Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Naturalist Perfect BHA clear deep exfoliating water โทนเนอร์ BHA ดีๆส่วนผสมเลอค่าฝีมือคนไทย

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่จะมาอวดผลิตภัณฑ์ดีๆฝีมือคนไทยที่มีดีไซน์หรูหราดูอินเตอร์มาก และยังมีส่วนผสมที่ดู High class อีกค่ะ

เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Skincare ที่มี่ได้มาจากแบรนด์ Naturalist beauty นะคะ

naturalist

เห็นแพคเกจแล้วนึกว่าหอบหิ้วมาจากยุโรปเลยทีเดียว

ผลิตภัณฑ์ที่มี่ได้มามี 3 อย่างค่ะ

  • Perfect BHA clear deep exfoliating toner
  • Soybean phytogen moisture essence
  • Duo B hydrabright essence

 

วันนี้เรามาเริ่มกันที่ BHA นะคะ

ส่วนตัวมี่เองก็จะสอดแทรก BHA เอาไว้ใน Skincare regimen อยู่ เพื่อลดการอุดตัน ลดการเกิดสิว และช่วยลดการอักเสบในรูขุมขนค่ะ

หน้าตาของเจ้า Perfect BHA clear deep exfoliating water ค่ะ

BHA 1

บอกเค้าไปว่าชั้นชอบดีไซน์แพคเกจเค้า (ขอใช้ภาษาวิบัติเพื่ออรรถรสในการอ่าน)

จุดเด่นของเจ้าโทนเนอร์ตัวนี้คือ นางใช้นวัตกรรมใหม่ของ Salicylic Acid ที่เก็บกักในแคปซูล แคปซูลตัวนี้จะมีขนาดเล็ก ซึมลงไปในผิวได้ง่าย และค่อยๆแตกตัวปลดปล่อย Salicylic acid ออกมา โดยทางแบรนด์บอกว่า Salicylic acid จะค่อยๆ ปลดปล่อยออกจากแคปซูล ทาเพียงครั้งเดียวอยู่ได้ถึง 6 ชั่วโมง เลยทีเดียว
การเก็บในแคปซูลก็มีข้อดีคือ ทำให้ความระคายเคืองของ Salicylic acid ลดลง มีความอ่อนโยนเพิ่มขึ้น แต่ยังคงออกฤทธิ์ได้ดีอยู่ และการมีแคปซูลที่เป็นระบบนำส่งทำให้ตัว Salicylic acid ลงไปลึกสมชื่อ Deep exfoliating toner ของนาง

ตัวนี้ใช้คู่กับสำลีนะคะ

BHA 2

เป็นโทนเนอร์ที่ไม่มีน้ำหอม เลยจะได้กลิ่นจางๆของวัตถุดิบ ใช้ง่าย ไม่แสบ ไม่ระคายเคืองค่ะ ตัวนี้ตอนแรกมี่ใช้เช้าเย็น แต่ด้วยความที่มี่เป็นคนผิวแห้ง รู้สึกว่าผิวแห้งเลยเก็บไว้ใช้แค่ก่อนนอนค่ะ

BHA 3

เช็ดแล้วแห้งไว ไม่เหนอะหนะ และไม่ทิ้งคราบเหนียวใดๆไว้บนผิว

วัด pH ซักหน่อยเป็นพิธี

BHA 4

pH อยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ ซึ่งก็ใกล้เคียงกับผิวดี

จุดนี้ BHA เราอยู่ในแคปซูลนะคะ pH เท่าไหร่ก็ไม่มีปัญหา

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

สผส BHA

สำหรับสารบำรุงมี่ทำสีเขียวไว้ให้นะคะ เอ๊ะ มีสีฟ้าโดดเด่นมาตัวนึง คือเจ้า Isopentyldiol ตัวนี้เป็นสารที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอื่นๆเข้าผิวค่ะ (มีชื่อเรียกแบบสวยๆว่า Percutaneous absorption enhancer)

มาดูสารบำรุงกันเรียงตัวเลยดีกว่า

  • Betaine เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโนชนิดหนึ่ง มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง
  • Salicylic acid ก็คือ BHA ที่เป็นพระเอกของเราในวันนี้ค่ะ ช่วยลดการอุดตันในรูขุมขน
  • Panthenol คือ โปรวิตามินบี 5 ที่จะถูกเปลี่ยนเป็นวิตามินบี 5 มีบทบาทในการเพิ่มการชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิว
  • สารสกัดจากเปลือก Magnolia ช่วยฆ่าเขื้อจุลินทรีย์ และช่วยลดการอักเสบและระคายเคือง
  • สารสกัดจากใบยูคาลิปตัส มีคุณสมบัติฆ่าเชื้อจุลินทรีย์เช่นกัน
  • สารสกัดจาก Sigesbeckia มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ (J Ethnopharmacol. 2011; 11;137(3))
  • Allantoin ลดการระคายเคือง
  • Raspberry ketone เป็น Whitening ได้โดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสี (Int J Mol Sci. 2011;12(8):4819-35.) ข้อมูลจากทางแบรนด์บอกว่ามีผลต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย นอกจากนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจึงให้ผลปกป้องผลิตภัณฑ์จากเชื้อ

อีกตัวที่ไม่ได้ทำสีไว้ แต่ก็คู่ควรแก่การกล่าวถึงคือ Hexamidine diisethionate ตัวนี้ก็เป็นสารฆ่าเชื้อเช่นกัน

โดยรวมจึงเห็นว่านอกจากพระเอกอย่าง BHA แล้ว ยังมีเหล่าบรรดานักแสดงสมทบที่ช่วยมาเสริมกันเรื่องฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ ลดการอักเสบระคายเคือง ซึ่งจะให้ผลดีกับรอยแดงสิว และ Whitening จาก Raspberry ketone ที่จะช่วยเรื่องรอยดำสิวได้ไปพร้อมๆกัน

ขอเชิญคะแนนเลยนะคะ เนื่องจากวันนี้ส่วนผสมเรามีไม่มาก เลยขอแบ่งเป็นคะแนนส่วนผสม กับ คะแนนการใช้งานค่ะ

  1. ส่วนผสม จัดหนักจัดเต็ม มีประโยชน์ต่อผิวได้ครอบคลุมทุกปัญหาสิวเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสิวอุดตัน สิวอักเสบ รวมไปถึงรอยแดง รอยดำ และไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไปเลยค่ะ 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบที่ตัวดีไซน์ของเขานะคะ เนื้อในก็ดีไม่แพ้กัน ใช้ง่าย ใช้ซ้อนกับโทนเนอร์อื่นก็ได้ อย่างตัวมี่จะใช้ตัวนี้คู่กับตัว Duo B ที่จะมารีวิวครั้งหน้า ทางแบรนด์แนะนำว่าหยดใส่สำลีเดียวกัน แบ่งอย่างละครึ่งแผ่น และเช็ดทีเดียวเลยค่ะ รวดเร็วทันใจ ส่วนเรื่องความรู้สึกในการใช้งาน คือ ชอบนะ ไม่แสบผิว ไม่ร้อน ไม่วูบวาบ ช่วงแรกใช้เช้าเย็นเลยค่ะ แต่ด้วยอารมณ์ที่มี่ผิวแห้ง ก็เลยอาจรู้สึกแห้งไปหน่อย มี่เลยลดเหลือแค่ใช้กลางคืนค่ะ ใช้ลดปัญหาพวกสิวเสี้ยนกวนใจก็ดีค่ะ เอาไป 5 ฟลาสก์

คะแนน

ตัวนี้ทางแบรนด์จัดโปร ราคาจะอยู่ที่ 790 บาท/100 ml จากราคาปกติ 1290 ตกเป็น 7.9 บาท/ml ค่ะ

สุดท้ายนี้ขอบคุณทางแบรนด์ Naturalist ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามกับทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/NaturalistTH/

LINE : @naturalist.th

 

Discliamer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Naturalist beauty การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมน้ำตบยางพารา Apara The first care para activating essence

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่จะมารีวิวน้ำตบตัวหนึ่งที่น่าสนใจให้ชมกันค่ะ

เป็นน้ำตบที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากยางพารา สารสกัดยางพารานี้เป็นผลงานการวิจัยของคนไทย และมีอนุสิทธิบัตรรองรับด้วยค่ะ

กับน้ำตบ The first care para activating essence จากแบรนด์ Apara นั่นเองค่ะ

มาดูหน้าตากันก่อนเลยนะคะ

apara-3

มาในกล่องกระดาษสีขาวเงาเหลือบมุกดูเรียบง่ายแต่หรูหรา

ด้านในเป็นขวดพลาสติกอย่างหนา

apara-4

ลวดลายที่ขวดมีความหมายนะคะ

postcard

เป็นลายที่ทำเลียนแบบตอนกรีดยางค่ะ ดูมี Gimmick เก๋ไก๋สวยงาม

เนื้อน้ำตบเป็นเนื้อน้ำนม

apara

ตัวน้ำตบมีกลิ่นอ่อนๆ น่าจะเป็นกลิ่นของสารสกัดยางพาราที่ผสมๆกับน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ เนื้อค่อนข้างเบา เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ

apara-2

วิธีใช้ของมี่คือ ใช้หยดลงบนฝ่ามือ ส่วนตัวมี่จะใช้ในขนาดประมาณเหรียญ 5 บาท แล้ว Warm เล็กน้อย ก่อนตบเบาๆบนหน้า ทั้งเช้าและเย็น หลังล้างหน้าเรียบร้อยแล้วค่ะ

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

%e0%b8%aa%e0%b8%9c%e0%b8%aa-apara

ในส่วนผสมมี่ได้ทำสีส่วนผสมของสารบำรุงไว้แล้วค่ะ

เริ่มกันที่สีน้ำเงิน พระเอกของเรา คือ Hevea brasiliensis extract คือ สารสกัดจากยางพารานั่นเองค่ะ สารสกัดนี้เป็นสารสกัดที่เกิดจากงานวิจัยอันทรงคุณค่าของ รศ.ดร.รพีพรรณ วิทิตสุวรรณกุล ภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ (หรือ ม.อ.) เมธีวิจัยอาวุโสของสกว. ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศทางชีววิทยาศาสตร์ หรือ TCELS

สารสกัดนี้มีที่มาจากการที่ทีมนักวิจัยสังเกตว่าชาวสวนที่กรีดยางส่วนใหญ่มีผิวพรรณดี เลยนำมาศึกษา พบว่าในสารสกัดจากน้ำยางพารา ประกอบด้วยสารที่มีประโยชน์ในทางเครื่องสำอางหลายชนิด ที่น่าสนใจคือ

  • สารกลุ่ม Antioxidants ที่ช่วยชะลอวัย
  • สารกลุ่ม Protease inhibitor ซึ่งทำงานในการขัดขวางการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาเห็นเป็นสีผิว
  • น้ำตาลหลายๆชนิด ช่วยดูดน้ำให้ผิวเพิ่มความชุ่มชื้น
  • กรดอินทรีย์จำพวก AHA และ BHA
  • วิตามินและแร่ธาตุอีกหลายชนิด

(ข้อมูลจาก TCELS)

สารสกัดนี้ยังมีการทดสอบประสิทธิภาพด้าน Whitening ลดการเกิดฝ้าในอาสาสมัครด้วยค่ะ โดยมีกลไกในการเป็น Whitening 2 ขั้นตอน คือ ลดการสร้างเม็ดสีผิว และลดการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาข้างนอก

สารสกัดนี้ได้รับอนุสิทธิบัตรคุ้มครองด้วยค่ะ โดยในอนุสิทธิบัตรจะเคลมเรื่อง Peptide ที่มีผลด้าน Whitening (อนุสิทธิบัตรไทย เลขที่คำขอ 0603001971)

สารสกัดจากทาง TCELS มี Claim ว่า นอกจากช่วยเรื่อง Whitening แล้ว ยังให้ผลดีด้านลดการอักเสบของสิว ควบคุมความมัน และช่วยลดเลือนริ้วรอย

ในส่วนของสารบำรุงอื่นๆจะเป็นกลุ่มสีฟ้า ได้แก่

  • Witch hazel หรือ Hamamelis virginiana extract มีคุณสมบัติควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน
  • คาโมมายล์ หรือ Chamomilla recutita extract มีคุณสมบัติลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • ใบ Artichoke หรือ Cynara scolymus extract น่าจะเป็นวัตถุดิบของฝรั่งเศส ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สารสกัดประกอบด้วยเปปไทด์ที่มีคุณสมบัติควบคุมปริมาณของ EGF receptor บนเซลล์ผิวให้มีจำนวนปกติมีผลเพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง ทำให้ชั้นผิวหนาตัวขึ้น ช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนในผิว และยับยั้งการทำงานของ MMP-1 ที่เป็นเอนไซม์ย่อยสลายคอลลาเจนในผิว
  • Sodium PCA เป็น Natural moisturizing factor ตามธรรมชาติในผิว ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
  • สารสกัดจากบัวบก หรือ Centella asiatica extract มีคุณสมบัติเด่นด้านการชะลอวัย และริ้วรอย
  • Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 มีคุณสมบัติหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น Whitening, ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier function ของผิว
  • ว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติด้านความชุ่มชื้น

สีเขียวคือน้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ ซึ่งมีคุณค่ามีราคาแพง ให้คุณสมบัติเด่นด้าน Soothing หรือ ให้ความรู้สึกสบายผิว

ในส่วนของเนื้อหลัก และ สารปรุงแต่งของผลิตภัณฑ์ ก็ทำมาได้ดี และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลยค่ะ

ถึงเวลาให้คะแนน

  1. สารบำรุง หรือ Active ingredients เป็นน้ำตบที่ใช้สารสกัดจากยางพาราเป็นพระเอก พระเอกของเราในวันนี้ก็ให้ผลดีในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็น Whitening, ชุ่มชื้น และชะลอวัยลดริ้วรอย เสริมมาด้วยนักแสดงสมทบอย่างสารสกัดพืชอีก 5 ชนิด ตัวที่มาเป็นพระรองคงนี้ไม่พ้นใบ Artichoke จากฝรั่งเศส ที่มีคุณสมบัติเด่นในด้านการลดและป้องกันริ้วรอย และสารสกัดอื่นๆที่มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว ตบท้ายด้วยวิตามินบี 3 และ Sodium PCA ที่เป็น Natural moisturizing factor ตามธรรมชาติในผิว จึงถือว่าทำมาได้อย่างลงตัว รับไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อหลัก หรือ Base ถึงจะดูเป็นน้ำนม แต่ก็ไม่มีส่วนผสมของน้ำมันที่อาจจะรบกวนและอุดตันผิวอยู่ มีสารที่ให้คุณสมบัติดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และไม่มี Alcohol ไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่ง หรือ Additives ไม่มีทั้งซิลิโคน น้ำหอม และพาราเบน ใช้น้ำมันหอมระเหยจากดอกกุหลาบเป็นตัวให้กลิ่น นอกจากนี้ก็ไม่มีส่วนผสมของสารอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนนเช่นกัน รับไป 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ถ้าตัดเรื่องนวัตกรรมและสิทธิบัตรไทยออกไป น้ำตบ Apara เป็นน้ำตบที่ดูภายนอกเหมือนจะมันและหนักผิวเพราะมาในรูปแบบน้ำนม แต่พอใช้จริงกลับซึมไวและ หลังใช้ครั้งแรกก็จะรู้สึกว่าผิวชุ่มชื้น และรู้สึกเบา สบายผิว หลังจากใช้มาเกือบ 2 สัปดาห์จะรู้สึกด้านความสม่ำเสมอของสีผิว และความนุ่มฟูของผิวหน้า มีติแค่เรื่องกลิ่นเล็กน้อย แต่เข้าใจว่า น่าจะเป็นกลิ่นของวัตถุดิบและส่วนผสม โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี และมี่ค่อนข้างชอบ เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์

%e0%b8%84%e0%b8%b0%e0%b9%81%e0%b8%99%e0%b8%99-apara

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Apara ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์นวัตกรรมดีๆฝีมือคนไทยมาให้มี่ได้ทดลองใช้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/apara.thailand/

และขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Apara การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

 

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม สกินแคร์กลุ่มวิตซี จากแบรนด์ Lab Story ยกเซ็ต

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสม สกินแคร์กลุ่มวิตซี จากแบรนด์ Lab Story ยกเซ็ต

วันนี้เอาสกินแคร์กลุ่ม Vit C เกาหลี จากแบรนด์ Lab story มารีวิวให้ชมกันค่ะ

ขึ้นชื่อว่าบ้านมียอน งานโอปป้าต้องมาเสมอค่ะ

ในเซตนี้ มีผลิตภัณฑ์อยู่ 3 ชิ้นนะคะ คือ Booster, Serum และ Cream ค่ะ

มาดูหน้าตากันก่อนเลยเนอะ

lab 1

แบรนด์ Lab story นั้น ว่ากันว่าเป็น แบรนด์เวชสำอางของเกาหลีที่ดาราเกาหลีเลือกใช้กัน ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์เลือกใช้ส่วนผสมที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ มีการพัฒนาสูตร ใช้นวัตกรรมต่างๆเพื่อดูแลผิว และที่สำคัญคือ ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ และความปลอดภัย การระคายเคืองเรียบร้อยแล้วค่ะ

อีกอย่างคือ นางมีออฟฟิสอยู่ที่ย่านคังนัมนะคะ ย่านหรูชื่อดังในกรุงโซล

เรามาเริ่มกันที่ตัวแรกของเซตเลยค่ะ กับตัว Booster เป็นแนวๆ Toner/Essence นะคะ

lab 2

ตัวนี้เนื้อจะเป็นกึ่งๆน้ำนม มีความหนืดนิดๆ ชุ่มชื้นผิวมาก กลิ่นหอมอ่อนๆละมุนๆ เกลี่ยค่อนข้างง่ายนะคะ จะเทใส่มือแล้วตบ หรือ จะใส่สำลีแล้วเช็ดก็ได้หมด
ส่วนตัวมี่ชอบเทใส่สำลีแล้วกดเบาๆบนหน้าค่ะ

 

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

 

lab 4

 

ตัวนี้นอกจากสารหลักจะมีจุดเด่นอยู่ที่ น้ำมันจากพืชหลายชนิดค่ะ ส่วนใหญ่ก็เป็นชนิดที่หายากและมีราคาแพง เช่น น้ำมันจากเมล็ดบรอคโคลี่ น้ำมันจากถั่วดาวอินคา (Plukenetia volubilis) สายพันธ์ดั้งเดิมจากป่าอเมซอน น้ำมันเมล็ดแบลคเคอเรนท์ น้ำมันมะรุม ร่วมกับน้ำมันจากพืชตัวดั้งเดิมอีกหลายชนิด เช่น มะกอก ชา Jojoba Macadamia และ Meadowfoam

เรียกได้ว่าใครที่กำลังมองหาน้ำมันจากธรรมชาติ เจ้านี่คงตอบโจทย์ได้เลยค่ะ

ขนาดมี่เอง ลองมาก็เยอะ มาเจอตัว Booster นี่หลงไหลได้ปลื้มเชียวหละ

ส่วนของสารออกฤทธิ์ก็จะมีพวกกลุ่มที่ช่วยเรื่องผิวขาวอยู่หลายตัว เช่น

  • Niacinamide ที่เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีคุณสมบัติเรื่องผิวขาว เพิ่มความแข็งแรงให้แก่ Barrier ผิว โดยไปเร่งการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และลดการอักเสบ
  • Sorbitol กับ Sodium hyaluronate ที่มาในลำดับต้นๆ เด่นเรื่องความชุ่มชื้น ผิวนุ่มฟู
  • Melon seed extract อันนี้ขึ้นกับกรรมวิธีว่าจะได้น้ำมัน หรือ โปรตีนออกมา แต่หลักๆก็คือให้ผลเรื่องความชุ่มชื้นของผิว
  • สารสกัดจากผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่หายาก อย่าง Chokeberry (Aronia melanocarpa extract) Elderberry (Sambucus nigra extract)
  • วิตามินซี ที่ใช้เป็นรูปแบบ Ethyl ascorbyl ether ที่มีขนาดเล็ก มีความคงตัวสูง มีความเป็นกรดน้อย ให้ผลเรื่อง Antioxidant ช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิว และเป็นส่วนหนึ่งในขั้นตอนการสร้างคอลลาเจนในผิว

สารอื่นๆก็ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิวเลยค่ะ แถมบางตัวยังมีประโยชน์กับผิวด้วยซ้ำ

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 4-5 ซึ่งเป็นช่วงที่สารส่วนใหญ่ในผลิตภัณฑ์คงตัวค่ะ

 

lab 7

 

ตัวที่สองเป็นตัว Serum Whitening bomb

 

lab 8

 

มาในรูปแบบน้ำนม กลิ่นหอมละมุนเช่นกัน ตัวเซรัมนี้มีความหนืดมากกว่าตัว Booster เล็กน้อยค่ะ

lab 11-1

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้

 

lab 9

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะคล้ายกับตัว Booster แต่ลำดับของสารจะต่างกัน เช่น ลำดับของ Ethyl ascorbyl ether จะอยู่ที่ลำดับต้นๆกว่า และ ลำดับของ Niacinamide จะอยู่หลังกว่าตัว Booster

ส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือ

  • Biosaccharide gum-1 ซึ่งคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ ประกอบด้วยน้ำตาล 3 โมเลกุล คือ Galacturonic acid, L-Fucose และ D-Galactose มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ค่อนข้างนาน สารนี้มีคุณสมบัติก่อฟิล์มให้ความรู้สึกชุ่มชื้นนุ่มนวล ไม่เหนอะหนะ ไม่มัน และมีรายงานว่าช่วยลดการอักเสบ ป้องกันการแพ้ได้ (Fucogel จาก Solabia)
  • Adenosine มีคุณสมบัติที่ดีในด้านริ้วรอย และการส่งเสริมการทำงานของผิว

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 4-5 เหมือนตัว Booster ค่ะ

 

lab 13

 

ส่วนตัวสุดท้ายจะเป็นตัวครีม มีชื่อว่า Intensive cream whitening bomb ค่ะ

lab 14

 

เนื้อครีมจะค่อนข้างเบา ให้ความชุ่มชื้นสูง แต่ไม่เหนอะหนะ และไม่หนักผิวเกลี่ยค่อนข้างง่าย มีกลิ่นละมุนเช่นกัน

 

 

สำหรับส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้ค่ะ

 

lab 16

 

มีการเปลี่ยนแปลงลำดับของสารเล็กน้อย โดยเน้นกลุ่มน้ำมันมากขึ้น ตัวชูโรงคือตระกูลมะกอก และแมคคาเดเมีย

สารที่เพิ่มเข้ามาคือ

  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบในผิว
  • Trehalose เป็นน้ำตาลชนิดพิเศษ ที่มีคุณสมบัติดูดน้ำให้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น น้ำตาลนี้สามารถปกป้องรักษาเซลล์ผิวจากความแห้งได้ยาวนาน
  • โปรตีนนม (Milk protein) ที่ให้ผลเด่นเรื่องความชุ่มชื้น กับ เคลือบผิวให้ดูเรียบเนียน

สำหรับค่า pH นั้นอยู่ในช่วงราวๆ 5 – 6 ค่ะ

 

lab 19

ให้คะแนนกัน

  1. กลุ่มสารออกฤทธิ์ หรือ Active ingredients สารที่เป็นเสมือน Key note player ของไลน์ จะเป็นตัววิตามินบี 3 วิตามินซี เมื่อสองตัวนี้มาเจอกันจะช่วยผสานกันในการเป็น Whitening และช่วยเรื่องริ้วรอย และความแข็งแรงของ Barrier ผิวได้ กับสารสกัดจาก Berry หายาก อย่าง Chokeberry และ Elderberry ซึ่งนอกจากวิตซี ยังมีสารสีกลุ่ม Anthocyanin ที่เป็น Antioxidant ที่ดี ให้กับผิว ในแต่ละชิ้นยังมีสารอื่นๆเสริมเข้ามา เช่น ตัว Booster จะโดดเด่นด้วยน้ำมันจากพืชหายาก ตัว Serum มี Biosaccharide gum-1 และตัวครีมที่เสริมสารเติมน้ำเข้ามา โดยรวมถือว่า ทำได้ดีในการเป็นไวท์เทนนิ่ง เพราะออกฤทธิ์อยู่ที่ 2 ขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างเม้ดสี และป้องกันไม่ให้เม็ดสีที่สร้างเสร็จออกมาข้างนอก จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. กลุ่มเนื้อผลิตภัณฑ์ หรือ Base ทั้ง 3 ตัวมาในรูปแบบของ Emulsion ที่ประกอบด้วย น้ำ น้ำมัน และซิลิโคน สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว มีสารดูดน้ำให้ผิว มีสารไขมันจากธรรมชาติที่สามารถทดแทนไขมันในผิวได้ และมีสารเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  3. กลุ่มสารปรุงแต่ง หรือ Additives สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
  4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบตัว Booster เพราะเอามาใช้งานได้กว้าง หลากหลาย เอามาเช็ดก็ได้ เอามาตบๆ หรือจะเอามาทาเป็นตัวหลักเลยก็ได้หมด ส่วนตัว Serum และ ครีม ก็ให้สัมผัสได้ค่อนข้างดีเช่นกัน สิ่งที่สัมผัสได้ก่อนเลยคือเรื่องความชุ่มชื้น ดูเหมือนจะได้เรื่องความเรียบเนียนเข้ามาด้วย ส่วนเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอนั้นยังไม่ได้ชัดเจนมาก ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

จบแล้วค่าาา ขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามมาจนจบนะคะ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้ สวัสดีค่ะ

 

เดี๋ยวนี้ในไทยเขาก็มีบริษัทนำเข้ามาแบบถูกต้องแล้วนะคะ ลองไปดูกันเล่นๆได้ที่ https://www.facebook.com/labstory.thai ได้เลยค่ะ

 

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์ได้รับเป็นของขวัญจากเพื่อนที่เกาหลี (Consumer-reviewed)

 

 

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมโทนเนอร์และสลีปปิ้งมาสค์ ผสมสมุนไพรทั่วเอเชีย จากแบรนด์ Asiae

รีวิววิเคราะห์ส่วนผสมโทนเนอร์และสลีปปิ้งมาสค์ ผสมสมุนไพรทั่วเอเชีย จากแบรนด์ Asiae

 

วันนี้เปลี่ยน Mode มาดู Skincare ของไทยๆ กันบ้างนะคะ เป็นผลิตภัณฑ์กลุ่ม Aqua active จากแบรนด์ Asiae ที่เคลมว่าใช้สมุนไพรทั่วทั้งเอเชียค่ะ

เห็นชื่อ ก็เดาไว้ก่อนเลยว่า ต้องเป็นแบบ Water-based แน่ๆ และพอดูส่วนผสมก็เป็นแบบ Water-based จริงๆ ค่ะ

ในไลน์ Aqua active นี้มีผลิตภัณฑ์อยู่ 2 ตัวค่ะ เป็นมาสค์ กับ โทนเนอร์

มาดูโฉมหน้ากันหน่อยนะคะ

asiae 1

นางจะมาในกล่องสีขาวสะอาดตา ตกแต่งด้วยสีเขียวแก่ดูคลาสสิคดีค่ะ

มาดูกันไปทีละตัวเลยเนอะ

ตัวแรกเป็นโทนเนอร์ค่ะ

asiae 2

ทำไมเราต้องใช้โทนเนอร์ด้วยคะ?

โทนเนอร์นั้นเป็นผลิตภัณฑ์แรกสุดที่เราใช้หลังจากล้างหน้าเสร็จ มีวัตถุประสงค์เพื่อทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่หลังล้างหน้า ปรับสภาพ/เตรียมผิวให้พร้อมรับสารอาหารในขั้นตอนต่อไป ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับส่วนผสมของโทนเนอร์นั้นๆด้วยอีกที

เนื้อโทนเนอร์ก็เป็นแบบน้ำใส ไม่ได้ใส่น้ำหอม เลยไม่มีกลิ่นค่ะ

asiae 3

เช็ดแล้วจะให้ความรู้สึกสบายผิว ผิวหลังเช็ดนุ่มไม่แห้งตึงค่ะ

asiae 4

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

asiae 5

ส่วนผสมนี่เรียกได้ว่าจัดมาเต็มมาก เพราะส่วนมากเป็นสารออกฤทธิ์ หรือ Active ingredients ซึ่งมีเยอะมาก โดยทางแบรนด์เน้นไปที่กลุ่มพืชที่พบได้ใน Asia เหมือนชื่อแบรนด์ Asiae (เอเชียอี้)

ส่วนผสมนั้นไม่ได้ใช้แค่สารสกัดพืชธรรมดาๆ แต่สารบางตัวเป็นสารสกัดพืชที่ Advance ขึ้นมาอีกขั้น เพราะเป็นสารที่ได้จากกระบวนการทางเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) คือ เอาสารสกัดมาหมัก เพื่อให้ได้ฤทธิ์ที่ดีขึ้น เพราะระหว่างการหมัก เชื้อจุลินทรีย์จะไปเปลี่ยนสารต่างๆในพืช ให้มีขนาดเล็กลง ทำให้ซึมผิวดีขึ้น ออกฤทธิ์ได้ดีขึ้น

ส่วนของสารสกัดนั้นให้ผลโดยรวมหลายด้าน ได้แก่
– ผลัดเซลล์ผิวลดการอุดตัน จากสารสกัดของต้น Willow 2 สายพันธ์ คือ Salix nigra (Black willow) และ Salix alba ที่มี BHA ตามธรรมชาติ ให้ผลลดการอุดตัน ลดการอักเสบ ร่วมกับ Glycolic acid ที่เป็น AHA และสาร Lactic acid ธรรมชาติที่ได้จากการหมักของ Lactobacillus
– Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระ จากสารสกัดพืชหลายชนิด
– ผลดีต่อสิว มี Niacinamide ที่ช่วยลดการอักเสบสิว ร่วมกับสารสกัดจากพืชที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้ออย่าง Melia azaridacta (สะเดาอินเดีย), Houttuynia cordata (พลูคาว) และสารหอม O-cymen-5 ol ที่เป็นสารกลุ่ม Terpenes ที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้หลายชนิด ร่วมกับ Glyceryl caprylate ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีกับผิวหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความชุ่มชื้น จนถึงฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ
– ลดการอักเสบ จากสารสกัด Phellodendron amurense ซึ่งมีงานวิจัยรองรับถึงคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ (Int Immunopharmacol. 2014; 19(2):214-20.)
– ริ้วรอยและแผลเป็น มีสารสกัดจาก Scutellaria ที่ช่วยเรื่องการสร้างคอลลาเจนในผิว ช่วยลดริ้วรอย สมานแผล
– สูตรผสมของ Lactobacillus/Soybean Ferment Extract (and) Saccharomyces/Viscum Album (Mistletoe) Ferment Extract (and) Saccharomyces/Imperata Cylindrica Root Ferment Extract มีชื่อทางการค้าว่า Natural HGTM ของเกาหลี มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว ลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง
– Whitening อาศัย Niacinamide เป็นตัวลดการส่งผ่านเมลานินออกมาจากข้างใน มีผลลดรอยดำจากสิวได้ด้วย
– Moisturizer มี Trehalose ที่เป็นน้ำตาลชนิดพิเศษ มีคุณสมบัติดูดน้ำให้ผิว และช่วยปกป้องผิวจากอากาศแห้งๆได้ดี ร่วมกับสารดูดน้ำอีกหลายตัว และ Sodium hyaluronate

โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างครบค่ะ

ในส่วนของเนื้อผลิตภัณฑ์ ก็ไม่ได้มีสารที่มีพิษมีภัยอะไร ไม่มี Alcohol มีสารดูดน้ำดีๆหลายตัว มี Silicone ที่ช่วยเคลือบปกป้องผิวรักษาความชุ่มชื้นได้ด้วย

เดี๋ยวค่อยให้คะแนนทีเดียวกันนะคะ

ตัวต่อมาเป็น Sleeping mask ค่ะ

ชื่อเต็มๆคือ Aqua active sleeping mask

asiae 6

ตัวนี้เป็นมาสค์หน้าข้ามคืนแบบ Water-based ค่ะ

เนื้อเป็นเนื้อเจล สีฟ้าขุ่นๆ มีกลิ่นจางๆบางๆ เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย เคลือบผิวได้ดี ไม่เหนอะหนะ ให้ความรู้สึกเย็นสบายผิว

 

 

ในส่วนของส่วนผสมนั้นเป็นดังนี้นะคะ

asiae 9

ตัวนี้มาในรูปแบบของ Emulsiongel ที่ประกอบด้วยซิลิโคนกับน้ำ ไม่มีน้ำมันที่สุ่มเสี่ยงอุดตันรูขุมขน

ส่วนสารออกฤทธิ์นั้นเป็นชุดเดียวกันกับตัวโทนเนอร์ ซึ่งได้เล่าให้ฟังแล้วในช่วงต้น

มาให้คะแนนกันดีกว่า
Aqua active Toner
1. กลุ่มสารออกฤทธิ์ ดังที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วในด้านบน จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
2. Base มาในรูปแบบของ Water-based ถึงแม้จะมีซิลิโคนอยู่หลายตัว แต่เนื่องจากเป็นน้ำใส เลยขอกล่าวว่าเป็นแบบน้ำ มีส่วนผสมของสารดูดน้ำให้ผิวที่ดีอยู่หลายตัว มีสารซิลิโคนที่ช่วยเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น ไม่มีแอลกอฮอล์ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
3. Additives ไม่มีสารที่มีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
4. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบสัมผัสนะคะ เช็ดแล้วผิวค่อนข้างนุ่ม ไม่แห้งตึงเหมือนโทนเนอร์ทั่วไป แต่เนื่องจากตัวขวดปั๊ม กดแล้วน้ำยาจะออกมาค่อนข้างแรงเลย กระเด็นนิดหน่อย แบบ แอบเสียดาย เลยขอให้ 4 ฟลาสก์

Aqua active Sleeping mask
1. กลุ่มสารออกฤทธิ์ ดังที่ได้เล่าให้ฟังไปแล้วในด้านบน จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
2. Base มาในรูปแบบของ Emulgel ที่ประกอบด้วยน้ำ ซิลิโคน และกลุ่มน้ำมันสังเคราะห์ มีส่วนผสมของสารดูดน้ำให้ผิว สารเคลือบผิวรักษาความชุ่มชื้น แต่ยังขาดน้ำมันธรรมชาติที่จะช่วยทดแทนไขมันในผิวหนังอยู่ จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์
3. Additives ไม่มีสารที่มีพิษมีภัยอะไรกับผิว เลยไม่รู้จะหักคะแนนอะไร เลยขอให้ 5 ฟลาสก์
4. การใช้งาน ตัวนี้เป็น Sleeping mask ที่ให้สัมผัสที่เบา ไม่หนักผิว ไม่มันเยิ้ม เน้นการเติมน้ำให้กับผิว เกลี่ยค่อนข้างง่าย ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบค่ะ ขอให้ 5 ฟลาสก์[/left]

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Asiae ด้วยค่ะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ สวัสดีค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่เฟสบุคของทางแบรนด์ได้เลยค่ะ

https://www.facebook.com/Asiae.np
Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Asiae

 

Review: Innerface Dermal herb X-droop essence toner and deep sleep mask

Review: Innerface Dermal herb X-droop essence toner and deep sleep mask

วันนี้มี่แวะเอาเครื่องสำอางเกาหลีจากแบรนด์ Innerface มารีวิวให้ชมกันค่ะ

innerface logo

แบรนด์นี้มีคอนเซปท์ เกี่ยวกับการใช้สมุนไพรธรรมชาติในการดูแลผิว จะเห็นได้จากในโลโก้ว่า Vital herb นะคะ โดยทางแบรนด์เกาหลีเลือกใช้สมุนไพรจากสถาบัน Medicinal herb institute of New Zealand มีเทคโนโลยีชั้นสูงในการสกัดเพื่อได้ได้สารสำคัญออกมาอย่างครบถ้วนเลยค่ะ

แบรนด์เป็นแบรนด์เครื่องสำอาง Organic ที่มี Claim หลัก อยู่ 5 ด้านค่ะ

claim หลัก

ด้านแรก: Vegan หรือง่ายๆ คือ เจ ไม่มีส่วนผสมที่มาจากสัตว์ค่ะ ก็จะเหมาะกับคนที่เป็นมังสะวิรัติ หรือผู้นับถือศาสนาบางศาสนา และผู้ที่แพ้ส่วนผสมจากสัตว์บางชนิด

ด้านสอง: Not tested on animals ไม่ทดสอบในสัตว์ทดลอง

ด้านสาม: Paraben free ไม่ใส่พาราเบน พาราเบนนี่เป็นสารกันเสียที่มีรายงานเกี่ยวกับการแพ้ และการเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งบางประเภทค่ะ

ด้านสี่ PEG free: PEG นี่เป็นสารสังเคราะห์ ที่เวลาสังเคราะห์อาจจะมีหน่วยเล็กๆหลงเหลืออยู่ เจ้าหน่วยเล็กๆนี้อาจจะก่อมะเร็งได้ในระยะยาวค่ะ

และสุดท้าย Recycle: ว่ากันว่าแพคเกจของแบรนด์ผลิตมาจากกระดาษรีไซเคิลค่ะ และมีรูปทรงเก๋ไก๋ แบบสามเหลี่ยม

ตัวที่มี่ได้มาเป็นตัวที่อยู่ในไลน์ Dermal herb X-Droop นะคะ ได้มา 2 ตัวคือ Essence toner กับ Deep sleep mask ค่ะ

inner

กล่องมาแบบเก๋ไก๋เป็นสามเหลี่ยมค่ะ

มาดูรายละเอียดทีละตัวเลยนะคะ

ตัวแรก Essence toner ค่ะ เป็นสูตรผสมแบบ 2-in-1 ของ Essence กับโทนเนอร์ จะเอามาเช็ด มาตบ หรือมาทา ก็ได้หมดค่ะ

es jar

ตัวนี้เนื้อจะมาแบบหนืดๆคล้ายเซรัมอยู่ค่ะ ลักษณะใส มีกลิ่นหอมอ่อนๆของสมุนไพร

es tex

เกลี่ยค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสที่ดี และก็ซึมไว แห้งไว ไม่ทิ้งคราบเหนอะหนะค่ะ

essence feel

วัด pH ซักหน่อยนะคะ

es ph

อยู่ที่ประมาณ 4-5 ค่ะ ซึ่งก็ถือว่าเหมาะกับผิวดี

อีกตัวจะเป็นตัว Deep sleep mask ค่ะ

slp jar

นางจะมาในกระปุกแก้วสีขาวสะอาดตา ข้างในนี่นางซีลปิดฝากระปุกไว้อีกชั้นค่ะ กันปนเปื้อนจากภายนอก

เนื้อจะหยุ่นๆ นุ่มๆ ตัวนี้แทบจะไม่มีกลิ่นน้ำหอมเลยค่ะ

slp tex bottle

เนื้อเป็นเหมือนๆลูกผสมของครีมกับเจล สีขาวขุ่นค่ะ

slp tex

เวลาเกลี่ยจะเกลี่ยค่อนข้างง่าย และจะกลายเป็นเนื้อฟิล์มบางๆเคลือบผิวไว้ค่ะ

slp feel

เจ้าฟิล์มนี่เองที่จะเคลือบผิวและสร้างภาวะที่เรียกว่า Occlusive ที่เป็นหัวใจหลักของการมาสค์ค่ะ ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอาหารต่างๆ เพิ่มความชุ่มชื้นในผิว และช่วยปรับสมดุลการทำงานให้ผิวได้ด้วยค่ะ

วัด pH กันซักนิดนะคะ

slp ph

ดูยากนิดนึงนะคะ เพราะสีของมาสค์มันเคลือบไว้ มี่เดาว่าน่าจะ 6 ค่ะ ซึ่งก็โอเคนะคะ ใกล้เคียงกับผิวอยู่ค่ะ

มาถึงคิวการวิเคราะห์ส่วนผสมแล้วค่ะ

Essence toner

สผส essence

(มี่ทำสีของสารออกฤทธิ์ให้เป็นสีม่วงไว้นะคะ)

จะเห็นว่าสารออกฤทธิ์ทุกตัวเลยได้จากธรรมชาติ แล้วมีค่อนข้างหลากหลายมากค่ะ มาดูรายละเอียดกันพอหอมปากหอมคอกันดีกว่าเนาะ

Rosa damascena flower water หรือน้ำกุหลาบมอญ เป็นน้ำที่เหลือจากการกลั่นน้ำมันกุหลาบ จะยังพอมีน้ำมันกุหลาบเหลืออยู่เล็กน้อย ร่วมกับสารบำรุงอื่นๆ มีคุณสมบัติช่วยลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ และให้ความรู้สึกสบายผิว

-นอกจากนี้ยังมี Panthenol, Aloe กับ Allantoin ก็ช่วยเรื่องชุ่มชื้น ลดระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว เช่นกัน

Hamamelis virginiana water หรือ Witch hazel ตัวดังเรื่องกระชับรูขุมขน และยังเป็น Antioxidant ได้ด้วย

-Saururus chinensis extract ตัวนี้ต้องขอจัดเต็มค่ะ คือนางดีและเยอะมาก นางเป็นสารสกัดจากพืชยาจีนชนิดหนึ่ง มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant และ ลดการอักเสบ (J Med Food. 2005;8(2):190-7.) สารประกอบ Sauchinone ที่พบมีคุณสมบัติส่งเสริมการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย โดยไปกระตุ้นให้เซลล์เม็ดเลือดขาว Phagocyte ของร่างกายกินเชื้อแบคทีเรียเพื่อกำจัดทิ้งได้ดีขึ้น (Eur J Pharmacol. 2014;728:176-82.) สารนี้ยังช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากรังสี UV ได้อีก (Biol Pharm Bull. 2013;36(7):1134-9.) สารประกอบ Manassantin B ที่พบมีผลช่วยเรื่องผิวขาว โดยไปยับยั้งกระบวนการนำส่งเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาเห็นเป็นสีผิวภายนอก (Pigment Cell Melanoma Res. 2012;25(6):765-72.) สารประกอบ Manassantin A ที่พบยังไปลดการสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ได้ (xp Dermatol. 2011;20(9):761-3.) โดยรวมคือ ปกป้องผิวจากยูวี ผิวขาว ลดอักเสบ และชะลอวัย

Polyglutamic acid และ Sodium hyaluronate โดดเด่นเรื่องความชุ่มชื้นค่ะ

โดยรวมจะเห็นได้ว่าสารออกฤทธิ์นี้มาค่อนข้างเต็ม และครบถ้วน โดยเน้นไปที่เรื่องชุ่มชื้น ลดอักเสบ ให้ความรู้สึกสบายผิว และมีเรื่องชะลอวัย ปกป้องผิวจากยูวี ผิวขาว และกระชับรูขุมขนเสริมมาค่ะ

คะแนนนน

1.สารออกฤทธิ์ จากที่บรรยายไปคือไม่รู้จะอยากได้อะไรเพิ่มมาอีกดี ก็เลยให้ 5 ฟลาสก์

2.เนื้อผลิตภัณฑ์ เป็นกลุ่มน้ำ (Water-based) ไม่มีน้ำมัน ไม่มีซิลิโคน ไม่มีแอลกอฮอล์ และยังมีสารดูดน้ำให้ผิวดีๆอยู่ด้วย เลยให้ 5 ฟลาสก์

3.สารองค์ประกอบอื่นๆ มีแค่เท่าที่จำเป็น คือ มีสารเพิ่มความหนืด มีสารทำให้ใส และก็สารกันเสียแค่นั้น โดยสารกันเสียที่ใช้เป็นสารกันเสียจากธรรมชาติค่ะ ไม่มีพาราเบน ก็เลยให้ 5 ฟลาสก์ เช่นกัน

4.การใช้งาน โดยรวมคือค่อนข้างชอบ เป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นกลิ่นสมุนไพรค่อนข้างชัด เนื้อนุ่มเบาสบายเกลี่ยง่าย ชุ่มชื้นผิวมาก ใช้มาได้อาทิตย์กว่าๆ ก็รู้สึกว่าแต่งหน้าติดผิวได้มากขึ้น ขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน

ถึงคิว Sleeping mask บ้างค่ะ

ส่วนผสมนะคะ

สผส sleep

ส่วนผสมจะค่อนข้างคล้ายกับตัวโทนเนอร์ แต่ที่ต่างคือ มีการเพิ่มน้ำมันจาก Babassu (Orbignya oleiferaseed oil) ซึ่งเป็นพืชตระกูลปาล์ม ประกอบด้วยกรดไขมันสายสั้นๆ C12 (Lauric acid) เป็นหลัก (50%) รองลงมาเป็น Myristic acid และ Oleic acid อารมณ์จะคล้ายๆน้ำมันมะพร้าวอยู่ค่ะ

และที่เพิ่มเข้ามาคือ Pinus sylvestris extract เป็นสารรสกัดจากพืชตระกูลสน มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย และมีส่วนช่วยเรื่อง Whitening ได้

ให้คะแนนเช่นกัน

1.สารออกฤทธิ์ ส่วนผสมชุดนี้เน้นไปที่การฟื้นฟูบำรุง โดยการเสริมสร้างไขมันให้ผิว ช่วยเติมน้ำ และลดการอักเสบระคายเคืองในผิว โดยรวมยังถือว่าขาดในส่วนของ Antioxidant ไปอยู่เล็กน้อยเพราะตัวที่มียังไม่เด่นมาก จุดนี้จึงขอให้ 4 ฟลาสก์

2.เนื้อหลัก เป็นชนิดอิมัลชั่นประกอบด้วยส่วนผสมของน้ำ น้ำมัน และซิลิโคน ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีตามอุดมคติครบถ้วน คือ มีสารดึงน้ำ มีสารไขมันทดแทน และมีสารไขมันเคลือบปกป้องผิว โดยรวมขอให้ 5 ฟลาสก์

3.สารองค์ประกอบอื่นๆ สารที่ใช้ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรกับผิว ไม่มีพาราเบน ไม่มีสาร Surfactant แรงๆ โดยรวมจึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

4.การใช้งาน ถ้าคืนไหนเรามาสค์อันนี้ เช่ามาจะสังเกตได้เลยว่าหน้านุ่มขึ้นมาก ถ้าอยากใช้ร่วมกันสองตัวก็แค่โบกโทนเนอร์ลงไปก่อน แล้วรอซักแป๊บ ก่อนละเลงมาสค์นี้ลงไป แต่สำหรับผิวมี่ มี่ว่าถ้าใช้ซักวันเว้นวันหรือวันเว้นสองวันน่าจะกำลังเหมาะเลย แต่ถ้าให้ใช้ทุกวัน มี่ว่ามันค่อนข้างเคลือบผิวไปนิดนึงค่ะ โดยรวมถือว่าชอบ และเหมาะมากสำหรับคนผิวแห้งค่ะ จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์

ทmask

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Innerface Thailand ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ค่ะ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์เลยนะคะ

เฟสบุค: http://www.facebook.com/Innerface

website: http://www.innerfacethailand.com/

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากแบรนด์ Innerface

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

รีวิววิเคราะห์เจาะลึกส่วนผสม BHA Music toner จากแบรนด์ Skin Talk เวชสำอางของเกาหลี

รีวิววิเคราะห์เจาะลึกส่วนผสม BHA Music toner จากแบรนด์ Skin Talk เวชสำอางของเกาหลี

วันนี้จะมารีวิว BHA music toner ของ Skin Talk ให้ชมกันค่ะ

 

แบรนด์ Skin Talk นั้นเป็นแบรนด์เวชสำอางจากประเทศเกาหลี ปัจจุบันมีผู้นำเข้ามาจำหน่ายในไทยแบบถูกต้องตามกฎหมายแล้วนะคะ 🙂

bha 1

ปกติมี่จะเป็นคนเก็บกล่องและขวดผลิตภัณฑ์ไว้นะคะ บางอันก็น่ารักควรค่าแก่การสะสมจริงๆค่ะ

ความประทับใจแรกของมี่กับผลิตภัณฑ์ ก็คือเรื่อง Tamper-proof แปลเป็นไทยง่ายๆว่า ภาชนะบรรจุที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถถูกทำลายไปได้เมื่อเปิดใช้

 

bha 2

 

จะเห็นว่าดูแล้วมีความปลอดภัย และรู้สึกถึงความเชื่อมันในตัวสินค้าได้เลยค่ะ

เนื้อสัมผัสจะเป็นของเหลวใส มีกลิ่นหอมอ่อนๆเบาๆ แห้งค่อนข้างไว หลังแห้งจะรู้สึกหนึบๆนิดนึงค่ะ ไม่ได้แห้งแล้วกรอบไปเลยเหมือนโทนเนอร์บางอย่าง

 

bha 3

 

ตอนแห้งแล้วค่ะ

bha 4

ลองมาดูกล่องดีกว่านะคะ

เป็นกล่องสีน้ำเงิน คาดด้วยสีส้ม/ดำ ดูเรียบง่าย แต่ก็หรูหราค่ะ

bha 5

ค่า pH ของผลิตภัณฑ์อยู่ที่ราวๆ 4-5 ก็ไม่ได้โหดร้ายอะไรกับผิวจนเกินไปค่ะ

bha 6

ลองมาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

bha 7

จากลำดับส่วนผสมจะเห็นว่าสิ่งที่มาอันแรกคือ Camellia sinensis หรือเรียกสั้นๆว่า “น้ำชา”

ทำไมต้องน้ำชา???

เพราะในใบชาประกอบด้วยสารสำคัญหลายๆอย่าง ในตระกูล Polyphenols เช่น Flavonoids, Catechins รวมไปถึงสารที่ชื่อว่า Tannin เจ้า Tannin นี้มีคุณสมบัติดีๆหลายอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติในการชะลอวัย เป็น Antioxidant และเป็น Astringent (คำนี้เป็นภาษาทางเภสัชกรรม แปลว่าฝาดสมาน แปลไปแล้วก็ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเพิ่มขึ้น ผลนี้ช่วยเรื่องการกระชับรูขุมขน และควบคุมความมันค่ะ)

ถึงดูส่วนผสมเหมือนจะธรรมดา แต่ความยากอยู่ที่ การนำเอาน้ำชามาใส่แล้วผลิตภัณฑ์มีความคงตัวค่ะ ซึ่งทำได้ค่อนข้างยากเลยทีเดียว การที่ทำได้โดยไม่ได้ใช้สารกันเสียที่รุนแรง ถือว่าค่อนข้างเก่งเลยค่ะ

อ้อ ครั้งแรกที่ใช้จะรู้สึกยุบยิบๆนิดหน่อยนะคะ แต่ครั้งถัดๆมาก็ไม่รู้สึกอะไร เหมือนเช็ดโทนเนอร์ทั่วไปค่ะ

เรามาดูรายละเอียดและคุณสมบัติของส่วนผสมไปด้วยกันเลยดีกว่าค่ะ

ปกติเราจะแบ่งสารส่วนผสมในเครื่องสำอางเป็น 3 กลุ่ม ค่ะ
1. Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
2. Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้
3. Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

ลองมาไล่ไปทีละตัวเลยดีกว่า

คุณสมบัติสารแต่ละตัวแยกตามหน้าที่

1.Actives ได้แก่

-Camellia sinensis leaf water คือ น้ำชา ที่กล่าวไปเมื่อครู่

-Lactobacillus/Kelp ferment filtrate มีอีกชื่อว่า Sea kelp bioferment ไม่มีข้อมูลงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง แต่ปกติในระหว่างการหมักด้วย Lactobacillus มักจะได้ผลิตภัณฑ์เป็น Lactic acid ออกมาด้วยเสมอ และสารที่มีอยู่ในพืชที่เอามาหมักด้วยจะเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างให้มีขนาดเล็กลง ทำให้ดูดซึมเข้าผิวได้มากขึ้น เรียกว่ากระบวนการ Bioconversion

ตัว Kelp เป็นสาหร่ายสีน้ำตาลชนิดหนึ่ง มีแร่ธาตุอยู่หลายชนิด ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว และช่วยเรื่องปรับสภาพผิว

-Chlorella ferment คือ สารที่ได้จากการหมักสาหร่ายสีเขียวสายพันธ์ Chlorella สาหร่ายนี้มีรายงานการวิจัยกล่าวถึงผลในการ Anti-aging โดยมีผลต่อการทำงานของ Antioxidant enzyme ในเซลล์ Fibroblast (BMC Complement Altern Med. 2013; 13:210.)

-Portulaca oleracea extract สารสกัดจากคุณนายตื่นสาย มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์กระตุ้นการสมานแผล (Wound healing) (J Ethnopharmacol. 2003; 88(2-3):131-6.) ลดการอักเสบ (J Ethnopharmacol. 2000; 73(3):445-51.) และมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant (J Med Plants Res. 2011; 5(9):1589-1593)

-Hydrolyzed collagen Collagen เป็นเส้นใยที่ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิวหนัง Hydrolyzed collagen เป็นคอลลาเจนที่ผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อให้มีขนาดที่เล็กลง อาจจะดูดซึมเข้าผิวได้บ้าง ขึ้นกับขนาดของมัน ถ้าตัวเล็กๆก็จะดูดซึมได้ ให้ผลช่วยเรื่องความชุ่มชื้นและริ้วรอย แต่ถ้าตัวใหญ่หน่อย ก็จะเคลือบอยู่ภายนอกผิว ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นกับผิว

-Allantoin สารที่พบในรากคอมเฟรย์ มีประโยชน์ช่วยลดการแพ้ ลดการระคายเคือง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง มีรายงานการวิจัยสนับสนุนเรื่องคุณสมบัติในการช่วยสมานแผล (Acta Cir Bras. 2010;25(5):460-6.)

-Rosmarinus officinalis extract คือ สารสกัดจากโรสแมรี่ มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านการอักเสบ (J Agric Food Chem. 2011; 59(8):3674-85.) Antioxidant (Nat Prod Res. 2008; 22(1):76-90.) และมีผลฆ่าเชื้อแบคทีเรีย/ราบางชนิดได้

-Oryza sativa seed water คือ น้ำที่ได้จากข้าว ปกติถ้าเป็นข้าวสายพันธ์ที่มีสี เช่น ข้าวแดง ข้าวดำ ก็จะให้ผลเป็น Antioxidant ที่ดี แต่ถ้าเป็นข้าวขาว ก็จะช่วยเรื่องความชุ่มชื้น การลดการคายเคือง และช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว

-Betaine อนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine มีชื่อทางเคมีว่า Trimethylglycine พบในหัวบีท มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น ลดการระคายเคือง และช่วยให้สัมผัสที่ดีเวลาทา

-Camellia sinensis powder คือ ผงของชา คาดว่าน่าจะใช้ตอนเตรียมน้ำชา

-Salicylic acid เป็นสารในกลุ่ม BHA สารกลุ่มนี้ละลายได้ดีในไขมัน มีผลช่วยลดไขมันอุดตัน ลดการเกิดสิว ลดการอักเสบ และช่วยเรื่องการผลัดผิว ข้างกล่องบอกว่าใส่มา 0.2%

-Citric acid เป็นสารในกลุ่ม AHA สารกลุ่มนี้ละลายได้ดีในน้ำ มีผลช่วยผลัดผิว และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ข้างกล่องบอกว่าใส่มา 0.5%

2.Base หลักๆคือน้ำชา ร่วมกับสารดึงน้ำอย่าง Glycerin และ 1,2-Hexanediol สารตัวนี้สามารถระงับการเจริญของเชื้อได้ด้วย

3.Additives มีค่อนข้างน้อยชนิด ได้แก่

3.1สารปรับ pH คือ Sodium hydroxide ตัวนี้เราเห็นว่าเค้าใส่ เราอย่าไปคิดว่ามันจะอันตรายอย่างนั้นอย่างนี้ สรรพสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนมีอันตราย ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูงๆ อันนี้ใส่มาแค่ปรับ pH ใส่มาน้อยนิด จนแทบจะไม่ได้มีผลอะไรกับผิว ลองดูจากค่า pH ก็ได้ แค่ราวๆ 4-5 เอง เพราะฉะนั้นไม่ต้องวิตกกับ Sodium hydroxide หรือพวก Potassium hydroxide ในสูตรเครื่องสำอาง

3.2Emulsifier มี PEG-40 Hydrogenated castor oil ใช้เป็นตัวทำให้สารละลายใส มีผลเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ด้วย

3.3Preservative นับ 1,2-Hexanediol ที่เป็นสารดูดน้ำไว้ด้วย ร่วมกับสารจับโลหะ EDTA

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives ตัวผลิตภัณฑ์มีชื่อว่า BHA Music toner แต่ไม่ได้มีแค่ BHA มีเสริมมาด้วย AHA สารสกัดจากพืชต่างๆ น้ำชาที่มีประโยชน์เรื่อง Antioxidant และ Tannin และสารสกัดจาก Portulaca ที่ช่วยลดการอักเสบ และช่วยสมานแผล โดยรวมจึงถือว่าเหมาะมากกับการดูแลสิว แต่ถึงไม่มีสิวก็ใช้ได้ เพราะส่วนผสมชุดนี้ช่วยเรื่องการผลัดผิวแบบอ่อนโยน ด้วยส่วนผสมของ AHA 0.5% กับ BHA 0.2% ทำให้เราสามารถใช้ได้ทุกวันเพื่อขจัดสิ่งสกปรกที่อุดตันในรูขุมขน แต่ถ้าเป็นไปได้ ก็ยังอยากได้ Antioxidant เสริมเข้ามาอีกซักตัว น่าจะสมบูรณ์แบบเลย จุดนี้จึงขอให้ 4 ฟลาสก์

2.Base หลักๆเป็นน้ำ และไม่ใช่น้ำธรรมดา แต่เป็นน้ำชา ไม่มีน้ำมัน ไม่มีซิลิโคน ไม่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งส่วนมากผลิตภัณฑ์ที่ออกแบบมาสำหรับดูแลเรื่องสิว หรือผิวอุดตัน มักจะมี Alcohol เพื่อช่วยละลายไขมัน แต่สูตรนี้ไม่มี ทำให้คนผิวแห้งที่ผิวไม่เรียบ สามารถเอามาใช้ได้ด้วย จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

3.Additives เรียกได้ว่ามีค่อนข้างน้อยชนิด ไม่มีน้ำหอม ไม่มีพาราเบน ไม่มีซิลิโคน ไม่มี Surfactant รุนแรง จึงนับว่าค่อนข้างเป็นมิตรกับผิว แล้วก็ไม่รู้จะไปหักคะแนนอะไร ก็เลยขอให้ 5 ฟลาสก์

4.การใช้งาน ตัวโทนเนอร์ทำความสะอาดผิวได้หมดจด ขนาดว่าล้างหน้า 3 ขั้นตอน คือ Cleansing water, oil และ Foam ใช้โทนเนอร์นี้เช็ดยังสามารถเอาอะไรบางอย่างออกมาจากผิวได้อีก ซึ่งโทนเนอร์ตัวเก่าไม่ได้เป็นแบบนี้ หลังจากใช้มาได้เกือบๆสองอาทิตย์ พบว่าผิวเรียบเนียนขึ้น ผิวที่แตกลอกเป็นขุยลดลง สิวหินบนหน้าผาก ก็หายไป แล้วก็ช่วยให้แต่งหน้าได้เรียบเนียนขึ้น จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์เช่นกันค่ะ

 

bha 8

 

ยังไม่จบค่ะ ขอเอาภาพที่ไม่น่าชมเท่าไหร่มาให้ชมค่ะ เป็นสำลีที่เช็ดหลังจากล้างหน้าจนสะอาดแล้ว

ปกติมี่จะเป็นคนล้างหน้า 3 step ค่ะ เริ่มจาก Cleansing water, Cleansing oil และก็ Foam ล้างหน้าค่ะ

สมัยก่อนพอเช็ดโทนเนอร์ก็ไม่ได้มีอะไรติดมากับสำลี จนกระทั่งได้มาใช้โทนเนอร์ตัวนี้

 

bha 9

 

จะเห็นว่ายังมีสีน้ำตาลอ่อนๆ หลุดออกมาด้วยค่ะ

อีกรูปขอเปรียบเทียบผิวจริงให้ดูค่ะ ก่อนใช้ กับหลังใช้ 2 อาทิตย์ อาจจะน่ากลัวนิดนึง กล้องไอโฟนเก็บรายละเอียดได้ชัดกว่าที่ตาเห็นอีกค่ะ ตัวเองยังกลัวเลย (ฮาาา)

 

ก่อนใช้ vs หลังใช้-edit

 

 

ก่อนใช้ ผิวแห้งและลอกเยอะมาก มีสิวหินเม็ดเล็กๆ อยู่สองเม็ด พอใช้ไปเรื่อยๆ ผิวก็หายลอก แต่งหน้าได้ดีขึ้น จนเกือบครบสองอาทิตย์ สิวหินเม็ดนั้นก็หายไป และรอยแดงบนใบหน้าก็น้อยลง

ปล. แสงตอนที่ถ่ายอาจจะไม่เท่ากันค่ะ จริงๆไม่ได้ขาวขึ้นนะคะ

นี่ก็เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่รักมาก เพราะช่วยเอาสิวหินที่ดักดานอยู่บนหน้ามาเกือบครึ่งปีออกไปได้

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เวบไซต์ Derm Skin Store เลยนะคะ

ลิงค์ …. http://www.dermskinstore.com/
ขอบคุณค่ะที่ติดตามมาจนจบ แล้วพบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

 

[Beauty Talks] Toner Myths Part 2

[Beauty Talks] Toner Myths Part 2

วันนี้เอาโทนเนอร์ในท้องตลาดมาวิเคราะห์แบบสรุปๆ เป็นกรณีศึกษาเพื่อนำไปใช้ประยุกต์เลือกโทนเนอร์ที่เหมาะสมกับผิวเราค่ะ

 

โฉมหน้าของ Case ในวันนี้ มีดังนี้ค่ะ

toner รวมดาว

 

 

เรียงจากซ้ายไปขวานะคะ

1. Toner กระชับรูขุมขนจากแบรนด์ T

2. Toner Ceramide จากแบรนด์ H

3. Toner ลดริ้วรอยจากแบรนด์ S

4. Peeling toner จากแบรนด์ I

5. Moisture toner จากแบรนด์ P

 

มาดูทีละตัวเลยนะคะ

โทนเนอร์ตัวที่ 1: โทนเนอร์กระชับรูขุมขนจากแบรนด์ T สูตร Original

thayer

ส่วนผสม

Purified Water, SD Alcohol 40-B (Natural Grain) 10%, Aloe Barbadensis Leaf Juice (Certified Organic Filet of Aloe Vera), Hamamelis Virgiana Extract (made from Certified Organic Witch Hazel), Glycerin (Vegetable), Fragrance (Natural Witch Hazel), Citrus Grandis (Grapefruit) Seed Extract, Citric Acid

 

บางที่เค้าจะล่อลวงเราด้วยคำว่า Organic, Natural แต่ความจริงก็ไม่ใช่ว่า ของที่มันไม่ Organic มันจะเป็นอันตรายกับผิวไปเสมอ ดูไปดูมาพวกสารที่ไม่ใช่ Organic มีคุณสมบัติบำรุงผิวดีกว่า มีสัมผัสสวยกว่าอีก

 

โทนเนอร์สูตรนี้มีสารสกัดจาก Witch hazel กับ ว่านหางจรเข้ ซึ่งดูเผินๆก็เหมือนจะดี ให้ผลกระชับรูขุมขน พร้อมกับเติมน้ำให้ผิวในเวลาเดียวกัน มาติดตรงส่วนประกอบของ Alcohol ซึ่งถ้าใครมีผิวมันได้ใช้คงโอเค เพราะ Alcohol จะช่วยชะเอาไขมันที่อุดตันในรูขุมขนออกมาข้างนอก ช่วยให้ผิวเรานุ่มสบายขึ้นด้วย แต่ถ้าใครผิวแห้ง มาเช็ดบ่อยๆก็คงไม่น่าจะเหมาะสมเท่าไหร่

 

โทนเนอร์ตัวที่ 2: โทนเนอร์ Ceramide จากกแบรนด์ H

holika

ส่วนผสม:

water, butylene, glycol, betaine, glycerin, glyceryl acrylate/acrylic acid copolymer, propylene glycol, dimethicone, dimethicone/vinyl dimethicone crosspolymer, peg-20 sorbitan cocoate, gylcosyl trehalose, hydrogenated starch hydroylsate, diphenylsiloxy phenyltrimethicone, triethylhexanoin, polyglyceryl-10 myristate, polyouaternium-51, glyceryl polymethacrylate, aleuritic acid, yeast extract, glycoproteins, dipotassium glycyrrhizinate, panthenol, cetearyl alcohol, gylceryl stearate, stearic acid, ethylhexyl isononanoate, phytosteryl/isostearyl/cetyl/stearyl/behenyl dimer dilinoleate, cetearyl glucoside, hydroxypropyl bispalmitamide mea, glycine soja (soybean) sterols, meadowfoam estolide, ceramide 3, hydrogenated polydecene, butyrospermum parkii (shea) butter, ceteareth-20, glyceryl citrate/lactate/linoleate/oleate, glycosphingolipids, ceramide 6 ii, eruca sativa leaf extract, sodium hyaluronate, xanthan gum, acrylates/c10-30 alkyl acrylate crosspolymer, peg-60 hydrogenated castor oil, caramel, disodium edta, tromethamine, citrus aurantium, bergamia (bergamot) fruit oil, fragrance, phenoxyethanol, caprylhydroxamic acid, caprylyl glycol

 

จากส่วนผสมนี้จะเห็นได้ว่า มีน้ำมันอยู่เป็นองค์ประกอบด้วย ซึ่งก็เป็นน้ำมันพืชดีๆ หลายชนิด รวมไปถึง Ceramides ซึ่งให้ผลทดแทนไขมันในผิว เสริมสร้าง Barrier function มีสารลดการระคายเคือง ลดการอักเสบในผิวด้วย ส่วนผสมที่มีน้ำมันน่าจะเหมาะกับคนที่มีผิวแห้งมากกว่า แต่ถ้าเป็นคนที่มีผิวมันมากๆ การมาใช้อันนี้ทุกวันๆ ก็น่าจะไม่ได้ตอบโจทย์อะไร

 

โทนเนอร์ตัวที่ 3: โทนเนอร์ลดริ้วรอยจากแบรนด์ S

 

sulwashoo

ส่วนผสม:

PINUS SYLVESTRIS BARK EXTRACT, ARTEMISIA VULGARIS EXTRACT, ANGELICA ACUTILOBA ROOT EXTRACT, CNIDIUM OFFICINALE ROOT EXTRACT, BUTYLENE GLYCOL, DICAPRYLYL CARBONATE, CETEARETH-12, CETYL ETHYLHEXANOATE, GLYCERYL STEARATE, CAMELLIA SINENSIS LEAF EXTRACT, PAEONIA ALBIFLORA ROOT EXTRACT, NELUMBO NUCIFERA SEED EXTRACT, POLYGONATUM OFFICINALE RHIZOME/ROOT EXTRACT, LILIUM TIGRINUM FLOWER/LEAF/STEM EXTRACT, REHMANNIA GLUTINOSA ROOT EXTRACT, CHRYSANTHEMUM MORIFOLIUM FLOWER EXTRACT, PAEONIA SUFFRUTICOSA ROOT EXTRACT, CITRUS UNSHIU PEEL EXTRACT, ADENOPHORA STRICTA ROOT EXTRACT, LYCIUM CHINENSE ROOT EXTRACT, COIX LACRYMA-JOBI MA-YUEN SEED EXTRACT, ANGELICA TENUISSIMA ROOT EXTRACT, HONEY, HYDROLYZED GINSENG SAPONINS (ENZYME-TREATED RED GINSENG SAPONINS), PINUS SYLVESTRIS LEAF EXTRACT, GLYCYRRHIZA URALENSIS (LICORICE) ROOT EXTRACT, OPHIOPOGON JAPONICUS ROOT EXTRACT, PANAX GINSENG ROOT EXTRACT, OLDENLANDIA DIFFUSA EXTRACT, PRUNUS MUME FRUIT EXTRACT, ROSA MULTIFLORA FRUIT EXTRACT, CHAENOMELES SINENSIS FRUIT EXTRACT, PINUS KORAIENSIS SEED EXTRACT, SESAMUM INDICUM (SESAME) SEED EXTRACT, PERILLA OCYMOIDES SEED EXTRACT, BETA-GLUCAN, LIMNANTHES ALBA (MEADOWFOAM) SEED OIL, CETEARETH-20, DIMETHICONE, WATER, CETEARYL ALCOHOL, CETYL PALMITATE, TOCOPHERYL ACETATE, METHOXY PEG-114/POLYEPSILON CAPROLACTONE, GLYCERIN, PROPANEDIOL, POTASSIUM CARBOMER, DISODIUM EDTA, PHENOXYETHANOL, FRAGRANCE

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่าเต็มไปด้วยสารสกัดพืชหลายๆชนิด ซึ่งเป็น Signature ของแบรนด์นี้เลย ในส่วนผสมมีสารดูดน้ำดีๆหลายตัว แต่ก็มีน้ำมันปนมาด้วยเหมือนกัน ดังนั้นถ้าใครที่ผิวแห้ง หรือผิวธรรมดามาใช้ ก็น่าจะตอบโจทย์ แต่ถ้าคนที่ผิวมันมากๆมาใช้ก็อาจจะเหนอะหนะและหนักผิวเกินไป

 

โทนเนอร์ตัวที่ 4: Peeling toner จากแบรนด์ I

itsskin

 

ส่วนผสม:

WATER, ALCOHOL DENAT., HAMAMELIS VIRGINIANA (WITCH HAZEL) WATER, GLYCERETH-26, PORTULACA OLERACEA EXTRACT, LACTOBACILLUS FERMENT, SACCHAROMYCES FERMENT FILTRATE, METHYLPARABEN, SALIX NIGRA (WILLOW) BARK EXTRACT, FRAGRANCE, PEG-40 HYDROGENATED CASTOR OIL, PPG-26-BUTETH-26, TRISODIUM PHOSPHATE, POTASSIUM PHOSPHATE, BENZOPHENONE-4, SALICYLIC ACID, DISODIUM EDTA

 

จากส่วนผสม ก็จะมี Witch hazel ช่วยกระชับรูขุมขน สารสกัด Portulaca กับยีสต์ Saccharomyces Ferment filtrate ช่วยเรื่องความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว ส่วน Peeling ที่ว่า มาจาก สารสกัดจาก Willow bark ซึ่งมี Salicylic acid ตามธรรมชาติ กับ Salicylic acid ที่ใส่เพิ่มมา และ Lactobacilus ferment ซึ่งให้ Lactic acid เป็นองค์ประกอบหลัก แต่การออกฤทธิ์ของพวกนี้ขึ้นกับค่า pH ด้วย ถ้า pH อยู่ที่ราวๆ 4 สูตรนี้คงไม่เหมาะแน่ๆ ถ้าจะเอามาใช้ทุกวัน แต่ถ้าเอามาใช้อาทิตย์ละ 1 – 2 ครั้งน่าจะโอเคอยู่ แต่ว่ามี Alcohol ซึ่งบางคนอาจจะทนไม่ไหวก็ได้

 

โทนเนอร์ตัวที่ 5: Moisturizer toner จากแบรนด์ P

 

พอลล่า

ส่วนผสม

Water, Glycerin, Superoxide Dismutase, Camellia Sinensis (Green Tea) Leaf Extract, Epilobium Angustifolium (Willow Herb) Extract, Vitis Vinifera (Grape) Seed Extract, Sodium PCA, Creatine, Lecithin, Phospholipids, Linoleic Acid, Sodium PEG-7 Olive Oil Carboxylate, Magnesium Ascorbyl Phosphate, Tocopheryl Acetate, Butylene Glycol, Panthenol, Allantoin, Polysorbate-20, PEG-4, Hydroxyethylcellulose, Phenoxyethanol

 

จากส่วนผสมจะเห็นว่ามีสารสกัดและสารออกฤทธิ์ที่เป็น antioxidant ดีๆอย่าง Superoxide dismutase กับชาเขียว แม้ว่าจะไม่รู้ว่ามันจะออกฤทธิ์ได้จริงหรือเปล่า เพราะมันเป็นกลุ่ม Enzyme ซึ่งความคงตัวค่อนข้างต่ำ สูตรนี้มีน้ำมันด้วย แต่ไม่มากนัก ไม่มีแอลกฮอล์ จึงน่าจะใช้ได้กับทุกสภาพผิว

 

จะเห็นว่า ทุกๆโทนเนอร์ก็มีข้อดีข้อเสียในตัวมันเอง ถ้าเราเลือกประเภทที่เหมาะสมกับผิวเรา เราก็สามารถใช้ได้ แล้วให้ประโยชน์บำรุงผิวด้วยค่ะ

 

แต่ถ้าวันดีคืนดีเราใช้อะไรแล้วรู้สึกหนัก ไม่สบายผิว หรือร้อนๆ วูบวาบ ก็ลองพิจารณาหยุดดีกว่านะคะ อาจจะเป็นสัญญานเตือนว่า ผิวไม่ชอบ ก็ได้

 

สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามอ่านมาจนจบค่ะ

[Beauty Talks] ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโทนเนอร์

[Beauty Talks] ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโทนเนอร์

วันนี้เอาสาระดีๆมาฝากค่ะ เกี่ยวกับเรื่องของโทนเนอร์

หลายๆคนมักจะคิดว่าจริงๆแล้วโทนเนอร์เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ฟุ่มเฟือย และไม่เป็นมิตรกับผิว โดยยังไม่ได้รู้จริง รู้ลึกเกี่ยวกับโทนเนอร์ และความก้าวหน้าของโทนเนอร์ในปัจจุบัน

วันนี้จะมาเล่าความเชื่อผิดๆ ที่เรามักเชื่อกันไปเองเกี่ยวกับโทนเนอร์ให้ฟังค่ะ

 

ก่อนจะไปเล่าความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโทนเนอร์ ขอเล่าให้ฟังก่อนว่าโทนเนอร์คืออะไร

 

โทนเนอร์ในสมัยโบราณ ออกแบบมาเพื่อกระชับรูขุมขน และองค์ประกอบที่ใช้เพื่อคุณสมบัตินี้ก็คือ Alcohol  และใช้กันในความเข้มข้นที่สูงมากด้วย ซึ่ง เวลาเราทาผลิตภัณฑ์ที่มี Alcohol อยู่แล้วมันระเหยออกไป มันจะทำให้เรารู้สึกเย็น และมันจะดึงน้ำบริเวณนั้นไปด้วย รวมถึงละลายเอาน้ำมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนออกมา ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น แต่หลังๆมาคนเริ่อมไวต่อแอลกออฮอล์กันมากขึ้น โทนเนอร์ก็เลยไม่ได้ใส่ Alcohol มากเหมือนสมัยก่อน หรือบางครั้งก็เป็น Alcohol free ไปเลย

อีกจุดประสงค์หนึ่งของ Toner ก็คือ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก ที่เราล้างหน้าไม่หมด ออกไป หลายๆคน หลายๆครั้งเลยจะเห็นว่าพอเอาโทนเนอร์เช็ดหลังล้างหน้าแล้ว สำลียังเป็นสีน้ำตาล หรือ เทา อยู่ นั่นก็เพราะว่า การล้างหน้าของเรายังไม่หมดจดนั่นเอง

 

เจ้า Alcohol free toner บางชนิดก็จะมีลูกเล่นอื่นๆ มาช่วยเรื่องรูขุมขนแทน Alcohol เช่น การเลือกใส่สารสกัดที่มีคุณสมบัติกระชับรูขุมขน (ทางผิวหนังเรียกว่า Astringent) ซึ่งก็ถือว่าอ่อนโยนและเป็นมิตรกับผิวมากขึ้น

Toner จัดเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำใส (Solution) คือ เป็นสารละลายของสารอื่นๆในน้ำใสๆ แต่ปัจจุบันก็อาจจะมีโทนเนอร์แบบอื่นๆ เช่น โทนเนอร์คุมความมันที่มีผงแป้งกระจายอยู่ โทนเนอร์แบบน้ำนม

 

รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ลูกหลานที่เกิดมาใหม่อย่าง Essence, Lotion (Lotion ฝั่งญี่ปุ่น จะเป็นน้ำใสๆ), Skin (น้ำใสๆ จากฝั่งเกาหลี) ฯลฯ ซึ่งก็ให้คุณสมบัติในเรื่องเดียวกัน

 

แต่เห็นว่าหลังๆมานี่ มีแต่คนบอกว่าโทนเนอร์ไม่จำเป็น ส่วนพนักงานขายก็ต้องการขาย เค้าก็บอกว่ามันจำเป็น ลองมาดูด้วยความเป็นกลางกันดีกว่า แล้วตัดสินใจเอา ว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น นะคะ 🙂

 

ปัจจุบันนี้มีกระแสความเชื่อผิดๆของ Toner ที่ออกมาอยู่ 5 ด้านด้วยกัน

Toner myth

 

ข้อแรก Toner เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย และไม่จำเป็น

ข้อนี้ไม่เสมอไป เพราะถ้าเราล้างหน้าไม่สะอาด แล้วเราไม่ได้เช็ดโทนเนอร์ก่อนการบำรุงผิว สิ่งสกปรกนั้นมันก็จะตกค้างบนผิวไปเรื่อยๆ เกิดเป็นความหมองคล้ำ สิวอุดตัน หรืออื่นๆ

แต่ถ้าเราล้างหน้าอย่างสะอาด โทนเนอร์ก็ไม่จำเป็นค่ะ

 

ข้อสอง Toner มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ที่เป็นอันตรายกับผิว

ข้อนี้ผิดอย่างแรงเลย

ประการแรก Alcohol ไม่ได้เป็นอันตรายกับผิวในทุกๆกรณี ในบางกรณี Alcohol ก็มีประโยชน์ คือ เค้าจะช่วยละลายไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน พาออกมาเคลือบผิวที่ภายนอก ทำให้เรารู้สึกว่าผิวนุ่มขึ้น เวลาเค้าระเหยไป เค้าจะดึงน้ำไปด้วย ทำให้เรารู้สึกเย็น และช่วยกระชับรูขุมขนด้วย

แต่ถ้าใครบอกว่า Alcohol ในเครื่องสำอางจะช่วยฆ่าเชื้อได้ อันนี้ก็ผิดเหมือนกัน เพราะว่า Alcohol ที่ใส่มาในความเข้มข้นน้อยมากๆนั้น แทบจะไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อเลย

แต่ ผิวเรา ทนต่อ Alcohol ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเเสบ หรือระคายเคืองได้ นี่ไม่ได้เรียกว่าการแพ้ Alcohol เพราะการแพ้ ต้องเกิดจากภูมิคุ้มกัน มีผื่น มีลุกลามไปที่อื่น แต่นี่เรียกว่า การระคายเคือง เพราะ Alcohol ไปชะเอาไขมันดีๆในผิวออกมา แทนที่จะไปชะเอาแค่ไขมันที่อุดตันในรู ออกมา

ประการที่สอง ไม่ใช่ว่าทุกๆ Toner ในท้องตลาด จะมี Alcohol หมด เดี๋ยวนี้ก็มี Toner หลายๆยี่ห้อ ไม่ใส่ Alcohol มา

เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองหาส่วนผสมที่เหมาะกับผิวเรา โทนเนอร์ก็ไม่ได้อันตรายกับผิวเสมอไป

 

ข้อสาม Toner มีส่วนผสมของกรด ที่อาจจะกัดผิว

ไม่ใช่ว่า ทุกๆ Toner มีกรดหมด ข้อนี้น่าจะหมายถึงเฉพาะ Toner ที่มี AHA

แต่ว่า AHA ที่ใส่มาในเครื่องสำอาง กฎหมายความคุมปริมาณการใช้ และ pH ของผลิตภัณฑ์ จึงไม่ได้อันตรายและเข้มข้นมากถึงขั้นจะไปกัดผิว

ในทางกลับกัน AHA ยังมีประโยชน์ในการผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวเนียนเรียบ และก็ เติมน้ำให้ผิวได้ด้วย

แต่ ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA ไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบาง เสี่ยงต่อการแพ้ง่าย และแพ้แดดได้

 

ถ้าเป็นห่วงเรื่องผิวบาง ก็ลองมองหาโทนเนอร์ที่ไม่มี AHA แทน ข้อนี้ก็ตกไป

 

ข้อสี่ Toner ทำร้ายผิวที่บอบบาง

 

ข้อนี้ก็ไม่เสมอไป ขึ้นกับส่วนผสม ถ้าเราเลือกโทนเนอร์ที่บำรุงดีๆ ก็จะเป็นประโยชน์กับผิว

สารบางตัวในสูตร Toner กลับเป็นประโยชน์กับผิวมากกว่าเสียอีก เช่น โทนเนอร์ผสม Hyaluron ผสม Collagen ผสมสารสกัดจากผักผลไม้ต่างๆ

 

ข้อห้า Toner ควรใช้แค่อาทิตย์ละไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ข้อนี้ก็ไม่ได้ถูกเสมอไป เพราะถ้าเป็นโทนเนอร์ที่มีกรด AHA หรือมีแอลกอฮอล์เยอะๆ การใช้แค่อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ แต่ถ้าเป็นโทนเนอร์ดีๆที่มีประโยชน์ ก็สามารถใช้ได้ทุกวัน

 

 

จะเห็นว่าโทนเนอร์จริงๆแล้ว ถ้าเราเลือกให้เหมาะกับผิวเรา ก็มีประโยชน์นะคะ ยิ่งคนผิวมัน บางทีแค่โทนเนอร์เติมน้ำขั้นตอนเดียวก็จบได้เลย ไม่ต้องทาอะไรเยอะแยะให้วุ่นวายไป

[Mini-Review] Nature Republic Bulgarian Rose Moisture Toner

[Mini-Review] Nature Republic Bulgarian Rose Moisture Toner

มีใครเป็นคอกุหลาบเหมือนมี่มั้ยคะ ???

ถ้าใช่ ตัวนีี้น่าจะเป็นชอยส์ที่น่าสนใจชอยส์นึงเลยทีเดียวค่ะ

นั่นก็คือ Nature Republic Bulgarian Rose Moisture Toner ค่ะ

NR rose 1แม้ชื่อจะเป็นโทนเนอร์ ที่เราเข้าใจว่าเอามาไว้หยดใส่สำลีแล้วเช็ด แต่โดยเนื้อสัมผัส หรือ Texture ของมัน ที่ค่อนข้างหนืด มันเหมาะกับการเอามาตบมากกว่าค่ะ กลิ่นหอมกุหลาบอ่อนๆ ค่อนข้างซึมไว ชุ่มผิวดี แต่แป๊บเดียวผิวก็แห้งเหมือนเดิมแล้วหล่ะ ซื้อมาเพราะกลิ่นกุหลาบเลยจริงๆค่ะ ส่วนผสมก็ไม่ทราบ เพราะมีแต่ภาษาเกาหลี

คือบางครั้ง แค่เราได้กลิ่นที่ถูกใจ เราก็ยอมจ่ายแล้วค่ะ แม้จะไม่รู้ว่ามันจะโอเคหรือไม่ เชื่อว่าผู้หญิงมากกว่า 95% เป็นเหมือนมี่ ในขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะค่อนข้างละเอียดและรอบคอบกว่าเราในการจับจ่ายซื้อเครื่องสำอางซักชิ้น

ให้ดูเนื้อนะคะ

NR rose 2-eNR rose3-eตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะซื้อที่ชอปไทย ลดราคาเหลือสองร้อยนิดๆ คือซื้อมานานมากแล้วค่ะ และก็ใช้มาได้ซักพักแล้ว แต่ไม่มีเวลามาเล่าให้ฟัง

ถึงไม่ทราบส่วนผสม แต่ก็พอจะเมาท์เรื่อง Rose water ได้อยู่นะคะ

Rose water คืออะไร??

Rose water เป็นน้ำที่เหลือจากการกลั่นเอาน้ำมันออกจากดอกกุหลาบ ก็จะมีความหอมอ่อนๆ มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น ผ่อนคลาย และให้ความรู้สึกสบายผิวค่ะ แต่ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์รองรับนะคะ 🙂

ที่หน้าเวบไซต์ของ Nature Republic Korea มีรูปให้ดูด้วยค่ะ

กลั่นกุหลาบ

(Image source: http://www.naturerepublic.com/)

ก็คือเราจะให้ความร้อน ให้น้ำกลายเป็นไอ มา Condense ใน Chamber ที่มีกลีบกุหลาบอยู่ น้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ จะระเหยออกไปแล้วก็จะถูก Condense ออกมาเป็น Rose oil ซึ่งมีราคาแพงมาก (กิโลละหลายพัน ถึงหมื่นบาท)

น้ำที่เหลืออยู่ใน Chamber ก็จะเป็นตัว Rose water นั่นเองค่ะ