Image

[Beauty Talks] ผลของมลภาวะกับผิวพรรณ

เดี๋ยวนี้นักวิทยาศาสตร์เริ่มสนใจผลของมลพิษที่มีต่อผิวกันมากขึ้นแล้วค่ะ มีรายงานการวิจัยอยู่ไม่น้อยเลย ที่ศึกษาและพบว่ามลพิษต่างๆมีผลเสียกับผิวมากมาย ใน Blog เก่าที่เคยเขียนไว้ก็ยังไม่ค่อยอัพเดท วันนี้เลยขอมาอัพเดทอีกรอบนะคะ

เปิดด้วยภาพถ่ายจากน่านฟ้าเมืองเชียงราย เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2561 ที่ผ่านมา ขมุกขมัวมากเลย เห็นแล้วก็เหนื่อยใจจังค่ะ

air poll.jpg

 

เปิดประเด็นกับคำถามที่ว่า มลพิษ หรือ Pollution คืออะไร?

นิยามจาก WHO กล่าวว่า “Pollutions are contamination of the indoor or outdoor environment by any chemical, physical or biological agent that modifies the natural characteristic of the atmosphere”

 

แปลเป็นไทยง่ายๆว่า มลพิษคือสิ่งเจือปนในสิ่งแวดล้อม สิ่งเจือปนนี้อาจจะเป็นได้ทั้ง สารเคมี วัสดุทางกายภาพ เช่น ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ วัสดุชีวภาพ เช่น เกสรดอกไม้ สปอร์เชื้อรา ก็ได้ เดี๋ยวนี้มีรายงานมาบอกอีกว่า เกสรดอกไม้ที่ล่องลองในอากาศสามารถเหนี่ยวนำให้ผิวเกิดการอักเสบ และ Barrier ผิวเสียได้อีก เรียกได้ว่า อีกหน่อยคงต้องเอาพลาสติกมาห่อตัวแล้วหละ

 

ทุกวันนี้ปัญหามลภาวะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ มลภาวะทางอากาศค่ะ

รูปสองรูปนี้คือรูปที่ถ่ายจากมุมเดียวกัน เดือนเดียวกัน แต่ถ่ายก่อนและหลังฝนตก น่ากลัวใช้ได้เลยทีเดียว ควันๆนี่ไม่ใช่หมอกแต่อย่างใดนะคะ คือ ฝุ่นละอองมลภาวะล้วนๆ

Beijing_smog_comparison_August_2005.png

(By Bobak (Own work) [CC BY-SA 2.5 (https://creativecommons.org/licenses/by-sa/2.5)%5D, via Wikimedia Commons)

 

เราพบว่าในภูมิภาค Asia Pacific บ้านเรานี้มีมลภาวะสูงเป็นอันดับ 1 ของโลกเลยค่ะ พีคไปอีก

 

แบ่งชนิดของมลภาวะได้เป็นสองกลุ่มหลักๆ คือ กลุ่มของฝุ่นละอองในอากาศ หรือ Particulate matter (PM) ซึ่งมีด้วยกัน 3 ชนิดย่อยๆ คือ

  1. Coarse particle มีขนาดอยู่ในช่วงประมาณ 10 ไมครอน เรียก PM10 เกิดจากเครื่องยนต์ต่างๆ
  2. Fine particle มีขนาดอยู่ในช่วงประมาณ 2.5 ไมครอน เรียก PM2.5 เกิดจากการเผาไหม้
  3. Ultrafine particle มีขนาดเล็กมาก น้อยกว่า 0.1 ไมครอน อันนี้ยังไม่ค่อยมีใครพูดถึงค่ะ

pm2.5_scale_graphic-color_2.jpg

(ที่มา EPA. https://www.epa.gov)

 

มีรายงานวิจัยหลายๆฉบับพบว่า PM เหล่านี้สามารถแทรกซึมลงไปในผิวและสามารถทำให้เกิดความเสื่อมของผิวต่างๆได้ค่ะ

โดยเมื่อ PM ลงไปในผิว นางจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระ และสารก่อนการอักเสบในกลุ่มของ Interleukins บางชนิด ทำให้เกิดอาการอักเสบ และเกิดความเสื่อมต่างๆของผิวมากมายค่ะ

เราสามารถสรุปได้ ย่อๆ ว่า มลภาวะ มีผลต่อผิว 4 ประการหลัก คือ อักเสบ เหี่ยว ดำ และ เสื่อม

  • อักเสบ คือ การที่มลภาวะเหล่านี้ซึมลงไปในผิวแล้วกระตุ้นให้เกิดการสร้างสารก่อการอักเสบในตระกูลของพวก Interleukins ขึ้นมา ซึ่งจะมีผลทำให้ผิวเราเกิดการอักเสบต่างๆมากมาย
  • เหี่ยว เมื่อมลภาวะลงไปในผิวจะไปเหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระขึ้นมาในผิว ที่จะมีผลทำให้เอนไซม์ MMP ทำงานเพิ่มขึ้น เอนไซม์นี้เป็นเอนไซม์ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว ทำให้ผิวเหี่ยวและเกิดเป็นริ้วรอยตามมา
  • ดำ อนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นจากมลภาวะสามารถไปเหนี่ยวนำให้เซลล์สร้างเม็ดสีผิว สร้างเม็ดสีผิวมากขึ้น ทำให้ผิวดำคล้ำ หรือ เกิดเป็นจุดด่างดำ
  • เสื่อม มลภาวะทำลาย Barrier ผิว ทำให้ Barrier ผิวเสื่อมลง ผิวจะแพ้ได้ง่ายขึ้น

 

นอกจากเหล่า PM พวกนี้แล้ว มีอีกสิ่งที่วงการเครื่องสำอางค่อนข้างกลัวก็คือ กลุ่มของสารอินทรีย์ ที่เป็นกลุ่มของ PAH หรือ Polycyclic aromatic hydrocarbon เช่นกลุ่มของสาร Benzo[a]pyrene ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ สารกลุ่ม PAH พวกนี้สามารถลงไปในผิวและกระตุ้นให้เกิดการอักเสบต่างๆและเกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมาได้ รวมไปถึงเพิ่มอุบัติการณ์ในการเกิดมะเร็งด้วยค่ะ

 

การศึกษาของ Pan และคณะ เมื่อปี 2015 ได้ทดสอบผลของมลภาวะที่ประกอบด้วย โลหะหนัก กับ PAH ต่อผิวหนังของหมู พบว่า มลภาวะที่มีส่วนผสมของ PAH มีผลทำให้การทำงานของ Barrier ผิวของหมูเสียไป มีการระเหยของน้ำออกจากผิวหมูมากขึ้น ทำให้สารหลายๆชนิดซึมผ่านเข้าออกผิวหนังได้ดีขึ้น (ตรงนี้อย่านึกว่าดีนะคะ เพราะถ้าสารก่อภูมิแพ้ลงไปในผิวได้ง่ายแล้ว ใช้อะไรก็จะแพ้ง่ายหมด ทีนี้จะใช้อะไรก็ลำบาก) นอกจากนี้ ลมภาวะที่มี PAH ยังทำให้เกิดอาการอักเสบเพิ่มขึ้นอีก

 

การศึกษาจากบริษัท ID bio – Ester Technopole พบว่า Benzo[a]pyrene มีผลไปกดการทำงานของ สิ่งที่เรียกว่า Tight junction ซึ่งเป็นช่องแคบๆที่คอยกั้นไม่ให้น้ำและสารโมเลกุลเล็กๆออกจากผิว พอเจ้า Tight junction ลดลง Barrier ก็จะเสียไป ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้ง่ายขึ้น เกิดเป็นผิวแห้ง และทำให้สารต่างๆซึมผ่านเข้าออกผิวได้ง่ายขึ้น เสี่ยงเป็นผิวแพ้ง่าย

 

บทความของ Roberts (2015) ได้กล่าวว่า เมื่อสารในกลุ่ม PAH ลงไปในผิวจะเกิดการแปรสภาพเป็น สารในกลุ่ม Quinone ซึ่งเหนี่ยวนำให้เกิดการสร้างอนุมูลอิสระขึ้นมา อนุมูลอิสระนี้จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ  มีการสร้างเอนไซม์ MMP มากขึ้น ซึ่งเอนไซม์ MMP เป็นตัวย่อยสลายคอลลาเจนและอิลาสตินในผิว เกิดเป็นริ้วรอยขึ้นมา และยังมีผลทำให้เกิดการสร้างเม็ดสี Melanin เพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่ง Roberts บอกว่า การที่โลกเรามี Pollution มากขึ้น อาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมคนเป็นฝ้าเพิ่มขึ้น

 

จะเห็นว่า Pollution นี่ค่อนข้างน่ากลัวเลยทีเดียวค่ะ ทั้งเหี่ยว ทั้งอักเสบ ทั้งดำ ทั้งทำให้ผิวบอบบางได้อีก

 

Ref:

Kim et al. Life Sci. 2016;152:126-134.

Pan et al. J Dermatol Sci. 2015;78(1):51-60.

Roberts WE. J Drugs Dermatol. 2015;14(4):337-41.

 

Note: สงวนลิขสิทธิ์ในบทความตามพ.ร.บ.ทรัพย์สินทางปัญญา

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม DermArtlogy Ageless cream สูตรปรับปรุงใหม่ กับ ampoule ทั้ง 5 สูตร พร้อมแบบสอบถามวิเคราะห์สภาพผิวตาม Baumann skin typing system

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่เอารีวิวครีม Ageless ตัวดังตัวใหม่ สูตรปรับปรุงจากแบรนด์ DermArtlogy มาฝากทุกคนกันค่ะ

DermArtlogy เป็นแบรนด์เวชสำอางน้องใหม่ในเครือของบริษัท Neopharm ประเทศเกาหลี ที่ผลิตครีมชื่อดังอย่าง Atopalm นั่นเองค่ะ

โดยตัว Ageless cream นี้ ก็มีการใช้เทคโนโลยี MLE (Multi-lamella emulsion) แบบแบรนด์ Atopalm ชื่อดังค่ะ

ในสูตรใหม่นี้ ทางแบรนด์เคลมว่า มีการเพิ่มส่วนผสมที่เสริมกระบวนการ Autophagy ของผิว เป็น 2 เท่ากันเลยค่ะ

หน้าตาของ Ageless cream สูตรใหม่เป็นแบบนี้ค่ะ

derm 1

ตัวแพคเกจจะดูหรูหรามากขึ้นกว่าสูตรเก่า เปลี่ยนจากขวดพลาสติก มาเป็นแบบพลาสติกอคริลิก ชนิด airless pump ที่มีความสวยงาม สีม่วงลาเวนเดอร์

ด้านตัวกล่องก็ปรับใหม่ค่ะ มาในความเรียบหรูและสวยงามมากขึ้น

derm 7

ที่ด้านหลังจะมีคำเคลมพร้อมกับส่วนผสมอยู่ค่ะ

derm 9

ก็จะพูดถึงเรื่องของ Aquatide กับ Technology MLE ซึ่งเดี๋ยวมี่มาเล่าให้ฟังอีกทีตอนถึงช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจ และทำให้ครีม Ageless เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของสาว(และหนุ่ม)ผิวแพ้ง่ายก็คือเรื่องของการพัฒนาสูตรมาเป็นแบบ 10 non-added formula

derm 10

ซึ่งสารเหล่านี้ก็จะไม่ค่อยเป็นมิตรกับผิวเท่าไหร่ค่ะ

ล่าสุด Phenoxyethanol ที่เขาว่า safeๆ กัน ก็เริ่มเจอว่าทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บ้างแล้วหล่ะ เรียกได้ว่าทางแบรนด์ก็เกาะกระแสตัดออกไปเป็นรายแรกๆเลย

มาดูตัวครีมกันบ้างนะคะ

เนื้อครีมจะคล้ายๆกับสูตรเดิมค่ะ

derm 2

เกลี่ยง่าย ลื่นๆหน่อย แห้งไว ไม่เหนอะหนะและหนักผิว

derm 3

ค่า pH อยู่ที่ประมาณ 5 – 6 ค่ะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

derm 4

ในด้านของส่วนผสม เป็นดังนี้ค่ะ

สผส ageless ใหม่

ว่าแต่อะไรคือ Autophagy?

Autophagy เป็นศัพท์เทคนิคทางชีววิทยา หมายถึง ปฏิกิริยาที่เซลล์ในร่างกายทำลายเซลล์อีกเซลล์หนึ่ง แล้วนำเอาองค์ประกอบภายในเซลล์ที่โดนทำลายไป ไป Recycle สร้างเซลล์ใหม่ออกมาทดแทน เพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างปกติ

ที่ผิวหนังพบว่าการ Autophagy ของเซลล์ผิวหนังจะทำให้เซลล์ผิวทำงานได้ดีขึ้น มี Barrier ที่แข็งแรงขึ้น จึงสามารถลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ดี ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น (ค่า TEWL ลดลง)

โดยทางแบรนด์เคลมว่าส่วนผสมที่เสริมการเกิด Autophagy นี้ก็คือเจ้า Aquatide กับ Caprylamide MEA ค่ะ

 

ถ้าเราลองดูส่วนผสมจะมีส่วนของสารไขมันทดแทนผิว ร่วมกับ Pseudoceramides เปปไทด์ 1 ชนิด และ hyaluron ค่ะ

โดยสีม่วง จะเป็นกลุ่มของไขมันทดแทนผิวนะคะ

สีเขียว คือ Pseudoceramides ที่เป็นนวัตกรรมสิทธิบัตรของเครือ Neopharm เขา

  • Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA ตัวนี้มีชื่อย่อว่า PC-9S เป็นสิทธิบัตรของทาง Neopharm อิงตามสิทธิบัตรอเมริกา US patent US6221371B1 ของปี 2001 Claim ว่าให้ประโยชน์ในการเหนี่ยวนำให้ผิวสร้างไขมันใหม่ออกมาฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหาย มีรายงานการวิจัยทดสอบประสิทธิภาพของสารนี้ในหนูทดลอง พบว่า ตัวนี้เมื่อใช้ร่วมกับไขมันชนิดที่มีในผิว (Physiological lipids) สามารถกระตุ้นให้ผิวเรามีการสร้างตัวรับที่มีชื่อว่า PPAR-α ออกมา ซึ่งมีประโยชน์ในการลดการอักเสบของผิว และสามารถต้านผลเสียของสเตียรอยด์ที่ไปทำให้ผิวบาง Barrier ผิวเสื่อม น้ำระเหยออกจากผิวได้มาก การใช้ PC-9S จะช่วยเร่งการฟื้นฟู Barrier ผิวได้ดีขึ้น (Arch Dermatol Res. 2015 Nov;307(9):781-92.)
  • ส่วนผสม Caprylamide MEA กับ Hexacarboxymethyl dipeptide-12 คู่นี้ทางแบรนด์ Claim ว่าเป็นคู่ที่ช่วยส่งเสริมการเกิดกลไก Autophagy ของผิว ซึ่ง Autophagy เป็นกลไกในการซ่อมแซมตนเองของร่างกาย โดยกำจัดชิ้นส่วนที่มีความเสื่อมออกไป เอาชิ้นส่วนไป recycle เพื่อให้เกิดการฟื้นฟูและสร้างชิ้นส่วนหรือองค์ประกอบใหม่ๆขึ้นมาทดแทนส่วนเก่าที่เสื่อมสภาพไป ช่วยให้ผิวกลับคืนสู่สมดุล ลดความเครียด และลดความเสื่อมสภาพของผิว

 

สีฟ้า: Hexacarboxymethyl dipeptide-12 มีชื่อทางการค้าว่า Aquatide ของบริษัท incospharm ประเทศเกาหลีเช่นกัน สารตัวนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบเรียกเป็น “Skin vaccine” เป็นวัคซีนผิวที่ทาลงไปแล้วให้ผิวแข็งแรง โดยสารมีคุณสมบัติเพิ่มการทำงานของ Barrier ผิว ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ต่อต้านอนุมูลอิสระ และมลภาวะ ลดการอักเสบ และปรับสมดุลให้แก่ผิว

มีรายงานการวิจัยกล่าวว่า ระบบนำส่งสารรูปแบบ MLE นี้สามารถเพิ่มการนำส่งสารเข้าสู่ผิว และสามารถลดและป้องกันผลเสียของสเตียรอยด์ในการทำให้เกิดอาการผิวบางได้ (Ann Dermatol. 2013 Feb;25(1):5-11.) ผลตรงนี้จึงน่าจะเอามาประมาณการณ์ได้คร่าวๆว่า ผลิตภัณฑ์แบบ MLE น่าจะมีประโยชน์ในการฟื้นฟูผิวที่ผ่านสเตียรอยด์มา

 

Ageless cream นี้ทางแบรนด์ก็จะเอามาใช้ร่วมกับ Ampoule อีก 5 สูตร ซึ่งมี่เคยรีวิวไว้แค่ 4 สูตร วันนี้เลยขอเอามารวบใหม่อีกรอบเลยนะคะ

derm 6

จะเห็นว่า Ampoule มี 5 สูตร  เราจะเลือกใช้อย่างไร ก็ต้องวัดกันจาก Baumann skin typing system ค่ะ

derm 5

อะไรคือ Baumann skin typing system??

Baumann skin typing system

การแบ่งสภาพผิวแบบนี้มีแนวคิดมาจาก คุณหมอ Leslie Baumann แพทย์ผิวหนัง และนักวิจัยระดับโลกที่มีผลงานตีพิมพ์ในวารสารทาง Dermatology มากมาย รวมถึงหนังสือตำราอีกหลายเล่ม

นางคิดว่า สภาพผิวคน แค่ 4 อย่าง คือ Normal, Dry, Oily, Combination เนี่ย ไม่พอหรอก นางเลยจัดสรรการแบ่งสภาพผิวใหม่ โดยแบ่งผิวออกเป็น 16 ชนิด ตามปัจจัย 4 ด้าน

คือ

  1. การสร้างน้ำมันของผิว ถ้าผิวสร้างน้ำมันไม่เพียงพอ จะทำให้ผิวแห้ง จะจัดเป็นสภาพผิว D คือ Dry แต่ถ้าผิวไม่แห้ง จะเป็น O คือ Oily
  2. ความทนทานของผิว คือ ผิวบอบบาง คือ S หรือ Sensitive skin และ ผิวแข็งแรง คือ R หรือ Resistant
    • ผิวบอบบางไม่ได้มีแค่การแพ้อย่างเดียว แต่ผิวบอบบางมีด้วยกันถึง 4 ประเภทค่ะ ได้แก่ ผิวที่เป็นสิวได้ง่าย ผิวที่มีความแดง ผิวที่ระคายเคือง และ ผิวที่เกิดการแพ้ค่ะ (ถ้าสนใจอ่านเรื่อง sensitive skin เพิ่ม สามารถตามไปได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click เพื่ออ่านเรื่อง sensitive skin<<)
  3. สีผิว สีผิวสม่ำเสมอ คือ N หรือ Non-pigmented ถ้ามีสีผิวไม่สม่ำเสมอ จะเป็น P หรือ Pigmented
  4. ริ้วรอย ถ้ามีริ้วรอย หรือ มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการเกิดริ้วรอย เช่น ทำงานกลางแดด สูบบุหรี่ ชอบอาบแดด จะจัดเป็น W หรือ Wrinkle แต่ถ้าไม่มี หรือ อายุน้อย จะจัดเป็น T คือ Tight

เอาสภาพผิวพวกนี้มาทำเป็นตาราง 4 * 4 ก็จะได้สภาพผิว 16 ชนิดนั่นเองค่ะ

baumann

ทีนี้จะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะเป็นผิวแบบไหน ทางแบรนด์เค้าก็มีแบบสอบถามสำหรับตรวจสภาพผิวมาให้ค่ะ มี่เลยขอแปลเป็นไทยให้ทุกท่านทำไปด้วยกันนะคะ ^^

เราจะทำไปด้วยกันทีละข้อเลยนะคะ และเอามาเรียงกันเพื่อเลือก ampoule ตามสภาพผิวค่ะ

q 1q 2q 3q 4

(All questionnaires were translated and adapted from dermArtlogy)

อย่างของมี่ จะเป็นแบบ DSNT นะคะ

  • Step1: D/O – D or O ถ้าผิวแห้งเลือก Ampoule Hydrating ถ้าผิวมันเลือก Ampoule Oil control
  • Step2: S/R – ผิวแดง ระคายเคืองง่ายหรือไม่ ถ้าใช่พิจารณาเพิ่ม Ampoule Calming
  • Step3: P/N – มีปัญหาผิวจุดด่างดา ผิวหมองคล้ำหรือไม่ ถ้าใช่พิจารณาเพิ่ม Whitening Ampoule
  • Step4: W/T – มีปัญหาริ้วรอยหรือผิวหย่อยคล้อยหรือไม่ ถ้าใช่พิจารณาเพิ่ม Revitalizing Ampoule (ถ้าอยากชะลอวัยก็สามารถใช้ Revitalizing ampoule เสริมได้นะคะ)

พอเราได้ Ampoule ตามที่เหมาะกับสภาพผิวที่เราต้องการแล้วก็ให้นำเอา Ampoule มาผสมกับ Ageless cream ในอัตราส่วน 1:1 แล้วทาทั่วใบหน้า เช้า/เย็น โดยใช้แค่อย่างเดียวขั้นตอนเดียวก็พอ เพื่อเป็นการประหยัดเวลา (แต่กลางวันก็อย่าลืมทากันแดดนะคะ)

ลองดูส่วนผสมของ ampoule แต่ละสูตรกันอีกซักรอบนะคะ

สีน้ำเงิน: Hydrating

สผส hydra

ตัวนี้อาศัย Hya เป็นตัวชูโรงหลัก โดยทำหน้าที่ดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให่ผิว

 

สีเขียวแก่: oil-control

สผส oil

มีส่วนผสมของ Enantia chlorantha bark extract กับ Oleanolic acid สองตัวนี้คือวัตถุดิบ Evermat ของประเทศฝรั่งเศส มีคุณสมบัติควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และให้ผลดีเรื่องสิว โดยไปมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5alpha-reductase ซึ่งเป็นตัวสร้างฮอร์โมนเพศชายชนิด Dihydrotestosterone ที่มีฤทธิ์แรงขึ้น เป็นสาเหตุของสิว ผิวมัน และผมร่วง

นอกจากคู่นี้ก็ยังมี Zinc PCA ที่มีผลควบคุมความมัน และมี Hyaluron กับ กรดอะมิโน arginine ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว

สีเขียวอ่อน: Calming

สผส calm

ตัวนี้อาศัย Madecassoside ที่เป็นสารพฤกษเคมีที่พบในใบบัวบก เป็นตัวชูโรง สารนี้มีคุณสมบัติลดอักเสบ เป็น Anti-oxidant มีผลชะลอวัย กระตุ้น Fibroblast ให้สังเคราะห์ Collagen ได้ดีขึ้น และส่งเสริมกระบวนการสมานผิว ร่วมกับ Zinc gluconate ที่นอกจากจะเป็นสารฆ่าเชื้อ ลดการเกิดสิวแล้วมีประโยชน์หลายๆอย่างกับผิว เช่น ควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และส่งเสริมการสมานผิว

ตัวอื่นๆที่เสริมมาจะเป็น hyaluron และกรดอะมิโน Arginine ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว

สีม่วง: Revitalizing

สผส revi

เป็นสูตรที่อัดแน่นมาด้วย Peptide และสารที่มีประโยชน์ด้านริ้วรอย เช่น

  • sh-oligopeptide-1 เป็น Growth factor ชนิดหนึ่ง ที่มีชื่อว่า EGF มีคุณสมบัติเด่นในการลดริ้วรอย โดยมีรายงานการวิจัยรองรับว่ามีประโยชน์ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขนและช่วยปรับ Texture ของผิวให้เรียบเนียนขึ้น (J Drugs Dermatol. 2012;11(5):613-20.)
  • Palmitoyl pentapeptide-4 มีชื่อทางการค้าว่า Matrixyl ออกฤทธิ์กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน อิลาสติน และ Glycosaminoglycan ในผิว ตัวนี้มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการรองรับถึงประสิทธิภาพ (Int J Cosmet Sci. 2005;27(3):155-60)
  • Adenosine ก็เด่นเรื่องริ้วรอยเช่นกัน
  • Biotinoyl hexapeptide-2 amide เปปไทด์เชิงซ้อนของเกาหลี มีชื่อทางการค้าว่า Biotide ซึ่งเป็น peptide เชิงซ้อนที่จับกับวิตามิน Biotin ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยให้ผิวนุ่มฟูโดยมีผลเพิ่มการสะสมไขมันเฉพาะที่ และลดการอักเสบในผิว

นอกจากสารกลุ่ม peptide เหล่านี้แล้วก็เสริมมาด้วย hyaluron และ กรดอะมิโน arginine ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว มีวิตามินอีเป็น Antioxidant และปิดท้ายด้วย Beta-glucan ที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และปรับสมดุลผิวให้แข็งแรง

และสูตรสีน้ำตาล

สผส white

ส่วนผสมจะค่อนข้างเรียบง่าย แต่จัดมาหนัก ในด้าน Whitening นั้น นางอาศัยผลจาก Ascorbic acid หรือ วิตามินซี ร่วมกับ Arbutin เป็นหลัก เสริมมาด้วยกลุ่มของ Antioxidant อย่าง Ferulic acid ที่ได้จากธรรมชาติ และ วิตามินอี

ดูไปก็แอบคลับคล้ายคลับคลาว่า ส่วนผสมของ Ascorbic acid + Ferulic acid + Vitamin E นี่มันก็แอบเสริมฤทธิ์กันอยู่นะคะ

นอกจากนั้นยังเสริมเอา Allantoin กับ Panthenol เข้ามาเพื่อให้คุณสมบัติด้านการลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว และมี Arginine เป็นกรดอะมิโนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

เบสมาในเบสน้ำ ไม่มีแอลกอฮอล์ และไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิวค่ะ

 

ว่าแล้วก็มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง: เป็นการเลือกใช้ Ageless cream เป็นตัวเบสหลัก แล้วให้เสริม Ampoule สูตรตามปัญหาผิวที่ต้องการ ในตัวของ Ageless cream ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ใช้สวนผสมที่มีนวัตกรรม และสิทธิบัตร รวมถึงมีงานวิจัยรองรับ เน้นไปที่การฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง ทีนี้พอ Barrier เราแข็งแรง ปัญหาผิวต่างๆก็จะค่อยๆหายไปเอง และการเลือกใช้คู่กับ ampoule จะตอบปัญหาผิวได้ค่อนข้างหลากหลาย การใช้ร่วมกันก็ประหยัดเวลาในการดูแลผิวได้เยอะเลย ตอบโจทย์วิถีชีวิตอันเร่งรีบของคนปัจจุบันค่ะ และด้วยความน่าสนใจ และแปลกใหม่ของเทคโนโลยี Autophagy ที่ได้รับรางวัลโนเบลด้วย จุดนี้คงต้องขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน จากช่วงก่อนส่วนตัวมี่จะชอบผสม Ageless cream คู่กับแอมพูลสีม่วง Revitalizing แต่ตอนนี้เราพัฒนาขึ้นค่ะ เราผสม Ageless cream สูตรใหม่กับ แอมพูลสีม่วง และสีน้ำเงินไปพร้อมๆกัน เนื้อสัมผัสของสูตรใหม่ไม่ค่อยต่างกับสูตรเดิมเท่าไหร่ค่ะ สูตรชุดนี้มี่จะเน้นเสริม Hyaluron เข้ามาช่วยเติมน้ำให้ผิวอีกทาง จะเติมแต่น้ำมันก็คงไม่เหมาะ เลยต้องเติมน้ำเข้ามาเสริมด้วย หลังจากใช้สูตรผสมชุดนี้เกือบเดือน สิ่งที่พบเลยก็คือ ผิวจะไม่ลอกเป็นขุย แม้ตอนนี้เชียงรายจะเริ่มหนาวมาก ปากแตกไปแล้ว แต่หน้ายังอยู่ หน้านุ่ม ชุ่มชื้น ฟู และเวลาเราตบๆมันจะมีความเด้งค่ะ เหมือนตบลูกโป่งน้ำ (ตบเบาๆนะคะ เดี๋ยวเจ็บ 55) โดยรวมมี่ก็ยังค่อนข้างชอบนะคะ ป่านนี้นางคงรอขึ้นแท่นลูกรักปีนี้ไปละ เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางเพจ Dermskinstore และทางแบรนด์ DermArtlogy ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand/

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้าและไม่ได้รับค่าตอบแทนในการรีวิว โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

อัพเดทตลาดเกาหลีกับบ้านมียอน ช่วงต้นเดือนพค 60 >> คอลเลคชั่น Bono Bono จาก A’pieu กับ Simpsons จาก The face shop

นั่งทำงานมากไปก็เลยเบื่อ เลยไปส่องเวบเกาหลีให้หายเบื่อ บังเอิญไปเจอคอลเลคชั่นใหม่ๆจากแบรนด์ A’pieu กับ The face shop เลยเอามาอวดยั่วเงินในกระเป๋ากันค่ะ

สงครามคาแรคเตอร์ยังไม่จบค่ะ หลังจากแผ่วมาซักพัก ทาง The face shop ก็ออกคอลเลคชั่น Trolls ออกมาต้าน แบรนด์อื่นๆก็เลยเริ่มปล่อยของกันมาบ้าง

เริ่มประเดิมด้วยคอลเลคชั่น Bono Bono ของ A’pieu ค่ะ

bono 2.jpg

(Image from A’pieu)

Bono Bono นี่เป็นการ์ตูนของทางญี่ปุ่นนะคะ ในบ้านเราน่าจะยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ ส่วนตัวมี่ว่าน่ารักดีค่ะ

(รายละเอียดการ์ตูน >>wikipedia)

ในหน้าเวบไซต์ของ A’pieu ก็จะมีคลิปน่ารักๆ เอา product แต่ละตัวมาอวดกัน

คอลเลคชั่นนี้ก็จะมี product อยู่ประมาณนี้ค่ะ

bono 3.jpg

(Image from A’pieu)

เปิดมาด้วยบลัชเนื้อครีมลายมุ้งมิ้ง

20170428175035_avufette

(Image from A’pieu)

Cream Tint ในหลอดดีไซน์รูปตัวเอกจากซีรี่ส์ Bono Bono

20170428175034_eickiplg

(Image from A’pieu)

Lip pencil ดีไซน์น่ารักๆ

20170428175034_amlkcqzw

(Image from A’pieu)

และปิดคอลเลคชั่นด้วย Eyeshadow palette ค่ะ

20170428175034_okkzcrhy

(Image from A’pieu)

ตัว Palette มีสีโทนน้ำตาล-ส้ม ที่ใช้เป็น Everyday look ได้เลยค่ะ

ราคานั้นก็เปิดมาไม่ได้โหดมาก และแน่นอนว่า ร้านพรีร้านหิ้วก็จะต้องฟันกำไรกันจนหัวหลุด

ราคา 1ราคา 2ราคา 3

ราคาแต่ละตัวตามรูปเลยค่า 🙂

  • Cream Tint 6000 วอน (ประมาณ 180 บาท)
  • Lip pencil 5800 วอน (ประมาณ 174 บาท)
  • Cream blush 4500 วอน (ประมาณ 135 บาท)
  • อายชาโดว์พาเลตต์ 18000 วอน (ประมาณ 540 บาท) << อันนี้แอบราคาแรง

 

ส่วนทางแบรนด์ Thefaceshop ก็จัดคอลเลคชั่น Simpsons มาได้ไม่น้อยหน้ากันเลยค่ะ

simpson

(Image from The face shop)

คอลเลคชั่นนี้มี่เห็นบนไอจีของแบรนด์ได้ซักพักแล้วค่ะ

(Image from The face shop)

คอลเลคชั่นนี้ส่วนมากดูเหมือนจะเน้นไปที่กันแดดค่ะ

มีมาสค์หน้าลายตัวละครของ The simpsons ด้วย

mask 1mask 2mask 3

(Image from The face shop)

ตอนเข้าไปในเวบของแบรนด์ก็เจอคูชั่นคอลเลคชั่นของ Kung Fu panda ด้วยค่ะ ไม่รู้มีมานานหรือยัง

ะดห

(Image from The face shop)

สำหรับวันนี้ก็มายั่วน้ำลายแต่เพียงเท่านี้ค่ะ  พบกันใหม่โอกาสถัดไปนะคะ สวัสดีค่ะ

Disclaimers: Images are from A’pieu and TheFaceShop Korea official website.

Image

[Beauty Talks] แชร์สเต็ปใสห่างไกลสิวเสี้ยนของบ้านมียอน สำหรับหนุ่มสาวผิวแห้ง

สวัสดีค่ะ

วันนี้จะมาแชร์สเต็ปการดูแลสิวเสี้ยนของบ้านมียอนเพื่อแลกเปลี่ยนกันนะคะ

สิวเสี้ยน.jpg

เรียกได้ว่าสิวเสี้ยนนี่เป็นปัญหากวนใจสำหรับหลายคนเลยทีเดียวค่ะ

ว่าแต่ สิวเสี้ยนนี่มันเกิดมาจากไหนกันนะ

acne-formation-process-different-types-bumps-scars-bumps-blackheads-whiteheads-papule-pustules-scars-68322579.jpg

(รูปจาก Dreamstime)

ในสภาวะปกติ: แถวบนสุดรูปที่ 1

การหลั่งน้ำมันจากรูขุมขน และ การสร้างกับผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขนมีความสมดุล จึงไม่เกิดสิวขึ้น

 

เมื่อเกิดปัญหาอะไรบางอบ่างขึ้น ทำให้สมดุลในการสร้างน้ำมันจากรูขุมขน และ การสร้างกับผลัดเซลล์ผิวในรูขุมขน เสียสมดุลขึ้น ทำให้เซลล์เหล่านี้ไปอุดตันที่ปากรูขุมขน น้ำมันจึงออกไปข้างนอกไม่ได้ เกิดการอุดตันขึ้นมา (แถวบนสุดรูปที่ 2) อุดตันนี้เราเรียกว่าเป็น Comedone

 

Comedone นี้เกิดได้สองแบบ คือ เกิดอยู่ข้างในรูขุมขน เราเรียกเป็นสิวหัวปิด หรือ Whitehead (แถวบนสุดรูปที่ 3)

 

แต่ถ้าอี Comedone นี้มันมากไปจนดันให้หัวรูขุมขนเปิด ไขมันที่สะสมอยู่ก็สัมผัสออกซิเจนในอากาศ เกิดปฏิกิริยาออกซิไดส์ จนให้เห็นเป็นสีดำ เราจะเรียกว่าเป็นสิวหัวเปิด หรือ Blackhead ก็คือสิวเสี้ยนที่เราเห็นนั่นเองค่ะ (แถวกลางรูปที่สาม)

 

การเกิดสิวจริงๆแล้วมีอีกหลายสาเหตุ และมีสิวอักเสบอีกหลายๆแบบ แต่วันนี้ขอแปะไว้ก่อน ยังไม่กล่าวถึงนะคะ

 

ในการดูแลสิวเสี้ยนนั้น ถ้าคนที่มีผิวมัน กลุ่มสาร หรือ ยาที่มีผลเพิ่มการผลัดผิว หรือ ปรับสมดุลการสร้างเซลล์ผิวใหม่ เช่น วิตามินเอต่างๆ พวกนี้จะช่วยได้ค่ะ แต่ปัญหาคือ พวกนี้มันกดการสร้างน้ำมันด้วย และสารที่ผลัดผิวมักจะระคายเคือง คนผิวแห้งจะใช้ไม่ค่อยได้

 

มี่เองก็ผิวแห้งค่ะ ส่วนตัวมี่มีวิธีดูแลสิวเสี้ยนดังนี้ค่ะ

ในการดูแลแบบทุกวัน หรือ Everyday care หลังจากล้างเมคอัพแล้ว ตอนกลางคืน มี่จะเริ่มจาก

  • นวดด้วย Cleansing oil ด้วยแนวคิดที่เชื่อว่า Like dissolves like น้ำมันในคลีนซิ่งออยล์ก็จะไปละลายเอาไขมันอุดตันในรูขุมขนออกมา การที่เรานวด ก็ช่วยให้น้ำมันลงไปในรูขุมขน และเกิดความร้อนขึ้นมา รูขุมขนจึงเปิดออก
  • ล้างหน้าด้วยโฟมล้างหน้า อันนี้ตามปกติเลยค่ะ แต่ถ้าเป็นไปได้ ล้างน้ำอุ่นค่ะ เอาให้อุ่นพอประมาณ อย่าร้อนเกินไป น้ำอุ่นจะช่วยเปิดรูขุมขน และชะเอา Cleansing oil ออกมา
  • เสร็จแล้วก็ตบท้ายด้วย BHA toner ขั้นตอนนี้ถ้าผิวแห้งมากๆ อาจจะใช้ไม่ได้นะคะ บางคนอาจจะรู้สึกแสบร้อนกับ BHA ได้ ก็แนะนำว่าเลี่ยงไป ใช้โทนเนอร์น้ำกุหลาบ หรือ ชาเขียว หรือพวก Witch hazel แทนค่ะ

 

และนอกจากการดูแลทุกวันแล้ว สิ่งที่เป็น Special care จะทำเพียงสัปดาห์ละครั้ง หรือ สองสัปดาห์ครั้ง ค่ะ จะเริ่มจาก

  • นวด Cleansing oil และล้างน้ำอุ่น อันนี้เหมือนข้างบน
  • แปะ Pore pack ในขณะที่หน้ายังเปียกน้ำอุ่นเมื่อกี๊อยู่ ซึ่ง pore pack จะคอยดูดจับหัวสิวเสี้ยนออกมาได้ค่ะ
  • แปะ pore pack เสร็จเราต้องกระชับรูขุมขนนะคะ เพราะเมื่อสิวเสี้ยนถูกดึงออกมา รูขุมขนเราจะกว้างอยู่ ให้รีบกระชับเพื่อปิดรูขุมขน โดยการประคบเย็นค่ะ ง่ายสุดคือ เอาสำลีชุบน้ำเย็น (จากตู้เย็น) แล้ววางไว้แป๊บนึง (ประมาณ 3 – 5 นาทีก็พอค่ะ)
  • เช็ด BHA toner ซักหน่อย พอกรุบกริบ
  • มาสค์หน้าแบบเย็น (เอามาสค์ไปแช่ตู้เย็นซักประมาณ 30 นาที ก่อนแปะ pore pack กำลังดีเลยค่ะ) ความเย็นจะช่วยปิดรูขุมขน และ การมาสค์หน้าจะเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ช่วยให้ผิวเราฟื้นฟูตัวเองได้ไวขึ้นค่ะ

 

จบแล้วค่ะ สำหรับวิธีการดูแลสิวเสี้ยนแบบง่ายๆ แต่อย่างไรก็ดี พวกนี้ต้องใช้เวลานะคะ ไม่มีอะไรที่ใช้ปุ๊บแล้วหายได้ภายในข้ามคืนหรอกค่ะ

 

พบกันใหม่ Blog ถัดไป สวัสดีค่ะ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมน้ำตบยางพารา Apara The first care para activating essence

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่จะมารีวิวน้ำตบตัวหนึ่งที่น่าสนใจให้ชมกันค่ะ

เป็นน้ำตบที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากยางพารา สารสกัดยางพารานี้เป็นผลงานการวิจัยของคนไทย และมีอนุสิทธิบัตรรองรับด้วยค่ะ

กับน้ำตบ The first care para activating essence จากแบรนด์ Apara นั่นเองค่ะ

มาดูหน้าตากันก่อนเลยนะคะ

apara-3

มาในกล่องกระดาษสีขาวเงาเหลือบมุกดูเรียบง่ายแต่หรูหรา

ด้านในเป็นขวดพลาสติกอย่างหนา

apara-4

ลวดลายที่ขวดมีความหมายนะคะ

postcard

เป็นลายที่ทำเลียนแบบตอนกรีดยางค่ะ ดูมี Gimmick เก๋ไก๋สวยงาม

เนื้อน้ำตบเป็นเนื้อน้ำนม

apara

ตัวน้ำตบมีกลิ่นอ่อนๆ น่าจะเป็นกลิ่นของสารสกัดยางพาราที่ผสมๆกับน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ เนื้อค่อนข้างเบา เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ

apara-2

วิธีใช้ของมี่คือ ใช้หยดลงบนฝ่ามือ ส่วนตัวมี่จะใช้ในขนาดประมาณเหรียญ 5 บาท แล้ว Warm เล็กน้อย ก่อนตบเบาๆบนหน้า ทั้งเช้าและเย็น หลังล้างหน้าเรียบร้อยแล้วค่ะ

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

%e0%b8%aa%e0%b8%9c%e0%b8%aa-apara

ในส่วนผสมมี่ได้ทำสีส่วนผสมของสารบำรุงไว้แล้วค่ะ

เริ่มกันที่สีน้ำเงิน พระเอกของเรา คือ Hevea brasiliensis extract คือ สารสกัดจากยางพารานั่นเองค่ะ สารสกัดนี้เป็นสารสกัดที่เกิดจากงานวิจัยอันทรงคุณค่าของ รศ.ดร.รพีพรรณ วิทิตสุวรรณกุล ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (หรือ ม.อ.) เมธีวิจัยอาวุโสของสกว. ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศทางชีววิทยาศาสตร์ หรือ TCELS

สารสกัดนี้มีที่มาจากการที่ทีมนักวิจัยสังเกตว่าชาวสวนที่กรีดยางส่วนใหญ่มีผิวพรรณดี เลยนำมาศึกษา พบว่าในสารสกัดจากน้ำยางพารา ประกอบด้วยสารที่มีประโยชน์ในทางเครื่องสำอางหลายชนิด ที่น่าสนใจคือ

  • สารกลุ่ม Antioxidants ที่ช่วยชะลอวัย
  • สารกลุ่ม Protease inhibitor ซึ่งทำงานในการขัดขวางการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาเห็นเป็นสีผิว
  • น้ำตาลหลายๆชนิด ช่วยดูดน้ำให้ผิวเพิ่มความชุ่มชื้น
  • กรดอินทรีย์จำพวก AHA และ BHA
  • วิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด

(ข้อมูลจาก TCELS)

สารสกัดนี้ยังมีการทดสอบประสิทธิภาพด้าน Whitening ลดการเกิดฝ้าในอาสาสมัครด้วยค่ะ โดยมีกลไกในการเป็น Whitening 2 ขั้นตอน คือ ลดการสร้างเม็ดสีผิว และลดการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาข้างนอก

สารสกัดนี้ได้รับอนุสิทธิบัตรคุ้มครองด้วยค่ะ โดยในอนุสิทธิบัตรจะเคลมเรื่อง Peptide ที่มีผลด้าน Whitening (อนุสิทธิบัตรไทย เลขที่คำขอ 0603001971)

สารสกัดจากทาง TCELS มี Claim ว่า นอกจากช่วยเรื่อง Whitening แล้ว ยังให้ผลดีด้านลดการอักเสบของสิว ควบคุมความมัน และช่วยลดเลือนริ้วรอย

ในส่วนของสารบำรุงอื่นๆจะเป็นกลุ่มสีฟ้า ได้แก่

  • Witch hazel หรือ Hamamelis virginiana extract มีคุณสมบัติควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน
  • คาโมมายล์ หรือ Chamomilla recutita extract มีคุณสมบัติลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • ใบ Artichoke หรือ Cynara scolymus extract น่าจะเป็นวัตถุดิบของฝรั่งเศส ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สารสกัดประกอบด้วยเปปไทด์ที่มีคุณสมบัติควบคุมปริมาณของ EGF receptor บนเซลล์ผิวให้มีจำนวนปกติมีผลเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง ทำให้ชั้นผิวหนาตัวขึ้น ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิว และยับยั้งการทำงานของ MMP-1 ที่เป็นเอนไซม์ย่อยสลายคอลลาเจนในผิว
  • Sodium PCA เป็น Natural moisturizing factor ตามธรรมชาติในผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
  • สารสกัดจากบัวบก หรือ Centella asiatica extract มีคุณสมบัติเด่นด้านการชะลอวัย และริ้วรอย
  • Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 มีคุณสมบัติหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening, ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier function ของผิว
  • ว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติด้านความชุ่มชื้น

สีเขียวคือน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ ซึ่งมีคุณค่ามีราคาแพง ให้คุณสมบัติเด่นด้าน Soothing หรือ ให้ความรู้สึกสบายผิว

ในส่วนของเนื้อหลัก และ สารปรุงแต่งของผลิตภัณฑ์ ก็ทำมาได้ดี และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลยค่ะ

ถึงเวลาให้คะแนน

  1. สารบำรุง หรือ Active ingredients เป็นน้ำตบที่ใช้สารสกัดจากยางพาราเป็นพระเอก พระเอกของเราในวันนี้ก็ให้ผลดีในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็น Whitening, ชุ่มชื้น และชะลอวัยลดริ้วรอย เสริมมาด้วยนักแสดงสมทบอย่างสารสกัดพืชอีก 5 ชนิด ตัวที่มาเป็นพระรองคงนี้ไม่พ้นใบ Artichoke จากฝรั่งเศส ที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านการลดและป้องกันริ้วรอย และสารสกัดอื่นๆที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว ตบท้ายด้วยวิตามินบี 3 และ Sodium PCA ที่เป็น Natural moisturizing factor ตามธรรมชาติในผิว จึงถือว่าทำมาได้อย่างลงตัว รับไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อหลัก หรือ Base ถึงจะดูเป็นน้ำนม แต่ก็ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันที่อาจจะรบกวนและอุดตันผิวอยู่ มีสารที่ให้คุณสมบัติดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และไม่มี Alcohol ไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่ง หรือ Additives ไม่มีทั้งซิลิโคน น้ำหอม และพาราเบน ใช้น้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบเป็นตัวให้กลิ่น นอกจากนี้ก็ไม่มีส่วนผสมของสารอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนนเช่นกัน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ถ้าตัดเรื่องนวัตกรรมและสิทธิบัตรไทยออกไป น้ำตบ Apara เป็นน้ำตบที่ดูภายนอกเหมือนจะมันและหนักผิวเพราะมาในรูปแบบน้ำนม แต่พอใช้จริงกลับซึมไวและ หลังใช้ครั้งแรกก็จะรู้สึกว่าผิวชุ่มชื้น และรู้สึกเบา สบายผิว หลังจากใช้มาเกือบ 2 สัปดาห์จะรู้สึกด้านความสม่ำเสมอของสีผิว และความนุ่มฟูของผิวหน้า มีติแค่เรื่องกลิ่นเล็กน้อย แต่เข้าใจว่า น่าจะเป็นกลิ่นของวัตถุดิบและส่วนผสม โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี และมี่ค่อนข้างชอบ เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์

%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99-apara

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Apara ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์นวัตกรรมดีๆฝีมือคนไทยมาให้มี่ได้ทดลองใช้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/apara.thailand/

และขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Apara การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มกุหลาบ 3 สายพันธ์ุ Celesté Blanc miracle intensive brightening serum

สวัสดีค่ะ

 

วันนี้มี่มีรีวิว Whitening & Moisturizer มาฝากกันค่ะ เป็น Serum กุหลาบสามสายพันธุ์จากแบรนด์ Célesté นั่นเองค่ะ

 

แบรนด์ Célesté เป็นแบรนด์ไทยน้องใหม่ ที่มีคอนเซปท์เน้นสารสกัดจากธรรมชาติ สำหรับผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายโดยเฉพาะ เห็นว่าพัฒนาและวิจัยโดยทันตแพทย์และเภสัชกรด้วยค่ะ

 

มาดูโฉมหน้าน้องเซรัมกันเลยดีกว่าค่ะ เริ่มกันด้วยแพคเกจ เป็น กล่อง Shiny Rose Gold เรียบหรู ดูดีเชียวค่ะ

 

celes-new

 

ด้านในจะมาในขวดปั๊มที่ดูหรูหราสวยงาม

 

celes-2

 

เซรัมจะมาด้วยเนื้อน้ำนม บางเบา สีชาอ่อน มีกลิ่นหอมจางๆของกุหลาบ

 

celes-3

 

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้นผิวดี มีหนึบๆบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อทิ้งไว้ซักพักก็จะซึมไปจนหมด

celes-4

 

วัด pH กันซักหน่อยนะคะ

 

celes-5

 

ตัวนี้จะมีค่า pH อยู่ที่ราวๆ 6 – 7 ค่ะ ก็ดูเป็นกลางดี

 

 

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างค่ะ

 

%e0%b8%aa%e0%b8%9c%e0%b8%aa-celeste

จากส่วนผสมถือว่าค่อนข้างเรียบง่าย แต่ให้ผลด้าน Whitening ได้ค่อนข้างกว้าง และมีส่วนช่วยเรื่องชุ่มชื้น กับเป็น Antioxidant ได้ด้วย

 

มี่ได้ทำสีไว้ให้ 3 สีค่ะ

 

สีม่วง เป็นกุหลาบทั้ง 3 สายพันธุ์ที่แบรนด์เลือกใช้ค่ะ

  1. Rosa centifolia flower water คือ น้ำที่ได้จากขั้นตอนการกลั่นน้ำมันหอมระเหยของกลีบดอกกุหลาบโพรวองซ์ที่ได้จากฝรั่งเศส มีคุณสมบัติเด่นด้านการเพิ่มความชุ่มชื้น และ Soothing effect (ให้ความรู้สึกสบายผิว) ในทาง Aromatherapy กล่าวว่า Rose water จะมีสรรพคุณเหมือน Rose oil เพียงแต่เจือจางกว่า บางแหล่งกล่าวว่าในกุหลาบโพรวองซ์ยังมี Tannin ที่ให้ผลดีต่อรูขุมขน และ Polyphenol ที่เป็น antioxidant ที่ดี ซึ่งมีผลในการชะลอวัยป้องกันริ้วรอยได้
  2. Rosa damascena flower extract คือ สารสกัดจากดอกกุหลาบมอญ ที่ว่ากันว่าเป็นดอกกุหลาบที่หอมหวลชวนดมที่สุดสายพันธ์หนึ่ง สารสกัดจากกุหลาบมอญให้ผลด้านความชุ่มชื้น และ Soothing effect เช่นกัน
  3. Rhododendron ferrugineum leaf cell culture extract เป็นสารที่ได้จากการสกัดเซลล์เพาะเลี้ยงของกุหลาบ Alps ซึ่งเป็นกุหลาบสายพันธุ์พิเศษที่ขึ้นบนยอดเขาแอลป์ที่ความสูงกว่า 3200 เมตร จึงต้องปรับตัวเองให้มีความทนทานต่อสภาพอากาศที่รุนแรง ทั้งจากความแห้ง ความเย็น และ UV ทางผู้ผลิตวัตถุดิบจากสวิตเซอร์แลนด์เคลมไว้ว่ามีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากรังสี UV เพิ่มการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิว และเพิ่ม Barrier function ให้ผิว

 

swiss-alp

ข้อมูลผลการทดสอบจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดให้ผลเพิ่มจำนวนการแบ่งตัวของเซลล์ และช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากรังสี UV ได้ (ข้อมูลจากบริษัท Mibelle)

 

ต่อมาในส่วนของสีฟ้า เป็น กลุ่มสารที่มีส่วนช่วยเรื่อง Whitening จะมี 3 ตัว ซึ่งออกฤทธิ์ครบทั้ง 3 Step ของการสร้างเม็ดสีเลยค่ะ

เริ่มจาก

  • Step 1: Undecyloenoyl phenylalanine มีชื่อทางการค้าว่า Sepiwhite MSH ของบริษัท Seppic มีประโยชน์เป็น Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ซึ่งเป็นตัวแรกเริ่มก่อนสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ให้มีการสร้างเมลานินมากขึ้น มีงานวิจัยที่ทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าประสิทธิภาพในการช่วยให้ผิวขาวจะดีขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide (J Cosmet Dermatol. 2009;8(4):260-6.)
  • Step 2: Ascorbyl glucoside ซึ่งเป็นอนุพันธ์รูปแบบหนึ่งของวิตามินซี มีความเป็นกรดลดลง และมีความคงตัวดีขึ้น ให้ผลยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสี และยังเป็น Antioxidant กับเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • Step 3: Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 ให้ผลยับยั้งการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาข้างนอกจนมองเห็นเป็นสีผิว นอกจากนี้ ยังช่วยลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า และยังเป็น Antioxidant ด้วย (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)

 

 

ส่วนสีเขียว Isomalt ถึงแม้จะติดมากับวัตถุดิบสารสกัดเซลล์เพาะเลี้ยงกุหลาบ แต่ก็ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นได้ ร่วมกับ Hyaluron ที่ให้ผลด้านความชุ่มชื้นเช่นกัน

 

โดยรวมเซรั่มจึงมีผลดีด้าน Whitening, Antioxidant และชุ่มชื้น รวมไปถึงการให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) ลดการอักเสบ และให้ผลชะลอวัยลดริ้วรอย

 

ส่วนสารองค์ประกอบอื่นๆก็ไม่มีสารตัวไหนเลยที่ไม่เป็นมิตรกับผิว และก็ไม่มีส่วนผสมของ Silicones, Alcohol และ Parabens

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ เนื่องจากส่วนผสมไม่ได้เยอะมากมี่ขอแบ่งเกณฑ์เป็น 2 ข้อนะคะ

  1. ส่วนผสม: ถือว่าทำมาได้ดีในการเป็น Whitening โดยการเลือกใช้สารที่ออกฤทธิ์ด้านความขาวครบทั้ง 3 Step และเสริมมาด้วยกลุ่มสารที่เป็น Antioxidant กับสารเพิ่มความชุ่มชื้น ไม่มีส่วนผสมของ Silicones, Alcohol และ Parabens จึงขอให้คะแนนเต็ม 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน: เซรั่มมีเนื้อที่ค่อนข้างบางเบา ถึงแม้จะดูหนึบไปเล็กน้อย แต่ถ้าทิ้งไว้ซักพักก็ซึมเข้าผิวจนหมด ให้ความชุ่มชื้นได้ดี มี่ลองใช้มาเกือบ 2 สัปดาห์ ในช่วง 3 – 5 วันแรกจะรู้สึกว่าผิวเราชุ่มชื้นขึ้น พวกรอยแดงพวกนี้ก็จะลดลง พอครบสัปดาห์ ก็เริ่มลากรองพื้นได้เรียบเนียนขึ้น และพอครบ 2 สัปดาห์พวกจุดด่างดำก็จะดูจางลงค่ะ ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบเซรั่มตัวนี้อยู่เหมือนกัน แล้วยิ่งเป็นคนชอบกุหลาบอยู่แล้ว ก็เลยชอบเซรัมตัวนี้ด้วย ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

 

%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99

 

จบแล้วค่า ขอบคุณที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่

FB : http://www.facebook.com/CelesteCosmetic.th

Website : http://www.celestecosmetic.com

 

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Celesté การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและสุคนธบำบัด (Aromatherapy) การรีวิวอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมออยล์คุณภาพเลิศจากเยอรมัน Frei öl Facial oil

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวออยล์คุณภาพเลิศจากเยอรมันมาฝากกันค่ะ

กับ Frei öl (อ่านว่าฟราย) Facial oil และ Skincare oil ค่ะ

 

frei-ol

 

ว่ากันว่า แบรนด์ Frei öl นี้เป็นแบรนด์อันดับหนึ่งในร้านขายยาเยอรมันเลยทีเดียวค่ะ

 

มาเริ่มกันที่ Facial oil ค่ะ

 

ตัว Facial oil จะเป็นรุ่นกล่องเล็กแถบสีคาดม่วงนะคะ ข้างในจะเป็นขวดพลาสติกอย่างดีมีหลอดหยดค่ะ

 

frei-face

 

ตัว Oil ค่อนข้างเหลว แผ่กระจายบนผิวได้ง่าย มีกลิ่นหอมจางๆ

 

oil-tex

 

สัมผัสบางเบามาก เรียกได้ว่าตัวนี้เป็น Oil ที่บางเบาที่สุดตั้งแต่มี่เคยใช้ออยล์มาเลยค่ะ

 

oil-tex-2

 

การดูดซึม ถ้าเราทาแล้วตบๆเบาๆ จะทำให้ซึมไวขึ้นค่ะ ถ้าชอบความโกลว ก็สามารถจะใช้กลางวันได้ด้วย เพราะไม่เหนอะหนะเลย

 

ทางแบรนด์แนะนำวิธีใช้ไว้หลายแบบเลยค่ะ

แบบแรก: ใช้ 5 – 8 หยด ลงบนผิวหน้าหลังล้างทำความสะอาดหน้า จะช่วยเก็บกักน้ำให้อยู่ในผิวได้ดี หรือจะใช้เป็น Serum ก็ได้ค่ะ

 

dir-1

แบบสอง: ใช้เป็น Intensive mask โดยใช้ oil 10 – 15 หยด โปะลงไปบริเวณใบหน้า คอ เนินอก ไหล่ นวดเบาๆ ทิ้งไว้ 10 นาที แล้วใช้ผ้านุ่มๆซับออก

 

dir-2

แบบสาม: ผสมกับผลิตภัณฑ์ที่เราใช้อยู่ก่อนทาผิว

 

dir-3

 

ทั้งสามแบบ มี่ชอบแบบที่สองมากที่สุดค่ะ

 

ดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

 

%e0%b8%aa%e0%b8%9c%e0%b8%aa

ส่วนผสมจะเห็นว่าเบสหลักเป็นเบสน้ำมันกลุ่ม Triglycerids และ Fatty ester ซึ่งสารในกลุ่มนี้จะมีความบางเบาในตัวเองอยู่แล้วนะคะ

 

สารออกฤทธิ์หลักจะเป็นสูตรผสมของ Ethylhexyl Palmitate, Sorbitan Oleate, Sorbitan Laurate และ Myristyl Malate Phosphonic Acid ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า “Revidrate สารนี้ทางผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ Filaggrinase และ Capase-14 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำหน้าที่ตัดโปรตีน Filaggrin ให้กลายเป็นกรดอะมิโนที่เป็นสารดูดจับน้ำตามธรรมชาติของผิว หรือ Natural moisturizing factor หรือ NMF ซึ่งถ้าผิวเรามี NMF มากก็จะดูดจับน้ำไว้ได้ดี

 

สารบำรุงอื่นๆก็มีอยู่หลายตัว เช่น

  • Bisabolol ซึ่งพบในคาโมมายล์ ให้ผลเกี่ยวกับการลดการอักเสบและให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)
  • Aloe barbadensis extract สารสกัดจากว่านหางจระเข้ ให้ผลด้านลดการอักเสบระคายเคือง ชุ่มชื้น และ Soothing effect เช่นกัน
  • น้ำมันจากพืชอย่าง Jojoba และ ข้าวโอ๊ต

โดยว่ากันว่าน้ำมันจากข้าวโอ๊ต มีคุณค่าและราคาค่อนข้างสูง ประกอบด้วยวิตามินอี Phospholipids และ Phytosterol ที่ให้ผลเป็น Antioxidant และ ตัวลดการอักเสบที่ดี และยังมีองค์ประกอบของ Linoleic acid อยู่สูงถึง 30 – 47% (ข้อมูลจาก The Herbarie) ให้ผลในแง่ของการเสริมสร้าง Barrier ผิว

 

โดยรวมจึงเห็นได้ว่า Oil ตัวนี้ไม่ได้เหมือน Oil จากพืชทั่วๆไป เพียงแต่เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เสริมสร้างความแข็งแรงของผิว ที่มาในเบสที่เป็น Oil ก็ถือว่าเป็นนวัตกรรมที่เราไม่ค่อยได้เห็นกันเท่าไหร่

 

ทางแบรนด์ Claim ว่าไม่ใส่ส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรดังต่อไปนี้ค่ะ

claim

ในแง่ของส่วนผสม Ethylhexyl palmitate ที่เป็น Fatty ester ที่ให้สัมผัสบางเบานั้น ทาง Acne.org ได้จัดความเสี่ยงในการอุดตันรูขุมขนไว้ที่ 4 คะแนน แต่ถ้าเราดูจากส่วนผสมแล้ว จะมาในลำดับกลางๆ โดยการอุดตันนั้นขึ้นกับความเข้มข้นที่ใช้ด้วย และขึ้นกับการตอบสนองแต่ละคนด้วยค่ะ ส่วนตัวมี่ใช้แล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรนะคะ

 

ให้คะแนนดีกว่าค่ะ เนื่องจากวันนี้ส่วนผสมไม่เยอะมากมี่เลยขอแบ่งเกณฑ์เป็น 2 ข้อนะคะ

  1. ส่วนผสม: ด้านส่วนผสมเราจะเห็นว่าค่อนข้างเน้นไปที่ Soothing effect ลดการระคายเคือง และเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวผ่านกลไกในการช่วยให้ผิวสร้าง NMF ออกมามากขึ้น ส่วนผสมที่ใช้มี Ethylhexyl palmitate ที่อาจจะอุดตันรูขุมขนได้ แต่มีอยู่ในลำดับกลางๆ และส่วนตัวมี่ไม่ได้เกิดปัญหาอุดตันอะไรจากเซรัมตัวนี้นะคะ จุดนี้ขอให้ไป 4 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน: อย่างที่บอกไปว่าเซรัมตัวนี้ค่อนข้างบางเบามาก อาจจะเรียกได้ว่าเป็นออยล์ที่บางเบาสุดตั้งแต่มี่เคยสัมผัสกับออยล์มาเลยก็ว่าได้ค่ะ ในด้านความชุ่มชื้น สำหรับมี่ที่เป็นคนผิวผสมค่อนข้างแห้ง ตัวนี้ถ้าลงทับ Skincare ตามปกติ ที่บริเวณแก้ม จะรู้สึกว่าผิวนุ่ม และไม่แห้ง ไม่หยาบกร้านค่ะ ที่สำคัญคือกลิ่นจางมาก ไม่ได้รบกวนอะไรกับชีวิตเลย โดยรวมถือว่าค่อนข้างชอบ ให้ไป 5 ฟลาสก์

 

%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99

 

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Frei öl ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Frei öl เลยนะคะ

เฟสบุ๊ค Frei Thailand

http://www.facebook.com/Frei-Thailand-468875596641463/

 

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Frei öl การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Beauty Talks] Nutricosmetics Ceramides เพื่อผิวพรรณ

เรื่องมีอยู่ว่า มี่กำลังเตรียมงานเกี่ยวกับ Moisturizer แล้วไปเจอผลิตภัณฑ์เสริมอาหารยี่ห้อหนึ่ง (ขอเรียกย่อๆว่าอาหารเสริมนะคะ) ที่ Claim เรื่อง Ceramides จากทางเกาหลี ก็เลยสนใจ

ด้วยความที่เราบ้า Ceramide อยู่แล้วเป็นทุนเดิม ก็เลยสนใจ เลยไปลองค้นข้อมูลเพิ่มเติม ก็เจอว่าในเวบ iHerb ก็มีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารหลายยี่ห้อเหมือนกันที่ใช้ Ceramide เป็นส่วนประกอบ โดยมากนางก็เคลมเกี่ยวกับเรื่องผิวๆ ทั้งนั้นเลยค่ะ
ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า Ceramide ก็กินได้ 
เลยไปลองค้นข้อมูลพวกงานวิจัยเพิ่มเติมในฐานข้อมูล เออ มีจริงด้วย มีการศึกษาที่เอา Ceramide ในรูปแบบ Glucosyl ceramide ที่ได้จากพืชให้หนูกิน แล้วหนูมี Barrier ผิวที่ดีขึ้น
 
อย่างเช่น
  • การศึกษาของ Tsuji และคณะ เมื่อปี 2006 พบว่าการที่ให้หนูกิน Glucosyl ceramide ไป สองอาทิตย์ พบว่าหนูมีอัตราการระเหยของน้ำออกจากผิว หรือ TEWL ลดลง และผิวหนูมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น (ถ้าน้ำในผิวมาก ผิวจะยืดหยุ่นขึ้นด้วยค่ะ เหมือนลูกโป่ง ถ้าใส่น้ำจนเป่ง มันก็จะเด้งๆ) นอกจากนี่้หนูที่กิน Ceramide จะมีการฟื้นฟู Barrier ที่เสียไปได้ไวขึ้นด้วย (Tsuji et al., J Dermatol Sci. 2006 Nov;44(2):101-7.)
  • การศึกษาของ Takatori และคณะ เมื่อปี 2013 พบว่า หนูที่กิน Glucosyl ceramide มีการเปลี่ยนแปลงการสังเคราะห์ยีนและเอนไซม์หลายๆชนิดในผิว มีผลดีในการรักษาสมดุลของผิว และฟื้นฟูความเสียหายของผิว (Takatori et al., Biosci Biotechnol Biochem. 2013;77(9):1882-7.)
ส่วนการศึกษาในอาสาสมัครนั้นทำโดยแบรนด์อาหารเสริมค่ะ มี่เลยขอไม่เอามาพูดถึงนะคะ
แต่เท่าที่ดูแล้ว ก็ถือว่ามีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว ติดตรง ตัวที่มีการศึกษาในอาสาสมัครนั้นราคาแอบสูงอยู่เหมือนกัน
สำหรับวันนี้ก็มีเท่านี้ค่ะ พบกันใหม่โอกาสถัดไปนะคะ สวัสดีค่ะ
Image

Beauty Talks- Skincare และการดูแลผิวสำหรับฤดูหนาว

หลายๆที่อากาศก็เริ่มเย็นกันแล้ว
พออากาศเริ่มเย็น ผิวก็เริ่มแห้งค่ะ อย่างช่วงนี้ผิวมี่เริ่มจะลอก แต่งหน้าเริ่มไม่ติดแล้วค่ะ
วันนี้เลยมาเมาท์มอยสกินแคร์หน้าหนาวกันค่ะ

 
เอาไปประยุกต์ใช้เวลาเดินทางไปประเทศเขตหนาวก็ได้นะคะ
 
(เป็น Remake ของบทความที่เคยทำไว้ตั้งแต่ปี 56 สำนวนอาจจะไม่สวยเหมือนตอนนี้นะคะ)
 
skincare-%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%a7
เมื่อเข้าสู่ฤดูหนาว ความชื้นในอากาศจะลดลง ทำให้น้ำระเหยออกจากผิวได้มากขึ้น นอกจากนี้หลายๆการสำรวจก็พบว่าผิวเรานี่สามารถเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลได้ค่ะ โดยในหน้าหนาวการสร้างพวกไขมันในผิวก็จะลดลงด้วย เป็นสาเหตุว่า ทำไมผิวถึงแห้งได้ง่ายกว่าฤดูอื่นๆ
 
หลักการดูแลผิวพรรณในหน้าหนาว ทำได้ง่ายๆ 8 ข้อ ดังนี้นะคะ
1. เลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่เหมาะสมกับฤดูหนาว คือ ให้เลือกผลิตภัณฑ์ที่มีลักษณะเป็นครีมกลุ่มน้ำมัน พวกนี้จะมันมากกว่าปกติ เช่นการใช้ครีมที่มีส่วนผสมของ Petrolatum ซึ่งจะเคลือบคลุมผิวได้มากกว่า ถ้าใครผิวมัน ครีมเบสน้ำก็น่าจะพอ แต่คนผิวแห้งลำพังครีมเบสออยล์อาจจะยังไม่พอ แนะนำให้ใช้พวก Ointment หรือ วาสลีนโปะทับตรงจุดที่แห้งแตกลอกอีกชั้น ก็จะสามารถกันน้ำระเหยออกจากผิวได้มากขึ้น
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวแบบครีม จะเหมาะสมกับฤดูหนาว มากกว่านะคะ เพราะมีส่วนผสมของน้ำมันและไขมันมากกว่าโลชัน
สำหรับตัวครีมในทางเครื่องสำอาง มีด้วยกันหลายชนิดนะคะ โดยเขาจะแบ่งตามปริมาณขององค์ประกอบในนั้นค่ะ กล่าวถึงครีมที่ประกอบด้วยน้ำกับน้ำมันก่อนนะคะ ถ้ามี น้ำมาก ก็จะเป็นชนิดครีมเบสน้ำ ศัพท์เทคนิคเรียกว่า o/w ซึ่งจะคลุมผิวได้น้อย ไม่เหนอะหนะ จะเหมาะกับการใช้ทั่วไปค่ะ พวกนี้ทาแล้วเราจะรู้สึกเย็น อีกชนิด จะมีออยล์มากกว่า เป็นครีมเบสออยล์ หรือ w/o ตัวจะคลุมผิวได้มาก เพราะมีน้ำมันเป็นองค์ประกอบสูง จึงเหนอะหนะกว่า นิยมทาก่อนนอนค่ะ ครีมพวกนี้เวลาทาเราจะรู้สึกอุ่นค่ะ
สำหรับครีมที่เป็นเบสซิลิโคนนั้น คงต้องดูกันว่า เป็น ชนิด น้ำในซิลิโคน หรือ ซิลิโคนในน้ำ มี่คิดว่าเบสพวกนี้ไม่ค่อยเจอในสกินแคร์ค่ะ ส่วนมากเป็นเบสกันแดด และเบสเมคอัพมากกว่า
ฤดูหนาว ถ้าใครผิวแห้ง ควรเลือก w/o เป็นอันดับต้นๆนะคะ สังเกตง่ายๆคือ ทาแล้วอุ่น
 
2. สำหรับผู้ที่มีผิวแห้งควรเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ผสม Alcohol เพราะว่า Alcohol จะไปดึงน้ำออกจากผิว ทำให้ผิวแห้งได้ง่ายกว่าเดิม และควรเลี่ยง Astringent (สารที่กระชับรูขุมขน) ที่พบบ่อยๆคือ Witch hazel ค่ะ พวกนี้จะไปตกตะกอนโปรตีนที่ผิวชั้นนอก ทำให้รูขุมขนตึงและกระชับซึ่งมีประโยชน์ก็จริง แต่ก็ทำให้การหลั่งน้ำมันออกจากผิวน้อยลงด้วย
 
3. เลี่ยงมาสค์หน้าชนิดลอกออก และ มาสค์หน้าแบบโคลน เพราะในมาสค์หน้าชนิดลอก มักจะมี Alcohol อยู่ เพื่อช่วยละลายสารก่อฟิล์ม ส่วนมาสค์หน้าแบบโคลน จะไปดูดซับน้ำมันออกมาจากผิวได้ค่ะ จะทำให้ผิวแห้งได้ง่ายขึ้น
4. อย่าลืมทา Hand cream และ Foot cream โดยเฉพาะตอนก่อนนอน บำรุงมือและเล็บ เพราะผิวหนังบริเวณมือและเล็บมีต่อมน้ำมันน้อย จึงแห้งได้ง่ายกว่าส่วนอื่น
 
5. ทาลิปบาล์ม ป้องกันปากแห้งแตก
 
6. ดื่มน้ำเยอะๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะจะได้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวหนังด้วย (You are what you eat จริงๆค่ะ) กินน้ำก็ทำให้ผิวชุ่มชื้นได้
 
7. ห้ามอาบน้ำร้อน เพราะน้ำร้อนจะไปละลายเอาไขผิวหนังออกไป ทำให้ผิวยิ่งแห้ง ถ้าหนาวมาก ให้อาบน้ำอุ่นที่อุณหภุมิไม่เกิน 37 องศาฯ นะคะ
 
8. อย่าลืมใช้กันแดด เพราะแดดหน้าหนาว แม้จะเบากว่าหน้าร้อน แต่ก็ยังอุดมไปด้วยรังสี UV ที่เป็นอันตรายกับผิวค่ะ
8 ข้อ ทำได้ง่ายๆ
ถ้าไม่ไหวจริงๆ การทานอาหารเสริมกลุ่มน้ำมัน อย่าง Evening primrose oil หรือ Borage oil ก็ให้ผลดีนะคะ แต่ส่วนตัวมี่ไม่ค่อยอยากใช้ เพราะทานกลุ่มนี้ทีไร น้ำหนักขึ้นตลอดเลยค่ะ
สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ
Image

[Beaty Talks] Nutricosmetics อาหารเสริมเพื่อความงาม Lycopene คือ กันแดดแบบกินจริงหรือ ??

กระแสกันแดดแบบกินมาแรงจริงอะไรจริงนะคะ และหลายๆรุ่น หลายๆยี่ห้อ ก็มีส่วนผสมของสารในกลุ่ม Carotenoids โดยตัวที่ดังที่สุดน่าจะเป็น Lycopene ค่ะ

miyeon-talks

 

Lycopene คือ อะไร??

Lycopene เป็นสารในกลุ่ม Carotenoids ที่มีสีแดง พบมากในมะเขือเทศ และพบได้ในพืชผักผลไม้บางชนิด เช่น มะละกอ ฟักข้าว และแตงโม

 

Lycopene มีใช้ทั้งในเครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพราะ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี ให้ผลชะลอวัย เป็น Anti-aging ได้ดี

 

วันนี้ขอเล่าถึงคุณสมบัติของ Lycopene ในด้าน Nutricosmetics กับ อาหารเสริมเพื่อความงามกันค่ะ

 

ถ้าเราดูเฉพาะ อาหารเสริมที่มี Lycopene เดี่ยวๆ หรือ Claim Lycopene เป็นหลักนั้นตอนนี้มีจำหน่ายในรูปแบบแคปซูล อยู่หลายยี่ห้อ ราคาก็หลากหลายไป มีตั้งแต่ เม็ดละ 4 บาท จนไปถึงแพงกว่าเม็ดละ 20 บาทเลยก็มี

 

โพรดัก.jpg

(รูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มี Lycopene จากเวบไซต์ iHerb)

 

ว่าแต่มันจะคุ้มค่าแก่การลงทุนไหม วันนี้มี่จะมาเล่าถึงสรรพคุณของ Lycopene ให้ฟังกันค่ะ แต่ต้องออกตัวก่อนว่า ส่วนตัวมี่ยังไม่เคยลองกินนะคะ แต่มีความสนใจที่จะกิน และบทความวันนี้ไม่ได้รับ Sponsor ใดๆค่ะ จึงขอสงวนสิทธิห้ามนำไปเผยแพร่เพื่อประโยชน์ในทางการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต

 

Lycopene นั้นเป็นสารที่มีความไม่อิ่มตัวอยู่สูงมาก และมีสูตรโครงสร้างดังรูปค่ะ

 

%e0%b8%aa%e0%b8%84%e0%b8%aa-lycopene

(รูปจาก en.wikipedia.org)

 

ด้วยโครงสร้างแบบนี้ ทำให้การใช้ Lycopene ในทางเครื่องสำอางมีข้อจำกัดอยู่เยอะมาก โดยเฉพาะในด้านความคงตัว สารไม่อิ่มตัวแบบนี้พร้อมจะถูกทำลายโดยการ Oxidation จากออกซิเจนในอากาศ และว่ากันว่าการดูดซึมของ Lycopene ผ่านผิวนั้นเกิดได้ยากมาก ต้องอาศัยระบบนำส่งชนิดพิเศษมาช่วย

 

มี่ลองไปค้นเกี่ยวกับข้อมูลของ Lycopene ในฐาน Pubmed เราจะเจอข้อมูลอยู่ค่อนข้างเยอะเลยค่ะ และแต่ละอันก็มีความน่าสนใจ และมีความตีกันไปตีกันมา สุดท้ายคงขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละคนนะคะ

 

ทาน Lycopene เข้าไปแล้ว มันจะไปถึงผิวหรือ ??

 

การทดสอบของ Blume-Peytavi และคณะ ในอาสาสมัคร พบว่าอาสาสมัครที่ทาน Lycopene มีระดับของ Lycopene และ Beta-carotene ในผิวเพิ่มขึ้น (Eur J Pharm Biopharm. 2009;73(1):187-94.)

 

การทดสอบทาง Pharmacokinetics ของ Ross และคณะ ในอาสาสมัคร พบว่า อาสาสมัครที่ทาน Lycopene 10 mg จะมีการสะสมตัวของ Lycopene ได้ยาวนานถึง 42 วัน (Am J Clin Nutr. 2011;93(6):1263-73.)

 

Lycopene มีประโยชน์ด้านความงามอย่างไร ??

 

ถ้านอกจากด้านสุขภาพที่เราพอจะทราบกันแล้วแล้ว Lycopene ยังมีประโยชน์ในด้านการบำรุงผิวพรรณอยู่ด้วย เช่น

  1. งานวิจัยใหม่ล่าสุดของ Grether-Beck S. และคณะ ศึกษาพบว่า Lycopene ในรูปแบบ lycopene rich tomato nutrient complex (TNC) (น่าจะเป็นอาหารเสริมจากมะเขือเทศชนิดหนึ่ง) ให้ผลปกป้องผิวหนังอาสาสมัครจากรังสี UV ทั้ง UVA UVB โดยมีผลลดการสร้าง MMP-1 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนในผิวได้ (Grether-Beck et al., Br J Dermatol. 2016 Sep 23. doi: 10.1111/bjd.15080.)

***แต่การวิจัยของ Sokoloski และคณะเมื่อปีที่แล้วบอกว่า Lycopene ไม่ว่าจะเป็นชนิดแคปซูล หรือ Tomato paste ไม่สามารถปกป้องผิวอาสาสมัครจากรังสี UVB  (Arch Dermatol Res. 2015 ;307(6):545-9.)

  1. การเสริม Lycopene ในหนูทดลอง มีผลลดการอักเสบ และบรรเทาอาการของโรคผิวหนังอักเสบแบบ Atopic ได้ (Hiragun et al. J Dermatol. 2016 Oct;43(10):1188-1192.) ในการทดลองนี้ การให้หนูทดลองทาน Beta-carotene ก็ให้ผลเช่นเดียวกัน
  2. Lycopene ในรูปแบบเครื่องดื่มสูตรผสมที่ประกอบด้วย Soy isoflavone, vitamin C, vitamin E และ Fish oil มีผลในการลดริ้วรอยของอาสาสมัครหญิงวัยทอง (Jenkins et al. Int J Cosmet Sci. 2014;36(1):22-31.)

 

สรุปก็คือว่า Lycopene นั้น สะสมตัวในผิวหนัง มีผลในแง่ของการปกป้องผิวหนังจากรังสี UV ลดการอักเสบ และถ้าทานร่วมกับสารอาหารอื่นๆ ก็จะให้ผลในด้านการลดริ้วรอย (อาจจะเกิดจากผลของสารอื่นหรือเปล่าก็ไม่รู้) แต่ถ้าจะให้แค่กินแต่ Lycopene แล้วจะหวังว่ากันแดดได้นี่มี่คิดว่าคงยังไม่ค่อยเหมาะมากนัก เพราะเราก็ยังคงต้องการกันแดดแบบทาอยู่ดี ต่อให้ Lycopene นั้นสามารถหักล้างผลเสียจากรังสีส่วนเกินที่เล็ดรอดเข้ามาในผิวได้ ลดการเกิดการไม่พึงประสงค์จาก UV ได้ แต่คงไม่สามารถทนทานต่อแสงแดดเผลาผลาญแบบบ้านเราไหว

 

สุดท้ายนี้ มี่ก็ยังคิดว่า การทาน Lycopene นั้นมีประโยชน์ต่อทั้งด้านร่างกายและผิวพรรณอยู่ แต่เนื่องจากสารนี้สะสมในร่างกายได้ ทานแล้วพักบ้างก็น่าจะดี และใครที่มีโรคประจำตัวหรือใช้ยาอะไรเป็นประจำอยู่ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเริ่มทานอะไรใหม่ๆนะคะ

 

และการทาน Lycopene จากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็น ซอสมะเขือเทศ มะเขือเทศสด ย่าง ทอด ผัด ฯลฯ หรือ น้ำมะเขือเทศ ก็ย่อมให้ผลเช่นเดียวกัน

 

มะเขือเทศดิบๆนั้น ก็แอบมีคุณค่าทางโภชนาการมากโขอยู่ แถมแคลอรี่ก็ต่ำมาก

 

%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%a1%e0%b8%b9%e0%b8%a5%e0%b9%82%e0%b8%a0%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b8%b2%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3

(รูปจาก en.wikipedia.org)

 

แต่ถ้าใครทานมะเขือเทศสด หรือน้ำมะเขือเทศไม่ไหว เพราะกลิ่นอันทรงพลัง กับรสชาติ อันหลอกหลอน จะให้ทานซอสมะเขือเทศบ่อยๆก็ไม่เข้าทีเกรงน้ำหนักจะขึ้น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งค่ะ

 

สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

 

เอกสารอ้างอิง:

ดังที่ได้มีการอ้างอิงในเนื้อความ

 

Diclaimer: บทความนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนหรือมีการ Sponsor ใดๆ ผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแบรนด์อาหารเสริม บทความเขียนขึ้นจากหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง และมีความเห็นส่วนตัว สงวนลิขสิทธิ์ห้ามนำไปใช้เพื่อประโยชน์ทางการค้า