Image

[Basic Cosmetology] แชร์ 5 วิธี ปกป้องผิวจากมลภาวะ

วันนี้มี่ขอแชร์กลไกในการดูแลผิวจากมลภาวะแบบง่ายๆ ที่เราสามารถทำกันได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากนัก

ตอนนี้ก็ปัญหาฝุ่นที่กรุงเทพ

เดี๋ยวอีกสักพัก ภาคเหนือก็เผากันสนุกสนาน (?) ปัญหานี้ก็จะตามมาต่อที่ภาคเหนือค่ะ ต่อให้มีประกาศห้ามเผา ตรวจจับจาก Hot spot ผ่านดาวเทียม มันก็ยังเผากันในเตาเผาใต้หลังคา ตรวจความร้อนจากดาวเทียมไม่เจออีก

เยี่ยมมากจริงๆค่ะ

เรียกได้ว่า มันเป็นกันไปทั่ว

AP

จากหลายๆ Blog ก่อนที่มี่เคยเล่าว่า มลภาวะสามารถส่งผลเสียกับผิวได้หลายประการ ที่เราอาจจะท่องจำกันง่ายๆว่า “อักเสบ เหี่ยว ดำ เสื่อม” 

(ถ้าใครอยากตามไปอ่านเรื่องมลภาวะอีกรอบ เชิญได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>click<<)

 

ดังนั้น วิธีการป้องกันมลภาวะเหล่านี้ ก็สามารถป้องกันได้ตามผลเสียที่มันจะเกิดขึ้นเลยค่ะ

 

มี่เลยขอแชร์วิธีการป้องกันมลภาวะ 5 ข้อ ดังนี้ค่ะ

 

1. ป้องกันไม่ให้มลภาวะสัมผัสผิว

อาจจะใช้การใส่ Mask หรือ อาจจะใช้สกินแคร์บางกลุ่มช่วยป้องกันไม่ให้มลภาวะเหล่านี้สัมผัสผิวได้ค่ะ

ตัวอย่างส่วนผสมที่ทำได้ : Biosaccharide gum-4 (ชื่อทางการค้า Pollustop) ตัวนี้เจอในผลิตภัณฑ์ต้านมลภาวะหลายๆยี่ห้อเหมือนกันค่ะ

อันที่จริงซิลิโคนบางตัวที่เคลือบผิวไว้ ก็น่าจะป้องกันได้นะคะ

หรืออย่างล่าสุด ที่มีผลิตภัณฑ์สเปรย์ Ihada จากญี่ปุ่น ที่มีส่วนผสมของ สารประจุบวก ก็สามารถผลักเอามลภาวะกระเด็นออกไป ไม่ให้มลภาวะเข้าผิวได้

SHOHIN_PL_C1_E07502_L

มี่เคยวิเคราะห์ส่วนผสมสเปรย์ Ihada ไว้นะคะ สามารถตามไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้ค่ะ >>Click<<

 

2. เสริม Barrier ผิว

อันนี้ถ้า Barrier ผิวเราแข็งแรง มลภาวะก็จะลงไปได้ยากขึ้น

พวก Ceramide กับ ไขมันอื่นๆที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว น่าจะตอบโจทย์ได้ค่ะ

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ฟื้นฟู Barrier ผิวได้ก็มีหลายตัวเลย

เช่น

CeraVe

(Click เพื่ออ่าน review)

Atoplam

(Click เพื่ออ่าน review)

Dermartlogy

(Click เพื่ออ่าน review)

 

จริงๆมีผลิตภัณฑ์จากญี่ปุ่นอีกตัว ในกลุ่มของ d program ที่เสริมการทำงานของ cornified envelop ที่เป็นเปลือกหุ้มของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้าให้แข็งแรงไปอีก

ตัวนี้พอดียังหาส่วนผสมไม่ได้ เลยยังไม่ได้เอามาเมาท์ต่อค่ะ

 

เอาจริงๆก็เลือกใช้กันได้ตามสะดวกเลยค่ะ 🙂

 

3. ล้างหน้าทำความสะอาดให้ดีๆ

แต่อย่ามากเกินไปจนชะเอาไขมันดีๆออกจากผิว ผิวจะเสียกว่าเดิมอีก

การทำความสะอาดด้วยสารทำความสะอาดต่างๆ ก็สามารถชะเอามลภาวะต่างๆออกไปจากผิว รวมไปถึงการมาส์กหน้าด้วยโคลน ซึ่งน่าจะสามารถดูดซับเอาสิ่งสกปรกต่างๆไว้กับตัว ก็น่าจะตอบโจทย์ในขั้นตอนตรงนี้ได้

 

นี่อาจจะเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผลิตภัณฑ์ต้านมลภาวะหลายๆตัวในตลาด ออกมาเป็นโฟม/เจลล้างหน้า หรือ Clay mask

 

4. แก้ที่ปลายเหตุ

มลภาวะนี่เวลามันลงผิว มันจะไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระ และการอักเสบขึ้นมา

เราก็ Block มันด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ กับ สารลดการอักเสบสิ

 

อนุมูลอิสระ และการอักเสบนี้ ถ้าเกิดแล้วมันจะยาวววววว ไปถึงการเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างเม็ดสีผิวขึ้น กลายเป็นจุดด่างดำ ตรงนี้ Block โบกเข้าไปด้วย Whitening อีกจุดคือ นางจะไปเหนี่ยวนำให้เอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจน ที่ชื่อ MMP ทำงานมากขึ้น ก็ไป Block เจ้า MMP เสีย หรือ อาจจะหาสารอื่นที่เสริมคอลลาเจนเข้ามาทดแทน

 

ตัวอย่างส่วนผสมที่น่าสนใจ แต่ไม่ค่อยมีใครเคลม คือ สารสกัดจากบัวบก คือ ตัวเดียวจบ ทั้งริ้วรอย ทั้งอนุมูลอิสระ ทั้ง MMP โลด

 

ส่วน Whitening ก็มีหลายตัว ที่เรารู้จักกันบ่อยๆ ก็พวก B3, C และก็ Arbutin

 

 

5. กันแดดอย่าให้ขาด

 

หลายๆ แหล่งข้อมูลบอกว่า รังสี UV ทำให้มลภาวะส่งผลเสียกับผิวได้มากขึ้น ดังนั้นกันแดดต้องใช้ห้ามขาดมือค่ะ

 

และจริงๆเดี๋ยวนี้กันแดดหลายๆยี่ห้อ ก็เคลมเรื่อง Anti-pollution แล้ว ไม่ว่าจะเป็นจากยุโรป ญี่ปุ่น หรือ เมกา เองก็พากันเคลมกันใหญ่

 

จริงๆ Pollution น่ากลัวนะคะ แต่การดูแลไม่ได้ยากมาก ทำเถอะ เพื่อผิวสวยงามและแข็งแรง

 

สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอตัวไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

สงวนลิขสิทธิ์ในบทความทั้งหมดตามพระราชบัญญัติ ห้ามนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต

Disclaimer: บทความนี้ผู้เขียนจัดทำขึ้นมาโดยอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ และไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆในการเขียนบทความนี้

Image

[cosme-diagnosis] ยาทาเล็บต้านมลพิษมีอยู่จริง

เรื่องมลภาวะ หรือ Pollution นี่เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่ซีเรียสทั้งต่อร่างกาย และผิวพรรณนะคะ
มี่เคยเขียน Blog เกี่ยวกับผลเสียของมลภาวะต่อผิวพรรณไว้ เป็นลิงค์นี้นะคะ (>>Click<<) เผื่อท่านใดยังไม่เคยรับชม สามารถตามไปรับชมได้ค่ะ
 
ภายใต้ความซีเรียสของมลพิษนั้น ก็ทำให้อุตสาหกรรมเครื่องสำอางต่างๆมีลูกเล่น มีเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาเพิ่มขึ้น
 
วันนี้บังเอิญไปเจอยาทาเล็บที่เคลมเรื่องของการต่อต้านมลภาวะ เลยเอามาเล่าสู่กันฟังค่ะ
 
ใครจะไปคิดว่า มียาทาเล็บต้านมลภาวะอยู่จริงๆในตลาดเครื่องสำอางเนอะ อัจฉริยะมากเว่อร์
 
ยาทาเล็บนี้มาจากแบรนด์ Nails Inc. กับรุ่น Nail Polish Fuelled By Charcoal ค่ะ
 
นางมีสตอรี่มาจากคอนเซปท์ที่ว่า เล็บนี่เป็นองค์ประกอบหนึ่งที่โดนมลภาวะในอากาศ และเป็นจุดที่สัมผัสกับสิ่งแวดล้อม
 
ยังมีความเชื่อว่า เวลาเราป่วย หรือมีปัญหาบางอย่าง เช่น ขาดสารอาหารบางประเภท หรือมีการสะสมสารพิษในร่างกาย จะแสดงอาการออกมาที่เล็บเป็นลำดับแรกเลย
ยาทาเล็บนี้มีส่วนผสมดังภาพค่ะ
สผส nail.jpg
สังเกตุว่า ทางแบรนด์จึงคิดใส่ผงถ่านคาร์บอน หรือ Charcoal ลงไป โดยมีเคลมหลักคือช่วยดูดซับสารพิษ และปกป้องไม่ให้มลภาวะเข้าผ่านเล็บเข้าไป นำมาเป็นเคลมหลัก
 
pollu nail
นอกจาก Charcoal แล้ว ยังเสริมคุณค่าด้วย
1. Vitamin C ช่วยเป็น antioxidant ซึ่งน่าจะติดมากับวัตถุดิบที่มีชื่อว่า Myramaze ที่จะได้กล่าวต่อไป
 
2. Myrothamnus Flabellifolia extract สารสกัดจากต้น Reserrection น่าจะเป็นวัตถุดิบ Myramaze ที่ประกอบด้วยของผสมของ Propanediol (and) Water (and) Myrothamnus Flabellifolia Extract (and) Ascorbic Acid (and) Citric Acid
 
ตัวนี้ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมเรื่องการปกป้องผิวจากความแห้ง ปกป้องไขมันในผิวไม่ให้ถูกออกซิไดส์ เสริมสร้าง Barrier ผิว และลดการอักเสบระคายเคือง
 
3. Zinc acetylmethionate เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Methionine ที่เป็นองค์ประกอบของโปรตีน Keratin ในผิว ผมเล็บอีกที และยังมีส่วนช่วยเสริมการทำงานของระบบ Antioxidant ตามธรรมชาติของร่างกาย
 
คือ นอกจากเติมสีให้สวยงามแล้ว ยังได้คุณสมบัติพิเศษเสริมมา ทั้งปกป้อง เสริมความชุ่มชื้น และดูแลให้เล็บแข็งแรงไปพร้อมๆกัน
 
เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาสูตรมาได้อย่างชาญฉลาดมากเลยทีเดียว
 
Image

[Cosme-Diagnosis] วิเคราะห์ส่วนผสมสเปรย์ต้านมลภาวะและเกสรดอกไม้ตัวดัง Shiseido IHADA aller screen EX

สวัสดีค่ะ

ถ้าพูดถึงสเปรย์ต้านมลภาวะตัวดัง เชื่อว่าหลายๆท่านคงต้องเคยเห็นเจ้า IHADA aller screen EX ของเครือ Shiseido แน่ๆ

อ๊ะๆ เผื่อจะนึกไม่ออก หน้าตาน้องเป็นแบบนี้จ้า

SHOHIN_PL_C1_E07502_L.jpg

ที่ญี่ปุ่นนางมีจำหน่ายในร้านขายยาค่ะ ราคากรุบๆไม่แพงเลยจริงๆ

นางเป็นผลิตภัณฑ์ตัวหนึ่งที่น่าสนใจ และพัฒนาขึ้นมาจากงานวิจัยหลายๆชิ้น และแน่นอนว่าเป็นขวัญใจของ Blogger/Influencer หลายๆท่าน เลย

ยิ่งทำให้เราสนใจตัวนี้มากขึ้นเลยลองไปค้นข้อมูลเพิ่มเติมมาค่ะ

 

ก่อนจะไปดูส่วนผสม อยากเล่าให้ฟังถึงเรื่องเกสรดอกไม้กับผิวหนังซักหน่อย

เราอาจจะคุ้นเคยว่า เวลาช่วงที่ในอากาศมีละอองเกสรมากๆ คนที่เป็นภูมิแพ้ก็จะมีอาการจาม น้ำมูกไหลเนอะ

หลังๆมานี้ นักวิทยาศาสตร์พบว่า ละอองเกสรนี่ มันไม่ได้แค่มีผลต่อระบบทางเดินหายใจนะ

หลายคณะ นักวิจัยทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและการแพทย์ เจอว่าโปรตีนหรือเปปไทด์จากละอองเกสรดอกไม้ต่างๆหรือ ดอกหญ้าบางชนิด สามารถซึมผ่านผิวหนังที่มี Barrier ไม่สมบูรณ์ เช่น ผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบ อย่าง Atopic dermatitis หรือ Eczema แล้วลงไปเหนี่ยวนำให้เกิดปฏิกิริยาการแพ้ขึ้นมา ทำให้อาการของโรคผิวหนังแย่ลง

นอกจากเรื่องการแพ้แล้ว ก็มีการศึกษาพบว่าละอองเกสร สามารถไปลดความสามารถในการเป็น Barrier ของผิวได้อีก

จากนั้นก็มีการศึกษามาเป็นระยะๆว่าการทามอยส์เจอไรเซอร์บางกลุ่มสามารถลดการดูดซึมของโปรตีนจากละอองเกสรเหล่านี้ได้ และช่วยลดอาการแพ้ที่ผิวหนังได้ค่ะ

 

กลับมาที่ผลิตภัณฑ์ของเรา

Product ตัวนี้ออกมาได้หลายปีแล้วนะคะ ซึ่งตอนที่นางออกมาใหม่ๆ นางก็เป็นข่าวฮือฮาในเว็บ Cosmetics-design แล้วตั้งแต่เมื่อปี 2015

shi 2

(แหล่งข่าว https://www.cosmeticsdesign-asia.com/Article/2015/05/14/Shiseido-sees-opportunity-in-Japan-s-pollen-concerns)

 

หลังจากนั้นก็มีข่าวออกมาอีกว่า Shiseido เจอว่า ละอองเกสรนี่ทำร้าย Barrier ผิวได้ด้วยนะ นอกจากเหนี่ยวนำให้เกิดการแพ้

shi 1

(แหล่งข่าว https://www.cosmeticsdesign-europe.com/Article/2016/02/10/Shiseido-finds-pollen-can-damage-skin-barrier)

 

ผลิตภัณฑ์ตัวนี้ออกมาสู่ตลาดซักพักแล้ว จนเริ่มมาดังในบ้านเรา เมื่อ Blogger หลายๆท่านมีการกล่าวถึงผลิตภัณฑ์ตัวนี้มากขึ้น ทำให้เราอยากได้อยากลองอยากมีไปด้วย เลยไปลองค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็พบว่านางทำมาได้ค่อนข้างน่าสนใจเลยทีเดียวหละ

 

โดยกลไกการออกฤทธิ์ที่ทางแบรนด์เขา Claim ไว้ คือ นางจะไปสร้างเกราะที่มีประจุไฟฟ้า และสามารถผลักเอาละอองเกสร ฝุ่นละออง ชนิด PM 2.5 รวมถึงพวกไวรัส ไม่ให้เข้ามาสัมผัสผิวเราได้

ihada 2

(Image from Shiseido)

 

และโชคดีมาก ที่ในเว็บของทางแบรนด์เค้ามีส่วนผสมมาให้ เลยลองใช้ Google แปล + Miyeon เดา มาแกะส่วนผสมดูค่ะ

สผส ihada

แนบแบบภาษาญี่ปุ่นมาให้ด้วย เผื่อท่านใดอ่านได้ และมี่แปลผิดจะได้ช่วยแก้ไขในรายละเอียด

 

ดูจากส่วนผสมจะเห็นว่า มีสารประจุบวก อยู่ 2 ชนิด คือ เจ้า Polyquaternium-51 ซึ่งตัวนี้มีสูตรโครงสร้างคล้ายๆกับ Phospholipid ที่เป็นองค์ประกอบของเยื่อหุ้มเซลล์ต่างๆ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเขาเลยเคลมว่า สามารถเรียงตัวบนผิวได้ และเสริมเรื่องความชุ่มชื้น กับ Barrier ผิว

ส่วนอีกตัวคือ Distearyl dimonium chloride นางจัดเป็นสารประจุบวกในกลุ่มของ Cationic surfactant ซึ่งเดิมทีเราจะใช้สารในกลุ่มนี้เป็นครีมนวดผม เพราะสามารถจับกับผมเสียที่มีประจุเป็นลบ และช่วยปรับสภาพเส้นผมให้นุ่มสลวยสวยเงางาม

เช่นเดียวกัน นางสามารถเกาะกับองค์ประกอบในโปรตีนบนผิวที่มีประจุลบ ทำให้ติดบนผิวได้ยาวนาน

 

เจ้านี่เองที่สร้างเกราะทางไฟฟ้า มาช่วยเคลือบปกป้องผิวเราจากละอองเกสร และฝุ่นละอองต่างๆ

 

เรียกได้ว่าเป็นการใช้วัตถุดิบทางเครื่องสำอางได้อย่างชาญฉลาด เรียกได้ว่า เกือบจะต้องกราบแนบตักเลยทีเดียว

 

ส่วนในเบสก็มีสารในกลุ่มของ Fatty alcohol และน้ำมัน Mineral oil เพื่อช่วยให้ผิวไม่แห้ง และให้สัมผัสนุ่มลื่น ส่วนแอลกอฮอล์อย่าง Ethanol กับ Isopropanol ที่ใส่มาก็เพื่อให้ผลิตภัณฑ์แห้งไว และช่วยให้สารเหล่านี้แผ่กระจายเรียงตัวเป็นฟิล์มสวยๆได้นั่นเอง

ส่วนความกังวลเรื่องความระคายเคือง ถ้าดูจากวิธีการใช้งาน เราสเปรย์ที่ชั้นนอกสุดของผิว หลังจากบำรุงต่างๆมามากมาย และแต่งหน้าแล้ว จึงไม่ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่นะคะ เว้นแต่คนที่ Sensitive มากๆ อาจจะต้องลองทดลองดูว่าทนไหวไหม เพราะการตอบสนองของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน

 

สำหรับราคาที่ญี่ปุ่นก็ถือว่าไม่ได้แพงนะคะ

ขวด 50 กรัม 972 เยน (ราวๆ 291 บาท)

ขวด 100 กรัม 1728 เยน (ราวๆ 518 บาท)

 

ด้วยความที่เป็นขวดแบบบรรจุแก๊ส ให้ละอองแบบไมโคร ในการใช้งาน 1 ครั้ง จึงไม่ได้เปลืองมาก น่าจะใช้ทนอยู่

 

Disclaimer: บทความนี้เป็นการเขียนวิเคราะห์ส่วนผสมในเชิงวิชาการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีส่วนที่เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้และใช้ในเชิงการศึกษา ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า ขอสงวนลิขสิทธิ์ในตัวบทความทั้งหมด และห้ามนำไปใช้เพื่อประโยชน์ในการค้า โปรดใช้วิจารณญานในการรับชม

For educational purpose only

 

References

 

  1. Meinke et al. Skin Pharmacol Physiol. 2016;29(2):71-5. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/27027785
  2. Fölster-Holst et al. Clin Cosmet Investig Dermatol. 2015;8:539 -48. https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/26604810
  3. Kumamoto et al. Arch Dermatol Res. 2016;308(1):49-54.https://www.ncbi.nlm.nih.gov/pubmed/26498292
  4. https://www.cosmeticsdesign-europe.com/Article/2016/02/10/Shiseido-finds-pollen-can-damage-skin-barrier
  5. https://www.cosmeticsdesign-asia.com/Article/2015/05/14/Shiseido-sees-opportunity-in-Japan-s-pollen-concerns
  6. https://www.shiseido.co.jp/cms/onlineshop/ih/bn/asex/

 

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมน้ำแตกผสมสารสกัดจากใยแมงมุม โดดเด่นด้วยคอนเซปท์ Early aging จากแบรนด์ Dermanour กับ Golden Spider Lifting Cream และ Serum

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวครีมและเซรั่มที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เดี๋ยวนี้เขามีการสกัดเอา Peptide จากแมงมุมมาใช้ในเครื่องสำอางกันแล้วนะคะ

ผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจที่ใช้ Peptide จากใยแมงมุมนี้มาจากแบรนด์ Dermanour (เดอร์มาเนอร์) นางเป็นแบรนด์ที่พัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม และสุขภาพโดยใช้แนวความคิดด้านชีวเวชสำอางจากธรรมชาติร่วมกับเทคโนโลยีชั้นสูง และองค์ความรู้ทางการแพทย์ด้านความงาม และสุขภาพจากศาสตร์ต่างๆเพื่อวัตถุประสงค์ในการสร้างประสิทธิภาพ ผลลัพธ์ และความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้บริโภคค่ะ

ผลิตภัณฑ์มีชื่อเต็มๆว่า Dermanour Golden Spider Lifting Cream และ Serum ค่ะ ซึ่งมีหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

02-re

นางมากันในกล่องสีน้ำเงินตัดกับขาว

 

ตัวครีมเป็นกระปุกสีชมพูค่ะ

03-re

ส่วนตัวซีรั่มมาในขวดปั๊มสีชมพูค่ะ

01-re

เนื้อครีมมาในรูปแบบครีมน้ำแตก (Water drop) ซึ่งมีความบางเบา ไม่เหนอะหนะ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นและเคลือบปกป้องผิวได้ดีค่ะ

d 5

d 6

ตอนเกลี่ยจะเกลี่ยได้ง่าย และมีน้ำคายออกมาจากเนื้อครีม เราเลยเรียกเป็น Water drop ค่ะ จะให้ความรู้สึกสดชื่น และเย็นสบายผิว

d 7

ค่า pH มี่วัดจากน้ำที่คายออกมาจากเนื้อครีมนะคะ

d 8

อยู่ที่ราวๆ 6 – 7 ค่ะ

เรามักจะมีความเชื่อว่า pH ของเครื่องสำอางควรจะอยู่ที่ 5.5 แต่ความจริงก็ไม่ได้จำเป็นต้องเป็นอย่างนั้นเสมอไปค่ะ ผิวของคนเราจะมีค่า pH ที่ประมาณ 5 – 6 เฉลี่ย 5.5 และมีระบบบัฟเฟอร์ ที่ช่วยปรับให้ค่า pH ลงมาสมดุลในช่วงนี้ตลอด ดังนั้นไม่ว่าเราจะทาอะไรลงไป ผิวคนปกติก็จะปรับค่า pH กลับมาที่เดิมได้ค่ะ แค่เลี่ยงพวกที่มีค่า pH เว่อร์วัง แบบเป็นเบสแรง ค่ามากกว่า 12 หรือเป็นกรดแรงๆ น้อยกว่า 3 ก็จะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ และคนที่ต้องระวังและ Serious เรื่องค่า pH จะเป็นกลุ่มของคนที่เป็นโรคผิวหนัง หรือเป็นผิวบอบบางแพ้ง่าย หรือเป็นเด็กทารก เพราะระบบ Buffer ในผิวของเขาเหล่านี้ทำงานได้ไม่ค่อยสมบูรณ์ค่ะ

 

ส่วนตัวซีรั่มก็จะมาในเนื้อที่บางเบากว่า เป็นของเหลวใส คล้ายเจล

d 9

แต่ตัวซีรั่มจะแผ่กระจายบนผิวได้ดีกว่าเจลทั่วไป และมีความชุ่มชื้นอยู่ค่อนข้างมากค่ะ

d 10

ค่า pH ของเนื้อเบสซีรั่มอยู่ที่ราวๆ 6 ค่ะ

d 11

ตรงข้างกล่องก็จะมี Claim ถึงการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยไว้อยู่ค่ะ

  • 60% ของอาสาสมัครมีรอยตีนกาลดลง
  • 85% ของอาสาสมัครมีผิวที่เรียบเนียนขึ้น
  • 51% ของอาสาสมัครมีผิวหน้ายกกระชับขึ้น
  • 37% ของอาสาสมัครมีผิวขาวกระจ่างใสขึ้น

และก็มีเคลมเรื่องของปกป้องมลพิษ 3 อย่างหลักในเขตเมือง คือ ไอเสียรถยนต์ มลพิษทางอากาศ และควันบุหรี่

ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย (Safety Test) ด้วยสถาบัน Dermscan Asia ในอาสาสมัครอายุ 19 – 57 ปี ว่าไม่ระคายเคืองผิวค่ะ

d n 5.JPG

มี่ลองวัดผิวของมี่ด้วยเครื่อง BIA ดู ตัวครีมก็ถือว่าทำมาได้ดีนะคะ

ค่าความชุ่มชื้น ก่อนทาครีมอยู่ที่ระดับ +2 หลังทาครีม ขึ้นเป็น +3

ค่าความนุ่ม ก่อนทาครีมจะอยู่ที่ระดับ +2 หลังทาครีมขึ้นเป็น +3

ค่าปริมาณน้ำมันของผิว ก่อนทาครีมและหลังทาครีมไม่เปลี่ยนแปลงค่ะ อาจจะเพราะว่าตัวครีมไม่ได้มีส่วนของน้ำมันอยู่ หรือเพราะค่ามัน max ของเครื่องมือแล้วก็เป็นไปได้

วัดผิว

ถ้าถามว่าเครื่อง BIA นี้น่าเชื่อถือแค่ไหน ส่วนตัวมี่คิดว่าน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่ง เพราะลองวัดผิวหลายๆบริเวณ ค่าที่ได้ก็ไม่เท่ากัน อย่างวัดต้นขา ซึ่งจะแห้งมากเว่อร์ ค่าความชื้นกับความมันก็จะติดลบ พอเอามาวัดหน้า ค่าความชื้นกับค่าความมันก็จะเพิ่มขึ้นอยู่ในช่วง + ค่ะ ถ้าเราลองวัดผิวที่เดียวกันซ้ำๆ ค่าที่ได้ก็จะออกมาใกล้เคียงกันค่ะ แต่ก็ได้ในระดับ Home use นะคะ คงยังไม่ถูกต้องมากถึงขนาดหยิบเอาไปวัดผิวอะไรในงานวิจัยได้

BIA นี่ย่อมาจาก Bioelectric impedance analysis เป็นการวัดแรงต้านทางทางไฟฟ้าขององค์ประกอบต่างๆในผิว ซึ่งจะมีทั้งน้ำ ที่นำไฟฟ้าได้ และไขมัน ที่ไม่นำไฟฟ้าค่ะ

 

ถ้าลองพูดถึงผลเสียของมลภาวะอากาศต่อผิวนั้น มีอยู่หลายรูปแบบค่ะ ซึ่งมี่เคยได้อัพโหลดบทความเกี่ยวกับ Pollution ไว้แล้ว เป็นลิงค์นี้นะคะ https://cosmeknowledge.wordpress.com/2018/01/05/bt-pollution/

 

สรุปได้ย่อๆ ว่า มลภาวะในอากาศ นั้นสามารถทำให้ผิวเราเกิดผลเสียได้ 4 ประการหลักๆ คือ อักเสบ เหี่ยว ดำ และ เสื่อม

  • อักเสบ คือ การที่มลภาวะเหล่านี้ซึมลงไปในผิวแล้วกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารก่อการอักเสบในตระกูลของพวก Interleukins ขึ้นมา ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวเราเกิดการอักเสบต่างๆมากมาย
  • เหี่ยว เมื่อมลภาวะลงไปในผิวจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมาในผิว ที่จะมีผลทำให้เอนไซม์ MMP ทำงานเพิ่มขึ้น เอนไซม์นี้เป็นเอนไซม์ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวเหี่ยวและเกิดเป็นริ้วรอยตามมา
  • ดำ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากมลภาวะสามารถไปเหนี่ยวนำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผิว สร้างเม็ดสีผิวมากขึ้น ทำให้ผิวดำคล้ำ หรือ เกิดเป็นจุดด่างดำ
  • เสื่อม มลภาวะทำลาย Barrier ผิว ทำให้ Barrier ผิวเสื่อมลง ผิวจะแพ้ได้ง่ายขึ้น

 

น่ากลัวเลยทีเดียว

จริงอยู่ที่เราสามารถป้องกันมลภาวะได้หลายวิธี แต่การใช้ผลิตภัณฑ์ที่มี Claim เกี่ยวกับด้าน Anti-pollution นั้นก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำได้ง่ายค่ะ

 

อีกจุดหนึ่งที่สำคัญคือ ผลิตภัณฑ์ตัวนี้มีคอนเซปท์ที่เป็น Early aging หรือ Pre-aging ซึ่งเป็นการดูแลผิวก่อนที่จะเริ่มเกิดความแก่ขึ้น เหมาะกับผู้ที่มีอายุระหว่าง 25 – 35 ปีค่ะ เป็นช่วงวัยทำงานตอนต้นพอดี

 

 

มาทั้งทีไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้ วันนี้ขอวิเคราะห์ส่วนผสมแบบละเอียดจัดเต็มเลยนะคะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส cream

วันนี้เรามารีวิวกันแบบละเอียด แจงจัดหนักทุกส่วนผสมเลยนะคะ

ถ้าเราพิจารณากันจะพบว่าผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแทบทุกชนิดจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ

  1. Actives คือ สารบำรุง เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติที่ดี รวมไปถึงมีประโยชน์ทางชีวภาพ
  2. Base คือ เนื้อหลักของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
  3. Additive คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้ และมีความปลอดภัย

 

มี่ได้ทำสีส่วนผสมสารบำรุงไว้หลายๆสีนะคะ เดี๋ยวจะบอกอีกทีว่าแต่ละสีมีประโยชน์อะไรบ้าง

 

มาดูรายละเอียดส่วนผสมแต่ละตัวกันเลยนะคะ

  1. Actives กลุ่มของสารบำรุง มีอยู่หลายตัวเลยทีเดียวค่ะ
  • สีม่วง: พระเอกของเรา SR-spider polypeptide-1 ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่สกัดออกมาจากใยแมงมุม ซึ่งว่ากันว่าเป็นเส้นใยที่แข็งแรงที่สุด ทางแบรนด์เคลมว่า ใช้เส้นใยสีทองจากใยแมงมุมสายพันธ์ Araneus diadematus ซึ่งผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าเมื่อทาลงผิว นางจะไปเรียงตัวเป็นฟิล์มบางๆบนผิว ทำหน้าที่เป็นเสมือน Barrier ช่วยโอบอุ้มและพยุงผิวเอาไว้ พร้อมปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อม สารเคมีที่อาจก่อการระคายเคืองแก่ผิว รวมถึงเชื้อโรคต่างๆไม่ให้ทำร้ายผิวได้
  • สีชมพู: ส่วนผสมของ Maltodextrin กับ Swertia chirata extract ตัวนี้เป็นวัตถุดิบนำเข้าจากฝรั่งเศสค่ะ วัตถุดิบนี้คือเจ้า SWT-7 ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่สกัดจากต้น Indian gentian (Swertia chirata) วัตถุดิบนี้ได้รับรางวัลเหรียญเงินส่วนผสมยอดเยี่ยม (Best ingredient Silver) จากงาน In-cosmetics เมื่อปี 2015 ด้วยค่ะ เอ๊ะทำไมแค่สารสกัดธรรมดาเบๆถึงได้รางวัล Silver มาดูรายละเอียดกันค่ะ

วัตถุดิบนี้ถึงจะดูพื้นๆ แต่ไม่ธรรมดาเลยค่ะ เพราะทางบริษัทมีผลการทดสอบทั้งในระดับหลอดทดลองและระดับอาสาสมัคร มีกลไกการออกฤทธิ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนและโดดเด่นค่ะ โดยมี Claim ว่าสามารถส่งเสริมให้ผิวเราสร้าง Stem cell และ Growth factor ออกมา โดยไม่จำเป็นต้องไปนำส่งอะไรให้วุ่นวายยุ่งยาก และยังมีคุณสมบัติเสริมการฟื้นฟูตัวเองของผิวได้อีก

การทดสอบในระดับหลอดทดลองพบว่ามีผลเสริมการสังเคราะห์ KGF (Keratinocyte growth factor) ซึ่งเป็น Growth factor ของเซลล์ผิวในหนังกำพร้า ทำให้ชั้นผิวหนาตัวขึ้น

swt 1

(Image from Lucas Meyer Cosmetics)

 

การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงที่มีการทำให้เซลล์เกิดความเสียหาย พบว่าสารนี้สามารถเสริมการฟื้นฟูตัวเองออกมาทดแทนเซลล์ที่เสียหายไป

swt 2

(Image from Lucas Meyer Cosmetics)

 

การทดสอบในอาสาสมัครอายุ 45 – 60 ปี จำนวน 17 คน ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีสารนี้เทียบกับครีมเบส วันละ 2 ครั้ง เช้าเย็น เป็นเวลา 28 วัน พบว่าอาสาสมัครมีริ้วรอยลดลงตั้งแต่ 7 วันแรกค่ะ

swt 3

(Image from Lucas Meyer Cosmetics)

     เมื่อใช้ต่อจนครบ 28 วันก็มีริ้วรอยลดลง และผิวพรรณเรียบเนียนขึ้นค่ะ

swt 4

(Image from Lucas Meyer Cosmetics)

ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว (เอกสารอ้างอิง TDS SWT-7, Lucas Meyer Cosmetics)

  • สิเขียว: Biosaccharide gum-4 คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ มีประโยชน์ในการปกป้องผิวจากสารเคมีต่างๆ รวมถึงพวกมลภาวะ โดยตัวมันไปสร้างฟิล์มเคลือบไว้ที่ผิวชั้นนอกไม่ให้สิ่งเหล่านี้มาสัมผัสผิวโดยตรง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารนี้สามารถลดการเกิดอนุมูลอิสระภายในเซลล์เมื่อผิวหนังเพาะเลี้ยงสัมผัสกับ 5 และช่วยปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายเพราะอนุมูลอิสระได้ และมีประโยชน์ในการเสริมการปกป้องรังสี UV และสารเคมีบางชนิด ตัวนี้ทางแบรนด์ Claim ว่า ใส่มาในความเข้มข้นที่ให้ผลดีในการป้องกัน pm 2.5 กันทั้งอนุภาคควันบุหรี่ ไอเสียรถยนต์ และมลพิษทางอากาศ
  • สีส้ม: สูตรผสมของ Water (and) Argania Spinosa Kernel Extract (and) Sodium Cocoyl Glutamate (and) Carbomer มีชื่อทางการค้าว่า Argatensil นำเข้ามาจากฝรั่งเศส ผู้ผลิตเคลมว่าสารนี้มีคุณสมบัติลดริ้วรอย และช่วยให้ผิวเรียบเนียน
  • สีฟ้า: สารบำรุงอื่นๆ ได้แก่
    • Hydrolyzed soy protein เป็นโปรตีนถั่วเหลืองที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดเล็กลง มีประโยชน์เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
    • Snail secretion filtrate หรือ เมือกหอยทาก มีการทดสอบเชิงคลินิกสนับสนุนถึงประสิทธิภาพในการลดริ้วรอย (Cosmetic Dermatology. 2009; 22(5):250 and Journal of drugs in dermatology. 2013; 12(4):456.)
    • Wine หรือไวน์ ประกอบด้วยสาร Resveratrol ซึ่งเป็น antioxidant ที่ดี
    • Tocopherol หรือวิตามินอี เป็น antioxidant

 

2. ส่วนของ Base ประกอบด้วย สารกลุ่มน้ำ กลุ่มน้ำมัน และซิลิโคน

  1. ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ และสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่ละลายน้ำได้ อย่าง Propylene glycol, Butylene glycol, Triethyleneglycol, Dipropylene glycol, PEG-10 พวกนี้เรียกว่าเป็น Humectant ทำหน้าที่เพิ่มความชุ่มชื้นโดยการดูดน้ำให้ผิว อาจนับรวมเอาพวก Hexanediol, Ethyl hexanediol มารวมไว้ก็ได้
  2. ส่วนของน้ำมัน มีน้ำมันสังเคราะห์อย่าง C12-15 alkyl benzoate เป็นตัวช่วยละลายสารบางชนิดในครีม
  3. ส่วนของซิลิโคน มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นแบบระเหยได้ และแบบเคลือบผิวปกป้องรักษาความชุ่มชื้น ได้แก่ Cyclopentasiloxane, Dimethicone, Dimethicone/PEG-10/15 crosspolymer, PEG-10 dimethicone, Phenyl trimethicone, Dimethiconol, Dimethicone crosspolymer พวกนี้ทำหน้าที่ขึ้นเบสให้มีความบางเบา

ตัวที่น่าสนใจคงหนีไม่พ้นตัวหลักที่ทำให้เกิดเนื้อน้ำแตก หรือ Waterdrop อย่างเจ้า Dimethicone/PEG-10/15 crosspolymer นั่นเองค่ะ

3. ส่วนประกอบอื่นๆ หรือ Additives ได้แก่

  1. สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Acacia gum, Caesalpinia gum, Xanthan gum และ Carbomer
  2. Surfactant และ Emulsifier มีเจ้า Sodium cocoyl glutamate ที่ติดมากับตัว Argatensil
  3. สารกันเสีย ได้แก่ Phenoxyethanol, Sodium benzoate และอาจนับรวม 1,2-Hexanediol เข้ามาด้วย
  4. สารจับโลหะ ได้แก่ Disodium EDTA ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของสารกันเสีย และความคงตัวของตำรับ
  5. น้ำหอม
  6. อื่นๆ ได้แก่ Sodium citrate อาจใส่มาเพื่อปรับ pH และ เกลือ หรือ Sodium chloride จำเป็นต่อการเกิดเนื้อแบบ Water drop

 

ในบทสรุปครีมนี้จะมาในเบสแบบอิมัลชั่นชนิดซิลิโคนในน้ำ s/w ที่ประกอบด้วย น้ำ และซิลิโคนเป็นหลัก ใส่วนผสมของสารบำรุงอยู่หลายชนิด ให้ประโยชน์ไปในด้านการลดริ้วรอยเป็นหลัก รองลงมาคือด้านความชุ่มชื้น ต่อต้านมลภาวะ และชะลอวัย ซึ่งส่วนผสมที่ใส่มาถือว่าเลือกมาได้ดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ในส่วนของเซรั่มก็จะทำมาคล้ายกัน เพียงแต่เปลี่ยนเบสเป็นเบสแบบที่มีน้ำเยอะหน่อย เสริมซิลิโคนมานิดหน่อยเพื่อให้ Feeling ดี

มาให้คะแนนกันดีกว่า

  1. สารบำรุง มีสารบำรุงหลายชนิด นำเข้ามาจากต่างประเทศ มีคุณสมบัติเด่นในด้านของการลดริ้วรอย ซึ่งทางผู้ผลิตวัตถุดิบมีการทดสอบประสิทธิภาพเอาไว้ทั้งในระดับหลอดทดลองและในระดับอาสาสมัคร ประโยชน์รองๆคือ มีประโยชน์ในด้านความชุ่มชื้น ต่อต้านมลภาวะ ซึ่งผลของมลภาวะนั้นก็สามารถทำให้ผิวอักเสบ เกิดริ้วรอย จุดด่างดำ รวมถึง Barrier ผิวเสื่อมสภาพลงไปได้ โดยตัวนี้มีสารที่ให้คุณสมบัติในการปกป้องมลภาวะ และเสริมสารที่ให้คุณสมบัติในการลดริ้วรอยไปพร้อมๆกัน ถ้าพิจารณาในด้านของการเป็น Anti-pollution และเป็น Pre-aging แล้ว ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี สำหรับผู้ที่มีอายุ 25 – 35 ค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในตัวเบส มีส่วนของสาร Humectant ที่ดูดจับน้ำให้ผิว และมีสารเคลือบปกป้องผิวกันน้ำระเหยออกไป ส่วนผสมอื่นๆไม่ได้มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวมี่มีผิวแห้ง ตัวครีมถือว่ามีสัมผัสที่บางเบา ไม่เหนอะหนะมากเกินไป แต่ก็ไม่ได้ทำให้หน้าแห้งมากเกินไป ส่วนตัวเซรั่มอาจจะแห้งไปซักหน่อย ต้องหาครีมมอยส์เจอร์มาทาทับอีกชั้นหนึ่งค่ะ ทั้งสองตัวนี้คนผิวมันน่าจะชอบ เพราะไม่เหนอะหนะเลย และให้ความรู้สึกสดชื่น สบายผิว ส่วนด้านริ้วรอย ส่วนตัวมี่ไม่ได้มีริ้วรอยอะไรเยอะ ที่จะรู้สึกก็เรื่องผิวนุ่ม เรียบเนียน และเต่งตึงค่ะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน new.jpg

สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณทางแบรนด์ Dermanour ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/Dermanour/

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dermanour การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม มาสค์หน้าต้านมลภาวะสุดเนี๊ยบ Klairé Anti-pollution overnight mask

สวัสดีค่ะ

เรียกได้ว่า Overnight mask หรือ Sleeping pack เป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์วิถีชีวิตอันเร่งรีบของชาวเราได้เป็นอย่างดีเลยหละ แค่ทาชิ้นเดียวแล้วก็ไปนอน ไม่ต้องมานั่งไล่ Layer ทีละชั้นๆ ตื่นมาก็สดชื่น ผิวนุ่มได้ง่ายๆ

วันนี้มี่เลยขอหยิบเอา Overnight mask จากแบรนด์ไทยเจ้าเก่า อย่าง Klairé มารีวิวให้ชมกันค่ะ

 

 

มี่เคยรีวิวส่วนผสมตัว Essence กับ Mousse mask ของเขาไว้นะคะ

ลิงค์ Essence: >>Click<<

ลิงค์ Mousse mask: >>Click<<

 

มาสค์หน้าของ Klairé ที่นำมารีวิวในวันนี้ มีชื่อเต็มๆว่า Klairé Anti-pollution overnight mask หน้าตานางจะมาในกล่องสวยงามดูหรูหราค่ะ

ovm 1

พอเปิดฝาออกมาก็จะเจอกระปุก Mask วางอยู่ พร้อมกับคู่มือคำอธิบายส่วนผสมและวิธีใช้ค่ะ

ovm 2

ถึง Klaire จะเป็นแบรนด์ไทย แต่ overnight mask ตัวนี้ผลิตภายใต้การควบคุมจาก Lab ที่ญี่ปุ่นเลยนะคะ

 

พูดถึงมลพิษกันซักหน่อย

 

เมื่อวันก่อนมี่ได้อัพเดทผลเสียของมลพิษที่มีต่อผิวให้ฟังกัน วันนี้มาสรุปสั้นๆ ว่า มลพิษนั้นมีผลรบกวนการทำงานของ Barrier ผิว โดยไปกดการทำงานของสิ่งที่เรียกว่า Tight junction ซึ่งเป็นช่องแคบๆที่คอยกั้นไม่ให้น้ำและสารโมเลกุลเล็กๆออกจากผิว พอเจ้า Tight junction ลดลง Barrier ก็จะเสียไป ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้ง่ายขึ้น เกิดเป็นผิวแห้ง และทำให้สารต่างๆซึมผ่านเข้าออกผิวได้ง่ายขึ้น เสี่ยงเป็นผิวแพ้ง่าย นอกจากนี้ยังทำให้เกิดการอักเสบ เหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ ทำให้เกิดความเหี่ยวตามมา และ ยังมีผลเสริมการสร้างเม็ดสี ทำให้มีจุดด่างดำขึ้นมาอีก

เผื่อใครสนใจตามไปอ่านมลภาวะต่อ >>Click<<

 

เนื้อมาสค์มาในรูปแบบของเจล ที่บางเบา ไม่เหนอะหนะ ไม่มันเยิ้ม และไม่หนักผิว

ovm 3

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น ผ่อนคลายและสบายผิว แม้จะไม่มีกลิ่นใดๆ เพราะทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม

ovm 4

เมื่อทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ก็จะซึมและแห้งไปค่ะ สัมผัสที่ได้จะนุ่มนวล

ovm 5

ค่า pH อยู่ที่ประมาณ 5-6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

ovm 6

มาทั้งทีไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้ เห็นเป็นมาสค์เนื้อเจลแบบนี้ แต่อัดแน่นมาด้วยส่วนผสมของสารบำรุงมากมายหลายชนิดเลยนะคะ

 

ส่วนผสม

สผส klaire

ส่วนผสมของนางจะค่อนข้างคล้ายกับตัว Essence นะคะ มีสารบำรุงบางตัวเพิ่มขึ้นมา เพื่อให้โดดเด่นด้านการลดผลเสียจากมลภาวะเพิ่มขึ้นค่ะ

 

ในส่วนผสมวันนี้มี่ทำสีไว้ 5 สี แต่ละสีก็จะมีจุดเด่นต่างๆกันค่ะ

 

  • สีฟ้า น่าจะเป็นพระเอกของผลิตภัณฑ์ Gossypium herbaceum callus culture extract ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าเป็นสารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของฝ้ายชนิดหนึ่งที่ขึ้นในทะเลทรายแถวอาหรับ ในฝ้ายนี้ประกอบด้วยสารพฤกษเคมีที่มีโครงสร้างดูดกลืนรังสีได้ จึงให้ผลปกป้องเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพให้คืนสู่สภาพดี เสริมสร้างเซลล์ใหม่ และยังให้ความรู้สึกสบายผิว หรือ Soothing effect
  • สีเขียว คือ สารสกัดจากเมล็ด Acacia และ ราก Maca ที่ผ่านการย่อยทำให้ได้สารที่มีขนาดเล็กลง มี 2 ตัว คือ
    • Hydrolyzed acacia macrostachya seed extract มีชื่อทางการค้าว่า Aqualicia เป็นสารสกัดจากเมล็ด Acacia สายพันธ์หนึ่งในแอฟริกา ผ่านกรรมวิธีการย่อยให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีขนาดเล็กลง ทำให้เข้าผิวได้ดีขึ้น ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สารนี้ช่วยควบคุมการเก็บกักน้ำของผิวหนังที่ระดับล่าง เพิ่มการสร้างสารดูดน้ำในผิวที่เรียกว่า Natural moisturizing factor (NMF) ผิวจึงอุ้มน้ำได้ดีมากขึ้น และมีความทนต่อสภาวะอากาศที่แห้งแล้งได้ดีขึ้น โดยเฉพาะหน้าหนาว
    • Hydrolyzed lepidum meyenii root extract มีชื่อทางการค้าว่า Skinergium เป็นสารสกัดจากราก Maca ที่พบในเปรู ที่ผ่านกรรมวิธีการย่อยเช่นกัน ประกอบด้วยเปปไทด์กับน้ำตาลโมเลกุลเล็ก ซึมซาบเข้าไปบำรุงผิว กระตุ้นการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ Fibroblast ที่เป็นเซลล์สร้างคอลลาเจนในผิว ลดริ้วรอย เพิ่ม Complexion ให้ผิว ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีขาวแบบมีเลือดฝาด
  • สีม่วง สารสกัดจากเมล็ด Flax และ เมล็ด Chia เมล็ดทั้งสองนี้มีสารประกอบในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชนิดพิเศษ ที่สามารถดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สารประกอบพวกนี้ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิวได้ และยังเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัยได้อีก
  • สีส้ม เป็นสารที่ได้จากกระบวนการหมักจุลินทรีย์ เป็นการใช้เทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) ในการเลี้ยงจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ แล้วสกัดแยกเอาสารต่างๆออกมาใช้ในทางเครื่องสำอางอีกที ได้แก่
    • Schizosaccharomyces pombe extract เป็นสารสกัดจากยีสต์ชนิดพิเศษที่ขึ้นบนองุ่นบริเวณริมทะเลของสเปน ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สารสกัดจากยีสต์นี้หมักบ่มด้วยอุณหภูมิต่ำพิเศษ ทำให้ได้สารอาหารออกมามากกว่า ให้ผลกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ Fibroblast ที่เป็นเซลล์สร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
    • Bifida ferment lysate ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สารนี้จะช่วยซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรังสี UV ปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
    • Galactomyces ferment filtrate สารที่ได้จากการเลี้ยงยีสต์สายพันธุ์ Galactomyces มีรายงานการวิจัยระบุว่าสามารถเพิ่มความแข็งแรงของ Barrier ที่ผิวหนังชั้นนอก โดยไปเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ Caspase-14 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการแปรสภาพโปรตีน Filaggrin ให้กลายเป็น กรดอะมิโนที่ทำหน้าที่เป็น Natural moisturizing factor หรือ NMF เพื่อช่วยในการดักจับน้ำรักษาความชุ่มชื้นของผิว (Arch Dermatol Res. 2013; 305(8):683-9.) และลดการสังเคราะห์ Melanin และลดสภวาะ Oxidative stress ในเซลล์ Melanocyte (J Am Acad Dermatol. 2014; 70(5)S1:AB) จึงมีประโยชน์ด้านความชุ่มชื้น และ Whitening ไปพร้อมๆกัน
  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารเติมน้ำ และสารบำรุงอื่นๆ มีอยู่หลายชนิดเหมือนกัน ได้แก่
  • ส่วนผสมของ Saccharide hydrolysate (and) maltodextrin มีชื่อทางการค้าว่า Sweetone ผู้ผลิตวัตถุดิบมี Claim ว่า สารนี้แยกมาได้จากผล Schizandra berry ที่เป็นพืชของจีน ผู้ผลิตได้ทำการศึกษาข้อมูลในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่าสารนี้มีผลกดการสร้างสาร Cytokine หลายชนิดที่มีผลเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ ลดการสร้าง VEGF ซึ่งเป็นตัวการสร้างเส้นเลือดใหม่ มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดรอยแดงของผิว ลดการสร้างยีนที่เกี่ยวกับตัวรับ TRPV-1 ซึ่งเป็นตัวรับที่เกี่ยวข้องกับการรับความรู้สึกร้อนและระคายเคือง ลดการสร้างเม็ดสีผิวที่เกิดจากกระบวนการอักเสบ ในภาพรวมจึงมีประโยชน์ในการลดการอักเสบ ให้ความรู้สึกสบายผิว ลดการสร้างเม็ดสีผิว ผู้ผลิตวัตถุดิบมีการศึกษาประสิทธิภาพในอาสาสมัครพบว่า อาสาสมัครที่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารตัวนี้ในความเข้มข้น 0.5% วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 56 วัน มีพื้นที่ผิวของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังลดลง จึงมีความแดงลดลง (TDS Sweetone, Laboratoires Expanscience)

swee ra mat

(Image from Laboratoires Expanscience)

  • Sodium hyaluronate เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
  • Sodium hyaluronate crosspolymer ตัวนี้เป็น Polymer แบบใหม่ของ Hyaluronic acid ที่มีการดัดแปลงโครงสร้างให้เป็นสาย Polymer ที่มีความยืดหยุ่น สามารถก่อฟิล์มบนผิว ให้คุณสมบัติเคลือบปกป้องผิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน บริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบมีการทดสอบประสิทธิภาพของสารนี้ในอาสาสมัครพบว่า สารนี้มีผลช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ปรับสภาพผิวให้นุ่มและเรียบเนียน ความเป็นฟิล์มเคลือบผิวนี้สามารถปกป้องลดการระเหยของน้ำออกจากผิว เสมือนทำหน้าที่เป็น Barrier อีกชั้นหนึ่งให้กับผิว
  • Sodium polyglutamate และ polyglutamic acid สารประกอบเชิงซ้อนของ Glutamic acid ได้จากการหมักพืชบางชนิด มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีมาก ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าเพิ่มความชุ่มชื้นได้มากกว่า Hyaluronic acid หลายเท่า
    • โดยเจ้า Sodium polyglutamate ผู้ผลิตวัตถุดิบเรียกว่าเป็น Super PGA มีการ Claim ว่า มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีกว่า Hyaluronic acid มีคุณสมบัติเพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิว ลดริ้วรอย ให้สัมผัสนุ่มนวลบางเบาไม่เหนอะหนะ
  • Gluconolactone อนุพันธ์ของน้ำตาล มีคุณสมบัติเป็น Multifunctional agent เป็นได้ทั้ง Additives ช่วยจับโลหะ เป็นสารระงับเชื้อจุลินทรีย์ และเป็น Active ingredients โดยช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เป็นสารในกลุ่ม Polyhydroxy acid (PHA) ให้คุณสมบัติการผลัดผิว (Exfoliant) คล้าย AHA แต่อ่อนโยน ระคายเคืองน้อยกว่า มีรายงานวิจัยสนับสนุนว่าการผลัดผิวของ PHA สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มความแข็งแรงของ Barrier ผิวหนัง และมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ ได้ ( 2004; 73(2 Suppl):3-13.)

 

ในด้านของเบส มาในเบสรูปแบบของอิมัลชั่น ประกอบด้วยน้ำ สารดูดน้ำ และซิลิโคนที่ช่วยเคลือบผิวอย่าง Dimethicone และสารปรุงแต่งที่เหลือก็ไม่มีตัวไหนที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

 

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง อัดแน่นมาด้วยส่วนผสมของสารบำรุงหลายชนิด มีประโยชน์โดยรวมในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น Anti-pollution ต่อต้านมลภาวะตามชื่อผลิตภัณฑ์ เพิ่มความชุ่มชื้น antioxidant เสริมความแข็งแรงของ Barrier ผิว ลดการอักเสบและระคายเคือง รวมถึงด้านริ้วรอยได้ไปพร้อมๆกัน ถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ Anti-pollution ที่มาครบด้วยสารบำรุงอื่นๆที่ดูแลผิวได้ครบถ้วนแบบ Global effect ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ มาในเนื้อเบสแบบอิมัลชั่น ที่ประกอบด้วยน้ำ สารดูดน้ำ และซิลิโคนเคลือบผิวตัวพื้นฐานอย่าง Dimethicone ซึ่งตัวนี้ไม่ได้กันน้ำกันเหงื่อแรงแบบซิลิโคนในกันแดดหรือเมคอัพ จึงล้างออกจากผิวได้ง่าย ไม่ต้องห่วงเรื่องอุดตัน สารปรุงแต่งอื่นๆก็ทำมาได้ดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ตัวมาสค์มาในกระปุกแบบกว้าง ซึ่งการตักออกมาใช้อาจจะต้องหาไม้พายเล็กๆ หรือ ช้อนเล็กๆ เพราะเนื้อเจลไม่ได้ข้นมากขนาดที่จะตักออกมาแล้วเป็นเส้นสวย เหมือนจะเหลวไปนิดนึง เนื้อเจลบางเบา ไม่หนักผิว แห้งไว ไม่เหนอะหนะ ไม่มีน้ำหอม ใช้กลางคืน เช้าตื่นมาแล้วนุ่มฟูจริงอะไรจริงรู้สึกผิวมีสุขภาพดี ตาม claim ของแบรนด์ ส่วนตัวมี่ผิวแห้ง ใช้แทน Night cream ทุกวันก็ถือว่าชุ่มชื้นดี เอาอยู่สำหรับหน้าหนาวที่เชียงราย เรื่อง whitening กับริ้วรอยอาจจะยังเห็นไม่ชัดเพราะพึ่งเริ่มใช้ได้ประมาณ 2 สัปดาห์ แต่เรื่องชุ่มชื้นนี่ดีงามมาก สัมผัสได้ตั้งแต่คืนแรกที่ใช้ค่ะ ให้ไป 4.5 ฟลาสก์

 

คะแนน.jpg

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Klairé ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้กับทางแบรนด์ Klairé ได้โดยตรงเลยค่ะ

Facebook: https://www.facebook.com/KlaireOfficial

Instagram: Klaireofficial

www.beforeandaftercorp.com

 

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Klairé การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Beauty Talks] ผลของมลภาวะกับผิวพรรณ

เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์เริ่มสนใจผลของมลพิษที่มีต่อผิวกันมากขึ้นแล้วค่ะ มีรายงานการวิจัยอยู่ไม่น้อยเลย ที่ศึกษาและพบว่ามลพิษต่างๆมีผลเสียกับผิวมากมาย ใน Blog เก่าที่เคยเขียนไว้ก็ยังไม่ค่อยอัพเดท วันนี้เลยขอมาอัพเดทอีกรอบนะคะ

เปิดด้วยภาพถ่ายจากน่านฟ้าเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ขมุกขมัวมากเลย เห็นแล้วก็เหนื่อยใจจังค่ะ

air poll.jpg

 

เปิดประเด็นกับคำถามที่ว่า มลพิษ หรือ Pollution คืออะไร?

นิยามจาก WHO กล่าวว่า “Pollutions are contamination of the indoor or outdoor environment by any chemical, physical or biological agent that modifies the natural characteristic of the atmosphere”

 

แปลเป็นไทยง่ายๆว่า มลพิษคือสิ่งเจือปนในสิ่งแวดล้อม สิ่งเจือปนนี้อาจจะเป็นได้ทั้ง สารเคมี วัสดุทางกายภาพ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ วัสดุชีวภาพ เช่น เกสรดอกไม้ สปอร์เชื้อรา ก็ได้ เดี๋ยวนี้มีรายงานมาบอกอีกว่า เกสรดอกไม้ที่ล่องลองในอากาศสามารถเหนี่ยวนำให้ผิวเกิดการอักเสบ และ Barrier ผิวเสียได้อีก เรียกได้ว่า อีกหน่อยคงต้องเอาพลาสติกมาห่อตัวแล้วหละ

 

ทุกวันนี้ปัญหามลภาวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ มลภาวะทางอากาศค่ะ

รูปสองรูปนี้คือรูปที่ถ่ายจากมุมเดียวกัน เดือนเดียวกัน แต่ถ่ายก่อนและหลังฝนตก น่ากลัวใช้ได้เลยทีเดียว ควันๆนี่ไม่ใช่หมอกแต่อย่างใดนะคะ คือ ฝุ่นละอองมลภาวะล้วนๆ

Beijing_smog_comparison_August_2005.png

(By Bobak (Own work) [CC BY-SA 2.5 (https://creativecommons.org/licenses/by-sa/2.5)%5D, via Wikimedia Commons)

 

เราพบว่าในภูมิภาค Asia Pacific บ้านเรานี้มีมลภาวะสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกเลยค่ะ พีคไปอีก

 

แบ่งชนิดของมลภาวะได้เป็นสองกลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มของฝุ่นละอองในอากาศ หรือ Particulate matter (PM) ซึ่งมีด้วยกัน 3 ชนิดย่อยๆ คือ

  1. Coarse particle มีขนาดอยู่ในช่วงประมาณ 10 ไมครอน เรียก PM10 เกิดจากเครื่องยนต์ต่างๆ
  2. Fine particle มีขนาดอยู่ในช่วงประมาณ 2.5 ไมครอน เรียก PM2.5 เกิดจากการเผาไหม้
  3. Ultrafine particle มีขนาดเล็กมาก น้อยกว่า 0.1 ไมครอน อันนี้ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงค่ะ

pm2.5_scale_graphic-color_2.jpg

(ที่มา EPA. https://www.epa.gov)

 

มีรายงานวิจัยหลายๆฉบับพบว่า PM เหล่านี้สามารถแทรกซึมลงไปในผิวและสามารถทำให้เกิดความเสื่อมของผิวต่างๆได้ค่ะ

โดยเมื่อ PM ลงไปในผิว นางจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และสารก่อนการอักเสบในกลุ่มของ Interleukins บางชนิด ทำให้เกิดอาการอักเสบ และเกิดความเสื่อมต่างๆของผิวมากมายค่ะ

เราสามารถสรุปได้ ย่อๆ ว่า มลภาวะ มีผลต่อผิว 4 ประการหลัก คือ อักเสบ เหี่ยว ดำ และ เสื่อม

  • อักเสบ คือ การที่มลภาวะเหล่านี้ซึมลงไปในผิวแล้วกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารก่อการอักเสบในตระกูลของพวก Interleukins ขึ้นมา ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวเราเกิดการอักเสบต่างๆมากมาย
  • เหี่ยว เมื่อมลภาวะลงไปในผิวจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมาในผิว ที่จะมีผลทำให้เอนไซม์ MMP ทำงานเพิ่มขึ้น เอนไซม์นี้เป็นเอนไซม์ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวเหี่ยวและเกิดเป็นริ้วรอยตามมา
  • ดำ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากมลภาวะสามารถไปเหนี่ยวนำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผิว สร้างเม็ดสีผิวมากขึ้น ทำให้ผิวดำคล้ำ หรือ เกิดเป็นจุดด่างดำ
  • เสื่อม มลภาวะทำลาย Barrier ผิว ทำให้ Barrier ผิวเสื่อมลง ผิวจะแพ้ได้ง่ายขึ้น

 

นอกจากเหล่า PM พวกนี้แล้ว มีอีกสิ่งที่วงการเครื่องสำอางค่อนข้างกลัวก็คือ กลุ่มของสารอินทรีย์ ที่เป็นกลุ่มของ PAH หรือ Polycyclic aromatic hydrocarbon เช่นกลุ่มของสาร Benzo[a]pyrene ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ สารกลุ่ม PAH พวกนี้สามารถลงไปในผิวและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบต่างๆและเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมาได้ รวมไปถึงเพิ่มอุบัติการณ์ในการเกิดมะเร็งด้วยค่ะ

 

การศึกษาของ Pan และคณะ เมื่อปี 2015 ได้ทดสอบผลของมลภาวะที่ประกอบด้วย โลหะหนัก กับ PAH ต่อผิวหนังของหมู พบว่า มลภาวะที่มีส่วนผสมของ PAH มีผลทำให้การทำงานของ Barrier ผิวของหมูเสียไป มีการระเหยของน้ำออกจากผิวหมูมากขึ้น ทำให้สารหลายๆชนิดซึมผ่านเข้าออกผิวหนังได้ดีขึ้น (ตรงนี้อย่านึกว่าดีนะคะ เพราะถ้าสารก่อภูมิแพ้ลงไปในผิวได้ง่ายแล้ว ใช้อะไรก็จะแพ้ง่ายหมด ทีนี้จะใช้อะไรก็ลำบาก) นอกจากนี้ ลมภาวะที่มี PAH ยังทำให้เกิดอาการอักเสบเพิ่มขึ้นอีก

 

การศึกษาจากบริษัท ID bio – Ester Technopole พบว่า Benzo[a]pyrene มีผลไปกดการทำงานของ สิ่งที่เรียกว่า Tight junction ซึ่งเป็นช่องแคบๆที่คอยกั้นไม่ให้น้ำและสารโมเลกุลเล็กๆออกจากผิว พอเจ้า Tight junction ลดลง Barrier ก็จะเสียไป ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้ง่ายขึ้น เกิดเป็นผิวแห้ง และทำให้สารต่างๆซึมผ่านเข้าออกผิวได้ง่ายขึ้น เสี่ยงเป็นผิวแพ้ง่าย

 

บทความของ Roberts (2015) ได้กล่าวว่า เมื่อสารในกลุ่ม PAH ลงไปในผิวจะเกิดการแปรสภาพเป็น สารในกลุ่ม Quinone ซึ่งเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมา อนุมูลอิสระนี้จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ  มีการสร้างเอนไซม์ MMP มากขึ้น ซึ่งเอนไซม์ MMP เป็นตัวย่อยสลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว เกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา และยังมีผลทำให้เกิดการสร้างเม็ดสี Melanin เพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่ง Roberts บอกว่า การที่โลกเรามี Pollution มากขึ้น อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมคนเป็นฝ้าเพิ่มขึ้น

 

จะเห็นว่า Pollution นี่ค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียวค่ะ ทั้งเหี่ยว ทั้งอักเสบ ทั้งดำ ทั้งทำให้ผิวบอบบางได้อีก

 

Ref:

Kim et al. Life Sci. 2016;152:126-134.

Pan et al. J Dermatol Sci. 2015;78(1):51-60.

Roberts WE. J Drugs Dermatol. 2015;14(4):337-41.

 

Note: สงวนลิขสิทธิ์ในบทความตามพ.ร.บ.ทรัพย์สินทางปัญญา

Image

[รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม] มูสมาสค์เทคโนโลยี LBS 2 in 1 พอกหน้าก็ได้ ล้างหน้าก็ดี ต้านมลภาวะ จาก Klairé anti-pollution mousse pack

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวมาสค์เนื้อมูสที่ใช้เป็น Cleansing ได้ในขวดเดียวกัน จากแบรนด์ Klairé มาฝากกันนะคะ

แบรนด์ Klairé เป็นแบรนด์เครื่องสำอางไทยแบรนด์หนึ่ง ที่เปิดตัวมาด้วยผลิตภัณฑ์น้ำตบและเซรั่มต่อต้านมลภาวะ ตั้งแต่พึ่งจะเริ่มมีเทรนด์ Anti-pollution เข้ามา ขอยกลิงค์รีวิวของ Klairé  anti-pollution essence มาอีกรอบนะคะ

https://cosmeknowledge.wordpress.com/2015/11/24/klaire-essence/

 

ตอนนี้ทางแบรนด์ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็น Mousse pack ค่ะ มีโฉมหน้าเป็นแบบนี้นะคะ

 

klaire 1

นางจะเป็นกระบอกทำจากโลหะ บรรจุมาในพลาสติกใส แอบมีลายดอกฝ้ายนิดหน่อย ดูหรูหราดีค่ะ

 

พอเราแกะพลาสติกที่หุ้มออก ก็จะเจอกระปุก mousse ของเราค่ะ

klaire 2

มาในคอนเซปท์โทนสีฟ้าเช่นเดิม

 

ตัว Mousse ตัวนี้ Made in Korea นะคะ เข้าทางสายเกาแบบอิชั้นเลย

 

เนื้อมูสตอนกดออกมาใหม่ๆจะมีสีเทาๆ

klaire 3

เนื้อมูสที่กดออกมาจะค่อนข้างแน่นค่ะ

 

 

พอเริ่มเกลีย เราจะรู้สึกว่ามูสเริ่มฟูตัวขึ้นมาอีก

klaire 4

ยิ่งนวดยิ่งสนุก #นวดวนไป

 

klaire 5

ยิ่งนวดฟองก็จะยิ่งเยอะ ยิ่งนุ่มละมุน

 

 

ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีฟองที่ดูนุ่มละมุนและแน่นแบบนี้ มาจากการที่ทางแบรนด์ได้ใช้เทคโนโลยีที่เรียกว่า LBS หรือ Low boiling point liquid stabilizing system เป็นเทคโนโลยีใหม่ของทางเกาหลีค่ะ

LBS tech

(Image from Kolmar Korea)

เทคโนโลยีนี้เป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ฟองคงตัวโดยอาศัยส่วนประกอบของของเหลวที่มีจุดเดือดต่ำ (Low boiling point liquid) มาควบคุมแรงตึงผิวของสารลดแรงตึงผิว หรือ Surfactant ในสูตร เมื่อสัมผัสผิว เจ้าของเหลวพวกนี้นางจะระเหยออกไป ทำให้ฟองนั้นถูกเหนี่ยวนำให้ปะทุตลอดเวลา เหมือนเราตีฟองอยู่นั่นเองค่ะ

มีความนวัตกรรมจริงๆ

 

หลังล้างก็จะรู้สึกสะอาด กระชับ แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะแห้งตึง

klaire 6

มูสนี้เราจะใช้ได้ 2 แบบค่ะ

แบบแรก เป็นมาสค์ Detox เราจะใช้มูสนี้นวดๆ บนผิวที่ทำล้างหน้าทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ซับหน้าให้ห้าง แล้วพอกทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที แล้วล้างออก ใช้ตอนช่วงเย็นซักอาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้งค่ะ

 

แบบสอง ใช้เป็นโฟมมูสล้างหน้า เราจะใช้มูสนี้นวดลงไปบนหน้าที่เปียก นวดวนไป แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดค่ะ ใช้ล้างวันละ 1 ครั้งช่วงเย็น เพื่อดูดซับและกำจัดเอามลพิษที่สะสมมาทั้งวันออกไป

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

สผส klaire

ในส่วนผสมวันนี้มี่ทำสีไว้ 4 สีนะคะ

  • สีเขียว เป็นสารทำความสะอาด มีอยู่ 3 ตัวหลักๆ คือ Sodium lareth-4 carboxylate เป็นสารทำความสะอาดชนิดประจุลบ ซึ่งมีความสามารถในการทำความสะอาดได้ดี ร่วมกับ PEG-7 glyceryl cocoate เป็นสารทำความสะอาดชนิดไม่มีประจุ และ สารที่เกิดจากการทำปฏิกิริยาระหว่าง Triethanolamine กับ Stearic acid ได้เป็น Triethanolamine stearate ซึ่งจัดเป็นสารทำความสะอาดกลุ่ม Soap ค่ะ
  • สีม่วง เป็นกลุ่มของ Clay ที่เสริมเข้ามาเพื่อเป็นตัวหลักในการช่วยดูดซับสิ่งสกปรกออกจากผิว ในที่นี้ก็จะมี ผง Charcoal กับ Moroccan lava clay ค่ะ
    • ผง charcoal จะมีรูพรุนในตัว ช่วยดูดซับสิ่งสกปรกและความมันจากผิว รวมถึงพวกมลภาวะที่เราสะสมมาทั้งวัน
    • Moroccan lava clay ที่เกิดขึ้นมาจากลาวาที่เย็นตัวลงบนภูเขา ว่ากันว่าเป็นโคลนที่มีความบริสุทธิ์สูง และมีแร่ธาตุจำนวนมากมายหลายชนิด ที่มากกว่าสารในกลุ่ม Clay ชนิดอื่นๆ
  • สีน้ำตาล เจ้า Fructooligosaccharide กับ Beta-glucan ป็นสารที่เรียกว่าเป็น Prebiotic ซึ่งเป็นอาหารของจุลินทรีย์ดีๆบนผิว เมื่อจุลินทรีย์ดีๆบนผิวแข็งแรง ก็จะช่วยปกป้องผิวช่วยให้ผิวแข็งแรง
  • สีฟ้า เป็นสารบำรุงต่างๆ มีด้วยกันหลายตัว มี่ขอยกมาบางตัวนะคะ เช่น
    • Betaine ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง
    • Saccharomyces ferment filtrate เป็นสารที่ได้จากการหมักยีสต์ มีคุณสมบัติเด่นเกี่ยวกับการเพิ่มความชุ่มชื้น ควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และช่วยให้ผิวแข็งแรง
    • สารสกัดจากใบบัวบก มีประโยชน์ในเชิงการชะลอวัย และลดริ้วรอย
    • สารสกัดจากลูก Fig มีรายงานวิจัยกล่าวว่าอาสาสมัครที่ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากลูก Fig เป็นเวลา 8 สัปดาห์มีผิวที่ชุ่มชื้นมากขึ้น สีผิวกระจ่างใสขึ้นเพราะมีปริมาณของเม็ดสีผิวลดลง ผิวแข็งแรงขึ้นเพราะมีการระเหยของน้ำออกจากผิวลดลง และ ความมันบนผิวหนังลดลง (Indian J Pharm Sci. 2014; 76(6): 560–)
    • Hydrolyzed hyaluronic acid คือ ไฮยาลูรอนที่ผ่านการย่อยแล้ว มีขนาดที่เล็กลง ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
    • Ceramide NP เป็นอีกชื่อหนึ่งของ Ceramide 3 เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว

 

ในด้านส่วนผสมที่เหลือก็ไม่ได้มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี

มาให้คะแนนกันดีกว่า

  1. สารทำความสะอาด: Sodium lareth-4 carboxylate เป็นสารทำความสะอาดชนิดประจุลบ ซึ่งมีความสามารถในการทำความสะอาดได้ดี ร่วมกับ PEG-7 glyceryl cocoate ซึ่งดูมีความอ่อนโยน เสริมด้วยสารทำความสะอาดกลุ่ม Soap ถ้าใช้ Soap เดี่ยวๆอาจจะทำให้ผิวแห้งได้เล็กน้อยในบางราย แต่ถ้าเอามาใช้ร่วมกันคิดว่าน่าจะ Balance กันพอดี จุดนี้ขอให้คะแนนสารทำความสะอาดที่ 5 ฟลาสก์นะคะ ดูดีกว่าโฟมล้างหน้าทั่วไปอยู่ และส่วนตัวมี่ช่วงนี้ผิวผสม/แห้ง ใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร
  2. สารบำรุง: ถึงจะเป็นเพียงผลิตภัณฑ์ล้างทำความสะอาดหน้า ที่สัมผัสผิวแค่ไม่นาน แต่การมีสารบำรุงอยู่ก็ย่อมดีกว่าไม่มีเลย และสารบำรุงที่ใช้มีอยู่ค่อนข้างหลายชนิด สารสกัดพืชบางอย่างก็ยังมีงานวิจัยรองรับ และยังไม่ลืมเสริมไขมันทดแทนให้ผิวโดยการเติม Ceramide เข้ามาด้วย เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์เช่นกัน
  3. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่คิดว่าตัวผลิตภัณฑ์แอบมีลูกเล่น ยิ่งนวดฟองยิ่งหนานุ่มยิ่งแน่นยิ่งสนุก ก็นวดกันวนไป หลังล้างก็ไม่ได้รู้สึกแห้งตึงอะไร และก็ไม่ได้เยิ้มลื่นจนเป็นเมือกๆ โดยรวมมี่ค่อนข้างชอบค่ะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน klaie

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Klairé ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้กับทางแบรนด์ Klairé ได้โดยตรงเลยค่ะ

Facebook: https://www.facebook.com/KlaireOfficial

Instagram: Klaireofficial

www.beforeandaftercorp.com

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Klairé การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมและไพร์มเมอร์กันแดดต้านมลพิษจากแบรนด์ Tender

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่มีรีวิวผลิตภัณฑ์ต่อต้านมลภาวะ Anti-pollution จากแบรนด์ Tender แบรนด์น้องใหม่ แต่ส่วนผสมนั้นแซ่บไม่แพ้รุ่นพี่เลยนะคะ

 

สกินแคร์ของแบรนด์ Tender ที่มี่ได้มา มี 2 ชิ้นค่ะ เป็นตัว Serum และ กันแดดเนื้อ Primer ค่ะ

 

มาด้วยแพคเกจน่ารักสดใสมุ้งมิ้งค่ะ

 

tender 1

 

เรามาเริ่มกันกับตัว Serum ก่อนเลยนะคะ

 

Serum นั้นมาในขวดปั๊ม สีขาว ตกแต่งแนว Minimal สีเขียวนมๆ

 

tender 2

 

ตรงนี้เป็นคำ Claim ที่ด้านหลังกล่องค่ะ

 

tender 3

 

เนื้อเซรัมเป็นกึ่งๆน้ำนม มีกลิ่นหอมจางๆค่ะ เกลี่ยค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสลื่น บางเบา ซึมไว ไม่เหนอะหนะ

 

 

วัดค่า pH ซักหน่อยนะคะ

 

tender 6

 

ค่า pH อยู่ระหว่าง 5 – 6 ค่ะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างค่ะ

 

สำหรับตัวเซรัมส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

 

สผส primer

 

ส่วนผสมของสารบำรุงมี่ทำสีม่วงไว้ให้ค่ะ ที่มาในลำดับแรกๆจะเป็นตัว Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ซึ่งมีประโยชน์หลายๆด้านนะคะ ไม่ว่าจะเป็น Whitening, ลดการอักเสบ ดูแลปัญหาสิว และเพิ่มการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว

 

สารบำรุงที่มาเด่นไม่แพ้กันก็คือส่วนผสมของ Plankton extract และ Arginine ferulate ค่ะ สารนี้เป็นนวัตกรรมจากฝรั่งเศส ที่ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าให้ผลเกี่ยวกับการ Detoxification (หรือย่อๆว่า Detox) และการชะลอวัยค่ะ ซึ่งเวลาใช้ด้วยกัน สารทั้งสองจะช่วยเสริมฤทธิ์ซึ่งกันและกันค่ะ

 

สารสกัดจากสาหร่ายสีแดง Chondrus cripis น่าจะตรงกับวัตถุดิบ Oligogeline ของบ. Seppic จากทางฝรั่งเศส ซึ่งให้ผลเรื่องความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว

 

และสุดท้าย Broccoli extract (Brassica oleracea italica) นี้มี่คิดว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบที่ชื่อ BioDtoxTM ซึ่งประกอบด้วย Propanediol (and) Bioflavonoids (and) Brassica Oleracea Italica (Broccoli) Extract (and) Aloe Barbadensis Leaf Extract

 

ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า ให้ผลในการ Detox ช่วยต่อต้านมลภาวะ ลดการอักเสบ ต่อต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารบำรุงชุดนี้ช่วยปกป้อง Barrier ผิวไม่ให้ถูกทำลายเพราะ Sodium lauryl sulfate ได้ด้วยค่ะ (REF: cosmetic business)

 

จริงๆลำพัง Broccoli ก็ให้ผลเป็น Antioxidant ที่ดีอยู่ในตัวแล้วค่ะ ยิ่งมาประกบกับ Bioflavonoids ซึ่งเป็นสารที่พบในเปลือกส้ม และพืชหลายๆชนิด พวกนี้ก็เป็น Antioxidant ที่ดีอีกค่ะ โดยรวมคือ มหกรรมแห่ง Antioxidant

 

แล้วคหสต.มี่คิดว่าสารพวกนี้น่าจะคงตัวอยู่ในผลิตภัณฑ์ เพราะตัวที่จะตายแทนพวกนี้คือวิตอีค่ะ วิตอีจะเป็นผู้เสียสละพลีชีพเพื่อรักษาสิ่งพวกนี้ไว้

 

ส่วนผสมทุกตัวมีความอ่อนโยน ทางแบรนด์ Claim ว่าสามารถใช้ได้ทุกสภาพผิว แม้กระทั่งผิวแพ้ง่าย เพื่อให้ผิวมีสุขภาพดี

 

ส่วนอีกตัวเป็นกันแดดไพรม์เมอร์ค่ะ มีชื่อเต็มๆว่า complete primer UV protection Anti-pollution SPF50 PA+++ UVA/UVB

 

tender 7

 

นางมาในแพคเกจที่เป็นหลอดบีบค่ะ

ตรงนี้จะเป็นคำ Claim ด้านหลังกล่องนะคะ

 

tender 10

 

เนื้อครีมเป็นครีมสีเหลืองอ่อน มี pigment ขนาดเล็กละเอียดมาก เป็นประกายแวววาว ดู Glow แบบไม่มันเยิ้มค่ะ

 

 

ตัวนี้มี่ไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ เพราะมีเม็ด pigment จะรบกวนการอ่านสีค่ะ

 

 

มาดูส่วนผสมกันค่ะ

 

สผส เซรัม

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าส่วนของสารบำรุงจะดูคล้ายกับตัว Serum นะคะ จะมีต่างกันเล็กน้อยค่ะ

 

ถ้าพูดถึงสารกันแดดมี่ทำสีฟ้าไว้ให้ค่ะ เป็นกันแดดผสมเคมีและกายภาพค่ะ

  • Ethylhexyl methoxycinnamate ตัวนี้เด่น UVB
  • Octocrylene ดูดซับช่วง UVB และเป็นตัวเพิ่มความคงตัวค่ะ
  • Ethylhexyl triazone ตัวนี้ก็เด่น UVB ค่ะ
  • Diethylamino Hydoxybenzoyl Hexyl Benzoate ตัวนี้เด่น UVA มีความคงตัวค่อนข้างสูง และก็ถ้าเสริมกับสารในกลุ่ม Triazone อีกตัวหนึ่งก็จะได้ผลดีขึ้น
  • titanium dioxide เป็นกันแดดกายภาพ อาศัยการสะท้อนรังสีเอา

 

กันแดดมี SPF ที่ 50 และกันน้ำกันเหงื่อได้ ไม่ลอยไม่วอกไม่เทาเลยค่ะ และจากกลุ่มสารกันแดดที่ใช้โดยรวมก็ถือว่ากันแดดได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีค่ะ

 

ส่วนของสารบำรุงนั้นจะคล้ายกับตัวเซรัม แต่มีการเพิ่ม Lithothamnium calcarum extract เข้ามาค่ะ

 

สารสกัดนี้เป็นสารสกัดจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่ง ทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าอุดมด้วยแร่ธาตุมากมาย ให้ผลเป็น Moisturizer, เป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing)

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

 

  1. สารบำรุง ทั้งสองตัวเน้นไปที่การเป็น Antioxidant และตัววัตถุดิบที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการ Detox ซึ่งสารบำรุงที่ทางแบรนด์เลือกใช้ก็เป็นสารนำเข้าจากนานาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นฝรั่งเศส เกาหลี และสเปน ทำให้ดูมีราคา ซึ่งสารที่เลือกใช้ก็มีการ Claim เกี่ยวกับเรื่อง Pollution อยู่ นอกจากนั้นก็ยังมีส่วนของ Whitening และ ความชุ่มชื้น สำหรับตัวกันแดดก็ถือว่ากันได้ครบและครอบคลุมดี เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อผลิตภัณฑ์ ทั้งสองตัวมาในรูปแบบของ Emulsion ที่ประกอบด้วยน้ำและน้ำมัน ตัวเซรัมไม่มีส่วนผสมของ Silicone ด้วยค่ะ แถมส่วนผสมทั้งสองตัวก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่งอื่นๆ ทั้งสองตัวไม่ได้มีสารตัวไหนที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน เซรัมค่อนข้างบางเบาค่ะ อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีผิวแห้งมาก ส่วนตัวมี่คิดว่า ถ้าทาแล้ว หาครีมหรือมอยส์เจอร์มาทาทับอีกชั้นหนึ่งก็จะพอดีค่ะ ส่วนตัวกันแดดไพร์มเมอร์ ถ้าทาเดี่ยวๆจะดูเงาๆหน่อยนะคะ แต่ถ้าทาแล้วลงรองพื้นทับ กับปัดแป้งฝุ่นอีกรอบจะสวยฉ่ำพอดีค่ะ ส่วนข้อติก็มี่คิดว่านางมาในหลอดเล็กไปนิดนึงค่ะ โดยรวมขอให้ไป 4 ฟลาสก์ค่ะ

 

คะแนน

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Tender ด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

http://www.tenderskincare.com

http://www.facebook.com/tenderskincare

instragram:Tenderskincareofficial

line : @tenderskincare

 

Discliamer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Tender การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมเอสเซนส์ต้านมลพิษ Klairé Anti-pollution Essence

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมเอสเซนส์ต้านมลพิษ Klairé Anti-pollution Essence

ตอนนี้กระแสเรื่อง Anti-pollution ในเครื่องสำอางมาแรกมากนะคะ เพราะอากาศบ้านเราอย่างที่ทราบกันคือมีแต่มลพิษ ทุกวันนี้มีสารในเครื่องสำอางหลายกลุ่มเลยค่ะ ที่ Claim เรื่องของ Anti-pollution

 

ว่าแล้วก็ขอกล่าวถึงผลกระทบของ Pollution ต่อผิวซักหน่อยนะคะ

 

Pollution หรือมลภาวะนี่ จริงๆเป็นของผสมของสารพิษหลายอย่าง เช่น ก๊าซ ฝุ่นละออง และสารเคมีบางชนิด

ก๊าซพิษพวกนี้มีความระคายเคืองอยู่ในตัวค่ะ แต่ความเข้มข้นของก๊าซพวกนี้ในบรรยากาศมีไม่มาก เลยไม่น่ามีปัญหาอะไร

 

ที่น่าห่วงคือ ฝุ่นละอองจนาดเล็ก กับสารเคมีบางชนิดค่ะ

ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ Particulate matter ที่มีขนาด 2.5 ไมครอน และ 10 ไมครอน เราเรียกว่า PM2.5 และ PM10 ค่ะ

 

ตัว PM2.5 นี่สามารถลงไปในผิวได้ค่อนข้างลึกค่ะ และทำให้เกิดการอักเสบภายในผิวได้

 

สารเคมีบางชนิด อย่าง Polycyclic aromatic hydrocarbon หรือย่อว่า PAH นี่ตัวร้ายเลยค่ะ เพราะข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบหลายๆเจ้า Claim ว่า สารนี้มีผลลดช่องแคบๆในผิว ที่เรียกว่า Tight junction มีผลทำให้ Barrier ผิวอ่อนแอลงได้ค่ะ

 

สำหรับการป้องกันมลภาวะนั้น เท่าที่เห็นวัตถุดิบในทางเครื่องสำอางที่ออกมาบ่อยๆ จะอาศัย 2 กลไก เป็นหลักค่ะ

 

อย่างแรกคือ การก่อฟิล์มเคลือบไว้บนผิว แล้วดักจับฝุ่นที่จะเข้าผิวไว้

อย่างที่สองคือ เป็๋นสารที่มีผลลดการอักเสบ หรือ เป็น Antioxidant

 

ส่วนตัวมี่ไม่แน่ใจนะคะ ว่าประสิทธิภาพของสารเหล่านี้นั้นจะได้ในระดับไหน เพราะข้อมูลวัตถุดิบเหล่านี้ส่วนมากมาจากผู้ผลิตวัตถุดิบค่ะ ซึ่งมักจะมี Bias อยู่ในตัวค่ะ แต่มี่ก็ยังคิดว่า การที่เราทำอะไรซักอย่างเพื่อป้องกัน มันก็น่าจะดีกว่าไม่ทำอะไร และที่สำคัญคือ อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาด และหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเขม่าควัน หรือฝุ่นละอองเยอะๆ ค่ะ

 

แล้วก็มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าค่ะ

 

น้ำตบที่มีเอามารีวิวในวันนี้เรียกได้เลยว่าอยู่ในกระแส และตอบโจทย์ของเราชาวเมืองเลยทีเดียวค่ะ กับ Klairé Anti-pollution Essence ค่ะ

ชื่อเต็มๆของนาง คือ Klairé Anti-pollution essence hydrating facial treatment active essence for urban lifestyle

 

นางมาในแพคเกจสีขาว กระดาษลูกฟูกค่อนข้างหนา ดูหรูหรา เข้าใจว่าดอกบนกล่องน่าจะเป็นดอกฝ้าย ซึ่งเป็นหนึ่งในสารบำรุงที่ทางแบรนด์ใช้ค่ะ

k1.jpg

พอเปิดมาจะมีถาดรองอีกชั้นค่ะ

 

k 2

 

ภาชนะบรรจุเป็นขวดแก้ว ฝาปั๊ม ตัวฝากดสามารถล๊อคได้ค่ะ

 

k 3

 

ตัวเนื้อผลิตภัณฑ์จะเป็นน้ำใสๆ ไม่หนืด แต่ก็ไม่ได้เหลวมากจนไหลเลอะเทอะค่ะ

 

k 4

 

ส่วนตัวค่อนข้างชอบกลิ่นค่ะ จะหอมๆเหมือนข้าวหอมมะลิ น่าจะเป็นกลิ่นของกลุ่มวัตถุดิบนะคะ เพราะทางแบรนด์เคลมเรื่องไม่ใส่น้ำหอมค่ะ

 

เกลี่ยค่อนข้างง่าย ซึมค่อนข้างไว แห้งไว ไม่ทิ้งคราบใดๆไว้บนผิว แต่ให้ความชุ่มชื้นพอดีตัวเลยค่ะ

 

k 5

 

มาวัด pH กันซักหน่อยค่ะ

 

k 6

 

pH จะอยู่ที่ราวๆ 5-6 ค่ะ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

 

ถึงคิววิเคราะห์ส่วนผสมบ้าง ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมดังนี้นะคะ

 

สผส

 

ปกติเราจะแบ่งส่วนประกอบของเครื่องสำอางเป็น 3 ส่วนหลักๆค่ะ ได้แก่

  1. สารออกฤทธิ์ หรือ Active ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษในการบำรุงผิว
  2. เนื้อหลัก หรือ Base เป็นส่วนเนื้อหลักที่โอบอุ้ม Active และเป็นตัวพา Active ไปหาผิว
  3. สารเติมแต่ง หรือ Additives ใส่เข้ามาเพื่อความน่าใช้ สวยงาม ปลอดภัย ฯลฯ

 

ปกติเราจะแบ่งส่วนประกอบของเครื่องสำอางเป็น 3 ส่วนหลักๆค่ะ ได้แก่

1.สารออกฤทธิ์ หรือ Active ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษในการบำรุงผิว

2.เนื้อหลัก หรือ Base เป็นส่วนเนื้อหลักที่โอบอุ้ม Active และเป็นตัวพา Active ไปหาผิว

3.สารเติมแต่ง หรือ Additives ใส่เข้ามาเพื่อความน่าใช้ สวยงาม ปลอดภัย ฯลฯ

สำหรับส่วนของสารออกฤทธิ์มี่ทำเป็นสีๆไว้ให้นะคะ

1.กลุ่มแรกเป็นกลุ่มสีส้มค่ะ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มของสารที่ได้จากเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) ได้จากการเลี้ยงจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ แล้วเอาสารออกมาใช้ สรุปสั้นๆดังนี้นะคะ

Schizosaccharomyces pombe extract เป็นสารสกัดจากยีสต์ชนิดพิเศษที่ขึ้นบนองุ่นบริเวณริมทะเลของสเปน ยังไม่มีงานวิจัยในฐาน Pubmed ผู้ผลิตเคลมว่า สารสกัดจากยีสต์นี้หมักบ่มด้วยอุณหภูมิต่ำพิเศษ ทำให้ได้สารอาหารออกมามากกว่า ให้ผลกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ Fibroblast ที่เป็นเซลล์สร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน

-Bifida ferment lysate ช่วยฟื้นฟูผิว

-Polyglutamic acid สารประกอบเชิงซ้อนของ Glutamic acid ได้จากการหมักพืชบางชนิด มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีมาก ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าเพิ่มความชุ่มชื้นได้มากกว่า Hyaluron

-Galactomyces ferment filtrate ยีสต์ตัวดัง มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวขาว ผิวแข็งแรง ลดริ้วรอย และกระชับรูขุมขน

2.กลุ่มสีฟ้า สารสกัดจากพืช มีอยู่หลายชนิด เน้นไปที่คุณสมบัติในการเคลือบปกป้องผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ เป็น Antioxidant และช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับคืนสู่สภาพดี ตัวที่น่าสนใจมี 2 กลุ่มหลักๆค่ะ

กลุ่มแรกเป็นสารสกัดที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น คือ สกัดแล้วเอาไปย่อยอีก เพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีขนาดเล็กลงค่ะ มี 2 ตัว ได้แก่

1 Hydrolyzed acacia macrostachya seed extract เป็นสารสกัดจากเมล็ด Acacia สายพันธ์หนึ่งในแอฟริกา ผ่านกรรมวิธีการย่อยให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีขนาดเล็กลง ทำให้เข้าผิวได้ดีขึ้น ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สารนี้ช่วยควบคุมการเก็บกักน้ำของผิวหนังที่ระดับล่าง เพิ่มการสร้างสารดูดน้ำในผิวที่เรียกว่า Natural moisturizing factor (NMF) ผิวจึงอุ้มน้ำได้ดีมากขึ้น และมีความทนต่อสภาวะอากาศที่แห้งแล้งได้ดีขึ้น โดยเฉพาะหน้าหนาว วัตถุดิบตัวนี้ได้รับรางวัลเหรียญทองในงาน In-cosmetics 2015 ด้วยค่ะ (Golden prize-green ingredients award)

2 Hydrolyzed lepidum meyenii root extract เป็นสารสกัดจากราก Maca ที่พบในเปรู ที่ผ่านกรรมวิธีการย่อยเช่นกัน ประกอบด้วยเปปไทด์กับน้ำตาลโมเลกุลเล็ก ซึมซาบเข้าไปบำรุงผิว กระตุ้นการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ Fibroblast ที่เป็นเซลล์สร้างคอลลาเจนในผิว ลดริ้วรอย เพิ่ม Complexion ให้ผิว ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีขาวแบบมีเลือดฝาด

กลุ่มที่สองเป็น สารสกัดจากเมล็ดพืช มี 2 ชนิด คือ Linum usitatissimum seed คือ Flax seed กับSalvia hispanica seed คือ Chia seed ที่กำลังอยู่ในกระแสเลยค่ะ ไม่ใช่แค่ว่าเอามากินสวยๆลดน้ำหนัก แต่เอามาใส่ในเครื่องสำอางก็ให้ผลดีไม่เบานะคะ เมล็ดทั้งสองนี้มีสารประกอบในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชนิดพิเศษ ที่สามารถดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สารประกอบพวกนี้ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิวได้ และยังเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัยได้อีก

3.กลุ่มสีม่วง Gossypium herbaceum callus culture extract เป็นสารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของฝ้ายชนิดหนึ่งที่ขึ้นในทะเลทรายแถวอาหรับ ผู้ผลิตวัตถุดิบเรียกกันว่า Stem cell พืช ในฝ้ายนี้ประกอบด้วยสารพฤกษเคมีที่มีโครงสร้างดูดกลืนรังสีได้ จึงให้ผลปกป้องเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพให้คืนสู่สภาพดี เสริมสร้างเซลล์ใหม่ และยังให้ความรู้สึกสบายผิว (ภาษาทางเครื่องสำอางเรียก Soothing effect)

4.กลุ่มสีเขียว เป็นตระกูล Hyaluron มี 2 ตัว คือ Hydrolyzed sodium hyaluronate ที่ผ่านการย่อยจนมีขนาดเล็กลง ทำให้สามารถดูดซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น ช่วยให้ผิวนุ่ม ยืดหยุ่น และริ้วรอยลดลง กับ Sodium hyaluronate ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น

* Hydrolyzed sodium hyaluronate ทางแบรนด์ Claim ว่าใช้วัตถุดิบที่ผลิตด้วยการย่อยสลาย Hyaluronic acid ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ทำให้ได้สายโมเลกุลของไฮยา สายสั้นๆ มีโครงสร้างสมบูรณ์ ดูดซึมเข้าผิวได้และยังมีคุณสมบัติ antioxidant เสริมมาอีก

5.สีน้ำเงิน คือ Gluconolactone เป็นสารอนุพันธ์ของน้ำตาล จัดเป็นสารในกลุ่ม Polyhydroxy acid (PHA) ให้คุณสมบัติการผลัดผิว (Exfoliant) คล้าย AHA แต่อ่อนโยน ระคายเคืองน้อยกว่า มีรายงานวิจัยสนับสนุนว่าการผลัดผิวของ PHA สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มความแข็งแรงของ Barrier ผิวหนัง และมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินเอ ได้ดี (Cutis. 2004; 73(2 Suppl):3-13.) มีรายงานว่าสามารถเพิ่มผลการปกป้องรังสี UV ที่ผิวหนังได้ถึง 50% (Dermatol Surg. 2004; 30(2 Pt 1):189-95) การศึกษาทางคลินิกพบว่า Gluconolactone สามารถรักษาสิวได้เทียบเท่า Benzoyl peroxide ซึ่งเป็นยา แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า (Australas J Dermatol. 1992; 33(3):131-4.)

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

1.Actives ส่วนของสารออกฤทธิ์ จากที่บรรยายไป เรียกได้ว่าทำมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีประโยชน์หลายๆด้าน ทั้งชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิว ชะลอวัย ให้ความรู้สึกสบายผิว อาจจะได้เรื่องผิวขาวเสริมมาด้วย โดยรวมจึงถือว่าทำมาได้สมบูรณ์แบบ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

2.Base ส่วนของเนื้อหลักเป็นชนิดน้ำ ประกอบด้วยน้ำ และสารดูดน้ำให้ผิวอย่าง Butylene glycol กับ Propylene glycol ส่วนของ Propanediol กับ Glycerin เนื่องจากอยู่ลำดับท้ายๆเลยคิดว่าอาจจะติดมากับสารสกัดหรือสารออกฤทธ์อื่น ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำมัน และซิลิโคน จึงใช้ได้ทุกสภาพผิว จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

3.Additives ในส่วนของสารอื่นๆเท่าที่เห็นก็จะมีกลุ่มของ Buffer ที่เป็นตัวควบคุมรักษาค่า pH ให้คงที่ สารกันเสีย และก็สารจับโลหะ สารที่ใช้ทุกชนิดก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แถมก็มีเท่าที่จำเป็น ไม่ได้มีน้ำหอม ไม่มีพาราเบน ไม่มี Emulsifier ก็เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร จุดนี้ก็เลยขอให้ 5 ฟลาสก์

4.การใช้งาน ส่วนตัวมี่ชอบกลิ่นนะคะ หอมเหมือนข้าวหอมมะลิ ผิดกับน้ำตบยีสต์ที่ส่วนใหญ่มักจะมีกลิ่นเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ เวลาใช้ก็ใช้ได้สะดวก จะตบเอา จะใส่สำลีแล้วเช็ด จะใส่สำลีแล้วตบ หรือจะหยดใส่มาสค์อัดเม็ด ก็ทำได้หมด ถ้าใส่มาสค์อัดเม็ดมันจะแอบเปลืองนิดนึง เอามาหยดใส่สำลีซัก 2-3 ปั๊ม ลงบนสำลีซัก 5 แผ่นแล้วแปะลงไปตรงหน้าผาก 2 แผ่น แก้ม 2 แผ่น และคางอีก 1 แผ่น ก็ได้ความผ่อนคลาย และสบายผิวไม่น้อยเช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนุ่มนวล โดยรวมถือว่าค่อนข้างประทับใจ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน klaire ใหม่

 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Klairé ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้กับทางแบรนด์ Klairé ได้โดยตรงเลยค่ะ

Facebook: https://www.facebook.com/KlaireOfficial

Instagram: Klaireofficial

http://www.beforeandaftercorp.com

 

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Klairé การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ