Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมรองพื้นคูชั่นแนวใหม่จากเกาหลี กับ Immiroir UHD perfect cushion foundation

สวัสดีค่ะ เรียกได้ว่ากระแสของคูชั่นยังแรงไม่ตกเลยนะคะ และก็มีหลายแบรนด์ที่พัฒนารูปแบบ อาจมีนวัตกรรม หรือให้เด่นกว่าแบรนด์ของคนอื่น เพื่อสร้างจุดเด่นให้แก่สินค้าของตนเองค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวรองพื้นแบบคูชั่นของเกาหลี ซึ่งเป็นเบสที่ค่อนข้างเบา แต่อัดแน่นด้วย Solid content คือ พวก เม็ดสี pigment รวมถึงสารที่เป็นของแข็ง จึงได้เนื้อที่ค่อนข้าง Matte แห้งสนิท เหมาะกับสาวไทย รวมถึงคนที่ชอบแบบ Matte นะคะ

เป็นรองพื้นจากแบรนด์ Immiroir กับ UHD perfect cushion foundation นั่นเองค่ะ และแน่นอนว่าไม่ใช่คูชั่นรองพื้นธรรมดา แต่อัดแน่นมาด้วยสารบำรุงอีกหลายชนิด และมีสารกันแดดในตัวเลยหล่ะ เรียกได้ว่าถ้าในวันเร่งรีบ ไม่ต้องลง Skincare ตบอันนี้อันเดียวก็ออกบ้านได้เลย

มาเข้าเรื่องของเรากันดีกว่านะคะ ตัวคูชั่นจะมีหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

im 1.jpg

นางจะมาในกล่องสีแนวเมทัลลิคสีม่วง ดูหรูหรา

ตลับคูชั่นเป็นสีดำเงา ดูหรูหราเช่นกัน

im 2

เปิดตลับมาเราจะเจอตัว air puff สีดำ พิมพ์ด้วยคำว่า Immiroir

im 3

พัฟค่อนข้างนุ่มและละเอียดมากค่ะ ชอบๆ

im 4

ตอนแรกงง ว่าจะใช้ยังไง นึกว่าเหมือน Metal cushion เกาหลีทั่วไปที่ต้องกดตรง pan

ไม่จ้ะ นางมีปุ่มกด นี่ไม่เห็นเอง กดๆ แล้วเนื้อรองพื้นจะออกมาตามรูที่เขาปรุไว้ค่ะ

im 5

ตลับแบบนี้มันมีข้อดีเหนือกว่าคูชั่นแบบฟองน้ำก็ตรงที่ นางจะปกป้องไม่ให้แผ่นพัฟไปสัมผัสกับฟองน้ำโดยตรง ซึ่งจะทำให้เกิดการสะสมตัวของเชื้อจุลินทรีย์ได้

 

เนื้อรองพื้น ค่อนข้างบางเบา ให้ความ Matte ค่ะ

im 6

การปกปิดอยู่ในเกณฑ์ปานกลางนะคะ ให้อารมณ์ผิวสุขภาพดีมากกว่าที่จะดูแน่นและหนา

im 7

ถ้าลงหน้าจริง มี่จะลงประมาณ 1 – 2 ชั้น ขึ้นกับความต้องการค่ะ จะได้ลุคแมทท์ที่สวยงาม กลบรอยแดงได้เกือบหมด กลบรอยน้ำตาลได้ในระดับกลางๆ หรือเรียกแบบสวยๆว่า Medium coverage ค่ะ ถ้าจะเอาแน่นกว่านี้ ตบ 3 ชั้นจะได้แบบ Full coverage ค่ะ

im 8

ถือว่าค่อนข้างโอเคเลย ภาพนี้ถ่ายวันเดียวกันต่างเวลากัน 5 นาที ไม่ได้คุมแสง ไม่ได้ผ่านแอพค่ะ

การคุมมันสำหรับผิวมี่ ที่เป็นผิวแห้ง/ผสม มี่ว่าค่อนข้างดีค่ะ โปะเช้าได้ถึงช่วงบ่ายแก่ๆ ตรงจมูกและหน้าผากถึงจะเริ่มมัน

มาทั้งทีไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้ มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

สผส immiroir

มี่ทำสีส่วนผสมไว้ 4 สี นะคะ

เริ่มที่

  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารกันแดดค่ะ ซึ่งเป็นชนิดกายภาพผสมเคมี กันได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดีค่ะ ปกติถ้ามีกันแดดกายภาพ มันจะฉาบอยู่บนผิวอย่างนั้น ถ้าเหงื่อไม่ออก หรือไม่ไปล้างไปเช็ดมันก็ไม่หายไปไหนค่ะ ที่กล่องเขียนว่า มีค่า SPF50+/PA+++
  • สีส้ม หรือ Silica กับ Magnesium aluminium silicate เป็นสารที่ทำหน้าที่ควบคุมความมัน ดูดซับความมันส่วนเกินของผิวหนัง
  • สีม่วง สูตรผสมของ Xylitylglucoside, Anhydroxylitol, Xylitol พวกนี้เป็นน้ำตาลและอนุพันธ์ของน้ำตาล เป็นวัตถุดิบของฝรั่งเศส ที่มีชื่อว่า Aquaxyl ตัวนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ไว้ว่าเป็นวัตถุดิบที่เพิ่มความชุ่มชื้นแบบ 3 มิติ (3D hydration concept) โดยสามารถเพิ่มการเก็บกักน้ำให้ผิว เพิ่มการสร้าง Hyaluron และไขมันที่เป็น Barrier ตามธรรมชาติของผิว
  • สีเขียว เป็นสารบำรุงที่เหลือค่ะ
    • สูตรผสมของสารสกัดพืช 7 ชนิด ได้แก่ บัวบก คาโมมายล์ ชะเอม ชาเขียว Japanese Knotweed โรสแมรี่ และ Skullcap มีชื่อว่า MultiEX BSASM เป็นวัตถุดิบของเกาหลี ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าให้ผลลดการอักเสบ ระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว มีเคสที่ผู้ผลิตทดสอบผลในอาสาสมัครที่เป็นโรคผิวหนังอักเสบแบบ Atopic อยู่ด้วย
    • Arbutin ตัวนี้ทางแบรนด์จัดเต็มมาถึง 2% ให้ผลลดการสร้างเม็ดสีผิวโดยไปยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสิว
    • Adenosine มีประโยชน์ในการลดริ้วรอย มีรายงานการวิจัยว่าให้ผลดีในการลดริ้วรอยตีนกา และรอยย่นบนหน้าผาก (Int J Cosmet Sci. 2006;28(6):447-51.)
    • สูตรผสมของ สารสกัดพืช 4 ชนิดนี้
      • Limonia acidissima Extract (ทานาคา)
      • Bambusa vulgaris Leaf Extract (ใบไผ่)
      • Oldenlandia diffusa Extract (Snake needle grass)
      • Lonicera caprifolium (Honeysuckle) Extract (ดอกสายน้ำผึ้ง)

พืชทั้ง 4 นี้ เจอด้วยกันในผลิตภัณฑ์กระชับรูขุมขนควบคุมความมันหลายๆยี่ห้อของทางเกาหลี เลยคาดเดาว่าให้ผลกระชับรูขุมขน ถ้าพิจารณาแยกกันเป็นตัวๆ ทานาคาจะให้ผลด้าน Whitening, ใบไผ่ให้ความรู้สึกสบายผิว, Snake needle grass เป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย และ ดอกสายน้ำผึ้งให้ผลฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้

 

  • ส่วนผสมของสารสกัดชุดสุดท้าย คือ ลาเวนเดอร์ Thyme, oregano, Rosemary น่าจะใช้เป็นตัวเสริมประสิทธิภาพของสารกันเสีย (สารกันบูด) เพราะมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ และคล้ายกับวัตถุดิบที่เป็นสารกันเสียยี่ห้อหนึ่ง เพียงแต่มีส่วนผสมน้อยกว่า จากที่ดูคือไม่มีสารกันเสียอื่นอีกแล้ว นอกจาก Ethylhexylglycerin ซึ่งเป็นสารเสริมสารกันเสียเช่นเดียวกัน

 

ในส่วนของเบส เป็นเนื้อเบสอิมัลชั่น ชนิด ซิลิโคนในน้ำ มีส่วนผสมของน้ำมันอยู่น้อยมาก จึงเหมาะกับทุกสภาพผิว และซิลิโคนที่เลือกใช้เป็นซิลิโคนชนิดพื้นฐานที่ล้างออกได้ง่ายด้วย Cleanser จึงไม่น่ากังวลเรื่องอุดตันค่ะ และส่วนตัวมี่เองใช้มาร่วม 3 อาทิตย์ ก็ยังไม่เจอว่ามีสิวขึ้นมา

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ถึงแม้ตัว Product จะมาในรูปแบบของรองพื้น แต่ก็อัดแน่นมาด้วยทั้งสารกันแดด เหมือนผลิตภัณฑ์กันแดดจริงๆ กันได้ครบถ้วนสมบูรณ์ดี และยังมีสารบำรุงอีกหลายชนิด มีประโยชน์โดยรวมมากมาย ไม่ว่าจะเป็น เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวแข็งแรง ลดการอักเสบ ชะลอวัย ลดริ้วรอย ควบคุมความมัน รวมไปถึง Whitening จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบเนื้อของรองพื้น ที่บางเบา เกลี่ยง่าย ไม่หนักผิว ไม่เยิ้มระหว่างวัน แต่ก็ไม่แห้งจนเกินไป การปกปิดมี่ว่าถ้าตบ 1 – 2 ชั้นจะได้ในระดับ Medium แต่ถ้าตบที่ 3 ชั้นจะได้แบบ Full coverage ขอให้คะแนนตามความชอบไปที่ 5 ฟลาสก์ค่ะ

 

คะแนน im

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Immiroir ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามที่ทางแบรนด์ Immiroir ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/immiroircosmetic/

 

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Immiroir การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

มาช้าดีกว่าไม่มา–รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมน้ำตบข้าวหมักเกาหลีที่ชอนซงอีใช้ในเรื่อง You who came from the star กับ Hanyul rice essential skin softener

อู๊ย ชื่อ Blog จะยาวไปไหน

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่มีรีวิวน้ำตบข้าวหมักเกาหลีที่นางเอก ชอนซงอีใช้ในเรื่อง you who came from the star ให้ชมกันนะคะ

มาช้าซะแบบว่าซีรี่ส์จบนานจนลืมเรื่องราวหมดแล้ว แต่ก็ดีกว่าไม่มานะเออ

เอารูปจากซีรี่ส์มาโชว์เรียกความจำกันซักหน่อย

1-2.jpg

(Image from: kpoptown.com)

 

ขวดนี้ราคาจะแอบแรงนิดนึงนะคะ อยู่ที่ 35000 วอน (ประมาณ 1050 บาท) ที่เกาหลีจะมีวางในร้าน Aritaum ที่จำหน่ายสินค้าจากบ.ในเครือ Amorepacific ค่ะ

จริงๆมี่ซื้อมาตั้งแต่ปีที่แล้วละค่ะ แต่พึ่งได้ฤกษ์เปิดใช้ จะไม่รีวิวก็ไม่ได้ เห็นแบบนี้ขึ้นแท่นลูกรักบ้านมียอนปีนี้เลยทีเดียว

han 1

เป็นขวดรุ่นเก่าค่ะ ถ้าเป็นรุ่นใหม่จะปรับขวดเป็นสีชมพูแบบนี้ค่ะ

c_a04

(Image from Hanyul)

นางได้รางวัลสายเกาเยอะอยู่นะเออ

เนื้อน้ำตบเป็นแบบหนืดๆเล็กน้อยค่ะ

han 4

 

กลิ่นโสมชัดมาก จริงๆมี่ไม่ชอบกลิ่นโสมนะคะ แรกเริ่มเดิมทีที่ซื้อมาก็แอบคิดว่า จะใช้ได้ไหม แต่เอาเข้าจริงๆกลับใช้ได้ และชอบมาก

นางจะเกลี่ยง่ายหน่อย และเคลือบผิวนิดๆ แต่แอลกอฮอล์แอบเยอะนะคะ ใครไม่ถูกกับแอลกอฮอล์ควรทดสอบก่อน

han 5

ส่วนตัวมี่ใช้แล้วไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ รู้สึกว่าผิวเนียนละเอียดขึ้นมากกกกกกก เตรียมมอบมงลูกรักปี 2017 ให้เลย

วัดค่า pH ซักหน่อยพอเป็นพิธี

han 6

อยู่ที่ราวๆ 5 ก็ใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

 

มาดูส่วนผสมกันบ้าง

สผส hanyul

ส่วนผสมจะเห็นว่ามี alcohol มาเป็นอันดับ 2 เลย และแน่นอนว่าขนาดมี่ไม่ใช่เจนก็สัมผัสได้ว่า แอลแรงจริงๆ

สารบำรุงมี่แทนด้วยสีฟ้าค่ะ ดูกันเรียงตัวไปเลยละกันนะคะ

  • Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 มีบทบาทหลายๆอย่าง ทั้งในเรื่องการเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนเลือด กระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
  • Monascus/Rice ferment อันนี้น่าจะเป็นนางเอกของขวดนี้ คือข้าวหมักราแดง หรือเรียกว่าข้าวแดงนั่นเองค่ะ เชื้อ Monascus เป็นยีสต์ชนิดหนึ่ง มีชื่อสามัญว่า Red Yeast ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารจีนหลายๆอย่าง มีประโยชน์หลายๆอย่างต่อสุขภาพ มีการวิจัยระบุว่าการหมักด้วยเชื้อ Monascus ทำให้ฤทธิ์ Antioxidant และ Cytoprotective (ปกป้องเซลล์) เพิ่มสูงขึ้น (J Biosci Bioeng. 2013; 115(4):418-23.) แต่ไม่มีงานวิจัยที่ทดสอบโดยการทาผิว สำหรับในข้าวมีพฤกษเคมีหลายๆชนิด เมื่อหมักแล้วก็จะทำให้เกิดกระบวนการที่เรียกว่า Bioconversion ที่ไปย่อยพฤกษเคมีให้มีโมเลกุลเล็กลง ทำให้สารซึมเข้าผิวและออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น
  • Lactobacillus/soybean ferment extract ในถั่วเหลืองมีพวก Glycoside ของ Flavonoid ที่มีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง (Phytoestrogen) เมื่อหมักด้วยจุลินทรีย์ จะทำให้พวก Glycoside โดนย่อย เหลือเพียง Flavonoid ตัวเล็กๆ (ชื่อทางพฤกษเคมีว่า Aglycone) จึงมีฤทธิ์ที่ดีกว่าการใช้สารสกัดธรรมดา สำหรับฤทธิ์ของ Flavonoid นี้ก็คือ ต้านอนุมูลอิสระ เพิ่มความหนาของชั้นผิวหนัง และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว แต่การหมักด้วย Lactobacillus จะได้ผลิตภัณฑ์เป็น Lactic acid เสมอ ซึ่งทำหน้าที่เป็น AHA ถ้ามีมากเกินไปอาจจะให้ผลในการผลัดเซลล์ผิวได้ด้วย
  • Saccharomyces/Barley seed ferment filtrate เป็นข้าวบาร์เล่ย์หมัก อันนี้ไม่แน่ใจว่าน่าจะเด่นเรื่องชุ่มชื้นเป็นหลัก
  • Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับเรื่องความชุ่มชื้น และการเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว
  • สารสกัดจาก Angelica acutiloba root มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันจากสารประกอบ Polysaccharide ที่พบในราก (Immunology. 1982; 47(1):75-83.)
  • สารสกัดจาก Cnidium officinale (ยาจีนชนิดหนึ่ง) มีรายงานว่าเป็น Antioxidant ที่ดี (Pharmacogn Mag. 2010; 6(24): 323–) ข้อมูลจากผู้ผลิตบอกว่า สารสกัดนี้สามารถปกป้องเซลล์ผิวไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี UV ได้
  • สารสกัดจากถั่วเหลือง ปกติในถั่วเหลืองมีสารกลุ่ม Flavonoid ที่ให้ผลเป็น Phytoestrogen ออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิง ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น หนาตัวและเรียบเนียนขึ้น
  • สารสกัดจาก Cocoa ซึ่งมีสารในกลุ่ม Theobromine ให้ผลคล้ายๆ Caffeine คือช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด
  • Adenosine Claim กันว่าเป็นองค์ประกอบของสารให้พลังงานของเซลล์ที่ชื่อ ATP ก็จะช่วยประสานการทำงานต่างๆของเซลล์ เพิ่มพลังให้เซลล์ ซึ่งถ้าอิงจากฐานข้อมูลงานวิจัยมีกล่าวถึงผลเกี่ยวกับการลดริ้วรอย (J Cosmet Sci. 2007; 58(2):147-55.)

 

โดยรวมก็ได้หลายด้านเหมือนกันเนอะ ไม่ว่าจะเป็นชะลอวัย ลดริ้วรอย ชุ่มชื้น และก็ Whitening

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. ส่วนผสม เรียกได้ว่ามีสารบำรุงอยู่หลายตัวเหมือนกัน มีประโยชน์โดยรวมในการชะลอวัย ลดริ้วรอย ชุ่มชื้น และก็ Whitening ก็ถือว่าให้ผลหลายอย่างนะคะ แต่จุดที่ต้องติคือ alcohol ที่ดูเหมือนจะแรงไปหน่อย ขอให้ 4 ฟลาสก์ค่ะ
  2. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบน้ำตบตัวนี้นะคะ ไม่ได้หวังว่าใช้แล้วจะสวยแบบซุปตาร์ แต่ก็ใช้แล้วรู้สึกผิวเนียนนุ่มจริงอะไรจริงค่ะ นอกจากเรื่องนุ่มก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่แค่ผิวเรานุ่มเราก็สบายใจแล้วหล่ะ ขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน han

สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไปนะคะ สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

อัพเดทตลาดเกาหลีกับบ้านมียอน ช่วงต้นเดือนพค 60 >> คอลเลคชั่น Bono Bono จาก A’pieu กับ Simpsons จาก The face shop

นั่งทำงานมากไปก็เลยเบื่อ เลยไปส่องเวบเกาหลีให้หายเบื่อ บังเอิญไปเจอคอลเลคชั่นใหม่ๆจากแบรนด์ A’pieu กับ The face shop เลยเอามาอวดยั่วเงินในกระเป๋ากันค่ะ

สงครามคาแรคเตอร์ยังไม่จบค่ะ หลังจากแผ่วมาซักพัก ทาง The face shop ก็ออกคอลเลคชั่น Trolls ออกมาต้าน แบรนด์อื่นๆก็เลยเริ่มปล่อยของกันมาบ้าง

เริ่มประเดิมด้วยคอลเลคชั่น Bono Bono ของ A’pieu ค่ะ

bono 2.jpg

(Image from A’pieu)

Bono Bono นี่เป็นการ์ตูนของทางญี่ปุ่นนะคะ ในบ้านเราน่าจะยังไม่ค่อยรู้จักเท่าไหร่ ส่วนตัวมี่ว่าน่ารักดีค่ะ

(รายละเอียดการ์ตูน >>wikipedia)

ในหน้าเวบไซต์ของ A’pieu ก็จะมีคลิปน่ารักๆ เอา product แต่ละตัวมาอวดกัน

คอลเลคชั่นนี้ก็จะมี product อยู่ประมาณนี้ค่ะ

bono 3.jpg

(Image from A’pieu)

เปิดมาด้วยบลัชเนื้อครีมลายมุ้งมิ้ง

20170428175035_avufette

(Image from A’pieu)

Cream Tint ในหลอดดีไซน์รูปตัวเอกจากซีรี่ส์ Bono Bono

20170428175034_eickiplg

(Image from A’pieu)

Lip pencil ดีไซน์น่ารักๆ

20170428175034_amlkcqzw

(Image from A’pieu)

และปิดคอลเลคชั่นด้วย Eyeshadow palette ค่ะ

20170428175034_okkzcrhy

(Image from A’pieu)

ตัว Palette มีสีโทนน้ำตาล-ส้ม ที่ใช้เป็น Everyday look ได้เลยค่ะ

ราคานั้นก็เปิดมาไม่ได้โหดมาก และแน่นอนว่า ร้านพรีร้านหิ้วก็จะต้องฟันกำไรกันจนหัวหลุด

ราคา 1ราคา 2ราคา 3

ราคาแต่ละตัวตามรูปเลยค่า 🙂

  • Cream Tint 6000 วอน (ประมาณ 180 บาท)
  • Lip pencil 5800 วอน (ประมาณ 174 บาท)
  • Cream blush 4500 วอน (ประมาณ 135 บาท)
  • อายชาโดว์พาเลตต์ 18000 วอน (ประมาณ 540 บาท) << อันนี้แอบราคาแรง

 

ส่วนทางแบรนด์ Thefaceshop ก็จัดคอลเลคชั่น Simpsons มาได้ไม่น้อยหน้ากันเลยค่ะ

simpson

(Image from The face shop)

คอลเลคชั่นนี้มี่เห็นบนไอจีของแบรนด์ได้ซักพักแล้วค่ะ

(Image from The face shop)

คอลเลคชั่นนี้ส่วนมากดูเหมือนจะเน้นไปที่กันแดดค่ะ

มีมาสค์หน้าลายตัวละครของ The simpsons ด้วย

mask 1mask 2mask 3

(Image from The face shop)

ตอนเข้าไปในเวบของแบรนด์ก็เจอคูชั่นคอลเลคชั่นของ Kung Fu panda ด้วยค่ะ ไม่รู้มีมานานหรือยัง

ะดห

(Image from The face shop)

สำหรับวันนี้ก็มายั่วน้ำลายแต่เพียงเท่านี้ค่ะ  พบกันใหม่โอกาสถัดไปนะคะ สวัสดีค่ะ

Disclaimers: Images are from A’pieu and TheFaceShop Korea official website.

Image

Miyeon’s Lab — รีวิว/Screening หา สารกลุ่ม Polyphenol ในสกินแคร์ และ homemade beauty

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกๆท่าน

วันนี้มี่มาลองตรวจหา Polyphenol ในสกินแคร์ที่มี่ใช้เป็นประจำทุกวันให้ชมกันค่ะ

Polyphenol คือ อะไร ??

Polyphenol เป็นสารพฤกษเคมีในพืช กลุ่มใหญ่ กลุ่มหนึ่ง ทีประกอบด้วยโครงสร้างที่มีหมู่ฟังก์ชั่น ฟีนอล และ -OH อยู่หลายๆตัว ซึ่งสารกลุ่มนี้มีคุณสมบัติที่ดีในเชิงเครื่องสำอางมากมายค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Antioxidant, ลดการอักเสบ, Whitening และกลุ่มสาร Polyphenol ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง คือ Tannin ซึ่งมีรสฝาด ให้ผลกระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน และ มีผลฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ได้บางชนิดค่ะ

การตรวจ Polyphenol ง่ายๆ

จะใช้วิธี Ferric chloride reagent ค่ะ หยดลงไปแล้วสังเกตการเปลี่ยนสี จากสีเหลือง เป็น เขียว น้ำเงิน ม่วง ดำ น้ำตาล หรือ แดง ซึ่งสีที่เกิดขึ้นจะสอดคล้องกับชนิดของ Polyphenol ที่พืชมีค่ะ ถ้าเป็น Tannin มักจะให้สีน้ำเงิน และ เขียว

ซึ่งการตรวจแบบนี้เราเรียกว่า Screening test ซึ่งไม่ได้ถูกต้อง 100% นะคะ แต่ก็มีประโยชน์ในการคัดกรองเบื้องต้นค่ะ

พอดี Ferric chloride ที่ซื้อมา เหลือ เลยลองเอามาตรวจ Skincare เล่นๆค่ะ

ก่อนทำก็ละลาย Ferric chloride ให้ได้ความเข้มข้นที่เหมาะสมก่อนค่ะ

จะได้เป็นสารละลายสีเหลืองน้ำตาลค่ะ

fecl3.jpg
มี่ลองเอา Skincare ที่ใช้เป็นประจำมาตรวจดูค่ะ

fe 1

เยอะเชียว

เราเริ่มกันที่ Madre Labs Rose petal witch hazel toner ค่ะ

fe 2

ตอนแรกคิดว่าจะให้ผลบวกนะคะ เพราะ Witch hazel มี Tannin และ Polyphenol อยู่เยอะ แต่ผลคือ

fe 3

ไม่เกิดปฎิกิริยาค่าาา อาจจะเพราะว่าเจือจางเกินไปก็ได้

ตัวที่สอง Missha near skin black tea toner โทนเนอร์ชาดำของเกาหลีค่ะ

fe 4

ตัวนี้ก็ไม่เกิดปฎิกิริยาค่ะ

fe 5

ตัวที่สาม Skin Talk BHA music toner ลูกรักบ้านมียอนนั่นเองค่ะ

fe 6

ตัวนี้ให้ผลบวกนะคะ ได้เป็นสีม่วงค่ะ

fe 7

ตัวที่สี่ Labstory V10 Revital Whitening Intensive Booster ค่ะ

fe 8

ตัวนี้ดูไม่ค่อยชัด แต่เหมือนจะให้ผลบวกนะคะ ได้เป็นสีน้ำตาลอมเขียว

fe 9

ตัวที่ 5 Hada rizumu น้ำตบ Royal jelly และ Hyaluron ของ Kose cosmeport

fe 10

ตัวนี้คิดไว้แล้วว่าจะไม่เกิดปฏิกิริยา ก็ไม่เกิดจริงค่ะ

fe 11

ตัวที่ 6 Deep sea marine collagen ampoule ของ Mizon ลูกรักเช่นกัน

fe 12

ตัวนี้คิดไว้ว่าคงไม่เกิดปฎิกิริยา ก็ไม่เกิดจริงค่ะ เพราะส่วนผสมนางเป็นพวกคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีน

fe 13

ตัวที่ 7 It’s Skin GF effector ลูกรักเช่นกัน

fe 14

ตัวนี้ก็ไม่เกิดปฏิกิริยาค่ะ

fe 15

ลองดูพวก Homemade beauty บ้างนะคะ

สูตรแรก น้ำใบชาจีนต้มค่ะ

fe 16

ไม่เกิดจ้า ทั้งๆที่ควรจะเกิด อาจจะเพราะต้มเจืองจางไป

fe 17

สูตรสอง น้ำใบทับทิมต้มค่ะ

fe 18

ตัวนี้ค่อนข้างชัดค่ะ ว่าเปลี่ยนเป็นสีอมเขียว

fe 19

จบแล้วค่า

ถึงตัวที่ไม่ได้เกิดปฏิกิริยา ก็ไม่ได้แปลว่า จะไม่มีประโยชน์นะคะ เพราะวิธีนี้มันมีข้อจำกัดอยู่เยอะเหมือนกันค่ะ เขาอาจจะมี แต่เจืองจางไปหน่อย เลยไม่ทำปฏิกิริยาก็ได้

ขอบคุณที่รับชมมาจนจบนะคะ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นซื้อด้วยตัวเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นเพียงการคัดกรองเบื้องต้นด้วย Ferric chloride reagent ซึ่งมีข้อจำกัดหลายประการ และการอ่านสีอ่านด้วยตาเปล่า การเตรียมตัวอย่างไม่ได้ใช้เครื่องชั่ง อาจจะมีการคาดเคลื่อน จึงเป็นเพียงแนวทางเท่านั้น

 

Image

[Beauty talks] All about mask ภาค 2: มาสค์เนื้อครีม/เนื้อเจล

วันนี้มาคุยกันเรื่องมาสค์ที่มาในเนื้อครีม กับ เนื้อเจล กันนะคะ

 

BT mask 2.jpg

มาสค์ที่มาเป็นเนื้อครีม กับ เนื้อเจล มีทั้งแบบ ล้างออก ลอกออก และแบบที่ Leave-on ไว้ข้ามคืนค่ะ

 

ขอเอาตัวแรกก่อน เพราะรายละเอียดต่างไปหน่อยคือ มาสค์แบบลอกออก หรือ Peel-off mask ค่ะ

Peel-off mask นี่ก็เหมือนพวกเจลหรือครีมทั่วไปค่ะ เพียงแต่เขาก็จะมีส่วนผสมของสารก่อฟิล์มค่ะ

8-Amazing-Benefits-Of-Peel-Off-Masks.jpg

(Image from: www.stylecraze.com)


ตัวก่อฟิล์มที่ทอปฮิตใน Peel-off mask จะเป็น Polyvinyl alcohol หรือ PVA ค่ะ ถึงแม้จะลงท้ายด้วย Alcohol แต่ตัวมันก็ไม่ได้มีผลทำให้ผิวแห้งหรือจะระคายเคืองได้แบบ Alcohol ชนิดที่เรารู้จักกันว่า Ethanol ค่ะ

สารนี้ละลายได้ยาก และส่วนมากจะลายในแอลกอฮอล์ จึงมักพบว่าในส่วนผสมของมาสค์ลอกออกที่มี Polyvinyl alcohol จะมีแอลกอฮอล์อยู่ด้วย และอาจจะใส่ถึง 10% หรือมากกว่าเลยก็ได้ค่ะ เพื่อละลายเจ้านี้ให้ได้เป็นเจลใส

สรรพคุณของมาสค์ลอกออกแบบปกติ ถ้าไม่มีพวกตัวดูดซับก็แค่ เกิดฟิล์มที่ให้ผล Occlusive ให้ผิวชุ่มชื้น และเติมสารอาหารให้ผิว บางแหล่งระบุว่าตอนแผ่นฟิล์มหดตัวจะดึงเอารูขุมขนให้กระชับขึ้นด้วย แต่ถ้าใส่ตัวดูดซับ เช่นพวก Clay หรือ SIlica มาด้วยก็จะช่วยดูดสิวเสี้ยน หรือสิ่งสกปรกอื่นๆออกมาจากผิวได้ด้วย ถือเป็นการทำความสะอาดผิวรูปแบบหนึ่งค่ะ

ถ้าในส่วนผสมมีแอลกอฮอล์ คนที่มีผิวแห้งก็ควรเลี่ยงนะคะ

ถ้าอยากใช้ก็ใช้ซักอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งค่ะ

ขอยกตัวอย่างเป็นมาสค์ตัวนี้ค่ะ 

 

peel-off mask.jpg

 

เป็นหน้าที่ตัดมาจากเวบ Ulta ค่ะ จะเห็นว่าส่วนผสมค่อนข้าง Classic เลยค่ะ เพราะใช้สารก่อเจลเป็น PVA ที่ละลายใน Alcohol และ สารละลายอื่นๆ เสริมมาด้วย Panthenol คือ โปรวิตามินบี 5 กับ Sodium PCA ให้ผลเรื่องชุ่มชื้น  สารสกัดจากว่านหางจระเข้ และ แตงกวา ก็ให้ผลเรื่องชุ่มชื้นเช่นกัน และมีวิตามิน C กับ E อยู่

ราคาเท่านี้ถือว่าค่อนข้างถูกค่ะ

 

ต่อมา แบบที่ 2 เป็นมาสค์แบบล้างออก ก็จะใช้หลักการเดียวกับแผ่นมาสค์ คือส่วนผสมมีคุณสมบัติก่อฟิล์มบนผิวได้ หรือเคลือบผิวให้ภาวะ Occlusive เพื่อเติมน้ำ เติมอาหารให้ผิว และช่วยเรื่องการสมานแผลให้หายไวขึ้นค่ะ แต่ว่า ที่ต้องล้างออกเพราะว่า การ Occlusive จากมาสค์ประเภทนี้อาจจะเกิดมากไปจนเกิดผลเสียได้ จึงกำหนดให้ใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ

อันนี้สามารถมาสค์ได้บ่อยหน่อย เพราะว่าใช้เวลาสัมผัสผิวไม่นานค่ะ

 

ขอยกตัวอย่างเป็นมาสค์งาดำของ Skinfoods ค่ะ

 

skinfood-black-sesame-seed-hot-mask-1.jpg

มาสค์ตัวนี้ตอนพอกจะรู้สึกอุ่น ช่วยเปิดรูขุมขนได้ดีค่ะ 

ส่วนผสมมี่ไปเอามาจาก Makeupalley นะคะ

“PEG-400, SUCROSE, GLYCERINE, PEG-75, SESAMIUM INDICUM (SESAME) SEED POWDER, PPG-3 BENZYL ETHER MYRISTATE, LANOLIN WAX, SODIUM CHLORIDE, POLYSORBATE 20, DIMETHICONE, METHYL PARABEN, BUTYL PARABEN, PARFUM”

เบสหลักจะเป็น PEG-400 ซึ่งในความเข้มข้นสูงจะให้ความรู้สึกร้อนได้เมื่อสัมผัสผิวค่ะ

สารบำรุงยังไม่มีอะไรมาก มีแค่น้ำตาลที่ช่วยเรื่องชุ่มชื้น และงาดำที่น่าจะเป็น Gimmick ค่ะ 

ส่วนมาสค์หน้าข้ามคืน ก็เป็นการ Occlusive เช่นกันค่ะ เพียงแต่ส่วนผสมในมาสค์หน้าข้ามคืนจะเบาบางกว่า มาสค์แบบล้างออก แนะนำว่า การมาสค์หน้าข้ามคืน ควรบำรุงผิวให้เรียบร้อย และรอสกินแคร์แห้งก่อนจึงโบกมาสค์ลงไปก่อนไปนอนค่ะ จะช่วยผลักสารอาหารจากสกินแคร์เข้าผิวได้มากขึ้นด้วยค่ะ แต่ก็ต้องระวังถ้าใครแพ้ง่าย สารก่อภูมิแพ้ก็จะเข้าผิวได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

การมาสค์หน้าข้ามคืนไม่ควรใช้ทุกวันนะคะ เพราะการสร้างภาวะ Occlusive บ่อยๆมีผลเสียอยู่ค่ะ และการมีบาดแผล หรือแผลติดเชื้อ ไม่ควรทำ Occlusive นานๆค่ะ พักไปก่อนเนาะ

มาสค์หน้าข้ามคืน ทำได้ซักอาทิตย์ละ 1-3 ครั้งค่ะ

และก็ถ้าใครไวต่อแอลกอออล์ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ

ถ้าอยากอ่านเรื่อง Sleeping pack เพิ่มเติมมี่เคยอัพโหลดพรีวิวส่วนผสมไว้บนพันทิปนะคะ

1420300239-promote-o.jpg


ลิงค์นี้เลยค่ะ 🙂
http://pantip.com/topic/33057224

 

 

Image

[Beauty talks] All about mask ภาค 1: มาสค์หน้าไปทำไม บ่อยแค่ไหนดี และเลือกแบบไหนดี

สวัสดีค่ะ

 

วันนี้มาแชร์สาระเรื่อง Mask ค่ะ ตอนแรกนี้จะว่าด้วยประโยชน์ของ Mask และ Mask ประเภทแรก คือ Mask sheet ก่อนนะคะ

mask 1
ถ้าพูดถึงมาสค์ในท้องตลาดมีด้วยกันหลายรูปแบบ เช่น มาสค์โคลน มาสค์แบบล้างออก มาสค์แบบลอกออก มาสค์ชีท และมาสค์แบบที่ทาทิ้งไว้ข้ามคืน หรือ Overnight mask หรือ Sleeping mask ค่ะ

เดี๋ยวจะค่อยๆคุยกันทีละแบบนะคะ วันนี้ขอเริ่มด้วยมาสค์ชีทก่อนค่ะ

การ Mask หน้าด้วย Mask sheet เป็นการสร้างสิ่งที่เรียกว่า Occlusive effect ให้กับผิว คำนี้ไม่อยากแปลเป็นไทยเท่าไหร่ค่ะ แปลแล้วไม่ได้สื่อความหมายอะไรเท่าไหร่

ในการเอาแผ่นมาสค์มาแปะลงบนผิว ผลของ Occlusive effect จะทำให้ระบบและกลไกในผิวหนังเปลี่ยนไป อย่างแรกเลยคือ ความชื้นในผิวหนังจะเพิ่มขึ้น เพราะน้ำจากแผ่นมาสค์เข้ามาในผิว และน้ำในผิวไม่สามารถระเหยออกไปข้างนอกได้ เมื่อความชื่้นเพิ่มขึ้น ผิวจะมีการทำงานบางอย่างดีขึ้น เช่น การสมานแผลต่างๆในผิวดีขึ้น การสร้างโปรตีนและไขมันในผิวบางชนิดทำได้มากขึ้น และการผลัดเซลล์ผิวเกิดได้สมบูรณ์ขึ้น

 

ถึงแม้การแปะแผ่นมาสค์จะไม่ได้สร้างภาวะ Occlusive ที่สมบูรณ์เหมือนการทับด้วย Silicone sheet หรือ Plastic แต่ก็สามารถทำให้เกิดภาวะกึ่งๆ Occlusive ได้อยู่ค่ะ มี่เองก็ไม่แน่ใจข้อมูลเหมือนกันนะคะ ว่าแผ่นมาสค์จะทำให้เกิดภาวะ Occlusive ได้แค่ไหน และที่แน่ๆ วัสดุที่ใช้ทำแผ่นมาสค์ มีผลกับความสามารถในการ Occlusive แน่นอนค่ะ คหสต. มี่คิดว่า Mask sheet แบบที่เป็นแผ่นเจล หรือ Hydrogel patch น่าจะให้ผลในการ Occlusive ที่สูงกว่า และมีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ดีกว่าค่ะ


ความชื้นที่เพิ่มขึ้นในผิวยังมีผลต่อการดูดซึมสารบางชนิดเข้าสู่ผิวด้วย เพราะสารบางอย่างสามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นค่ะ

มาดูงานวิจัยที่เกี่ยวข้องบ้างนะคะ

Maibach และ Zhai ได้สรุปไว้ว่าผลของการ Occlusive ที่ผิวหนัง เป็นปรากฏการณ์ที่ส่งผลต่างๆต่อผิวหนังมากมาย และบางอย่างก็สลับซับซ้อน โดยรวมๆสรุปได้ว่า ภาวะ Occlusive มีผลต่อความชุ่มชื้นในผิว มีผลต่อการซึมผ่านของสารต่างๆเข้าสู่ผิว การฟื้นฟูและสังเคราะห์ไขมัน DNA การสมานแผลต่างๆในผิว รวมไปถึงมีผลต่อเชื้อจุลินทรีย์ดีๆ ที่เป็นเชื้อเจ้าบ้านด้วยค่ะ (Maibach and Zhai, Skin Pharmacol Appl Skin Physiol 2001;14:1-10)

การ Occlusive ทำได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นการทาผลิตภัณฑ์ที่มีไขมัน แล้วไขมันนั้นดูดซึมไม่ได้ กลายเป็นฟิล์มบางๆเคลือบผิวไว้กันน้ำระเหยออกไป หรือการใช้ Mask sheet นั่นเองค่ะ

ผิวหนังชั้นนอกปกติจะมีความชื้นอยู่ราวๆ 10 – 20% แต่เมื่อ Occlusive ไป 30 นาที พบว่าระดับความชื้นในผิวเพิ่มขึ้นจนถึงเกือบๆ 50% เลยทีเดียว ระดับความชื้นขนาดนี้ทำให้เซลล์ผิวบวม และโครงสร้างของไขมันใน Barrier ผิวก็มีการเปลี่ยนแปลงไป ทำให้สารบางชนิดซึมผ่านเข้าสู่ผิวได้มากขึ้น

สารที่จะซึมเข้าผิวได้ดีมากในช่วงที่เรา Mask มักจะเป็นพวกสารไขมันค่ะ

ในเอกสาร Review article ของ Maibach และ Zhai ยังกล่าวอีกว่า เมื่อเกิดการ Occlusive สาร Ethanol (Alcohol) สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นแผ่นมาสค์ที่มีแอลกอฮอล์ ก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง

สรุปก็คือ ข้อดีของ การ Mask หน้า เราก็จะได้เรื่องความชุ่มชื้น แล้วสารวิตามินต่างๆในแผ่นมาสค์ก็จะเข้าสู่ผิวได้ง่ายขึ้น แต่!!!! เมื่อสารต่างๆซึมเข้าผิวได้มากขึ้น ก็ไม่ได้แปลว่า จะดีเสียหมด เพราะสารที่ไม่เป็นมิตรก็อาจจะซึมเข้าสู่ผิวได้มากขึ้นด้วย ทำให้เกิดการแพ้ และการระคายเคืองได้ง่ายกว่าปกติ จึงไม่ควรทิ้งมาสค์ไว้นานๆ ซัก 15-20 นาทีก็พอค่ะ แล้วอาทิตย์หนึ่งควรใช้ซัก 1 – 2 ครั้งพอ

ถ้าพูดถึง Mask sheet ในตลาด

Mask sheet ก็คือ แผ่นมาสค์ที่แช่อยู่ใน Vehicle (ขอเรียกว่า น้ำยา แม้ว่าจะดูแปลกๆไปหน่อย เพราะจะเรียกว่า Solution ก็คงไม่ถูก เพราะมาสค์บางอย่างเป็นน้ำนม หรือ Emulsion)

Mask sheet มีกี่แบบ???

เท่าที่ดูๆมา มี่ขอแบ่งแผ่นมาสค์ในท้องตลาด เป็น 2 แบบหลักๆ คือ แบบที่เป็น Vehicle น้ำ กับ แบบที่เป็น Vehicle น้ำนม

1. แบบน้ำ ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้มากกว่า 90% มักจะใส่แอลกอฮอล์ลงมา เพื่อให้แห้งไว ไม่เหนอะหนะ แต่ก็อาจจะไม่ค่อยเหมาะกับคนผิวแห้ง มาสค์น้ำบางแบบจะเหนียวๆ ยืดๆ เป็นเมือกๆ เพราะสารก่อเจล เวลาเอาออกเสร็จควรไปล้าง แต่ถ้าเป็นมาสค์ที่ไม่เหนียว ไม่ยืด ไม่จำเป็นต้องล้างออก หรือจะล้างก็ไม่เป็นไร เพราะวิตามินบางส่วนก็ซึมเข้าผิวไปแล้ว

2. แบบน้ำนม ก็มีทั้งแบบน้ำนมเหลวๆ และแบบน้ำนมหนักๆ สังเกตได้จากสารน้ำมัน ตัวที่พบบ่อยที่สุดจะเป็น Capric/caprylic triglycerides กับพวก Fatty ester ต่างๆ (สังเกตจากชื่อสาร มี 2 วรรค วรรคแรกลงท้ายด้วย –yl วรรคสองลงท้ายด้วย –ate เช่น Ethyl hexylpalmitate, Cetyl ethylhexanoate ฯลฯ หรือไม่ก็ไม่วรรค แล้วลงท้ายด้วย –ate ไปเลย)

การเลือกมาสค์ให้เหมาะกับสภาพผิว
***คนผิวมัน ควรเลือกมาสค์น้ำที่มี Alcohol หรือเป็นมาสค์น้ำธรรมดาที่ไม่มี Alcohol

การใช้มาสค์ที่มี Alcohol ในคนที่มีผิวมัน Alcohol จะช่วยละลายไขมันบางส่วนบนผิวได้ด้วย น่าจะให้ผลดีเกี่ยวกับการคุมมันและเรื่องสิวด้วย (คหสต.)

***คนผิวผสม ควรเลือกมาสค์น้ำที่ไม่มี Alcohol

***คนผิวแห้ง ควรเลือกมาสค์น้ำนม

 

 

1432390518-o

 

ส่วนตัวมี่ลองมาสค์ชีทมาหลายแบรนด์ ซึ่งส่วนมากจะเป็นของเกาหลีค่ะ

 

1432390466-maskre-o

 

ถ้าสนใจลองตามไปอ่านกระทู้บนพันทิปได้เพิ่มเติมนะคะ 🙂

 

http://pantip.com/topic/33692147

 

พบกันใหม่ใน Part 2 กับ Mask เนื้อครีม/เนื้อเจล ค่ะ

Mini Review]] วิเคราะห์ส่วนผสม Miracle stick ชื่อดังจากเกาหลี Maxclinic Cirmage lifting stick

Mini Review]] วิเคราะห์ส่วนผสม Miracle stick ชื่อดังจากเกาหลี Maxclinic Cirmage lifting stick

มี่เชื่อว่าหลายๆคนต้องเคยเห็น Lifting stick ชื่อดังของเกาหลีแน่นอน คิดว่าหลายๆคนต้องสงสัยว่า เอ๊ะ เค้าทำได้ไง ทำไมถึงได้ยกกระชับจากหน้าย่น ให้กลายเป็นหน้าเรียวได้อย่างรวดเร็ว

 

วันนี้จะมาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ค่ะ

 

มาดูหน้าตากันก่อนนะคะ

cirmage re.jpg

 

(Image from: http://www.maxclinic.com/rb/?c=product/skincare)

วันนี้เป็นงานขโมยเพื่อนมารีวิวค่ะ 555

 

cir 1.jpg

 

ตอนที่เพื่อนสั่งผ่าน G market มีโปร 1+1 (ซื้อ 1 แถม 1)นะคะ

 

หน้าตาจะเป็นแท่งรูปทรงแปลกๆแบบนี้ค่ะ

 

cir 6.jpg

 

เปิดมาจะมีจุกปิดด้านในอีกชั้นนึง

 

cir 7

 

เปิดมาจะเป็นแบบนี้ค่ะ

 

cir 12

 

ลองกับมือดูนะคะ

 

cir 9

 

มันจะเป็นแท่งที่น่าจะมาด้วย Wax เป็นเนื้อหลัก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ รู้สึกอุ่นๆ หนึบๆตอนทา นางช่วยกลบความเหี่ยวบนมือได้จริงค่ะ

 

มาลองกับมือเพื่อนอีก ยิ่งเห็นชัด

 

cir 8.jpg

 

ซึ่งการกลบความเหี่ยว หรือ ริ้วรอย นี้เกิดได้จาก 2 กลไกหลักๆ

 

คือ ใช้พวก Pigment หรือ Silicone หรือ Polymer บางชนิดไปเคลือบปิดริ้วรอยต่างๆ หรือช่วยกระเจิงแสง ทำให้เรามองไม่เห็น

 

กับอีกกลไกคือ อาศัย peptide ที่ออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาท ทำให้กล้ามเนื้อคลายตัว ริ้วรอยเลยคลายออกค่ะ

 

มาลองดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

มี่ไม่ทราบส่วนผสมเต็ม เลยจะขอวิเคราะห์เท่าที่ทราบนะคะ

ตัวนี้ถ้าดูที่กล่อง มี่คงไม่ซื้อ เพราะนางแจ้งส่วนผสมมาแค่ สารสกัดจากชะเอม Adenosine Tocopheryl acetate และ Phenoxyethanol

cir 4

 

มาดูส่วนผสมในเวบนางถึงได้รู้ค่ะ ว่า นางมาเต็มเหมือนกัน

 

cirmageliftingstick_03-re

(Image from: http://www.maxclinic.com/rb/?c=product/skincare)

 

จัดเต็มไปที่ peptide ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทอย่าง Argireline, Syn-ake และ Spider peptide รวมถึง สารสกัดจากใยแมงมุมด้วยค่ะ

 

ตัวอื่นๆที่เห็นก็จะมี Collagen, Gellan gum (ที่ก่อฟิล์มบนผิวได้ และให้ความรู้สึกตึง)

 

แต่เรื่องของ Polymer กับ Silicone ที่เคลือบอำพรางริ้วรอยนั้นยังดูไม่ชัด เพราะเราไม่ทราบส่วนผสมทั้งหมดค่ะ

 

โดยรวมก็เหมือนเหล้าเก่าในขวดใหม่ เอา Peptide ที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทหลายๆตัวมายำรวมๆกัน ได้เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โด่งดังในชั่วข้ามคืน ถือว่าทำมาได้ดี และมีความเป็นนวัตกรรมค่ะ

 

ซึ่งจริงๆนางมีเทคนิคของนางด้วยนะคะ ความเว้า ความโค้งของตัวผลิตภัณฑ์มีผลกับการนวดค่ะ

 

ตบท้ายด้วยวิธีนวดค่ะ

 

cirmageliftingstick_07.jpg

(Image from: http://www.maxclinic.com/rb/?c=product/skincare)

 

สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ค่ะ เอาไปคืนเพื่อนก่อน สวัสดีค่ะ 🙂

 

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม CC cream นานาชาติในบ้านมียอน 5 แบรนด์ 5 สไตล์

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม CC cream นานาชาติในบ้านมียอน 5 แบรนด์ 5 สไตล์

วันนี้มี่มารีวิวเปิดกรุ CC cream ในบ้านมียอนให้ชมกันค่ะ

CC cream ที่มี่มีไว้ในครอบครอง จะเป็น 5 หลอดนี้ค่ะ
คำถาม: จำเป็นไหม ต้องมี CC 5 หลอด??
คำตอบ: แล้วแต่อารมณ์ค่ะ วันนี้อยากทาอันนี้ อีกวันอยากทาอีกอัน ไรงี้

 

cc 1.jpg

 

ไม่พูดพร่ำทำเพลง มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ ตัวแรก Maybelline New York White superfresh CC
Make it happen inspired by คุณแม่เจนี่ค่ะ

 

cc 2.jpg

 

ตัวนี้เนื้อบีบออกมามีสีค่อนข้างขาว พอทาแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเนื้อกลืนไปกับผิว (ภาษาอังกฤษมาค่ะ —> Color changed !!)

CC นี้มีกลิ่นหอมอ่อนๆค่ะ

 

m texture.jpg

 

การคุมมันตัวนี้ทำมาได้ค่อนข้างดีนะคะ คุมมันที่จมูกได้นานกว่า 6 ชั่วโมงค่ะ แต่มันดีเกินไปค่ะ ผิวแก้มของมี่ปกติจะไม่มันเหมือน T-zone ใช้ตัวนี้มี่จะรู้สึกแห้งตึงไปนิดนึงค่ะ
ถ้ามาแล้วไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้ค่ะ

ส่วนผสมมาค่ะ

 

สผส M.jpg

ตัวนี้ส่วนผสมค่อนข้างมาเต็ม เพราะอัดแน่นด้วยสารบำรุงอยู่หลายตัวมาก ทั้งสารกลุ่ม LHA, อนุพันธ์ของกรดอะมิโนราคาแพง สารสกัดจากดอกบัว และ โบตั๋น (Peony) ซึ่งให้ผลโดยรวมในด้านริ้วรอยและผิวขาวเช่นกัน มาดูรายละเอียดกันซักเล็กน้อยนะคะ

  • LHA ที่มี่ว่า คือ Capryloyl salicylic acid เป็นลูกหลานของ Salicylic acid ซึ่งเป็น BHA มีบทบาทในการผลัดเซลล์ผิว ลดการอักเสบ ละลายสิวอุดตัน มีงานวิจัยหนึ่งทดสอบประสิทธิภาพของสารตัวนี้เทียบกับ Glycolic acid พบว่า LHA ลดริ้วรอยในอาสาสมัครได้ และช่วยให้ผิวขาวขึ้นดีกว่า Glycolic acid (J Cosmet Dermatol. 2008; 7(4):259-62.)
  • Sodium palmitoyl proline ที่มี่บอกว่าดูแพง มีชื่อว่า Sepicalm VG ซึ่งเป็นวัตถุดิบผสมระหว่างสารตัวนี้กับสารสกัดจากดอกบัว (Nymphaea alba extract) มีประโยชน์เป็น Whitening ทั้งส่วนของสีผิวด่างดำที่เกิดตากกระบวนการอักเสบ และความผิดปกติของสีผิวที่เกิดตามอายุ และมีคุณสมบัติ Soothing ช่วยให้สบายผิว 
  • Paoenia suffruticosa extract คือ สารสกัดจากโบตั๋นพันธ์ Tree peony มีสารประกอบพวก Flavonoid ที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ มีรายงานการวิจัยบอกว่าสามารถทำให้เซลล์ผิวหนัง Keratinocyte มีชีวิตยืนยาวขึ้น (Fitoterapia. 2013;84:308-17) มีรายงานถึงฤทธิ์ Antiinflammatory (Nat Prod Res. 2014;28(5):301-5.) และฤทธิ์ Antioxidant กับฤทธิ์ทำให้ผิวขาว ผ่านกลไกการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase เอนไซม์ DOPA oxidase และยังลดการสังเคราะห์เอนไซม์ tyrosinase กับโปรตีนอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์เมลานินได้ด้วย (Plant Foods Hum Nutr. 2011;66(3):275-84.)
โดยรวมคือ CC นี้ได้ความไวท์ไปเต็มๆค่ะ

แต่มาตกม้าตายเพราะมีส่วนผสมของ paraben อยู่นะคะ

ตัวที่สองมาจากฝั่งเกาหลีบ้างค่ะ เป็น CC จากแบรนด์ Pretty story
cc 6
เนื้อครีมจะออกไปที่อันเดอร์โทนสีชมพู ตามสไตล์เกาหลี ขาวอมชมแบบมีเลือดฝาด กลิ่นหอมอ่อนๆ เน้นปกปิด เพราะเนื้อจะมีเม็ดสีที่ค่อนข้างเข้มข้นค่ะ
pretty texture

การคุมมันนั้น ค่อนข้างดีเช่นกัน คุมมันที่จมูกได้นานกว่า 6 ชั่วโมง แต่ตัวนี้ไม่ได้ทำให้หน้ารู้สึกแห้งไปนะคะ กำลังดีค่ะ

ในส่วนของส่วนผสมนั้น

 

สผส P.jpg

 

มีสารกันแดดทั้งชนิดกายภาพและเคมี และมีสารบำรุงผิวอยู่หลายตัว คือ

  • Arbutin เป็นสารที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว ซึ่งมาในลำดับต้นๆของรายการส่วนผสมเลยค่ะ
  • Snail secretion filtrate หรือ เมือกหอยทาก มีงานวิจัยรองรับถึงผลในการฟื้นฟูผิวที่เสียหายเพราะรังสี UV และช่วยลดริ้วรอย
  • Adenosine มีงานวิจัยรองรับถึงผลในการลดริ้วรอย
  • Collagen ช่วยเรื่องความชุ่มชื้นผิว
  • Malus domestica fruit cell extract สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของแอปเปิ้ล ที่เรียกๆกันว่า Apple stem cell มีผลช่วยดูแลฟื้นฟูความเสียหายของผิวและลดริ้วรอย
  • Fragaria chiloensis fruit extract สารสกัดจากสตรอเบอรี่สายพันธ์สีขาว ช่วยลดการสร้างเม็ดสี และช่วยปกป้องฟื้นฟูผิวจากรังสี UV

โดยรวมถือว่าเป็น CC ที่ให้ผลทั้งไวท์เทนนิ่ง ชุ่มชื้น และริ้วรอย ในหลอดเดียวกัน

แต่ก็ยังมีส่วนผสมของ paraben อยู่ค่ะ

 

ตัวที่สาม สัญชาติเกาหลีเช่นกัน เป็นตัว Cathy Doll speed white CC cream

 

cc 10

หลอดดูไปดูมาคล้ายๆเสือดาวมุ้งมิ้ง ตัวนี้นางเคลมเรื่องของการคุมมันตลอดทั้งวันค่ะ แต่ส่วนตัวมี่คุมตรงจมูกได้ราวๆ 4 ชั่วโมงค่ะ บ่ายๆมาต้องเติมแป้งซักหน่อย แต่บริเวณแก้มและหน้าผากกำลังผ่องเลย

 

ตัวนี้บีบออกมาเนื้อจะค่อนข้างขาวนะคะ แต่เวลาเกลี่ยเสร็จก็เกือบจะไม่เห็นสี สัมผัสค่อนข้างบางเบา ออกจะหนึบๆอยู่นิดนึงค่ะ

cathy texture

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

สผส c

 

ส่วนผสมตัวนี้มีส่วนของสารกันแดดทั้งชนิดกายภาพและเคมีค่ะ ในส่วนของสารบำรุงมีสาร Arbutin ที่ช่วยลดการสร้างเม็ดสี แต่มาในลำดับท้ายๆ

เราจะทำเป็นมองไม่เห็นนะคะ ว่ามีส่วนผสมที่สะกดผิด

ตัวที่สี่ สัญชาติอังกฤษ จาก  Seventeen นั่นเองค่ะ

นางมาในหลอดสีขาว สลับสีเขียวพาสเทลดูเด็กๆวัยใสกรุบกริบ

 

cc 13

 

ตัวนี้สีจะเข้มนิดนึงนะคะ มีส่วนผสมของ Shimmer อยู่ด้วย

ส่วนตัวมี่อยากแนะนำว่า ก่อนใช้เขย่าซักนิดนะคะ จะมีส่วนของ Shimmer ที่มัน Bleed ออกมาจากเนื้อครีม (ศัพท์สวยๆของคำว่า แยกชั้นหรือแยกตัวออกมา)

 

seventeen tex

 

ส่วนการคุมมัน มี่ขอให้ระดับกลางๆค่ะ ตัวนี้จะเน้นความโกลว ความวาวอยู่ด้วย

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้ค่ะ

 

สผส s

 

จะมีส่วนของสารกันแดดทั้งชนิดเคมีและกายภาพ ร่วมกับสารบำรุงผิว 2 ตัว คือ สารสกัดจาก St.Paul worth (Sigesbeckia orientalis extract) ที่ช่วยเรื่องริ้วรอยได้ และ Rabdosia rubescens ซึ่งคู่นี้ไปตรงกับวัตถุดิบ Chromacare ของบริษัท Sederma ที่ช่วยเรื่องสีผิวอย่างครบวงจร คือ ลดรอยดำ ลดรอยแดงโดยไปลดสีจาก Hemoglobin (องค์ประกอบของ Hemoglobin) และ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว

ชิคค่ะ สมกับวัย Seventeen จริงๆ เพราะไม่ได้แค่ปกปิด แต่ลดรอยดำรอยแดงได้ในระยะยาว

ตัวสุดท้ายเป็น ZA color match shield cc cream ตัวใหม่ล่าสุด ที่มี่เลือกมาเป็นสูตรสีม่วงค่ะ

 

cc 16

 

เป็น CC base ม่วงที่เปลี่ยนเป็นสีเนื้อตอนทา ให้ผลปรับสีผิวให้สว่างขึ้น มีกลิ่นหอม

za texture

 

ประกอบด้วยสารกันแดดทั้งชนิดกายภาพและเคมี ในส่วนของสารบำรุงนั้นเป็นกลุ่มน้ำตาลที่ช่วยเรื่องของความชุ่มชื้นเป็นหลัก ร่วมกับสารสกัดจากชาเขียว และ hyaluron ค่ะ

เทียบเนื้อหลังเกลี่ยของทุกตัวให้ชมนะคะ

 

seventeen tex

 

ของ ZA กับ Seventeen จะมีความวาวอยู่เล็กๆ และตัวที่กลืนกับผิวมี่ที่สุดจะเป็นตัว Pretty story ตามมาด้วย Maybelline ค่ะ

 

มาดูเนื้อ และ ความมันของเนื้อ CC กันบ้างนะคะ

 

ความมัน

 

ตัวที่เนื้อครีมยังมีความมันอยู่จะเป็นตัว Cathy doll, Seventeen และ ZA นะคะ แต่ Maybelline และ Pretty story นั้น ยังไม่มีน้ำมันซึมออกมาจากเนื้อครีมในช่วงนี้ค่ะ

 

ส่วนการปกปิด มี่ทดสอบกับ สี 3 สี คือ ดำ น้ำตาล และ ชมพู เพื่อใช้ประเมินการกลบรอยดำ เม็ดสี และ รอยแดงนะคะ

 

ปกปิด 1+2

 

ปกปิด 3+4

 

จากรูปจะเห็นว่าตัวที่ปกปิดได้ค่อนข้างดีจะเป็น Pretty story, Seventeen และ ZA ค่ะ ตามลงมาจะเป็น Maybelline และ Cathy doll

สุดท้ายก็มาถึงช่วงให้คะแนนกันค่ะ

 

คะแนน cc

 

สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ

 

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แป้งเกาหลี 5 แบรนด์ 5 สไตล์

เปิดกรุรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แป้งเกาหลี 5 แบรนด์ 5 สไตล์

วันนี้มี่จะมาเปิดกรุแป้งพัฟเกาหลี รีวิว วิเคราะห์ส่วนผสม แป้งอัดแข็งแบบผสมรองพื้นจากเกาหลีทั้งหมดที่มีในครอบครองให้ชมกันนะคะ

มีอะไรบ้างมาดูกันดีกว่า

pow 1

เริ่มกันที่ตัวแรก Skinfood Royal Honey density pact แป้งน้ำผึ้งชื่อดังนั่นเองค่ะ

SKF.jpg

มี่ใช้สีเบอร์ 2 ค่ะ ตัวแป้งมีกลิ่นหอมคล้ายน้ำผึ้ง อัดมาได้ค่อนข้างแน่นค่ะเวลาใช้ ทั้งแปรง ทั้งพัฟกด จะไม่ลุ่ย ไม่ร่วน ไม่หลุดล่อนออกมาเยอะค่ะ ในทางกลับกันก็จะจิกแป้งออกมาใช้ได้ยากนิดนึง

เนื้อเป็นประมาณนี้นะคะ

SKF-1

ตัวนี้จะค่อนข้าง Matte ค่ะ

ส่วนของ Feeling นั้น จะรู้สึกหยาบๆอยู่เล็กน้อย และก็ตกร่องได้เล็กน้อยค่ะ ตรงริ้วรอยตื้นๆ หรือตรงหลุมสิวเสี้ยนที่จมูก และรูขุมขน จะเห็นชัดเลย

เรื่องการคุมมัน มี่ให้ระดับ 3 ค่ะ ยังเอา T-zone ไม่อยู่

สำหรับส่วนผสมมี่คิดว่าเขาให้มาไม่ครบนะคะ
ถ้าลอกฉลากที่ก้นตลับออกมา จะเห็นว่า มีแค่ น้ำผึ้ง, Royal jelly, Titanium dioxide, Ethylhexyl methoxycinnamate, Methylparaben และ Propylparaben มีเพียงแค่นี้ไม่มีทางขึ้นรูปเป็นแป้งพัฟได้แน่นอน ส่วนตัวมี่เองก็พยายามไปตามหาตามเวบ ก็ไม่เจอส่วนผสมแบบเต็มเหมือนกันค่ะ
แต่มีแค่นี้ก็หักคะแนน Paraben ได้แล้วค่ะ ซึ่งเจ้า paraben นี่เป็นสารกันเสียที่อาจจะทำให้เกิดการแพ้ และอาจจะมีผลรบกวนระบบฮอร์โมนในร่างกายจนเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งบางชนิดได้ คนปกติที่ไม่แพ้ ไม่มีประวัติมะเร็ง ก็ใช้ได้ไม่มีปัญหาอะไร แต่คนที่เสี่ยง ก็เลี่ยงไปจะดีกว่า

สผส skf

ตัวที่สองเป็นแป้ง แจยอน แป้งไวท์เทนนิ่ง แป้งรักษ์โลกที่ได้รับตรา Ecocert คือเป็นตรารับรองว่าผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสมของสารธรรมชาติ/สารออร์แกนิกที่ออกโดยสถาบัน ECOCERT ประเทศฝรั่งเศส เทียบเท่ากับ USDA ของ อเมริกาค่ะ

ja 1

มี่ใช้สีเบอร์ 2 เช่นกันค่ะโดยเนื้อแป้งในตลับจะมีสีเข้มเล็กน้อย แต่ปัดออกมา จะไม่ได้ออกสีเข้มขนาดนั้น ตัวแป้งมีกลิ่นหอมแนวดอกไม้ ผสมกับขนมๆ ตัวนี้จิกแป้งออกมาได้ง่าย เกลี่ยง่าย เซ็ตตัวไว ใช้เซ็ตรองพื้นได้ค่ะ

ในส่วนของเนื้อนั้นเป็นประมาณนี้ค่ะ

ja 2.jpg

จะค่อนข้างโปร่งแสงอยู่เหมือนกัน แป้งตัวนี้จะมีสัมผัสที่บางเบา คล้ายผ้าไหมค่ะ (แอบโชว์ภาษาอังกฤษสวยๆนิดนึง ว่า เป็นแบบ Silky Feel) มีความเนียนและกลืนกินไปกับผิว ไม่ตกร่อง ฉาบปิด โบกทับหมดทุกร่องรอยอารยธรรม

เรื่องการคุมมัน มี่ให้ที่ระดับ 5 ค่ะ คุมได้กริบมาก คุม T-zone ได้นานเกิน 6 ชม.

ในส่วนของส่วนผสมนั้น

สผส jayoun

จากส่วนผสมจะเห็นว่ามีส่วนผสมของสารบำรุงผิวด้วย คือ
1. Squalane เป็นไขมันที่คล้ายกับไขมันในผิว นอกจากผลเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว ผิวเราเอามาใช้ประโยชน์ไปสร้าง Cholesterol ที่เป็น Barrier ผิวได้
2. Leontopodium alpinum extract เป็นสารสกัดจากดอก Edelweiss จากสวิตเซอร์แลนด์ รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Alpaflor® Edelweiss มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant และมีคุณสมบัติปกป้องผิวจากรังสี UV ช่วยให้ผิวแข็งแรงขึ้นโดยไปมีส่วนช่วยการทำงานของเอนไซม์ Transglutaminase ที่เป็นตัวเชื่อมผิวให้แข็งแรง และยังให้ผลเรื่อง Whitening ได้ด้วย
3. Collagen ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น
4. Hydrolyzed adansonia digitata extract มีชื่อทางการค้าว่า Dansonyl เป็นสารที่ได้จากการย่อยสลายสารสกัด Baobab พืชชื่อดังจากแอฟริกา ประกอบด้วยสารกลุ่ม Mucilage ที่มีความสามารถในการก่อฟิล์มบนผิวหนัง ช่วยดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปกป้องกันน้ำระเหยออกจากผิว ให้ผิวนุ่มและเงางาม เมื่อฟิล์ม Set ตัวได้ จะให้ความรู้สึกตึง (Tightening effect)

ในส่วนผสมยังมีส่วนผสมของสารไขมันที่ช่วยเคลือบปกป้องผิวได้ด้วย แต่มี paraben

โดยรวมคือ แป้งนี้ให้ผลได้ทั้งด้านชุ่มชื้น เคลือบปกป้องผิว และเป็น Whitening
ตัวที่ 3 เป็นแป้งที่มีตลับมุ้งมิ้ง จาก Bisous Bisous Brightening foundation powder

bis 1

มี่ใช้เบอร์ 2 นะคะ ตัวแป้งจะมีกลิ่นหอมจางๆ มี่บรรยายไม่ถูกอะ ว่ากลิ่นอะไร แต่หอมอยู่ค่ะ จางๆ

อัดมาได้ค่อนข้างแน่น สัมผัสจะค่อนข้างลื่นและเบา คล้ายผ้ากำมะหยี่ (ภาษาอังกฤษมาค่ะ Velvety feel)

เนื้อเป็นประมาณนี้นะคะ

bis 2

ตัวนี้จะดูหนักนิดนึง แต่ไม่มากถึงขั้นหนาเตอะ และก็อาจจะมีตกร่องได้ตามรูสิวเสี้ยนบนจมูก ต้องอาศัยเอาพัฟสะอาดมากดไล่อีกครั้งหนึ่ง

เนื้อแป้งจะค่อนข้างขาวค่ะ

เรื่องการคุมมัน มี่ให้ที่ระดับ 4 ค่ะ คุม T-zone ได้ประมาณ 4 ชม

ในส่วนของส่วนผสมนั้น

สผส bisous

จะมีส่วนของสารบำรุงอยู่ 3 ตัว คือ วิตามินอี วิตามินซี และ Hydrolzyed collagen ค่ะ

แต่ก็มี paraben เช่นกัน

ส่วนของสารอื่นๆนั้น ยังไม่ได้เด่นมากค่ะ ไม่มีอะไรมีพิษมีภัยอะไรกับผิว
ตัวถัดมาเป็นของ The face shop กับตัว TheFaceShop Jelly pact

TF 1

ตัวแป้งจะเป็นแป้งดินน้ำมันนะคะ แต่ค่อนข้างแข็งนิดนึง ตัวแป้งไม่ได้นุ่มนิ่มแบบดินน้ำมันที่เราเห็นกันบ่อยๆ

ลากมาแล้วจะมีความ Glow จะมี Shimmer นิดๆ ไม่ได้ matte สนิทค่ะ กลิ่นหอมค่ะ

TF 2.jpg

ตัวพัฟดูเหมือนจะเอาแป้งออกมาได้ยาก เพราะตัวแป้งมันมาในรูปแบบกึ่งๆครีมกึ่งๆขี้ผึ้งและค่อนข้างโปร่งแสง เลยทำให้เราดูยากว่า ตอนนี้ แป้งบนพัฟเพียงพอกับการกดบนหน้าหรือยัง

เรื่องการคุมมันมี่ให้อยู่ที่ระดับ 3 นะคะ ตัวแป้งจะเน้นความโกลว เป็นหลัก

ในส่วนของส่วนผสมนั้น เป็นดังนี้นะคะ

สผส TFS

ตัวแป้งจะมีส่วนประกอบของน้ำมันจากพืชอยู่หลายตัว ตั้งแต่ Caprylic/capric triglyceride ที่เป็นน้ำมันที่มีสายไม่ยาวมาก บางเบา ไม่เหนอะหนะ ซึมไว และน้ำมันจาก Argan oil, Avocado oil และ Olive oil ซึ่งช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้ ถึงจะดีแต่น้ำมันจากพืชบางคนก็อาจจะอุดตันได้ค่ะ

สำหรับส่ารออกฤทธิ์ มีอยู่ 2 ตัว คือ
1. สารสกัดจากชะเอม ให้ผลเรื่องผิวขาว และลดการอักเสบ ระคายเคือง
2. สารสกัดจาก Lily (Lilium candidum bulb extract) ให้ผลเป็น Whitening

แป้งนี้จึงให้ผลเรื่อง Whitening ได้อยู่

ตัวนี้ไม่มี paraben นะคะ

 

สุดท้ายแป้งกุหลาบจาก Mille ค่ะ

mil 1

ตัวนี้เนื้อแป้งจะมีสีค่อนข้างเข้มนะคะ ให้ลุคที่ไปในทาง Matte ค่ะ

แป้งมีกลิ่นหอม อัดมาได้ค่อนข้างแน่นเช่นกัน ส่วนของสัมผัสนั้น นุ่มอยู่ค่ะ แต่ยังไม่ถึงขั้น Silky หรือ Velvety มีตกร่องได้เล็กน้อยค่ะ

mil 2.jpg

ด้านการคุมมันมี่ให้ระดับ 5 ค่ะ คุม T-zone ได้นานเกิน 6 ชม.

ในส่วนของส่วนผสม
สผส Mille

จะไม่ได้มีอะไรมากนะคะ มี น้ำมันจากพืช คือ น้ำมันรำข้าว น้ำมันเมล็ดมะรุม ซึ่งช่วยเรื่องทดแทนไขมันจำเป็นให้กับผิว ให้ผิวเอาไปสร้าง Barrier ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ และ น้ำกุหลาบมอญ ที่ช่วยเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว (ภาษาอังกฤษ มาอีกค่ะ Soothing effect)

และตัวนี้ไม่มี Paraben นะคะ

เทียบกันนะคะ

ที่แสงธรรมดา และแสงแฟลช

เทียบเนื้อแป้ง

ตัวที่เนียนเข้ากับผิวที่สุดจะเป็นตัว Jayoun กับ TheFaceShop นะคะ โดยตัว Jayoun จะให้ความ Matte และ ตัว TheFaceShop จะให้ความ Glow เบาๆ ใครชอบแบบไหนก็จัดแบบนั้นค่ะ

งานการปกปิดต้องมาค่ะ ซึ่งมี่ทดสอบกับ สี 3 สี คือ ดำ น้ำตาล และ ชมพู เพื่อใช้ประเมินการกลบรอยดำ เม็ดสี และ รอยแดงนะคะ

การปกปิด

ตัวที่ปกปิดได้ดีสุดจะเป็นตัว Jayoun กับ Mille นะคะ ส่วน Skinfood กับ Bisous จะอยู่ในเกณฑ์กลางๆค่ะ

ถึงเวลาของคะแนนแล้วค่ะ

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม สกินแคร์กลุ่มวิตซี จากแบรนด์ Lab Story ยกเซ็ต

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม สกินแคร์กลุ่มวิตซี จากแบรนด์ Lab Story ยกเซ็ต

วันนี้เอาสกินแคร์กลุ่ม Vit C เกาหลี จากแบรนด์ Lab story มารีวิวให้ชมกันค่ะ

ขึ้นชื่อว่าบ้านมียอน งานโอปป้าต้องมาเสมอค่ะ

ในเซตนี้ มีผลิตภัณฑ์อยู่ 3 ชิ้นนะคะ คือ Booster, Serum และ Cream ค่ะ

มาดูหน้าตากันก่อนเลยเนอะ

lab 1

แบรนด์ Lab story นั้น ว่ากันว่าเป็น แบรนด์เวชสำอางของเกาหลีที่ดาราเกาหลีเลือกใช้กัน ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เลือกใช้ส่วนผสมที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ มีการพัฒนาสูตร ใช้นวัตกรรมต่างๆเพื่อดูแลผิว และที่สำคัญคือ ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ และความปลอดภัย การระคายเคืองเรียบร้อยแล้วค่ะ

อีกอย่างคือ นางมีออฟฟิสอยู่ที่ย่านคังนัมนะคะ ย่านหรูชื่อดังในกรุงโซล

เรามาเริ่มกันที่ตัวแรกของเซตเลยค่ะ กับตัว Booster เป็นแนวๆ Toner/Essence นะคะ

lab 2

ตัวนี้เนื้อจะเป็นกึ่งๆน้ำนม มีความหนืดนิดๆ ชุ่มชื้นผิวมาก กลิ่นหอมอ่อนๆละมุนๆ เกลี่ยค่อนข้างง่ายนะคะ จะเทใส่มือแล้วตบ หรือ จะใส่สำลีแล้วเช็ดก็ได้หมด
ส่วนตัวมี่ชอบเทใส่สำลีแล้วกดเบาๆบนหน้าค่ะ

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

lab 4

 

ตัวนี้นอกจากสารหลักจะมีจุดเด่นอยู่ที่ น้ำมันจากพืชหลายชนิดค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นชนิดที่หายากและมีราคาแพง เช่น น้ำมันจากเมล็ดบรอคโคลี่ น้ำมันจากถั่วดาวอินคา (Plukenetia volubilis) สายพันธ์ดั้งเดิมจากป่าอเมซอน น้ำมันเมล็ดแบลคเคอเรนท์ น้ำมันมะรุม ร่วมกับน้ำมันจากพืชตัวดั้งเดิมอีกหลายชนิด เช่น มะกอก ชา Jojoba Macadamia และ Meadowfoam

เรียกได้ว่าใครที่กำลังมองหาน้ำมันจากธรรมชาติ เจ้านี่คงตอบโจทย์ได้เลยค่ะ

ขนาดมี่เอง ลองมาก็เยอะ มาเจอตัว Booster นี่หลงไหลได้ปลื้มเชียวหละ

ส่วนของสารออกฤทธิ์ก็จะมีพวกกลุ่มที่ช่วยเรื่องผิวขาวอยู่หลายตัว เช่น

  • Niacinamide ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีคุณสมบัติเรื่องผิวขาว เพิ่มความแข็งแรงให้แก่ Barrier ผิว โดยไปเร่งการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และลดการอักเสบ
  • Sorbitol กับ Sodium hyaluronate ที่มาในลำดับต้นๆ เด่นเรื่องความชุ่มชื้น ผิวนุ่มฟู
  • Melon seed extract อันนี้ขึ้นกับกรรมวิธีว่าจะได้น้ำมัน หรือ โปรตีนออกมา แต่หลักๆก็คือให้ผลเรื่องความชุ่มชื้นของผิว
  • สารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่หายาก อย่าง Chokeberry (Aronia melanocarpa extract) Elderberry (Sambucus nigra extract)
  • วิตามินซี ที่ใช้เป็นรูปแบบ Ethyl ascorbyl ether ที่มีขนาดเล็ก มีความคงตัวสูง มีความเป็นกรดน้อย ให้ผลเรื่อง Antioxidant ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว และเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสร้างคอลลาเจนในผิว

สารอื่นๆก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิวเลยค่ะ แถมบางตัวยังมีประโยชน์กับผิวด้วยซ้ำ

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่สารส่วนใหญ่ในผลิตภัณฑ์คงตัวค่ะ

 

lab 7

 

ตัวที่สองเป็นตัว Serum Whitening bomb

 

lab 8

 

มาในรูปแบบน้ำนม กลิ่นหอมละมุนเช่นกัน ตัวเซรัมนี้มีความหนืดมากกว่าตัว Booster เล็กน้อยค่ะ

lab 11-1

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้

 

lab 9

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะคล้ายกับตัว Booster แต่ลำดับของสารจะต่างกัน เช่น ลำดับของ Ethyl ascorbyl ether จะอยู่ที่ลำดับต้นๆกว่า และ ลำดับของ Niacinamide จะอยู่หลังกว่าตัว Booster

ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือ

  • Biosaccharide gum-1 ซึ่งคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ ประกอบด้วยน้ำตาล 3 โมเลกุล คือ Galacturonic acid, L-Fucose และ D-Galactose มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ค่อนข้างนาน สารนี้มีคุณสมบัติก่อฟิล์มให้ความรู้สึกชุ่มชื้นนุ่มนวล ไม่เหนอะหนะ ไม่มัน และมีรายงานว่าช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการแพ้ได้ (Fucogel จาก Solabia)
  • Adenosine มีคุณสมบัติที่ดีในด้านริ้วรอย และการส่งเสริมการทำงานของผิว

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 4-5 เหมือนตัว Booster ค่ะ

 

lab 13

 

ส่วนตัวสุดท้ายจะเป็นตัวครีม มีชื่อว่า Intensive cream whitening bomb ค่ะ

lab 14

 

เนื้อครีมจะค่อนข้างเบา ให้ความชุ่มชื้นสูง แต่ไม่เหนอะหนะ และไม่หนักผิวเกลี่ยค่อนข้างง่าย มีกลิ่นละมุนเช่นกัน

 

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้ค่ะ

 

lab 16

 

มีการเปลี่ยนแปลงลำดับของสารเล็กน้อย โดยเน้นกลุ่มน้ำมันมากขึ้น ตัวชูโรงคือตระกูลมะกอก และแมคคาเดเมีย

สารที่เพิ่มเข้ามาคือ

  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบในผิว
  • Trehalose เป็นน้ำตาลชนิดพิเศษ ที่มีคุณสมบัติดูดน้ำให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น น้ำตาลนี้สามารถปกป้องรักษาเซลล์ผิวจากความแห้งได้ยาวนาน
  • โปรตีนนม (Milk protein) ที่ให้ผลเด่นเรื่องความชุ่มชื้น กับ เคลือบผิวให้ดูเรียบเนียน

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 5 – 6 ค่ะ

 

lab 19

ให้คะแนนกัน

  1. กลุ่มสารออกฤทธิ์ หรือ Active ingredients สารที่เป็นเสมือน Key note player ของไลน์ จะเป็นตัววิตามินบี 3 วิตามินซี เมื่อสองตัวนี้มาเจอกันจะช่วยผสานกันในการเป็น Whitening และช่วยเรื่องริ้วรอย และความแข็งแรงของ Barrier ผิวได้ กับสารสกัดจาก Berry หายาก อย่าง Chokeberry และ Elderberry ซึ่งนอกจากวิตซี ยังมีสารสีกลุ่ม Anthocyanin ที่เป็น Antioxidant ที่ดี ให้กับผิว ในแต่ละชิ้นยังมีสารอื่นๆเสริมเข้ามา เช่น ตัว Booster จะโดดเด่นด้วยน้ำมันจากพืชหายาก ตัว Serum มี Biosaccharide gum-1 และตัวครีมที่เสริมสารเติมน้ำเข้ามา โดยรวมถือว่า ทำได้ดีในการเป็นไวท์เทนนิ่ง เพราะออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 ขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างเม้ดสี และป้องกันไม่ให้เม็ดสีที่สร้างเสร็จออกมาข้างนอก จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. กลุ่มเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ Base ทั้ง 3 ตัวมาในรูปแบบของ Emulsion ที่ประกอบด้วย น้ำ น้ำมัน และซิลิโคน สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว มีสารดูดน้ำให้ผิว มีสารไขมันจากธรรมชาติที่สามารถทดแทนไขมันในผิวได้ และมีสารเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. กลุ่มสารปรุงแต่ง หรือ Additives สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบตัว Booster เพราะเอามาใช้งานได้กว้าง หลากหลาย เอามาเช็ดก็ได้ เอามาตบๆ หรือจะเอามาทาเป็นตัวหลักเลยก็ได้หมด ส่วนตัว Serum และ ครีม ก็ให้สัมผัสได้ค่อนข้างดีเช่นกัน สิ่งที่สัมผัสได้ก่อนเลยคือเรื่องความชุ่มชื้น ดูเหมือนจะได้เรื่องความเรียบเนียนเข้ามาด้วย ส่วนเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอนั้นยังไม่ได้ชัดเจนมาก ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

จบแล้วค่าาา ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามมาจนจบนะคะ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ

 

เดี๋ยวนี้ในไทยเขาก็มีบริษัทนำเข้ามาแบบถูกต้องแล้วนะคะ ลองไปดูกันเล่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/labstory.thai ได้เลยค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์ได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนที่เกาหลี (Consumer-reviewed)