Image

Mini Review โรลออนแบบแท่งสูตรธรรมชาติ ปราศจาก Aluminium จากแบรนด์ Schmidt กลิ่น Lavender + Sage

สวัสดีค่ะ

วันนี้ขอหยิบเอาผลิตภัณฑ์สำหรับระงับกลิ่นกายใต้วงแขนมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ

ด้วยความที่ส่วนตัวมีปัญหาผิวแห้ง ในบางครั้งการใช้โรลออนทั่วไปที่มีพวกสารระงับเหงื่อกลุ่ม Aluminium ก็จะทำให้เกิดการระคายเคือง คันใต้วงแขนอยู่บ่อยๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้นแพ้ เลยพยายามลองเปลี่ยนไปเรื่อยๆ จนไปเจอกับแบรนด์ Schmidt บนเว็บของ iHerb เลยลองสั่งมาค่ะ พอได้ใช้อยู่เกือบเดือนก็คือแบบว่า รู้สึกดี ไม่แห้ง ไม่คันเหมือนเมื่อก่อน นานๆ ทีถึงจะแห้งคันขึ้นมา

ทีนี้ก่อนไปพูดเรื่องผลิตภัณฑ์ อยากเล่าให้ฟังถึงกลไกหลักในการระงับเหงื่อก่อนนะคะ

หลายคน (รวมทั้งตัวเองเมื่อก่อน) อาจจะคิดว่า โรลออนก็คือโรลออน จะอะไรนักหนา จริงๆ แล้ว ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้เราแบ่งเป็น 2 กลุ่มย่อยๆ คือ พวกระงับเหงื่อ กับ ระงับกลิ่น

โดยการระงับกลิ่นจะมีหลายรูปแบบ เช่น กำจัดแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของกลิ่น ใช้สารกำจัดกลิ่น หรือ กลบกลิ่นด้วยกลิ่นที่แรงกว่า เป็นต้น

ในขณะที่การระงับเหงื่อจะอาศัยสารประกอบของ Aluminium หรือ Zirconium ไปอุดรูของต่อมเหงื่อไว้ ไม่ให้เหงื่อไหลออกมา ซึ่งก็อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ทั้งจากกลไกของเขาเอง และค่า pH ค่อนข้างต่ำของผลิตภัณฑ์(ส่วนใหญ่)

อย่างถ้าพูดถึงตัวโบราณๆ ที่ยังคงใช้กันก็นึกถึงสารส้ม (Potassium aluminium sulfate หรือ Alum) ทุกวันนี้บางคนก็ใช้ ส่วนตัวเองก็เคยใช้ แล้วรู้สึกว่าดีด้วยหละ ราคาก็ไม่แพง

โดยตัวพื้นฐานที่เป็นที่นิยม และพบได้บ่อยมากกว่า 80% ในท้องตลาดคือ Aluminium chlorohydrate ซึ่งนางเองก็มีประสิทธิภาพสูงในการระงับเหงื่อ ซึ่งมีทั้งในรูปแบบของโรลออน และ สเปรย์

ทีนี้หลังๆมา ก็เริ่มมีกระแสว่า แกร Aluminium มันไม่ดีนะ นู่นนี่นั่น

เลยมีพวก Natural ออกมามากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนตัวแอบสนใจผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อแบบ Natural มาซักพักแล้วหละ ตามที่บ่นๆ ไปด้านบน ทีนี้เจ้าแบรนด์ Schmidt’s นี่ก็เป็นแบรนด์หนึ่งที่น่าสนใจเพราะได้รางวัลยอดนิยมมาหลายชิ้น รวมถึงรีวิวจากผู้บริโภคก็ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ดี

นางมีหลายกลิ่นอยู่นะคะ และใช้น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติเป็นตัวแต่งกลิ่นหลัก ตัวที่สนใจจริงๆ คือ Rose + Vanilla แต่ในเว็บ iHerb นางไม่เอาเข้ามาขาย เลยสั่ง Lavender + Sage มาแทน (ตอนนี้ในเว็บ iHerb ก็เอานางออกแล้ว แต่บน Official ของเพจ Schmidt’s ยังมีอยู่)

มาในรูปแบบแท่ง หน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตัวที่มี่มีเป็นแพคเกจรุ่นเก่านะคะ ตอนนี้แพคเกจใหม่เปลี่ยนเป็นประมาณนี้ค่ะ

(Image from Schmidt’s official website)

ด้านหลังก็จะมีเคลมเกี่ยวกับความเป็นมิตรกับสัตว์โลก เพราะเป็นสูตร Vegan และไม่ใช้สัตว์ทดลองค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังภาพค่ะ

ส่วนผสมหลัก นางอาศัยแป้ง Arrowroot ที่รู้จักกันในชื่อภาษาไทยว่า แป้งท้าวยายม่อม เป็นองค์ประกอบหลัก เอามาขึ้นรูปด้วยน้ำมันและไขมันจากธรรมชาติ แต่งกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหยตามสูตร

ตอนแรกที่เราคิดไว้ก็คือเวลาทา มันจะต้องสากๆ แต่ไม่นะคะ มันทาได้ไม่สาก เพียงแต่มันจะมีก้อนๆ ของแป้งอยู่นิดหน่อย แต่พอวอร์มโดยการเอาแปะไว้ใต้วงแขนสักครู่ ก่อนจะลากไปมา นางก็เคลือบผิวได้โดยไม่ทิ้งคราบขาว ไม่ทำให้เสื้อขาวเหลือง และไม่ทำให้เสื้อดำเป็นสีขาว คือ เรียกได้ว่ารักเลยหละ อีกอย่างที่คิดไว้คือ นางน่าจะระงับเหงื่อได้ไม่ดี ใช้ไปนี่บ่ายๆ จั๊กเปียกแน่ๆ อันนี้เดี๊ยนก็เดาผิด กลายเป็นว่า เอ้อแกร แห้งสนิท ไม่ระคายเคือง ไม่คัน ผิวไม่แห้งเหมือนตอนใช้พวก Aluminium เหมือนเมื่อก่อน คือสุดท้ายก็รักเลยหละ

สำหรับวันนี้ก็มาแบบสั้นๆ ไว้พบกันใหม่ในโอกาสถัดไปค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Beauty News] CeraVe Thailand brand launch event 2018

เมื่อวันก่อนมี่มีโอกาสได้ไปร่วมงานเปิดตัว CeraVe (เซราวี) ในประเทศไทยเป็นแห่งแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หลายๆท่านน่าจะรู้จักแบรนด์ CeraVe อยู่แล้วนะคะ ส่วนตัวมี่เองก็เลยลองใช้ตัวนี้อยู่ สั่งมาจากเวบ iHerb

ตอนนี้ทางบริษัท L’oreal Thailand ก็ได้นำเอาสินค้าในแบรนด์ CeraVe เข้ามาจำหน่ายในไทยแล้วค่ะ ไม่ต้องสั่งบนเว็บ ไม่ต้องหิ้วให้เหนื่อยต่อไป

แบรนด์ CeraVe นี่เป็นแบรนด์เวชสำอางบำรุงผิวที่พัฒนาร่วมกับแพทย์ผิวหนังชั้นน้ำของอเมริกา มีราคาที่จับต้องได้ หาซื้อได้ง่าย และเป็นที่นิยมทั่วโลกเลยทีเดียวค่ะ

 

บรรยากาศภายในงานตกแต่งด้วยสีขาวสะอาดสว่างตา ตัดด้วยสีฟ้าของแบรนด์ CeraVe ค่ะ

ce 1

 

นี่ไงป้ายของเรา

ce 6

 

เมื่อเข้าไปถึงทางทีมงานก็จะให้วัดสภาพผิวก่อนค่ะ

ce 2

 

ขนาดเราคิดว่าเราก็ดูแลดีแล้วนะ ผลยังออกมาเกินอายุเลย

 

ด้านแรก ด้านความชุ่มชื้น ผิวมี่ผิวแห้ง เครื่องก็บอกว่าแห้งมากกกกกกกก

ce 3

 

ด้านที่สอง ด้านเม็ดสี ริ้วรอย และ รอยเส้นเลือดฝอย

ce 4

เม็ดสีกับริ้วรอย ของมี่เกินอายุไปนิดนึง ส่วนด้านรอยเส้นเลือดฝอยนั้นยังไม่มี ซึ่งตรงนี้อาจจะ error ได้เพราะเราโบกเมคอัพไปค่อนข้างหนาค่ะ

 

สรุปเลยออกมาว่า ผิวเราก็ยังพอได้อยู่

ce 5

 

ต่อมาก็เป็นซุ้มที่โชว์สินค้าค่ะ

 

ซึ่งทางแบรนด์ CeraVe เคลมเรื่องของนวัตกรรม MVE (Multivesicular emulsion technology) ลิขสิทธิ์ของทางแบรนด์ ซึ่งมีรูปแบบคล้ายหอมหัวใหญ่ ค่อยๆปลดปล่อยไขมันให้ผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นได้อย่างยาวนาน

ce 8

 

จุดเด่นอีกจุด คือ การใช้เซราไมด์ 3 ชนิด ได้แก่ เซราไมด์ 1 เซราไมด์ 3 และ เซราไมด์ 6-II ซึ่งเน้นช่วยฟื้นฟูและปรับสภาพ Barrier ผิวให้แข็งแรงค่ะ

ce 7

 

กลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มี่ได้มาจะเป็นทั้งหมดตามภาพนี้ค่ะ

 

ce 9.JPG

ไว้เดี๋ยวเรามารีวิวกันอีกทีนะคะ ^^

 

สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณทางแบรนด์ CeraVe Thailand ด้วยค่ะที่เชิญมี่ไปร่วมงานเปิดตัวสินค้า และมอบผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้ได้ทดลองใช้

 

สำหรับวันนี้คงต้องลากันไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Image

[Beauty talks] All about mask ภาค 2: มาสค์เนื้อครีม/เนื้อเจล

วันนี้มาคุยกันเรื่องมาสค์ที่มาในเนื้อครีม กับ เนื้อเจล กันนะคะ

 

BT mask 2.jpg

มาสค์ที่มาเป็นเนื้อครีม กับ เนื้อเจล มีทั้งแบบ ล้างออก ลอกออก และแบบที่ Leave-on ไว้ข้ามคืนค่ะ

 

ขอเอาตัวแรกก่อน เพราะรายละเอียดต่างไปหน่อยคือ มาสค์แบบลอกออก หรือ Peel-off mask ค่ะ

Peel-off mask นี่ก็เหมือนพวกเจลหรือครีมทั่วไปค่ะ เพียงแต่เขาก็จะมีส่วนผสมของสารก่อฟิล์มค่ะ

8-Amazing-Benefits-Of-Peel-Off-Masks.jpg

(Image from: www.stylecraze.com)


ตัวก่อฟิล์มที่ทอปฮิตใน Peel-off mask จะเป็น Polyvinyl alcohol หรือ PVA ค่ะ ถึงแม้จะลงท้ายด้วย Alcohol แต่ตัวมันก็ไม่ได้มีผลทำให้ผิวแห้งหรือจะระคายเคืองได้แบบ Alcohol ชนิดที่เรารู้จักกันว่า Ethanol ค่ะ

สารนี้ละลายได้ยาก และส่วนมากจะลายในแอลกอฮอล์ จึงมักพบว่าในส่วนผสมของมาสค์ลอกออกที่มี Polyvinyl alcohol จะมีแอลกอฮอล์อยู่ด้วย และอาจจะใส่ถึง 10% หรือมากกว่าเลยก็ได้ค่ะ เพื่อละลายเจ้านี้ให้ได้เป็นเจลใส

สรรพคุณของมาสค์ลอกออกแบบปกติ ถ้าไม่มีพวกตัวดูดซับก็แค่ เกิดฟิล์มที่ให้ผล Occlusive ให้ผิวชุ่มชื้น และเติมสารอาหารให้ผิว บางแหล่งระบุว่าตอนแผ่นฟิล์มหดตัวจะดึงเอารูขุมขนให้กระชับขึ้นด้วย แต่ถ้าใส่ตัวดูดซับ เช่นพวก Clay หรือ SIlica มาด้วยก็จะช่วยดูดสิวเสี้ยน หรือสิ่งสกปรกอื่นๆออกมาจากผิวได้ด้วย ถือเป็นการทำความสะอาดผิวรูปแบบหนึ่งค่ะ

ถ้าในส่วนผสมมีแอลกอฮอล์ คนที่มีผิวแห้งก็ควรเลี่ยงนะคะ

ถ้าอยากใช้ก็ใช้ซักอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งค่ะ

ขอยกตัวอย่างเป็นมาสค์ตัวนี้ค่ะ 

 

peel-off mask.jpg

 

เป็นหน้าที่ตัดมาจากเวบ Ulta ค่ะ จะเห็นว่าส่วนผสมค่อนข้าง Classic เลยค่ะ เพราะใช้สารก่อเจลเป็น PVA ที่ละลายใน Alcohol และ สารละลายอื่นๆ เสริมมาด้วย Panthenol คือ โปรวิตามินบี 5 กับ Sodium PCA ให้ผลเรื่องชุ่มชื้น  สารสกัดจากว่านหางจระเข้ และ แตงกวา ก็ให้ผลเรื่องชุ่มชื้นเช่นกัน และมีวิตามิน C กับ E อยู่

ราคาเท่านี้ถือว่าค่อนข้างถูกค่ะ

 

ต่อมา แบบที่ 2 เป็นมาสค์แบบล้างออก ก็จะใช้หลักการเดียวกับแผ่นมาสค์ คือส่วนผสมมีคุณสมบัติก่อฟิล์มบนผิวได้ หรือเคลือบผิวให้ภาวะ Occlusive เพื่อเติมน้ำ เติมอาหารให้ผิว และช่วยเรื่องการสมานแผลให้หายไวขึ้นค่ะ แต่ว่า ที่ต้องล้างออกเพราะว่า การ Occlusive จากมาสค์ประเภทนี้อาจจะเกิดมากไปจนเกิดผลเสียได้ จึงกำหนดให้ใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ

อันนี้สามารถมาสค์ได้บ่อยหน่อย เพราะว่าใช้เวลาสัมผัสผิวไม่นานค่ะ

 

ขอยกตัวอย่างเป็นมาสค์งาดำของ Skinfoods ค่ะ

 

skinfood-black-sesame-seed-hot-mask-1.jpg

มาสค์ตัวนี้ตอนพอกจะรู้สึกอุ่น ช่วยเปิดรูขุมขนได้ดีค่ะ 

ส่วนผสมมี่ไปเอามาจาก Makeupalley นะคะ

“PEG-400, SUCROSE, GLYCERINE, PEG-75, SESAMIUM INDICUM (SESAME) SEED POWDER, PPG-3 BENZYL ETHER MYRISTATE, LANOLIN WAX, SODIUM CHLORIDE, POLYSORBATE 20, DIMETHICONE, METHYL PARABEN, BUTYL PARABEN, PARFUM”

เบสหลักจะเป็น PEG-400 ซึ่งในความเข้มข้นสูงจะให้ความรู้สึกร้อนได้เมื่อสัมผัสผิวค่ะ

สารบำรุงยังไม่มีอะไรมาก มีแค่น้ำตาลที่ช่วยเรื่องชุ่มชื้น และงาดำที่น่าจะเป็น Gimmick ค่ะ 

ส่วนมาสค์หน้าข้ามคืน ก็เป็นการ Occlusive เช่นกันค่ะ เพียงแต่ส่วนผสมในมาสค์หน้าข้ามคืนจะเบาบางกว่า มาสค์แบบล้างออก แนะนำว่า การมาสค์หน้าข้ามคืน ควรบำรุงผิวให้เรียบร้อย และรอสกินแคร์แห้งก่อนจึงโบกมาสค์ลงไปก่อนไปนอนค่ะ จะช่วยผลักสารอาหารจากสกินแคร์เข้าผิวได้มากขึ้นด้วยค่ะ แต่ก็ต้องระวังถ้าใครแพ้ง่าย สารก่อภูมิแพ้ก็จะเข้าผิวได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

การมาสค์หน้าข้ามคืนไม่ควรใช้ทุกวันนะคะ เพราะการสร้างภาวะ Occlusive บ่อยๆมีผลเสียอยู่ค่ะ และการมีบาดแผล หรือแผลติดเชื้อ ไม่ควรทำ Occlusive นานๆค่ะ พักไปก่อนเนาะ

มาสค์หน้าข้ามคืน ทำได้ซักอาทิตย์ละ 1-3 ครั้งค่ะ

และก็ถ้าใครไวต่อแอลกอออล์ก็ควรเลือกชนิดที่ไม่มีแอลกอฮอล์นะคะ

ถ้าอยากอ่านเรื่อง Sleeping pack เพิ่มเติมมี่เคยอัพโหลดพรีวิวส่วนผสมไว้บนพันทิปนะคะ

1420300239-promote-o.jpg


ลิงค์นี้เลยค่ะ 🙂
http://pantip.com/topic/33057224

 

 

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม พร้อมสูตร DIY Argan oil บริสุทธิ์ ของ Physicians formula

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม พร้อมสูตร DIY Argan oil บริสุทธิ์ ของ Physicians formula

วันนี้มี่เอาน้ำมันบำรุงผิวมารีวิว และแชร์สูตร DIY ค่ะ

เป็น Argan oil บริสุทธิ์ จากแบรนด์ Physicians Formula นั่นเองค่ะ Oil ตัวนี้ Made in Morocco นะคะ มาจากแหล่งกำเนิดของ Argan oil กันเลยทีเดียว

มาดูหน้าตากันซักนิดนึงนะคะ

ao 1

ตัวแพคเกจ เป็นขวดแก้ว มีหลอดหยด Design มาในรูปแบบที่ดู Exotic ดูหรูหรา มีความเป็นศิลปะอยู่ อารมณ์มี่คิดว่ามันเป็นแนวอาหรับ ได้อยู่ ลองไป Google ดู เกี่ยวกับ Morocco ก็เห็นศิลปะของเขามาในแนวนี้เช่นกัน

ที่ด้านหลังกล่องก็จะมีการ Claim เรื่อง Multi-tasking, 100% pure argan oil, Hypoallergenic, Fragrance Free, Gluten Free, Paraben Free และ Dermatologist Tested

pf claim

เอารูปมาให้ดูซักหน่อย

ao 2

เนื้อออยล์เป็นออยล์ค่อนข้างเหลว สัมผัสบางเบา เกลี่ยง่าย มีกลิ่นออยล์จางๆค่ะ

ao 3

ao tex.jpg

การซึมของออยล์นั้นอยู่ในระดับกลางๆค่ะ ไม่ได้ไวมาก แต่ก็ไม่ได้ช้ามากเกินไป

สำหรับส่วนผสมนั้น ประกอบด้วย Argan oil 100% ค่ะ

กล่าวถึงซักนิดนึงเนอะ

Argan oil เป็นน้ำมันที่ได้จาก Argan ที่พบมากในแถบ Morocco ค่ะ ในน้ำมันประกอบด้วยกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัวเป็นหลัก มีกรดไขมัน Linoleic acid อยู่ ราวๆ 30% และมีสารในกลุ่ม Phytosterol ที่มีผลลดการอักเสบในผิวได้ และมีวิตามินอีอยู่ค่อนข้างสูงค่ะ

การทดสอบในกลุ่มสตรีวัยทองที่ทา Argan oil พบว่า มีผลช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น (Prz Menopauzalny. 2014;13(5):280-8.) และความยืดหยุ่นของผิวหนังได้ด้วยค่ะ (Clin Interv Aging. 2015;10:339-49.)

 

ออยล์นี้ทางแบรนด์ Claim เรื่อง Multi-tasking นะคะ เรียกเป็นภาษาไทยๆสวยๆว่า สารพัดประโยชน์

นางทำอะไรได้บ้าง ต้องพิสูจน์ค่ะ มาลองดูกันดีกว่าค่ะ

1. ทาผิวโดยตรง เป็น Skincare oil ให้ผลทดแทนไขมันให้แก่ผิวค่ะ

 

2. ผสมกับ Moisturizerรูปแบบโลชั่น หรือครีมที่ชอบ ก่อนทาลงผิว เพื่อทดแทนไขมันให้แก่ผิว

 

สามารถผสมกันได้ตามชอบนะคะ ตั้งแต่ Oil 1 ส่วน Lotion 1 ส่วน ไปเรื่อยๆส่วนตัวมี่ชอบที่สัดส่วน Oil 1ต่อ Lotion 3 ส่วนค่ะ

 

จะผสมกันบนหลังมือ ก่อนเอานิ้วป้ายไปละเลงบนหน้าหรือจะผสมที่ฝ่ามือ แล้ว warm ก่อนกดลงบนหน้าก็ได้ค่ะ

ao mix.jpg

3. ผสมกับรองพื้นในอัตราส่วน Oil 1 ส่วนต่อ รองพื้น 2 ส่วน ปรับได้ตามชอบนะคะ 

ส่วนตัวมี่แนะนำรองพื้นที่เป็นเนื้อครีม หรือเนื้อไม่เหลวมากเกินไปจะกำลังดีเลยค่ะ

ao foundation

ผสมเสร็จแล้วละเลงบนหน้าได้เลยค่ะจะได้ความฉ่ำวาวและชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น

ao found look

4. ทำ DIY สนุกๆ 

ส่วนตัวมี่ชอบทำสครับค่ะโดยสิ่งที่เราต้องเตรียมก็จะมี

  • ชามสำหรับผสม และช้อน/ส้อม
  • น้ำตาล
  • Argan oil ของ Physiciansformula
  • ผงสมุนไพรตามชอบของมี่เลือกใช้ผงว่านนางคำค่ะ ซื้อจากร้านสมุนไพร ไม่แน่ใจว่ากรุงเทพซื้อไหนร้านเจ้ากรมเป๋อ จะมีไหมนะคะ แต่ถ้าเป็นเชียงใหม่ ร้าน E.A.R. สมุนไพรที่กาดหลวงมีค่ะ
  • โลชั่นที่ใช้ทุกวัน

 

ao 13

น้ำตาลถ้าขัดแล้วรู้สึกว่ามันหยาบมากไป จะเอาไปปั่นก่อน หรือใช้น้ำตาลไอซิ่งแทนนะคะ เหมาะกับการขัดหน้าค่ะ ถ้าอยากขัดตัวใช้เกลือก็ได้ค่ะ แต่เกลือไม่น่าเอามาขัดหน้าเท่าไหร่ค่ะ

  1. ใส่น้ำตาลลงไปในชามก่อนค่ะ
  2. ตามด้วย ใส่ผงสมุนไพรที่ชอบลงไป นิดหน่อยพอประมาณ
    ถ้าจะขัดตัว ใส่ผงพริกไทยลงไป จะได้ความรู้สึกอุ่นๆ ใช้เป็น Home spa สำหรับกระชับสัดส่วน ลดเซลลูไลท์ได้ด้วยหล่ะ
  3. เอาส้อมคลุกๆให้สมุนไพรกระจายตัวในน้ำตาล
  4. ใส่น้ำมัน Argan ลงไป 1 – 2 หลอดหยด
  5. ใส่น้ำผึ้งลงไป 1 ช้อน
  6. คลุกผสมให้เข้ากันค่ะ
  7. จากนั้นเทโลชั่นที่ชอบลงไปพอประมาณนะคะ กะเอา ให้ได้เนื้อขลุกขลิกพอดี
  8. คนผสมกันเป็นอันเสร็จพิธี

 

This slideshow requires JavaScript.

 

ขัดวนไปค่ะ

This slideshow requires JavaScript.

สาเหตุที่มี่ใช้โลชั่นผสมด้วยก็เพราะว่า มันจะทำให้เราล้างออกได้ง่ายขึ้นค่ะ

 

ลองสครับกันดูนะคะ อย่าสครับบ่อย ซักอาทิตย์ละครั้งก็พอค่ะ

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตัวเอง

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม Primer ของ Wet n Wild Coverall Primer base de teint

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม Primer ของ Wet n Wild Coverall Primer base de teint

วันนี้มี่เอารีวิว Primer ตัวใหม่ของ Wet n wild มาฝากกันค่ะ

Primer ตัวใหม่นี้มีชื่อเต็มๆว่า Coverall Primer base de teint ค่ะ

มาดู Spot กันซักนิด

20160405_083521-re

ในส่วนของเนื้อ Primer นั้นเป็นเนื้อครีมสีขาว เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย เรียบเนียน เซ็ตตัวได้ไวค่ะ

เมื่อเซ็ตแล้วจะให้ผลในการอำพรางริ้วรอยเล็กๆ และรูขุมขน ร่องรอยต่างๆได้ค่ะ

primer review 1

ลองทดสอบกับการเกลี่ยรองพื้นนะคะ

primer review 2

จากรูปมันอาจจะไม่ค่อยชัด แต่เวลาลง Primer ตัวนี้แล้วปล่อยให้นางเซ็ตตัวดีๆ เราจะลากรองพื้นได้ง่ายขึ้น ช่วยคุมมัน และช่วยให้รองพื้นติดผิวได้นานขึ้นด้วยค่ะ

ลองกับหนังหน้าจริงๆบ้างค่ะ

primer review 3

มาทั้งทีไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้ มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

สผส

จากส่วนผสมตรงนี้จะเห็นว่าเป็นส่วนประกอบของครีมที่ประกอบด้วยน้ำและซิลิโคนเป็นหลัก มีกลุ่มน้ำมันอยู่เล็กน้อย โดยที่น้ำมันที่ใช้คือ Isododecane ที่เป็นน้ำมันสังเคราะห์ ที่ไม่มีปัญหาเรื่องความเสี่ยงในการอุดตันรูขุมขน

ถ้าพูดถึง Silicone จะเห็นว่าตัวที่มาเป็นหลักเลย จะเป็น Cyclomethicone เป็น Silicone ที่มีน้ำหนักเบา ระเหยได้ จะไม่เกาะติดบนผิว ให้สัมผัสที่บางเบาไม่เหนอะหนะ ส่วน Dimethicone นั้นไม่ระเหย เคลือบอยู่บนผิวค่ะ

หลายๆคนมองว่า Silicone นั้นไม่ดี แต่จริงๆแล้ว Silicone นั้นปลอดภัยนะคะ ไม่แพ้ ไม่อุดตัน ถ้าเราล้างออกให้สะอาด แต่ถ้าไม่สะอาดเมื่อไหร่ มันจะไปสร้างตัวเป็นฟิล์มบนผิวขัดขวางการผลัดผิวและขับน้ำมัน ส่งผลให้เกิดการหมักหมมสิ่งสกปรกขึ้นมา

ทางแบรนด์ Claim เรื่องของอัญมณี Sapphire ซึ่งมี่มองว่า หมายถึง Alumina ซึ่งเจ้า Alumina นี้เป็นสินแร่ชนิดหนึ่ง เกิดได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นพลอย ไพลิน ทับทิม พวกนี้จะมีคุณสมบัติเรื่องการหักเหและกระเจิงแสงอยู่ในตัว เลยช่วยอำพรางร่องรอยตื้นๆ และรูขุมขนได้ค่ะ

และสุดท้าย นางไม่ได้มาแบบเบสเปล่าๆ นางยังแถมวิตซี 3-O-Ethyl ascorbic acid ที่ว่ากันว่ามีขนาดเล็ก ออกฤทธิ์ได้ดีมาด้วยอีกตัวนึง

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ เนื่องจากส่วนผสมค่อนข้างน้อยเลยขอยกยอดรวมเป็นคะแนน ส่วนผสม และคะแนนการใช้งานเลยนะคะ
1. ส่วนผสม ไม่มีสารไหนมีพิษมีภัยอะไรกับผิว และมีการใช้ผงพลอยไพลิน เป็นตัวช่วยกระเจิงแสง เสริมวิตซีมาอีกเล็กน้อย ส่วนตัวมี่คิดว่าถ้าหากมีพวก Antioxidant หรือสารบำรุงอะไรเสริมมาอีกหน่อยน่าจะสมบูรณ์ขึ้น เลยขอให้ 4 ฟลาสก์

2. การใช้งาน ตัวนี้ถ้าแต่งครบ จะได้ลุคที่กึ่งแมทท์ ไม่ได้แมทท์มาก ไม่ได้ Dewy มาก แต่กำลังดีค่ะ มีผลคุมความมันได้ดีระหว่างวัน แต่ก็ไม่ได้ทำให้แห้งเกินไป สำหรับผิวมี่ที่ค่อนข้างแห้ง ถ้าเจอ Primer คุมมันแรงๆ ผิวจะแห้งและเหี่ยว แต่ตัวนี้ไม่เป็น สำหรับบริเวณจมูก ซึ่งค่อนข้างมัน ตอนบ่ายแก่ๆ ยังต้องมาตบแป้งซับอีกรอบ และที่สำคัญคือราคาราคาเป็นมิตรจับต้องได้ค่ะ (25 mL/390 บาท) ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบนะคะ เลยขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Wet n Wild ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้

และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Wet n Wild ได้โดยตรงเลยค่ะ

 

https://www.facebook.com/WetnWildThailand

 

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมแป้งโบท็อกซ์ ของแบรนด์ Physicians formula

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมแป้งโบท็อกซ์ ของแบรนด์ Physicians formula

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกท่าน ช่วงนี้มาบ่อย อย่าพึ่งเบื่อกันนะคะ

วันนี้มี่แวะเอารีวิวแป้งโบท็อกซ์ ชื่อดังจากแบรนด์ Physicians formula มาฝากกันค่ะ

ชื่อเต็มๆของเขาก็คือ

Physicans formula CoverTox Ten 50 Wrinkle therapy face powder ค่ะ

แป้ง 1

ทางแบรนด์ทำมาด้วยกัน 2 เฉดนะคะ

เป็นแป้งโปร่งแสงทั้งคู่ สี Light กับ Medium ค่ะ

ตัวแป้งนั้นมาในตลับสีดำ ค่อนข้างหนา ทนทาน พร้อมแปรงเล็กๆ 1 อันค่ะ

ตลับแป้ง

Swatch ทั้งสองสีให้ดู จะเห็นว่าต่างกันไม่มากค่ะ

แป้ง บนแขน

แป้งตัวนี้ ถ้าเราเร่งรีบ เราโบกลงบนหน้าสดได้เลย การปกปิดนั้นไม่เยอะมาก ดูบางเบา และเป็นธรรมชาติดีค่ะ
มี่ใช้สี Medium นะคะ

หน้าสด
หรือจะเอามาใช้เป็นแป้ง Set รองพื้นแทนแป้งฝุ่นก็ได้เช่นกัน ไม่เลอะเทอะ ไม่ต้องมานั่งดมแป้ง

หน้ารองพื้น

ถ้าเอามา Set รองพื้น จะได้เนื้อค่อนข้าง Matte ติดทนนานทั้งวันค่ะ สีไม่ดรอปไม่หมอง (มี่เหงื่อไม่ค่อยออกนะคะ Lifestyle: ไม่ได้ทำงานออฟฟิสตลอด ออกไปวิ่งเล่นข้างนอกบ้าง)

เอามาเติมระหว่างวัน เวลาหน้ามันก็ได้ค่ะ

ด้านหลังกล่องก็เป็นคำเคลมที่ทางแบรนด์เคลมไว้ค่ะ

แป้ง 2

มาทั้งทีไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้

ส่วนผสมเป็นดังนี้เลยค่ะ

ส่วนผสม

จากส่วนผสมจะเห็นว่า มีส่วนของสารออกฤทธิ์อยู่ 3 ตัว คือ
1. Aminobutyric acid เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญชนิดหนึ่ง มีรายงานการวิจัยรองรับถึงผลการทาภายนอก สามารถฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหายไปได้ (J Invest Dermatol. 2002;119(5):1041-7.) ลดการอักเสบ และช่วยเร่งการสมานแผล (J Microbiol Biotechnol. 2007;17(10):1661-9.) ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าการใช้ GABA ในเครื่องสำอางสำหรับทาภายนอก จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ให้ผลคล้าย Botox ได้ และสารนี้สามารถกดการสร้างเมลานินได้โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ได้ทั้งขาวและริ้วรอยเลยทีเดียวเชียว

2. Tetrahexyldecyl ascorbate อนุพันธ์ชนิดละลายในไขมันของวิตามินซี มีความคงตัวสูง มีความเป็นกรดต่ำ ให้ผลเป็น Antioxidant ช่วยลดการสร้างเม็ดสี และ เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน

3. Tocopheryl acetate เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินอี มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี แต่ส่วนมากมักจะให้ผลแค่ปกป้องสารอื่นๆในผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะอากาศ

ส่วนของเนื้อแป้ง เป็นส่วนผสมของ Talcum ที่ช่วยเรื่องการดูดซับความมันได้, Mica ที่มีความโปร่งแสง ให้ความเงาวาว ดูสว่าง, Nylon-12 ที่เคลือบฟิล์มบนผิว ให้สัมผัสที่ดี และช่วยเรื่องการปกปิดได้เล็กน้อย

มีสารกลุ่มไขมัน/น้ำมัน และซิลิโคน เสริมเข้ามา ซึ่งจำเป็นในการตอกอัดลงพิมพ์ สารพวกนี้เป็นสารที่ค่อนข้างปลอดภัย และมีสัมผัสที่ดี ตัวที่น่าสนใจคือ Octyldodecyl stearoyl stearate ที่ให้ผลเรื่องการปกคลุมผิว ปกป้องผิว และกันน้ำระเหยออกจากผิว แต่ไม่เหนอะหนะและหนักผิว

สารอื่นๆทำมาได้ค่อนข้างดี จะมีจุดติก็แค่ตรงสารกันเสียกลุ่ม Paraben แค่นั้นเอง

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ
1. Actives ถึงจะเป็นแค่แป้งแต่งหน้า แต่ก็ไม่ได้มาเล่นๆ เพราะนางยังแฝงมาด้วย Aminobutyric acid และ วิตซี/วิตอี ตามคำเคลมของแบรนด์ คือ เคลมเรื่องของริ้วรอย ซึ่งสารออกฤทธิ์อย่าง Aminobutyric acid นั้นก็ดูมีศักยภาพเพียงพอ และมาในลำดับที่ค่อนข้างต้นๆ จึงถือว่าดูแพง สำหรับแป้งแต่งหน้าชิ้นหนึ่ง ขอให้ 5 ฟลาสก์

2. Base เนื้อเป็นส่วนผสมของ Talcum กับผงแร่ Mica และสารก่อฟิล์ม Nylon-12 กับพวกเม็ดสี Iron oxides ไม่มีอะไรให้หักคะแนน จึงเป็น 5 ฟลาสก์

3. Additives อาศัยพวก Fatty ester เป็นตัวยึดเกาะตอนตอกอัดแป้ง สารพวกนี้มีสัมผัสที่ดี และไม่อุดตันรูขุมขน แต่ในส่วนของสารกันเสียนั้น มีการใช้สารในกลุ่ม paraben จึงขอหักคะแนนไปนิดนึง เหลือ 4 ฟลาสก์

4. การใช้งาน แป้งมีสัมผัสค่อนข้างดี บางเบา ไม่หนาเตอะ ควบคุมความมันได้ดี สีไม่ดรอปไม่หมอง เอามาเติมระหว่างวันได้ เวลาทาก็ทาแล้วเรียบเนียนตามคำเคลมของแบรนด์ ช่วยกลบและอำพรางรูขุมขนได้ในตัว โดยรวมคือค่อนข้างชอบเลยค่ะ แต่ติดตรงตลับนั้นหนาไปนิด พกใส่กระเป๋าแล้วแอบกินที่ไปนิดนึง แต่ก็ไม่ได้เป็นประเด็นที่ร้ายแรงอะไร เลยขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์ Physicians formula Thailand ได้โดยตรงเลยค่ะ

https://www.facebook.com/PhysiciansFormulaThailand

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์

[Review] รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมเซรัม Osmosis MD Vital factor Advance rejuvenating serum เซรัมผสม Growth factor

[Review] รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมเซรัม Osmosis MD Vital factor Advance rejuvenating serum เซรัมผสม Growth factor

สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆห้องแป้งที่น่ารักทุกๆท่าน

วันนี้มี่จะมารีวิววิเคราะห์เจาะลึกส่วนผสมของเวชสำอางตัวดังจากอเมริกา Osmosis MD Vital factor Advance rejuvenating serum ค่ะ

os 1

เอ๊ะ หลายๆคนอาจจะสงสัย ชื่อนี้คืออะไร ที่ US ไม่เห็นมี

นางก็คือตัว Stemfactor growth factor serum นั่นเองจ้า แค่ปรับชื่อตามกฎหมายเครื่องสำอางของ อย. บ้านเราเฉยๆ พอเราฉีกฉลากออก ก็จะเจอเนื้อแท้ข้างในขวดค่ะ นั่นก็คือ เจ้า Stemfactor ตัวแม่จาก US นั่นเอง

os 2

แบรนด์ Osmosis มีคอนเซปท์สวยๆว่า “Beautiful skin starts within”

แปลว่า ผิวสวยต้องเริ่มจากภายใน แปลแบบสวยๆละเอียดๆก็คือ ต้องบำรุงผิวจากภายใน ถึงจะสวย
แบรนด์นี้จะเน้นไปที่สารสกัดและสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติ สารองค์ประกอบต่างๆก็ไม่ได้ใส่มาเยอะกันจนมากเกินไป จึงเสี่ยงแพ้น้อยกว่านั้นเองค่ะ แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมทดสอบการแพ้ก่อนการใช้งานนะคะ เพราะการแพ้เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ บทจะแพ้ แค่น้ำเปล่าก็ยังแพ้ได้เลยค่ะ

ในส่วนของเนื้อเซรัมเป็นสีเหลืองใสๆ มีกลิ่นหอมอ่อนๆเป็นเอกลักษณ์ตามสไตล์ของแบรนด์

os 3

เกลี่ยค่อนข้างง่าย ซึมไวมาก ไม่ทิ้งร่องรอย ความมัน หรือความเหนอะหนะอะไรไว้เลยค่ะ

os 4

เนื่องจากตัวเซรัมมีเนื้อสีเหลือง มันจะรบกวนการอ่านค่า pH มี่เลยไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ

ในส่วนของส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส stemfactor

จะเห็นได้ว่าส่วนผสมนั้นค่อนข้างเรียบง่าย เน้นไปที่กลุ่มของสารออกฤทธิ์เลย สารอื่นๆก็ใส่มาเท่าที่จำเป็น

ในส่วนของ Actives หรือส่วนของสารออกฤทธิ์ นั้น หลักๆเลยก็คือ ตัว Growth factor enriched conditioned media ที่ได้จากการเพาะเลี้ยง Adult stem cell และสกัดเอา Growth factor (ขอย่อว่า GF นะคะ) ที่เซลล์สร้างมาเก็บกักไว้ในระบบนำส่งที่ชื่อว่า Exosome ซึ่งเป็นถุงที่เซลล์เหล่านี้สร้างขึ้นมาไว้เก็บ GF และสารอื่นๆที่มีประโยชน์เอาไว้ภายใน ดังรูปค่ะ

โดยเจ้า Exosome นี้ถือเป็นระบบนำส่งที่มีขนาดเล็ก ที่มีความฉลาด เพราะสามารถมุ่งตรงไปยังจุดที่ออกฤทธิ์ได้เลย และเคลื่อนทีไปมาระหว่างเซลล์ได้อย่างอิสระ ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Smart-nanosphere จัดเป็น Targeted-delivery system รูปแบบหนึ่ง หมายถึง การนำส่งสารเข้าไปยังบริเวณที่ต้องการได้เลย โดยไม่ต้องไปแวะไปเสียเวลาที่อื่น

สกัดเซลล์

ทางแบรนด์กล่าวว่า ใน medium ที่เลี้ยงเซลล์นี้ ประกอบด้วย Growth factor อยู่มากมาย ประมาณ 150 – 300 ชนิด ร่วมกับสารกลุ่ม Cytokines ที่เป็นสารที่ร่างกายใช้ติดต่อสื่อสารระหว่างกัน ช่วยให้เซลล์แต่ละเซลล์ปรับตัว ตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ และมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น

ตัวอย่าง GF ที่สำคัญๆ ที่ได้จาก Medium นี้ ได้แก่
– HGF มีผลช่วยเรื่องการสมานแผล ลดรอยแผลเป็น โดยไปเร่งให้เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด Macrophage เก็บกินแผลเป็น
– TGF-Beta เพิ่มการสร้างคอลลาเจน และเส้นเลือดใหม่ๆ มีผลเรื่องการไหลเวียนเลือด และส่งผ่านสารอาหาร
– FGF กระตุ้นการแบ่งตัวของ Fibroblast ที่เป็นเซลล์สร้างคอลลาเจน
– IFN-Gamma เพิ่มภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อโรค
– PDGF-AA กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิว เซลล์ Fibroblast เพิ่มการสร้างเส้นเลือดใหม่
– GM-CSF เพิ่มการสร้างเซลล์ที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกัน
– IGF-1 กระตุ้นการเจริญและแบ่งตัวของเซลล์ผิว
– VEGF เพิ่มการสร้างเส้นเลือด
– KGF กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวหนัง
นอกจากตัว Medium ดังกล่าวแล้ว ยังมี สารออกฤทธิ์อีก 2 ตัว ได้แก่
– Witch hazel distillate ที่ให้ผลกระชับรูขุมขน ควบคุมความมันและเป็น Antioxidant
– Lactic acid อาจจะแค่ใส่มาเพื่อปรับค่า pH ให้เป็นกรด แต่ความจริงแล้ว Lactic acid มีคุณสมบัติพิเศษต่อผิวอีก การออกฤทธิ์ขึ้นกับค่า pH โดยอาจจะให้ผลเป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้น หรือ ผลัดเซลล์ผิว สำหรับตัว Lactic ใน pH ประมาณ 4 จะให้ผลกระตุ้นการสังเคราะห์ Ceramide ในผิวได้ ซึ่ง Ceramide ทำหน้าที่เป็น Barrier function รักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

ส่วนที่เหลือก็เป็นสารเพิ่มความหนืด (Hydroxyethylcellulose) สารกันเสีย (Dehydroacetic acid, Benzyl alcohol) และสารแต่งกลิ่น (Lemon oil)

จะเห็นว่าเรียบง่าย ไม่ใช้อะไรพร่ำเพรื่อเลยจริงๆ

ถึงเวลาให้คะแนน

1. Actives ส่วนของสารออกฤทธิ์เน้นไปที่การ Claim เรื่อง GF เป็นหลัก ซึ่งในตัวของ GF ที่ใส่มาหลายๆชนิด นั้นก็ช่วยบำรุงผิวได้รอบด้านโดยตัวมันเองอยู่แล้ว เมื่อเอามาใส่ในระบบนำส่ง ก็จะช่วยเรื่องการดูดซึมเข้าผิว จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
2. Base เนื้อหลักเป็นชนิดน้ำ (Water-based) ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ น้ำมัน และซิลิโคน จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
3. Additives สารอื่นๆก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร ไม่มีพาราเบน ไม่มี Emulsifier และ Surfactant สารกันเสียก็เป็นชนิดที่ค่อนข้าง Friendly ในส่วนของสารแต่งกลิ่นที่เป็นตัว Lemon oil ถ้าใช้กลางวันแล้วไม่ทากันแดดอาจจะทำให้เกิดการแพ้แสงได้ ซึ่งส่วนตัวมี่ใช้ทั้งเช้าเย็น ตอนเช้าก็ลงกันแดดตามปกติ ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรนะคะ แต่จุดนี้เพื่อความยุติธรรมจึงขอให้ 4 ฟลาสก์
4. การใช้งาน เมื่อลองใช้แรกๆจะรู้สึกว่าหน้าแห้งเล็กน้อย อาจจะเพราะตัว Witch hazel ที่ลดการสร้างน้ำมันของผิว แต่เมื่อใช้ไปเรื่อยๆ ผิวก็กลับนุ่มขึ้น เนียนขึ้น สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น พวกรอยแห้ง ผิวลอกเป็นขุย รอยแดงที่เคยมีก็ค่อยๆจางลง จุดนี้จึงถือว่าค่อนข้างประทับใจ ที่สำคัญคือแต่งหน้าติด ลงรองพื้นง่าย ไม่เป็นคราบ ไม่เยิ้มระหว่างวัน ขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน osmosis

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณบริษัท DermaMD ที่ส่งเวชสำอางดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีมาให้มี่ได้ทดลองใช้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ทางเวบไซต์ http://www.dermskinstore.com/

หรือแฟนเพจของ Osmosis Thailand ที่ https://www.facebook.com/osmosispurmedicalskincarethailand ได้เลยนะคะ
Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์
[/center]

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมไฮยาเข้มข้น 5 ชนิด จากแบรนด์ Hylamide รุ่น SubQ Anti-age

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมเซรัมไฮยาเข้มข้น 5 ชนิด จากแบรนด์ Hylamide รุ่น SubQ Anti-age

วันนี้มี่แวะเอาเวชสำอางจากประเทศแคนาดา แบรนด์ Hylamide มารีวิวให้ชมกันค่ะ

 

ตัวนี้ถ้าหลายๆท่านจำได้ มี่เอามาแชร์ไว้ครั้งหนึ่งในกระทู้ Routine skin care regimen ไว้ (ลิงค์สำหรับชม Skincare regimen ของมี่) แล้วบอกว่าจะรีวิวละเอียดให้ เพราะของเขาคือดีงาม

 

นี่ค่ะ Regimen ช่วงนี้

bedtime1

วันนี้ได้ฤกษ์ละค่ะ มาทำความรู้จักกับแบรนด์ Hylamide กันซักเล็กน้อยก่อนดีกว่านะคะ แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ในเครือของ Deciem ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำเวชสำอางและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมากมายค่ะ โดยคอนเซปท์ของแบรนด์ Hylamide มีชื่อสวยๆว่า “Multi-depth skincare” เน้นที่การฟื้นฟูผิวที่ 3 ชั้น คือ ชั้น Stratum corneum (ผิวหนังชั้นนอกสุด) ชั้น Epidermis (หนังกำพร้า) และชั้น Dermis โดยอาศัยโมเลกุลที่มีขนาดต่างๆกันในการบำรุง/ฟื้นฟูค่ะ

 

IMG_0192-re

 

โดยตัว Hylamide SubQ นี้ Claim ไว้ดังนี้ค่ะ

 

claim

 

เพิ่มความชุ่มชื้นที่ผิวชั้นนอก และชั้นใน ริ้วรอยตื้น ริ้วรอยลึก ผิวไม่สม่ำเสมอ และพวกริ้วรอยที่เกิดขึ้นตอนเราแสดงสีหน้า (เช่นตีนกา ร่องแก้ม)

 

มาดูลักษณะของผลิตภัณฑ์กันค่ะ

นางจะมาในกล่องแบบนี้ค่ะ

IMG_0715-re

พอแกะออกมาจะมีหน้าตาแบบนี้ (อันนี้ตัวล็อคมันแอบขาดนะคะ จริงๆขวดเขาจะลอคให้ในช่องที่มีลูกศร)

 

IMG_0716-re

 

ฝั่งซ้ายมือจะเป็นรายละเอียดของส่วนผสมที่มีอยู่ในขวดค่ะ

 

IMG_0194-re

 

อันนี้เผื่อใครสนใจนะคะ เดี๋ยววิเคราะห์ละเอียดให้อีกทีค่ะ

 

 

ขวดจริงๆจะเป็นลักษณะขวดแบบมีหลอดหยด หรือที่สาวกเกาหลีแบบเราๆเรียกว่า Ampoule

 

IMG_0720-re

 

 

เนื้อเป็นของเหลวใส ไม่มีสี ไม่ได้ใส่น้ำหอม เลยมีกลิ่นของส่วนผสมอยู่จางๆ

 

IMG_0721-re

 

 

เนื่องจากเป็นของเหลวใส เลยเกลี่ยง่ายมาก ซึมไว แห้งไวมาก ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่ทิ้งคราบ

 

IMG_0722-re

 

 

วัด pH เหมือนเช่นเคยค่ะ

 

IMG_1927-re

 

pH อยู่ที่ประมาณ 5 นะคะ ใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

 

 

ก่อนจะไปดูส่วนผสมอยากชี้แจงจุดเด่นอีกนิดหน่อยค่ะ

ประเด็นแรกคือ ผลิตภัณฑ์นี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใส่สารออกฤทธิ์มาเยอะมาก คือ มี Active ingredients ถึง 44.32% ซึ่งมี่ไม่เคยเจอเครื่องสำอางไหนที่ใช้สารออกฤทธิ์แบบสารบริสุทธิ์มากกว่านี้มาก่อน (ไม่นับพวกที่ใส่สารสกัดพืช 90+% นะคะ อันนั้นเป็นสารสกัด มีพืชจริงๆเท่าไหร่เราไม่รู้ แต่อันนี้คือสารออกฤทธิ์เพียวๆ)

พอเป็นแบบเข้มข้น ใส่มาเต็มมาก เพื่อโฟกัสเรื่องริ้วรอย ล้วนๆ แต่ถึงแม้ยังไม่เหี่ยวไม่มีริ้วรอย ก็ใช้ได้เพื่อชะลอวัยค่ะ

ตรงนี้เขาชูโรงไว้ข้างกล่องด้วยหล่ะ

 

IMG_0194-re

 

แต่ละตัวคืออะไร เป็นอย่างไร เดี๋ยวลองดูในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

 

จุดเด่นอีกจุดคือ การใช้ อนุพันธ์ Hya สูงสุดถึง 5 ชนิด ซึ่งมากสุดในประวัติการณ์ในวงการเครื่องสำอาง (หมายเลข 7 – 12 นะคะ)

 

5 ชนิดที่ว่าได้แก่

1.VERY LOW-MOLECULAR HA เป็นไฮยาโมเลกุลเล็กมากซึมลงไปได้ลึก เพิ่มความชุ่มชื้น

2.Hyaluronic Acid Ferment เป็นไฮยาจากเทคโนโลยีชีวภาพ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นดึงน้ำให้บริเวณผิว

3.Hydrolyzed HA เป็นไฮยาโมเลกุลเล็ก ซึมลงผิวได้ลึกปานกลาง เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวระดับกลาง

4.HA Pre-Cursor สารตั้งต้นให้ผิวเอาไปสร้างไฮยา ทำให้ผิวนุ่มชุ่มน้ำฟูขึ้น

  1. Plant HA ไฮยาจากมะขาม ที่ช่วยให้ผิวยืดหยุ่นมากขึ้น

 

 

ในที่สุดก็มาถึงเวลาของการวิเคราะห์ส่วนผสมแล้วค่ะ

 

ส่วนผสม

 

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

  1. Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
  2. Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้
  3. Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

 

เรามาดูไปทีละส่วนกันเลยนะคะ

  1. Actives ขอเรียงตามกลุ่มสารนะคะ
    • กลุ่มคาร์โบไฮเดรต และ Hyaluronic acid ได้แก่
  • Sodium hyaluronate crosspolymer เป็นอนุพันธ์ใหม่ของ Hyaluronic acid เกิดจากการเอา Hyaluronic หลายๆตัวมาเชื่อมกันโดยใช้ปฏิกิริยาเคมี ทำให้ได้สารที่มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นได้สูงขึ้น และมีคุณสมบัติ Antioxidant เพิ่มเติมเข้ามา ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารนี้เพิ่มความชุ่มชื้นได้มากกว่า Hyaluronic acid ถึง 5 เท่า และยังเก็บกักความชุ่มชื้นให้ผิวได้ถึง 24 ชั่วโมง (Hylasome EG10, Lipo Chemicals Inc.)
  • Tamarindus indica seed gum เป็น Polysaccharide กลุ่ม Gum ที่ได้จากเมล็ดของมะขาม มีรายงานการวิจัยระบุว่า Carbohydrate ที่พบในเปลือกเมล็ดสามารถกระตุ้นให้เซลล์ผิวหนังแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ดีขึ้น (Dermatol Res Pract. 2013; 2013: 359756.) และมีรายงานว่าสารสกัดจากเปลือกหุ้มเมล็ดมะขามมีผลปกป้องผิวหนังจากรังสี UVA และเป็น Antioxidant ที่ดี (J Cosmet Sci. 2014; 65(1):11-24.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าเป็น Vegetal hyaluronic acid (Hyaluronic acid จากพืช) มีคุณสมบัติเป็น Moisturizer โดยไปเคลือบที่ผิวไว้ ทำให้ผิวชุ่มชื้น ริ้วรอยลดลง ผิวเรียบเนียนขึ้น (Unitamuron-H22, Induchem)
  • Hydrolyzed hyaluronic acid เป็น Hyaluronic acid ที่ผ่านกรรมวิธีการย่อยให้มีขนาดเล็กลงจึงดูดซึมผิวได้มากขึ้น ให้ผิวนุ่มฟูขึ้น และริ้วรอยลดลง
  • Sodium hyaluronate คือ Hyaluronic acid ตัวดั้งเดิมให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นกับผิว
  • Saccharide isomerate สารประเภทคาร์โบไฮเดรต มีชื่อทางการค้าว่า Pentavitin ผู้ผลิต Claim ว่าสามารถไปจับกับกรดอะมิโน Lysine ของ Keratin ในผิว แล้วให้คุณสมบัติเป็นสารดูดน้ำ อุ้มน้ำ รักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน ไม่ถูกล้างออกไปได้ง่ายๆเหมือน moisturizer อื่นๆ
  • Polyglucuronic acid สารกลุ่ม Polysaccharide ที่เกิดขึ้นจาก Glucuronic acid หลายๆตัวมาต่อกัน มีคุณสมบัติก่อฟิล์ม เพิ่มความหนืด และยังมีคุณสมบัติ Antioxidant (Carbohydrates Polymer 2015;116:34-41.) ในวัตถุดิบผสมระหว่าง Hydrolyzed Yeast Extract, Cetyl Hydroxyethylcellulose, Polyglucuronic Acid และ Lecithin ที่ผลิตโดยบริษัท Sederma ระบุว่าสารนี้ได้จากกระบวนการทางไบโอเทคโนโลยี จะได้สารที่มีโครงสร้างคล้ายกับสาย Hyaluronic acid ในผิวของเรา จึงมีผลช่วยทำให้ริ้วรอยตื้นขึ้น ผิวเรียบเนียนและสม่ำเสมอมากขึ้น นุ่มฟู และมีความแข็งแรงมากขึ้น (Optim HyalTM, Sederma Inc.)
    • กลุ่มสารที่เป็น Fermentation product ได้แก่
  • Pseudoalteromonas ferment extract รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Antarcticine ของบ. Lipotec ได้จากการแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบในธารน้ำแข็ง ประกอบด้วยสารกลุ่ม Tripeptide ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและอิลาสติน จึงช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยลดลง นอกจากนี้มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยในกระบวนการสมานแผล (Promote Wound-healing) เวลาผิวหนังเกิดความเสียหาย ก็จะช่วยให้ซ่อมแซมตัวเองได้ไวขึ้น
  • สารประกอบของ Lactobacillus/Eriodictyon californicum ferment extract กับ Phospholipids และ Leuconostoc/Radish root ferment มีชื่อทางการค้าว่า ACB Cationic glycoproteins ให้ผลชะลอวัย ลดริ้วรอย เป็น Antioxidant เพิ่มความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว เพราะมีประจุบวกเลยจับกับผิวได้ดี
    • กลุ่มกรดอะมิโนและเปปไทด์ ได้แก่
  • Copper lysinate/prolinate สารตัวนี้เป็นสารเชิงซ้อนของแร่ธาตุทองแดงกับกรดอะมิโน Lysine และ Proline ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าสารนี้สามารถเป็นแหล่งพลังงานให้เซลล์ Fibroblast ที่แก่แล้วเกิดการปรับตัวและสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ชนิดที่ดีออกมา จึงมีผลทำให้ริ้วรอยลดลง ในตลาดเครื่องสำอางวัตถุดิบนี้มีชื่อทางการค้าว่า Neodermyl โดยจำหน่ายในรูปแบบของผสมระหว่าง Glycerin, Water, Methylglucoside Phosphate และ Copper Lysinate/Prolinate (Neodermyl, Induchem Inc.)
  • Palmitoyl tripeptide-38 เปปไทด์สายสั้นๆจากกรดอะมิโน 3 ตัวที่จับกับกรดไขมัน Palmitic acid ทำให้ดูดซึมเข้าผิวได้ง่ายขึ้น เปปไทด์ตัวนี้มีผลกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ไฮยาลูรอน และสารโปรตีนอื่นๆอีกหลายชนิดในผิวที่ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงของชั้นหนังแท้ และช่วยเสริมความแข็งแรงของ Dermal-Epidermal junction ให้แข็งแรงมากขึ้น จึงสามารถพยุงเอาชั้นผิวหนังไม่ให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายๆ สารตัวนี้จำหน่ายในชื่อทางการค้าว่า Matrixyl Synthe’6 ซึ่งเป็นของผสมระหว่าง Glycerin, Water, Hydroxypropyl Cyclodextrin และ Palmitoyl Tripeptide-38 (Matrixyl Synthe’6, Sederma Inc.)
  • Myristoyl nonapeptide-3 เปปไทด์ที่เกิดจากกรดอะมิโน 9 ตัว จับกับกรดไขมัน Myristic acid ออกฤทธิ์คล้ายกับวิตามินเอ ให้ผลกระตุ้นการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิว มีความปลอดภัยสูงกว่า และไม่ระคายเคืองผิว
    • กลุ่มสารสกัดพืชอื่นๆ ได้แก่
  • Hydrolyzed yeast extract ประกอบด้วยโปรตีนและวิตามินต่างๆ ให้คุณสมบัติบำรุงผิว และเป็นองค์ประกอบในส่วนผสมของวัตถุดิบ Optim HyalTM
  • Ahnfeltia concinna extract สารสกัดจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่ง ไม่พบข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ข้อมูลจากผู้ผลิตระบุว่ามีคุณสมบัติส่งเสริมการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิว เพิ่มความยืดหยุ่น ความนุ่ม ลดริ้วรอยให้ผิวเรียบเนียน ลดการระคายเคืองในผิว และเป็น Moisturizer
    • สารอื่นๆ ได้แก่
  • Phospholipids และ Lecithin นอกจากสมบัติการบำรุงผิวก็อาจจะเป็นตัวนำส่งสารให้ผิว
  • Salicylic acid จัดเป็น BHA ให้ผลผลัดผิว ลดการอุดตัน
  1. Base เป็นชนิดน้ำใส หรือ Solution ไม่มีสารกลุ่มน้ำมันสังเคราะห์ ไม่มีซิลิโคน ไม่มีแอลกอฮอล์ ประกอบด้วย น้ำ Glycerin, Pentylene glycol, Ethoxydiglycol, Ethylhexylglycerin, Hexylene glycol, Caprylyl glycol 3 ตัวหลังมีคุณสมบัติระงับเชื้อจุลินทรีย์ได้ด้วย
  2. Additives ได้แก่
    • สารเพิ่มการดูดซึม (Percutaneous absorption enhancer) คือ Ethoxydiglycol ช่วยเพิ่มการดูดซึมให้สารออกฤทธิ์เข้าผิวได้ดีขึ้น
    • สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Polyacrylate crosspolymer-6, Cetyl hydroxyethylcellulose, Hydroxypropylcyclodextrin น่าจะเป็นองค์ประกอบที่ติดมากับกลุ่มสารออกฤทธิ์
    • Surfactant/Emulsifier มี Methylglucoside Phosphate ซึ่งติดมากับสารออกฤทธิ์
    • สารปรับ pH และ Buffer รักษา/ควบคุมค่า pH ได้แก่ Citric acid, Sodium citrate, Sodium hydroxide
    • สารจับโลหะ เป็นตัว Trisodium ethylenediamine disuccinate ให้ผลเพิ่มความคงตัวแก่ผลิตภัณฑ์ สารตัวนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบอ้างว่าได้จากธรรมชาติ
    • สารกันเสีย ได้แก่ potassium sorbate, sodium benzoate, sodium citrate, chlorphenesin, phenoxyethanol นับรวมกับกลุ่มสารเติมน้ำอย่าง Ethylhexylglycerin, Hexylene glycol, Caprylyl glycol ที่ช่วยเสริมฤทธิ์ให้สารกันเสียด้วย และ Leuconostoc/Radish root ferment เองก็สามารถเป็นกันเสียได้

 

ถึงเวลาให้คะแนน

  1. Actives ในกลุ่มของสารออกฤทธิ์ตามที่ได้บรรยายไว้ ส่วนมากจะเป็นสารที่ค่อนข้างใหม่ และมีนวัตกรรมพิเศษๆ โดยรวมจะเน้นไปที่การเติมน้ำ ลดริ้วรอยเก่า ป้องกันริ้วรอยใหม่ และเสริมสร้างให้ริ้วรอยที่มีอยู่ดูตื้นขึ้น โดยรวมถือว่าทำได้ค่อนข้างครบตามคำ Claim จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. Base ไม่มีสารกลุ่มน้ำมันสังเคราะห์ ไม่มีซิลิโคน ไม่มีแอลกอฮอล์ และมีตัวเติมน้ำให้ผิวดีๆหลายตัว จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. Additives สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว และออกแบบมาได้อย่างดี เพราะหลายๆชนิดค่อนข้างหายาก และเป็นนวัตกรรม รวมถึงมีการใช้เทคนิคหลายๆอย่างเพื่อเพิ่มการดูดซึมของสารอื่นๆ ที่สำคัญคือไม่มีน้ำหอม ไม่มีพาราเบน จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  4. คะแนนการใช้งาน ตัวนี้มี่ใช้มาเดือนกว่าๆแล้ว ถือว่าใช้ทนมากเลยนะคะ เนื่องจากผิวมี่ยังไม่ค่อยมีริ้วรอย จึงเห็นผลเรื่องริ้วรอยไม่ชัด แต่เรื่องความชุ่มชื้น และความเรียบเนียน จุดนี้ต้องขอให้ 10 เต็ม เพราะว่าผิวค่อนข้างนุ่ม ชุ่มชื้น เรียบขึ้น แต่งหน้าได้ง่ายและติดทนนานมากขึ้น จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

 

สุดท้ายนี้อีกครั้งอยากขอบคุณทางบริษัท Advance Aesthetic Company ที่ส่งสินค้าดีๆเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีมาให้ได้ทดลองใช้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

เฟสบุคของบริษัท http://www.facebook.com/advanceaestheticthailand ได้เลยค่ะ

 

ขอบคุณที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Hylamide ค่ะ

Full Review: Hand Chemistry Retin-Oil

Full Review: Hand Chemistry Retin-Oil

วันนี้เป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางดีๆจาก Canada ค่ะ

เป็นน้ำมันบำรุงผิวจากแบรนด์ Hand Chemistry ซึ่งเป็นเวชสำอางในเครือ Deciem จากแคนาดาค่ะ

แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่เน้นเครื่องสำอางสำหรับดูแลผิวกาย แต่ไม่ธรรมดาเลย เพราะว่าส่วนผสมนั้นโดดเด่นและเลอค่ามาก เผลอๆเลอค่ากว่าเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้าบางชิ้นอีก

อีกประเด็นที่อยากบอกคือ เค้าเขียนว่า Tested on human คือ สื่อความหมายเป็นนัยๆว่า ไม่ได้ทดสอบในสัตว์ทดลองค่ะ (แต่นี่ จะบอกอะไรให้นะ เดี๋ยวนี้กฎหมายเขาห้ามใช้สัตว์ทดลองมานานมากหลายปีดีดักแล้วค่ะ ที่แชร์ๆกันเรื่องกระต่ายน้อยบาดเจ็บ ลิงน้อยพิกงพิการอะไรนี่ กี่ปี่แล้วคะ ??? จะเสพย์สื่อ จะแชร์อะไร เลือกกันนิดนึงนะคะสาวๆ)

ตัวผลิตภัณฑ์มีชื่อว่า Retin-oil 1% Reinoid complex ค่ะ

IMG_0723-re

ผลิตภัณฑ์ Claim ไว้ดังนี้ค่ะ

แอบเอารูปของแบรนด์มานะคะ เห็นว่าน่ารักดี

claiming

จาก Claiming สวยๆตรงนี้เราสรุปได้ว่า มันจะได้เรื่องปรับเนื้อผิวให้เรียบเนียน สม่ำเสมอ ชุ่มชื้น กระจ่างใส และช่วยเรื่องริ้วรอยค่ะ

มาดูผลิตภัณฑ์กันต่อดีกว่าค่ะ

น้ำมันนี้เป็นน้ำมันสีเหลืองทอง มาในแพคเกจพลาสติกใส เนื้อหนา ฝาเป็นจุกรู หยดออกมาใช้ได้ง่าย มีกลิ่นหอมหวานๆคล้ายผลไม้ ค่อนข้างเหลว เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวค่ะ

IMG_0724-re

เมื่อดูดซึมแล้วก็จะไม่ทิ้งคราบอะไรไว้บนผิวเลยค่ะ

IMG_0725-re

เนื่องจากมันเป็นน้ำมันก็เลยไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ

พอดีมี่รอยแตกที่แขนค่ะ หลังจากใช้มา 4 อาทิตย์ ก็มีคนทักอยู่นะคะว่ารอยแตกจางลง ดูดีขึ้น ไปทำอะไรมา แต่ส่วนตัวมี่คิดว่ามันยังไม่ชัดมาก ที่เห็นชัดเลยคือ ผิวเรียบขึ้น และก็แห้งน้อยลงค่ะ ขอโชว์แขนอวบๆหน่อยนะคะ (เพื่อนบอกว่า นึกว่าขา มีตบค่ะ !!)

efficacy

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

ส่วนผสม

C12-15 alkyl benzoate • ethoxydiglycol • ascorbyl palmitate • hydroxypinacolone retinoate • tocopheryl acetate • oenocarpus bataua fruit oil • euterpe oleracea fruit oil • algae extract • caprylic/capric triglyceride • dimethyl isosorbide • C12-15 alcohols • tocopherol • fragrance (parfum) • alpha-isomethyl ionone • benzyl benzoate • benzyl cinnamate • benzyl salicylate • citral • citronellol • eugenol • geraniol • hydroxycitronellal • limonene

วันนี้รีวิวจัดเต็มเลยค่ะ

ปกติปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้

3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

เรามาดูไปทีละส่วนกันเลยนะคะ

1.Actives ได้แก่

-Ascorbyl palmitate เป็นอนุพันธ์ที่ละลายในน้ำมันของวิตามินซี รูปแบบนี้สามารถดูดซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น และมีความเป็นกรดลดลง ประโยชน์ของวิตามินซีคือ เป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัยและป้องกันการแก่ก่อนวัย ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวจึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น และเป็นองค์ประกอบในการสร้างคอลลาเจน จึงให้ผลเรื่องการลดริ้วรอยได้

-Hydroxypinacolone retinoate สารอนุพันธ์รูปแบบใหม่ของวิตามินเอ เป็นรูปแบบ Ester สังเคราะห์ของ 9-cis retinoic acid มีความระคายเคืองต่ำมาก ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารนี้ให้ผลปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดริ้วรอย ลดจุดด่างดำที่เกิดตามอายุ (Age spot) และช่วยเรื่องสิวอุดตันได้ ซึ่งสารตัวนี้เวลาเข้าผิวแล้วสามารถออกฤทธิ์ได้เลย ไม่ต้องไปแปรสภาพให้กลายเป็นรูปแบบ Acid อีก (ปกติวิตามินเอ หรือ Retinol เวลาทาเข้าไปจะยังไม่มีฤทธิ์ ต้องถูกเอนไซม์ในผิวเปลี่ยนโครงสร้าง 2 ขั้นตอน กว่าจะได้รูปแบบ Acid ที่มีฤทธิ์)

-สารกลุ่ม Vitamin E มีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ Tocopheryl acetate กับ Tocopherol ปกติวิตามินอีมีผลในเรื่องของการเป็น Antioxidant โดยถ้าเหลือรอดถึงผิว วิตามินอีธรรมชาติ Tocopherol จะออกฤทธิ์ได้เลยในทันที ส่วนวิตามินอีเอสเทอร์ คือ Tocopheryl acetate จะค่อยๆโดนย่อย และค่อยๆออกฤทธิ์ในทีหลัง ทำให้ผลที่เกิดขึ้นอยู่นานกว่า

-น้ำมันจากพืชหายากอย่าง Oenocarpus bataua ตัวนี้เป็นพืชในสกุลเดียวกับ Palm พบในแถบป่าอเมซอน ประกอบด้วยกรดไขมัน Oleic acid เป็นหลัก (ประมาณ 40%) และมีกรดไขมันสายยาวที่หายาก อย่าง Behenic acid (C22:0 ประมาณ 20%) และ Lignoceric acid (C24:0 ประมาณ 15%) กับ Euterpe oleracea เป็นพืชในสกุลเดียวกับ palm เช่นกัน พบในแถบ Brazil ประกอบด้วย Oleic acid เป็นหลัก (ประมาณ 50%) มี Palmitic acid อีกประมาณ 25% และ Linoleic acid อีกประมาณ 10% น้ำมันพวกนี้ ให้ผลทดแทนไขมันให้กับผิวหนังและเป็น Emollient ช่วยให้ผิวนุ่ม

-Algae extract สารสกัดจากสาหร่าย ซึ่งปัจจุบันมีสาหร่ายมากมายหลายสิบชนิดที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพแตกต่างกันไป เช่น สาหร่ายสีน้ำตาลบางสายพันธุ์ ช่วยเรื่องการเผาผลาญไขมัน สาหร่ายสีแดงบางสายพันธุ์เป็น Antiaging จึงไม่สามารถระบุคุณสมบัติของสารสกัดสาหร่ายที่กล่าวมาแบบรวมๆได้ ปัจจุบันทาง CTFA ได้ขอให้ผู้ผลิตระบุสายพันธุ์ของสาหร่ายที่ใช้ เช่น Laminaria extract ฯลฯ

2.Base เป็นชนิดน้ำมัน ประกอบด้วยน้ำมันและสารอื่นๆที่ละลายได้ในน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันจากพืชที่กล่าวไปในข้อ 1 ร่วมกับ Capric/caprylic triglyceride ที่เป็น Triglyceride ของไขมันสายยาวปานกลาง ซึมผิวได้ดี เป็นสารตั้งต้นให้ผิวไปสร้างเป็นน้ำมันอื่นๆต่อไป และ C12-15 alkyl benzoate กับ C12-15 alcohols ที่ช่วยเรื่องการละลายสาร และให้สัมผัสที่ดีตอนทา

3.Additives ได้แก่

3.1สารเพิ่มการดูดซึมผ่านผิว มี 2 ตัว ได้แก่

-Dimethyl isosorbide ตัวทำละลายที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่เป็น Emollient ช่วยให้ผิวนุ่ม มีผลลดความหนืดของผลิตภัณฑ์ให้เกลี่ยง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มความคงตัวให้สารในผลิตภัณฑ์ และมีคุณสมบัติเป็น Percutaneous absorption enhancer ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารผ่านผิว

-Ethoxydiglycol ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารผ่านผิวเช่นเดียวกัน

3.2สารแต่งกลิ่น ได้แก่ Fragrance กับ สารหอมอย่าง alpha-isomethylionone, Benzyl benzoate, Benzyl cinnamate, Benzyl salicylate, Citral, Citronellol, Eugenol, Geraniol, Hydroxycitronellal และ limonene

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives นอกจากส่วนของน้ำมันจากพืชหายากแล้ว ก็มีวิตามิน A C E ซึ่งรูปแบบของวิตามินเอที่ใช้เป็นชนิดที่ดูดซึมง่ายและออกฤทธิ์ได้เลย จึงให้ผลที่ค่อนข้างดี ตัวผลิตภัณฑ์ Claim เรื่องแผลเป็น รอยแตกลาย ริ้วรอย และเรื่องผิวแห้ง ซึ่งถือว่าส่วนผสมชุดนี้ตอบโจทย์ได้หมด และสารที่ใช้เป็นชนิดใหม่ คือ เหมือนๆจะพื้นๆ แต่ใช้สารที่ค่อนข้างนวัตกรรมเลยทีเดียว จุดนี้ไม่รู้จะติอะไร ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีสำหรับ Oil ที่แม้จะเป็นแค่ Body oil แต่ส่วนผสมนี่คือ เลอค่ากว่า Facial oil บางยี่ห้อเสียอีก จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

2.Base ในส่วนของน้ำมันที่ใช้ มีทั้งตัวที่ดูดซึมได้ และตัวที่ช่วยเคลือบปกป้องผิว จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ไม่มี Mineral oil กับ Silicone ที่หลายๆคนกลัว (ถึงแม้มันจะไม่มีอันตรายอะไรก็เถอะ) จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์เช่นกัน

3.Additives ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากสารแต่งกลิ่น/น้ำหอม กับ สารเพิ่มการดูดซึมผ่านผิว จุดนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะว่า สารเพิ่มการดูดซึมผ่านผิวนี้ อาจจะไปเพิ่มการดูดซึมของสารหอมเข้าผิวด้วย ถ้าใครมีประวัติแพ้สารหอม ก็อาจจะแพ้ได้เช่นกัน แต่ถ้าใครไม่แพ้ก็ไม่เป็นไร ส่วนข้อดีก็คือ ทำให้สารดีๆเข้าผิวไปออกฤทธิ์ได้มากขึ้น แต่เนื่องจากน้ำหอมนี่เราไม่ได้แพ้กันทุกคน เลยขอมองข้ามจุดนี้ไปนะคะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์ ค่ะ

4.คะแนนการใช้งาน ส่วนตัวมี่มีรอยแตกลายที่ต้นแขน และตรงแถวสะโพก ก็โบกๆออยล์นี่มาเดือนกว่าๆ เรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้นานมากๆ ตัวหนึ่งเลยทีเดียวหล่ะ สิ่งที่ได้รับก็คือ ผิวเรียบเนียนมากขึ้น ผิวแห้งน้อยลง ส่วนเรื่องรอยแตกยังไม่ชัดมากเท่าไหร่ค่ะ แต่โดยรวมคือ ออยล์มีกลิ่นหอมหวานคล้ายผลไม้เปรี้ยวๆ เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ไม่เปื้อนเสื้อผ้า ก็คือชอบค่ะ มาถึงตรงนี้ก็ยังใช้อยู่นะคะ ยังไม่เจอข้อติค่ะ ให้ 5 ฟลาสก์

point

สุดท้ายนี้แอบอยากบอก ถึงแม้จะมีหลายๆงานวิจัยบอกว่าการใช้พวก Retinoids แบบทา (ที่ไม่ใช่ Tretinoin) มันจะปลอดภัยในสตรีมีครรภ์ก็ตาม แต่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะคะ รอคลอดเสร็จค่อยมาทาก็ได้ค่ะ

สุดท้ายนี้อีกครั้งอยากขอบคุณทางบริษัท Advance Aesthetic Company ที่ส่งสินค้าดีๆเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำค่ามาให้ได้ทดลองใช้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

เฟสบุคของบริษัท http://www.facebook.com/advanceaestheticthailand ได้เลยค่ะ

และขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ตามอ่านมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaime/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์

[Full Review] Osmosis enlighten

[Full Review] Osmosis enlighten

วันนี้มี่จะมารีวิวผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากแบรนด์ Osmosis ต่อจากวันก่อนนะคะ

ซึ่งตัวที่มี่ได้มามีทั้งหมด 3 ตัวค่ะ

IMG_4293-re

ตัวแรก Renew vitamin A serum มี่รีวิวไว้แล้วใน Blog post เมื่อวันก่อนค่ะ

Link: https://cosmeknowledge.wordpress.com/2015/06/30/full-review-osmosis-renew/

วันนี้มาดูตัวที่สอง เป็น ซีรัมเพื่อผิวขาวที่มีชื่อว่า Enlighten ค่ะ

IMG_4294-re

ทวนอีกรอบนะคะ แบรนด์ Osmosis มีคอนเซปท์สวยๆว่า “Beautiful skin starts within”

แปลว่า ผิวสวยต้องเริ่มจากภายใน แปลแบบสวยๆละเอียดๆก็คือ ต้องบำรุงผิวจากภายใน ถึงจะสวย

ผลิตภัณฑ์นี้ใช้เทคโนโลยีไลโปโซม เพื่อเพิ่มการดูดซึมของสารเข้าผิวค่ะ

ไลโปโซมคืออะไร??? ทบทวนกันอีกรอบนะคะ

ไลโปโซมเป็นรูปแบบนำส่งสารรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นผนังสองชั้น ซึ่งจะเหมือนกับผิวหนังของเราเลย ทำให้ระบบไลโปโซมหลอกผิวหนังเราว่าเป็นพวกเดียวกัน ผิวหนังก็เลยปล่อยให้ไลโปโซมผ่านได้ ลองดูรูปตรงนี้ดูค่ะ

liposome

(Image source: Osmosis Skincare Manual, 2015.)

แบรนด์นี้จะเน้นไปที่สารสกัดและสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติ สารองค์ประกอบต่างๆก็ไม่ได้ใส่มาเยอะกันจนมากเกินไป จึงเสี่ยงแพ้น้อยกว่านั้นเองค่ะ แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมทดสอบการแพ้ก่อนการใช้งานนะคะ เพราะการแพ้เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ บทจะแพ้ แค่น้ำเปล่าก็ยังแพ้ได้เลยค่ะ

มาดูเนื้อผลิตภัณฑ์กันก่อนดีกว่านะคะ ตัวซีรัมเป็นเนื้อสีน้ำตาลอมส้ม เกลี่ยค่อนข้างง่าย ดูดซึมค่อนข้างไว มีกลิ่นหอมๆเหมือนแนวสมุนไพรเย็นๆผสมพวกดอกไม้ค่ะ

IMG_4299-re

ถึงแม้ตอนทาใหม่ๆจะดูเหมือนเหลือง แต่พอทิ้งไว้ซักห้านาทีก็จะกลืนไปกับผิวค่ะ

IMG_4300-re-horz

มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

สผส enlighten

จากส่วนผสมจะเห็นได้เลยว่า Niacinamide มาเป็นอันดับที่สามเลย ก่อน Propanediol กับ Glycerin ที่เป็นสารดูดน้ำเสียอีก ส่วนผสมอื่นๆก็เน้นไปที่ไวท์เทนนิ่ง ซึ่งก็ออกฤทธิ์ที่หลายๆกลไก และค่อนข้างครอบคลุมในทุกขั้นตอนของการสร้างสีผิวเลยทีเดียวค่ะ

ส่วนของ Phosphatidylcholine ที่ทำไฮไลต์สีเขียวไว้เพราะสารนี้สามารถเรียงตัวเป็นไลโบไซมและเก็บกักเอาสารอื่นๆไว้ เพื่อนำส่งเข้าไปในผิวได้มากขึ้น

เรามาดูบทวิเคราะห์แบบละเอียดๆเลยดีกว่าค่ะ

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้

3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

คุณสมบัติของส่วนผสมต่างๆแยกตามหน้าที่

1.Actives ได้แก่

-Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)

-Epilobium angustifolium extract สารสกัดจาก Willow herb มีรายงายเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ (Curr Drug Targets. 2013; 14(9):986-91.) ฤทธิ์ในการปกป้องคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี UV และช่วยให้เซลล์ Fibroblast ที่สร้างคอลลาเจนมีชีวิตยืนยาวขึ้น (ปกติคนที่อายุเพิ่มขึ้นเซลล์พวกนี้จะค่อยๆหายไป) (Gen Physiol Biophys. 2013; 32(3):347-59.) สารประกอบ Oenothein B ที่พบในพืชนี้มีประโยชน์เป็น Anti-oxidant และ ลดการอักเสบในผิวที่ดี (Phytomedicine. 2011; 18(7):557-60.) และยังมีฟลาโวนอยด์อื่นๆที่เคยมีรายงานว่าสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ สารสกัดนี้ทางแบรนด์ Claim ว่า ลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ ให้ความรู้สึกสบายผิว และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งตรงกับที่พบในวารสารวิชาการเลย

-Undecylenoyl phenylalanine มีชื่อทางการค้าว่า Sepiwhite MSH ของบริษัท Seppic มีประโยชน์เป็น Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ซึ่งปกติมีหน้าที่กระตุ้นให้ไทโรซิเนสทำงาน ให้มีการสร้างเมลานินมากขึ้น และไปควบคุมกระบวนการ Melanosome transfer ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายที่เอาเมลานินที่สร้างเสร็จเข้าสู่เซลล์ผิวและเห็นเป็นสีผิว ตัวนี้มีเทคโนโลยี Vectorized amino acid ที่เอากรดอะมิโนมาจับกับโครงสร้างอื่นที่เป็นสายยาวๆ เพื่อให้โมเลกุลละลายในไขมันได้มากขึ้น เพิ่มความคงตัวและการดูดซึมเข้าผิว ข้อมูลจากบริษัท ชี้ว่า มีประสิทธิภาพสูงมากในการยับยั้งกระบวนการสร้างเมลานินแบบครบวงจรเมื่อยืนยันกับข้อมูลจากงานวิจัยสองฉบับ คือ J Cosmet Dermatol. 2009;8(4):260-6. ทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าประสิทธิภาพในการช่วยให้ผิวขาวจะดีขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide กับอีกงานวิจัยที่ทดสอบกับอาสาสมัคร เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ามีประสิทธิภาพทำให้จุดด่างดำต่างๆจางลง (Clin Exp Dermatol. 2010;35(5):473-6) ก็ตรงตามกับที่ทางแบรนด์ Claim เช่นกัน

-Mandelic acid สารในกลุ่ม AHA ชนิดหนึ่ง พบใน Almond ให้ผลผลัดเซลล์ผิว มีคุณสมบัติพิเศษคือช่วยลดการอักเสบ และระงับเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ด้วย การทดสอบในอาสาสมัครพบว่าสารนี้ให้ผลช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแก่ก่อนวัยได้ดี ลดการเกิดสิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ (Cosmetic Derm. 1999;June:26-28)

-Nonapeptide-1 มีชื่อทางการค้าว่า Melanostatin 5 เป็นเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมน MSH (Melanocyte stimulating hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นเซลล์ที่ชื่อ Melanocyte ให้เกิดการสร้างเมลานินออกมา จึงเป็นการตัดการสังเคราะห์เม็ดสีที่ต้นตอ

-Rumex occidentalis extract สารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งในอเมริกาเหนือ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารนี้ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ได้แรงกว่า Arbutin และ Hydroquinone และให้ผลลดรอยแดงได้ด้วย (ข้อมูลจาก Tyrostat ของ Lucas Meyer Cosmetics)

-Aminobutyric acid เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่ร่างกายสร้างขึ้น สารนี้ในรูปแบบของ Gamma-aminobutyric acid (GABA) เป็นสารสื่อประสาทที่สร้างในสมอง ทำหน้าที่เป็นตัวระงับการทำงานที่มากเกินไป การใช้รูปแบบทาภายนอกมีรายงานกล่าวว่า สามารถฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหายไปได้ (J Invest Dermatol. 2002;119(5):1041-7.) ลดการอักเสบ และช่วยเร่งการสมานแผล (J Microbiol Biotechnol. 2007;17(10):1661-9.) ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าการใช้ GABA ในเครื่องสำอางสำหรับทาภายนอก จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ให้ผลคล้าย Botox ได้ แต่ยังไม่มีรายงานการวิจัยรองรับ และสารนี้สามารถกดการสร้างเมลานินได้โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase

-L-lactic acid เป็นกรด Lactic ชนิดที่ Active ให้ผลผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้าง Ceramide ในผิวได้ ทำให้ Barrier ผิวแข็งแรงขึ้น

-Arctostaphylos uva-ursi leaf extract สารสกัดจาก Bearberry ส่วนของใบมีรายงานว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด มีรายงานว่าส่วนของเปลือกและใบพบสาร Arbutin ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase (Phytochem Anal. 2009;20(5):416-20.)

-Prunus serotina bark extract สารสกัดจากเปลือกต้นเชอร์รี่ป่า มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ให้ความรู้สึกสบายผิว เป็น Antioxidant ที่ดี และช่วยกระชับรูขุมขนได้

-D-alpha-Tocopherol เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินอี มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant แต่ส่วนมากจะให้ผลแค่ปกป้องสารในผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสลายไปเพราะอากาศ ไม่ค่อยเหลือถึงผิวหนัง

-Phenylethyl resorcinol อนุพันธ์ของ Resorcinol มีชื่อทางการค้าว่า Symwhite 377 มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวขาวผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเมลานิน และเป็น Antioxidant ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารนี้ให้ผลเป็น Whitening ได้ดีกว่า Beta-arbutin 100 เท่า (แต่ปกติ Beta-arbutin ก็มีฤทธิ์น้อยอยู่แล้ว) การศึกษาในอาสาสมัคร เมื่อใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้กับสาร Whitening อื่นๆ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าผิวขาวขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2013;12(1):12-7.) ช่วยลดรอยฝ้าในอาสาสมัครได้ (J Cosmet Dermatol. 2011;10(3):189-96.)

-Beta-glucan สารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ มีประโยชน์เรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ เป็นแหล่งอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ดีๆบนผิว ช่วยให้พวกนี้เจริญเติบโตเพื่อมาคอยปกป้องจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของผิวหนัง และช่วยลดริ้วรอย

-Lonicera japonica กับ Lonicera caprifolium extract สารสกัดจากดอก Honeysuckle เป็นสูตรผสมของสารกันเสียจากธรรมชาติ ให้ผลปกป้องผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะจุลินทรีย์ มีความปลอดภัยสูงกว่าสารกันเสียสังเคราะห์หลายๆตัว

2.Base มีทั้งส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน ดังนี้

2.1ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Propanediol และ Glycerin ตัวของ Propanediol นี้เป็นสารดูดน้ำให้ผิว ผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าสารนี้มีความเป็นมิตรกับผิวที่สูงมาก ไม่ทำให้ระคายเคืองเหมือนพวก Propylene glycol อีกจุดที่แบรนด์นี้มีชื่อคือ การปรับความถี่ของน้ำ (Harmonized water) ให้เกิดการ Resonance กับผิวพอดี ส่งผลให้กระบวนการทำงานบางอย่างของผิวดีขึ้น

2.2ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Soybean oil, Capric/caprylic triglycerides และ Phosphatidylcholine สารตัวนี้เป็น Phospholipids ที่สามารถซ่อมแซมเยื่อเมมเบรนผิวที่เสียหาย และยังสามารถสร้างตัวเป็นระบบนำส่งที่ชื่อ Liposome ที่มีโครงสร้างเป็นผนังสองชั้นเพื่อนำส่งสารเข้าไปในผิวได้ดีขึ้น

3.Additives ได้แก่

3.1Emulsifier/Surfactant ได้แก่ Polyglyceryl-4 caprate มีความอ่อนโยนสูง ช่วยผสานสารน้ำมันให้เข้ากับน้ำได้ และสามารถเพิ่มความหนืดได้

3.2สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Dextran เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ นอกจากเพิ่มความหนืดยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเคลือบผิวให้สัมผัสที่ดี ร่วมกับ Xanthan gum

3.3สารปรับ pH ได้แก่ Sodium hydroxide ถึงแม้ว่าเราจะเห็นสารนี้ แต่ก็ไม่ต้องวิตกตื่นตระหนกอะไรไป เพราะเขาใส่มาแค่นิดเดียว แค่ปรับ pH ให้เหมาะสมเฉยๆ ไม่มีอันตรายกับผิว

3.4น้ำมันหอมระเหย และ สารหอม ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยจาก Lavender, Sandalwood และ Ylang ylang น้ำมันหอมระเหยพวกนี้ในทางสุคนธบำบัด (Aromatherapy) จะมีคุณสมบัติพิเศษเสริมมา แต่ทางเครื่องสำอางส่วนมากจะมองเรื่องการแต่งกลิ่น กับคุณสมบัติระงับเชื้อจุลินทรีย์ ร่วมกับ Benzyl alcohol ที่มีกลิ่นหอม และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้

3.5Preservatives ได้แก่ สารสกัดจากดอกสายน้ำผึ้งกับ Benzyl alcohol

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives จะเห็นได้ว่าสารที่ใส่มามีคุณสมบัติต่อต้านการสร้างเม็ดสีได้หลาย Step ตั้งแต่เบื้องบน ยันกันไม่ให้ส่งออกไป แถมสารที่ใช้ยังเสริมคุณสมบัติดีๆอย่าง Antioxidant พวกตัวลดอักเสบ และช่วยเรื่องสิวได้ดี มี Moistutizer อยู่นิดๆ โดยรวมถือว่ามีครบถ้วน และทำออกมาได้ค่อนข้างดี จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

2.Base ผลิตภัณฑ์นี้ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีซิลิโคน มีส่วนผสมของสารดูดน้ำให้ผิวอยู่ 2 ตัว คือ Propanediol กับ Glycerin ส่วนของน้ำมันจากธรรมชาติ ที่ดูดซึมเข้าไปทดแทนไขมันในผิวได้ แต่โดยรวมยังขาดสารไขมันเคลือบผิวอยู่ จึงขอให้ 4 ฟลาสก์

3.Additives สารองค์ประกอบที่ใช้ถือว่าเลือกมาได้ค่อนข้างดี ทั้งคอนเซปท์ความเป็น Natural คือ Natural ตั้งแต่สารแต่งกลิ่น ยัน สารกันเสีย และสารเพิ่มความหนืดเลยทีเดียว ส่วนผสมชุดนี้ไม่มีพาราเบน และไม่มีซิลิโคน โดยรวมก็คือถือว่าทำมาได้ดี ไม่รู้จะหักคะแนนอะไรก็เอาไป 5 ฟลาสก์เช่นกัน

4.การใช้งาน หลังจากได้ลองใช้มาเกือบ 3 อาทิตย์ ก็มีคนทักนะว่าหน้าดูกระจ่างขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้ายอเล่นๆ หรือเค้าชมจริงๆ เพราะเราก็อยู่กับหน้าเราทุกวัน แต่ที่เห็นชัดเลยคือ ผิวจะเรียบขึ้น และสีผิวดูสม่ำเสมอมากขึ้นค่ะ ถึงแม้ว่าเนื้อมันจะเหลือง แต่ทาไว้ซักพักสีมันก็จะกลืนไปกับผิวเรา จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์ค่ะ

คะแนน enlighten

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณบริษัท DermaMD ที่ส่งเวชสำอางดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีมาให้มี่ได้ทดลองใช้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ทางเวบไซต์ http://www.dermskinstore.com/

หรือแฟนเพจของ Osmosis Thailand ที่ https://www.facebook.com/osmosispurmedicalskincarethailand ได้เลยนะคะ

ขอบคุณที่รับชมมาจนจบค่ะ