็นคำเทคนิคทางเภสัชกรรม หมายถึง ระบบที่มีความเข้มข้นของสาร เท่ากับความเข้มข้นของเกลือในกระแสเลือด ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่า ระบบนำส่งแบบ Isotonic นี้ ทำให้การดูดซึมเกิดได้ง่าย ดี และรวดเร็ว

ค่านี้ขึ้นกับความเข้มข้น เป็นเหตุให้เวลาชง เราต้องตักมา และเติมน้ำให้ถูกต้อง ไม่ให้สารละลายที่เราชงกลายเป็น Hypertonic ที่เข้มข้นไป หรือ Hypotonic ที่เจือจางไป

 

ให้คะแนนกันซักหน่อยนะคะ

คราวนี้มีหัวข้อในการให้คะแนน 2 ข้อ คือ

  1. ส่วนผสม: สำหรับส่วนผสม อย่างที่ได้เล่าให้ฟังทางด้านบน ก็คือใช้สารสกัดที่อุดมด้วย Polyphenols, OPCs และ Flavonoids ยังเสริมด้วยสารอื่นๆที่ให้ประโยชน์เรื่องชะลอวัย ต่อต้านความเครียด อนุมูลอิสระ มลภาวะ ปกป้องดวงตา ระบบภูมิคุ้มกัน หลอดเลือดฝอย เรียกได้ว่าทานอย่างเดียว บำรุงร่างกายได้รอบด้าน และแน่นอนว่า ด้านผิวพรรณด้วย จุดนี้ขอให้ 5 คะแนน
  2. การรับประทาน ด้านรสชาตนั้นถือว่าทานได้ง่าย ทานไปๆก็จะรู้สึกว่าอร่อยดี กลิ่นหอม ช่วงที่ทานมาเกือบสัปดาห์ก็จะเริ่มรู้สึกได้ว่า การลงรองพื้นนั้นทำได้ง่ายขึ้น ไม่ค่อยเป็นคราบเหมือนปกติ โดยรวมถือว่าค่อนข้างชอบ แต่เนื่องจากมีขั้นตอนการชงพิเศษ เพื่อให้ได้สารละลายที่เป็น Isotonic เลยขอตัดคะแนนเล็กน้อย เหลือ 4 คะแนน

 

คะแนน OPC

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางเพจ French Glory OPC150 ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทาง https://www.facebook.com/opc150 นะคะ

 

ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางเพจ French Glory OPC150