Image

[Basic Cosmetology] แชร์ 5 วิธี ปกป้องผิวจากมลภาวะ

วันนี้มี่ขอแชร์กลไกในการดูแลผิวจากมลภาวะแบบง่ายๆ ที่เราสามารถทำกันได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนัก

ตอนนี้ก็ปัญหาฝุ่นที่กรุงเทพ

เดี๋ยวอีกสักพัก ภาคเหนือก็เผากันสนุกสนาน (?) ปัญหานี้ก็จะตามมาต่อที่ภาคเหนือค่ะ ต่อให้มีประกาศห้ามเผา ตรวจจับจาก Hot spot ผ่านดาวเทียม มันก็ยังเผากันในเตาเผาใต้หลังคา ตรวจความร้อนจากดาวเทียมไม่เจออีก

เยี่ยมมากจริงๆค่ะ

เรียกได้ว่า มันเป็นกันไปทั่ว

AP

จากหลายๆ Blog ก่อนที่มี่เคยเล่าว่า มลภาวะสามารถส่งผลเสียกับผิวได้หลายประการ ที่เราอาจจะท่องจำกันง่ายๆว่า “อักเสบ เหี่ยว ดำ เสื่อม” 

(ถ้าใครอยากตามไปอ่านเรื่องมลภาวะอีกรอบ เชิญได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>click<<)

 

ดังนั้น วิธีการป้องกันมลภาวะเหล่านี้ ก็สามารถป้องกันได้ตามผลเสียที่มันจะเกิดขึ้นเลยค่ะ

 

มี่เลยขอแชร์วิธีการป้องกันมลภาวะ 5 ข้อ ดังนี้ค่ะ

 

1. ป้องกันไม่ให้มลภาวะสัมผัสผิว

อาจจะใช้การใส่ Mask หรือ อาจจะใช้สกินแคร์บางกลุ่มช่วยป้องกันไม่ให้มลภาวะเหล่านี้สัมผัสผิวได้ค่ะ

ตัวอย่างส่วนผสมที่ทำได้ : Biosaccharide gum-4 (ชื่อทางการค้า Pollustop) ตัวนี้เจอในผลิตภัณฑ์ต้านมลภาวะหลายๆยี่ห้อเหมือนกันค่ะ

อันที่จริงซิลิโคนบางตัวที่เคลือบผิวไว้ ก็น่าจะป้องกันได้นะคะ

หรืออย่างล่าสุด ที่มีผลิตภัณฑ์สเปรย์ Ihada จากญี่ปุ่น ที่มีส่วนผสมของ สารประจุบวก ก็สามารถผลักเอามลภาวะกระเด็นออกไป ไม่ให้มลภาวะเข้าผิวได้

SHOHIN_PL_C1_E07502_L

มี่เคยวิเคราะห์ส่วนผสมสเปรย์ Ihada ไว้นะคะ สามารถตามไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ >>Click<<

 

2. เสริม Barrier ผิว

อันนี้ถ้า Barrier ผิวเราแข็งแรง มลภาวะก็จะลงไปได้ยากขึ้น

พวก Ceramide กับ ไขมันอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว น่าจะตอบโจทย์ได้ค่ะ

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นฟู Barrier ผิวได้ก็มีหลายตัวเลย

เช่น

CeraVe

(Click เพื่ออ่าน review)

Atoplam

(Click เพื่ออ่าน review)

Dermartlogy

(Click เพื่ออ่าน review)

 

จริงๆมีผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นอีกตัว ในกลุ่มของ d program ที่เสริมการทำงานของ cornified envelop ที่เป็นเปลือกหุ้มของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าให้แข็งแรงไปอีก

ตัวนี้พอดียังหาส่วนผสมไม่ได้ เลยยังไม่ได้เอามาเมาท์ต่อค่ะ

 

เอาจริงๆก็เลือกใช้กันได้ตามสะดวกเลยค่ะ 🙂

 

3. ล้างหน้าทำความสะอาดให้ดีๆ

แต่อย่ามากเกินไปจนชะเอาไขมันดีๆออกจากผิว ผิวจะเสียกว่าเดิมอีก

การทำความสะอาดด้วยสารทำความสะอาดต่างๆ ก็สามารถชะเอามลภาวะต่างๆออกไปจากผิว รวมไปถึงการมาส์กหน้าด้วยโคลน ซึ่งน่าจะสามารถดูดซับเอาสิ่งสกปรกต่างๆไว้กับตัว ก็น่าจะตอบโจทย์ในขั้นตอนตรงนี้ได้

 

นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผลิตภัณฑ์ต้านมลภาวะหลายๆตัวในตลาด ออกมาเป็นโฟม/เจลล้างหน้า หรือ Clay mask

 

4. แก้ที่ปลายเหตุ

มลภาวะนี่เวลามันลงผิว มันจะไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ และการอักเสบขึ้นมา

เราก็ Block มันด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กับ สารลดการอักเสบสิ

 

อนุมูลอิสระ และการอักเสบนี้ ถ้าเกิดแล้วมันจะยาวววววว ไปถึงการเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิวขึ้น กลายเป็นจุดด่างดำ ตรงนี้ Block โบกเข้าไปด้วย Whitening อีกจุดคือ นางจะไปเหนี่ยวนำให้เอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน ที่ชื่อ MMP ทำงานมากขึ้น ก็ไป Block เจ้า MMP เสีย หรือ อาจจะหาสารอื่นที่เสริมคอลลาเจนเข้ามาทดแทน

 

ตัวอย่างส่วนผสมที่น่าสนใจ แต่ไม่ค่อยมีใครเคลม คือ สารสกัดจากบัวบก คือ ตัวเดียวจบ ทั้งริ้วรอย ทั้งอนุมูลอิสระ ทั้ง MMP โลด

 

ส่วน Whitening ก็มีหลายตัว ที่เรารู้จักกันบ่อยๆ ก็พวก B3, C และก็ Arbutin

 

 

5. กันแดดอย่าให้ขาด

 

หลายๆ แหล่งข้อมูลบอกว่า รังสี UV ทำให้มลภาวะส่งผลเสียกับผิวได้มากขึ้น ดังนั้นกันแดดต้องใช้ห้ามขาดมือค่ะ

 

และจริงๆเดี๋ยวนี้กันแดดหลายๆยี่ห้อ ก็เคลมเรื่อง Anti-pollution แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากยุโรป ญี่ปุ่น หรือ เมกา เองก็พากันเคลมกันใหญ่

 

จริงๆ Pollution น่ากลัวนะคะ แต่การดูแลไม่ได้ยากมาก ทำเถอะ เพื่อผิวสวยงามและแข็งแรง

 

สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอตัวไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

สงวนลิขสิทธิ์ในบทความทั้งหมดตามพระราชบัญญัติ ห้ามนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต

Disclaimer: บทความนี้ผู้เขียนจัดทำขึ้นมาโดยอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ และไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆในการเขียนบทความนี้

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมและไพร์มเมอร์กันแดดต้านมลพิษจากแบรนด์ Tender

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่มีรีวิวผลิตภัณฑ์ต่อต้านมลภาวะ Anti-pollution จากแบรนด์ Tender แบรนด์น้องใหม่ แต่ส่วนผสมนั้นแซ่บไม่แพ้รุ่นพี่เลยนะคะ

 

สกินแคร์ของแบรนด์ Tender ที่มี่ได้มา มี 2 ชิ้นค่ะ เป็นตัว Serum และ กันแดดเนื้อ Primer ค่ะ

 

มาด้วยแพคเกจน่ารักสดใสมุ้งมิ้งค่ะ

 

tender 1

 

เรามาเริ่มกันกับตัว Serum ก่อนเลยนะคะ

 

Serum นั้นมาในขวดปั๊ม สีขาว ตกแต่งแนว Minimal สีเขียวนมๆ

 

tender 2

 

ตรงนี้เป็นคำ Claim ที่ด้านหลังกล่องค่ะ

 

tender 3

 

เนื้อเซรัมเป็นกึ่งๆน้ำนม มีกลิ่นหอมจางๆค่ะ เกลี่ยค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสลื่น บางเบา ซึมไว ไม่เหนอะหนะ

 

 

วัดค่า pH ซักหน่อยนะคะ

 

tender 6

 

ค่า pH อยู่ระหว่าง 5 – 6 ค่ะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างค่ะ

 

สำหรับตัวเซรัมส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

 

สผส primer

 

ส่วนผสมของสารบำรุงมี่ทำสีม่วงไว้ให้ค่ะ ที่มาในลำดับแรกๆจะเป็นตัว Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ซึ่งมีประโยชน์หลายๆด้านนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Whitening, ลดการอักเสบ ดูแลปัญหาสิว และเพิ่มการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว

 

สารบำรุงที่มาเด่นไม่แพ้กันก็คือส่วนผสมของ Plankton extract และ Arginine ferulate ค่ะ สารนี้เป็นนวัตกรรมจากฝรั่งเศส ที่ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าให้ผลเกี่ยวกับการ Detoxification (หรือย่อๆว่า Detox) และการชะลอวัยค่ะ ซึ่งเวลาใช้ด้วยกัน สารทั้งสองจะช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันค่ะ

 

สารสกัดจากสาหร่ายสีแดง Chondrus cripis น่าจะตรงกับวัตถุดิบ Oligogeline ของบ. Seppic จากทางฝรั่งเศส ซึ่งให้ผลเรื่องความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว

 

และสุดท้าย Broccoli extract (Brassica oleracea italica) นี้มี่คิดว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบที่ชื่อ BioDtoxTM ซึ่งประกอบด้วย Propanediol (and) Bioflavonoids (and) Brassica Oleracea Italica (Broccoli) Extract (and) Aloe Barbadensis Leaf Extract

 

ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า ให้ผลในการ Detox ช่วยต่อต้านมลภาวะ ลดการอักเสบ ต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารบำรุงชุดนี้ช่วยปกป้อง Barrier ผิวไม่ให้ถูกทำลายเพราะ Sodium lauryl sulfate ได้ด้วยค่ะ (REF: cosmetic business)

 

จริงๆลำพัง Broccoli ก็ให้ผลเป็น Antioxidant ที่ดีอยู่ในตัวแล้วค่ะ ยิ่งมาประกบกับ Bioflavonoids ซึ่งเป็นสารที่พบในเปลือกส้ม และพืชหลายๆชนิด พวกนี้ก็เป็น Antioxidant ที่ดีอีกค่ะ โดยรวมคือ มหกรรมแห่ง Antioxidant

 

แล้วคหสต.มี่คิดว่าสารพวกนี้น่าจะคงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ เพราะตัวที่จะตายแทนพวกนี้คือวิตอีค่ะ วิตอีจะเป็นผู้เสียสละพลีชีพเพื่อรักษาสิ่งพวกนี้ไว้

 

ส่วนผสมทุกตัวมีความอ่อนโยน ทางแบรนด์ Claim ว่าสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่าย เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี

 

ส่วนอีกตัวเป็นกันแดดไพรม์เมอร์ค่ะ มีชื่อเต็มๆว่า complete primer UV protection Anti-pollution SPF50 PA+++ UVA/UVB

 

tender 7

 

นางมาในแพคเกจที่เป็นหลอดบีบค่ะ

ตรงนี้จะเป็นคำ Claim ด้านหลังกล่องนะคะ

 

tender 10

 

เนื้อครีมเป็นครีมสีเหลืองอ่อน มี pigment ขนาดเล็กละเอียดมาก เป็นประกายแวววาว ดู Glow แบบไม่มันเยิ้มค่ะ

 

 

ตัวนี้มี่ไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ เพราะมีเม็ด pigment จะรบกวนการอ่านสีค่ะ

 

 

มาดูส่วนผสมกันค่ะ

 

สผส เซรัม

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าส่วนของสารบำรุงจะดูคล้ายกับตัว Serum นะคะ จะมีต่างกันเล็กน้อยค่ะ

 

ถ้าพูดถึงสารกันแดดมี่ทำสีฟ้าไว้ให้ค่ะ เป็นกันแดดผสมเคมีและกายภาพค่ะ

  • Ethylhexyl methoxycinnamate ตัวนี้เด่น UVB
  • Octocrylene ดูดซับช่วง UVB และเป็นตัวเพิ่มความคงตัวค่ะ
  • Ethylhexyl triazone ตัวนี้ก็เด่น UVB ค่ะ
  • Diethylamino Hydoxybenzoyl Hexyl Benzoate ตัวนี้เด่น UVA มีความคงตัวค่อนข้างสูง และก็ถ้าเสริมกับสารในกลุ่ม Triazone อีกตัวหนึ่งก็จะได้ผลดีขึ้น
  • titanium dioxide เป็นกันแดดกายภาพ อาศัยการสะท้อนรังสีเอา

 

กันแดดมี SPF ที่ 50 และกันน้ำกันเหงื่อได้ ไม่ลอยไม่วอกไม่เทาเลยค่ะ และจากกลุ่มสารกันแดดที่ใช้โดยรวมก็ถือว่ากันแดดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีค่ะ

 

ส่วนของสารบำรุงนั้นจะคล้ายกับตัวเซรัม แต่มีการเพิ่ม Lithothamnium calcarum extract เข้ามาค่ะ

 

สารสกัดนี้เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่ง ทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าอุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ให้ผลเป็น Moisturizer, เป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing)

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

 

  1. สารบำรุง ทั้งสองตัวเน้นไปที่การเป็น Antioxidant และตัววัตถุดิบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ Detox ซึ่งสารบำรุงที่ทางแบรนด์เลือกใช้ก็เป็นสารนำเข้าจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เกาหลี และสเปน ทำให้ดูมีราคา ซึ่งสารที่เลือกใช้ก็มีการ Claim เกี่ยวกับเรื่อง Pollution อยู่ นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนของ Whitening และ ความชุ่มชื้น สำหรับตัวกันแดดก็ถือว่ากันได้ครบและครอบคลุมดี เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อผลิตภัณฑ์ ทั้งสองตัวมาในรูปแบบของ Emulsion ที่ประกอบด้วยน้ำและน้ำมัน ตัวเซรัมไม่มีส่วนผสมของ Silicone ด้วยค่ะ แถมส่วนผสมทั้งสองตัวก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่งอื่นๆ ทั้งสองตัวไม่ได้มีสารตัวไหนที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน เซรัมค่อนข้างบางเบาค่ะ อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีผิวแห้งมาก ส่วนตัวมี่คิดว่า ถ้าทาแล้ว หาครีมหรือมอยส์เจอร์มาทาทับอีกชั้นหนึ่งก็จะพอดีค่ะ ส่วนตัวกันแดดไพร์มเมอร์ ถ้าทาเดี่ยวๆจะดูเงาๆหน่อยนะคะ แต่ถ้าทาแล้วลงรองพื้นทับ กับปัดแป้งฝุ่นอีกรอบจะสวยฉ่ำพอดีค่ะ ส่วนข้อติก็มี่คิดว่านางมาในหลอดเล็กไปนิดนึงค่ะ โดยรวมขอให้ไป 4 ฟลาสก์ค่ะ

 

คะแนน

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Tender ด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

http://www.tenderskincare.com

http://www.facebook.com/tenderskincare

instragram:Tenderskincareofficial

line : @tenderskincare

 

Discliamer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Tender การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

รีวิววิเคราะห์เจาะลึกทุกส่วนผสมแบบละเอียด เซรัมบำรุงผิวเพื่อผิวขาวกระจ่างใสแบรนด์ไทยๆจาก Morebeaute’

รีวิววิเคราะห์เจาะลึกทุกส่วนผสมแบบละเอียด เซรัมบำรุงผิวเพื่อผิวขาวกระจ่างใสแบรนด์ไทยๆจาก Morebeaute’

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกๆท่าน

วันนี้มี่แวะเอาเซรัมบำรุงผิวเพื่อผิวขาวกระจ่างใสแบรนด์ไทยๆ ที่ว่ากันว่าคิดสูตรโดยแพทย์ผิวหนังเฉพาะทาง โดยมุ่งเน้นส่วนประกอบที่ปลอดภัย ไม่มีสารปรอท หรือ steroid แต่ได้ผลจริง จะดีงามขนาดไหนมาดูไปพร้อมกันเลยดีกว่าค่ะ

Serum นี้มีชื่อว่า Morebeaute’ หรือ มอร์บอเต้ ค่ะ

ชื่อเต็มๆคือ Morebeaute’ blemish control luminizing cream

มาดูหน้าตากันหน่อยเนอะ

mb 1.jpg

ซึ่งนางจะมาใน Packaging แบบหลอดปิดสนิทค่ะ

ตัวเนื้อเซรัมจะเป็นแนวๆ Emulgel นะคะ เป็นเซรัมเนื้อเจลขุ่นๆ สีเหลืองอ่อนๆ ซึ่งทางแบรนด์ใช้ส่วนผสมที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ และไม่ได้ใส่ Opacifier หรือ ตัวกลบสี มาบดบังสี จึงได้เซรัมสีนี้ค่ะ มีกลิ่นหอมจางๆค่ะ

mb 2

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกเย็น ซึมไวไม่เหนอะหนะค่ะ

mb 3

มาวัด pH กันซักเล็กน้อยนะคะ

mb 4

เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีสีเลยอ่านค่ายากนิดนึง ได้ค่าอยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ค่ะ ซึ่งใกล้เคียงกับผิวดี และเป็นช่วงที่สารหลายๆตัวในส่วนผสมคงตัวค่ะ

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

สผส

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ
1. Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
2. Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวพยุงสารออกฤทธิ์ และนำพาไปสู่ผิวหนัง
3. Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

มาดูรายละเอียดแต่ละอย่างกันเลยค่ะ
1. Actives ในส่วนของสารออกฤทธิ์ มี่ได้ทำแถบสีไว้ให้แล้วค่ะ ดังนี้
– Kojic dipalmitate เป็นอนุพันธ์ของ Kojic acid ที่มีความระคายเคืองต่ำ มีการดูดซึมเข้าผิวที่ดีขึ้น มีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสี
– Arctostapylos uva ursi extract สารสกัดจาก Bearberry ส่วนของใบมีรายงานว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด มีรายงานว่าส่วนของเปลือกและใบพบสาร Arbutin ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase (Phytochem Anal. 2009;20(5):416-20.)
– Mitracarpus scaber extract สารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งที่พบใน Africa มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ (Lett Appl Microbiol. 2000;30(2):105-8.)
**สูตรผสมของ Arctostapylos uva ursi extract กับ Mitracarpus scaber extract มีชื่อทางการค้าว่า Etioline เป็นสารสิทธิบัตรอเมริกา เลขที่ US2004/0166069A1 ให้ผลเสริมฤทธิ์กันในการยับยั้งเม็ดสีผิว โดยสารสกัดจากใบ Mitracarpus จะเป็นตัว Booster ช่วยให้สารยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่สร้างเม็ดสีผิว ได้มากขึ้น
– Alpha-arbutin มีคุณสมบัติในการยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เช่นกัน
– สูตรผสมของ Dithiaoctanediol, Sutilains, Beta-carotene และ Gluconic acid มีชื่อทางการค้าว่า Melaclear 2 ออกฤทธิ์เสริมกันในการเป็น Whitening ที่ดี โดยเริ่มไปยับยั้งตั้งแต่ขั้นตอนการเปลี่ยนเอนไซม์ pro-Tyrosinase ไม่ให้เป็น Tyrosinase จึงทำงานไม่ได้ ป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสีทำงาน จับกับ Retinoids receptor มีผลไม่ให้เซลล์สร้างเม็ดสีโดนกระตุ้น และผลัดเซลล์ผิวเก่าที่ดำคล้ำอย่างออกโยน
– สูตรผสมของ Capric/caprylic triglycerides กับ Diacetyl boldine มีชื่อทางการค้าว่า Lumiskin เป็นการเอา Diacetyl boldine ซึ่งเป็นสารที่แยกได้จากต้น Boldo ในชิลี ออกฤทธิ์ที่ alpha-adrenergic receptor และ ควบคุม Calcium flow มีผลทำให้เอนไซม์ Tyrosinase ไม่สามารถทำงานได้
– วิตามินซี 2 ชนิด คือ Ascorbic acid และ Ascorbyl palmitate ตัวแรกออกฤทธิ์ได้เลย อีกตัวค่อยๆถูกผิวเปลี่ยนเป็น Ascorbic acid มีผลช่วยให้วิตซี ออกฤทธิ์ได้ยาวนานขึ้น วิตซีมีประโยชน์ในการเป็น Antioxidant, ยับยั้งการสร้างเม็ดสี และเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสร้างคอลลาเจน
– Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า และยังเป็น Antioxidant ด้วย (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
– วิตามินอี 2 ชนิด คือ Tocopherol และ Tocopheryl acetate ตัวแรกออกฤทธิ์ได้เลย อีกตัวค่อยๆถูกผิวเปลี่ยนเป็น วิตอีในผิว ให้ผลเป็น Antioxidant
– สูตรผสมของ 10-Hydroxydecanoic acid, Sebacic acid และ 1,10-Decanediol มีชื่อทางการค้าว่า Acnacidol แยกสกัดได้จากนมผึ้ง มีคุณสมบัติลดการสร้างน้ำมันของผิว ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ 5alpha-reductase ที่เป็นต้นตอของการสร้างน้ำมัน หรือ Sebum และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ จึงให้ผลดีด้านสิว บริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบกล้า Claim ว่า ถ้าใช้ตาม Dose ที่กำหนดจะลดการหลั่งน้ำมันได้รวดเร็วภายใน 1 ชั่วโมง
– Sodium PCA สารเพิ่มความชุ่มชื้นชนิด Natural moisturizing factor (NMF) ที่มีอยู่ในผิว มีหน้าที่ดูดน้ำเข้าหาผิว เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
– Glycyrrhiza glabra extract คือ สารสกัดจากชะเอม เทศ มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ลดการสร้างเมลานินช่วยให้สีผิวจางลง มีฤทธิ์เป็น Antioxidant และช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากอันตรายจากเปอร์ออกไซด์ในร่างกาย (Molecules. 2014; 19(7):9101-13.) มีคุณสมบัติลดการอักเสบ มีรายงานการวิจัยกล่าวว่า เมื่อใช้สารสกัดชะเอมในโรคผิวอักเสบแบบ Atopic จะช่วยลดอาการคัน บวม และแดงได้ (J Dermatolog Treat. 2003; 14(3):153-7.)
2. Base หรือ เนื้อหลักผลิตภัณฑ์ มาในรูปแบบของ Emulgel ประกอบด้วย น้ำ น้ำมัน และซิลิโคน ดังนี้
2.1 ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ Butylene glycol, Glycerine, Propylene glycol ซึ่งช่วยดูดน้ำให้ผิวได้
2.2 ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ C13-14 isoparaffin, Hydrogenated polydecene ให้ผลเคลือบผิวปกป้องไม่ให้น้ำระเหยออก พวกนี้ค่อนข้างปลอดภัยเพราะไม่ดูดซึมเข้าผิว และ Capric/caprylic triglyceride ที่ดูดซึมเข้าผิวให้ผลทดแทนไขมันในผิว และ Cholesterol ที่ช่วยลดการอักเสบ และเป็นส่วนหนึ่งของ Barrier ผิว
2.3 ซิลิโคน ได้แก่ Dimethicone, Cyclopentasiloxane, C30-45 alkyl cetearyl dimethicone crosspolymer ให้สัมผัสบางเบา เคลือบปกป้องผิว และเพิ่มความหนืด
3. Additives ได้แก่
3.1 สารทำระบบนำส่ง ได้แก่ Palmitoyl hydroxypropyltrimonium amylopectin/glycerin crosspolymer กับ Hydrogenated lecithin ที่เป็นระบบนำส่งสิทธิบัตรของบริษัท Kobo ทางญี่ปุ่น มีชื่อทางการค้าว่า Glycosphere สามารถเก็บกักสารเพื่อเพิ่มความคงตัวและนำส่งเข้าสู่ผิว ดังรูป

glycosphere.jpg

(Image from Kobo products)
เข้าใจว่าน่าจะเก็บกักวิตามินซีเอาไว้

3.2 สารเพิ่มความหนืด คือ Sodium acrylates/sodium acryloyldimethyltaurate copolymer
3.3 Emulsifier ได้แก่ Laureth-7, Polysorbate 60, Cholesterol, Sodium deoxycholate ช่วยผสานน้ำให้เข้ากับน้ำมัน
3.4 Preservatives ได้แก่ สารจับโลหะ Disodium EDTA และสารกันเสีย Phenoxyethanol กับ Methylisothiazolinone
3.5 สารแต่งกลิ่น หรือ Perfume

ถึงเวลาให้คะแนน
1. Actives ส่วนของสารออกฤทธิ์ค่อนข้างมาเต็มจริงๆ จากที่เล่าให้ฟังในข้างต้นจะเห็นว่ามีส่วนของสารที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมขั้นตอนการสร้างเม็ดสีผิวทั้งหมด ตั้งแต่ก่อนสร้าง ระหว่างสร้าง และหลังสร้างเสร็จ ที่สำคัญคือ Gluconic acid ที่ใช้ ไม่ได้ทำให้ผิวบางแต่อย่างใด ยังมีส่วนของสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และสารที่ให้ประโยชน์เรื่อง การชะลอวัย สิว และควบคุมความมันได้อีก โดยรวมถือว่าทำมาได้ครบถ้วนสมบูรณ์ ได้ไป 5 ฟลาสก์
2. Base ส่วนของเนื้อหลัก มีครบถ้วนทั้งสารดูดน้ำให้ผิว สารเคลือบปกป้องผิว และไขมันทดแทนผิวหนัง ไม่มีส่วนผสมของ Alcohol และน้ำมันที่สุ่มเสี่ยงอุดตัน จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
3. Additives ส่วนของสารปรุงแต่ง มีความโดดเด่นที่ระบบนำส่ง Glycosphere ที่ช่วยเพิ่มความคงตัวให้ผลิตภัณฑ์ และที่สำคัญคือ ไม่มีส่วนผสมของ Parabens สารอื่นๆไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
4. การใช้งาน หลังจากใช้เมาราวๆ 2 อาทิตย์ สิ่งที่สัมผัสได้เมื่อใช้ในวันแรกๆ คือ ผิวบริเวณ T-zone มีความมันลดลง หลังจากนั้นที่ได้คือ ผิวชุ่มชื้นขึ้น นุ่มขึ้น และเรื่องความสม่ำเสมอของสีผิว ดูดีขึ้น ผิวดูมี Complexion ที่สว่างขึ้น เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Morebeaute’ ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์
https://www.facebook.com/Morebeauteskin

และเวบไซต์ http://www.morebeaute-skincare.com/ ได้เลยค่ะ
Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์

 

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม CC cream นานาชาติในบ้านมียอน 5 แบรนด์ 5 สไตล์

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม CC cream นานาชาติในบ้านมียอน 5 แบรนด์ 5 สไตล์

วันนี้มี่มารีวิวเปิดกรุ CC cream ในบ้านมียอนให้ชมกันค่ะ

CC cream ที่มี่มีไว้ในครอบครอง จะเป็น 5 หลอดนี้ค่ะ
คำถาม: จำเป็นไหม ต้องมี CC 5 หลอด??
คำตอบ: แล้วแต่อารมณ์ค่ะ วันนี้อยากทาอันนี้ อีกวันอยากทาอีกอัน ไรงี้

 

cc 1.jpg

 

ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ ตัวแรก Maybelline New York White superfresh CC
Make it happen inspired by คุณแม่เจนี่ค่ะ

 

cc 2.jpg

 

ตัวนี้เนื้อบีบออกมามีสีค่อนข้างขาว พอทาแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเนื้อกลืนไปกับผิว (ภาษาอังกฤษมาค่ะ —> Color changed !!)

CC นี้มีกลิ่นหอมอ่อนๆค่ะ

 

m texture.jpg

 

การคุมมันตัวนี้ทำมาได้ค่อนข้างดีนะคะ คุมมันที่จมูกได้นานกว่า 6 ชั่วโมงค่ะ แต่มันดีเกินไปค่ะ ผิวแก้มของมี่ปกติจะไม่มันเหมือน T-zone ใช้ตัวนี้มี่จะรู้สึกแห้งตึงไปนิดนึงค่ะ
ถ้ามาแล้วไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้ค่ะ

ส่วนผสมมาค่ะ

 

สผส M.jpg

ตัวนี้ส่วนผสมค่อนข้างมาเต็ม เพราะอัดแน่นด้วยสารบำรุงอยู่หลายตัวมาก ทั้งสารกลุ่ม LHA, อนุพันธ์ของกรดอะมิโนราคาแพง สารสกัดจากดอกบัว และ โบตั๋น (Peony) ซึ่งให้ผลโดยรวมในด้านริ้วรอยและผิวขาวเช่นกัน มาดูรายละเอียดกันซักเล็กน้อยนะคะ

  • LHA ที่มี่ว่า คือ Capryloyl salicylic acid เป็นลูกหลานของ Salicylic acid ซึ่งเป็น BHA มีบทบาทในการผลัดเซลล์ผิว ลดการอักเสบ ละลายสิวอุดตัน มีงานวิจัยหนึ่งทดสอบประสิทธิภาพของสารตัวนี้เทียบกับ Glycolic acid พบว่า LHA ลดริ้วรอยในอาสาสมัครได้ และช่วยให้ผิวขาวขึ้นดีกว่า Glycolic acid (J Cosmet Dermatol. 2008; 7(4):259-62.)
  • Sodium palmitoyl proline ที่มี่บอกว่าดูแพง มีชื่อว่า Sepicalm VG ซึ่งเป็นวัตถุดิบผสมระหว่างสารตัวนี้กับสารสกัดจากดอกบัว (Nymphaea alba extract) มีประโยชน์เป็น Whitening ทั้งส่วนของสีผิวด่างดำที่เกิดตากกระบวนการอักเสบ และความผิดปกติของสีผิวที่เกิดตามอายุ และมีคุณสมบัติ Soothing ช่วยให้สบายผิว 
  • Paoenia suffruticosa extract คือ สารสกัดจากโบตั๋นพันธ์ Tree peony มีสารประกอบพวก Flavonoid ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานการวิจัยบอกว่าสามารถทำให้เซลล์ผิวหนัง Keratinocyte มีชีวิตยืนยาวขึ้น (Fitoterapia. 2013;84:308-17) มีรายงานถึงฤทธิ์ Antiinflammatory (Nat Prod Res. 2014;28(5):301-5.) และฤทธิ์ Antioxidant กับฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ผ่านกลไกการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เอนไซม์ DOPA oxidase และยังลดการสังเคราะห์เอนไซม์ tyrosinase กับโปรตีนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เมลานินได้ด้วย (Plant Foods Hum Nutr. 2011;66(3):275-84.)
โดยรวมคือ CC นี้ได้ความไวท์ไปเต็มๆค่ะ

แต่มาตกม้าตายเพราะมีส่วนผสมของ paraben อยู่นะคะ

ตัวที่สองมาจากฝั่งเกาหลีบ้างค่ะ เป็น CC จากแบรนด์ Pretty story
cc 6
เนื้อครีมจะออกไปที่อันเดอร์โทนสีชมพู ตามสไตล์เกาหลี ขาวอมชมแบบมีเลือดฝาด กลิ่นหอมอ่อนๆ เน้นปกปิด เพราะเนื้อจะมีเม็ดสีที่ค่อนข้างเข้มข้นค่ะ
pretty texture

การคุมมันนั้น ค่อนข้างดีเช่นกัน คุมมันที่จมูกได้นานกว่า 6 ชั่วโมง แต่ตัวนี้ไม่ได้ทำให้หน้ารู้สึกแห้งไปนะคะ กำลังดีค่ะ

ในส่วนของส่วนผสมนั้น

 

สผส P.jpg

 

มีสารกันแดดทั้งชนิดกายภาพและเคมี และมีสารบำรุงผิวอยู่หลายตัว คือ

  • Arbutin เป็นสารที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว ซึ่งมาในลำดับต้นๆของรายการส่วนผสมเลยค่ะ
  • Snail secretion filtrate หรือ เมือกหอยทาก มีงานวิจัยรองรับถึงผลในการฟื้นฟูผิวที่เสียหายเพราะรังสี UV และช่วยลดริ้วรอย
  • Adenosine มีงานวิจัยรองรับถึงผลในการลดริ้วรอย
  • Collagen ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นผิว
  • Malus domestica fruit cell extract สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของแอปเปิ้ล ที่เรียกๆกันว่า Apple stem cell มีผลช่วยดูแลฟื้นฟูความเสียหายของผิวและลดริ้วรอย
  • Fragaria chiloensis fruit extract สารสกัดจากสตรอเบอรี่สายพันธ์สีขาว ช่วยลดการสร้างเม็ดสี และช่วยปกป้องฟื้นฟูผิวจากรังสี UV

โดยรวมถือว่าเป็น CC ที่ให้ผลทั้งไวท์เทนนิ่ง ชุ่มชื้น และริ้วรอย ในหลอดเดียวกัน

แต่ก็ยังมีส่วนผสมของ paraben อยู่ค่ะ

 

ตัวที่สาม สัญชาติเกาหลีเช่นกัน เป็นตัว Cathy Doll speed white CC cream

 

cc 10

หลอดดูไปดูมาคล้ายๆเสือดาวมุ้งมิ้ง ตัวนี้นางเคลมเรื่องของการคุมมันตลอดทั้งวันค่ะ แต่ส่วนตัวมี่คุมตรงจมูกได้ราวๆ 4 ชั่วโมงค่ะ บ่ายๆมาต้องเติมแป้งซักหน่อย แต่บริเวณแก้มและหน้าผากกำลังผ่องเลย

 

ตัวนี้บีบออกมาเนื้อจะค่อนข้างขาวนะคะ แต่เวลาเกลี่ยเสร็จก็เกือบจะไม่เห็นสี สัมผัสค่อนข้างบางเบา ออกจะหนึบๆอยู่นิดนึงค่ะ

cathy texture

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

สผส c

 

ส่วนผสมตัวนี้มีส่วนของสารกันแดดทั้งชนิดกายภาพและเคมีค่ะ ในส่วนของสารบำรุงมีสาร Arbutin ที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี แต่มาในลำดับท้ายๆ

เราจะทำเป็นมองไม่เห็นนะคะ ว่ามีส่วนผสมที่สะกดผิด

ตัวที่สี่ สัญชาติอังกฤษ จาก  Seventeen นั่นเองค่ะ

นางมาในหลอดสีขาว สลับสีเขียวพาสเทลดูเด็กๆวัยใสกรุบกริบ

 

cc 13

 

ตัวนี้สีจะเข้มนิดนึงนะคะ มีส่วนผสมของ Shimmer อยู่ด้วย

ส่วนตัวมี่อยากแนะนำว่า ก่อนใช้เขย่าซักนิดนะคะ จะมีส่วนของ Shimmer ที่มัน Bleed ออกมาจากเนื้อครีม (ศัพท์สวยๆของคำว่า แยกชั้นหรือแยกตัวออกมา)

 

seventeen tex

 

ส่วนการคุมมัน มี่ขอให้ระดับกลางๆค่ะ ตัวนี้จะเน้นความโกลว ความวาวอยู่ด้วย

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้ค่ะ

 

สผส s

 

จะมีส่วนของสารกันแดดทั้งชนิดเคมีและกายภาพ ร่วมกับสารบำรุงผิว 2 ตัว คือ สารสกัดจาก St.Paul worth (Sigesbeckia orientalis extract) ที่ช่วยเรื่องริ้วรอยได้ และ Rabdosia rubescens ซึ่งคู่นี้ไปตรงกับวัตถุดิบ Chromacare ของบริษัท Sederma ที่ช่วยเรื่องสีผิวอย่างครบวงจร คือ ลดรอยดำ ลดรอยแดงโดยไปลดสีจาก Hemoglobin (องค์ประกอบของ Hemoglobin) และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว

ชิคค่ะ สมกับวัย Seventeen จริงๆ เพราะไม่ได้แค่ปกปิด แต่ลดรอยดำรอยแดงได้ในระยะยาว

ตัวสุดท้ายเป็น ZA color match shield cc cream ตัวใหม่ล่าสุด ที่มี่เลือกมาเป็นสูตรสีม่วงค่ะ

 

cc 16

 

เป็น CC base ม่วงที่เปลี่ยนเป็นสีเนื้อตอนทา ให้ผลปรับสีผิวให้สว่างขึ้น มีกลิ่นหอม

za texture

 

ประกอบด้วยสารกันแดดทั้งชนิดกายภาพและเคมี ในส่วนของสารบำรุงนั้นเป็นกลุ่มน้ำตาลที่ช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นเป็นหลัก ร่วมกับสารสกัดจากชาเขียว และ hyaluron ค่ะ

เทียบเนื้อหลังเกลี่ยของทุกตัวให้ชมนะคะ

 

seventeen tex

 

ของ ZA กับ Seventeen จะมีความวาวอยู่เล็กๆ และตัวที่กลืนกับผิวมี่ที่สุดจะเป็นตัว Pretty story ตามมาด้วย Maybelline ค่ะ

 

มาดูเนื้อ และ ความมันของเนื้อ CC กันบ้างนะคะ

 

ความมัน

 

ตัวที่เนื้อครีมยังมีความมันอยู่จะเป็นตัว Cathy doll, Seventeen และ ZA นะคะ แต่ Maybelline และ Pretty story นั้น ยังไม่มีน้ำมันซึมออกมาจากเนื้อครีมในช่วงนี้ค่ะ

 

ส่วนการปกปิด มี่ทดสอบกับ สี 3 สี คือ ดำ น้ำตาล และ ชมพู เพื่อใช้ประเมินการกลบรอยดำ เม็ดสี และ รอยแดงนะคะ

 

ปกปิด 1+2

 

ปกปิด 3+4

 

จากรูปจะเห็นว่าตัวที่ปกปิดได้ค่อนข้างดีจะเป็น Pretty story, Seventeen และ ZA ค่ะ ตามลงมาจะเป็น Maybelline และ Cathy doll

สุดท้ายก็มาถึงช่วงให้คะแนนกันค่ะ

 

คะแนน cc

 

สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ

 

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม สกินแคร์กลุ่มวิตซี จากแบรนด์ Lab Story ยกเซ็ต

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม สกินแคร์กลุ่มวิตซี จากแบรนด์ Lab Story ยกเซ็ต

วันนี้เอาสกินแคร์กลุ่ม Vit C เกาหลี จากแบรนด์ Lab story มารีวิวให้ชมกันค่ะ

ขึ้นชื่อว่าบ้านมียอน งานโอปป้าต้องมาเสมอค่ะ

ในเซตนี้ มีผลิตภัณฑ์อยู่ 3 ชิ้นนะคะ คือ Booster, Serum และ Cream ค่ะ

มาดูหน้าตากันก่อนเลยเนอะ

lab 1

แบรนด์ Lab story นั้น ว่ากันว่าเป็น แบรนด์เวชสำอางของเกาหลีที่ดาราเกาหลีเลือกใช้กัน ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เลือกใช้ส่วนผสมที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ มีการพัฒนาสูตร ใช้นวัตกรรมต่างๆเพื่อดูแลผิว และที่สำคัญคือ ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ และความปลอดภัย การระคายเคืองเรียบร้อยแล้วค่ะ

อีกอย่างคือ นางมีออฟฟิสอยู่ที่ย่านคังนัมนะคะ ย่านหรูชื่อดังในกรุงโซล

เรามาเริ่มกันที่ตัวแรกของเซตเลยค่ะ กับตัว Booster เป็นแนวๆ Toner/Essence นะคะ

lab 2

ตัวนี้เนื้อจะเป็นกึ่งๆน้ำนม มีความหนืดนิดๆ ชุ่มชื้นผิวมาก กลิ่นหอมอ่อนๆละมุนๆ เกลี่ยค่อนข้างง่ายนะคะ จะเทใส่มือแล้วตบ หรือ จะใส่สำลีแล้วเช็ดก็ได้หมด
ส่วนตัวมี่ชอบเทใส่สำลีแล้วกดเบาๆบนหน้าค่ะ

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

lab 4

 

ตัวนี้นอกจากสารหลักจะมีจุดเด่นอยู่ที่ น้ำมันจากพืชหลายชนิดค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นชนิดที่หายากและมีราคาแพง เช่น น้ำมันจากเมล็ดบรอคโคลี่ น้ำมันจากถั่วดาวอินคา (Plukenetia volubilis) สายพันธ์ดั้งเดิมจากป่าอเมซอน น้ำมันเมล็ดแบลคเคอเรนท์ น้ำมันมะรุม ร่วมกับน้ำมันจากพืชตัวดั้งเดิมอีกหลายชนิด เช่น มะกอก ชา Jojoba Macadamia และ Meadowfoam

เรียกได้ว่าใครที่กำลังมองหาน้ำมันจากธรรมชาติ เจ้านี่คงตอบโจทย์ได้เลยค่ะ

ขนาดมี่เอง ลองมาก็เยอะ มาเจอตัว Booster นี่หลงไหลได้ปลื้มเชียวหละ

ส่วนของสารออกฤทธิ์ก็จะมีพวกกลุ่มที่ช่วยเรื่องผิวขาวอยู่หลายตัว เช่น

  • Niacinamide ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีคุณสมบัติเรื่องผิวขาว เพิ่มความแข็งแรงให้แก่ Barrier ผิว โดยไปเร่งการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และลดการอักเสบ
  • Sorbitol กับ Sodium hyaluronate ที่มาในลำดับต้นๆ เด่นเรื่องความชุ่มชื้น ผิวนุ่มฟู
  • Melon seed extract อันนี้ขึ้นกับกรรมวิธีว่าจะได้น้ำมัน หรือ โปรตีนออกมา แต่หลักๆก็คือให้ผลเรื่องความชุ่มชื้นของผิว
  • สารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่หายาก อย่าง Chokeberry (Aronia melanocarpa extract) Elderberry (Sambucus nigra extract)
  • วิตามินซี ที่ใช้เป็นรูปแบบ Ethyl ascorbyl ether ที่มีขนาดเล็ก มีความคงตัวสูง มีความเป็นกรดน้อย ให้ผลเรื่อง Antioxidant ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว และเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสร้างคอลลาเจนในผิว

สารอื่นๆก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิวเลยค่ะ แถมบางตัวยังมีประโยชน์กับผิวด้วยซ้ำ

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่สารส่วนใหญ่ในผลิตภัณฑ์คงตัวค่ะ

 

lab 7

 

ตัวที่สองเป็นตัว Serum Whitening bomb

 

lab 8

 

มาในรูปแบบน้ำนม กลิ่นหอมละมุนเช่นกัน ตัวเซรัมนี้มีความหนืดมากกว่าตัว Booster เล็กน้อยค่ะ

lab 11-1

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้

 

lab 9

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะคล้ายกับตัว Booster แต่ลำดับของสารจะต่างกัน เช่น ลำดับของ Ethyl ascorbyl ether จะอยู่ที่ลำดับต้นๆกว่า และ ลำดับของ Niacinamide จะอยู่หลังกว่าตัว Booster

ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือ

  • Biosaccharide gum-1 ซึ่งคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ ประกอบด้วยน้ำตาล 3 โมเลกุล คือ Galacturonic acid, L-Fucose และ D-Galactose มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ค่อนข้างนาน สารนี้มีคุณสมบัติก่อฟิล์มให้ความรู้สึกชุ่มชื้นนุ่มนวล ไม่เหนอะหนะ ไม่มัน และมีรายงานว่าช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการแพ้ได้ (Fucogel จาก Solabia)
  • Adenosine มีคุณสมบัติที่ดีในด้านริ้วรอย และการส่งเสริมการทำงานของผิว

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 4-5 เหมือนตัว Booster ค่ะ

 

lab 13

 

ส่วนตัวสุดท้ายจะเป็นตัวครีม มีชื่อว่า Intensive cream whitening bomb ค่ะ

lab 14

 

เนื้อครีมจะค่อนข้างเบา ให้ความชุ่มชื้นสูง แต่ไม่เหนอะหนะ และไม่หนักผิวเกลี่ยค่อนข้างง่าย มีกลิ่นละมุนเช่นกัน

 

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้ค่ะ

 

lab 16

 

มีการเปลี่ยนแปลงลำดับของสารเล็กน้อย โดยเน้นกลุ่มน้ำมันมากขึ้น ตัวชูโรงคือตระกูลมะกอก และแมคคาเดเมีย

สารที่เพิ่มเข้ามาคือ

  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบในผิว
  • Trehalose เป็นน้ำตาลชนิดพิเศษ ที่มีคุณสมบัติดูดน้ำให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น น้ำตาลนี้สามารถปกป้องรักษาเซลล์ผิวจากความแห้งได้ยาวนาน
  • โปรตีนนม (Milk protein) ที่ให้ผลเด่นเรื่องความชุ่มชื้น กับ เคลือบผิวให้ดูเรียบเนียน

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 5 – 6 ค่ะ

 

lab 19

ให้คะแนนกัน

  1. กลุ่มสารออกฤทธิ์ หรือ Active ingredients สารที่เป็นเสมือน Key note player ของไลน์ จะเป็นตัววิตามินบี 3 วิตามินซี เมื่อสองตัวนี้มาเจอกันจะช่วยผสานกันในการเป็น Whitening และช่วยเรื่องริ้วรอย และความแข็งแรงของ Barrier ผิวได้ กับสารสกัดจาก Berry หายาก อย่าง Chokeberry และ Elderberry ซึ่งนอกจากวิตซี ยังมีสารสีกลุ่ม Anthocyanin ที่เป็น Antioxidant ที่ดี ให้กับผิว ในแต่ละชิ้นยังมีสารอื่นๆเสริมเข้ามา เช่น ตัว Booster จะโดดเด่นด้วยน้ำมันจากพืชหายาก ตัว Serum มี Biosaccharide gum-1 และตัวครีมที่เสริมสารเติมน้ำเข้ามา โดยรวมถือว่า ทำได้ดีในการเป็นไวท์เทนนิ่ง เพราะออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 ขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างเม้ดสี และป้องกันไม่ให้เม็ดสีที่สร้างเสร็จออกมาข้างนอก จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. กลุ่มเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ Base ทั้ง 3 ตัวมาในรูปแบบของ Emulsion ที่ประกอบด้วย น้ำ น้ำมัน และซิลิโคน สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว มีสารดูดน้ำให้ผิว มีสารไขมันจากธรรมชาติที่สามารถทดแทนไขมันในผิวได้ และมีสารเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. กลุ่มสารปรุงแต่ง หรือ Additives สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบตัว Booster เพราะเอามาใช้งานได้กว้าง หลากหลาย เอามาเช็ดก็ได้ เอามาตบๆ หรือจะเอามาทาเป็นตัวหลักเลยก็ได้หมด ส่วนตัว Serum และ ครีม ก็ให้สัมผัสได้ค่อนข้างดีเช่นกัน สิ่งที่สัมผัสได้ก่อนเลยคือเรื่องความชุ่มชื้น ดูเหมือนจะได้เรื่องความเรียบเนียนเข้ามาด้วย ส่วนเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอนั้นยังไม่ได้ชัดเจนมาก ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

จบแล้วค่าาา ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามมาจนจบนะคะ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ

 

เดี๋ยวนี้ในไทยเขาก็มีบริษัทนำเข้ามาแบบถูกต้องแล้วนะคะ ลองไปดูกันเล่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/labstory.thai ได้เลยค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์ได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนที่เกาหลี (Consumer-reviewed)

 

 

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมอายแชโดว์เนื้อครีมแบบดินสอ Paponk eyester 24/7 style lids wonder stick shadow

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมอายแชโดว์เนื้อครีมแบบดินสอ Paponk eyester 24/7 style lids wonder stick shadow

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกท่าน

วันนี้มี่แวะเอารีวิวอายแชโดว์ครีม แบบแท่งดินสอ ของแบรนด์ไทยสุดแซ่บ Paponk มาฝากกันค่ะ

กับเจ้า 24/7 style lids wonder stick shadow นั่นเองค่ะ

ซึ่งที่มี่ได้มามีทั้งหมด 7 สีค่ะ

pencil 1

ลักษณะก็จะเป็น Autopencil คือ ไม่ต้องเหลา แค่หมุนๆ มันก็จะเลื่อนออกมา

ลักษณะหัวดินสอเป็นปลายมน เหมาะแก่การฝนลงไปบนเปลือกตา เม็ดสีเขาแน่นมากจริงๆ แค่แตะเบาๆ สีก็ติดแล้วค่ะ

pencil 2-1

สวอทช์สีกันค่ะ

pencil swatch

สีสวยงามอลังการมุ้งมิ้งมาก

ความทนนี่ ที่หนึ่งเลยค่ะ แทบจะกราบ

เริ่มจากไปล้างใต้ก๊อก 2 นาที

pencil 6

แล้วเอาทิชชู่ลากกกกกกก สีแทบไม่หลุดค่ะ

pencil 7

ถูแรงๆ 5 ครั้ง

pencil 8

และถ้าเขาเซ็ตตัวแล้ว Cleansing water ก็เอาไม่ออกนะคะ เพราะนางจะเกิดเป็นฟิล์มบางๆ ที่เคลือบสีเอาไว้ไม่ให้เลอะ ไม่ให้หลุดร่อน ต้องใช้ Oil เท่านั้นจ้า เหมาะมากกับงานที่ต้องการความแน่น ความกันน้ำ ความปัง ความคม ความไม่โป๊ะ

pencil 9

มาทั้งทีจะไม่วิเคราะห์ส่วนผสมเลยคงไม่ได้

สำหรับส่วนผสมแต่ละสีจะค่อนข้างคล้ายกัน ต่างกันที่เม็ดสีนะคะ

มี่เลยขอยกตัวอย่างเป็นสี Meet his parents ซึ่งเป็นสีม่วงพาสเทลกลีบดอกลาเวนเดอร์ค่ะ

“Cyclomethicone, Trimethylsiloxysilicate, Mica, Titanium dioxide, Polyethylene, Ceresin, Silica, Paraffin, Carmine (CI 75740), Zinc stearate, Methicone, Stearic acid, Synthetic fluorphlogopite”

จากส่วนผสมก็เดาได้เลยว่า กันน้ำแน่นอน เพราะไม่มีอะไรที่ละลายน้ำได้ง่ายๆเลย สารองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็น Silicone ร่วมกับ Wax เพื่อเพิ่มความแข็ง การใช้ Silicone ทำให้เราได้สัมผัสที่ค่อนข้างเบานั่นเอง

ความน่าสนใจ ของอายแชโดว์นี้ ตามความเห็นของมี่จะอยู่ที่ ความเหลือบมุกของ Pigment ที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการหักเหแสง ตัวที่คิดว่าน่าจะมีผล คือ ส่วนผสมของ Synthetic fluorphlogopite กับ Silica และ Titanium dioxide ซึ่งเป็นสูตรผสมในวัตถุดิบเม็ดสี Pigment ชื่อดังหลายๆสูตร

ความมหัศจรรย์อยู่ที่ การผสม Synthetic fluorphlogopite กับ Titanium dioxide (อาจจะผสมร่วมกับ Iron oxide บางชนิด) ในสัดส่วนต่างๆจะทำให้เกิดการหักเหแสงที่แปลกไปจากเม็ดสีดั้งเดิม ส่งผลให้ตาเรารับแสงเป็นสีเหลือบ เหมือนมันเปลี่ยนสีได้นั่นเอง เทคนิคนี้ เรียกว่า Color travel ค่ะ

ยกตัวอย่างเช่น เม็ดสีดั้งเดิมมีสีม่วง พอเกิด Color travel แล้วกลายเป็นน้ำเงิน ประมาณนี้ จะให้ความเหลือบ และความแวววาวออกมา พอรวมกับพวกสีที่แววาวอย่าง Mica กับ Pigment และสีอื่นๆ ก็กลายเป็นสีกลีบดอกลาเวนเดอร์พาสเทลที่มีเอกลักษณ์ อย่าง สีพบพ่อแม่ผู้ชาย สีนี้ขึ้นมา (จะแปลทำไม ?? สี Meet his parents ค่ะ)

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

1. ส่วนผสม จากส่วนผสมที่ใส่มาให้คุณสมบัติกันน้ำและมีเม็ดสีที่ค่อนข้างมีคุณสมบัติพิเศษเรือง color travel สารที่ใช้ในกลุ่มซิลิโคนยังช่วยเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้นได้ โดยไม่เหนอะหนะ และที่สำคัญคือไม่มีสารไหนมีพิษมีภัยอะไรกับผิวเลย ขอให้ 5 ฟลาสก์
2. การใช้งาน ตัวดินสอมาในเนื้อแบบแท่ง ค่อนข้างคล้าย Wax แต่เกลี่ยง่าย เม็ดสีค่อนข้างแน่น ลากปุ๊บติดปั๊บ และติดทนนานมาก ขยี้ตายังไม่หลุด ไม่เลอะ แต่เวลาล้างก็เช่นกัน ต้องใช้ Cleansing oil มาล้างถึงจะสะอาด จุดนี้คือชอบมาก ขอให้ 5 ฟลาสก์เช่นกัน

คะแนน

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Paponk ด้วยนะคะที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้

และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์

ได้เลยค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจาก Paponk

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมแบบจัดเต็ม กันแดดเนื้อมูสและกันแดด Cushion จากแบรนด์ Jewels

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมแบบจัดเต็ม กันแดดเนื้อมูสและกันแดด Cushion จากแบรนด์ Jewels

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกๆท่าน

วันนี้มี่นำเอากันแดดเจ๋งๆสวยๆฝีมือคนไทยมารีวิวให้ชมกันอีกแล้วค่ะ

กับกันแดดแบบมูส และ Cushion จากแบรนด์ Jewels ซึ่งเป็นแบรนด์ของเภสัชกร ควบคุมและดูแลโดยเภสัชกรค่ะ

เห็นกล่องแล้วก็แบบว่า ดูหรูหราสมชื่อแบรนด์จริงๆค่ะ

jewels 1

มาเริ่มดูที่ตัวเนื้อมูสก่อนเลยนะคะ

นางจะมาในหลอดมุ้งมิ้งฝาหลอดทำมาเป็นอัญมณีดูหรูหราเลอค่าค่ะ

jewels 2

ในส่วนของเนื้อนั้น มาเป็นเนื้อมูส สีเนื้อ เพราะไม่ได้ใส่น้ำหอมเลยมีกลิ่นวัตถุดิบอยู่จางๆค่ะ ก็ดูธรรมชาติดี ดมไปดมมาก็แอบคล้ายชอคโกแลต ผสมกาแฟ (หรือฉันหิว)

เวลาเกลี่ยตัวนี้จะเกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสแห้งๆคล้ายมาร์ชแมลโลว์ แห้งไวนะคะ อย่ารีบลงทั้งหน้า ค่อยๆแต้ม ค่อยๆเกลี่ยไปค่ะจะได้ความเนียนที่มากกว่า ทาแล้วไม่ปื้น ไม่วอก ค่ะ ทากับไม่ทา มีความขาวต่างกันเล็กน้อยเองค่ะ

 

ตรงนี้ก็เป็นคำเคลมที่ด้านหลังกล่องค่ะ

jewels 3

อีกตัวจะมาในแบบ Cushion ค่ะ จะว่าไปเราไม่ค่อยได้เห็นกันแดดแบบ Cushion กันมากเท่าไหร่นักเนอะ เท่าที่มี่ตามตลาดมา มี่เห็นของแบรนด์นี้ กับ แบรนด์เกาหลีอย่าง A’PIEU และ The Face Shop ค่ะ

มาในกล่องสีขาวดูหรูหรา เลอค่าเช่นกันค่ะ

jewels 10

ตัว Cushion ทำมาได้ค่อนข้างแน่นหนา ดูคงทน ไม่เปราะหักง่าย นี่ทำหล่นมา 2 ที ยังภาพดีอยู่ค่ะ มีความหรูหราแต่เรียบง่าย

เนื้อครีมมีความละเอียด และบางเบามาก

jewels 6

มีคุณสมบัติปกปิดได้ด้วย เอามาใช้เป็นเบส หรือ BB เลยก็ว่าได้ค่ะ

แสงสด

jewels 7

แสงแฟลช

jewels 8

จะได้ความโกลวอยู่เล็กๆค่ะ ตัว Cushion นี่จะเด่นกว่าตัวมูสอยู่ตรงที่ เวลาทาเราจะได้สัมผัสที่เย็น และสบายผิว กับเราสามารถเอามาเติมระหว่างวันได้เมื่อไหร่ก็ได้ที่ต้องการ เช่น อยู่กลางแดดนานๆ เหงื่อออกมาก ขับรถแล้วร้อน หน้าเยิน หน้าไหล รองพื้นเยิ้ม ฯลฯ โบกเลยค่ะ เมคอัพจะเฟรชขึ้นมาทันที

ไม่ค่อยเจอกันแดดที่เติมระหว่างวันได้ง่ายๆแบบนี้เนอะ

แต่ส่วนตัวมี่ว่า ตัวกันแดดเป็นชนิดกายภาพ ถ้าเราเหงื่อออกไม่มาก ไม่ไปล้างไปเช็ด มันก็ไม่เสื่อมหรอกค่ะ ติดอยู่ตรงหน้านั่นหล่ะ ไม่ต้องเติมยังได้
ทั้งสองตัวส่วนผสมหลักจะคล้ายกัน มี่เลยขอเลือกตัวกันแดดมูส มาวิเคราะห์นะคะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส jewels

 

มี่ได้ทำ Highlight ด้วยสีไว้แล้วค่ะ

 

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

  1. Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
  2. Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวพยุงสารออกฤทธิ์ และนำพาไปสู่ผิวหนัง
  3. Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

 

เรามาดูไปทีละส่วนกันเลยนะคะ

  1. Actives ขอแบ่งเป็นสารกันแดด กับ สารบำรุงอื่นๆนะคะ ได้แก่
    • สารกันแดด ใช้ Titanium dioxide และ Zinc oxide ซึ่งเป็นกันแดดชนิดกายภาพ พวกนี้อาศัยการสะท้อนและกระเจิงแสงออกไปโดยที่ตัวมันเองจะมีความคงตัวสูงมาก ไม่เสื่อมสลายไปตามเวลา เว้นแต่เหงื่อออกมาก หรือไปล้างไปเช็ดมันออกมา
    • สารบำรุงอื่นๆ มีอยู่หลายตัวเหมือนกันค่ะ ได้แก่
    • Arbutin เป็นสารที่ออกฤทธิ์ลดการสร้างเม็ดสีผิว ป้องกันไม่ให้สีผิวเข้มขึ้นหลังจากโดนแดด
    • Ascorbyl glucoside อนุพันธ์น้ำตาลของวิตามินซี มีความเป็นกรดน้อย ระคายเคืองน้อย ซึมเข้าผิวได้ดี มีความคงตัวสูง ให้ประโยชน์เป็น Antioxidant ช่วยดักจับอนุมูลอิสระที่เกิดจากรังสี UV ที่หลุดรอดเข้ามา และความเครียดในแต่ละวัน นอกจากนี้ยังช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว และเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสังเคราะห์คอลลาเจน
    • Centella asiatica leaf extract คือ สารสกัดจากบัวบก สารสกัดจากบัวบก บัวบกเป็นพืชที่มีรายงานถึงฤทธิ์ทางชีวภาพไว้ค่อนข้างเยอะ ฤทธิ์ทางชีวภาพของบัวบกได้แก่ ฤทธิ์กระตุ้นการสมานแผล กระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast กระตุ้นการสังเคราะห์ Collagen และ Fibronectin ในผิว ลดริ้วรอยที่เกิดก่อนวัย (เรียกริ้วรอยก่อนวัยว่า Photoaging) (Postepy Dermatol Alergol. 2013; 30(1):46-9.) และ ปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายโดยรังสี UV (Int J Mol Med. 2012; 30(5):1194-202.)
    • Niacinamide ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า และยังเป็น Antioxidant ด้วย (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
    • Camellia sinensis leaf extract สารสกัดจากใบชาเขียว มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี มีรายงานวิจัยอยู่ค่อนข้างมาก เช่น ช่วยลดริ้วรอย เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว (Dermatol Ther. 2013;26(3):267-71.) และยังมีรายงานถึงคุณสมบัติในการสมานแผล (Evid Based Complement Alternat Med. 2013;2013:386734.) สารประกอบกลุ่ม Polysaccharide ที่พบในชาช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ และสารประกอบกลุ่ม Polyphenol ยังช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีได้ (J Agric Food Chem. 2009;57(17):7757-62.)
    • Sodium hyaluronate ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
    • Tocopherol คือ วิตามินอี มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant แต่ส่วนมากจะให้ผลแค่ปกป้องสารในผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสภาพ
    • Glycyrrhiza glabra root extract สารสกัดจากชะเอมเทศ มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ลดการสร้างเมลานินช่วยให้สีผิวจางลง มีฤทธิ์เป็น Antioxidant และช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากอันตรายจากเปอร์ออกไซด์ในร่างกาย ( 2014; 19(7):9101-13.) มีคุณสมบัติเป็น Anti-inflammatory เมื่อใช้ในโรคผิวอักเสบแบบ Atopic จะช่วยลดอาการคัน บวม และแดงได้ (J Dermatolog Treat. 2003; 14(3):153-7.)
    • Tourmaline หินอัญมณีชนิดหนึ่งมีสีชมพู มีรายงานการวิจัยกล่าวว่าหินนี้สามารถปลดปล่อยรังสี Far-Infrared (FIR) ที่มีคุณสมบัติกระตุ้นการไหลเวียนเลือด และเพิ่มการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิวได้ (J Cosmet Sci. 2002;53(3):175-84.)
    • Lepidum sativum sprout extract สารสกัดจาก Garden cress ไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบบอกว่า มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดเลือนริ้วรอยได้ สามารถยับยั้งการทำงานของฮอร์โมน Melanocyte stimulating hormone (MSH) ที่ทำหน้าที่กระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซต์ที่มีหน้าที่สร้างเมลานินทำงานได้ดีขึ้น เมื่อไปยับยั้ง MSH ก็จะทำให้เซลล์เมลาโนไซต์ทำงานได้ลดลง ผิวจึงขาวขึ้น
    • Dimethoxy chromanyl palmitate มีชื่อทางการค้าว่า Chromabright ข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่าสารนี้ให้ผลเป็น Whitening และช่วยต่อต้านการแก่ก่อนวัย (Photoaging)
  2. Base มาในรูปแบบของอิมิลชั่นเนื้อมูส ประกอบด้วยน้ำ น้ำมัน และซิลิโคน ดังนี้

2.1 ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Propylene glycol, Glycerin

2.2 ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Isopropyl myristate, Glyceryl monostearate, Cetyl alcohol, Stearyl alcohol, Diethylhexyl carbonate, Lecithin ที่มีหลายหน้าที่ ทั้งเพิ่มความชุ่มชื้น ทดแทนไขมันในผิวหนัง และอาจจะทำหน้าที่สร้าง Liposome

2.3 Silicones ได้แก่ Cyclomethicone ที่เป็นซิลิโคนบางเบาระเหยได้ ไม่เหนอะหนะ, Cethyl dimethicone ที่เป็นซิลิโคนจับกับสายไขมัน เข้ากับน้ำมันได้ดีจึงไม่ขัดขวางการหลั่งน้ำมันตามธรรมชาติ

  1. Additives ได้แก่
    • สารกันเสีย คือ Phenoxyethanol
    • Magnesium stearate เพิ่มการเกาะติดผิวของสารกลุ่ม Pigment
    • Sodium chloride มีหลายหน้าที่
    • สารแต่งสี ได้แก่ CI19140 คือ Yellow number 5 เป็นสีละลายน้ำ มีสีเหลือง และ CI14720 คือ เป็นสีละลายน้ำ มีสีแดง

ถึงเวลาให้คะแนน
1. กลุ่มสารออกฤทธิ์ เรียกได้ว่ามาค่อนข้างครบ เพราะไม่ใช่แค่ใช้กันแดดกายภาพที่เน้นสะท้อนรังสี UV ทิ้งไป ยังมีสารในกลุ่ม Antioxidant สารลดการอักเสบ ยังมีสารที่ให้ความชุ่มชื้น และช่วยเรื่องไวท์เทนนิ่งได้ ในส่วนของ Tourmaline ที่ใส่มา ใครจะไปคิดว่ามีงานวิจัยรองรับว่าสามารถเพิ่มการไหลเวียนของเลือด และกระตุ้นทำงานของเซลล์ผิวได้จริง โดยรวมถือว่าค่อนข้างครบสำหรับการเป็นกันแดดดีๆตัวนึง ให้ 5 ฟลาสก์

2. กลุ่มเนื้อผลิตภัณฑ์ สารที่ใช้หลายตัวให้สัมผัสที่ค่อนข้างบางเบา สารไขมันบางตัวให้คุณสมบัติบำรุงผิวได้ บางตัวให้สมบัติเคลือบปกป้องผิวกันน้ำระเหย และมีส่วนผสมของสารดูดน้ำให้ผิว โดยรวมถือว่ามีอยู่ ไม่มี Alcohol แต่ส่วนผสมของ Isopropyl myristate นั้นอาจจะอุดตันรูขุมขนได้ในบางราย แต่ทางแบรนด์เองก็ได้ทดสอบแล้วว่าไม่เกิดการอุดตันในอาสาสมัคร แต่เพื่อความยุติธรรม เลยต้องขอหักคะแนน ได้ไป 4 ฟลาสก์

3. กลุ่มสารอื่นๆ ใส่มาเท่าที่จำเป็นจริงๆ มาแบบ The less is the more น้อยๆสิดี อัตราเสี่ยงต่อการเกิดการไม่พึงประสงค์ก็น้อยกว่าอันที่มาเยอะๆ สารไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรก็เลยไม่มีอะไรให้หักคะแนน ได้ไป 5 ฟลาสก์

4. การใช้งาน ตัวกันแดดมาในเนื้อแบบมูส ที่เกลี่ยง่าย แห้งไว ไม่เป็นปื้นขาว ไม่วอก ให้ลุคที่ matte สามารถแต่งหน้าทับได้เลย ถ้าใครที่ใช้ Primer ด้วย มี่แนะนำให้ลง Primer ก่อน ค่อยลงกันแดดตัวนี้ จะทำให้เกลี่ยกันแดดได้สมูทขึ้นเยอะค่ะ ส่วนเรื่องการกันแดด จากที่ลองมาได้เกือบๆ 2 อาทิตย์ ก็ถือว่าทำมาได้ดีนะคะ ในส่วนของแพคเพจเองก็หรูหรา โดยเฉพาะตัว Cushion ที่ทาแล้วจะให้สัมผัสเย็นๆ เติมทับกี่ครั้งก็ได้ในระหว่างวัน แถมยังให้เมคอัพดูเฟรชตลอด คือ ค่อนข้างประทับใจค่ะ Cushion นี่มีต่อตลับที่สองแน่ๆ เอาไปเลยค่ะ 5 ฟลาสก์

คะแนน

สำหรับวันนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Jewels ด้วยนะคะที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook Page : jewelsaesthetic

https://www.facebook.com/jewelsaesthetic

 

อ้อ และ ผลิตภัณฑ์มีจำหน่ายที่ร้าน eveandboy สยามสแคว์,Z-pell รังสิต, Beautrium สยามสแควร์, Lashes ทุกสาขา, Stardust ทุกสาขา, เจ้เล้ง ดอนเมือง, ร้านขายยาบางร้าน ไปลองเล่นก่อนตัดสินใจได้ค่ะ

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Jewels

อวดผลงานนศ.วิทย์เครื่องสำอาง มฟล. วิจัยสูตรสร้างแบรนด์เครื่องสำอางสีสัน กับงาน Colors of 2015

อวดผลงานนศ.วิทย์เครื่องสำอาง มฟล. วิจัยสูตรสร้างแบรนด์เครื่องสำอางสีสัน กับงาน Colors of 2015

แวะเอารูปบรรยากาศงาน Color of 2015 ที่ทางสำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงจัดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มาอวดให้ชมกันค่ะ

เป็นภาพบรรยากาศรวมๆ มีทั้ง Products ใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากๆค่ะ

 

เป็นภาพเก่าที่เคยอัพไว้ในเด็กดีค่ะ

[Full Review] Laychou illuminator emulsion and mist

[Full Review] Laychou illuminator emulsion and mist

วันนี้มี่แวะเอาผลิตภัณฑ์ 2 ตัว จากแบรนด์ Laychou (เรย์ชู) มารีวิวให้ชมกันค่ะ ตัวที่มี่ได้มาจะเป็นตัว Illuminator Mist กับตัว Illuminator emulsion ซึ่งเป็นรูปแบบครีมค่ะ

ให้ดูโฉมหน้ากันก่อนดีกว่าค่ะ

IMG_4348-re-horz

มาดูไปทีละตัวดีกว่านะคะ ตัวแรกเป็น Mist หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “น้ำแร่” ค่ะ

IMG_4352-re

ตัวนี้เป็นน้ำใสๆ มาในขวดพลาสติคสีขุ่นๆ ฝาสีดำดูเรียบง่ายแต่หรูหราดีค่ะ

ฉีดออกมาจะเป็นน้ำ กลิ่นหอมอ่อนๆ มีฟองนิดๆก็เลยดูเหมือนขุ่นๆค่ะ พอเอามือตบเบาๆ ก็จะซึมหมดค่ะ

IMG_4353-re

มาลองวัด pH กันดูดีกว่านะคะ

IMG_4355-re

pH อยู่ที่ประมาณ 5 เป็นกรดอ่อนๆ เหมือนกับผิวของเราพอดีเลยค่ะ

มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

Water, Trehalose, Isopentyldiol, Glycerin, Jania rubens extract, Polyquaternium-51, Sodium hyaluronate, Butylene glycol, Cichorium intybus leaf extract, Brassica oleraceae italica extract, Apium graveolens extract, Allantoin, Polysorbate 20, Benzyl alcohol, Fragrance, Methylchloroisothiazolinone, Methylisothiazolinone

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้

3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

คุณสมบัติของสารต่างๆแยกตามหน้าที่

1.Actives ได้แก่

-Trehalose สารประกอบน้ำตาลชนิดหนึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และช่วยปกป้องผิวจากความแห้งแล้ง

-Jania rubens extract คือ สารสกัดจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่ง มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด (Phytother Res. 2007;21(2):153-6.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดนี้เมื่อใช้กับผิวร่างกายจะให้ผลกระชับสัดส่วน กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิว และช่วยเรื่องเซลลูไลท์ (Actiporin 8G by Codif) ถ้าเอามาใช้กับหน้าอาจจะช่วยเรื่องปรับรูปหน้าได้

-Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นของผิว

-Cichorium inhytbus leaf extract คือ สารสกัดจากใบ Chicory มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติ Antioxidant (Saudi J Biol Sci. 2015;22(3):322–326.)

-Brassica oleracea italic extract คือ สารสกัดจาก Broccoli มีรายงานว่าเป็น Antioxidant ที่ดี (Food Bioprocess Technol. 2011; 4:1137-1143)

-Apium graveolens extract สารสกัดจาก Celery ไม่มีรายงานการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับทางผิวหนัง น่าจะให้ผลเรื่อง Antioxidant เหมือนผักทั่วไป

-Allantoin ลดการแพ้ ลดการอักเสบและระคายเคือง

2.Base มาในรูปแบบของ Solution ประกอบด้วยน้ำและสารต่างๆที่ละลายได้ในน้ำ คือ น้ำ, Isopentyldiol, Glycerin, Butylene glycol 3 ตัวหลังนี้เป็นสารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

3.Additives ได้แก่

3.1Emulsifier/Surfactant ได้แก่ Polysorbate 20 ใช้เพื่อช่วยให้สารละลายใส กับ Polyquaternium-51 ตัวนี้เป็น Polymer ของสารที่มีโครงสร้างคล้ายๆ Phospholipid บนผิวหนัง จึงเชื่อกันว่าสามารถจับกับผิวหนังทดแทนส่วนที่เสียหายไป ช่วยให้ผิวดูนุ่มเนียนได้

3.2Preservatives ได้แก่ Benzyl alcohol, Methylcholroisothiazolinone กับ Methylisothiazolinone

3.3สารแต่งกลิ่น/Fragrance

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives ส่วนของสารที่ใส่มาให้ผลเรื่องการเป็น Moisturizer โดยการดูดน้ำให้ผิว อย่าง Trehalose ที่ค่อนข้างดี เสริมกับ Hyaluron อีกตัวหนึ่ง ทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นขึ้นมา เสริมมาด้วยส่วนผสมของสารสกัดจากพืชผักที่เป็น Antioxidant ซึ่งประเด็นเรื่องความชุ่มชื้นก็ก็ถือว่าตรงตามที่แบรนด์ Claim ไว้ แต่ว่าจากชื่อ Illuminator ยังดูเหมือนขาดตัวที่ช่วยเรื่องความสว่างของผิว กับการคุมมันไปอยู่นิดหน่อย จุดนี้จึงขอให้ 3 ฟลาสก์

2.Base มาในรูปแบบของสารละลาย ไม่มี Alcohol ไม่มีน้ำมัน ไม่มีซิลิโคน ส่วนของ Isopentyldiol, Glycerin และ Butylene glycol สามารถดูดน้ำให้ผิวได้ค่อนข้างโอเค จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

3.Additives มีสารอยู่เท่าที่จำเป็น ส่วนของ Polyquaternium-51 ยังจับกับผิวแล้วให้ความรู้สึกนุ่มสบาย นอกจากนั้นยังไม่มีพาราเบน ไม่มีซิลิโคน ถึงแม้ว่าจะมีน้ำหอม แต่ก็ไม่เคยหักคะแนนน้ำหอมในผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช่ eye care มาก่อน แต่อีกจุดที่สำคัญคือ ขาดส่วนผสมของสารจับโลหะ (EDTA ) อยู่ ซึ่งโลหะพวกนี้จะทำให้ผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพไวขึ้น จุดนี้จึงขอให้ 4 ฟลาสก์

4.การใช้งาน ตัวมิสท์ ยังฉีดออกมาได้ไม่ละเอียดมาก เวลาสเปรย์ลงบนหน้าโดยตรงจะมีบางจุดที่มีหยดน้ำใหญ่กว่า แล้วดูมีฟองๆ ซึ่งทำให้เมคอัพบางส่วนเกิดจุดด่าง แนะนำว่าควรใช้ก่อนแต่งหน้า หรืออาจจะสเปรย์ลงบนสำลีใช้แทนโทนเนอร์ การที่ดูมีฟองๆเลยดูเหมือนไม่น่าใช้แต่ความจริงก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าจะใช้วิธีสเปรย์แบบญี่ปุ่น คือ สเปรย์ไปบนอากาศแล้วเอาหน้าเข้าไปรับไอน้ำ ก็จะไม่ทั่วถึง เมื่อใช้แล้วผิวหน้าก็นุ่มชุ่มชื้นขึ้นกว่าตอนที่ไม่ได้ใช้ จุดนี้ขอให้ 3 ฟลาสก์

คะแนน mist

ต่อมาเป็นตัวครีมค่ะ มีชื่อสวยๆว่า Illuminator emulsion ค่ะ

IMG_4348-re

ครีมของเขาเนื้อจะค่อนข้างแน่น กลิ่นหอมอ่อนๆ ค่อนข้างจะเคลือบผิวได้ดี คิดว่าคนที่ผิวแห้งหน่อยน่าจะชอบค่ะ แต่ถึงผิวมันมากก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรค่ะ เพราะว่าหลังจากทิ้งไว้ซักระยะก็จะแห้งสนิทและราบเรียบไปไม่เหนอะหนะค่ะ

IMG_4349-re

เกลี่ยแล้วทิ้งไว้ 5 นาที ก็จะซึมไปจนหมดค่ะ

IMG_4350-re

มาลองดูค่า pH กันดีกว่านะคะ

IMG_4351-re

ค่า pH น่าจะอยู่ที่ 5 นะคะ ก็เป็นกรดอ่อนๆ เหมาะกับผิวดีค่ะ

ต่อมา มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ พอดีส่วนผสมมันยาวเลยขอถ่ายภาพเอานะคะ

สผส

คุณสมบัติของสารต่างๆแยกตามหน้าที่

1.Actives ได้แก่

-Niacin เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินบี 3 รูปแบบนี้มักจะมีความคงตัวต่ำและดูดซึมได้น้อยกว่ารูปแบบ Amide (คือ Niacinamide) ที่เราใช้กันทั่วไป แต่มีข้อดีที่เหนือกว่าคือ สามารถออกฤทธิ์ได้เลยโดยไม่ต้องไปเปลี่ยนเป็น Niacin อีกทีในผิว วิตามินบี 3 มีประโยชน์เรื่องการขัดขวางการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก และมีผลช่วยเรื่อง Barrier ผิว โดยไปกระตุ้นการสร้างไขมันดีๆในผิวได้ รวมไปถึงผลในการลดการอักเสบ

-Jania rubens extract ที่กล่าวไปแล้วในตัว Mist

-Alteromonas ferment extract สารที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าให้ผลกระตุ้นการสร้าง Ceramide กับไขมันชนิดอื่นๆในผิว และเพิ่มการสร้าง Filaggrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญในผิว โดยจะสลายตัวเป็นกรดอะมิโนที่คอยจับน้ำให้ผิว และ กลายเป็นตัวเพิ่มความแข็งแรงในการยึดเกาะกันของเซลล์ผิว

-Alpha-arbutin กับ Arbutin ขัดขว้างการสร้างเม็ดสีผิว

-Acetyl tyrosine เกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดสีผิว

-Saxifraga sarmentosa extract สารสกัดจาก Saxifrage ไม่มีงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดให้ผลเป็นไวท์เทนนิ่ง เพิ่มความชุ่มชื้น และกระชับรูขุมขน

-Paeonia suffriticosa extract สารสกัดจาก Tree peony มีสารประกอบพวก Flavonoid ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานการวิจัยบอกว่าสามารถทำให้เซลล์ผิวหนัง Keratinocyte มีชีวิตยืนยาวขึ้น (Fitoterapia. 2013;84:308-17) มีรายงานถึงฤทธิ์ Anti-inflammatory (Nat Prod Res. 2014;28(5):301-5.) และฤทธิ์ Antioxidant กับฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ผ่านกลไกการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เอนไซม์ DOPA oxidase และยังลดการสังเคราะห์เอนไซม์ tyrosinase กับโปรตีนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เมลานินได้ด้วย (Plant Foods Hum Nutr. 2011;66(3):275-84.)

-วิตามินซี 2 ชนิด ได้แก่ Aminopropyl ascorbyl phosphate กับ Ascorbyl tetraisopalmitate ตัวแรกละลายน้ำ ตัวที่สองละลายน้ำมัน ให้ผลเป็นไวท์เทนนิ่ง Antioxidant และเป็นองค์ประกอบในการสร้างคอลลาเจน

-Scutellaria baicalensis extract สารสกัดจาก Skullcap มีสารฟลาโวนอยด์ Baicalin กับ wogonin ที่เด่นเรื่องฤทธิ์ Anti-inflammatory ปกป้องผิวจากรังสี UV และมีผลต่อการสร้างคอลลาเจนและอิลาสตินใต้ผิว โดยมีผลต่อเอนไซม์ MMP-9 และ VEGF (Eur J Pharmacol. 2011; 661(1-3):124-32.) มีงานวิจัยสนับสนุนถึงฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ ระงับอาการแพ้ (J Ethnopharmacol. 2012; 141(1):345-9.) สาร Flavonoid ในรากพืชจะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากกระบวนการอักเสบที่เกิดจากรังสี UVB (J Pharm Pharmacol. 2011; 63(12):1613-23.)

-Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับความชุ่มชื้นและยืดหยุ่นของผิว

-Allantoin ช่วยลดการแพ้ ระคายเคือง

-Squalane สารไขมัน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนัง

-Polyglutamic acid โพลิเมอร์ที่เกิดจากกรดอะมิโน Glutamic acid พบได้ใน Natto ซึ่งเป็นสิ่งที่จุลินทรีย์บางชนิดสร้างระหว่างกระบวนการหมัก ในทางเภสัชกรรมมีประโยชน์ในการเป็นระบบนำส่ง ส่วนในทางเครื่องสำอางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าสามารถดูดและจับน้ำได้มากถึง 5000 เท่าของน้ำหนักตัวมัน และมีรายงานการวิจัยอีกฉบับกล่าวว่า Polyglutamic acid ที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่สามารถกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันได้ (Chem Biodivers. 2010; 7(6):1555-62.) น่าจะมีส่วนช่วยให้ระบบผิวหนังแข็งแรงขึ้น

-Citric acid เป็นได้ทั้งตัวปรับ pH, AHA และก็ตัวจับโลหะ

2.Base มาในรูปแบบของ Emulsion ทีป่ระกอบด้วย น้ำ ซิลิโคน และก็น้ำมัน ดังนี้

2.1ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Isopentyldiol, Glycerin, Butylene glycol

2.2ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Hydrogenated polydecene ตัวนี้เคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้นได้ดีไม่เหนอะหนะ

2.3ซิลิโคน มี Dimethicone ให้สัมผัสที่ดี ไม่เหนอะหนะ เคลือบปกป้องผิวได้

3.Additives ได้แก่

3.1Emulsifier/surfactant ได้แก่ Polysorbate 80, Octyldodeceth-20 กับ Polyquaternium-51 ตัวนี้กล่าวรายละเอียดไว้แล้วในตัว Mist

3.2สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Hydroxyethylacrylate/sodium acryloyldimethyltaurate copolymer กับ Ammonium acryloyldimethyltaurate/VPP copolymer ร่วมกับ Acacia gum กับ Hydrolyzed rhizobian gum สูตรผสมของ Gum 2 อันนี้ไปตรงกับวัตถุดิบที่ชื่อ Easyliance ที่มีคุณสมบัติพิเศษคือจะเคลือบฟิล์มบนผิวและฉาบปิดริ้วรอยให้ดูเรียบเนียนขึ้นมาทันที

3.3Preservatives ได้แก่ Sodium sulfite ตัวนี้จะสลายตัวปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ออกมาซึ่งอาจจะระคายเคืองผิวบางคนที่ไวได้ ร่วมกับสารกันเสียอื่นๆ เช่น Phneoxyethanol, Benzyl alcohol, Methylcholroisothiazolinone กับ Methylisothiazolinone

3.4สารแต่งกลิ่น/Fragrance

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives ส่วนผสมของสารที่ช่วยเรื่องผิวขาวออกฤทธิ์ที่ 2 กลไก คือ การยับยั้งการสร้าง และการขัดขวางเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก เสริมมาด้วยพวก Moisturizer กับ Antioxidant จุดนี้ถือว่าดูดี แต่ก็ยังไม่พีค เพราะปัจจุบันมีสารจำนวนมากมายที่สามารถออกฤทธิ์ได้ดี และมีกลไกการออกฤทธิ์ที่ครอบคลุมมากกว่า แต่ด้วยความที่มีสารออกฤทธิ์หลายๆตัวเสริมกัน ก็เลยคิดว่าน่าจะให้ผลดีอยู่ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

2.Base ปกติสูตรครีมที่ดีควรจะประกอบด้วยส่วนสำคัญอยู่ 3 ส่วน คือ สารดูดน้ำ สารไขมันดูดซึมได้ และสารเคลือบผิวกันน้ำระเหย ถ้ายก Squalane มารวมกับส่วนนี้ ในส่วนผสมชุดนี้เรียกได้ว่ามีครบทั้ง 3 องค์ประกอบ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

3.Additives ส่วนผสมชุดนี้ไม่มีพาราเบน สารองค์ประกอบอื่นๆที่ใส่มาก็ถือว่าเลือกได้ดี อย่างวัตถุดิบสูตรผสมของ Easyliance ที่ช่วยโบกปิดริ้วรอยบนผิวได้ในทันที จึงทำให้เรารู้สึกดีตอนใช้ แต่ขอติที่ส่วนผสมของ Sodium sulfite ที่สามารถสลายตัวปลดปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ออกมาแล้วทำปฏิกิริยากับน้ำกลายเป็นกรดที่อาจจะทำให้บางคนระคายเคืองผิวได้ จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์

4.การใช้งาน อย่างที่บอกว่า เนื้อครีมค่อนข้างหนัก แต่เคลือบปกป้องผิวได้ค่อนข้างดี ดูดซึมค่อนข้างไว และไม่เหนอะหนะ ส่วนเรื่องสีเรื่องกลิ่นเรื่องเนื้อสัมผัสก็ทำมาได้ค่อนข้างดี ขอให้ 4 ฟลาสก์

คะแนน mist

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Laychou ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ แล้วพบกันใหม่คราวหน้า สวัสดีค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามที่ได้ที่เพจ Laychou เลยนะคะ

https://www.facebook.com/laychouthailand ค่ะ

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามอ่านมาจนจบ

Review Holika Holika Aloe 99% soothing gel

Review Holika Holika Aloe 99% soothing gel

วันนี้มี่เอา Aloe gel 99% ตัวหนึ่งมารีวิวให้ชมกันค่ะ

Aloe ตัวนี้มี่ไปเจอที่เกาหลี ตอนไปเที่ยวเมื่อเดือนมิถุนายน ปีที่แล้วพอดีเลยค่ะ ก็ไม่ได้อะไรมาก เห็นขวดมันสวยดีเลยซื้อมาค่ะ

ราคาที่เกาหลีอยู่ที่ 5900 วอน/250 ml ประมาณสองร้อยบาท ตก ml ละไม่ถึงบาท คุ้มมากๆ

หลังจากนั้นก็พรีออร์เดอร์มาใช้เรื่อยๆ จนตอนนี้ย่างเข้าหลอดที่สามแล้วค่ะ

นางมีชื่อว่า Aloe 99% Soothing gel ของ Holika Holika

มี่เรียกย่อๆเอง ว่า Aloe 99

เคยจัดอันดับตัวนี้เป็น Miyeon’s favorites 2014 ด้วยค่ะ ( Link: The best of 2014)

มาดูแพคเกจก่อนดีกว่าค่ะ

aloe 1-re

แพคเกจเป็นรูปใบว่านหางจรเข้ น่ารัก ฟรุ้งฟริ้ง มุ้งมิ้ง

สังเกตคำว่า “Holika Holika” ด้วยนะคะ

เมื่อประมาณปลายปี ไปเดินเล่นที่ร้านเครื่องสำอางสีชมพู ที่ห้างหนึ่งเชียงใหม่ ไปสะดุดกับขวดแบบนี้เข้า เกือบสอยละนะคะ ดีนะ ที่อ่านทัน แม่เจ้า นางเป็น Helika ค่ะ เกือบไปแล้ว

แต่แอบพลิกดูส่วนผสมนาง ก็ดูโอเคนะคะ เพียงแต่ ไม่รู้สินะ จะได้เฮ หรือเปล่า

ดูชื่อกันดีๆนะคะสาวๆ

ลองมาดูเนื้อสัมผัสดีกว่าค่ะ นางจะเป็นเจลยืดๆ เหมือนเมือกๆ ใสๆ กลิ่นคล้ายๆแตงกวา ทราบมาทีหลังว่าเป็นสารแต่งกลิ่น ก็แอบเสียใจนิดนึง แต่ก็ไม่เป็นไร ก็ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ

aloe 5-re

มันจะลื่น เกลี่ยค่อนข้างง่าย แต่แห้งช้านิดนึง แล้วจะรู้สึกหนึบๆ บนผิวอยู่บ้างค่ะ

จะพยายามถ่ายความชุ่มของมันให้เห็น แต่มันไม่ติด เลยสาดแฟลชใส่ ทีนี้ชัดเลยค่ะ แฉะเชียว

aloe 3-re-horz

ซักประมาณ 3-5 นาทีก็จะแห้งสนิทค่ะ

ถ้าอยากฟินกว่านั้น บีบใส่ถ้วยเล็กๆ แล้วแช่ตู้เย็นไว้ แล้วเอามาโปะบนหน้า แล้วเอาผ้าก๊อซ หรือสำลี หรือแผ่นมาสค์ชีทเปล่าๆ แปะทับกลายเป็นมาสค์อโล จะฟินมากค่ะ

เวลาทำงานมาเหนื่อยๆ แปะเสร็จแล้วไปนอน เปิดเพลงเบาๆ หายเป็นปลิดทิ้งเชียวค่ะ

ดูกันมาเยอะ มาดูคำโปรยของผลิตภัณฑ์ดีกว่านะคะ

ตัวนี้ที่ Official Canada website ของ Holika Holika บอกว่า

“99 % fermented aloe vera leaf juice is contained.

  • Fermented contents maximize the effect of activating components like aloesin. So it helps your skin to be clear & healthy”

เค้าบอกว่าเค้าเอา Aloe ไปหมัก ทำให้สารออกฤทธิ์ดีขึ้น

อันนี้จริงไหม จริงค่ะ การหมัก จุลินทรีย์จะไปทำให้เกิดกระบวนการ Bio-conversion เปลี่ยนแปลงสารต่างๆของพืช ส่วนใหญ่ก็จะมีฤทธิ์เพิ่มขึ้นค่ะ

คุณสมบัติของ Aloe ที่มีรายงานการวิจัยสนับสนุนแล้วก็ได้แก่ Whitening, ลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง และเพิ่มความชุ่มชื้นค่ะ

ลองมาดูส่วนผสมดีกว่าค่ะ

ตัวนี้ส่วนผสมเป็นภาษาเกาหลีทั้งหมดเลย

ตัวมี่กำลังหัดสะกดฮันกึล (อักษรภาษาเกาหลี) ได้ซักพักแล้วค่ะ เลยลองแกะดู ก็พอจะได้ข้อมูลดังรูปนี้ค่ะ

aloe สผส

ปกติเราจะแบ่งสารส่วนผสมในเครื่องสำอางเป็น 3 กลุ่ม ค่ะ
1. Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
2. Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้
3. Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

ลองมาไล่ไปทีละตัวเลยดีกว่า

คุณสมบัติสารแต่ละตัวแยกตามหน้าที่
1.Actives ได้แก่
– สารสกัดจากว่านหางจรเข้ (Aloe vera extract) ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น การลดการระคายเคือง ช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว
– สารสกัดจากดอกบัว ช่วยเรื่องริ้วรอย
– สารสกัดจากบัวบก ช่วยเรื่องริ้วรอย การสมานแผล ลดการเกิดแผลเป็น
– สารสกัดจากไผ่ ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น
– สารสกัดจากแตงกวา ใบข้าวโพด ใบกะหล่ำปลี แตงโม ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นเช่นกัน

2.Base ไม่มีอะไรเลย นอกจากน้ำอโล

3.Additives มีอยู่ไม่กี่อย่าง ได้แก่
3.1 emulsifier PEG-60 Hydrogenated castor oil ช่วยเรื่องช่วยให้ผลิตภัณฑ์ใส
3.2 สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Sodium polyacrylate กับ Carbomer
3.3 สารปรับ pH ได้แก่ Triethanolamine
3.4 preservative ได้แก่ Phenoxyethanol
3.5 สารแต่งกลิ่น

แล้วก็เกิดคำถาม เมื่อใช้ Aloe ไป 99% แล้วที่เหลือนี่ มันอัดกันเข้ามาได้ขนาดนี้เลยหรือ Carbomer กว่าจะหนืดได้ก็ 0.2-0.3% เข้าไปละ Phenoxyethanol ก็ควรใส่อย่างน้อย 0.5% ที่เหลือคงเป็นสารสกัด อย่างละนิดอย่างละหน่อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะเนาะ

คะแนน
1. Actives มีอยู่หลายตัว ให้ผลประโยชน์กับผิวรอบด้าน โดยเน้นหนักไปที่ผลการให้ความชุ่มชื้น และการลดการระคายเคืองของผิว ขอให้ 5 ฟลาสก์
2. Base ไม่มี เลยไม่ขอให้คะแนน
3. Additives มีอยู่หลายชนิดเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร และก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร และก็ไม่เคยหักคะแนนน้ำหอมในผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช่พวกครีมทาใต้ตามาก่อน ก็เลยให้ไป 5 ฟลาสก์
4. การใช้งาน ตามที่ได้บรรยายสรรพคุณไปแล้วในหลายๆกระทู้ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์ค่ะ

คะแนน aloe

สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ค่ะ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบนะคะ

เอาไปใช้ทาผิวไหม้แดดหลังสงกรานต์ได้เลยแหละ

See you again~