ตอนนี้กระแสเรื่อง Anti-pollution ในเครื่องสำอางมาแรกมากนะคะ เพราะอากาศบ้านเราอย่างที่ทราบกันคือมีแต่มลพิษ ทุกวันนี้มีสารในเครื่องสำอางหลายกลุ่มเลยค่ะ ที่ Claim เรื่องของ Anti-pollution
ว่าแล้วก็ขอกล่าวถึงผลกระทบของ Pollution ต่อผิวซักหน่อยนะคะ
Pollution หรือมลภาวะนี่ จริงๆเป็นของผสมของสารพิษหลายอย่าง เช่น ก๊าซ ฝุ่นละออง และสารเคมีบางชนิด
ก๊าซพิษพวกนี้มีความระคายเคืองอยู่ในตัวค่ะ แต่ความเข้มข้นของก๊าซพวกนี้ในบรรยากาศมีไม่มาก เลยไม่น่ามีปัญหาอะไร
ที่น่าห่วงคือ ฝุ่นละอองจนาดเล็ก กับสารเคมีบางชนิดค่ะ
ฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือ Particulate matter ที่มีขนาด 2.5 ไมครอน และ 10 ไมครอน เราเรียกว่า PM2.5 และ PM10 ค่ะ
ตัว PM2.5 นี่สามารถลงไปในผิวได้ค่อนข้างลึกค่ะ และทำให้เกิดการอักเสบภายในผิวได้
สารเคมีบางชนิด อย่าง Polycyclic aromatic hydrocarbon หรือย่อว่า PAH นี่ตัวร้ายเลยค่ะ เพราะข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบหลายๆเจ้า Claim ว่า สารนี้มีผลลดช่องแคบๆในผิว ที่เรียกว่า Tight junction มีผลทำให้ Barrier ผิวอ่อนแอลงได้ค่ะ
สำหรับการป้องกันมลภาวะนั้น เท่าที่เห็นวัตถุดิบในทางเครื่องสำอางที่ออกมาบ่อยๆ จะอาศัย 2 กลไก เป็นหลักค่ะ
อย่างแรกคือ การก่อฟิล์มเคลือบไว้บนผิว แล้วดักจับฝุ่นที่จะเข้าผิวไว้
อย่างที่สองคือ เป็๋นสารที่มีผลลดการอักเสบ หรือ เป็น Antioxidant
ส่วนตัวมี่ไม่แน่ใจนะคะ ว่าประสิทธิภาพของสารเหล่านี้นั้นจะได้ในระดับไหน เพราะข้อมูลวัตถุดิบเหล่านี้ส่วนมากมาจากผู้ผลิตวัตถุดิบค่ะ ซึ่งมักจะมี Bias อยู่ในตัวค่ะ แต่มี่ก็ยังคิดว่า การที่เราทำอะไรซักอย่างเพื่อป้องกัน มันก็น่าจะดีกว่าไม่ทำอะไร และที่สำคัญคือ อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาด และหลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีเขม่าควัน หรือฝุ่นละอองเยอะๆ ค่ะ
แล้วก็มาเข้าเรื่องของเราดีกว่าค่ะ
น้ำตบที่มีเอามารีวิวในวันนี้เรียกได้เลยว่าอยู่ในกระแส และตอบโจทย์ของเราชาวเมืองเลยทีเดียวค่ะ กับ Klairé Anti-pollution Essence ค่ะ
ชื่อเต็มๆของนาง คือ Klairé Anti-pollution essence hydrating facial treatment active essence for urban lifestyle
นางมาในแพคเกจสีขาว กระดาษลูกฟูกค่อนข้างหนา ดูหรูหรา เข้าใจว่าดอกบนกล่องน่าจะเป็นดอกฝ้าย ซึ่งเป็นหนึ่งในสารบำรุงที่ทางแบรนด์ใช้ค่ะ

พอเปิดมาจะมีถาดรองอีกชั้นค่ะ

ภาชนะบรรจุเป็นขวดแก้ว ฝาปั๊ม ตัวฝากดสามารถล๊อคได้ค่ะ

ตัวเนื้อผลิตภัณฑ์จะเป็นน้ำใสๆ ไม่หนืด แต่ก็ไม่ได้เหลวมากจนไหลเลอะเทอะค่ะ

ส่วนตัวค่อนข้างชอบกลิ่นค่ะ จะหอมๆเหมือนข้าวหอมมะลิ น่าจะเป็นกลิ่นของกลุ่มวัตถุดิบนะคะ เพราะทางแบรนด์เคลมเรื่องไม่ใส่น้ำหอมค่ะ
เกลี่ยค่อนข้างง่าย ซึมค่อนข้างไว แห้งไว ไม่ทิ้งคราบใดๆไว้บนผิว แต่ให้ความชุ่มชื้นพอดีตัวเลยค่ะ

มาวัด pH กันซักหน่อยค่ะ

pH จะอยู่ที่ราวๆ 5-6 ค่ะ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ
ถึงคิววิเคราะห์ส่วนผสมบ้าง ผลิตภัณฑ์มีส่วนผสมดังนี้นะคะ

ปกติเราจะแบ่งส่วนประกอบของเครื่องสำอางเป็น 3 ส่วนหลักๆค่ะ ได้แก่
- สารออกฤทธิ์ หรือ Active ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษในการบำรุงผิว
- เนื้อหลัก หรือ Base เป็นส่วนเนื้อหลักที่โอบอุ้ม Active และเป็นตัวพา Active ไปหาผิว
- สารเติมแต่ง หรือ Additives ใส่เข้ามาเพื่อความน่าใช้ สวยงาม ปลอดภัย ฯลฯ
ปกติเราจะแบ่งส่วนประกอบของเครื่องสำอางเป็น 3 ส่วนหลักๆค่ะ ได้แก่
1.สารออกฤทธิ์ หรือ Active ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษในการบำรุงผิว
2.เนื้อหลัก หรือ Base เป็นส่วนเนื้อหลักที่โอบอุ้ม Active และเป็นตัวพา Active ไปหาผิว
3.สารเติมแต่ง หรือ Additives ใส่เข้ามาเพื่อความน่าใช้ สวยงาม ปลอดภัย ฯลฯ
สำหรับส่วนของสารออกฤทธิ์มี่ทำเป็นสีๆไว้ให้นะคะ
1.กลุ่มแรกเป็นกลุ่มสีส้มค่ะ กลุ่มนี้เป็นกลุ่มของสารที่ได้จากเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biotechnology) ได้จากการเลี้ยงจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ แล้วเอาสารออกมาใช้ สรุปสั้นๆดังนี้นะคะ
–Schizosaccharomyces pombe extract เป็นสารสกัดจากยีสต์ชนิดพิเศษที่ขึ้นบนองุ่นบริเวณริมทะเลของสเปน ยังไม่มีงานวิจัยในฐาน Pubmed ผู้ผลิตเคลมว่า สารสกัดจากยีสต์นี้หมักบ่มด้วยอุณหภูมิต่ำพิเศษ ทำให้ได้สารอาหารออกมามากกว่า ให้ผลกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ Fibroblast ที่เป็นเซลล์สร้างคอลลาเจน กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน
-Bifida ferment lysate ช่วยฟื้นฟูผิว
-Polyglutamic acid สารประกอบเชิงซ้อนของ Glutamic acid ได้จากการหมักพืชบางชนิด มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดีมาก ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าเพิ่มความชุ่มชื้นได้มากกว่า Hyaluron
-Galactomyces ferment filtrate ยีสต์ตัวดัง มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวขาว ผิวแข็งแรง ลดริ้วรอย และกระชับรูขุมขน
2.กลุ่มสีฟ้า สารสกัดจากพืช มีอยู่หลายชนิด เน้นไปที่คุณสมบัติในการเคลือบปกป้องผิว เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบ เป็น Antioxidant และช่วยฟื้นฟูผิวให้กลับคืนสู่สภาพดี ตัวที่น่าสนใจมี 2 กลุ่มหลักๆค่ะ
กลุ่มแรกเป็นสารสกัดที่มีเทคโนโลยีสูงขึ้น คือ สกัดแล้วเอาไปย่อยอีก เพื่อให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีขนาดเล็กลงค่ะ มี 2 ตัว ได้แก่
1 Hydrolyzed acacia macrostachya seed extract เป็นสารสกัดจากเมล็ด Acacia สายพันธ์หนึ่งในแอฟริกา ผ่านกรรมวิธีการย่อยให้ได้สารออกฤทธิ์ที่มีขนาดเล็กลง ทำให้เข้าผิวได้ดีขึ้น ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น สารนี้ช่วยควบคุมการเก็บกักน้ำของผิวหนังที่ระดับล่าง เพิ่มการสร้างสารดูดน้ำในผิวที่เรียกว่า Natural moisturizing factor (NMF) ผิวจึงอุ้มน้ำได้ดีมากขึ้น และมีความทนต่อสภาวะอากาศที่แห้งแล้งได้ดีขึ้น โดยเฉพาะหน้าหนาว วัตถุดิบตัวนี้ได้รับรางวัลเหรียญทองในงาน In-cosmetics 2015 ด้วยค่ะ (Golden prize-green ingredients award)
2 Hydrolyzed lepidum meyenii root extract เป็นสารสกัดจากราก Maca ที่พบในเปรู ที่ผ่านกรรมวิธีการย่อยเช่นกัน ประกอบด้วยเปปไทด์กับน้ำตาลโมเลกุลเล็ก ซึมซาบเข้าไปบำรุงผิว กระตุ้นการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ Fibroblast ที่เป็นเซลล์สร้างคอลลาเจนในผิว ลดริ้วรอย เพิ่ม Complexion ให้ผิว ทำให้ผิวดูมีสุขภาพดีขาวแบบมีเลือดฝาด
กลุ่มที่สองเป็น สารสกัดจากเมล็ดพืช มี 2 ชนิด คือ Linum usitatissimum seed คือ Flax seed กับSalvia hispanica seed คือ Chia seed ที่กำลังอยู่ในกระแสเลยค่ะ ไม่ใช่แค่ว่าเอามากินสวยๆลดน้ำหนัก แต่เอามาใส่ในเครื่องสำอางก็ให้ผลดีไม่เบานะคะ เมล็ดทั้งสองนี้มีสารประกอบในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนชนิดพิเศษ ที่สามารถดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้สารประกอบพวกนี้ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิวได้ และยังเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัยได้อีก
3.กลุ่มสีม่วง Gossypium herbaceum callus culture extract เป็นสารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของฝ้ายชนิดหนึ่งที่ขึ้นในทะเลทรายแถวอาหรับ ผู้ผลิตวัตถุดิบเรียกกันว่า Stem cell พืช ในฝ้ายนี้ประกอบด้วยสารพฤกษเคมีที่มีโครงสร้างดูดกลืนรังสีได้ จึงให้ผลปกป้องเซลล์ผิวหนังจากแสงแดด ช่วยฟื้นฟูเซลล์ที่เสื่อมสภาพให้คืนสู่สภาพดี เสริมสร้างเซลล์ใหม่ และยังให้ความรู้สึกสบายผิว (ภาษาทางเครื่องสำอางเรียก Soothing effect)
4.กลุ่มสีเขียว เป็นตระกูล Hyaluron มี 2 ตัว คือ Hydrolyzed sodium hyaluronate ที่ผ่านการย่อยจนมีขนาดเล็กลง ทำให้สามารถดูดซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น ช่วยให้ผิวนุ่ม ยืดหยุ่น และริ้วรอยลดลง กับ Sodium hyaluronate ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
* Hydrolyzed sodium hyaluronate ทางแบรนด์ Claim ว่าใช้วัตถุดิบที่ผลิตด้วยการย่อยสลาย Hyaluronic acid ด้วยเอนไซม์ Hyaluronidase ทำให้ได้สายโมเลกุลของไฮยา สายสั้นๆ มีโครงสร้างสมบูรณ์ ดูดซึมเข้าผิวได้และยังมีคุณสมบัติ antioxidant เสริมมาอีก
5.สีน้ำเงิน คือ Gluconolactone เป็นสารอนุพันธ์ของน้ำตาล จัดเป็นสารในกลุ่ม Polyhydroxy acid (PHA) ให้คุณสมบัติการผลัดผิว (Exfoliant) คล้าย AHA แต่อ่อนโยน ระคายเคืองน้อยกว่า มีรายงานวิจัยสนับสนุนว่าการผลัดผิวของ PHA สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มความแข็งแรงของ Barrier ผิวหนัง และมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant รวมทั้งสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสารออกฤทธิ์ชนิดอื่นๆ เช่น วิตามินเอ ได้ดี (Cutis. 2004; 73(2 Suppl):3-13.) มีรายงานว่าสามารถเพิ่มผลการปกป้องรังสี UV ที่ผิวหนังได้ถึง 50% (Dermatol Surg. 2004; 30(2 Pt 1):189-95) การศึกษาทางคลินิกพบว่า Gluconolactone สามารถรักษาสิวได้เทียบเท่า Benzoyl peroxide ซึ่งเป็นยา แต่มีผลข้างเคียงน้อยกว่า (Australas J Dermatol. 1992; 33(3):131-4.)
มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ
1.Actives ส่วนของสารออกฤทธิ์ จากที่บรรยายไป เรียกได้ว่าทำมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ มีประโยชน์หลายๆด้าน ทั้งชุ่มชื้น ลดริ้วรอย ฟื้นฟูผิว ชะลอวัย ให้ความรู้สึกสบายผิว อาจจะได้เรื่องผิวขาวเสริมมาด้วย โดยรวมจึงถือว่าทำมาได้สมบูรณ์แบบ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
2.Base ส่วนของเนื้อหลักเป็นชนิดน้ำ ประกอบด้วยน้ำ และสารดูดน้ำให้ผิวอย่าง Butylene glycol กับ Propylene glycol ส่วนของ Propanediol กับ Glycerin เนื่องจากอยู่ลำดับท้ายๆเลยคิดว่าอาจจะติดมากับสารสกัดหรือสารออกฤทธ์อื่น ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำมัน และซิลิโคน จึงใช้ได้ทุกสภาพผิว จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
3.Additives ในส่วนของสารอื่นๆเท่าที่เห็นก็จะมีกลุ่มของ Buffer ที่เป็นตัวควบคุมรักษาค่า pH ให้คงที่ สารกันเสีย และก็สารจับโลหะ สารที่ใช้ทุกชนิดก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แถมก็มีเท่าที่จำเป็น ไม่ได้มีน้ำหอม ไม่มีพาราเบน ไม่มี Emulsifier ก็เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร จุดนี้ก็เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
4.การใช้งาน ส่วนตัวมี่ชอบกลิ่นนะคะ หอมเหมือนข้าวหอมมะลิ ผิดกับน้ำตบยีสต์ที่ส่วนใหญ่มักจะมีกลิ่นเฉพาะตัวอันเป็นเอกลักษณ์ เวลาใช้ก็ใช้ได้สะดวก จะตบเอา จะใส่สำลีแล้วเช็ด จะใส่สำลีแล้วตบ หรือจะหยดใส่มาสค์อัดเม็ด ก็ทำได้หมด ถ้าใส่มาสค์อัดเม็ดมันจะแอบเปลืองนิดนึง เอามาหยดใส่สำลีซัก 2-3 ปั๊ม ลงบนสำลีซัก 5 แผ่นแล้วแปะลงไปตรงหน้าผาก 2 แผ่น แก้ม 2 แผ่น และคางอีก 1 แผ่น ก็ได้ความผ่อนคลาย และสบายผิวไม่น้อยเช่นกัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ผิวชุ่มชื้นนุ่มนวล โดยรวมถือว่าค่อนข้างประทับใจ จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Klairé ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้กับทางแบรนด์ Klairé ได้โดยตรงเลยค่ะ
Facebook: https://www.facebook.com/KlaireOfficial
Instagram: Klaireofficial
http://www.beforeandaftercorp.com
Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Klairé การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ