Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมสกินแคร์ดูแลจุดด่างดำเพื่อผิวกระจ่างใส สูตร Cleanical beauty จาก T’else ในไลน์ Red orange ครบชุดทั้งโทนเนอร์ และเซรั่ม

T’else rebrand ใหม่ ปรับคอนเซปท์เป็น Cleanical beauty ภายใต้ชื่อใหม่ Terra + Else วันนี้มาถึงคิววิเคราะห์ส่วนผสมของ Line Red orange กันบ้างค่ะ

สำหรับ Line นี้จะมาในสีส้มสดใส เน้นเคลมหลักไปที่ด้าน Brightening & Vitalizing เพื่อผิวกระจ่างใส มีชีวิตชีวา

  • ด้วยส่วนผสมของ Terra เป็น Blood orange ส้มสีเลือดเกรดออร์แกนิกจากอิตาลี่ นำมาสกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษของทางแบรนด์ ที่เรียกว่า Air-brewing 100TM ที่สกัดด้วยฟองอากาศบางๆ ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส กว่า 100 ชั่วโมง
  • มาจับคู่กับ Niacinamide วิตามินบี 3 สารพัดประโยชน์ เพื่อดูแลด้านความกระจ่างใสของผิว

Line นี้มาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ก่อนไปรีวิว ต้องบอกก่อนว่า ทำไมทางแบรนด์ถึงเลือก Blood orange สายพันธุ์ Moro จากอิตาลี นั่นก็เพราะว่ามีส่วนผสมของ Anthocyanin สูงกว่า Blood orange สายพันธุ์อื่นนั่นเอง

ถึงเวลาของการรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม โดยจะขอเริ่มที่สูตร Toner

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

เช่นเคย วัตถุดิบสำหรับภาชนะบรรจุมาจาก PCR (post-consumer recycled) plastic

เนื้อโทนเนอร์เป็นแบบใส มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ที่เบลนด์ขึ้นมาจาก Galbanum (Ferula galbaniflua) resin และ Mugwort (Artemisia vulgaris) essential oil

กลิ่นจะเป็น Top green ตามมาด้วยกลิ่นโทนยางไม้และ woody ใครที่ชอบก็จะชอบ ใครที่ไม่ชินก็อาจจะรู้สึกแบบ แปลกๆ แต่กลิ่นไม่ติดผิวค่ะ แป๊บเดียวก็ไปละ ไม่ต้องกังวลไป

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ เหมาะกับการใช้ทั้งเทบนมือแล้วตบๆ เป็นน้ำตบ หรือ เทใส่สำลีแล้ว tap เบาๆ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

ความน่าสนใจของสูตร Toner นี้คือ ทางแบรนด์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัครมาเรียบร้อย โดยจุดเด่น ก็คือ น้องสามารถปรับโทนสีผิวให้แลดูกระจ่างใส โดยลดทั้งความด่างดำ และ ความเหลืองของสีผิว

โดยการวัดค่าความด่างดำ นั้นประเมินจากค่าความสว่าง (L*) พบว่า เมื่อให้อาสาสมัครใช้ไปเพียง 7 วัน ก็สามารถเพิ่มความสว่างให้ผิวได้ จึงเป็นที่มาของการเคลมว่าสัมผัสการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 7 วัน

ส่วนประสิทธิภาพการปรับความเหลือง วัดจากค่า b* เป็นค่าสีในแกนเหลือง-น้ำเงิน ค่าที่น้อยลง แสดงถึงความเหลืองน้อยลง ซึ่งพบว่าเริ่มเห็นผล (Significant) ตั้งแต่ 7 วันแรก

วิเคราะห์ส่วนผสมของ Toner กันดีกว่า

สำหรับส่วนผสม พระเอก คงหนีไม่พ้นสารสกัดจาก Blood orange (Citrus sinensis (orange) fruit extract) ที่ได้จากส้ม Blood orange จากประเทศอิตาลี่ สกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของทางแบรนด์ เพื่อดึงเอาสารพฤกษเคมีที่สำคัญออกมา ด้วยกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โดยในสารสกัดจากส้ม Blood orange นั้นประกอบด้วยพฤกษเคมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Vitamin C, Anthocyanin และ Flavonoid ที่เป็น Antioxidant ที่ดีกับผิว

โดย Flavonoid ที่พบในส้มนั้นมีหลายชนิด เช่น quercetin, kaempferol, hesperidin, nobiletin เป็นต้น

ส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่

  • Gluconolactone เป็น PHA ที่ดูแลเรื่องการผลัดผิวได้อย่างอ่อนโยน
  • วิตามินรวม ทั้ง Niacinamide (B3), Ascorbic acid (C), Cyanocobalamin (B12), Folic acid, Panthenol (B5) และ Tocopherol (E) ที่ให้ประโยชน์กับผิวได้หลากหลายประการ
  • ดูแลการระคายเคือง พร้อมให้ความรู้สึกสบายผิวด้วย Betaine
  • เติมน้ำด้วยกรดอะมิโน Arginine
  • ดูแลริ้วรอยด้วย Adenosine

มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ถัดมาเราลองมาดูสูตร Serum บ้าง

ตัว Serum มาในหน้าตาประมาณนี้

แพคเกจเป็นแบบขวดปั๊ม

เนื้อเป็นเซรั่มแบบน้ำใส มีความหนืดมีน้ำมีเนื้อ ในส่วนของกลิ่นก็เป็นโทนเดียวกัน คือ Galbanum + Mugwort

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น ถ้าเทียบกับสูตร Toner

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 เช่นกัน

สำหรับเซรั่มนี้ก็ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัครมาเช่นกันค่ะ โดยน้องจะเด่นเรื่องของการดูแลปัญหาสีผิวที่พบเจอในชีวิตประจำวัน 4 ชนิด ได้แก่ จุดด่างดำ ฝ้า กระ และผิวคล้ำจากการสัมผัสผิว UV

โดยในการทดสอบกับอาสาสมัครพบว่าเซรั่มสามารถดูแลลดความเข้มของจุดด่างดำทั้งระดับตื้น และระดับลึกได้โดยผลเริ่มเห็น (Significant) ที่ 7 วัน

85% ของอาสาสมัครที่ทดลองใช้ 2 สัปดาห์พบว่าสีผิวขาวกระจ่างใสขึ้น และบริเวณของรอยดำแลดูลดลง

มาดูส่วนผสมกันบ้าง

ส่วนผสมจะมีปรับจาก Toner นิดหน่อยนะคะ

  • เพิ่มความเข้มข้นของสารสกัดจาก Blood orange และ Niacinamide ขึ้นมา
  • ปรับสารการดูแลการระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิวแบบฉ่ำ ด้วย Allantoin และ Dipotassium glycyrrhizate
  • ตัด PHA ออกไป

ส่วนของเบสมีการเพิ่มสารเพิ่มความหนืดให้มีน้ำมีเนื้อมากขึ้น และยังคงไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ตั้งแต่วันเปิดตัว (แต่ดิฉันพึ่งได้ฤกษ์หยิบมารีวิว) และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ T’else โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/TelseThailand

ทางไปตำ (สูตร Toner)

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.micRO?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/6plLWGOy8f

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเสริมพลัง Autophagy สูตรใหม่ปรับฉ่ำ ATG ultrasoothe rejuvenating serum จาก dermArtlogy

รู้สึกว่าปีนี้เป็นปีแห่งการปรับสูตรใหม่ของเครือ Neopharm เลยก็ว่าได้

ล่าสุด ATG #ลูกรักบ้านมียอน ก็ได้รับการปรับสูตรให้ดีงามขึ้นด้วย และมาในโฉมใหม่ ด้วยชื่อ ATG Ultrasoothe Rejuvenating serum

แต่ใดๆ น้องก็ยังคงคุมโทนอยู่ทั้งในส่วนของดีไซน์ และธีมของส่วนผสมยังคงบำรุงได้ฉ่ำเหมือนเดิม อาจจะฉ่ำกว่าเดิมด้วยนิดๆ

สังเกตที่แพคเกจจะคล้าย ATG แต่ว่าสูตรปรับใหม่ จะมีคำว่า “Ultrasoothe” เพิ่มเข้ามาค่ะ

ส่วนตัวรู้สึกว่าเนื้อเซรั่มเบาขึ้นกว่า ATG เดิมนิดหน่อย

ตอนเกลี่ยจะค่อนข้างลื่นผิว ให้ความรู้สึกสดชื่น และสบายผิว ตอนแรกๆ จะดูชุ่มๆ

แต่ถ้าทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 นาที ก็จะซึมและแห้งไปจนหมด

ส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ถ้าดูจากส่วนผสม ส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านต่างๆ เรียกได้ว่าดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

โดยขอเริ่มที่กลุ่มสีชมพู กลุ่มของไขมัน และสารที่ใช้ทำ MLETM (Multi-lamellar emulsion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง Neopharm ประเทศเกาหลี

  • MLETM ปกติแล้วในผิวเราจะมีไขมันที่ทำหน้าที่เป็น Barrier ผิว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ Ceramide + Cholesterol และ Fatty acid ไขมันเหล่านี้มันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งมีด้วยกันหลายรูปผลึก ส่วนหนึ่งเป็นรูปแบบ Liquid crystal

โดย MLETM ในตำรับนี้เป็นสูตรผสมของ Pseudoceramide (Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA หรือ Ceramide-9S) ร่วมกับ Phytosterol และกรดไขมัน Stearic acid, Palimitic acid และ Caprylic/capric triglycerides โครงสร้างของ MLE นั้นจะมีการจัดเรียงตัวในรูปแบบที่คล้ายกับ Liquid crystal ของผิว เลยสามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวทดแทน Barrier ของผิว

อีกตัวที่เป็นส่วนประกอบของ MLE คือ Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide หรือ Ceramide-5SP ซึ่งพอเอามารวมกับ Ceramide-9S และสารอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะเกิดเป็นโครงสร้างรูปแบบ Liquid crystal ที่เวลาดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ Polarized microscope จะเห็นเป็นลักษณะพิเศษที่เรียกว่า Maltese cross ซึ่งเหมือนกับการเรียงตัวของ Barrier ผิว ตามภาพ

(Image from Neopharm)

  • Phytosterols ที่เสริมเข้ามายังมีประโยชน์เพิ่มเติมในด้านการดูแลปัญหาการอักเสบและระคายเคืองของผิวได้อีกทาง

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของ Peptide และสารบำรุงที่น่าสนใจแสดงด้วยอักษรสีบานเย็น

  • Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptide-12 ตัวนี้คือ Aquatide ที่เป็นเหมือนนางเอก มีบทบาทและประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว ซึ่งเป็นเสมือนกระบวนการที่ผิวเรารีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างและฟื้นฟูเป็นองค์ประกอบใหม่ ให้ผิวเราทำงานได้ดีเหมือนเดิม ขอใช้รูปเก่ามาประกอบค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจเรื่อง Aquatide สามารถตามไปอ่านเรื่องของ Aquatide แบบละเอียดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ

(https://cosmeknowledge.wordpress.com/2019/06/11/spotlight-aquatide/)

  • Tetracarboxymethyl hexanoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า AdiposolTM ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าน้องไปมีผลกระตุ้น Adiponectin ซึ่งเป็น Peptide hormone ชนิดหนึ่งที่สร้างจากเซลล์ไขมัน (Adipocyte) ปกติ Adiponectin จะมีบทบาทในระดับร่างกาย แต่ก็มีการพบว่า Adiponectin นั้นมีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิว เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและ Hyaluron ในธรรมชาติของผิว และลดการอักเสบระคายเคือง (Oh, et al., Biomol Ther (Seoul). 2021; Sep 28. doi: 10.4062/biomolther.2021.089.)

ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่ารังสี UV และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม อย่างมลภาวะ ไปกดการสร้าง Adiponectin เลยทำให้กระบวนการต่างๆ เหล่านี้หายไป นอกจากนี้รังสี UV ยังไปทำให้เอนไซม์ MMP มาย่อยสลายคอลลาเจนเกิดความเหี่ยวขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ AdiopSOL กล่าวว่า สารนี้ยังเสริมกระบวนการ Autophagy ลดการสร้างเอนไซม์ MMP และลดการอักเสบในระดับหลอดทดลอง และลดรอยแดงของผิวในอาสาสมัคร

(Image from Incospharm และ AH&NS)

  • Pentasodium tetracarboxymethyl palmitoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อย่อว่า PTPD เป็นเปปไทด์ที่พัฒนามาเพื่อเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครที่เป็นโรคผิวหนังชนิด Atopic dermatitis เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีอาการระคายเคือง คัน ลดลง และมีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น (Kwon, et al. J Dermatolog Treat. 2019;30(6):558-564.) นอกจากนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า PTPD ยังมีคุณสมบัติลดปริมาณของเม็ดสีผิว ผ่านการเสริมการเกิด Autophagy ของแหล่งสร้างเม็ดสีผิวอย่าง Melanocyte

(Image from Dermartlogy Thailand)

  • Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide รู้จักกันในนาม K6PC-5 น้องเป็น sphingosine kinase 1 (SphK1) activator โดย SphK1 ทำหน้าที่สร้าง Sphingosine-1-phosphate (S1P) ซึ่งมีคุณสมบัติหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการเจริญ แบ่งตัวเพิ่มจำนวน หรือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า K6PC-5 สามารถเพิ่มการสร้าง involucrin และ filaggrin ซึ่งเป็น Marker หนึ่งที่บอกว่าเซลล์ผิวได้ Differentiate จนสมบูรณ์แล้ว และการทดสอบในหนูทดลองพบว่า การทา K6PC-5 สามารถปรับสมดุลการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ให้ผิวหนังมีความสมบูรณ์มากขึ้น (Hong et al., J Invest Dermatol. 2008;128(9):2166-78.) การทดสอบในหนูทดลองที่อายุเยอะ (Aging) พบว่า การทา K6PC-5 สามารถเพิ่มจำนวน Fibroblast ที่เป็นเซลล์สำคัญในการสร้างเส้นใยต่างๆ เช่น collagen ให้ผิวกระชับ แข็งแรง เสริมการสร้างคอลลาเจน และเพิ่มความหนาให้ชั้นหนังแท้ รวมถึงมีการเพิ่มจำนวนของโปรตีน involucrin, loricrin, filaggrin, and keratin 5 ซึ่งเป็นโปรตีนที่แสดงออกเมื่อผิวหนังเกิดการ Differentiate จนสมบูรณ์ (J Dermatol Sci. 2008;51(2):89-102.) มีอีกการศึกษาในโมเดลหนู Photoaged โดยให้หนูสัมผัส UV นานๆ พบว่า K6PC-5 สามารถเพิ่มคอลลาเจน และจำนวน Fibroblast รวมถึง เสริมความแข็งแรงของชั้น Stratum corneum และเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ผิว (Park et al., Exp Dermatol. 2008;17(10):829-36.) อาจจะกล่าวโดยสรุป ว่า K6PC-5 ปรับสมดุลช่วยให้ผิวแข็งแรง และให้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย
  • Caprylamide MEA หรือ Dualguard-7TM สารนี้มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคืองโดยไปลดการสร้างสารเหนี่ยวนำการอักเสบในกลุ่มของ Interleukin-17 (IL-17) เสริมกระบวนการ Autophagy ผ่านการยับยั้งโปรตีน p62 ซึ่งเป็นตัวต่อต้านการเกิด Autophagy และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน

กลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นแทนด้วยสีฟ้า จะเป็นตัว Hyaluronic acid รูปแบบดั้งเดิม และ Hydrolyzed hyaluronic acid ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดเล็กลง กรดอะมิโน Arginine

ถัดมาเป็นกลุ่มของสารที่ลดการอักเสบและระคายเคืองผิว รวมถึงสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด อย่างวิตามินบี 3 บี 5 Betaine, Allantoin

สูตรนี้มีการปรับเปลี่ยนสารลดการระคายเคืองจากเดิมเป็น Symsitive® (4-t-Butylcyclohexanol) ที่มีจุดเด่นคือออกฤทธิ์ Block ตัวรับส่งสัญญาณความร้อนและความเจ็บปวดชนิด TRPV-1 ให้ผลลดการระคายเคือง แสบร้อน ได้อย่างรวดเร็ว และยังไปเพิ่มความทนทาน (Tolerance threshold) ของระบบประสาทรับความรู้สึกแสบร้อน ให้ผิวเราทานทานมากขึ้น โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพในการลดความแสบร้อนจากการทา Capsaicin ในอาสาสมัคร (Ref: TDS Symsitive®)

(Image from Symrise)

ทางแบรนด์ได้ทดสอบประสิทธิภาพในการลดความรู้สึกระคายเคือง โดยให้อาสาสมัคร 20 คน ทาผลิตภัณฑ์ที่มี Symsitive เทียบกับ ครีมเบส พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มี Symsitive เมื่อกระตุ้นด้วยการระคายเคืองแล้ว ฝั่งที่ใช้ Symsitive อาการระคายเคืองแสบร้อนลดลงได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 – 3 นาที

(Image from Symrise)

ปิดท้ายด้วยสีเขียวเป็นสารสกัดจากบัวบก ที่มีประโยชน์ต่อผิวในหลายประการ ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นสารสกัดจากบัวบกในรูปแบบ Medical grade ในความเข้มข้นสูงถึง 50% และยังเสริมสารบริสุทธิ์ที่เป็นสารพฤกษเคมีหลัก (Active phytochemicals) ในบัวบก อย่าง Madecassoside เข้ามา ซึ่งสารเหล่านี้มีประโยชน์ในด้านการลดการอักเสบ เสริมการสมานแผล ชะลอวัยลดเลือนริ้วรอย เป็น Antioxidant และอื่นๆอีกหลายด้าน

สารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวมากขนาดนี้ผิวจะมันไหม?

ในจุดนี้ทางแบรนด์วางแผนการตั้งตำรับมาอย่างรอบคอบโดยการเสริมเอา Zinc gluconate ที่มีคุณสมบัติกระชับรูขุมขน (Astringent) และควบคุมความมันเข้ามา

เบสเป็นแบบน้ำ มีส่วนผสมของสารที่ละลายได้ในไขมันอยู่นิดหน่อย เนื้อเลยเป็นรูปแบบกึ่งใสกึ่งขุ่น อาจเรียกเป็น Translucent (โปร่งแสง แต่ไม่ถึงกับใส) ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ในภาพรวมนอกจากความโดดเด่นในแง่ของด้าน Autophagy ที่มีประโยชน์ทั้งการชะลอวัย เสริมความแข็งแรงให้กับผิวแล้ว ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกหลายชนิดที่ดูแลผิวได้อย่างครอบคลุมจบทุกปัญหา และช่วยให้ผิวแข็งแรง และอาจได้ประโยชน์ไปถึงด้านริ้วรอย การชะลอวัย และ ไวท์เทนนิ่ง ในสูตรใหม่นี้ ATG Ultrasoothe ปรับสารลดความรู้สึกระคายเคืองมาเป็น Symsitive เอาใจวัยรุ่นใจร้อน รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ตัวเซรั่มเนื้อค่อนข้างเบา ไม่เหนอะหนะ ซึมไว แห้งไว ถ้าใครผิวแห้งมากอาจจะยังชุ่มไม่พอ ให้ประกบคู่กับ Radiance gel moist ไป หรือ ใช้มอยส์อื่นตามชอบ เรื่องของประสิทธิภาพในการดูแลอาการแดง คัน ระคายเคือง ไม่สบายผิว ค่อนข้างลงตัว และส่วนตัวรู้สึกว่าตอบโจทย์ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DermArtlogy สาขาประเทศไทย ที่สนับสนุนสินค้านวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงได้เลย

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.ozkdD?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/4AfROJW4hg

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

Mini-Review/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มวิตามินบี 3 จาก Foré (ฟอร์เร่) Niacinamide 10% concentrate serum

ก่อนหน้านี้ทางเพจเคยนำเสนอบทวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มปังๆ จากแบรนด์ไทยอย่าง Foré (ฟอร์เร่) ไปอยู่ด้วยกัน 3 ชิ้น

โดยชิ้นที่น่าสนใจที่ได้นำมาวิเคราะห์ส่วนผสมแบบละเอียดไปก่อนหน้านั้น คือ สูตรสีม่วง 4 White Melasma correcting serum ท่านที่พลาดไปสามารถติดตามรับชมได้ทางลิงค์นี้นะคะ

>>Click อ่านรีวิว Foré 4 White melasma correcting serum<<

วันนี้ขอหยิบเอาน้องคนสุดท้องจากบ้าน ฟอร์เร่ มาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันอีกซักตัวนะคะ

น้องมีชื่อว่า Niacinamide 10% concentrate serum ที่ออกแบบมาอย่างน่าสนใจ โดยเลือกใช้ส่วนผสมที่ดูแลผิวเสริมเข้ามาจาก Niacinamide ซึ่งจะเด่นไปทางการดูแลผิวมัน ผิวที่มีปัญหาสิว พร้อมดูแลเรื่องการระคายเคือง

ด้วยประโยชน์จาก Niacinamide ที่ดูแลผิวได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็น

💙ดูแลเรื่องการระคายเคือง = ได้ประโยชน์เรื่องรอยแดง

💙เสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว = ผิวแข็งแรง

💙ยับยั้งการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก (ยับยั้ง Melanosome transfer) = ได้ประโยชน์ด้าน Whitening และรอยดำจากสิว

💙ควบคุมความมัน ซึ่งจะส่งประโยชน์ไปดูแลเรื่องรูขุมขนอีกต่อหนึ่ง

 ส่วนผสมอื่นๆ ที่ทางแบรนด์เลือกมาได้แก่

💚Zinc PCA น้องเป็นสารลูกผสมของ Zinc กับ Pyrollidone carboxylic acid (PCA) ซึ่ง PCA ปกติทำหน้าทีเป็น Natural moisturizing factor (NMF) ที่ช่วยอุ้มน้ำให้กับผิวตามธรรมชาติ ส่วน Zinc ก็เป็นแร่ธาตุที่มีคุณสมบัติควบคุมความมัน และเป็นองค์ประกอบของเอนไซม์บางชนิดในผิว ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารนี้มีประโยชน์เป็นสารเติมน้ำให้ผิว พร้อมควบคุมความมัน และให้ความรู้สึกสดชื่นกับผิว เสริมทัพมาด้วยสารสกัดจาก Witch hazel และ สารสกัดจากเห็ด Fomes officinalis ควบคุมความมัน และกระชับรูขุมขนให้อีกชั้นหนึ่ง

ตัวสารสกัดจากเห็ด Fomes นั้นไปตรงกับชุดส่วนผสม Propanediol (and) Aqua (and) Fomes Officinalis (Mushroom) Extract ชื่อทางการค้า PORE REDUCTYL-NT นำเข้าจากประเทศสเปน ซึ่งมีผลการทดสอบในอาสาสมัคร ว่ากระชับรูขุมขน และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

💚Dipotassium Glyclycyrrhizate ดูแลเรื่องการระคายเคือง

จากที่พูดมาดูเหมือนจะคุมจนแห้งเนาะ ไม่หรอก ทางแบรนด์คิดมาแล้วเลยปิดจบด้วย

💚สารสกัดจาก Black oat (Avena strigosa seed extract) ที่มาในคอมบิเนชั่นร่วมกับ Lecithin และสารอื่นๆ น่าจะเป็นชุดส่วนผสมของ AquarichTM ที่นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าสารบำรุงชุดนี้เป็น Epidermal moisture ally ให้ฟีลมิตรแท้สำหรับเก็บกักน้ำ เพื่อความฉ่ำ และดูแลผิวแห้ง ลดการเกิดขุยผิว

ในภาพรวมก็คือ ใครกำลังมองหาเซรั่มวิตามินบี 3 ที่เด่นไปในด้านของการดูแลสิว กระชับรูขุมขน แต่ไม่แห้งตึง และราคาไม่แรงมาก ตัวนี้น่าจะเป็นทางเลือกที่น่าสนใจตัวหนึ่งเลยทีเดียวค่ะ

ส่วนผสมแบบเต็มเป็นดังนี้

Water, Propanediol, Niacinamide, Glycerin, Phenoxyethanol, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer, Chlorphenesin, Xanthan Gum, Disodium EDTA, Dipotassium Glycyrrhizate, Zinc PCA, Hamamelis Virginiana (Witch Hazel) Water, Butylene Glycol, Fomes Officinalis (Mushroom) Extract, Avena Strigosa (Black Oat) Seed Extract, Lecithin, Potassium Sorbate, Citric Acid, PEG-40 Hydrogenated Castor Oil, Benzoic Acid.

จากส่วนผสมเต็มก็คือ น้องมาในเซรั่มเบสน้ำ ที่ดูแล้วน่าจะเหมาะกับทุกสภาพผิว และไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว สมกับคอนเซปท์สกินแคร์สายคลีนของทางแบรนด์

Disclaimer: Sponsored item/self-opinion

#FORE #ฟอร์เร่ #เซรั่มวิตามินบี3

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินเอ Retinal Intense Serum จาก ISDIN แบรนด์เวชสำอางชั้นนำจากสเปน

เชื่อว่าหลายๆ ท่าน เคยได้เห็นผลิตภัณฑ์เซรั่ม Retinaldehyde ของ ISDIN มาบ้างแล้ว น้องทำมาได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว ใน Blog นี้ก็เลยขอหยิบเอามาวิเคราะห์ส่วนผสมพร้อมทั้งเล่ารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้กัน

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า ISDINCEUTICS Retinal Intense Serum ที่มาในกล่องหรูหราสีดำทอง

บรรจุภัณฑ์หลักจะเป็นขวดปั๊ม ที่แบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน หรือ compartment ที่ชัดเจน

ชั้นบนจะเป็นเนื้อน้ำนมบางเบา ส่วนชั้นล่างจะเป็นเนื้อ Emollient oil ที่ไม่เหนอะหนะ ที่เขาแยกออกจากกันส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาความคงตัวของสารสำคัญเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

โดยทางแบรนด์จะเรียกส่วนของน้ำนมเนื้อบางเบา ว่าเป็น Aqueous phase ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนผสมของ Niacinamide, Vit-A Tech, Symsitive®, Tetrepeptide-7 และ SynchrolifeTM ส่วนของ Oil phase จะมี Retinaldehyde 0.1%, Melatonin และ Bakuchiol สารบำรุงแต่ละตัวมีประโยชน์อย่างไรเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ

(Image from ISDIN Thailand)

เวลาใช้งานทางแบรนด์แนะนำให้ปั๊มออกมา 2 ปั๊ม ซึ่งจะออกมาในรูปแบบประมาณนี้

ก่อนใช้งานให้วอร์มผสมกันจนได้ครีมเนื้อเดียวกัน ก่อนทาแล้วนวดเบาๆ บนใบหน้า ใช้แค่วันละครั้งเดียว ก่อนนอน

**พอบำรุงผิวตอนเช้าวันรุ่งขึ้นก็อย่าลืมใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด และหลีกเลี่ยงแดดจัดนะคะ

เนื้อสัมผัสค่อนข้างดี เกลี่ยง่าย ซึมง่าย ไม่ทิ้งความมัน ความเหนอะหนะ

ถ้าเป็น ISDIN เรามั่นใจได้เลย ว่าทางแบรนด์ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ในอาสาสมัครทั้งในแง่ของ Safety-Efficacy มาเรียบร้อยแล้ว และ Serum ชิ้นนี้ก็เช่นกัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ Serum ชิ้นนี้นั้น มีผลการวิจัยรองรับอยู่ 4 งานวิจัย ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับ Pre-clinic 1 ชิ้น และทดสอบใน Clinical trial 3 ชิ้น มีชิ้นที่ได้รับคัดเลือกให้ไปนำเสนอในที่ประชุมแพทย์ผิวหนังสเปนด้วย

1 ในงานทดสอบที่น่าสนใจ คือ ทางแบรนด์ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์กับอาสาสมัครช่วงอายุ 41 – 70 ปี จำนวน 34 คน ทุกสภาพผิว รวมทั้งคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย (Sensitive skin) โดยให้ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นเวลา 4 สัปดาห์พบว่า

  • ริ้วรอยดูลดลง 43%
  • ความยืดหยุ่น (Elasticity) เพิ่มขึ้น 14%

และเมื่อใช้เป็นเวลา 3 เดือน แล้วให้ประเมินความพึงพอใจผ่านแบบสอบถาม พบว่า

  • ร้อยละ 90 ของอาสาสมัครรู้สึกว่าผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมือนได้ผิวใหม่ (Renewed)
  • ร้อยละ 97 ของอาสาสมัครรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้น

(Image from ISDIN Official Website)

คนที่ไม่เคยใช้กลุ่มวิตามินเอ มาก่อน ให้เริ่มดังนี้ เพื่อลดการเกิดระคายเคือง

  • สัปดาห์แรกใช้แค่อาทิตย์ละ 2 คืน
  • สัปดาห์ต่อมาลองใช้วันเว้นวัน และดูว่ามีอาการระคายเคืองไหม ถ้าไม่มีก็ขยับมาใช้ทุกวันได้เลยในสัปดาห์ที่ 3
  • ถ้าเกิดอาการผิวแห้ง ลอก ระคายเคือง ก็ให้ปรับลดความถี่ในการทาลงได้
  • และอย่าลืมว่า ทาเฉพาะตอนกลางคืน เนื่องจาก Retinaldehyde นั้นไวต่อแสง

ส่วนผสมเป็นดังนี้

โดย Concept หลักของผลิตภัณฑ์นี้ก็จะเป็น Renew-Repair-Soothe

ส่วนผสมวันนี้ขอแบ่งดังนี้ค่ะ

กลุ่มวิตามินรวม ใช้อักษรสีเขียว

วิตามินเอ ในรูปแบบของ Retinaldehye ซึ่งเป็นพระเอกหลักของผลิตภัณฑ์นี้

ปกติ เวลาเราได้รับวิตามินเอเข้าไปในร่างกาย ถ้าอยู่ในรูปแบบ Retinol ester หรือ Retinol ร่างกายจะแปรสภาพก่อน

สำหรับ Retinol นั้นถ้าร่างกายเราไม่พร้อมใช้ ร่างกายเราจะเอาไปจับกับกรดไขมัน เปลี่ยนเป็น Retinyl ester แล้วเก็บสะสมไว้ แต่ถ้าต้องการใช้เมื่อไหร่ เขาก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็น Retinol ก่อน Oxidize ให้เป็น Retinal หรือ Retinaldehyde ก่อนเปลี่ยนเป็น Retinoic acid ที่ไปออกฤทธิ์ได้

แต่ตัว Retinoic acid ซึ่งออกฤทธิ์ได้เลยนั้นจัดเป็นยาตาม พ.ร.บ. ยา ซึ่งในทางเครื่องสำอางนั้นเราสามารถใช้กลุ่ม Retinol, Retinyl ester และ Retinal ได้

ประโยชน์ของวิตามินเอ นั้นค่อนข้างกว้าง เพราะว่าการออกฤทธิ์ของ Retinoic acid นั้นจะไปจับกับตัวรับในนิวเคลียส แล้วไปเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนหลายชนิด จึงให้ผลที่ดีกับผิวหลายประการ ตั้งแต่ระดับชั้นหนังกำพร้า ผ่านการปรับสมดุลการสร้างเซลล์ผิวใหม่ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) สมดุลการผลัดผิว ปรับสมดุลการสร้างและย่อยสลายคอลลาเจน และพวก Matrix ต่างๆ จึงให้ประโยชน์รวมๆ ทั้งในด้านของริ้วรอย และ ความหนาของชั้นผิว

นางมีประโยชน์และประสิทธิภาพจริง แต่ข้อเสียของนางคือ เรื่องของการระคายเคือง และการไวต่อแสง ดังนั้นในช่วงเริ่มใช้ใหม่ๆ อาจจะต้องค่อยๆ เริ่ม ตามที่ได้แนะนำไปด้านบน และห้ามใช้กลางวัน นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์

แต่ข้อจำกัดอย่างหนึ่งในการขึ้นสูตรที่มีพวกวิตามินเอ คือ น้องค่อนข้าง Sensitive เสื่อมง่าย ถูกทำลายง่าย โดยทางแบรนด์ก็พัฒนาตำรับมาด้วยเทคนิคการแยก Phase เอา Retinaldehyde ออกมาจากน้ำ และออกแบบตำรับให้ปกป้องการเสื่อมสลายของ Retinaldehyde ในสูตรได้ โดยได้ผ่านการทดสอบแล้วว่า สามารถปกป้อง Retinaldehyde ให้อยู่ได้ถึง 6 เดือนหลังเปิดใช้งานเลยทีเดียว

ส่วนของวิตามินอื่นๆ ได้แก่

  • วิตามินซี มาในรูปแบบ Ascorbic acid มีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น Antioxidant เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และลดการอักเสบระคายเคือง
  • วิตามินบี 3 มีประโยชน์กับผิวหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผิวแข็งแรง ผ่านการเสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และลดการอักเสบระคายเคือง เป็น Whitening ผ่านการยับยั้งการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก
  • วิตามินอี เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน ใช้ทั้งรูปแบบธรรมชาติอย่าง Tocopherol และรูป Ester อย่าง Tocopheryl acetate

สีม่วง เป็นสารบำรุงที่ให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องของริ้วรอย และการชะลอวัย

  • Melatonin จัดเป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง การใช้ Melatonin ในรูปแบบทาภายนอก มีคุณสมบัติหลายประการ และมีการศึกษารองรับอยู่หลายชิ้น ในภาพรวม Melatonin เป็น antioxidant ทางอ้อม (Indirect antioxidant) โดยมีผลไปเสริมสร้างเอนไซม์ที่เป็น Antioxidant ตามธรรมชาติของผิว สาร Metabolites ต่างๆ ที่เกิดจากการแปรสภาพ Melatonin มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง ลดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนทำให้เกิดริ้วรอยตามมา โดยในภาพรวมน้องมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัยและฟื้นฟูสภาพผิว (J Drugs Dermatol. 2018;17(8):966-969.)

ทำไมถึงต้องทา Melatonin ตอนกลางคืน?

ส่วนหนึ่งเพราะว่า ระบบ Melatoninergic antioxidative system (MAS) ที่อาศัย Melatonin เป็นตัวรักษาสมดุลและซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน นั้นเหมือนจะถูกเปิดสวิตช์ให้ทำงานตอนกลางคืนค่ะ

สำหรับ Combination ของ Retinaldehyde กับ Melatonin ในความเข้มข้นที่ทางแบรนด์เลือกใช้นี้ อิงตามสิทธิบัตรเลขที่ EP2649986A2 (มีสิทธิบัตรคุ้มครอง)

  • Bakuchiol น้องเป็นสารในกลุ่มของ Meroterpene ที่พบได้ในพืชสมุนไพร มีการออกฤทธิ์คล้ายกับ Vitamin A ซึ่งมีการศึกษาในผิวหนังจำลอง พบว่าให้คุณสมบัติในการสังเคราะห์คอลลาเจน โปรตีนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความกระชับผิว รวมไปถึง Aquaporin-3 ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บกักน้ำและสารโมเลกุลเล็กเช่น Glycerol ก่อนนำไปทดสอบในอาสาสมัคร โดยให้ทาที่บริเวณตีนกาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12 อาทิตย์ พบว่า เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ Bakuchiol มีประโยชน์ในการลดริ้วรอย เพิ่มความกระชับและความยืดหยุ่น รวมถึงปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอมากขึ้น (Chaudhuri and Bojanowski. Int J Cosmet Sci. 2014;36(3):221-30.) ต่อมามีการทดสอบในอาสาสมัครอีกครั้งในปี 2018 เทียบกับ Retinol พบว่าให้ผลในด้านของการลดเลือนริ้วรอย และปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ เช่นเดียวกัน แต่อาสาสมัครกลุ่มที่ใช้ Bakuchiol มีอาการข้างเคียงน้อยกว่า (Dhaliwal, et al. Br J Dermatol. 2019;180(2):289-296.)

ถัดมาจะเป็น Combination ของ Glycerin (and) Pentylene Glycol (and) Rosmarinus Officinalis (Rosemary) Leaf Extract (and) Palmitoyl Tetrapeptide-7 (and) Chrysin คือ SynchrolifeTM ที่เป็นวัตถุดิบของบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Croda ซึ่งมาในคอนเซปท์ที่ค่อนข้างล้ำ คือ เรื่องของ Neurobeauty และ Well-being โดยดูแลเรื่องการ ‘Digital Detox’ ลดลักษณะปรากฏที่ทำให้ใบหน้าแลดูเหนื่อย ดูล้า ผ่านการปรับสมดุลการทำงานต่างๆ ในระบบร่างกาย เช่น ระบบการทำงานของ Melatonin ระบบ Circadian rhythm การฟื้นฟูตนเองตามธรรมชาติของผิวในช่วงที่เรานอนหลับ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบระคายเคือง รวมไปถึงดูแลเรื่องรอยคล้ำ รอยบวมใต้ตา (Ref: TDS SyncrholifeTM by Croda)

     มีผลทดสอบจากทางบริษัททั้งในระดับของเซลล์เพาะเลี้ยง และในอาสาสมัครอยู่หลายชุด ขอเลือกมานำเสนอบางรายการนะคะ

ในส่วนของการทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า สูตรผสมของ Synchrolife

  • ลดการสังเคราะห์เอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจน
  • ลดการสร้างอนุมูลอิสระ และลดการเกิด Lipid peroxidation
  • ลดการสร้างสารก่อการอักเสบกลุ่ม IL-6 และ PGE2
  • เสริมการสร้างคอลลาเจน Hyaluronic acid และ Fibronectin
  • การทดสอบกับ Blue light พบว่าสารดังกล่าวสามารถปกป้อง Mitochondria ของเซลล์ให้ได้รับความผิดปกติจาก Blue light ลดลง

ส่วนของการทดสอบในอาสาสมัครนั้น ทำกับอาสาสมัครจำนวน 27 คน อายุเฉลี่ย 38 ปี โดยให้ใช้ Synchrolife เป็นเวลา 2 เดือน เทียบกับครีมเบส พบว่า

  • ความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น เมื่อวัดด้วยเครื่อง Cutometer®
  • ความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น
  • ผิวมีความ Glow/Radiance เพิ่มขึ้น
  • ริ้วรอยดูเรียบมากขึ้น

ส่วนผสมชุดสีน้ำเงิน สารสกัดจากถั่ว Moth bean (Vigna aconitifolia seed extract) รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Vit-A-Like™ LS 9898 เป็นวัตถุดิบจากบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง BASF มีข้อมูลทดสอบในระดับหลอดทดลองและในอาสาสมัคร ว่ามีประสิทธิภาพที่ดีในการดูแลริ้วรอย โดยมีการทดสอบในอาสาสมัครเทียบกับ Retinol พบว่าให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

(Image from BASF)

ปิดท้ายด้วยกลุ่มสารที่ดูแลด้านการระคายเคือง ซึ่งมีด้วยกัน 2 ชนิด

  • 4-t-Butylcyclohexanol มีชื่อทางการค้าว่า Symsitive® ลดความรู้สึกระคายเคืองผิว ผ่านการลดความไวในการตอบสนองที่ระบบประสาทรับความรู้สึกร้อน TRPV-1 ทำให้เรารู้สึกสบายผิว มีการทดสอบประสิทธิภาพของครีมที่มี 4-t-Butylcyclohexanol ในการลดการระคายเคืองของผู้ที่มีอาการผิวอักเสบบริเวณรอบปาก โดยให้ทาครีมดังกล่าวเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าอาการอักเสบระคายเคืองนั้นดีขึ้น และยังได้ประโยชน์ในด้านการเพิ่มความชุ่มชื้นผิว และมีการระเหยของน้ำออกจากผิว (TEWL) ลดลง แสดงให้เห็นอ้อมๆ ว่า ผิวกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2020;19(6):1409-1414) อีกงานหนึ่ง ได้ทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของครีมที่มี 4-t-Butylcyclohexanol กับ acetyl dipeptide-1 cetyl ester ในการลดการระคายเคืองจาก Capsaicin ในผู้ที่มีปัญหา Sensitive skin โดยให้อาสาสมัครทาครีมดังกล่าวเป็นเวลา 3 วัน แล้วมาทดสอบประสิทธิภาพในการลดการระคายเคืองหลังจากทา Capsaicin พบว่า 4-t-Butylcyclohexanol ลดการระคายเคืองได้ตั้งแต่ช่วง 1 – 2 นาทีแรก และให้ผลไม่ต่างจากครีมที่มี acetyl dipeptide-1 cetyl ester (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:18-20.)
  • Hydroxyacetophenone มีชื่อทางการค้าว่า Symsave H เป็นสาร Muti-functional ให้ประโยชน์เป็นสารเพิ่มประสิทธิภาพของสารกันเสีย ให้คุณสมบัติเสริมในด้านการลดการระคายเคือง และเป็น Antioxidant

ในภาพรวม น้องเป็นเซรั่มดูแลริ้วรอยที่อาศัยสารบำรุงหลายชนิดเข้ามาร่วมกันอย่างลงตัว โดยมีพระเอกหลักเป็น Retinaldehyde เสริมมาด้วย Bakuchiol, Melatonin SynchrolifeTM และ Vit-A-Like™ มี Antioxidant เสริมจากวิตามินซีและอี ได้ประโยชน์เรื่อง Whitening เสริมเข้ามา พร้อมกับมีสารบำรุงที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้น

สำหรับเนื้อเบสหลักก็ทำมาได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะมีติดส่วนผสมของ Alcohol เข้ามาเล็กน้อย ส่วนผสมอื่นๆ นั้นเลือกมาได้ค่อนข้างดี และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ทำมาได้ค่อนข้างดี โดยเด่นไปในด้านของการดูแลริ้วรอยจาก Retinaldehyde เป็นหลัก เสริมเอาสารอื่นๆ ที่ดูแลริ้วรอย และป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดจากอนุมูลอิสระ และความเครียด ดูแลผิวที่อ่อนล้าตามวัย พร้อมทั้งดูแลเรื่องการระคายเคือง และได้ประโยชน์ด้าน Whitening เข้ามาด้วย โดยรวมให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ทำมาได้ค่อนข้างดี แต่มีส่วนผสมของ Alcohol อยู่นิดหน่อย ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวได้ทดลองใช้มาประมาณเกือบเดือน ก็พบว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่จำเป็นต้องหักคะแนนเหลือ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ในด้านของประสิทธิภาพ ตนเองเป็นคนที่เชื่อมั่นใน Retinoids อยู่แล้ว และก็ใช้ Retinol อยู่เป็นประจำ พอได้น้องมาก็คือ ใช้ต่อเนื่องเลย ก่อนนอน ทุกคืน ไม่เจอด้านการระคายเคือง และเรื่องของการไวต่อแสง ในด้านของประสิทธิภาพด้านริ้วรอย อาจจะต้องรอเวลาอีกสักระยะ และตอนนี้ตนเองก็ไม่ได้มีปัญหาด้านริ้วรอยที่กังวล แต่ที่รู้สึกได้ก็จะเป็นเรื่องของความนุ่ม แน่น เฟิร์ม กระชับของผิว ที่รู้สึกว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทยด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบบทความ

สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.K4a4r?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/2qBF8nYE2K

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

Mini-Review/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มสำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาสิวจาก Foré (ฟอร์เร่) Acne soothing intense serum

วิเคราะห์ส่วนผสมแบบรวบตึง เซรั่มดูแลผิวพรรณที่มีปัญหาสิวจากแบรนด์ Foré (ฟอร์เร่)

ซึ่งน้องเป็นแบรนด์สกินแคร์สายคลีนแบรนด์หนึ่งที่น่าสนใจ พัฒนาสูตรตามเทรนด์ Minimal หรือ Less is more ให้เป็นมิตรกับผิว โดยเลือกใช้ส่วนผสมตามงานวิจัยในปริมาณที่หวังผลได้

ก่อนหน้าทางเพจได้นำเสนอรีวิวเซรั่มสูตร 4 White Melasma correcting serum สำหรับดูแลฝ้า และน้องวิตซีที่น่าสนใจจากทางแบรนด์ไป (สำหรับท่านที่พลาดสามารถรับชมได้ที่ลิงค์นี้ >>Click<<)

วันนี้ขอหยิบเอาเซรั่มดูแลผิวพรรณที่มีปัญหาสิวมาวิเคราะห์ส่วนผสมกันบ้างค่ะ

โดยเซรั่มสูตรนี้มีชื่อว่า Acne soothing intense serum มาในขวดสีฟ้า ทางแบรนด์เลือกใช้ส่วนผสมหลักที่เน้นดูแลผิวพรรณที่มีปัญหาสิวได้ตรงตามความต้องการของผิวเลย

สำหรับรุ่นนี้มีหน้าตาประมาณนี้นะคะ

ขวดข้างในเป็นขวดแก้วแบบมีดรอปเปอร์

ส่วนผสมเต็มเป็นดังนี้ค่ะ

Water, Propanediol, Glycerin, Niacinamide, Salicylic Acid, Amylopectin, Xanthan Gum, Dextrin, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer, Mannitol, Phenoxyethanol, Glycolic Acid, Triethanolamine, Ammonium Glycyrrhizate, Chlorphenesin, Disodium EDTA, Caffeine, Zinc Gluconate, Zinc PCA, Aesculus Hippocastanum (Horse Chestnut) Seed Extract, Centella Asiatica (CICA) Extract, Avena Strigosa (Black Oat) Seed Extract, Lecithin, Potassium Sorbate, Citric Acid, Sodium Benzoate.

ในด้านของสารบำรุงก็คือเปิดมาด้วย

  • Salicylic acid ซึ่งจัดเป็น BHA ในความเข้มข้นตามที่แนะนำในวงการผิวพรรณ คือ 2% ดูแลเรื่องการอุดตัน เสริมมากับ Niacinamide 2% ที่ดูแลเรื่องการระคายเคือง พร้อมทั้งควบคุมความมัน เป็นส่วนหนึ่งในการเสริมสร้าง Barrier ผิวให้แข็งแรง ตรงนี้ก็จะได้เรื่องการดูแลรอยดำไป 1
  • เติม AHA อย่าง Glycolic acid เข้ามา 0.5%

และมีสารบำรุงอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกดังนี้

  • Zinc PCA ซึ่งเป็นสารที่เตรียมมาจาก Zinc ที่เด่นในด้านของการควบคุมความมันกระชับรูขุมขน กับ PCA ที่เป็น natural moisturizing factor (NMF) ที่ช่วยผิวอุ้มน้ำตามธรรมชาติ ตัวนี้ไม่ธรรมดา เพราะมีรายงานการวิจัยพูดถึงการปกป้องผิวจากเอนไซม์ MMP-1 ที่ไปย่อยคอลลาเจนจนเกิดริ้วรอยได้อีก 1 (Int J Cosmet Sci. 2012; 34(1):23-8.) ดูๆ เป็นแนวๆ ได้ว่า น่าจะได้ประโยชน์เรื่องรอยสิว และเน้นคุมมันด้วย Zinc อีก 1 รูปแบบคือ Zinc gluconate
  • สารสกัดจาก Horse chestnut (Aesculus hippocastanum seed extract) ซึ่งเป็น Antioxidant และมีประกอบด้วยสารพฤกษเคมีที่ชื่อ Aescin และ Escin มีประโยชน์ในการดูแลการอักเสบ (Int J Cosmet Sci. 1999;21(6):437-47.) จับคู่มากับ  Ammonium Glycyrrhizate ที่ดูแลด้านการอักเสบระคายเคืองเหมือนกัน
  • สารสกัดจากบัวบก Centella asiatica extract หรือ Cica ที่ดูแลเรื่องรอยต่างๆ เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • มี Caffeine ที่มีประโยชน์กับผิวหลายด้าน รวมทั้งได้เรื่อง Antioxidant
  • ปิดท้ายด้วยสารสกัดจาก Black oat (Avena strigosa seed extract) ที่มาในคอมบิเนชั่นกับ Lecithin และสารอื่นๆ น่าจะเป็นชุดส่วนผสมของ Aquarich ที่นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าสารบำรุงชุดนี้เป็น Epidermal moisture ally อารมณ์แบบมิตรแท้ในการอุ้มน้ำของผิว โดยมีผลการทดสอบสารสกัดชุดนี้ในอาสาสมัครโดยทางบริษัท พบว่าช่วยเสริมการกักเก็บน้ำให้อยู่ในผิวได้นานขึ้นถึง 24 ชั่วโมง และ ลดการเกิดอาการแห้ง ลอกเป็นขุยของผิวหนัง เมื่อให้อาสาสมัครใช้เป็นเวลา 14 วัน

ในภาพรวมก็คือ เซรั่มขวดนี้ประกอบด้วยสารบำรุงที่ดูแลผิวพรรณที่มีปัญหาสิวได้หลายจุด ไม่ว่าจะเป็นต้นเรื่อง คือ ควบคุมความมัน ลดการอุดตัน ต่อเนื่องมายังรอยแดง รอยดำ และรอยสิว พร้อมให้ความรู้สึกสบายผิว ส่วนตัวว่าค่อนข้างครบ

ส่วนของเบส น้องมาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

เนื้อเซรั่มก็จะข้นนิดหน่อย แต่ก็เกลี่ยง่าย ซึมไว แห้งไว ไม่เหนียวเหนอะหนะ

ทางไปชอปปิ้ง

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.PGIda?cc

แอพส้ม https://shope.ee/7UpEDVc1ej

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Foré การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มดูแลปัญหาฝ้าด้วยเทรนด์ Minimal จากแบรนด์ Foré (ฟอร์เร่) กับ 4 White Melasma correcting serum

Content นี้จะนำเอาผลิตภัณฑ์เซรั่มที่น่าสนใจจากแบรนด์ Foré (ฟอร์เร่) ที่มีชื่อว่า 4 White Melasma correcting serum มาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกัน

แบรนด์ Foré เป็นสกินแคร์แบรนด์ไทยน้องใหม่ ที่มีปรัชญาในการดูแลผิวหน้าด้วยเทรนด์ Minimal หรือ Less is more ด้วยการพัฒนาสูตรให้เป็นมิตรกับผิว โดยเลือกใช้ส่วนผสมตามงานวิจัยในปริมาณที่หวังผลได้

แบรนด์ Foré เลือกสารบำรุงด้วยเทคนิคการทำงานแบบ Double Action คือ

  • 1st Action: ดูแลปัญหาผิวต่างๆ เช่น ปัญหาสิว รอยสิว ฝ้า จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ
  • 2nd Action: เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวผ่าน 2 มิติ โดยการทดแทน Natural Moisturizing Factor (NMF) ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ Black Oat และมี Lecithin เสริมการทำงานของชั้นไขมันที่เป็นปราการผิวตามธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และมีสุขภาพดี

โดยพัฒนาสูตรและส่วนผสมมาได้อย่างลงตัว และเลือกใช้ส่วนผสมที่จำเป็นมาดูแลผิวได้อย่างลงตัว

สำหรับสูตร 4 White Melasma correcting serum จะเป็นเซรั่มสำหรับดูแลปัญหาฝ้าและดูแลเรื่องผิวกระจ่างใสเป็นหลักค่ะ

โดยน้องจะมีหน้าตาประมาณนี้

มาในแพคเกจแบบขวดแก้วสีชา มีดรอปเปอร์

เนื้อเซรั่มค่อนข้างข้น ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น เย็นและสบายผิว เนื้อจะมีความเคลือบผิวอยู่ แต่ไม่ถึงกับเหนอะหนะ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

สำหรับส่วนผสมหลักตามแบรนด์เคลมจะประกอบด้วยสารหลักดังนี้ค่ะ

  • 3% Tranexamic acid
  • 2% Alpha-arbutin
  • 5% Niacinamide
  • 4-butyl resorcinol

เสริม Dipotassium glycyrrhizate เข้ามาช่วยดูแลเรื่องความรู้สึกสบายผิว ดูแลเรื่องการระคายเคือง และ Lecithin ที่ดูแลด้านความชุ่มชื้นให้ผิว

ส่วนผสมแบบเต็มเป็นดังนี้

เรามาดูรายละเอียดส่วนผสมแต่ละชิ้นกัน

สารส่วนผสมที่ให้ประโยชน์หลักในด้าน Whitening แทนด้วยสีชมพู

  • Tranexamic acid หรือ TXA เป็นสารสำคัญชิ้นหนึ่งในวงการ Whitening เดิมทีใช้เป็นยาช่วยให้เลือดแข็งตัว เป็นยาห้ามเลือด แต่พบว่าสารสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส มีผลลดการสร้างเมลานิน ผ่านการยับยั้ง Plasmin ซึ่งปกติ Plasmin เป็นตัวตั้งต้นก่อนจะไปกระตุ้นฮอร์โมน alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวแม่ที่จะไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซท์ ทำงานมากขึ้นก็สร้างเมลานินออกมาได้มากขึ้น พอโดนยับยั้งไปก็มีการสร้าง Melanin ออกมาลดลงเกิดเป็นประสิทธิภาพด้าน Whitening (J Am Acad Dermatol 2011;October:699-714.) มีรายงานการวิจัยศึกษาผลของ Tranexamic acid เข้มข้น 3 % ในสูตรครีมเพื่อรักษาฝ้าในอาสาสมัคร พบว่าให้ผลดีเทียบเท่าสูตรผสมของ Hydroquinone กับ Dexamethasone แต่ผลข้างเคียงต่ำกว่ามาก (J Res Med Sci. 2014;19(8):753-7.)
  • Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามิน B3 น้องมีประโยชน์กับผิวได้หลายประการ ถ้าเป็นด้านของ Whitening น้องจะไปยับยั้งการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก (ยับยั้งที่กระบวนการ Melanosome transfer) และยังมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ดูแลเรื่องสิว ควบคุมความมัน ลดการอักเสบระคายเคือง เสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว
  • มีงานวิจัยที่ทดสอบประสิทธิภาพของ TXA 2% + Niacinamide 2% ในอาสาสมัคร เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าให้ผลเสริมฤทธิ์กันในการลดปริมาณเม็ดสี (Melanin index) ในอาสาสมัครได้ดี (Lee et al, Skin Res Technol. 2014 May;20(2):208-12.) ซึ่งทางแบรนด์ก็คือใช้ TXA 3% + B3 5% จัดเต็มไปอีก
  • 4-butyl resorcinol ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ทำให้เมลานินถูกสร้างมาน้อยลง สารนี้มีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครที่เป็นฝ้ากับครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้ 0.1% เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ พบว่ารอยฝ้าจางลง และมีรายงานผลข้างเคียงจากการทดสอบน้อย (Ann Dermatol. 2010; 22(1): 21–25.)
  • Alpha-arbutin เป็นตัวยืนพื้นอีกตัวแห่งวงการ Whitening มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ทำให้เมลานินถูกสร้างมาน้อยลง ผิวจึงแลดูขาวขึ้น

สำหรับสารบำรุงด้าน Whitening ที่ทางแบรนด์เลือกใช้นั้นเรียกได้ว่า Dose ถึง อิงตามงานวิจัย และมีการออกฤทธิ์ที่เสริมกันในหลายขั้นตอนของการสร้างเม็ดสีผิว สามารถสรุปได้ประมาณรูปนี้

สารบำรุงชุดต่อมา สารสกัดจาก Black oat (Avena strigosa seed extract) ที่มาในคอมบิเนชั่นกับ Lecithin และสารอื่นๆ น่าจะเป็นชุดส่วนผสมของ Aquarich ที่นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าสารบำรุงชุดนี้เป็น Epidermal moisture ally อารมณ์แบบมิตรแท้สำหรับเก็บกักน้ำ โดยมีผลการทดสอบสารสกัดชุดนี้ในอาสาสมัครโดยทางบริษัท พบว่าช่วยเสริมการกักเก็บน้ำให้อยู่ในผิวได้นานขึ้นถึง 24 ชั่วโมง และ ลดการเกิดอาการแห้ง ลอกเป็นขุยของผิวหนัง เมื่อให้อาสาสมัครใช้เป็นเวลา 14 วัน (TDS Aquarich by Rahn AG)

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่

  • Borage seed oil หรือ น้ำมันจากเมล็ด Borage ประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็น Linoleic acid ที่ดูแลเรื่อง Barrier ผิว ให้ผิวแข็งแรง
  • Dipotassium glycyrrhizate ดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Arginine เป็นกรดอะมิโน ที่ดูแลเรื่องการเก็บกักน้ำตามธรรมชาติของผิว

มาในเบสที่เป็นเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง สำหรับสารบำรุงที่จัดเป็น Whitening นั้นทำงานร่วมกันผ่านหลายกลไก ตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างเม็ดสี ระหว่างสร้างเม็ดสี ไปจนถึงสร้างเม็ดสีเสร็จแล้ว โดยมี B3 ไปขัดขวางไม่ให้เม็ดสีออกไปข้างนอก และเสริมสารที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิวกับการระคายเคืองมาด้วยพร้อมๆ กัน ถ้ามี Antioxidant (AOX) อื่นๆ มาเสริมอีกสักหน่อยจะสมบูรณ์แบบ แต่จริงๆ เราก็สามารถไปทาวิตามินซี หรือ AOX อื่นเสริมเองในขั้นตอนอื่นของรูทีนก็ได้ โดยรวมขอให้ 4 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์นี้ประมาณ 2 สัปดาห์เศษๆ ค่อนข้างชอบเนื้อของเซรั่มที่ค่อนข้างชุ่มผิว ด้วยความที่เราเป็นคนผิวผสม/แห้ง เนื้อประมาณนี้คือกำลังดีเลย ส่วนประสิทธิภาพด้าน Whitening นั้นอาจจะยังฟันธงได้ 100% เลยไม่ได้ เพราะใช้มาแค่ระยะสั้นๆ และตนเองก็ไม่ได้มีปัญหาจุดด่างดำในช่วงนี้ แต่ก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของผิว จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Foré (ฟอร์เร่) ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: Fore skincare https://www.facebook.com/profile.php?id=100090069652535

ส่วนของราคาก็กำลังน่ารัก ขวดนี้ 30 ml อยู่ที่ 590 บาทค่ะ (สำรวจเมื่อ 4 ก.ย. 2566 ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น)

สามารถติดตามไปแอบส่องแอบตำได้ที่ตามช่องทางของทางแบรนด์เลยนะคะ

LazMall https://s.lazada.co.th/s.kLPlj?cc

ShopeeMall https://shope.ee/3VHnh4Rc6j

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Foré  การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มดูแลสิว La Roche-Posay Effaclar serum ด้วยประโยชน์ตัดวงจรสิวตั้งแต่เริ่มต้น

วันนี้มีบทวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มสำหรับดูแลสิวที่น่าสนใจจากแบรนด์ La Roche-Posay มาฝากกันค่ะ

เป็นเซรั่มที่มาแบบคลีนๆ มินิมอล น้อยแต่มาก เน้นจัดเต็มดูแลปัญหาสิว โดยเฉพาะสิวอุดตันได้แบบเน้นๆ อย่างตรงจุดค่ะ น้องก็คือ Effaclar serum ตัวดังนั่นเอง ซึ่งมีหน้าตาประมาณนี้นะคะ

ขวดจะเป็นขวดแก้ว มาพร้อมหลอดหยดให้ ให้เราเป็นคนเปิดภาชนะแล้วเราเป็นคนเปลี่ยนฝาประกอบหลอดหยดลงไป เหมือนตัวเซรั่มไลน์อื่น ของทางแบรนด์ค่ะ

ประกอบร่างแล้วเป็นแบบนี้

เนื้อเซรั่มจะเป็นเนื้อเจลใส หนืดเล็กน้อย มีกลิ่นในโทนสดชื่น

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ ให้ความรู้สึกเคลือบนิดๆ แต่เบาและสบายผิว จากภาพนี้จะเป็นทาแล้วเกลี่ยแล้วทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที

ค่า pH อยู่ที่ประมาณ 3 – 4 ซึ่งถือว่าดีงามตามประสาการเป็น AHA

อยากเล่าเรื่องของการทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์นี้จากทางแบรนด์ก่อนนะคะ

ทางแบรนด์ได้ทดสอบประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์นี้ในอาสาสมัครจำนวน 40 คน โดยสถาบันวิจัยของลอรีอัล ประเทศฝรั่งเศส พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครใช้เซรั่มเป็นเวลา 28 วัน อาสาสมัครมีรอยสิวจางลงถึง 49%  และที่ระยะเวลา 44 วัน พบว่า อาสาสมัครมีสิวอุดตันลดลง 52% เลยทีเดียว

และก่อนไปดูส่วนผสม อยากเล่าสาเหตุของสิวแบบย่อๆ สักหน่อยค่ะ ในยุคปัจจุบันนี้ มีการค้นพบข้อมูลเกี่ยวกับสิวมากขึ้นเรื่อยๆ ค่ะ และตอนนี้ว่ากันว่า สิวคืออาการอักเสบของต่อมไขมันที่บริเวณรูขุมขน (Psilosebaceous unit) ซึ่งก็จะมีหน้าตาประมาณภาพนี้

โดยการเกิดสิวนั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่ได้เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์เพียงอย่างเดียว แต่มีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย โดยสามารถแบ่งกลุ่มได้เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่

  • การที่เซลล์ในปากปล่องรูขุมขนแบ่งตัวออกมามากเกินไปจนผลัดทิ้งไม่ทัน หรือ มีการสร้างโปรตีน Keratin ที่ผิดปกติ ทำให้การผลัดผิวตามธรรมชาติเกิดได้ยาก กลายเป็นการอุดตัน
  • การสร้างน้ำมันที่มากเกินไปจากต่อมไขมัน (Sebaceous gland) พอมาเจอกับก้อน Keratin ที่ขวางปากปล่องรูขุมขนก็สะสมกองกัน
  • เชื้อจุลินทรีย์ โดยตัวหลักคือ Cutibacterium acnes หรือ C. acnes (ชื่อเดิมในวงการคือ Propionibacterium acnes หรือ P. acnes) ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่รวมไปถึงเชื้อตัวอื่นๆ ด้วย และนับรวมเอาความไม่สมดุลของ Microbiome ซึ่งเป็นเหมือนชุมชนของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ บนผิว โดยเจ้า C. acnes นี่จะกินน้ำมันเป็นอาหาร แล้วปลดปล่อยสารที่ไปก่อให้เกิดการอักเสบต่างๆ ตามมา
  • ระบบภูมิคุ้มกันของเรา ที่ไปต่อต้านเชื้อ C. acnes และ ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ ขึ้นมา

ถ้าจำลองเป็นซีรี่ส์ ก็จะเห็นว่าการอุดตันนี่เป็นเหมือนต้นตอแห่งการเกิดสิวเลย เพราะถ้าไม่อุดตัน ไขมันก็ขับออกได้ตามปกติ เชื้อ C. acnes มันก็จะไม่โตมากไป แล้วก็จะไม่เกิดสิวเกิดการอักเสบ ถ้าดูแลตรงจุดที่เริ่มอุดตันนี้ได้ ก็คือจบเรื่อง สยบวงการก่อสิว

อันนี้จะเป็นภาพรวมของการเกิดสิว ไม่ได้กล่าวถึงปัจจัยอื่นๆ เช่น ฮอร์โมน Lifestyle ในชีวิตประจำวัน ซึ่งก็จะมาแนวคล้ายๆ กัน คือ มักจะไปเริ่มที่การอุดตันของผิว แต่บางแบบก็จะไปทำให้เกิดการอักเสบในรูขุมขน ซึ่งอาจจะไม่ได้เกิดมาจากการอุดตันก็ได้

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมก็คือเรียกได้ว่าจัดเต็มมาด้วย โมเลกุลของ Organic acid 3 ชนิด ที่ได้รับการยอมรับในวงการผิวหนัง พร้อมมีวารสารทางวิชาการสนับสนุนถึงประโยชน์ในการดูแลผิว ได้แก่

  • 0.45% Lipohydroxy acid (LHA; Capryloyl salicylic acid)
  • 1.5% Salicylic acid (BHA)
  • 3.5% Glycolic acid (AHA)

ทางแบรนด์เรียกเป็น Tri-Acid Complex ที่เอา Niacinamide ที่มีความอ่อนโยนกับผิวมาผสมร่วม เพื่อช่วยดูแลผิวจากการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้น และยังเสริมประโยชน์ในการควบคุมความมันของผิว และดูแลสิวไปด้วยอีก 1 สเต็ป

ซึ่งตัว Niacinamide หรือ B3 ก็ได้รับการยอมรับในวงการฯ เช่นกัน

เรามาลองดูส่วนผสมโดยละเอียดกันนะคะ

ขอเริ่มไปทีละกลุ่มสารตามหน้าที่เลยค่ะ

กลุ่ม Organic acid จะมี AHA, BHA, LHA แทนด้วยสีบานเย็นค่ะ

  • 0.45% Capryloyl salicylic acid เป็นสารในกลุ่มของ Lipohydroxy acid (LHA) ซึ่งละลายได้ดีในไขมัน มีบทบาทมีบทบาทในการลดการอุดตันและผลัดผิวที่ตายแล้วออกไป และมีงานวิจัยหนึ่งที่ทดสอบประสิทธิภาพของสารตัวนี้เทียบกับ Glycolic acid พบว่า LHA ลดริ้วรอยในอาสาสมัครได้ และช่วยให้ผิวขาวขึ้นดีกว่า Glycolic acid (J Cosmet Dermatol. 2008; 7(4):259-62.) อาจจะกล่าวๆ โดยอ้อมว่า น้องจะช่วยดูแลเรื่องของรอยดำ
  • 1.5% Salicylic acid จัดเป็น BHA ซึ่งทางแบรนด์เลือกมาในความเข้มข้นที่มีประสิทธิภาพในการดูแลสิว (0.5 – 2.0%) BHA ตัวนี้จะละลายได้ดีในไขมัน และไปย่อยพวก Comedone ที่อุดตันในรูขุมขนซึ่งก่อนจะเกิดสิวน้องจะชุ่มไปด้วยไขมันจากต่อมไขมัน BHA ก็จะสามารถละลายเข้าไปได้
  • 3.5% Glycolic acid จัดเป็น AHA ที่เด่นในด้านของการผลัดผิว และมีประโยชน์ในแง่ของความเรียบเนียนของผิว และรอยดำ

เมื่อพูดเรื่องของการผลัดผิวแล้ว อยากหยิบเอาส่วนผสมอีกชิ้นมากล่าวถึง คือ Hydroxyethylpiperazine ethane sulfonic acid หรือ HEPES ที่แทนด้วยสีน้ำเงิน

HEPES นี้มีบทบาทหลายอย่างในสูตร โดยน้องเดิมทีใช้เป็นสารกลุ่มบัฟเฟอร์ที่ช่วยปรับและคุมค่า pH ให้คงที่เพื่อเสริมความคงตัวให้สูตร โดยเฉพาะสูตรที่มี Glycolic acid แต่ก็มีการค้นพบว่า HEPES นั้นมีประโยชน์ในการผลัดผิวแบบอ่อนๆ โดยไปย่อยสลายส่วนของโปรตีน Corneodesmosome ที่ทำหน้าที่ยึดเกาะเอาเซลล์ขี้ไคลเอาไว้ด้วยกัน ทำให้มันหลุดออกไปตามธรรมชาติได้ง่ายขึ้น

ผลัดผิวแล้ว ต้องมาดูแลเรื่องการระคายเคืองต่อ สารที่มีประโยชน์ในด้านของการระคายเคือง ในที่นี้จะมี 2 ตัวหลักๆ แทนด้วยสีเขียว

  • Niacinamide ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 เจ้าเก่า น้องมีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการดูแลสิว ควบคุมความมัน ช่วยดูแลเรื่อง Barrier ให้แข็งแรง ดูแลการระคายเคือง และมีประโยชน์เรื่องรอยดำ
  • Biosaccharide gum-1 ตัวนี้ก็น่าสนใจเหมือนกัน เนื่องจากเป็นกลุ่มของคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากเทคโนโลยีทางชีวภาพ (Biopolymer) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่ามีประโยชน์ในการลดการระคายเคืองผิว และยังได้เรื่องความชุ่มชื้น และปรับเนื้อปรับฟีลลิ่งตอนทา

อีกตัวที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองอ้อมๆ คือ Polyquaternium-10 ที่ได้จากการดัดแปลงอนุพันธ์ของเซลลูโลส ให้มีประจุบวก ให้คุณสมบัติเคลือบผิว และปรับเนื้อปรับฟีลลิ่งตอนทา ให้ผิวรู้สึกนุ่มเรียบละมุน

ใช้ Dimethyl isosorbide เข้ามาช่วยเป็น Penetration enhancer เสริมการดูดซึมของสาร เข้าใจว่าน่าจะมีประโยชน์ในการส่งเอาพวก Acid ไปละลายการอุดตันในรูขุมขน

สังเกตว่าจะมี Alcohol แต่อย่าพึ่งกรีดร้อง นอกเหนือไปจากประโยชน์ในการทำสูตรให้คงตัวแล้ว การใช้ Alcohol สำหรับคนที่มีปัญหาสิวและผิวมัน ตัว Alcohol มันจะช่วยไปละลาย Sebum เหนียวๆ ทำให้พวก Acid ทำงานได้ง่ายขึ้น

ในภาพรวมเราสามารถสรุปกลไกการทำงานของส่วนผสมหลักในเซรั่มนี้ได้ประมาณนี้ค่ะ

กล่าวง่ายๆ อีกครั้ง ก็คือ ถ้าลดการอุดตันได้ ไขมันก็จะไหลออกจากต่อมไขมันได้ตามปกติ เชื้อ C. acnes ก็จะไม่เพิ่มจำนวนมากจนไปกินไขมันแล้วกระตุ้นภูมิจนเกิดการอักเสบเกิดสิวต่อไป

ส่วนผสมยังดูแลเรื่องรอยดำ รอยแดงไปด้วยพร้อมๆ กัน

มาให้คะแนนกันดีกว่า

  1. สารบำรุง หรือ Active ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า เซรั่มดูแลสิว Effaclar serum นี้ เน้นไปที่จุดเริ่มต้นสุดแห่งการเกิดสิว คือ ไปลดการอุดตัน โดยใช้ Organic acids ที่ได้รับการยอมรับในวงการผิวหนัง แต่ก็เสริมสารที่เข้ามาดูแลเพื่อลดการระคายเคืองให้ผิวไปด้วยพร้อมๆ กัน โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ในแง่ของการ Peeling พร้อมลดการระคายเคืองแบบฉ่ำๆ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. สำหรับส่วนของเนื้อหลัก หรือ Base แม้ว่าจะมี Alcohol แต่ดังที่ได้กล่าวไปว่า นอกเหนือไปจากประโยชน์ในการทำสูตรให้คงตัวแล้ว การใช้ Alcohol สำหรับคนที่มีปัญหาสิวและผิวมัน ตัว Alcohol มันจะช่วยไปละลาย Sebum เหนียวๆ ทำให้พวก Acid ทำงานในการลดการอุดตันในปากปล่องรูขุมขนได้ง่ายขึ้น และส่วนผสมอื่นๆ ก็เลือกมาได้ค่อนข้างดีและมีประโยชน์เสริมกับสารบำรุงหลักในสูตรได้อย่างลงตัว แต่ทั้งนี้เพื่อความเป็นธรรมกับผลิตภัณฑ์ที่เคยรีวิวไป ทางเพจจะหักคะแนน Alcohol จุดนี้จึงขอให้ไป 4 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่ง หรือ Additives ก็มีใช้เท่าที่จำเป็น มีการใช้ระบบ Buffer มาควบคุมค่า pH ของตำรับให้คงที่ เพื่อรักษาเสถียรภาพของตำรับ ตัว Pentylene glycol ที่ใส่เสริมขึ้นมายังช่วยระงับเชื้อได้อ่อนๆ จึงน่าจะใส่มาหวังผลเป็นสารกันเสียในตำรับไปพร้อมๆ กับดูแลเรื่องความชุ่มชื้น ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ La Roche-Posay ประเทศไทยที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่พัฒนาสูตรมาได้อย่างลงตัว พร้อมการศึกษาทางคลินิกรองรับมาให้ได้เปิดหูเปิดตา และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Official facebook: @LaRochePosayThailand (https://www.facebook.com/LaRochePosayThailand)

หรือท่านที่จะตามไปส่องสินค้าบน Official Mall ก็เรียนเชิญได้เลยค่ะ

ราคาสินค้าปกติอยู่ที่ 1350 บาท วันที่สำรวจ 19 ส.ค. มีโปรโมชั่นลดเหลือ 1280 บาท (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น)

LazMall https://s.lazada.co.th/s.k3vrT?cc

Shopee Mall https://invl.io/cljcdc4

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ La Roche-Posay ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

#LaRochePosayTH #Effaclar #EffaclarSerum #เอฟฟาคลาร์ #ปฏิบัติการสลายสิว #เอฟฟาคลาร์เซรั่ม

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินซี และเซรั่มวิตามินเอ สายคลีน จาก Biobalance

สวัสดีค่ะทุกท่าน สำหรับ Blog นี้ขอมาต่อกันที่บทวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มที่น่าสนใจจากแบรนด์ Biobalance 2 ชิ้น คือ เซรั่มวิตามินซี ที่มีชื่อว่า Pure vitamin C super serum และเซรั่มวิตามินเอ ที่มีชื่อว่า Retinol’E super serum นะคะ

สำหรับท่านที่สนใจเกี่ยวกับแบรนด์ Biobalance สามารถติดตามคอนเทนท์แนะนำแบรนด์ Biobalance ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ

(แนบลิงค์ https://miyeonthereviewer.com/2022/08/26/brandintro-biobalance/)

ทางเพจได้เคยนำเสนอรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Eye cream สุดปังของแบรนด์ไว้ ท่านใดที่พลาดสามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้ได้เลย

(แนบลิงค์ https://miyeonthereviewer.com/2022/09/23/biobalance-eye/)

ส่วนเซรั่มที่เราจะนำมานำเสนอกันในวันนี้นั้นเป็นเหมือนพระเอกนางเอกของแบรนด์กันเลยค่ะ คือ น้องวิตซี กับน้องวิตเอ ที่มีหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

โดยขอเริ่มที่น้องวิตซีนะคะ

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Pure vitamin C super serum

ซึ่งมาในขวดแก้วสีชาแบบมีหลอดหยดค่ะ

สำหรับเนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อของ Propanediol ที่จะอุ่นๆ ให้ความรู้สึก ‘rich’ คือ อารมณ์เหมือนมีอะไร หนืดๆ นิดหน่อยตอนเกลี่ย

หลังเกลี่ย

ถ่ายภาพผ่านแฟลชจะเห็นเป็นส่วนของ propanediol ดูวาวๆ

หลังจากทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ความวาวก็จะหายไปค่ะ

สำหรับส่วนผสม คือ สมเป็นสกินแคร์สายคลีน ก็คือ ตรงตามเทรนด์ ‘The less is more’ มากๆ

แค่เอา L-ascorbic acid (LAA) 10% มาละลายในเบสที่เป็น Propanediol ซึ่งการทำมาในเบสแบบไม่มีน้ำจะช่วยรักษาเสถียรภาพของ LAA เอาไว้

สำหรับ Propanediol นั้นจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าเป็น Humectant solvent ซึ่งปกติเราใส่กันในปริมาณไม่มาก ราวๆ ไม่เกิน 5% เป็นสารให้ความชุ่มชื้นผ่านการดูดน้ำให้ผิว ในที่นี้เอามาเป็นเบสเลย เพื่อจะได้ปกป้องตัวสารวิตซีเอาไว้

Propanediol เป็นสารที่ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าได้จากกระบวนการดัดแปลงจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด ในวงการเครื่องสำอางทำขึ้นมาเพื่อทดแทนการใช้ Propylene glycol ซึ่งได้จากการสังเคราะห์ และมีรายงานถึงการแพ้-ระคายเคืองอยู่บ้าง

ถ้าดูจากคะแนนความเป็นมิตรต่อคน สัตว์และสิ่งแวดล้อมจาก Environmental Working Group (EWG) นั้นน้องจะมีคะแนนที่ 2 คะแนน แต่ถ้าเป็น Propylene glycol นั้นจะมีคะแนนอยู่ที่ 3 คะแนนค่ะ

ถ้ากล่าวกันตามจริงตามหลักการก็ไม่ได้ต่างกันเยอะมาก แต่ส่วนตัวมองว่าจากข้อมูลที่เห็นมา Propanediol นั้นมีข้อมูลว่าเกิดการระคายเคืองได้น้อยกว่า ก็น่าจะดีกว่า

สำหรับวิตามินซีที่ทางแบรนด์เลือกใช้นั้นเป็นรูปแบบ LAA ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ ที่มีรายงานกล่าวถึงประสิทธิภาพที่ดีอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน

ส่วนประโยชน์ของวิตามินซีก็จะดูแลผิวได้หลายด้าน เช่น

  • ด้านของ Whitening ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นขั้นตอนหลักของการสร้างเม็ดสีผิว
  • เป็น Antioxidant ที่ดี
  • ลดการอักเสบและระคายเคือง
  • ปกป้องผิวจากรังสี UV (Photoprotective)
  • เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน โดยเป็น Cofactor ให้แก่เอนไซม์ prolyl hydroxylase และ lysyl hydroxylase ที่ใช้สร้างกรดอะมิโนพิเศษ Hydroxyproline และ Hydroxylysine ในสายคอลลาเจน

วิตามินซีนั้นค่อนข้างบอบบางค่ะ สลายตัวง่ายจากหลายๆ ปัจจัย การทำมาในสูตรไม่มีน้ำแบบนี้ กับมาในขวดแก้วสีชาก็ช่วยปกป้องได้ในระดับหนึ่ง

แต่ว่าพอทำมาในเบสที่เป็น Humectant solvent แบบนี้ บางคนก็อาจจะไว ถ้าละเลงบนผิวเลยก็อาจจะระคายเคือง ซึ่งรูปแบบของการระคายเคืองก็มีได้หลายแบบ ตั้งแต่รู้สึกร้อนๆ แสบๆ ยุบยิบ จนไปถึงรูขุมขนอักเสบคล้ายเป็นสิว

ใครที่กำลังเริ่มใช้ หรือเคยใช้มาแล้วเกิดอาการระคายเคืองอาจจะลองผสมเข้ากับสกินแคร์อื่น วอร์มให้เข้ากันก่อนทาบนผิวก็จะช่วยลดอาการตรงนี้ได้ แล้วก็ค่อยๆ ปรับเพื่อให้ผิวเราค่อยๆ ชินกับน้องค่ะ

ส่วนอีกตัวเป็นเซรั่มวิตามินเอผสมวิตามินอีค่ะ น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Retinol’E super serum

มาในขวดแก้วสีชาแบบมีดรอปเปอร์เช่นกัน

เนื้อจะมาในรูปแบบออยล์ที่เหลวหน่อย

ถึงแม้จะเป็นออยล์ แต่มาลองดูเนื้อก่อน น้องเป็นออยล์ที่ค่อนข้างเบาไม่เหนอะหนะ เกลี่ยได้ง่าย เคลือบปกป้องผิว

ถ่ายภาพด้วยแฟลชจะเห็นความวาวของเนื้อออยล์อยู่เล็กน้อย

ตัวเซรั่มจะใช้เวลาในการซึมสักนิดค่ะ ทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม เลยจะได้กลิ่นจางๆ ของวัตถุดิบอยู่ค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในด้านของส่วนผสมนั้นจะมีวิตามินเอ ร่วมกับวิตามินอี ใน 2 รูปแบบ คือ Tocopheryl acetate และ Tocopherol ในความเข้มข้นรวม 2% และเสริม Bisabolol มาเพื่อดูแลเรื่องการระคายเคือง เนื่องจากตัว Retinol นั้นอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ในผู้ใช้บางราย

วิตามินเอ เป็นรูปแบบ Retinol จัดมาที่ 0.3% ซึ่งมีความระคายเคืองต่ำ แต่มากกว่าพวกกลุ่ม ester นิดหน่อย ซึ่งหลังๆ มา เราไม่ค่อยเจอพวก Ester ในท้องตลาดมากนัก ถ้าไม่นับพวก Ester ของ Retinoic acid อย่าง Hydroxypinacolone retinoate (ชื่อทางการค้า Granactive® Retinoid) ที่เจอได้อยู่

สำหรับวิตามินเอนั้นมีประโยชน์กับผิวหลายๆ ประการ จะเด่นไปในด้านของการดูแลผิวเรื่องริ้วรอย ผ่านกลไกที่ซับซ้อนหลายๆ อย่าง และอาจจะให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องสิวได้ ผ่านการควบคุมการแบ่งตัวและเปลี่ยนรูปของเซลล์ Keratinocyte ในชั้นหนังกำพร้า

ส่วนวิตามินอีนั้นเป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน แล้วก็ช่วยปกป้องวิตามินเอในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพ วิตามินอีเองก็ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อยู่บ้าง มีการเสริม Antioxidant สังเคราะห์อย่าง BHA, BHT เข้ามาช่วยปกป้องวิตามินเอ และอี ไว้อีก 1 สเต็ป

โดยรวมก็ถือว่าเป็นเซรั่มวิตามินเอที่ทำมาได้คลีนๆ และเรียบง่ายดีค่ะ

สรุปแล้วกลุ่ม Super serum ที่ทางแบรนด์ Biobalance นำเข้ามาในไทยทั้ง 2 ตัวนั้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ มาในราคาที่เอื้อมถึงได้ค่ะ

มาดูคะแนนกันนะคะ สำหรับวันนี้เนื่องด้วยส่วนผสมไม่ได้เยอะมาก เลยขอลดหัวข้อการให้คะแนนเป็น 2 หมวด คือ หมวดส่วนผสม แล้วก็หมวดการใช้งาน

  1. ส่วนผสม ทั้ง 2 ตัวเป็นเซรั่มที่ทำมาได้ค่อนข้างคลีน เรียบง่าย ตอบเทรนด์ ‘The less is more’ ซึ่งก็ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดีตามเทรนด์นะคะ แต่ถ้าบางคนที่ไม่ได้อินกับเทรนด์ The less is more อาจจะรู้สึกว่ามันเบาไปหน่อย มันมีอะไรได้อีก จุดนี้ขอให้ไป 3 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ในด้านของเนื้อสัมผัส ถ้าเป็นตัววิตซี น้องจะหนึบๆ หนักๆ นิดหน่อย เพราะเป็นเนื้อของ Propanediol ล้วนๆ แต่ไม่มันเหมือนน้ำมัน ใครที่กำลังเริ่มใช้เบสแบบนี้แนะนำให้ลองผสมเข้ากับครีมอื่นๆ ก่อน เพื่อให้ผิวเราค่อยๆ ปรับค่ะ ส่วนของตัววิตเอ นั้นจะมาในรูปแบบน้ำมัน ที่เบลนด์มาได้ฟิลลิ่งที่บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่เยิ้มมาก ทาก่อนนอนตื่นมาไม่แห้ง หมอนไม่เปอะเปื้อน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/BiobalanceOfficialThailand

ลิงค์สำหรับตามไปชอปปิ้ง

LazMall

ชอปปิ้งเซรั่มวิตามินซี: https://s.lazada.co.th/s.k1cLB?cc

ชอปปิ้งเซรั่มวิตามินเอ: https://s.lazada.co.th/s.k1cvu?cc

Shopee Mall Official Biobalance Mall https://invle.co/cle62tp

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มสำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาสิว Pimprove Anti-Blemish & Pore Clarifying Serum จาก Zeroid

เชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์อีกชิ้นหนึ่งที่กำลังเป็นที่สนใจในวงการ เมื่อทาง Neopharm ออกไลน์ใหม่เพื่อดูแลผิวที่เป็นสิวอย่างอ่อนโยน ซึ่งในครั้งก่อนทางเพจได้นำเสนอบทวิเคราะห์ส่วนผสมมอยส์เจอไรเซอร์สำหรับผิวที่มีปัญหาสิว สูตรปรับปรุงใหม่ ปี 2023 มาในแพคเกจใหม่ ของทาง Zeroid ในไลน์ Pimprove ชื่อว่า Soothing Moisturizer ไปแล้ว

ท่านที่สนใจ สามารถย้อนกลับไปติดตามที่ลิงค์นี้ได้ค่ะ

https://miyeonthereviewer.com/2023/07/05/zeroid-pimprovemoist/

สำหรับคอนเท้นท์นี้ก็จะมาขออัพเดท รีวิว และวิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลสิวอีกชิ้นหนึ่งในไลน์ Pimprove ที่พัฒนาออกแบบมาดูแลสิวที่น่าสนใจภายใต้คอนเซปท์ #ดูแลสิวผิวไม่เสีย

โดยมีชื่อว่า Pimprove Anti-blemish & Pore Clarifying Serum

ที่มีหน้าตาและโทนสีคล้ายคลึงกับผลิตภัณฑ์อื่นในไลน์ Pimprove

รุ่นนี้จะมาในแพคเกจขนาด 40 ml

ตัวภาชนะบรรจุเป็นขวดปั๊มแบบสุญญากาศ (Airless pump)

เนื้อผลิตภัณฑ์ออกมาเป็นแบบโลชั่นไม่หนืดมาก เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอมเราเลยจะได้กลิ่นจางๆ ของวัตถุดิบอยู่ค่ะ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสที่บางเบา ไม่เหนอะหนะ แต่ก็ยังชุ่มชื้นอยู่

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งใกล้เคียงกับค่า pH ตามปกติของผิว

สำหรับตัวเซรั่มสูตรนี้นั้น ทางแบรนด์ได้ผ่านการทดลองแล้วพบว่าน้องพิมสูตรนี้ลดการสะสมของ เจ้า C. acnes (ชื่อใหม่ของน้องที่ทำให้เกิดสิว P. acnes) ในรูขุมขน โดยวัดจากการเรืองแสงของสารเรืองแสง Porphyrin ที่สร้างโดย C. acnes

ซึ่งมีงานวิจัยที่พบว่า ระดับหรือปริมาณของ Porphyrin สอดคล้องกับความรุนแรงของการเป็นสิว (Bernard et al., mSphere. 2020;5:1–10.)

ทางแบรนด์จะแนะนำให้ใช้เซรั่มนี้ คู่กับ Pimprove Soothing Moisturizer ที่เคยได้นำเสนอบทวิเคราะห์ส่วนผสมไปเมื่อครั้งก่อนค่ะ

ทางเพจเรียกน้องเป็นชื่อเล่น ว่า น้องพิมใหญ่ = Pimprove soothing moisturizer และ น้องพิมเล็ก = Anti-blemish & pore clarifying serum ค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในภาพรวมถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลสิวที่ทำมาได้ค่อนข้างดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว โดยทางนี้ได้แบ่งกลุ่มส่วนผสมที่เป็นสารบำรุงไว้ตามประโยชน์แยกเป็นสีๆ

เริ่มที่ สีเขียว คือ สารสกัดจากบัวบก (Centella asiatica extract) เป็นตัวเมน เป็นเบสหลักของผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้ ซึ่งบัวบกเป็นพืชที่มีการศึกษาทางผิวหนังค่อนข้างเยอะ และมีประโยชน์ที่ดีกับผิวพรรณหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น Antioxidant, ลดการอักเสบระคายเคือง เสริมการสมานแผล เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน โดยประกอบด้วยสารพฤกษเคมีที่สำคัญในกลุ่ม Triterpenoids ที่สำคัญ 4 ชนิด ได้แก่ asiaticoside, madecassoside, asiatic acid และ madecassic acid ที่สามารถออกฤทธิ์ได้ผ่านหลายระบบ (Park KS. Evid Based Complement Alternat Med. 2021:5462633.)

ในกรณีของสารสกัดจากบัวบก สำหรับดูแลสิว พบว่า สาร madecassoside ไปยับยั้งการปลดปล่อยสารก่อการอักเสบ IL-1β ไปลดการแสดงออกของ Toll-like Receptor-2 (TLR2) ซึ่งเวลามีการโตของเชื้อสิว C. acnes มันจะไปกระตุ้นที่ TLR2 แล้วไปมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันและการอักเสบระคายเคือง และไปปรับสมดุลการอักเสบผ่านระบบ NF-κB (Biosci Biotech Biochem. 2019;83(3):561-568.)

สีน้ำเงิน Tranexamic acid (TXA) เดิมที TXA มีการใช้เป็นยาต้านการแข็งเลือดกลุ่ม Plasmin inhibitor แต่พบว่ามีคุณสมบัติในการลดการสร้างเม็ดสี เลยมีการศึกษาในแบบทาภายนอก พบว่า มีคุณสมบัติเป็น Whitening และช่วยให้รอยฝ้าจางลงได้ และมีประโยชน์สำหรับรอยแดงจากสิว นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ พบว่า การให้อาสาสมัครใช้ TXA หลังกระตุ้นผิวให้เกิดความเสียหายต่อ Barrier ด้วยสาร SLS และรังสี UVB พบว่าสามารถเร่งการฟื้นฟู Barrier ผิวได้ผ่านการกระตุ้นการสร้างโปรตีน Occludin ที่เป็น Tight junction ซึ่งมีส่วนช่วยให้ผิวแข็งแรง (Int J Dermatol. 2014;53(8):959-65.)

สีม่วง เป็นสารที่มีประโยชน์กับสิว ได้แก่

  • Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิว ผิวแข็งแรง ควบคุมความมัน และดูแลเรื่องรอยดำ รอยแดง
  • Capryloyl salicylic acid รู้จักกันในนาม Lipohydroxy acid หรือ LHA ที่มีประโยชน์ในการดูแลสิว ลดการอุดตัน ด้วยความที่ตัวน้องมีความละลายในไขมันได้ ก็จะแทรกซึมผ่านพวกน้ำมัน (Sebum) ที่กระจุกอยู่บริเวณปากปล่องรูขุมขนแล้วไปลดการอุดตันตรงนั้นได้
  • Acetyl dipeptide-3 aminohexanoate อยู่ในสูตรผสมของ Butylene glycol, water, acetyl dipeptide-3 aminohexanoate รู้จักกันในนาม Bodyfensine® ซึ่งผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า มีประโยชน์ในการดูแลภูมิคุ้มกันผิว ผ่านการเสริมสร้างโปรตีนที่เป็น Antimicrobial peptide (AMP) กลุ่ม Beta-Defensin ชนิด 2 และ 3 (hBD-2, hBD-3) ซึ่งผ่านการทดสอบยืนยันในระดับหลอดทดลอง โดยโปรตีน 2 ชนิดนี้จะช่วยปรับสมดุลระหว่างเชื้อที่ดีกับเชื้อก่อโรคให้อยู่ในสภาวะสมดุล จึงช่วยดูแลสิว และทางผู้ผลิตวัตถุดิบได้มีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร ผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย จำนวน 20 คน เป็นเวลา 28 วัน พบว่ายังได้ประโยชน์ในการควบคุมความมัน และเพิ่มความชุ่มชื้นในผิว (Ref: Bodyfensine® TDS)

กลุ่มสารสีชมพู คือ กลุ่มสารที่เด่นในแง่ของการให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) และดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง ซึ่งเลือกเบลนด์กันมาหลายตัว ได้แก่

  • Acetyl dipeptide-1 cetyl ester เป็นเปปไทด์ที่เด่นเรื่องการดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว เหมือนเป็นเปปไทด์สามัญประจำบ้านของ Pimprove น้องมีการศึกษารองรับในอาสาสมัคร โดยให้อาสาสมัครทา Capsaicin เพื่อเกิดการระคายเคือง แล้วทาผลิตภัณฑ์ที่มีสารตัวนี้ลงไป พบว่า สารนี้สามารถลดการระคายเคืองและความรู้สึกแสบร้อนที่เกิดขึ้น (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:18-20.)
  • สารสกัดจากเมล็ด Linseed ทางผู้ผลิตวัตถุดิบจากเกาหลีแนะนำว่ามีคุณสมบัติในเชิงการลดการอักเสบระคายเคืองผิว
  • ส่วนสารสกัดจากเมล็ด Celery ก็มีข้อมูลว่าประกอบด้วยสารในกลุ่ม Bioflavonoid ที่ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง
  • ปิดท้ายด้วย Azulene ซึ่งเป็นสารสีน้ำเงินที่พบได้ในพืชหลายชนิด รวมทั้งคาโมมายล์ มีความเด่นในแง่ของการลดการอักเสบระคายเคือง และรอยแดง เป็น Antioxidant ได้บ้าง ประกบมากับสารสกัดจาก Chamomile ก็ดูแลเรื่องการระคายเคืองไปอีก 1 กรุบ

ซึ่งคอนเซปท์ก็คือ คนที่ต้องใช้ยาสิวมักจะพบกับการระคายเคืองจากยาสิวอยู่แล้ว สกินแคร์ที่ใช้ถ้าดูแลเรื่องการระคายเคืองได้ก็น่าจะดี

ส่วน Arginine กับ Hyaluronic acid ก็ดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผ่านการเติมน้ำให้ผิว

และยังมี Dimethyl isosorbide เป็น Penetration enhancer ที่เสริมการดูดซึมของสารอื่น อาจจะมีประโยชน์ในเรื่องการช่วยนำส่งสารเข้าไปในบริเวณที่มีการอุดตันของรูขุมขน

มาในเบสแบบน้ำนม และส่วนผสมอื่นๆ ในตำรับก็เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวตามสไตล์ Zeroid

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง หรือ Active สารที่ใส่มาเรียกได้ว่าเลือกมาได้ค่อนข้างดีสำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาสิว ทั้งลดการอุดตัน เสริมการสมานผิว และเสริมภูมิคุ้มกันให้ผิวผ่านกลไก Antimicrobial peptide ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อหลัก หรือ Base มาในเนื้อแบบน้ำนม พร้อมส่วนผสมที่เติมน้ำและทดแทนไขมันคืนให้ผิวไปพร้อมๆ กัน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่ง หรือ Additive ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเลยไม่มีจุดที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Zeroid สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันเลอค่ามาให้ได้รู้จักและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Zeroid โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ZeroidThailand

LazMall: https://s.lazada.co.th/s.9yQ8D

ShopeeMall: https://invl.io/clje6ix

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Zeroid การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

#ยืนหนึ่งผิวมันขาดน้ำ #ดูแลสิวผิวไม่เสีย

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินเอตัวดัง Liftactiv retinol serum จาก Vichy ที่พัฒนามาด้วยส่วนผสมที่เสริมกันอย่างลงตัว

สำหรับคอนเท้นท์นี้จะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเรตินอลสุดปังจากฝรั่งเศสของแบรนด์ Vichy ที่มีชื่อว่า Liftactiv Retinol Specialist Deep Wrinkles Serum หรือ ที่มีชื่อย่อๆ ในวงการว่า Vichy Liftactiv Retinol Serum

ซึ่งตัวกล่องจะมีหน้าตาประมาณนี้

เวลาไปที่ร้านก็จะมีกล่องที่มีภาษาไทยหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง ประมาณนี้

ตัวแพคเกจจริงจะเป็นขวดแก้วสีขาวทึบแสง เวลาซื้อมาทางแบรนด์จะแยกหัวหยดไว้ให้เราประกอบเองค่ะ

พอประกอบแล้วจะได้หน้าตาประมาณนี้

เราสามารถที่จะบีบๆ ตรงปากหัวหยด เพื่อช่วยให้เนื้อเซรั่มไหลออกมาได้ง่ายขึ้น ปริมาณที่แนะนำในการใช้จากทางแบรนด์ก็คือ ประมาณ 2 – 3 หยด ทาเฉพาะตอนก่อนนอน และในช่วงกลางวันให้ใช้กันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 เพราะจะได้ป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจนเกิดริ้วรอย หรือ จุดด่างดำ

เนื้อของผลิตภัณฑ์มาในรูปแบบน้ำนม ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสเบา สบายผิว ไม่เหนอะหนะ แต่ยังคงความชุ่มชื้นเอาไว้

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 6 – 7

สำหรับท่านที่ไม่เคยใช้เรตินอลมาก่อน ทางแบรนด์ก็แนะนำว่า ให้ค่อยๆ ปรับการใช้

  • สัปดาห์แรก ใช้ 2 ครั้ง/สัปดาห์
  • สัปดาห์ต่อมา ใช้วันเว้นวัน
  • สัปดาห์ที่ 3 ใช้ทุกวัน

ซึ่งเราก็สามารถปรับได้ตามความเหมาะสมค่ะ เช่น ถ้า ใช้วันเว้นวันแล้วรู้สึกผิวแดง เคืองผิว เราก็ลดความถี่ในการใช้ลงแล้วค่อยๆ ปรับเพิ่ม เพื่อให้ผิวเราปรับตัวและชินกับเรตินอล

หรืออาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งที่ทางแบรนด์แนะนำ คือ การใช้ Sandwich Technique (ทา moisturizer ที่ใช้เป็นประจำก่อน – ทา retinol serum – ทา moisturizer ตบท้าย) หรือ ลงพรีเซรั่มก่อนใช้เซรั่มเรตินอล

ซึ่งส่วนตัวเป็นคนที่ใช้เรตินอลเป็นประจำอยู่แล้ว เลยใช้แทนตัวที่ใช้อยู่ได้เลย เมื่อใช้ของ Vichy ชิ้นนี้เลยรู้สึกว่าเขาทำมาดีเหมือนกันค่ะ

สำหรับส่วนผสมจะเป็นดังนี้ค่ะ

ทางเพจได้จัดหมวดหมู่ของสารบำรุงผิวและสารอื่นๆ ไว้เป็นกลุ่มสี

สำหรับพระเอกของผลิตภัณฑ์ ก็คือ Retinol เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ ซึ่งทางแบรนด์ใช้ที่ความเข้มข้น 0.2% โดยทางแบรนด์เคลมว่า เป็นความเข้มข้นที่ให้ประสิทธิภาพดี แต่ยังคงความอ่อนโยนเอาไว้ ไม่ระคายเคืองมากจนเกินไป (ปกตินิยมใช้ที่ 0.1 – 0.3% แม้ว่าการเพิ่มความเข้มข้นมีแนวโน้มว่าจะให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น แต่ยิ่งความเข้มข้นสูง ก็จะมีโอกาสในการเกิดการระคายเคืองสูงกว่า)

ประโยชน์ของ Retinol นั้นเรียกได้ว่ามีมากมายหลายอย่าง เด่นไปในทางด้านของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย และดูแลเรื่องผิวไม่กระชับ ตัวน้องจะออกฤทธิ์ที่หลายระดับชั้นผิว จึงให้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งในแง่ของการปรับสมดุลการสร้าง-แบ่งตัว-เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่และการผลัดออกของผิวในหนังกำพร้า เสริมการสร้างพวกเส้นใยไฟเบอร์ต่างๆ ที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในชั้นหนังแท้ รวมถึงไปลดการสังเคราะห์เอนไซม์ MMP ที่ไปทำลายคอลลาเจน

ตามทฤษฎีแล้ว Retinol นี่ถือว่าเป็นสารที่วงการแพทย์ยอมรับตัวหนึ่งในด้านของการเป็น Anti-aging ดูแลเรื่องผิวไม่กระชับ หย่อนคล้อย ริ้วรอย

ในวงการทางผิวหนังมีการศึกษาประสิทธิภาพของ Retinol อยู่หลายชิ้นงานเหมือนกัน ขอหยิบยกมาเล่า 2 ชิ้น ที่คิดว่าน่าสนใจ

การทดสอบแรกของ Kong และคณะ เมื่อปี 2016 ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Cosmetic Dermatology มี 2 การทดลองย่อย

  • งานแรกทดสอบประสิทธิภาพของเรตินอล 0.1% เทียบกับกรดวิตามินเอ 0.1% โดยให้อาสาสมัคร 6 คน (ชาย 3 หญิง 3) ทาบริเวณแขน แล้วเก็บชิ้นเนื้อมาตรวจ พบว่าผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหนาตัวขึ้น และปริมาณยีนที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจนมีมากขึ้น (คือ มีการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน) ทั้งบริเวณที่ทาด้วยเรตินอล และกรดวิตามินเอ
  • งานถัดมาทดสอบประสิทธิภาพของเรตินอล 0.1% ในอาสาสมัครหญิง อายุระหว่าง 35 – 55 ปี จำนวน 41 คน โดยให้ทา Retinol วันเว้นวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ และทาทุกวันอีก 10 อาทิตย์ พบว่าริ้วรอยจางลง และริ้วรอยที่มีอยู่ตื้นขึ้น

(Ref: Kong et al., J Cosmet Dermatol. 2016;15(1):49-57.)

อีกการทดสอบหนึ่งที่ตนเองคิดว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน คือ การทดสอบของ Shao และคณะ เมื่อปี 2017 ตีพิมพ์ลงในวารสาร International Journal of Cosmetic Science ใช้อาสาสมัครที่มีอายุเฉลี่ย 76 ปี จำนวน 12 คน ให้ทาเรตินอล 0.4% ลงบริเวณก้น ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่โดนแสงเลย เป็นเวลา 7 วัน เทียบกับผลิตภัณฑ์เบส เพื่อตัดผลรบกวนจาก UV ในการศึกษาประสิทธิภาพด้าน Anti-aging ของเรตินอล

พบว่า

  • ผิวหนังชั้น Epidermis (หนังกำพร้า) มีความหนาตัวเพิ่มขึ้น โดยมีการแบ่งตัวของเซลล์ Keratinocyte เพิ่มขึ้น
  • ปริมาณเส้นใย Extracelular matrix (ECM) ในชั้นหนังแท้เพิ่มขึ้น โดยไปกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้าง collagen, fibronectin และ elastin ออกมา
  • การไหลเวียนของเลือดมาเลี้ยงผิวดีขึ้น ผ่านการกระตุ้นการสร้างเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด (Endothelial cells)

(Ref: Shao et al., Int J Cosmet Sci. 2017;39(1):56-65.)

ผลของ Retinol ที่ระดับชั้นหนังกำพร้า จะสามารถเห็นได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน และผลที่หนังแท้ จะใช้เวลานานกว่านั้น อยู่ในช่วงเดือน หรือระดับหลายเดือน ซึ่งตรงนี้ก็ตรงกับที่แบรนด์เคลม คือ รู้สึกได้ตั้งแต่เดือนแรกที่ใช้

แต่ต้องระวังเรื่องของความไวต่อแสง ดังนั้นจึงต้องทากันแดดทุกเช้า

สำหรับเรื่องของผลของสาร Retinol ต่อทารกในครรภ์นั้น แม้ว่าข้อมูลจะไม่ได้ชัดเจน 100% ว่าเป็นพิษต่อทารกในครรภ์แบบกรดวิตามินเอ ที่ชื่อ Tretinoin หญิงตั้งครรภ์ หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ก็ไม่ควรใช้อยู่ดี

สารบำรุงอื่นที่เสริมมาแล้วมีความเด่นในเรื่องริ้วรอยไม่แพ้กัน คือ ตัวผสมของเปปไทด์ 2 ชนิด Palmitoyl tetrapeptide-7 กับ Palmitoyl tripeptide-1 เป็นตัวผสมที่รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า MatrixylTM 3000 เป็นการเลือกใช้เปปไทด์ที่เป็นสารในกลุ่ม Matrikine (หรือ Messenger peptide) เบลนด์กัน 2 ชนิด ที่เน้นฟื้นฟูปัญหาริ้วรอยที่เกิดตามอายุ

  • การทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า เสริมการสังเคราะห์เส้นใยที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในกลุ่มของ Collagen Type 1, Fibronectin และ Hyaluronic acid ที่ Dermis และปกป้องไม่ให้เส้นใยเหล่านี้ถูกทำลาย
  • การทดสอบในผิวหนังที่เลี้ยงในหลอดทดลอง พบว่า ช่วยปรับสมดุลและสัดส่วนของเส้นใย ECM ในผิวที่ Aging ไปแล้ว ให้มีสัดส่วนกลับมาคล้ายกับผิวที่ยังเยาว์
  • การทดสอบในอาสาสมัคร พบว่ามีประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย

Probiotic fractions ที่เป็นสิทธิบัตรของทาง Vichy (Vitreoscilla ferment) ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการปรับสมดุลไมโครไบโอมให้ผิวมีสุขภาพดี ยังมีการทดสอบโดยทางแบรนด์พบว่ามีคุณสมบัติในการผลัดผิวอ่อนๆ และช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)

สามารถสรุปกลไกการออกฤทธิ์ของสารบำรุงในตำรับได้เป็นดังภาพนี้

นอกจากสารบำรุงหลักแล้ว ในผลิตภัณฑ์ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่ด้วย

มีสารอีกตัวที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) คือ Hydroxyacetophenone ตัวนี้เป็นสาร Antioxidant ในกลุ่มฟีนอลิกที่ได้จากการสังเคราะห์ ซึ่งนอกจากปกป้องสารในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพไปแล้ว น้องยังมีคุณสมบัติในแง่ของการให้ความรู้สึกสบายผิวมาพร้อมๆ กัน

เติมน้ำให้ผิวต่ออีก 1 Step ด้วย Sodium hyaluronate และ Hydrolyzed rice protein และมีน้ำมันจากถั่วเหลือง ซึ่งให้ความชุ่มชื้นและทดแทนไขมันจำเป็นคืนให้แก่ผิว

เสริมมาด้วย Antioxidant อย่างวิตามินอี และ สารที่มีชื่อว่า Pentaerythrityl tetra-di-t-butyl hydroxyhydrocinnamate ตัวนี้รู้จักกันในชื่อ Tinoguard® TT ที่เป็น Antioxidant กลุ่มฟีนอลิกสังเคราะห์เช่นกัน ทำหน้าที่ปกป้องสารในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพ

การใช้ Antioxidant มาเสริมกันเพื่อปกป้องวิตามินเอ (เรตินอล) ไม่ให้เสื่อมสภาพของทางแบรนด์ ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Retinol guard™ ที่คงความสเถียรของเรตินอลได้เป็นอย่างดี ไม่เสื่อมสลายก่อนจะมาถึงผิวเรา

ส่วนของเบส เป็นเบสแบบน้ำนม ที่เลือกใช้กลุ่มของ สารไขมันที่มีความบางเบา แต่ก็คงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ และส่วนผสมอื่นๆ ก็เลือกมาได้เป็นอย่างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง นอกจากวิตามินเอ รูปแบบ Retinol ที่เด่นในแง่ของการดูแลริ้วรอย ปัญหาผิวหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น (Aging skin) แล้ว ยังเสริมมาด้วย Peptide ที่โดดเด่นในแง่ของการดูแล Aging skin ไปพร้อมๆ กัน ดูแลปัญหาการระคายเคือง ด้วย Probiotic fraction และ Hydroxyacetophenone เติมน้ำ และทดแทนไขมันธรรมชาติคืนให้สู่ผิวไปพร้อมๆ กัน จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี สำหรับเซรั่มวิตามินเอ Vichy Liftactive ตัวนี้ จึงขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในส่วนของเบส นั้นเลือกใช้สารกลุ่มน้ำมันที่มีเนื้อบางเบา และมีการใช้สารเสริมเข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพของเรตินอล และดูแลเรื่องการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว แต่มีแอลกอฮอล์ติดมาอยู่นิดหน่อย จึงขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวเป็นคนที่ใช้วิตามินเอ มาหลายปี จึงหยุดตัวเก่า แล้วใช้ตัวใหม่นี้เลย โดยใช้ทุกวัน ก็ไม่ได้พบปัญหาระคายเคือง หรือความรู้สึกไม่สบายผิวแต่อย่างใด แม้จะมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ แต่ตัวเองก็คิดว่า สารไขมันอื่นในเบสนั้นยังดูแลเรื่องความชุ่มชื้นได้อยู่ ในส่วนของความเรียบเนียน การแต่งหน้าติดทนนานมากขึ้น ถือว่าน้องทำมาได้ตอบโจทย์ สำหรับเรื่องของริ้วรอย ตอนนี้ยังไม่ได้มีปัญหาริ้วรอยทั้งแบบลึกแบบตื้น แบบจริงจัง จึงอาจจะยังตอบแบบฟันธงไม่ได้ แต่ถ้าเอาตามความรู้สึกคือความแน่น เฟิร์ม จับๆ กดๆ แล้วรู้สึกเด้งไม่กลวงไม่เละ อันนี้คิดว่าทำมาได้ดี ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Vichy ประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตาและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/VichyTH/

ส่วนใครที่คันไม้คันมือแล้วอยากช็อปปิ้ง เรียนเชิญได้ตามช่องทางที่สะดวกเลยค่ะ

LazMall: https://invol.co/cljetlk

Shopee Mall: https://invl.io/cljetlr

Watsons: https://invol.co/cljetmc

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Vichy ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ