Image

อัพเดทตลาดเกาหลีกับบ้านมียอน ช่วงต้นเดือนพค 60 >> คอลเลคชั่น Bono Bono จาก A’pieu กับ Simpsons จาก The face shop

นั่งทำงานมากไปก็เลยเบื่อ เลยไปส่องเวบเกาหลีให้หายเบื่อ บังเอิญไปเจอคอลเลคชั่นใหม่ๆจากแบรนด์ A’pieu กับ The face shop เลยเอามาอวดยั่วเงินในกระเป๋ากันค่ะ

สงครามคาแรคเตอร์ยังไม่จบค่ะ หลังจากแผ่วมาซักพัก ทาง The face shop ก็ออกคอลเลคชั่น Trolls ออกมาต้าน แบรนด์อื่นๆก็เลยเริ่มปล่อยของกันมาบ้าง

เริ่มประเดิมด้วยคอลเลคชั่น Bono Bono ของ A’pieu ค่ะ

bono 2.jpg

(Image from A’pieu)

Bono Bono นี่เป็นการ์ตูนของทางญี่ปุ่นนะคะ ในบ้านเราน่าจะยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ ส่วนตัวมี่ว่าน่ารักดีค่ะ

(รายละเอียดการ์ตูน >>wikipedia)

ในหน้าเวบไซต์ของ A’pieu ก็จะมีคลิปน่ารักๆ เอา product แต่ละตัวมาอวดกัน

คอลเลคชั่นนี้ก็จะมี product อยู่ประมาณนี้ค่ะ

bono 3.jpg

(Image from A’pieu)

เปิดมาด้วยบลัชเนื้อครีมลายมุ้งมิ้ง

20170428175035_avufette

(Image from A’pieu)

Cream Tint ในหลอดดีไซน์รูปตัวเอกจากซีรี่ส์ Bono Bono

20170428175034_eickiplg

(Image from A’pieu)

Lip pencil ดีไซน์น่ารักๆ

20170428175034_amlkcqzw

(Image from A’pieu)

และปิดคอลเลคชั่นด้วย Eyeshadow palette ค่ะ

20170428175034_okkzcrhy

(Image from A’pieu)

ตัว Palette มีสีโทนน้ำตาล-ส้ม ที่ใช้เป็น Everyday look ได้เลยค่ะ

ราคานั้นก็เปิดมาไม่ได้โหดมาก และแน่นอนว่า ร้านพรีร้านหิ้วก็จะต้องฟันกำไรกันจนหัวหลุด

ราคา 1ราคา 2ราคา 3

ราคาแต่ละตัวตามรูปเลยค่า 🙂

  • Cream Tint 6000 วอน (ประมาณ 180 บาท)
  • Lip pencil 5800 วอน (ประมาณ 174 บาท)
  • Cream blush 4500 วอน (ประมาณ 135 บาท)
  • อายชาโดว์พาเลตต์ 18000 วอน (ประมาณ 540 บาท) << อันนี้แอบราคาแรง

 

ส่วนทางแบรนด์ Thefaceshop ก็จัดคอลเลคชั่น Simpsons มาได้ไม่น้อยหน้ากันเลยค่ะ

simpson

(Image from The face shop)

คอลเลคชั่นนี้มี่เห็นบนไอจีของแบรนด์ได้ซักพักแล้วค่ะ

(Image from The face shop)

คอลเลคชั่นนี้ส่วนมากดูเหมือนจะเน้นไปที่กันแดดค่ะ

มีมาสค์หน้าลายตัวละครของ The simpsons ด้วย

mask 1mask 2mask 3

(Image from The face shop)

ตอนเข้าไปในเวบของแบรนด์ก็เจอคูชั่นคอลเลคชั่นของ Kung Fu panda ด้วยค่ะ ไม่รู้มีมานานหรือยัง

ะดห

(Image from The face shop)

สำหรับวันนี้ก็มายั่วน้ำลายแต่เพียงเท่านี้ค่ะ  พบกันใหม่โอกาสถัดไปนะคะ สวัสดีค่ะ

Disclaimers: Images are from A’pieu and TheFaceShop Korea official website.

Image

[Beauty talks] All about mask ภาค 1: มาสค์หน้าไปทำไม บ่อยแค่ไหนดี และเลือกแบบไหนดี

สวัสดีค่ะ

 

วันนี้มาแชร์สาระเรื่อง Mask ค่ะ ตอนแรกนี้จะว่าด้วยประโยชน์ของ Mask และ Mask ประเภทแรก คือ Mask sheet ก่อนนะคะ

mask 1
ถ้าพูดถึงมาสค์ในท้องตลาดมีด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น มาสค์โคลน มาสค์แบบล้างออก มาสค์แบบลอกออก มาสค์ชีท และมาสค์แบบที่ทาทิ้งไว้ข้ามคืน หรือ Overnight mask หรือ Sleeping mask ค่ะ

เดี๋ยวจะค่อยๆคุยกันทีละแบบนะคะ วันนี้ขอเริ่มด้วยมาสค์ชีทก่อนค่ะ

การ Mask หน้าด้วย Mask sheet เป็นการสร้างสิ่งที่เรียกว่า Occlusive effect ให้กับผิว คำนี้ไม่อยากแปลเป็นไทยเท่าไหร่ค่ะ แปลแล้วไม่ได้สื่อความหมายอะไรเท่าไหร่

ในการเอาแผ่นมาสค์มาแปะลงบนผิว ผลของ Occlusive effect จะทำให้ระบบและกลไกในผิวหนังเปลี่ยนไป อย่างแรกเลยคือ ความชื้นในผิวหนังจะเพิ่มขึ้น เพราะน้ำจากแผ่นมาสค์เข้ามาในผิว และน้ำในผิวไม่สามารถระเหยออกไปข้างนอกได้ เมื่อความชื่้นเพิ่มขึ้น ผิวจะมีการทำงานบางอย่างดีขึ้น เช่น การสมานแผลต่างๆในผิวดีขึ้น การสร้างโปรตีนและไขมันในผิวบางชนิดทำได้มากขึ้น และการผลัดเซลล์ผิวเกิดได้สมบูรณ์ขึ้น

 

ถึงแม้การแปะแผ่นมาสค์จะไม่ได้สร้างภาวะ Occlusive ที่สมบูรณ์เหมือนการทับด้วย Silicone sheet หรือ Plastic แต่ก็สามารถทำให้เกิดภาวะกึ่งๆ Occlusive ได้อยู่ค่ะ มี่เองก็ไม่แน่ใจข้อมูลเหมือนกันนะคะ ว่าแผ่นมาสค์จะทำให้เกิดภาวะ Occlusive ได้แค่ไหน และที่แน่ๆ วัสดุที่ใช้ทำแผ่นมาสค์ มีผลกับความสามารถในการ Occlusive แน่นอนค่ะ คหสต. มี่คิดว่า Mask sheet แบบที่เป็นแผ่นเจล หรือ Hydrogel patch น่าจะให้ผลในการ Occlusive ที่สูงกว่า และมีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีกว่าค่ะ


ความชื้นที่เพิ่มขึ้นในผิวยังมีผลต่อการดูดซึมสารบางชนิดเข้าสู่ผิวด้วย เพราะสารบางอย่างสามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นค่ะ

มาดูงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบ้างนะคะ

Maibach และ Zhai ได้สรุปไว้ว่าผลของการ Occlusive ที่ผิวหนัง เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่างๆต่อผิวหนังมากมาย และบางอย่างก็สลับซับซ้อน โดยรวมๆสรุปได้ว่า ภาวะ Occlusive มีผลต่อความชุ่มชื้นในผิว มีผลต่อการซึมผ่านของสารต่างๆเข้าสู่ผิว การฟื้นฟูและสังเคราะห์ไขมัน DNA การสมานแผลต่างๆในผิว รวมไปถึงมีผลต่อเชื้อจุลินทรีย์ดีๆ ที่เป็นเชื้อเจ้าบ้านด้วยค่ะ (Maibach and Zhai, Skin Pharmacol Appl Skin Physiol 2001;14:1-10)

การ Occlusive ทำได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นการทาผลิตภัณฑ์ที่มีไขมัน แล้วไขมันนั้นดูดซึมไม่ได้ กลายเป็นฟิล์มบางๆเคลือบผิวไว้กันน้ำระเหยออกไป หรือการใช้ Mask sheet นั่นเองค่ะ

ผิวหนังชั้นนอกปกติจะมีความชื้นอยู่ราวๆ 10 – 20% แต่เมื่อ Occlusive ไป 30 นาที พบว่าระดับความชื้นในผิวเพิ่มขึ้นจนถึงเกือบๆ 50% เลยทีเดียว ระดับความชื้นขนาดนี้ทำให้เซลล์ผิวบวม และโครงสร้างของไขมันใน Barrier ผิวก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สารบางชนิดซึมผ่านเข้าสู่ผิวได้มากขึ้น

สารที่จะซึมเข้าผิวได้ดีมากในช่วงที่เรา Mask มักจะเป็นพวกสารไขมันค่ะ

ในเอกสาร Review article ของ Maibach และ Zhai ยังกล่าวอีกว่า เมื่อเกิดการ Occlusive สาร Ethanol (Alcohol) สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นแผ่นมาสค์ที่มีแอลกอฮอล์ ก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง

สรุปก็คือ ข้อดีของ การ Mask หน้า เราก็จะได้เรื่องความชุ่มชื้น แล้วสารวิตามินต่างๆในแผ่นมาสค์ก็จะเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น แต่!!!! เมื่อสารต่างๆซึมเข้าผิวได้มากขึ้น ก็ไม่ได้แปลว่า จะดีเสียหมด เพราะสารที่ไม่เป็นมิตรก็อาจจะซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นด้วย ทำให้เกิดการแพ้ และการระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ จึงไม่ควรทิ้งมาสค์ไว้นานๆ ซัก 15-20 นาทีก็พอค่ะ แล้วอาทิตย์หนึ่งควรใช้ซัก 1 – 2 ครั้งพอ

ถ้าพูดถึง Mask sheet ในตลาด

Mask sheet ก็คือ แผ่นมาสค์ที่แช่อยู่ใน Vehicle (ขอเรียกว่า น้ำยา แม้ว่าจะดูแปลกๆไปหน่อย เพราะจะเรียกว่า Solution ก็คงไม่ถูก เพราะมาสค์บางอย่างเป็นน้ำนม หรือ Emulsion)

Mask sheet มีกี่แบบ???

เท่าที่ดูๆมา มี่ขอแบ่งแผ่นมาสค์ในท้องตลาด เป็น 2 แบบหลักๆ คือ แบบที่เป็น Vehicle น้ำ กับ แบบที่เป็น Vehicle น้ำนม

1. แบบน้ำ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากกว่า 90% มักจะใส่แอลกอฮอล์ลงมา เพื่อให้แห้งไว ไม่เหนอะหนะ แต่ก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนผิวแห้ง มาสค์น้ำบางแบบจะเหนียวๆ ยืดๆ เป็นเมือกๆ เพราะสารก่อเจล เวลาเอาออกเสร็จควรไปล้าง แต่ถ้าเป็นมาสค์ที่ไม่เหนียว ไม่ยืด ไม่จำเป็นต้องล้างออก หรือจะล้างก็ไม่เป็นไร เพราะวิตามินบางส่วนก็ซึมเข้าผิวไปแล้ว

2. แบบน้ำนม ก็มีทั้งแบบน้ำนมเหลวๆ และแบบน้ำนมหนักๆ สังเกตได้จากสารน้ำมัน ตัวที่พบบ่อยที่สุดจะเป็น Capric/caprylic triglycerides กับพวก Fatty ester ต่างๆ (สังเกตจากชื่อสาร มี 2 วรรค วรรคแรกลงท้ายด้วย –yl วรรคสองลงท้ายด้วย –ate เช่น Ethyl hexylpalmitate, Cetyl ethylhexanoate ฯลฯ หรือไม่ก็ไม่วรรค แล้วลงท้ายด้วย –ate ไปเลย)

การเลือกมาสค์ให้เหมาะกับสภาพผิว
***คนผิวมัน ควรเลือกมาสค์น้ำที่มี Alcohol หรือเป็นมาสค์น้ำธรรมดาที่ไม่มี Alcohol

การใช้มาสค์ที่มี Alcohol ในคนที่มีผิวมัน Alcohol จะช่วยละลายไขมันบางส่วนบนผิวได้ด้วย น่าจะให้ผลดีเกี่ยวกับการคุมมันและเรื่องสิวด้วย (คหสต.)

***คนผิวผสม ควรเลือกมาสค์น้ำที่ไม่มี Alcohol

***คนผิวแห้ง ควรเลือกมาสค์น้ำนม

 

 

1432390518-o

 

ส่วนตัวมี่ลองมาสค์ชีทมาหลายแบรนด์ ซึ่งส่วนมากจะเป็นของเกาหลีค่ะ

 

1432390466-maskre-o

 

ถ้าสนใจลองตามไปอ่านกระทู้บนพันทิปได้เพิ่มเติมนะคะ 🙂

 

http://pantip.com/topic/33692147

 

พบกันใหม่ใน Part 2 กับ Mask เนื้อครีม/เนื้อเจล ค่ะ

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แป้งเกาหลี 5 แบรนด์ 5 สไตล์

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แป้งเกาหลี 5 แบรนด์ 5 สไตล์

วันนี้มี่จะมาเปิดกรุแป้งพัฟเกาหลี รีวิว วิเคราะห์ส่วนผสม แป้งอัดแข็งแบบผสมรองพื้นจากเกาหลีทั้งหมดที่มีในครอบครองให้ชมกันนะคะ

มีอะไรบ้างมาดูกันดีกว่า

pow 1

เริ่มกันที่ตัวแรก Skinfood Royal Honey density pact แป้งน้ำผึ้งชื่อดังนั่นเองค่ะ

SKF.jpg

มี่ใช้สีเบอร์ 2 ค่ะ ตัวแป้งมีกลิ่นหอมคล้ายน้ำผึ้ง อัดมาได้ค่อนข้างแน่นค่ะเวลาใช้ ทั้งแปรง ทั้งพัฟกด จะไม่ลุ่ย ไม่ร่วน ไม่หลุดล่อนออกมาเยอะค่ะ ในทางกลับกันก็จะจิกแป้งออกมาใช้ได้ยากนิดนึง

เนื้อเป็นประมาณนี้นะคะ

SKF-1

ตัวนี้จะค่อนข้าง Matte ค่ะ

ส่วนของ Feeling นั้น จะรู้สึกหยาบๆอยู่เล็กน้อย และก็ตกร่องได้เล็กน้อยค่ะ ตรงริ้วรอยตื้นๆ หรือตรงหลุมสิวเสี้ยนที่จมูก และรูขุมขน จะเห็นชัดเลย

เรื่องการคุมมัน มี่ให้ระดับ 3 ค่ะ ยังเอา T-zone ไม่อยู่

สำหรับส่วนผสมมี่คิดว่าเขาให้มาไม่ครบนะคะ
ถ้าลอกฉลากที่ก้นตลับออกมา จะเห็นว่า มีแค่ น้ำผึ้ง, Royal jelly, Titanium dioxide, Ethylhexyl methoxycinnamate, Methylparaben และ Propylparaben มีเพียงแค่นี้ไม่มีทางขึ้นรูปเป็นแป้งพัฟได้แน่นอน ส่วนตัวมี่เองก็พยายามไปตามหาตามเวบ ก็ไม่เจอส่วนผสมแบบเต็มเหมือนกันค่ะ
แต่มีแค่นี้ก็หักคะแนน Paraben ได้แล้วค่ะ ซึ่งเจ้า paraben นี่เป็นสารกันเสียที่อาจจะทำให้เกิดการแพ้ และอาจจะมีผลรบกวนระบบฮอร์โมนในร่างกายจนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งบางชนิดได้ คนปกติที่ไม่แพ้ ไม่มีประวัติมะเร็ง ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เสี่ยง ก็เลี่ยงไปจะดีกว่า

สผส skf

ตัวที่สองเป็นแป้ง แจยอน แป้งไวท์เทนนิ่ง แป้งรักษ์โลกที่ได้รับตรา Ecocert คือเป็นตรารับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของสารธรรมชาติ/สารออร์แกนิกที่ออกโดยสถาบัน ECOCERT ประเทศฝรั่งเศส เทียบเท่ากับ USDA ของ อเมริกาค่ะ

ja 1

มี่ใช้สีเบอร์ 2 เช่นกันค่ะโดยเนื้อแป้งในตลับจะมีสีเข้มเล็กน้อย แต่ปัดออกมา จะไม่ได้ออกสีเข้มขนาดนั้น ตัวแป้งมีกลิ่นหอมแนวดอกไม้ ผสมกับขนมๆ ตัวนี้จิกแป้งออกมาได้ง่าย เกลี่ยง่าย เซ็ตตัวไว ใช้เซ็ตรองพื้นได้ค่ะ

ในส่วนของเนื้อนั้นเป็นประมาณนี้ค่ะ

ja 2.jpg

จะค่อนข้างโปร่งแสงอยู่เหมือนกัน แป้งตัวนี้จะมีสัมผัสที่บางเบา คล้ายผ้าไหมค่ะ (แอบโชว์ภาษาอังกฤษสวยๆนิดนึง ว่า เป็นแบบ Silky Feel) มีความเนียนและกลืนกินไปกับผิว ไม่ตกร่อง ฉาบปิด โบกทับหมดทุกร่องรอยอารยธรรม

เรื่องการคุมมัน มี่ให้ที่ระดับ 5 ค่ะ คุมได้กริบมาก คุม T-zone ได้นานเกิน 6 ชม.

ในส่วนของส่วนผสมนั้น

สผส jayoun

จากส่วนผสมจะเห็นว่ามีส่วนผสมของสารบำรุงผิวด้วย คือ
1. Squalane เป็นไขมันที่คล้ายกับไขมันในผิว นอกจากผลเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว ผิวเราเอามาใช้ประโยชน์ไปสร้าง Cholesterol ที่เป็น Barrier ผิวได้
2. Leontopodium alpinum extract เป็นสารสกัดจากดอก Edelweiss จากสวิตเซอร์แลนด์ รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Alpaflor® Edelweiss มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant และมีคุณสมบัติปกป้องผิวจากรังสี UV ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นโดยไปมีส่วนช่วยการทำงานของเอนไซม์ Transglutaminase ที่เป็นตัวเชื่อมผิวให้แข็งแรง และยังให้ผลเรื่อง Whitening ได้ด้วย
3. Collagen ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น
4. Hydrolyzed adansonia digitata extract มีชื่อทางการค้าว่า Dansonyl เป็นสารที่ได้จากการย่อยสลายสารสกัด Baobab พืชชื่อดังจากแอฟริกา ประกอบด้วยสารกลุ่ม Mucilage ที่มีความสามารถในการก่อฟิล์มบนผิวหนัง ช่วยดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปกป้องกันน้ำระเหยออกจากผิว ให้ผิวนุ่มและเงางาม เมื่อฟิล์ม Set ตัวได้ จะให้ความรู้สึกตึง (Tightening effect)

ในส่วนผสมยังมีส่วนผสมของสารไขมันที่ช่วยเคลือบปกป้องผิวได้ด้วย แต่มี paraben

โดยรวมคือ แป้งนี้ให้ผลได้ทั้งด้านชุ่มชื้น เคลือบปกป้องผิว และเป็น Whitening
ตัวที่ 3 เป็นแป้งที่มีตลับมุ้งมิ้ง จาก Bisous Bisous Brightening foundation powder

bis 1

มี่ใช้เบอร์ 2 นะคะ ตัวแป้งจะมีกลิ่นหอมจางๆ มี่บรรยายไม่ถูกอะ ว่ากลิ่นอะไร แต่หอมอยู่ค่ะ จางๆ

อัดมาได้ค่อนข้างแน่น สัมผัสจะค่อนข้างลื่นและเบา คล้ายผ้ากำมะหยี่ (ภาษาอังกฤษมาค่ะ Velvety feel)

เนื้อเป็นประมาณนี้นะคะ

bis 2

ตัวนี้จะดูหนักนิดนึง แต่ไม่มากถึงขั้นหนาเตอะ และก็อาจจะมีตกร่องได้ตามรูสิวเสี้ยนบนจมูก ต้องอาศัยเอาพัฟสะอาดมากดไล่อีกครั้งหนึ่ง

เนื้อแป้งจะค่อนข้างขาวค่ะ

เรื่องการคุมมัน มี่ให้ที่ระดับ 4 ค่ะ คุม T-zone ได้ประมาณ 4 ชม

ในส่วนของส่วนผสมนั้น

สผส bisous

จะมีส่วนของสารบำรุงอยู่ 3 ตัว คือ วิตามินอี วิตามินซี และ Hydrolzyed collagen ค่ะ

แต่ก็มี paraben เช่นกัน

ส่วนของสารอื่นๆนั้น ยังไม่ได้เด่นมากค่ะ ไม่มีอะไรมีพิษมีภัยอะไรกับผิว
ตัวถัดมาเป็นของ The face shop กับตัว TheFaceShop Jelly pact

TF 1

ตัวแป้งจะเป็นแป้งดินน้ำมันนะคะ แต่ค่อนข้างแข็งนิดนึง ตัวแป้งไม่ได้นุ่มนิ่มแบบดินน้ำมันที่เราเห็นกันบ่อยๆ

ลากมาแล้วจะมีความ Glow จะมี Shimmer นิดๆ ไม่ได้ matte สนิทค่ะ กลิ่นหอมค่ะ

TF 2.jpg

ตัวพัฟดูเหมือนจะเอาแป้งออกมาได้ยาก เพราะตัวแป้งมันมาในรูปแบบกึ่งๆครีมกึ่งๆขี้ผึ้งและค่อนข้างโปร่งแสง เลยทำให้เราดูยากว่า ตอนนี้ แป้งบนพัฟเพียงพอกับการกดบนหน้าหรือยัง

เรื่องการคุมมันมี่ให้อยู่ที่ระดับ 3 นะคะ ตัวแป้งจะเน้นความโกลว เป็นหลัก

ในส่วนของส่วนผสมนั้น เป็นดังนี้นะคะ

สผส TFS

ตัวแป้งจะมีส่วนประกอบของน้ำมันจากพืชอยู่หลายตัว ตั้งแต่ Caprylic/capric triglyceride ที่เป็นน้ำมันที่มีสายไม่ยาวมาก บางเบา ไม่เหนอะหนะ ซึมไว และน้ำมันจาก Argan oil, Avocado oil และ Olive oil ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ ถึงจะดีแต่น้ำมันจากพืชบางคนก็อาจจะอุดตันได้ค่ะ

สำหรับส่ารออกฤทธิ์ มีอยู่ 2 ตัว คือ
1. สารสกัดจากชะเอม ให้ผลเรื่องผิวขาว และลดการอักเสบ ระคายเคือง
2. สารสกัดจาก Lily (Lilium candidum bulb extract) ให้ผลเป็น Whitening

แป้งนี้จึงให้ผลเรื่อง Whitening ได้อยู่

ตัวนี้ไม่มี paraben นะคะ

 

สุดท้ายแป้งกุหลาบจาก Mille ค่ะ

mil 1

ตัวนี้เนื้อแป้งจะมีสีค่อนข้างเข้มนะคะ ให้ลุคที่ไปในทาง Matte ค่ะ

แป้งมีกลิ่นหอม อัดมาได้ค่อนข้างแน่นเช่นกัน ส่วนของสัมผัสนั้น นุ่มอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ถึงขั้น Silky หรือ Velvety มีตกร่องได้เล็กน้อยค่ะ

mil 2.jpg

ด้านการคุมมันมี่ให้ระดับ 5 ค่ะ คุม T-zone ได้นานเกิน 6 ชม.

ในส่วนของส่วนผสม
สผส Mille

จะไม่ได้มีอะไรมากนะคะ มี น้ำมันจากพืช คือ น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดมะรุม ซึ่งช่วยเรื่องทดแทนไขมันจำเป็นให้กับผิว ให้ผิวเอาไปสร้าง Barrier ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ และ น้ำกุหลาบมอญ ที่ช่วยเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว (ภาษาอังกฤษ มาอีกค่ะ Soothing effect)

และตัวนี้ไม่มี Paraben นะคะ

เทียบกันนะคะ

ที่แสงธรรมดา และแสงแฟลช

เทียบเนื้อแป้ง

ตัวที่เนียนเข้ากับผิวที่สุดจะเป็นตัว Jayoun กับ TheFaceShop นะคะ โดยตัว Jayoun จะให้ความ Matte และ ตัว TheFaceShop จะให้ความ Glow เบาๆ ใครชอบแบบไหนก็จัดแบบนั้นค่ะ

งานการปกปิดต้องมาค่ะ ซึ่งมี่ทดสอบกับ สี 3 สี คือ ดำ น้ำตาล และ ชมพู เพื่อใช้ประเมินการกลบรอยดำ เม็ดสี และ รอยแดงนะคะ

การปกปิด

ตัวที่ปกปิดได้ดีสุดจะเป็นตัว Jayoun กับ Mille นะคะ ส่วน Skinfood กับ Bisous จะอยู่ในเกณฑ์กลางๆค่ะ

ถึงเวลาของคะแนนแล้วค่ะ

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

First time Beauty shopping in Korea~ June, 2014

First time Beauty shopping in Korea~ June, 2014

จะว่าก็ว่าเถอะ เกาหลีเป็นสวรรค์แห่งเครื่องสำอางเลยก็ว่าได้ค่ะ ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ รูปแบบผลิตภัณฑ์แปลกๆ สารใหม่ๆ นี่ต้องมาจากเกาหลีเป็นส่วนใหญ่

เมื่อเดือน มิย ที่ผ่านมา มี่ก็ได้ไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ กลับมากระเป๋าเบาเชียวค่ะ เห็นอะไรๆก็อยากได้หมด นี่เสียดายว่าไม่มีแรงขนมา ไม่งั้นคงได้มามากกว่านี้เยอะค่ะ

ประเดิมเลยดีกว่าค่ะ เดี๋ยวตอนท้ายๆจะบอกทริคเล็กๆน้อยๆให้นะคะ 😉

ย่านแรก มยองดง (Myeong-dong)

มีสารพัดร้านเครื่องสำอาง เรียกได้ว่า มีครบทุกแบรนด์เลยมั้ง แต่ราคาอาจจะสูงกว่าบางตลาดนะคะ

Innisfree นี่เป็นแบรนด์ในดวงใจเลยค่ะ
IMG_1485-re

Primera นี่เป็น High brand ค่ะ แต่มี่ไม่ได้ซื้ออะไรมานะคะ
IMG_1486-re

Skin foods ค่ะ ไม่ได้ซื้ออะไรมาเหมือนกัน
IMG_1490-re

ร้านโซนนี้นี่ใช้เวลากับมันนานมากๆค่ะ
IMG_1492-edit

ลาเนจ ก็ไม่ได้ซื้ออะไรมาเหมือนกัน -*-
IMG_1499-re

espoir นี่เค้าว่ากันว่าเป็นผู้นำเทรนด์เมคอัพ แต่มี่ก็ไม่ได้ซื้ออะไรมาเช่นกันค่ะ
IMG_1503-re

Mamonde นี่หมดเงินไปกับ Rose water เลยค่ะ คือเป็นคนบ้ากุหลาบมากๆ
IMG_1504-re

ส่วนอีกย่านเป็นย่านอินซาดงค่ะ ย่านนี้ลดราคากระหน่ำกว่าย่านมยองดงมากๆ ลดแหลกแจกแถมแบบฟินมาก ค่ะ

จุดเด่นของที่นี่คือ ป้ายร้านจะเป็นตัวฮันกึล ค่ะ

insadong

ส่วนย่านที่ไปอีกก็จะมี ทงแดมุน กับ นัมแดมุน ซึ่งของที่นี่ก็ถูกกว่าย่านมยองดงค่ะ

ถ้าไม่รีบ แนะนำว่าให้ไปดูย่านอื่นๆก่อนค่อยกลับมาหาของที่ไม่ได้จากมยองดงนะคะ

อันนี้เป็นความเสียหายค่ะ ใช้ได้ยาวจนแก่ 555

IMG_2370-re

จริงๆบางส่วนก็ส่งต่อให้เด็กๆกับญาติๆกับเพื่อนๆแล้วนะคะ ทุกวันนี้ก็ยังพรีออร์เดอร์อยู่ จะใช้กันทันไหม !!!

[Cosme-Diagnosis] White seed Real whitening lotion จาก TheFaceShop

[Cosme-Diagnosis] White seed Real whitening lotion จาก TheFaceShop

ช่วงต้นเดือนทางเพจ TheFaceShop ได้จัดกิจกรรม Dare to wonder ขึ้นค่ะ มี่ก็ได้เข้าไปร่วมสนุกและเป็นผู้โชคดีได้รับ White seed real whitening lotion มาค่ะ

วันนี้เลยเอามารีวิวเจาะลึกให้ชมค่ะ

container-re

เป็นขวดแก้วทึบ สีขาว ค่อนข้างหนาค่ะ ดูแน่นหนาปลอดภัยแข็งแรง ฝาปั๊มสีขาว กดง่ายสะดวกมือ ไม่เลอะเทอะ ดูสะอาดตามากค่ะ

เนื้อโลชั่นเป็นโลชั่นเนื้อบางเบาสีขาว เกลี่ยง่าย ดูดซึมได้เร็วปานกลาง พอดูดซึมหมดก็แห้งสนิท ไม่เหนอะหนะ สามารถแต่งหน้าทับได้เลยค่ะ

hand2-re

สำหรับความประทับใจในสัมผัส กลิ่น การแผ่กระจายบนผิว การดูดซึม และความนุ่มผิว มี่ขอให้ 5/5 ฟลาสก์ค่ะ เพราะเกลี่ยง่าย เนื้อเนียน กลิ่นหอมดอกไม้ หวานๆ อ่อนๆ ไม่ฉุนจนเกินไป ดูดซึมไวปานกลาง และนุ่มผิวดีค่ะ

ลองวัดค่า pH ดู ได้ค่า pH ประมาณ 5 ค่ะ อยู่ในช่วงใกล้กับผิวเลยค่ะ (ผิวเรามีค่า pH 5-6)

pH-re

ส่วนผสมนะคะ

ingre-re

box-re

มาในคอนเซปท์ 7 Free system ค่ะ

ไม่มีอะไรบ้าง ลองมาดูกันค่ะ

คือ ไม่มีพาราเบน ไม่มี Alcohol Denat. ไม่มี Mineral oil ไม่มีสี ไม่มีวัตถุดิบที่ได้จากสัตว์ ไม่มี Benzophenone และ ไม่มี Triethanolamine ค่ะ

พาราเบนนี่เคยมีรายงานว่าอาจจะไปรบกวนระบบฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายได้ ทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ทำให้กลุ่มประเทศทาง EU Ban ไปค่ะ

Alcohol Denat. นี่เป็นแอลกอฮอล์ที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมีเพื่อกำจัดเอากลิ่นออก เค้ากลัวเรื่องสารเคมีตกค้าง กับกลัวเรื่องความแห้งและความระคายเคืองที่เกิดจากแอลกอฮอล์ค่ะ

Mineral oil เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากอุตสาหกรรมทางปิโตรเคมี ที่อาจจะมีผลเสียต่อสิ่งแวดล้อม

สัี บางชนิดอาจจะมีผลต่อสุขภาพได้ค่ะ

วัตถุดิบที่ได้จากสัตว์ บางชนิดอาจจะทำให้เกิดการแพ้ และมีเรื่องของประเด็นการทำลายทำร้ายชีวิตสัตว์ด้วย

Benzophenone เป็นสารกรองรังสี UV มักพบในผลิตภัณฑ์เพื่อป้องกันสารในผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสียสภาพไปเพราะแสงแดด แค่ว่าพวกนี้ดูดซึมเข้าร่างได้อาจจะเป็นอันตรายได้ค่ะ

และสุดท้าย Triethanolamine เป็นสารปรับ pH ค่ะ มีรายงานว่าสามารถเกิดปฏิกิริยากับสารเคมีบางชนิดและปลดปล่อยพวก Nitroso ออกมาซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งค่ะ

เรามาลองเจาะลึกส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

(ค่อนข้างยาวนะคะ ถ้าเบื่อ ข้ามไปอ่านบทสรุปตอนท้ายได้เลยค่ะ)

ปกติผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแทบทุกชนิดจะประกอบด้วยส่วนหลักๆ 3 ส่วน คือ
1. Active (สารสำคัญ) เป็นส่วนที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติ/ฤทธิ์ทางชีวภาพ
2. Base คือ เนื้อของผลิตภัณฑ์ บางทีอาจเรียกว่า Vehicle
3. Additive คือ สารที่ช่วยเสริมให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดี มีความน่าใช้

คุณสมบัติของสารต่างๆแยกตามหน้าที่
1. Actives ได้แก่

– Niacinamide คือ วิตามินบี 3 มีบทบาทหลายๆอย่าง ทั้งในเรื่องการเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนเลือด กระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
– Panthenol คือ วิตามินบี 5 มีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยตัวมันเองสามารถซึมเข้าสู่ผิวและดูดน้ำเข้ามาเก็บไว้กับตัวเอง สามารถช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของผิวหนัง ช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากผิว รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้ (J Cosmet Sci. 2011; 62(4):361-70.) นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ลดการอักเสบ เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ผิว ช่วยเรื่องการสมานแผล และลดริ้วรอย
– Lupinus albus seed extract คือ สารสกัดจาก White lupin ถ้าเป็นการสกัดในน้ำมัน จะมีจำหน่ายในรูปแบบสารสกัดที่ชื่อ Collageneer ของบริษัท Expanscience มีฤทธิ์กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยเพิ่มความกระชับและความยืดหยุ่นของชั้นผิว (ข้อมูลจากผู้จำหน่ายวัตถุดิบ) แต่ถ้าสกัดด้วยน้ำก็จะมีโปรตีนคุณภาพดี (J. Sci Food Agri, 1987, 41(3), 205-218) และมีคุณสมบัติเป็นสารจับโลหะ ช่วยป้องกันไม่ให้โครงสร้างผิวเสื่อมจากปฏิกิริยาที่ถูกเร่งโดยโลหะ
– Bellis perennis flower extract คือ สารสกัดจาก White Daisy ในฐานข้อมูลงานวิจัยมีการกล่าวถึงคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant (Nat Prod Commun. 2010;5(1):147-50.) ส่วนในสิทธิบัตรยุโรประบุว่าสารสกัดจาก Daisy สามารถใช้เป็น Whitening ได้โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สร้างเมลานิน (EP1737538 B1)
– Polyglutamic acid มีบทบาทในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ค่อนข้างดี
– Hexylresorcinol อนุพันธ์ของ Resorcinol มีรายงานว่าสามารถยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้สร้างเมลานินได้ (Protein J. 2004;23(2):135-41.) การทดสอบเชิงคลินิกชิ้นหนึ่งใช้สารนี้ผสมกับสาร Whitening ตัวอื่นๆในอาสาสมัคร พบว่าผล Whitening effect ดีกว่าครีม Hydroquinone 4% (J Drugs Dermatol. 2013;12(3):s16-20.) ข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่า สารกลุ่มนี้พบในข้าว Rye และ Wheat ให้ผลยับยั้งการสร้างเมลานิน กระตุ้นการสร้าง Glutathione ในผิว จึงให้ผลเสริมกันในการเป็น whitening
– Salix alba bark extract คือ สารสกัดจาก Willow สารสกัดจาก White willow ไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง มีรายงานว่าประกอบด้วย Tannin, Lignin ให้ผลกระชับรูขุมขน มี Salicylic acid ที่เป็น BHA ให้ผลละลายไขมันอุดตันในรูขุมขน ลดการอักเสบ และฆ่าเชื้อแบคทีเรีย
– Chenopodium quinoa seed extract คือ สารสกัดจาก Quinoa เป็นธัญพืชชนิดหนึ่ง มีรายงานการวิจัยระบุว่าประกอบด้วยสารกลุ่ม Phenolics หลายชนิด ให้ผลเป็น Antioxidant ที่ดี (Food Chem. 2015;166:380-8.) มีสารกลุ่ม Saponin หลายๆตัวที่ให้ฤทธิ์เป็น Anti-inflammatory (J Food Sci. 2014;79(5):H1018-23.) ข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่า สารสกัดจากเมล็ด Quinoa ให้ผลเพิ่มความแข็งแรงของหลอดเลือดฝอย ลดการสร้างหลอดเลือดฝอยใหม่ เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนัง และช่วยลดจำนวนเม็ดเลือดแดงที่คั่งค้างใต้ตา มีผลลดรอยคล้ำใต้ตาได้ (Adipoless จาก Seppic)

2. Base เป็นรูปแบบของ Emulsion ประกอบด้วยส่วนของน้ำกับน้ำมัน ดังนี้

2.1 ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Propanediol, Propylene glycol dicaprylate/dicaprate, 1,2-Hexanediol, Butylene glycol, Glycerine
2.2 ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Capric/caprylic triglycerides, Caprylic/capric glycerides สองตัวนี้เป็นไขมันที่มีสายยาวปานกลาง มีขนาดเล็ก ซึมเข้าผิวได้ง่าย ให้ผลบำรุงทดแทนไขมันในผิวหนัง, Cetearyl alcohol, Glyceryl stearate เป็นไขมันพื้นฐานทั่วไป

3. Additives ได้แก่

3.1 Silicones ได้แก่ Cyclopentasiloxane กับ Cyclohexasiloxane เป็นซิลิโคนที่ระเหยได้ ให้สัมผัสที่ดีตอนทา ไม่เหนอะหนะ
3.2 Emulsifiers เป็นตัวผสานน้ำให้เข้ากับน้ำมัน ได้แก่ Cetearyl olivate ตัวนี้เป็น Fatty ester ที่ให้คุณสมบัติเป็น Emulsifier ได้ด้วย มักพบร่วมกับ Sorbitan olivate เป็น Emulsifier ที่ได้จากธรรมชาติ ให้สัมผัสที่เนียนละเอียด และมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว, และ PEG-100 stearate ที่เป็นสารพื้นฐานทั่วไป
3.3 สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Acrylates/C10-30 alkylacrylate crosspolymer กับ Carbomer
3.4สารปรับ pH คือ Potassium hydroxide แม้ว่าโดยธรรมชาติสารนี้จะระคายเคือง แต่ใส่มานิดหน่อยแค่ปรับ pH เลยไม่เป็นอะไรกับผิว อันตรายขึ้นกับความเข้มข้นด้วย
3.5 Preservatives ได้แก่ Phenoxyethanol, Potassium sorbate, Sodium benzoate, Sorbic acid และสารจับโลหะ EDTA
3.6 สารแต่งกลิ่น Fragrance

สรุปและให้คะแนน
1. Actives มีตัว Whitening เด่นๆอยู่ 2 ตัว คือ Niacinamide กับ Hexylresorcinol ถ้าดูจากลำดับส่วนผสมแล้วคือ Niacinamide มีอยู่พอสมควรเลยหล่ะ สารสกัดอื่นๆยังไม่มี Report รองรับชัดเจน แต่ก็ให้คุณสมบัติเป็น Anti-oxidant กับพวกลดริ้วรอย และ Moisture ได้ดี โดยรวมแล้วผลิตภัณฑ์นี้ได้ทั้ง Moisturizer, Whitening, Anti-oxidant, Anti-inflammatory ซึ่งก็ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ ถ้าได้พวก Antioxidant ดีๆอีกซักตัวสองตัวคงแจ่ม ผลิตภัณฑ์นี้ไม่มีพวก AHA ที่ถ้าใช้ความเข้มข้นเยอะๆไปนานๆก็จะทำให้ผิวบางได้ จึงสามารถใช้ได้เลยในระยะยาว และที่สำคัญคือไม่ได้ใช้พวก Pigment ที่จะมาแค่เคลือบผิวให้ขาวหลอกๆไปวันๆ จุดนี้เลยขอให้ 4.5 ฟลาสก์
2. Base ถ้ามองจากความสมบูรณ์ของตัวเนื้อครีมในการเป็น Emulsion ที่ดี ผลิตภัณฑ์นี้มีสารดึงน้ำให้ผิวดีๆหลายตัว มีน้ำมันจากธรรมชาติอย่างพวก Capric/caprylic glycerides กับ Triglycerides อยู่ จะขาดก็ยังแต่สารไขมันเคลือบผิวกันน้ำระเหย จุดนี้จึงขอให้ 4 ฟลาสก์
3. Additives ผลิตภัณฑ์ไม่มีส่วนผสมของสารพาราเบน สารอื่นๆก็ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไร แถมคู่ผสมอย่าง Cetearyl olivate/Sorbitan olivate ยังให้ผลเป็น Moisturizer ที่ดีให้ผิวด้วย แต่มีน้ำหอมนะ บางคนที่ผิวไวมากๆ อาจจะแพ้ก็ได้ แต่ก็ไม่เคยหักคะแนนน้ำหอมในผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช่รอบดวงตามาก่อน จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

รวมคะแนน
point

1. การใช้งาน 5/5
2. Actives 4.5/5
3. Base 4/5
4. Additives 5/5

รวม 18.5/20 ค่ะ

ท้ายนี้ขอขอบคุณผลิตภัณฑ์ดีๆจาก TheFaceShop ด้วยนะคะ

แล้วก็ขอเพิ่มเติมนิดนึงคือ Line นี้ยังมี Toner, Essence, Cream ด้วยค่ะ ราคาก็ไม่แพงมาก (สำหรับ Lotion 125 ml 779 บาท) ถ้าเทียบกับส่วนผสมแล้วถือว่าคุ้มค่าคุ้มราคาเลยค่ะ

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือเข้าไปชมผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ TheFaceShop ได้ที่เวบไซต์ของ TheFaceShop หรือ แฟนเพจของ TheFaceShop ในเฟสบุคเลยนะคะ

ขอบคุณค่ะที่ติดตามอ่านมาจนจบ