สวัสดีค่ะ วันนี้มีรีวิวผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจมาฝากกันอีกแล้วค่ะ
ถ้าพูดถึงเซรั่มแล้ว หนึ่งในหลายๆตัวที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นเซรั่ม BrightageC จากแบรนด์ Kene ที่เป็นที่กล่าวขวัญถึงของชาวเน็ตอยู่มาซักระยะแล้วค่ะ
ส่วนตัวมี่เองก็พึ่งมีโอกาสได้ลองใช้เซรั่มดังกล่าว ก็ถือว่า เลอค่าสมคำร่ำลือจริงๆค่ะ
แบรนด์ Kene เป็นแบรนด์เวชสําอางประสิทธิภาพสูง ที่เน้นผลลัพธ์ที่ชัดเจนโดยเลือกใช้ส่วนผสมที่อิงตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เพื่อสุขภาพผิวที่ดีนั่นเองค่ะ โดยมีสโลแกนหลักคือ “Innovative skin solution” ที่ทางแบรนด์น่าจะต้องการสื่อว่า ไม่ใช่แค่ดูแลผิวพื้นๆ แต่ต้องการจัดการปัญหาผิวพรรณอย่างจริงจัง โดยอิงตามพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ และใช้นวัตกรรมด้านผิวหนังสมัยใหม่นั่นเองค่ะ
ว่าแล้วก็ขออวดโฉมหน้าของเซรั่ม BrightageC ก่อนนะคะ

โดยชื่อผลิตภัณฑ์คือ BrightageC ก็มาจากคำว่า Bright + Age + C ซึ่งก็คือการเข้าไปทำให้ผิวสว่างใส พร้อมๆกับจัดการปัญหาผิวแห่งวัย โดยมีส่วนผสมหลักเป็น Vitamin C ค่ะ
โดยที่ทางแบรนด์เลือกใช้ตัว VitaminC ก็เพราะตัว VitaminC มันมีหลักฐานว่าช่วยทั้งการลดความหมองคล้ำผ่านการยับยั้งเอนไซม์ tyrosinase และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนผ่านหลายๆกลไก เพราะผิวที่อายุมากขึ้นคอลลาเจนจะลดลง ทำให้เกิดปัญหาต่างๆตามมาเช่น ผิวไม่เรียบเนียน ริ้วรอย และการเสียความยืดหยุ่น
ปกติแล้วสารที่จะมากระตุ้นการสร้าง collagen ที่ได้รับความนิยมในวงการผิวหนังตัวหนึ่งก็คือ Vitamin A หรือกลุ่มของ Retinol แต่สารนี้มีปัญหาด้านความระคายเคือง ยิ่งถ้าใช้มากก็จะยิ่งระคายเคืองมาก นอกจากนี้ยังมีปัญหาในด้านความคงตัวและการขึ้นสูตร
Vitamin C ก็เลยจึงนับเป็นอีกส่วนผสมที่น่าสนใจหากต้องการต่อสู้กับปัญหาของคอลลาเจนที่ลดลงและความหมองคล้ำค่ะ ขอเอาคำพูดของเจ๊ Draelos ที่เป็นแพทย์ผิวหนังท่านหนึ่งที่มีผลงานตำราหลายๆเล่มมาแชร์ค่ะ มี่ก็จำได้ไม่ค่อยแน่นอน แต่นางบอกประมาณว่า “Vitamin C remains our important armamentatrium for anti-aging purpose” แปลง่ายๆว่า วิตซีนี่ก็คืออาวุธ/คลังแสงสำคัญในการต่อต้านความชราของเรา
ไหนๆก็พูดถึงผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอยแล้ว มี่ขอพูดถึงกลไกความแก่ของผิวกันนิดนึงค่ะ
ปกติแล้วสาเหตุหลักของความแก่ หรือ Aging ของร่างกาย รวมทั้งผิวของนี่มี 2 สาเหตุหลักค่ะ
- สาเหตุอันแรก เรียกว่า intrinsic factor คือปัจจัยภายใน เป็นธรรมชาติของร่างกายทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ทำให้ผิวบางลง คอลลาเจนลดลง ไขมันในบางจุดลดลง เช่น พันธุกรรม สาเหตุกลุ่มนี้เราไปเปลี่ยนอะไรมันไม่ได้ แต่เราชะลอได้ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือการใช้เครื่องสำอาง
- สาเหตุที่สอง เรียกว่า extrinsic factor คือปัจจัยภายนอก เช่น แสงแดด และการสูบบุหรี่ สาเหตุกลุ่มนี้เราสามารถป้องกันได้ โดยการหลีกเลี่ยงแสงแดด การทาผลิตภัณฑ์กันแดด งดการสูบบุหรี่ เป็นต้น
ลองสังเกตกันง่ายๆนะคะ เวลาดูผิวผู้สูงอายุ หรือคนที่ทำงานกลางแดดนานๆ บริเวณที่ได้รับแสงแดด ผิวจะเหี่ยวและมีจุดด่างดำ มากกว่าบริเวณที่ไม่โดนแสงเช่นบริเวณลำตัว ผลจากแสงแดดที่ทำให้ผิวแก่เราก็จะเรียกมันว่า photoaging ค่ะ
เกริ่นอะไรไปก็ไม่รู้ยืดยาว กลับเข้ามาเรื่อง BrightageC กันต่อค่ะ ที่พูดมานี่มีหนึ่งเรื่องที่อยากจะบอกคือ มันมีการศึกษาว่าถึงแม้จะทากันแดดได้ดี ปริมาณเหมาะสมแต่เราก็สามารถป้องกันอนุมูลอิสระจาก UV ได้เพียง บางส่วนเท่านั้น แสดงว่าถึงแม้จะทากันแดดดีแต่ก็มีอนุมูลอิสระบางส่วนที่เข้าไปทำร้ายผิวให้เกิดความเสียหายได้อยู่ดี เราถึงต้องเสริม antioxidant ให้ผิวเพื่อหักล้างผลเสียของรังสี UA ที่เล็ดรอดเข้าไปในผิว
BrightageC เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่มี antioxidant ที่ดีคือมี vitamin C เข้มข้นผสานกับ antioxidant อีกหลายๆตัวที่จะทั้งป้องกัน photoaging และแก้ไขปัญหาคอลลาเจนที่ลดลงผ่านการทำงานร่วมกับ signal peptide อีกหลายตัวในการส่งสัญญาณกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนใหม่ๆขึ้นมาทดแทนคอลลาเจนที่เสียไป
ตัวนี้อาศัย Vitamin C 2 รูปแบบ (Ester + Ether) และ เปปไทด์ที่กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนของผิว เป็นพระเอก และ นางเอกชูโรงค่ะ
แอบยืมภาพจากข้างกล่องมาใช้ซักหน่อย

ที่ด้านข้างกล่องก็จะมี Claiming เกี่ยวกับผลลัพธ์ที่จะได้อยู่ด้วยค่ะ

ดูกล่องเยอะและ มาดูข้างในบ้างดีกว่าค่ะ

ตัวเซรั่มเป็นหลอดสีขาวด้าน หัวหลอดกว้าง วางในแนวตั้งได้สะดวก
เนื้อเซรั่มเป็นสีขาว ไม่มีกลิ่น ทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอมค่ะ

เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ใช้ได้ทั้งเช้าทั้งเย็น ตอนเช้าทาเสร็จก็ลงเมคอัพได้เลย และถ้าดูจากเนื้อ คิดว่าน่าจะได้ทุกสภาพผิวค่ะ ส่วนผิวแห้งมากๆอาจจะไม่พอให้เสริม moisturizer ทับอีกชั้น ก่อนลงกันแดดนะคะ

วัดค่า pH ซักหน่อยนะคะ

pH อยู่ที่ประมาณ 6 ซึ่งใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ มาถึงตรงนี้หลายๆคนอาจจะคิดว่า Vitamin C ต้องอยู่ในสภาวะที่เป็นกรดถึงจะคงตัวและดูดซึมได้ แต่ความจริงแล้ววิตามินซีในรูป Ascorbic acid ที่จำเป็นต้องเป็นอยู่ในตำรับที่มีค่า pH เป็นกรด เพื่อให้ตัววิตามินอยู่ในรูปแบบที่ไม่แตกตัวถึงจะมีการดูดซึมเข้าผิวได้ดี ส่วนในรูปอนุพันธ์นั้น ด้วยความที่มีสายไขมันเป็นตัวนำส่งเข้าผิวอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องปรับสูตรให้เป็นกรด ซึ่งน่าจะช่วยลดการระคายเคืองผิวไปด้วยในตัว
มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

ตรงข้างกล่อง ทางแบรนด์ก็จะมี Claiming ของปริมาณที่ใช้อยู่ด้วยค่ะ

วันนี้เรามารีวิวกันแบบละเอียด แจงจัดหนักทุกส่วนผสมเลยนะคะ
ถ้าเราพิจารณากันจะพบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแทบทุกชนิดจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ
- Actives คือ สารบำรุง เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติที่ดี รวมไปถึงมีประโยชน์ทางชีวภาพ
- Base คือ เนื้อหลักของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
- Additive คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้ และมีความปลอดภัย
มี่ได้ทำสีส่วนผสมสารบำรุงไว้หลายๆสีนะคะ เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าแต่ละสีมีประโยชน์อะไรบ้าง
มาดูรายละเอียดส่วนผสมแต่ละตัวกันเลยนะคะ
- กลุ่มสารบำรุง (Active ingredients)
- สีม่วง คือ พระเอกของเราในวันนี้ค่ะ เป็นกลุ่มของวิตามินซี ซึ่งทางแบรนด์ใส่มา 3 รูป หรือ Form คือ Ascorbyl tetraisopalmitate, 3-O-Ethyl ascorbic acid และ Ascorbic acid ตัวดั้งเดิม โดย ตัวแรก Ascorbyl tetraisopalmitate เป็นรูปที่ละลายในไขมัน โดยตัวของสร้างของเขาคือ เป็นสารประกอบเชิงซ้อนที่มีสายไขมันจับอยู่กับโมเลกุลของวิตามินซี 4 สาย จึงมีความเป็นกรดต่ำ และดูดซึมเข้าผิวได้ดี โดยอาศัยโครงสร้างของสายไขมันเป็นตัวพาเอาเข้าไปในผิว และพอเข้าผิว ผิวเราจะค่อยๆตัดสายไขมันออก ได้เป็นวิตามินซีรูปแบบดั้งเดิมในผิว

(ที่มา: Nikko Chemicals Co., Ltd.)
ส่วนเจ้า 3-O-Ethyl ascorbic acid ว่ากันว่าเป็นรูปที่มีขนาดโมเลกุลเล็กกว่า Ascorbic acid ธรรมชาติ มีเคลมว่าจะดูดซึมได้ง่ายกว่า
ประโยชน์ของวิตามินซีที่มีกับผิว คือ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว และมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสีของผิว และมีหลายๆแหล่งข้อมูลบอกว่า วิตามินซี สามรารถยับยั้งกระบวนการอักเสบในผิว และปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ด้วย จึงให้ประโยชน์ในด้าน ริ้วรอย ชะลอวัย ลดการอักเสบ และผิวขาวกระจ่างใสไปพร้อมๆกัน
ทางแบรนด์จัดเต็มเรื่องของความเข้มข้นที่ใส่มาด้วยนะคะ
Ascorbyl tetraisopalmitate 10%
3-O Ethyl ascorbic acid 2%
- สีน้ำเงิน เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้น โดยดูดน้ำให้กับผิว
- Sorbitol เป็นน้ำตาลชนิดหนึ่ง
- Sodium lactate เป็นสารที่จัดเป็น Natural moisturizing factor หรือ NMF ที่มีอยู่ในผิวตามธรรมชาติ ทำหน้าที่ดูดน้ำและเก็บกักน้ำให้ผิว ว่ากันว่ามีประสิทธิภาพสูงมากเมื่อเทียบกับสารดูดน้ำอื่นๆ
- Panthenol หรือโปรวิตามินบี 5 นอกจากคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว นางยังมีประโยชน์ด้านการลดการอักเสบและระคายเคืองในผิว รวมไปถึงมีคุณสมบัติในการสมานผิวได้ด้วย
- Sodium PCA เป็นสาร NMF เช่นเดียวกัน
- Beta-glucan เป็นสารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรต ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นได้เช่นกัน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ที่ดีกับผิว โดยมีข้อมูลกล่าวถึงคุณสมบัติ antioxidant ลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น สมานผิว และปกป้องผิวจากรังสี UV (Phytother Res. 2014 Feb;28(2):159-66.)
- Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับความชุ่มชื้นของผิว จุดนี้ทางแบรนด์เคลมว่าใช้ในรูปแบบที่มีอนุภาคขนาดเล็ก หรือ แบบ nano ที่ดูดซึมเข้าไปในผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและความยืดหยุ่นจากภายใน
- สีเขียว เป็นกลุ่มของสารไขมันทดแทน Barrier ผิว เพื่อให้ผิวแข็งแรงได้แก่
- น้ำมันจากพืช อย่าง Jojoba และ เมล็ดองุ่น ซึ่งมีกรดไขมันจำเป็นอยู่
- Squalane เป็นไขมันที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ เลียนแบบไขมันที่ต่อมไขมันเราสร้างขึ้นมา ทำหน้าที่เคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น
- Ceramide 3 และ Ceramide 6II เป็นไขมันที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของ Barrier ผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง ป้องกันอันตรายจากภายนอก และป้องกันไม่ให้น้ำและสารภายในหลุดรอดออกไปจากผิว
- Cholesterol เป็นไขมันอีกชนิดที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier มีรายงานว่าการทา Cholesterol สามารถปกป้องผลเสียที่เกิดจากรังสี UV ต่อผิวได้ โดยไปลดการสร้างเอนไซม์ MMP-1 ที่ไปย่อยคอลลาเจน และ ลดการสร้างสารก่ออักเสบ ในกลุ่ม Interleukin ได้ (J Dermatol Sci. 2012;65(2):110-7.)
- Phytosphingosine เป็นเบสที่เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์เซราไมด์ของผิว
- Lecithin เป็น Phospholipid ชนิดหนึ่งที่พบได้ในผิว ในทางเครื่องสำอางอาจจะนำมาเป็นส่วนนึงของระบบนำส่งสารเข้าผิว
- สีฟ้า กลุ่มชะลอวัย และลดริ้วรอย ได้แก่
- Decarboxy carnosine HCl มีชื่อทางการค้าว่า Alistin เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีฤทธิ์แรง ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า มีคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ลดการอักเสบ ลดริ้วรอย และที่สำคัญคือ สารนี้มีประโยชน์ช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากกระบวนการ Glycation (การที่น้ำตาลเข้ามาจับกับโปรตีนในผิว แล้วมีผลต่อการทำงานของผิว เช่น ถ้าจับกับคอลลาเจน จะทำให้ความยืดหยุ่นของผิวลดลง ปฏิกิริยานี้มักจะพบมากขึ้นเมื่อเรามีอายุเพิ่มขึ้น เป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ ผิวไม่ยืดหยุ่นและริ้วรอย)

(ที่มา: Exsymol S.A.M.)
- Tetrapeptide-21 เป็นสารกลุ่ม Peptide มีชื่อทางการค้าว่า TEGO Pep 4-17 นำเข้าจากเยอรมัน ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า เปปไทด์นี้ที่มีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้าง องค์ประกอบที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในผิว ได้แก่ Collagen, Hyaluronic acid และ Fibronection ซึ่งเป็น ไกลโคโปรตีนที่ช่วยยึดจับ ECM ต่างๆไว้เพื่อให้ผิวยืดหยุ่นและกระชับ ที่สำคัญคือมีงานวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพของสารในการเพิ่มการสังเคราะห์ ECM และประสิทธิภาพในการลดริ้วรอยช่วยปรับสภาพผิวให้เรียบเนียนในอาสาสมัคร (Experimental Dermatology, 2011;20:602-604)
- สูตรผสมของ Palmitoyl tetrapeptide-7 กับ Palmitoyl tripeptide-1 มีชื่อทางการค้าว่า Matrixyl 3000 นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศส เป็นเปปไทด์สายสั้นๆที่จับกับกรดไขมัน Palmitic เพื่อใช้เป็นตัวนำส่งให้ดูดซึมเข้าผิวดีขึ้น จัดเป็นสารที่เรียกว่า Matrikine ทำหน้าที่เสมือนเป็นคนส่งสาร หรือ Messenger ที่ช่วยให้ผิวมีการฟื้นฟูและซ่อมแซมตนเอง โดยไปช่วยส่งเสริมการสร้าง ECM ในผิว และลดเลือนริ้วรอย
- Resveratrol เป็นสาร Antioxidant ประสิทธิภาพสูงที่พบในไวน์แดง มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระ และชะลอวัย มีรายงานกล่าวว่าสารนี้สามารถมีส่วนช่วยให้ผิวขาว ผ่านกลไกการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ยับยั้งไทโรซิเนส และช่วยปกป้องผิวไม่ให้ดำคล้ำจากรังสี UVB ได้ (Biomol Ther (Seoul). 2014; 22(1):35-40.)
- Carnitine เป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีบทบาทในการ Metabolism ของไขมันงานวิจัยกล่าวว่าการทา L-carnitine จะมีผลไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการ metabolism ของไขมันในเซลล์ Sebocyte ที่ต่อมไขมันทำให้ไขมันลดลง ให้ผลควบคุมความมันของผิวหนัง (J Cosmet Dermatol. 2012; 11(1):30-6.)
- Ubiquinone หรือ Co-enzyme Q10 เป็นสาร Antioxidant ที่มีประสิทธิภาพสูงเช่นกัน มีงานวิจัยกล่าวว่าการทา Coenzyme Q10 จะช่วยลดปริมาณอนุมูลอิสระ และเพิ่มความสามารถในการเป็น Antioxidant ของผิว ( 2015;41(6):383-90.)
- กลุ่มสุดท้ายสีส้ม เป็นสารบำรุงอื่นๆ ได้แก่
- Rubus villosus leaf extract สารสกัดจาก Blackberry ส่วนของใบมีรายงานว่าเป็น Antiaging ที่ดี โดยมีคุณสมบัติต่อต้านการทำงานของเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนในผิว ลดการอักเสบ และเป็น Antioxidant ((Int J Cosmet Sci. 2007;29(5):411)
- Camellia sinensis leaf extract คือ สารสกัดจากชาเขียว มีรายงานวิจัยอยู่ค่อนข้างมาก เช่น เป็น antioxidant เป็น Moisturizer ลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว (Dermatol Ther. 2013;26(3):267-71.) และ สารประกอบกลุ่ม Polysaccharide ที่พบในชาช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ และสารประกอบกลุ่ม Polyphenol ยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ (J Agric Food Chem. 2009;57(17):7757-62.)
- Rumex occidentalis extract มีชื่อทางการค้าว่า Tyrostat สกัดได้จากพืชที่ขึ้นในแถบอเมริกาเหนือ มี Claim ว่าสารนี้ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ได้แรงกว่า Arbutin และ Hydroquinone และให้ผลลดรอยแดงได้ด้วย ตัวนี้ทางแบรนด์จัดเต็มมา 1.5%
- Tocopheryl acetate เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินอี ที่เป็น Antioxidant เช่นกัน นอกจากนี้วิตามินอีสามารถช่วย Recycle วิตามินซีที่เสื่อมสภาพให้กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง
โดยรวมจึงเห็นได้ว่าสารบำรุงที่ใส่มา นอกจากมีประโยชน์ด้าน Whitening และ Antiaging ลดริ้วรอยแล้ว ยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟู Barrier ผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง และที่สำคัญคือ ต่อต้านการเกิด Glycation ที่เป็นเทรนด์ใหม่ของวงการได้ด้วย
- ส่วนของเนื้อหลัก หรือ Base ประกอบด้วยน้ำ และน้ำมัน ไม่มีซิลิโคน และแอลกอฮอล์ ดังนี้
- ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ และสารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น อย่าง Glycerin, Butylene glycol และ Propylene glycol
- ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Isohexadecane เป็นน้ำมันสังเคราะห์ที่ระเหยได้ ให้สัมผัสบางเบา กับ Synthetic wax ที่ช่วยเพิ่มเนื้อให้ครีม
- ส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่
- สารเชื่อมประสานน้ำกับน้ำมัน และ ตัวเพิ่มความหนืด จะเป็นกลุ่มของ Polysorbate, Sodium acrylate/sodium acryloyldimethyltaurate copolymer, Carbomer และ xanthan gum
- สารเสริมประสิทธิภาพกันเสีย คือ Ethylhexylglycerin ซึ่งเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ด้วย
- สารกันเสีย คือ Phenoxyethanol
- สารประจุบวก
- Hydroxyethyl behenamidopropyl dimonium chloride เป็นสารประจุบวกที่มีชื่อทางการค้าว่า Incroquat™ Behenyl HE ใน Skincare จะเกาะติดผิว ช่วยให้ผิวนุ่ม และให้สัมผัสที่แห้งและบางเบา ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่ามีความอ่อนโยน
- Polyquaternium-67 เป็น Polymer ของสารประจุบวกที่เมื่อใช้ร่วมกับ Hyaluronic acid จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้อย่างยาวนาน
แวะสรุปอีกซักครั้งก่อนไปให้คะแนนนะคะ
โดยสรุป BrightageC Line&Radiance corrector ตัวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งเซรั่มวิตซี ในท้องตลาดที่น่าสนใจมากค่ะ โดยความแตกต่างหลักๆที่น่าสนใจคือ การใช้อนุพันธ์วิตามินซีแบบใหม่ที่มีความเข้มข้นสูง คาดหวังในประสิทธิภาพได้ และที่แตกต่างจากเซรั่มวิตซีอีกหลายๆตัวทั่วไป ก็คือการที่มันไม่ได้มีแค่วิตซี แต่มีส่วนผสมของ signal peptide 2 ชนิด หรือที่ทางแบรนด์เรียกว่า collagen boosting peptideที่เข้ามาช่วยในเรื่องการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่มาทดแทนคอลลาเจนเดิมในผิว และมีส่วนผสมช่วยฟื้นฟูบำรุงผิวหลายๆชนิด เช่น กลุ่ม antioxidant, antiglycation, whitening, ส่วนผสมที่ช่วยฟื้นฟู Barrier ผิวเพื่อผิวที่แข็งแรง และส่วนผสม อื่นๆ อย่างที่มี่ได้กล่าวไปแล้วในข้างต้น จุดนี้ก็อาจจะเป็นข้อดีที่แตกต่างจาก วิตซีตัวอื่นๆในท้องตลาด
ใครบ้างที่เหมาะกับการใช้? คำถามนี้คิดว่าเดี๋ยวคงมีคนแอบมาถาม หนูใช้ดีไหมคะ เหมาะกับหนูไหมคะ
จริงๆน่าจะต้องแบ่งเป็นสองกลุ่มนะคะ คือกลุ่มที่มีริ้วรอยจุดด่างดำแล้ว ผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะเข้าไปช่วยจัดการปัญหาที่มีอยู่ และป้องกันไม่ให้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น
ส่วนคนที่ยังไม่มีปัญหา มองว่าเป็นเรื่องที่ดีเลยค่ะกับการใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม antioxidant เพราะมันจะลดความเสียหายที่เราสะสมจากแสงแดด ปัจจัยความเสียหายจากภายนอก เหมือนที่ได้ยกตัวอย่างเช่นผิวในร่มผ้าให้ฟังกันไป ดังนั้นยิ่งเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เร็วยิ่งดีค่ะ อีกหนึ่งประโยชน์ที่ผิวที่ยังไม่มีริ้วรอยจะได้จากผลิตภัณฑ์ตัวนี้คือ เมื่อมีการสร้างคอลลาเจนมากขึ้นผิวจะดูเรียบเนียน รูขุมขนก็จะดูเล็กลงได้ค่ะ
มี่จะค่อนข้าง Concern เรื่องกันแดดนะคะ ดังนั้นการทากันแดดถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดนะคะ หากต้องการมีผิวที่อ่อนเยาว์เสมอค่ะ
ถึงเวลาของการให้คะแนนค่ะ
- สารบำรุง ตามที่ได้เล่าให้ฟังในด้านบนว่า นอกจากพระนาง Vitamin C และ Collagen boosting peptides แล้ว ยังมีเหล่านักแสดงสมทบอีกมากมายก่ายกอง ที่มีประโยชน์ในด้าน Whitening และ Antiaging ตามเคลมของผลิตภัณธ์แล้ว ยังมีส่วนช่วยลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น ฟื้นฟู Barrier ผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง และที่สำคัญคือ ต่อต้านการเกิด Glycation ที่เป็นเทรนด์ใหม่ของวงการได้ด้วย วัตถุดิบสารบำรุงส่วนใหญ่ นำเข้ามาจากต่างประเทศ จึงขอให้ไป 5 ฟลาสก์
- ส่วนผสมอื่นๆ ไม่ได้มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
- การใช้งาน ช่วงนี้ผิวมี่จะเป็นแนวผิวผสมค่อนแห้ง เซรั่มตัวนี้ลงแล้วจะค่อนข้างสบายผิว แต่กับบริเวณที่แห้งอย่างแก้มจะยังไม่พอ ต้องเสริมมอยส์เจอร์ทับอีกชั้นก่อนลงกันแดด ส่วนตัวมี่ได้ทดลองใช้ประมาณ 3 อาทิตย์ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงตาม Claim หลักของแบรนด์ คือ เรื่องของผิวเรียบเนียนขึ้น และความสม่ำเสมอของสีผิวจะดีขึ้น แต่ก็ไม่ได้ถึงกับว่าทาปุ๊บจะขาวปั๊บขาวแบบหวือหวามาก นางจะค่อยๆเป็นค่อยๆไป พอใช้มาราวๆ 3 อาทิตย์ก็จะเริ่มมีคนทักว่าดูผิวมีสุขภาพดีขึ้น พวกจุดด่างดำต่างๆก็ดูจางลงโดยเฉพาะรอยดำจากสิวจะมีความสม่ำเสมอมากขึ้น นอกจากนี้ก็รู้สึกว่าผิวนุ่มฟูขึ้น อารมณ์เหมือนได้เรื่องผิวฟูเรียบเนียนไปพร้อมๆกับความสว่างใสขึ้น ส่วนหนึ่งพอผิวมันดูเรียบเนียนขึ้นเหมือนกับหน้ามันก็ดูเนียนๆใสๆขึ้นไปด้วย โดยรวมถือว่าค่อนข้างชอบค่ะ ให้ ไป 5 ฟลาสก์ โดยรวมถือว่าค่อนข้างชอบค่ะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Kene ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Kene ได้โดยตรงเลยนะคะ
https://www.facebook.com/KeneThailand/
https://kene.co.th/
พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Kene การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ