[Full Review] Osmosis enlighten

[Full Review] Osmosis enlighten

วันนี้มี่จะมารีวิวผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากแบรนด์ Osmosis ต่อจากวันก่อนนะคะ

ซึ่งตัวที่มี่ได้มามีทั้งหมด 3 ตัวค่ะ

IMG_4293-re

ตัวแรก Renew vitamin A serum มี่รีวิวไว้แล้วใน Blog post เมื่อวันก่อนค่ะ

Link: https://cosmeknowledge.wordpress.com/2015/06/30/full-review-osmosis-renew/

วันนี้มาดูตัวที่สอง เป็น ซีรัมเพื่อผิวขาวที่มีชื่อว่า Enlighten ค่ะ

IMG_4294-re

ทวนอีกรอบนะคะ แบรนด์ Osmosis มีคอนเซปท์สวยๆว่า “Beautiful skin starts within”

แปลว่า ผิวสวยต้องเริ่มจากภายใน แปลแบบสวยๆละเอียดๆก็คือ ต้องบำรุงผิวจากภายใน ถึงจะสวย

ผลิตภัณฑ์นี้ใช้เทคโนโลยีไลโปโซม เพื่อเพิ่มการดูดซึมของสารเข้าผิวค่ะ

ไลโปโซมคืออะไร??? ทบทวนกันอีกรอบนะคะ

ไลโปโซมเป็นรูปแบบนำส่งสารรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นผนังสองชั้น ซึ่งจะเหมือนกับผิวหนังของเราเลย ทำให้ระบบไลโปโซมหลอกผิวหนังเราว่าเป็นพวกเดียวกัน ผิวหนังก็เลยปล่อยให้ไลโปโซมผ่านได้ ลองดูรูปตรงนี้ดูค่ะ

liposome

(Image source: Osmosis Skincare Manual, 2015.)

แบรนด์นี้จะเน้นไปที่สารสกัดและสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติ สารองค์ประกอบต่างๆก็ไม่ได้ใส่มาเยอะกันจนมากเกินไป จึงเสี่ยงแพ้น้อยกว่านั้นเองค่ะ แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมทดสอบการแพ้ก่อนการใช้งานนะคะ เพราะการแพ้เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ บทจะแพ้ แค่น้ำเปล่าก็ยังแพ้ได้เลยค่ะ

มาดูเนื้อผลิตภัณฑ์กันก่อนดีกว่านะคะ ตัวซีรัมเป็นเนื้อสีน้ำตาลอมส้ม เกลี่ยค่อนข้างง่าย ดูดซึมค่อนข้างไว มีกลิ่นหอมๆเหมือนแนวสมุนไพรเย็นๆผสมพวกดอกไม้ค่ะ

IMG_4299-re

ถึงแม้ตอนทาใหม่ๆจะดูเหมือนเหลือง แต่พอทิ้งไว้ซักห้านาทีก็จะกลืนไปกับผิวค่ะ

IMG_4300-re-horz

มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

สผส enlighten

จากส่วนผสมจะเห็นได้เลยว่า Niacinamide มาเป็นอันดับที่สามเลย ก่อน Propanediol กับ Glycerin ที่เป็นสารดูดน้ำเสียอีก ส่วนผสมอื่นๆก็เน้นไปที่ไวท์เทนนิ่ง ซึ่งก็ออกฤทธิ์ที่หลายๆกลไก และค่อนข้างครอบคลุมในทุกขั้นตอนของการสร้างสีผิวเลยทีเดียวค่ะ

ส่วนของ Phosphatidylcholine ที่ทำไฮไลต์สีเขียวไว้เพราะสารนี้สามารถเรียงตัวเป็นไลโบไซมและเก็บกักเอาสารอื่นๆไว้ เพื่อนำส่งเข้าไปในผิวได้มากขึ้น

เรามาดูบทวิเคราะห์แบบละเอียดๆเลยดีกว่าค่ะ

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้

3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

คุณสมบัติของส่วนผสมต่างๆแยกตามหน้าที่

1.Actives ได้แก่

-Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)

-Epilobium angustifolium extract สารสกัดจาก Willow herb มีรายงายเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ (Curr Drug Targets. 2013; 14(9):986-91.) ฤทธิ์ในการปกป้องคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี UV และช่วยให้เซลล์ Fibroblast ที่สร้างคอลลาเจนมีชีวิตยืนยาวขึ้น (ปกติคนที่อายุเพิ่มขึ้นเซลล์พวกนี้จะค่อยๆหายไป) (Gen Physiol Biophys. 2013; 32(3):347-59.) สารประกอบ Oenothein B ที่พบในพืชนี้มีประโยชน์เป็น Anti-oxidant และ ลดการอักเสบในผิวที่ดี (Phytomedicine. 2011; 18(7):557-60.) และยังมีฟลาโวนอยด์อื่นๆที่เคยมีรายงานว่าสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้ สารสกัดนี้ทางแบรนด์ Claim ว่า ลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ ให้ความรู้สึกสบายผิว และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งตรงกับที่พบในวารสารวิชาการเลย

-Undecylenoyl phenylalanine มีชื่อทางการค้าว่า Sepiwhite MSH ของบริษัท Seppic มีประโยชน์เป็น Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ซึ่งปกติมีหน้าที่กระตุ้นให้ไทโรซิเนสทำงาน ให้มีการสร้างเมลานินมากขึ้น และไปควบคุมกระบวนการ Melanosome transfer ซึ่งเป็นกระบวนการสุดท้ายที่เอาเมลานินที่สร้างเสร็จเข้าสู่เซลล์ผิวและเห็นเป็นสีผิว ตัวนี้มีเทคโนโลยี Vectorized amino acid ที่เอากรดอะมิโนมาจับกับโครงสร้างอื่นที่เป็นสายยาวๆ เพื่อให้โมเลกุลละลายในไขมันได้มากขึ้น เพิ่มความคงตัวและการดูดซึมเข้าผิว ข้อมูลจากบริษัท ชี้ว่า มีประสิทธิภาพสูงมากในการยับยั้งกระบวนการสร้างเมลานินแบบครบวงจรเมื่อยืนยันกับข้อมูลจากงานวิจัยสองฉบับ คือ J Cosmet Dermatol. 2009;8(4):260-6. ทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าประสิทธิภาพในการช่วยให้ผิวขาวจะดีขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ Niacinamide กับอีกงานวิจัยที่ทดสอบกับอาสาสมัคร เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ามีประสิทธิภาพทำให้จุดด่างดำต่างๆจางลง (Clin Exp Dermatol. 2010;35(5):473-6) ก็ตรงตามกับที่ทางแบรนด์ Claim เช่นกัน

-Mandelic acid สารในกลุ่ม AHA ชนิดหนึ่ง พบใน Almond ให้ผลผลัดเซลล์ผิว มีคุณสมบัติพิเศษคือช่วยลดการอักเสบ และระงับเชื้อแบคทีเรียบางชนิดได้ด้วย การทดสอบในอาสาสมัครพบว่าสารนี้ให้ผลช่วยลดริ้วรอยที่เกิดจากการแก่ก่อนวัยได้ดี ลดการเกิดสิว ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ (Cosmetic Derm. 1999;June:26-28)

-Nonapeptide-1 มีชื่อทางการค้าว่า Melanostatin 5 เป็นเปปไทด์ที่ออกฤทธิ์ต่อต้านฮอร์โมน MSH (Melanocyte stimulating hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นเซลล์ที่ชื่อ Melanocyte ให้เกิดการสร้างเมลานินออกมา จึงเป็นการตัดการสังเคราะห์เม็ดสีที่ต้นตอ

-Rumex occidentalis extract สารสกัดจากพืชชนิดหนึ่งในอเมริกาเหนือ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารนี้ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ได้แรงกว่า Arbutin และ Hydroquinone และให้ผลลดรอยแดงได้ด้วย (ข้อมูลจาก Tyrostat ของ Lucas Meyer Cosmetics)

-Aminobutyric acid เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่ร่างกายสร้างขึ้น สารนี้ในรูปแบบของ Gamma-aminobutyric acid (GABA) เป็นสารสื่อประสาทที่สร้างในสมอง ทำหน้าที่เป็นตัวระงับการทำงานที่มากเกินไป การใช้รูปแบบทาภายนอกมีรายงานกล่าวว่า สามารถฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหายไปได้ (J Invest Dermatol. 2002;119(5):1041-7.) ลดการอักเสบ และช่วยเร่งการสมานแผล (J Microbiol Biotechnol. 2007;17(10):1661-9.) ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าการใช้ GABA ในเครื่องสำอางสำหรับทาภายนอก จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ ให้ผลคล้าย Botox ได้ แต่ยังไม่มีรายงานการวิจัยรองรับ และสารนี้สามารถกดการสร้างเมลานินได้โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase

-L-lactic acid เป็นกรด Lactic ชนิดที่ Active ให้ผลผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย และกระตุ้นการสร้าง Ceramide ในผิวได้ ทำให้ Barrier ผิวแข็งแรงขึ้น

-Arctostaphylos uva-ursi leaf extract สารสกัดจาก Bearberry ส่วนของใบมีรายงานว่ามีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด มีรายงานว่าส่วนของเปลือกและใบพบสาร Arbutin ที่มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase (Phytochem Anal. 2009;20(5):416-20.)

-Prunus serotina bark extract สารสกัดจากเปลือกต้นเชอร์รี่ป่า มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ให้ความรู้สึกสบายผิว เป็น Antioxidant ที่ดี และช่วยกระชับรูขุมขนได้

-D-alpha-Tocopherol เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินอี มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant แต่ส่วนมากจะให้ผลแค่ปกป้องสารในผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสลายไปเพราะอากาศ ไม่ค่อยเหลือถึงผิวหนัง

-Phenylethyl resorcinol อนุพันธ์ของ Resorcinol มีชื่อทางการค้าว่า Symwhite 377 มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวขาวผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเมลานิน และเป็น Antioxidant ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารนี้ให้ผลเป็น Whitening ได้ดีกว่า Beta-arbutin 100 เท่า (แต่ปกติ Beta-arbutin ก็มีฤทธิ์น้อยอยู่แล้ว) การศึกษาในอาสาสมัคร เมื่อใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้กับสาร Whitening อื่นๆ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าผิวขาวขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2013;12(1):12-7.) ช่วยลดรอยฝ้าในอาสาสมัครได้ (J Cosmet Dermatol. 2011;10(3):189-96.)

-Beta-glucan สารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ มีประโยชน์เรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ เป็นแหล่งอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ดีๆบนผิว ช่วยให้พวกนี้เจริญเติบโตเพื่อมาคอยปกป้องจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของผิวหนัง และช่วยลดริ้วรอย

-Lonicera japonica กับ Lonicera caprifolium extract สารสกัดจากดอก Honeysuckle เป็นสูตรผสมของสารกันเสียจากธรรมชาติ ให้ผลปกป้องผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะจุลินทรีย์ มีความปลอดภัยสูงกว่าสารกันเสียสังเคราะห์หลายๆตัว

2.Base มีทั้งส่วนผสมของน้ำและน้ำมัน ดังนี้

2.1ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Propanediol และ Glycerin ตัวของ Propanediol นี้เป็นสารดูดน้ำให้ผิว ผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าสารนี้มีความเป็นมิตรกับผิวที่สูงมาก ไม่ทำให้ระคายเคืองเหมือนพวก Propylene glycol อีกจุดที่แบรนด์นี้มีชื่อคือ การปรับความถี่ของน้ำ (Harmonized water) ให้เกิดการ Resonance กับผิวพอดี ส่งผลให้กระบวนการทำงานบางอย่างของผิวดีขึ้น

2.2ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Soybean oil, Capric/caprylic triglycerides และ Phosphatidylcholine สารตัวนี้เป็น Phospholipids ที่สามารถซ่อมแซมเยื่อเมมเบรนผิวที่เสียหาย และยังสามารถสร้างตัวเป็นระบบนำส่งที่ชื่อ Liposome ที่มีโครงสร้างเป็นผนังสองชั้นเพื่อนำส่งสารเข้าไปในผิวได้ดีขึ้น

3.Additives ได้แก่

3.1Emulsifier/Surfactant ได้แก่ Polyglyceryl-4 caprate มีความอ่อนโยนสูง ช่วยผสานสารน้ำมันให้เข้ากับน้ำได้ และสามารถเพิ่มความหนืดได้

3.2สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Dextran เป็นคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ นอกจากเพิ่มความหนืดยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเคลือบผิวให้สัมผัสที่ดี ร่วมกับ Xanthan gum

3.3สารปรับ pH ได้แก่ Sodium hydroxide ถึงแม้ว่าเราจะเห็นสารนี้ แต่ก็ไม่ต้องวิตกตื่นตระหนกอะไรไป เพราะเขาใส่มาแค่นิดเดียว แค่ปรับ pH ให้เหมาะสมเฉยๆ ไม่มีอันตรายกับผิว

3.4น้ำมันหอมระเหย และ สารหอม ได้แก่ น้ำมันหอมระเหยจาก Lavender, Sandalwood และ Ylang ylang น้ำมันหอมระเหยพวกนี้ในทางสุคนธบำบัด (Aromatherapy) จะมีคุณสมบัติพิเศษเสริมมา แต่ทางเครื่องสำอางส่วนมากจะมองเรื่องการแต่งกลิ่น กับคุณสมบัติระงับเชื้อจุลินทรีย์ ร่วมกับ Benzyl alcohol ที่มีกลิ่นหอม และมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อได้

3.5Preservatives ได้แก่ สารสกัดจากดอกสายน้ำผึ้งกับ Benzyl alcohol

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives จะเห็นได้ว่าสารที่ใส่มามีคุณสมบัติต่อต้านการสร้างเม็ดสีได้หลาย Step ตั้งแต่เบื้องบน ยันกันไม่ให้ส่งออกไป แถมสารที่ใช้ยังเสริมคุณสมบัติดีๆอย่าง Antioxidant พวกตัวลดอักเสบ และช่วยเรื่องสิวได้ดี มี Moistutizer อยู่นิดๆ โดยรวมถือว่ามีครบถ้วน และทำออกมาได้ค่อนข้างดี จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

2.Base ผลิตภัณฑ์นี้ไม่มีแอลกอฮอล์ ไม่มีซิลิโคน มีส่วนผสมของสารดูดน้ำให้ผิวอยู่ 2 ตัว คือ Propanediol กับ Glycerin ส่วนของน้ำมันจากธรรมชาติ ที่ดูดซึมเข้าไปทดแทนไขมันในผิวได้ แต่โดยรวมยังขาดสารไขมันเคลือบผิวอยู่ จึงขอให้ 4 ฟลาสก์

3.Additives สารองค์ประกอบที่ใช้ถือว่าเลือกมาได้ค่อนข้างดี ทั้งคอนเซปท์ความเป็น Natural คือ Natural ตั้งแต่สารแต่งกลิ่น ยัน สารกันเสีย และสารเพิ่มความหนืดเลยทีเดียว ส่วนผสมชุดนี้ไม่มีพาราเบน และไม่มีซิลิโคน โดยรวมก็คือถือว่าทำมาได้ดี ไม่รู้จะหักคะแนนอะไรก็เอาไป 5 ฟลาสก์เช่นกัน

4.การใช้งาน หลังจากได้ลองใช้มาเกือบ 3 อาทิตย์ ก็มีคนทักนะว่าหน้าดูกระจ่างขึ้น แต่ก็ไม่รู้ว่าเค้ายอเล่นๆ หรือเค้าชมจริงๆ เพราะเราก็อยู่กับหน้าเราทุกวัน แต่ที่เห็นชัดเลยคือ ผิวจะเรียบขึ้น และสีผิวดูสม่ำเสมอมากขึ้นค่ะ ถึงแม้ว่าเนื้อมันจะเหลือง แต่ทาไว้ซักพักสีมันก็จะกลืนไปกับผิวเรา จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์ค่ะ

คะแนน enlighten

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณบริษัท DermaMD ที่ส่งเวชสำอางดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีมาให้มี่ได้ทดลองใช้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ทางเวบไซต์ http://www.dermskinstore.com/

หรือแฟนเพจของ Osmosis Thailand ที่ https://www.facebook.com/osmosispurmedicalskincarethailand ได้เลยนะคะ

ขอบคุณที่รับชมมาจนจบค่ะ

[Cosme-Diagnosis] Scaderm Plus

[Cosme-Diagnosis] Scaderm Plus

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่แวะมารีวิวเจลหอยทากแต้มสิวลดรอยแผลเป็น ผลิตภัณฑ์คุณภาพ เป็นเครื่องสำอางของไทย สั่งผลิตโดยบริษัทยานะคะ

ขึ้นชื่อว่าบริษัทยาเป็นคนสั่งผลิต ก็น่าจะเชื่อใจได้ในเรื่องของคุณภาพแล้วในระดับหนึ่ง

ผลิตภัณฑ์วันนี้มีชื่อว่า Scaderm Plus จากบริษัท Pharmahof ค่ะ

scd 1-re

เนื้อเจลจะเป็นเจลเกือบจะใส แต่ไม่ใสทีเดียว เรียกได้ว่าโปร่งแสงค่ะ (ทางเภสัชกรรมจะเรียกลักษณะแบบนี้ว่า Translucent คือ โปร่งแสง ไม่ใช่โปรงใส หรือ Transparent ค่ะ)

กะจะพยายามซูมให้เห็นความโปร่งแสงของเนื้อเจลค่ะ แต่ได้แค่นี้นะ คือมันจะไม่ได้ขุ่นแบบครีม แต่ก็ไม่ได้ใส มันจะมีซัมติงอยู่ค่ะ

scd 3-re

ลักษณะแบบโปร่งแสงนี้มันสื่ออะไรได้หลายๆอย่าง เช่น ระบบนำส่งและเทคโนโลยีบางชนิด เมื่อใส่ลงมาในผลิตภัณฑ์เช่น เจล หรือโทนเนอร์ จะทำให้ผลิตภัณฑ์จากใสๆ กลายเป็นโปร่งแสงค่ะ หรือไม่ก็อาจจะเป็นแค่ส่วนผสมของน้ำกับน้ำมัน ที่ปกติมันจะเป็นน้ำนม แต่พอเราเติมสารทำให้ใสเข้ามา (ในที่นี้คือ PEG-49 Hydrogenated castor oil) หยดน้ำมันในส่วนผสมก็จะเล็กลง ถูกสารทำให้ใสเก็บกักไว้ ก็จะได้ลักษณะโปร่งแสงได้เหมือนกันค่ะ

ก็จะไปตรงกับคำโปรย คือ “Nanosphere” ที่บรรจุวิตามิน A C E F

ว่าแต่เจ้า Nanosphere นี้คืออะไร?

Nanosphere นี้เป็นระบบนำส่งรูปแบบหนึ่ง ที่เป็นอนุภาคทรงกลม เป็นของแข็ง ขนาดมีได้ตั้งแต่ 0.1 – 100 ไมครอน สามารถเก็บกักสารไว้ได้ภายใน ประโยชน์ของมันก็คือ ช่วยเพิ่มความคงตัวของสาร ช่วยเพิ่มการกระจายในผลิตภัณฑ์ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น และก็ช่วยเรื่องการค่อยๆปลดปล่อยสารออกมาช้าๆ ทีละนิดๆ เพื่อให้สารสัมผัสผิวได้นานกว่า

วิตามินแต่ละตัวเป็นอย่างไร เดี๋ยวไปดูในส่วนของตอนวิเคราะห์สูตรนะคะ

หลายๆคน อาจจะยังไม่รู้จักวิตามิน F ว่ามันคืออะไร

มีหลายๆกระแสค่ะ บางกระแสก็บอกว่า วิตามิน F คือกรดไขมัน (Fatty acid) บางกระแสก็บอกว่า วิตามิน F คือ Linoleic acid ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่มีความสำคัญต่อผิว ตัวนี้จะเป็นส่วนหนึ่งของ Ceramide 1 ที่ทำหน้าที่ช่วยเรื่อง Barrier ผิวค่ะ

ลองมาดูเนื้อสัมผัสกันดูดีกว่านะคะscd 2-re

scd 7-re

ตัวนี้เวลามันแห้ง มันจะไม่ได้แห้งสนิทซะทีเดียว มันจะมีฟิล์มหนึบๆ เคลือบอยู่บนผิว แต่ไม่ได้มัน ไม่ได้เหนอะหนะ แล้วก็มองไม่เห็นค่ะ

ส่วนกลิ่น ตอนแรกเห็นว่ามีสารสกัดหัวหอมอยู่ 12% ก็นึกว่าจะเหม็นหัวหอมเหมือนที่เคยรู้สึก แต่อันนี้ไม่เลย กลิ่นหัวหอมจางมาก มีกลิ่นหอมอ่อนๆ แทนค่ะ (ใช้น้ำหอมแต่งกลิ่น)

ตามทฤษฎี บอกว่า การที่มีฟิล์มหรืออะไรไปกดทับแผลเป็นนูนอยู่ มันจะช่วยให้แผลเป็นยุบตัวลงไวขึ้นค่ะ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5-6 ก็โอเคค่ะ ใกล้เคียงกับผิวดี

IMG_1182-re

ก่อนจะไปดูส่วนผสม เราลองมาดูหลักการและทฤษฎีก่อนซักนิดนะคะ เรียกได้ว่าถ้าไม่มีหลักการ ไม่มีวิทย์นี่ ถือว่ามี่ไม่ได้มาเองค่ะ

เวลาผิวหนังบาดเจ็บ/มีบาดแผลก็จะเกิดการซ่อมแซม ซึ่งก็จะมีด้วยกัน 3 ขั้นตอนหลักๆ คือ ขั้นตอนการอักเสบของผิว (Inflammation) ขั้นตอนการสร้างเนื้อเยื่อ (Tissue formation) และขั้นตอนการปรับโครงสร้างเนื้อเยื่อ (Tissue remodeling)

ทั้งนี้ไม่ใช่ทุกคนจะเป็นแผลเป็น ซึ่งการเดาว่าใครจะเป็นหรือไม่เป็นแผลเป็นเองก็ยังไม่ทราบแน่ชัด และทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุกรรมด้วย

การดูแลแผลเป็นที่เราสามารถทำได้เองก็จะมี การทาผลิตภัณฑ์เพื่อลดรอยแผลเป็น และการใช้ซิลิโคนเจล มีรายงานการวิจัยหลายๆฉบับถกเถียงกันว่า ผลิตภัณฑ์ทาแผลเป็นให้ผลดีจริงหรือไม่ บางฉบับก็ทดสอบออกมาแล้วให้ผลไม่ดี บางฉบับก็ให้ผลดี ซึ่งมีงานวิจัยเชิงคลินิกชิ้นหนึ่งที่ทำในประเทศไทย ทดสอบในผู้หญิงผ่าท้องคลอดที่ทาเจลทดสอบที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหัวหอมเข้มข้น 12% เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ารอยแผลเป็นมีความนูนลดลง มีสีจางลง และมีความเจ็บปวดบริเวณแผลลดลง (Dermatol Res Pract. 2012; 2012:212945.)

เราก็เลยเห็นว่าพวกทาแผลเป็นในท้องตลาดนี่ ก็ใส่หัวหอมกันแทบทุกแบรนด์เลยทีเดียวเชียวค่ะ

และก็มีอีกหลายๆงานวิจัยที่บอกว่าสารสกัดจากใบบัวบกเองก็มีส่วนช่วยเรื่องแผลเป็นได้ดี

ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็นที่ดีควรจะมีอะไรบ้าง สรุปมาให้เป็นแผนภาพแล้วค่ะ

หลักการแผลเป็น

ลองมาดูส่วนผสมกันดูดีกว่านะคะ

Aqua, Allium cepa bulb extract, Glycerin, Centella asiatica extract, Aloe barbadensis leaf extract, Glyceryl linoleate, Snail secretion filtrate extract, Caprylyl glycol, Cyclopentasiloxane, Propylene glycol, Acrylate/C10-30 alkyl acrylates crosspolymer, Glycolipids, Panax ginseng root extract, Tocopheryl acetate, Triethanolamine, Dimethicone, Phenoxyethanol, Sodium ascorbyl phosphate, Sorbitol, Xanthan gum, Perfume, Allantoin, Disodium EDTA, PEG-40 hydrogenated castor oil, Polysorbate 20

ถ้าดูจากคำโปรย หัวหอม 12% หอยทาก 3% จะเห็นว่า สารสกัดของ บัวบก กับ ว่านหางจรเข้ ใส่มาค่อนข้างเยอะอยู่นะ

แต่เราก็พยายามมองแล้วมองอีก แต่เหมือนวิตเอ จะหายไปจากรายการส่วนผสม

ลองดูทีละองค์ประกอบดีกว่านะคะ

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้

3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

เรามาดูไปทีละส่วนนะคะ

1.Actives ได้แก่

-Allium cepa extract หรือ สารสกัดจากหัวหอม เรียกได้ว่าเป็นตัวชูโรงในเครื่องสำอางดูแลแผลเป็นเลยก็ว่าได้ สารสกัดจากหัวหอมมีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการสมานแผล ลดรอยแผลเป็น ทดสอบในผู้หญิงผ่าท้องคลอดที่ทาเจลทดสอบที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากหัวหอมเข้มข้น 12% เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่ารอยแผลเป็นมีความนูนลดลง มีสีจางลง และมีความเจ็บปวดบริเวณแผลลดลง (Dermatol Res Pract. 2012; 2012:212945.) นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ Antioxidant ฤทธิ์ต้านการอักเสบ และมีผลระงับเชื้อจุลินทรีย์บางชนิด

-Centella asiatica extract คือ สารสกัดจากบัวบก บัวบกเป็นพืชที่มีรายงานถึงฤทธิ์ทางชีวภาพไว้ค่อนข้างเยอะ ฤทธิ์ทางชีวภาพของบัวบกได้แก่ ฤทธิ์กระตุ้นการสมานแผล กระตุ้นการทำงานของเซลล์ Fibroblast กระตุ้นการสังเคราะห์ Collagen และ Fibronectin ในผิว ลดริ้วรอยที่เกิดก่อนวัย (เรียกริ้วรอยก่อนวัยว่า Photoaging) (Postepy Dermatol Alergol. 2013; 30(1):46-9.) ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ MMP, Hyaluronidase และ Elastase ที่เป็นเอนไซม์ที่ไปทำลาย Collagen, Hyaluronic acid และ Elastin ในผิวตามลำดับ (Postepy Dermatol Alergol. 2013; 30(1):46-9.) ปกป้องผิวไม่ให้ถูกทำลายโดยรังสี UV (Int J Mol Med. 2012; 30(5):1194-202.)

-Aloe barbadensis leaf extract คือ สารสกัดจากว่านหางจรเข้ มีรายงานการวิจัยกล่าวว่าสามารถออกฤทธิ์เป็นสารช่วยให้ผิวขาวได้โดยไปกระตุ้นให้เกิดกระบวนการ Melanin aggregation ทำให้สีผิวจางลง โดยตัวที่เป็นตัวออกฤทธิ์คือ Aloin ที่พบในใบ (Planta Med. 2012; 78(8):767-71.) การทดสอบผลของไลโปโซมที่บรรจุว่านหางจรเข้ต่อผิวหนังพบว่า มีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งเซลล์ผิวหนัง (Keratinocyte proliferation) และกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน (J Oleo Sci. 2009;58(12):643-50.)

-Snail secretion filtrate extract ส่วนที่ได้จากเมือกของหอยทาก ที่ Claim ว่ามีโปรตีนหลายชนิด มีประสิทธิภาพหลายอย่าง เช่นเพิ่มความชุ่มชื้น ส่งเสริมการสมานแผล ผลัดเซลล์ผิว ฯลฯ แต่มีหลักฐานที่เป็นการทดสอบเชิงคลินิกยืนยันอยู่ 2 ชิ้น เกี่ยวกับเรื่องการลดริ้วรอย และการดูแลผิวที่เป็นริ้วรอยก่อนวัยจากรังสี UV ที่เรียกว่า Photoaging (Cosmetic Dermatology. 2009; 22(5):250 กับ Journal of drugs in dermatology. 2013; 12(4):456.)

-Glycolipids สารอนุพันธ์ของไขมันที่ประกอบด้วยน้ำตาลจับกับไขมัน มีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ไขมันมาทดแทนของเดิมในผิวหนัง

-Panax ginseng extract สารสกัดจากโสม มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ทางชีวภาพไว้เยอะมาก และเกือบจะครบทุกด้าน เช่น ฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว (Pharmacogn Mag. 2014; 10(Suppl2):S272-5.) ลดการอักเสบ เสริมสร้างความแข็งแรงของ Barrier ผิว ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว (J Ethnopharmacol. 2013; 145(1):294-302.) กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน (J Ethnopharmacol. 2007; 109(1):29-34.) และการรับประทานสารสกัดโสมช่วยป้องกันไม่ให้ Ceramide ในผิวถูกทำลายจากรังสี UV (J Med Food. 2009; 12(4):746-54.) อาจจะเอามาประยุกต์ใช้กับการทาได้

-Tocopheryl acetate เป็นอนุพันธ์ของวิตามินอี มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant แต่ส่วนมากจะให้ผลแค่ป้องการสารในผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสภาพไปเพราะอากาศ

-Sodium ascorbyl phosphate อนุพันธ์ของวิตามินซี ชนิดละลายน้ำ มีประโยชน์เป็น Antioxidant, Whitening และช่วยเรื่องการสังเคราะห์คอลลาเจน

-Sorbitol เป็นอนุพันธ์ของน้ำตาล ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

-Allantoin สารสำคัญในรากคอมเฟรย์ มีประโยชน์ช่วยลดการแพ้ ลดการระคายเคือง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง มีรายงานการวิจัยสนับสนุนเรื่องคุณสมบัติในการช่วยสมานแผล (Acta Cir Bras. 2010;25(5):460-6.)

2.Base หลักๆเป็นน้ำ มีน้ำมันอยู่ตัวนึงกับซิลิโคนอีกสองตัว ดังนี้

2.1 ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ. Glycerin, Caprylyl glycol ตัวนี้มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อได้ด้วย, Propylene glycol

2.2 ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Glyceryl linoleate ตัวนี้เป็น Fatty ester ที่เมื่อซึมเข้าไปในผิว จะปลดปล่อย Glycerin กับ Linoleic acid ให้ผิว สองตัวนี้ชวยเรื่องความชุ่มชื้น และก็ Barrier ของผิว Linoleic acid นี่บางที่เรียกว่าเป็น Vitamin F ค่ะ

3.Additives ได้แก่

3.1Silicones ได้แก่ Cyclopentasiloxane เป็นซิลิโคนที่ระเหยได้ ให้สัมผัสบางเบา ไม่เหนอะหนะ กับ Dimethicone ที่ช่วยเคลือบผิวให้สัมผัสที่ดีตอนทา

3.2Emulsifier/Surfactant ได้แก่ PEG-40 hydrogenated castor oil กับ Polysorbate 20 สองตัวนี้มีสมบัติเป็นสารทำให้ใสได้

3.3สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Acrylate/C10-30 alkyl acrylates crosspolymer กับ Xanthan gum

3.4สารปรับ pH ได้แก่ Triethanolamine ใช้ปรับ pH ให้สูงขึ้น

3.5Preservatives ได้แก่ Caprylyl glycol, Phenoxyethanol และสารจับโลหะ EDTA

3.6สารแต่งกลิ่น/Perfume

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives ในส่วนของสารออกฤทธิ์ เน้นไปที่การสมานแผล ลดการระคายเคือง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น สารสกัดจากบัวบกให้ผลเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนมาเติมเต็มในกรณีที่เป็นแผลเป็นแบบหลุม ส่วนของวิตซี ช่วยเรื่องของรอยด่างดำ และรอยดำหลังจากสิวได้ สารหลายๆตัวให้ผลเป็น Antioxidant ด้วย ซึ่งก็ถือว่ามีครบ แต่โดยส่วนตัวอยากได้ส่วนผสมของ Niacinamide เสริมเข้ามาอีกตัว น่าจะสมบูรณ์แบบมากขึ้น จุดนี้จึงขอให้ 4 ฟลาสก์

2.Base ก็ยังบอกไม่ได้ว่าเป็น Emulsion (ประกอบด้วยน้ำกับน้ำมัน) จริงหรือเปล่า เพราะลักษณะเนื้อของมันที่เป็นแบบโปร่งแสง ส่วนผสมที่ใส่มาให้ผลดึงน้ำให้ผิวได้ดี เพิ่มความชุ่มชื้นได้ดี ไม่มีแอลกอฮอล์ และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

3.Additives สารที่ใช้ไม่ได้มีอะไรมาก ไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยอะไรกับผิว แต่ก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเสริมให้ผิวเหมือนกัน แม้ว่าจะมีน้ำหอม แต่ก็ไม่เคยหักคะแนนน้ำหอมในผลิตภัณฑ์อื่นๆที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์รอบดวงตามาก่อน จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

4.ความพึงพอใจในการใช้งาน ผลิตภัณฑ์เมื่อนวดแล้วจะค่อนข้างหนึบอยู่กับผิว จริงๆเป็นสิ่งที่ดี เพราะจะได้เพิ่มแรงกดทับแผลไว้ แต่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันหนักไปหน่อย เรื่องของกลิ่นทำมาได้ดี ไม่มีกลิ่นฉุนของน้ำหอม ส่วนตัวเอาไปแต้มสิวที่กำลังจะยุบ ยุบไวขึ้นเยอะเลยค่ะ แล้วก็ไม่ทิ้งรอยดำ หรือหลุมสิว หรือรอยโรคไว้ด้วย จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์

scaderm point

สุดท้ายนี้ต้องขอบคุณบริษัท Pharmahof ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ทดลองใช้

พบกันใหม่โอกาสหน้านะคะ สำหรับวันนี้บ๊ายบาย สวัสดี มีความสุขกับวันอาทิตย์ค่ะ

ถ้าสนใจในรายละเอียดเพิ่มเติม ติดตามได้ทางลิงค์ข้างล่างนี้เลยนะคะ

แฟนเพจผลิตภัณฑ์

https://www.facebook.com/scaderm

แฟนเพจบริษัท Pharmahof

https://www.facebook.com/pharmahof

 

[Beauty Talks] ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโทนเนอร์

[Beauty Talks] ความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโทนเนอร์

วันนี้เอาสาระดีๆมาฝากค่ะ เกี่ยวกับเรื่องของโทนเนอร์

หลายๆคนมักจะคิดว่าจริงๆแล้วโทนเนอร์เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น ฟุ่มเฟือย และไม่เป็นมิตรกับผิว โดยยังไม่ได้รู้จริง รู้ลึกเกี่ยวกับโทนเนอร์ และความก้าวหน้าของโทนเนอร์ในปัจจุบัน

วันนี้จะมาเล่าความเชื่อผิดๆ ที่เรามักเชื่อกันไปเองเกี่ยวกับโทนเนอร์ให้ฟังค่ะ

 

ก่อนจะไปเล่าความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับโทนเนอร์ ขอเล่าให้ฟังก่อนว่าโทนเนอร์คืออะไร

 

โทนเนอร์ในสมัยโบราณ ออกแบบมาเพื่อกระชับรูขุมขน และองค์ประกอบที่ใช้เพื่อคุณสมบัตินี้ก็คือ Alcohol  และใช้กันในความเข้มข้นที่สูงมากด้วย ซึ่ง เวลาเราทาผลิตภัณฑ์ที่มี Alcohol อยู่แล้วมันระเหยออกไป มันจะทำให้เรารู้สึกเย็น และมันจะดึงน้ำบริเวณนั้นไปด้วย รวมถึงละลายเอาน้ำมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขนออกมา ทำให้รูขุมขนกระชับขึ้น แต่หลังๆมาคนเริ่อมไวต่อแอลกออฮอล์กันมากขึ้น โทนเนอร์ก็เลยไม่ได้ใส่ Alcohol มากเหมือนสมัยก่อน หรือบางครั้งก็เป็น Alcohol free ไปเลย

อีกจุดประสงค์หนึ่งของ Toner ก็คือ ช่วยชำระล้างสิ่งสกปรก ที่เราล้างหน้าไม่หมด ออกไป หลายๆคน หลายๆครั้งเลยจะเห็นว่าพอเอาโทนเนอร์เช็ดหลังล้างหน้าแล้ว สำลียังเป็นสีน้ำตาล หรือ เทา อยู่ นั่นก็เพราะว่า การล้างหน้าของเรายังไม่หมดจดนั่นเอง

 

เจ้า Alcohol free toner บางชนิดก็จะมีลูกเล่นอื่นๆ มาช่วยเรื่องรูขุมขนแทน Alcohol เช่น การเลือกใส่สารสกัดที่มีคุณสมบัติกระชับรูขุมขน (ทางผิวหนังเรียกว่า Astringent) ซึ่งก็ถือว่าอ่อนโยนและเป็นมิตรกับผิวมากขึ้น

Toner จัดเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำใส (Solution) คือ เป็นสารละลายของสารอื่นๆในน้ำใสๆ แต่ปัจจุบันก็อาจจะมีโทนเนอร์แบบอื่นๆ เช่น โทนเนอร์คุมความมันที่มีผงแป้งกระจายอยู่ โทนเนอร์แบบน้ำนม

 

รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ลูกหลานที่เกิดมาใหม่อย่าง Essence, Lotion (Lotion ฝั่งญี่ปุ่น จะเป็นน้ำใสๆ), Skin (น้ำใสๆ จากฝั่งเกาหลี) ฯลฯ ซึ่งก็ให้คุณสมบัติในเรื่องเดียวกัน

 

แต่เห็นว่าหลังๆมานี่ มีแต่คนบอกว่าโทนเนอร์ไม่จำเป็น ส่วนพนักงานขายก็ต้องการขาย เค้าก็บอกว่ามันจำเป็น ลองมาดูด้วยความเป็นกลางกันดีกว่า แล้วตัดสินใจเอา ว่าจำเป็นหรือไม่จำเป็น นะคะ 🙂

 

ปัจจุบันนี้มีกระแสความเชื่อผิดๆของ Toner ที่ออกมาอยู่ 5 ด้านด้วยกัน

Toner myth

 

ข้อแรก Toner เป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย และไม่จำเป็น

ข้อนี้ไม่เสมอไป เพราะถ้าเราล้างหน้าไม่สะอาด แล้วเราไม่ได้เช็ดโทนเนอร์ก่อนการบำรุงผิว สิ่งสกปรกนั้นมันก็จะตกค้างบนผิวไปเรื่อยๆ เกิดเป็นความหมองคล้ำ สิวอุดตัน หรืออื่นๆ

แต่ถ้าเราล้างหน้าอย่างสะอาด โทนเนอร์ก็ไม่จำเป็นค่ะ

 

ข้อสอง Toner มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ที่เป็นอันตรายกับผิว

ข้อนี้ผิดอย่างแรงเลย

ประการแรก Alcohol ไม่ได้เป็นอันตรายกับผิวในทุกๆกรณี ในบางกรณี Alcohol ก็มีประโยชน์ คือ เค้าจะช่วยละลายไขมันที่อุดตันอยู่ในรูขุมขน พาออกมาเคลือบผิวที่ภายนอก ทำให้เรารู้สึกว่าผิวนุ่มขึ้น เวลาเค้าระเหยไป เค้าจะดึงน้ำไปด้วย ทำให้เรารู้สึกเย็น และช่วยกระชับรูขุมขนด้วย

แต่ถ้าใครบอกว่า Alcohol ในเครื่องสำอางจะช่วยฆ่าเชื้อได้ อันนี้ก็ผิดเหมือนกัน เพราะว่า Alcohol ที่ใส่มาในความเข้มข้นน้อยมากๆนั้น แทบจะไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อเลย

แต่ ผิวเรา ทนต่อ Alcohol ไม่เหมือนกัน บางคนอาจจะเเสบ หรือระคายเคืองได้ นี่ไม่ได้เรียกว่าการแพ้ Alcohol เพราะการแพ้ ต้องเกิดจากภูมิคุ้มกัน มีผื่น มีลุกลามไปที่อื่น แต่นี่เรียกว่า การระคายเคือง เพราะ Alcohol ไปชะเอาไขมันดีๆในผิวออกมา แทนที่จะไปชะเอาแค่ไขมันที่อุดตันในรู ออกมา

ประการที่สอง ไม่ใช่ว่าทุกๆ Toner ในท้องตลาด จะมี Alcohol หมด เดี๋ยวนี้ก็มี Toner หลายๆยี่ห้อ ไม่ใส่ Alcohol มา

เพราะฉะนั้น ถ้าเรามองหาส่วนผสมที่เหมาะกับผิวเรา โทนเนอร์ก็ไม่ได้อันตรายกับผิวเสมอไป

 

ข้อสาม Toner มีส่วนผสมของกรด ที่อาจจะกัดผิว

ไม่ใช่ว่า ทุกๆ Toner มีกรดหมด ข้อนี้น่าจะหมายถึงเฉพาะ Toner ที่มี AHA

แต่ว่า AHA ที่ใส่มาในเครื่องสำอาง กฎหมายความคุมปริมาณการใช้ และ pH ของผลิตภัณฑ์ จึงไม่ได้อันตรายและเข้มข้นมากถึงขั้นจะไปกัดผิว

ในทางกลับกัน AHA ยังมีประโยชน์ในการผลัดเซลล์ผิว ลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน ช่วยให้ผิวเนียนเรียบ และก็ เติมน้ำให้ผิวได้ด้วย

แต่ ผลิตภัณฑ์ที่มี AHA ไม่ควรใช้บ่อยจนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวบาง เสี่ยงต่อการแพ้ง่าย และแพ้แดดได้

 

ถ้าเป็นห่วงเรื่องผิวบาง ก็ลองมองหาโทนเนอร์ที่ไม่มี AHA แทน ข้อนี้ก็ตกไป

 

ข้อสี่ Toner ทำร้ายผิวที่บอบบาง

 

ข้อนี้ก็ไม่เสมอไป ขึ้นกับส่วนผสม ถ้าเราเลือกโทนเนอร์ที่บำรุงดีๆ ก็จะเป็นประโยชน์กับผิว

สารบางตัวในสูตร Toner กลับเป็นประโยชน์กับผิวมากกว่าเสียอีก เช่น โทนเนอร์ผสม Hyaluron ผสม Collagen ผสมสารสกัดจากผักผลไม้ต่างๆ

 

ข้อห้า Toner ควรใช้แค่อาทิตย์ละไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ข้อนี้ก็ไม่ได้ถูกเสมอไป เพราะถ้าเป็นโทนเนอร์ที่มีกรด AHA หรือมีแอลกอฮอล์เยอะๆ การใช้แค่อาทิตย์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอ แต่ถ้าเป็นโทนเนอร์ดีๆที่มีประโยชน์ ก็สามารถใช้ได้ทุกวัน

 

 

จะเห็นว่าโทนเนอร์จริงๆแล้ว ถ้าเราเลือกให้เหมาะกับผิวเรา ก็มีประโยชน์นะคะ ยิ่งคนผิวมัน บางทีแค่โทนเนอร์เติมน้ำขั้นตอนเดียวก็จบได้เลย ไม่ต้องทาอะไรเยอะแยะให้วุ่นวายไป

[Mini-Review] Nature Republic Bulgarian Rose Moisture Toner

[Mini-Review] Nature Republic Bulgarian Rose Moisture Toner

มีใครเป็นคอกุหลาบเหมือนมี่มั้ยคะ ???

ถ้าใช่ ตัวนีี้น่าจะเป็นชอยส์ที่น่าสนใจชอยส์นึงเลยทีเดียวค่ะ

นั่นก็คือ Nature Republic Bulgarian Rose Moisture Toner ค่ะ

NR rose 1แม้ชื่อจะเป็นโทนเนอร์ ที่เราเข้าใจว่าเอามาไว้หยดใส่สำลีแล้วเช็ด แต่โดยเนื้อสัมผัส หรือ Texture ของมัน ที่ค่อนข้างหนืด มันเหมาะกับการเอามาตบมากกว่าค่ะ กลิ่นหอมกุหลาบอ่อนๆ ค่อนข้างซึมไว ชุ่มผิวดี แต่แป๊บเดียวผิวก็แห้งเหมือนเดิมแล้วหล่ะ ซื้อมาเพราะกลิ่นกุหลาบเลยจริงๆค่ะ ส่วนผสมก็ไม่ทราบ เพราะมีแต่ภาษาเกาหลี

คือบางครั้ง แค่เราได้กลิ่นที่ถูกใจ เราก็ยอมจ่ายแล้วค่ะ แม้จะไม่รู้ว่ามันจะโอเคหรือไม่ เชื่อว่าผู้หญิงมากกว่า 95% เป็นเหมือนมี่ ในขณะที่ผู้ชายส่วนใหญ่จะค่อนข้างละเอียดและรอบคอบกว่าเราในการจับจ่ายซื้อเครื่องสำอางซักชิ้น

ให้ดูเนื้อนะคะ

NR rose 2-eNR rose3-eตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดรู้สึกจะซื้อที่ชอปไทย ลดราคาเหลือสองร้อยนิดๆ คือซื้อมานานมากแล้วค่ะ และก็ใช้มาได้ซักพักแล้ว แต่ไม่มีเวลามาเล่าให้ฟัง

ถึงไม่ทราบส่วนผสม แต่ก็พอจะเมาท์เรื่อง Rose water ได้อยู่นะคะ

Rose water คืออะไร??

Rose water เป็นน้ำที่เหลือจากการกลั่นเอาน้ำมันออกจากดอกกุหลาบ ก็จะมีความหอมอ่อนๆ มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น ผ่อนคลาย และให้ความรู้สึกสบายผิวค่ะ แต่ไม่มีรายงานทางวิทยาศาสตร์รองรับนะคะ 🙂

ที่หน้าเวบไซต์ของ Nature Republic Korea มีรูปให้ดูด้วยค่ะ

กลั่นกุหลาบ

(Image source: http://www.naturerepublic.com/)

ก็คือเราจะให้ความร้อน ให้น้ำกลายเป็นไอ มา Condense ใน Chamber ที่มีกลีบกุหลาบอยู่ น้ำมันหอมระเหยจากกุหลาบ จะระเหยออกไปแล้วก็จะถูก Condense ออกมาเป็น Rose oil ซึ่งมีราคาแพงมาก (กิโลละหลายพัน ถึงหมื่นบาท)

น้ำที่เหลืออยู่ใน Chamber ก็จะเป็นตัว Rose water นั่นเองค่ะ

[Beauty Talks] 5 อันดับความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับ Serum

[Beauty Talks] 5 อันดับความเชื่อผิดๆเกี่ยวกับ Serum

วันนี้มาคุยกันเกี่ยวกับความเชื่อผิดๆของ Serum ดีกว่าค่ะ

เท่าที่เคยดูๆมา ความเชื่อที่เราเข้าใจกันผิดๆของ Serum น่าจะมีประมาณ 5 ข้อนี้ค่ะ

 

serum myth

 

ข้อแรก Serum เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของสารออกฤทธิ์สูงที่สุด ถ้าเทียบกับเครื่องสำอางชนิดอื่นๆใน Line เดียวกัน

ข้อนี้ไม่จริงเสมอไปค่ะ ซีรัมมากกว่า 90% ในท้องตลาด มีน้ำเป็นส่วนประกอบอย่างน้อย 80% ขึ้นไป เผลอๆ ถึง มากกว่า 95% ก็มีค่ะ และในหลายๆครั้งเลยที่พบว่า ในครีมบำรุง หรือในเอสเซนส์ มีสารออกฤทธิ์ในระดับที่พอๆกันกับซีรัม แต่ราคาถูกกว่ากันเกือบครึ่ง

อันนี้ไม่นับรวมถึง Oil serum นะคะ

 

ข้อสอง Serum เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าและต้นทุนสูงที่สุด

จากข้อแรกเลย Serum บางสูตรมีน้ำเป็นองค์ประกอบเยอะมาก ซึ่งก็รู้กันว่า น้ำมีราคาค่อนข้างถูก แม้จะเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีพิเศษให้มีความบริสุทธิ์สูงมาก ก็ยังมีราคาที่ไม่สูงอยู่ดี

ส่วนคุณค่าของ Serum มาจากความคิดของเราเอง และ Package ที่หรูหรา มาพร้อมหลอดหยด ดูแพง แต่จริงๆก็ไม่ได้มีอะไรมากมายนัก

 

ข้อสาม Serum ปราศจากน้ำมัน สามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิว

ข้อนี้ก็ไม่ได้จริงเสมอไป เพราะ Serum บางสูตรก็มีองค์ประกอบของน้ำมัน แล้วก็มาในรูปแบบของ Lotion แล้วมันต่างกับ Lotion ตรงไหน? ก็ไม่เลย แค่เอามาปรับนู่นนี่นั่นให้หนืดมากขึ้น แล้วใส่ขวดหรูหราก็กลายเป็น Serum แล้ว

สำหรับคำกล่าวที่บอกว่าสามารถใช้ได้กับทุกสภาพผิวก็ไม่จริง เพราะถ้ามีน้ำมันมากๆ ก็จะไม่เหมาะกับคนที่มีผิวมัน และ Serum บางสูตรมี Alcohol เป็นส่วนประกอบ ก็ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแห้งเช่นกัน

 

ข้อสี่ Serum เพียงขวดเดียว สามารถบำรุงผิวได้ครบในทุกขั้นตอน

ข้อนี้ก็ไม่จริง เพราะว่าผิวหนังเราประกอบด้วยทั้งน้ำและน้ำมัน ถ้าซีรัมผลิตขึ้นมาจากน้ำและสารอื่นที่ลบะลายได้ในน้ำ ก็ไม่สามารถจะให้ผลบำรุงผิวได้ครบถ้วน

จริงๆจะพูดก็พูดได้ว่า ไม่มีอะไรในโลกนี้ที่บำรุงผิวได้ครบทุกขั้นตอนในขวดเดียว

 

ช้อสุดท้าย Serum เหมาะกับคนที่มีอายุแล้วเท่านั้น

จากข้อ 1 ที่เราคิดว่า Serum มีความเข้มข้นของสารสูงที่สุด ก็เลยจะนึกว่า ผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้นมากๆ ควรให้คนมีอายุใช้ จะได้ไม่ดื้อเร็ว เดี๋ยวแก่มาจะใช้อะไรก็ไม่ได้ผล

จริงๆ มันก็ไม่เสมอไป Serum บางตัวก็เหมาะกับวัยรุ่น เช่น Serum กระชับรูขุมขน Serum ที่เป็นมอยส์เจอร์สูตรน้ำ อย่าง Hyaluron หรือ Aloe serum

 

สำหรับวันนี้ก็มีแค่นี้ค่ะ ขอบคุณที่ติดตามมาจนจบนะคะ

[Review] Marveile, the Thai Cosmeceuticals

[Review] Marveile, the Thai Cosmeceuticals

เมื่อราวๆสองอาทิตย์ก่อนทางบริษัท Jas dermatology ได้ส่งตัวอย่างผลิตภัณฑ์เวชสำอางแบรนด์ Marveile มาให้มี่ทดลองใช้ค่ะ วันนี้เลยเอามารีวิวเล่าสู่กันฟัง ผลิตภัณฑ์ของไทยเราก็ใช่ว่าจะสู้ต่างชาติไม่ได้นะคะ ส่วนผสมต่างๆนี่ดูดีเลยทีเดียว

มีการใช้เทคโนโลยีนาโนด้วยค่ะ 🙂

ตัวที่จะเอามารีวิววันนี้ก็มีอยู่  4 ตัวค่ะ

1. Marveile pro acne gel

2. Marveile caviar white

3. Marveile caviar aging

4. Marveile easy white

mar1

เริ่มที่ตัวแรกเลยนะคะ

Marveile pro acne gel

mar 6

รูปกล่องผลิตภัณฑ์ เป็นพื้นสีขาว ตัดกับตัวหนังสือสีฟ้า แลดูสะอาดตาค่ะ ที่กล่องมีคำว่า “Full therapeutic strength” กับ Centella asiatica

mar 9-e

เนื้อจะเป็นเจลใสๆ เกลี่ยง่าย ตอนแรกจะรู้สึกเหมือนมีฟิล์มบางๆเคลือบผิวอยู่ แต่พอทิ้งไว้ซักพักก็จะซึมจนหายไปหมด

mar 10mar 11-e

แต่พอทิ้งไว้ซักพักก็จะหายไปเลย

ลองดูส่วนผสมกันก่อนดีกว่านะคะ

mar 8-e

ตัวที่ให้ผลเป็นสารออกฤทธิ์ (Active ingredient) ก็จะมี

1. Epilobium angustifolium extract สารสกัดจาก Willow herb มีรายงายเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ (Curr Drug Targets. 2013; 14(9):986-91.) ฤทธิ์ในการปกป้องคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี UV และช่วยให้เซลล์ Fibroblast ที่สร้างคอลลาเจนมีชีวิตยืนยาวขึ้น (ปกติคนที่อายุเพิ่มขึ้นเซลล์พวกนี้จะค่อยๆหายไป) (Gen Physiol Biophys. 2013; 32(3):347-59.) สารประกอบ Oenothein B ที่พบในพืชนี้มีประโยชน์เป็น Anti-oxidant และ Anti-inflammatory ที่ดี (Phytomedicine. 2011; 18(7):557-60.) และยังมีฟลาโวนอยด์อื่นๆที่เคยมีรายงานว่าสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้

นั่นก็คือ สารสกัดนี้ให้ผลเป็นตัวฆ่าเชื้อสิว ช่วยลดการอักเสบสิว และลดรอยดำแดงได้

สำหรับลำดับก็เป็นที่น่าภาคภูมิ คือมาก่อนสารดึงน้ำอย่าง Propanediol กะ Glycerin อีก แต่อย่างว่า เราไม่สามารถตัดสินอะไรจากลำดับเครื่องสำอางได้นะคะ เพราะเราไม่ทราบถึง “ความบริสุทธิ์/ความเข้มข้น” ของสารสกัด สารสกัดที่ใส่มา จะมีเนื้อแท้อยู่เท่าไหร่ เราไม่ทราบ และไม่มีใครทราบด้วย นอกจากผู้ผลิตวัตถุดิบ

2. Dipotassium glycyrrhizate เป็นสารที่แยกได้จากชะเอม ให้ผลลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง

3. Salicylic acid เป็นสารในกลุ่ม BHA ช่วยผลัดเซลล์ผิว ละลายไขมันอุดตัน ลดการอักเสบ

4. Lactic acid เป็น AHA ที่มีประโยชน์หลายๆอย่าง เช่น เพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มการผลัดผิว เพิ่มการสังเคราะห์ Ceramide ในผิว แต่ฤทธิ์จะขึ้นกับค่า pH เป็นหลัก

5. Centalla asiatica extract คือ สารสกัดจากบัวบก บัวบกเป็นพืชที่มีรายงานถึงฤทธิ์ทางชีวภาพไว้ค่อนข้างเยอะ ที่ดูจะเกี่ยวข้องกับสิวก็จะมีเรื่องของการสมานแผล ลดการเกิดแผลเป็น

6. tetrasodium tetracarbocymethyl naringeninchalcone เป็นสารอนุพันธ์ของ Naringenin chalcone ซึ่งเป็นพวก Flavonoid ที่พบได้ในเปลือกพืชบางชนิด สารตัวนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim เรื่องคุณสมบัติในการลดการอักเสบ ลดรอยแดง ให้ผลดีใน Sensitive skin โดยจะช่วยลดการแพ้และรอยแดงได้ดี

7. Ascorbic acid คือ วิตามินซี ให้ผลเรื่องลดรอยดำจากสิว

8. Palmitoyl tripeptide-5 เปปไทด์สายสั้นๆจากกรดอะมิโน 3 ตัว มาจับกับกรดไขมัน palmitic จึงดูดซึมผิวได้ง่ายขึ้น รู้จักในนามชื่อทางการค้าว่า Syn-coll มีประโยชน์เป็นตัวกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น และลดริ้วรอย

9. Camellia sinensis leaf extract คือ สารสกัดจากชา ให้ผลเป็น Antioxidant และลดการอักเสบของผิว

10. Anthemis nobilis flower extract คือ สารสกัดจาก Roman Chamomile  มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงฤทธิ์ในการขยายหลอดเลือด ทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น (Clin Exp Hypertens. 2013; 35(3):200-6.) สารประกอบ Octulosonic acid ที่พบมีฤทธิ์ทางชีวภาพเป็น Anti-oxidant, Anti-inflammatory และช่วยลดบวมได้ (J Nat Prod. 2014 Jan 28.) ผู้ผลิตวัตถุดิบบอกว่าใช้เป็น Anti-inflammatory ให้ผล Soothing effect ช่วยลดการระคายเคือง ลดการอักเสบ เพิ่มความชุ่มชื้น

11. Fucus vesiculosus extract สารสกัดจากสาหร่ายสีน้ำตาลชนิดหนึ่ง มีรายงานการวิจัยสามารถช่วยเพิ่มความหนาของชั้นผิวหนัง เพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน และช่วยลดริ้วรอย (J Cosmet Sci. 2002;53:1-9)

12. Benzalkonium chloride มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเป็นสารกันเสียในสูตร

โดยรวมแล้วสารออกฤทธิ์ในส่วนผสมให้คุณสมบัติไปที่การลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง มีตัวที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อ ลดรอยดำ รอยแดงจากสิว กับตัวผลัดเซลล์ผิวอย่าง AHA/BHA อยู่ด้วย ซึ่งก็ถือว่าสมบูรณ์แบบเลยทีเดียว

ถ้าให้ให้คะแนนกลุ่มสารออกฤทธิ์ จะขอให้ 5/5 เพราะมีอย่างครบถ้วนเลยทีเดียวเชียว

ส่วนประสิทธิภาพ ปกติมี่เป็นคนไม่ค่อยจะเป็นสิวง่าย (เพราะเลยวัยมาแล้ว ไม่ใช่สิ -*-) ตอนนี้เอาให้เพื่อนช่วยลองใช้ แล้วจะมาคอนเฟิร์มให้นะคะ ว่าผลเป็นเช่นไร


ตัวถัดมา เป็น Carvier white ค่ะ

mar 23ลักษณะจะเป็นกล่องวาวๆ สีขาว ดูสะอาดตา แพคเกจข้างในเป็นหลอดค่ะ

mar 20เนื้อครีมเป็นครีมสีขาวอมฟ้า เกลี่ยง่าย ดูดซึมไว ไม่เหนอะหนะ ข้างกล่องบอกว่าไม่ใส่น้ำหอม แต่ตอนทาจะมีกลิ่นหอมอ่อนๆอยู่ค่ะ ไม่แน่ใจว่าเป็นจากวัถุดิบ หรือว่า จากน้ำหอม

mar 19 mar 21-e

ลองมาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

mar 2

ตัวที่เป็นสารออกฤทธิ์ (Active ingredients) ก็จะมี

1. Epilobium angustifolium เหมือนอันมะกี๊

2. Vibrio alginolyticus ferment filtrate สารที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์สายพันธ์หนึ่ง ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า ได้จากจุลินทรีย์แถบ French Polynesia ประกอบด้วย Polysaccharide ที่เสริมการผลัดเซลล์ผิว การแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซลล์ผิว และช่วยเพิ่มความแข็งแรงของเซลล์ผิว โดยมีผลต่อการทำง่านของเอนไซม์ Transglutaminase ที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเชื่อมต่อกันของโปรตีนระหว่างเซลล์

3. Oligopeptide-6 ไม่พบข้อมูล แต่ถ้าเป็น Oligopeptide-68 จะช่วยกดการสร้างเม็ดสีผิวผ่านกลไกของ TGF-Beta ซึ่งใน Leaflet ที่ใส่แทรกมาในกล่องได้บอกว่า Whitening peptide ที่ใส่มาออกฤทธิ์ผ่าน TGF-Beta receptor จึงเข้าใจว่าน่าจะหมายถึงเจ้า Oligopeptide-68 มากกว่า

4. Dipotassium glycyrrhizate เป็นสารที่แยกได้จากชะเอม ให้ผลลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง

5. Vitamin E acetate ปกติน่าจะเขียนเป็น Tocopheryl aacetate ซึ่งเป็นชื่อ INCI name ตามที่องค์การเครื่องสำอางกำหนด

6. Caviar extract สารสกัดจากคาเวียร์ ประกอบด้วยโปรตีนและวิตามินบี 6 มีผลควบคุมความมัน และเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

7. Salicornia herbacea extract ข้อมูลจากผู้จำหน่ายวัตถุดิบชี้ว่า เป็น Moisturizer ที่ดีโดยการไปออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของ Aquaporin ชนิด AQP8 และ AQP3 ทำให้มีการสังเคราะห์สาร NMF ต่างๆ และไขมันในผิวหนังเพิ่มมากขึ้น ออกฤทธิ์ได้ยาวนาน

8. Alpha bisabolol ช่วยลดความระคายเคือง และลดการอักเสบในผิว

โดยรวมแล้วสารที่ใส่มาให้ผลเกี่ยวกับเรื่องการอักเสบในผิว มีสารช่วยให้ผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น และก็มีไวท์เทนนิ่งอยู่ แม้จะยังคลุมเคลืออยู่บ้าง เรื่องการเขียนส่วนผสม โดยเฉพาะเรื่องน้ำหอม เพราะตอนทาจะมีกลิ่นอ่อนๆอยู่ ไม่แน่ว่าจะเป็นน้ำหอมหรือกลิ่นวัตถุดิบ

ถ้าให้ให้คะแนนส่วนผสมจะขอให้ 4/5 ค่ะ

ผลิตภัณฑ์นี้มีการเทคโนโลยีขั้นสูงด้วย แต่ การดูแค่ส่วนผสมไม่สามารถยืนยันได้ว่า เทคนิคนี้ถูกใช้มาจริงในผลิตภัณฑ์หรือไม่ เพราะอนุภาคนาโน แค่ใช้ส่วนผสมธรรมดา กับเครื่องมือชั้นสูง ก็สามารถทำได้ค่ะ

ลองดูที่เขา Claim นะคะ

mar 18-e

จุดนี้ถ้าถามว่าเป็นไปได้มั้ยทางทฤษฎี ตอบว่า เป็นไปได้ค่ะ และสามารถดูดซึมเข้าผิวได้ดีก็จริง แต่ เรื่องของความคงตัวในผลิตภัณฑ์ยังไม่เคยมีรายงานไว้เลย จึงไม่รู้ว่าพวกนาโนพวกนี้จะแตกและปลดปล่อยออกมาตั้งแต่ตอนอยู่ในหลอดไหม เวลาเก็บไปนานๆ

mar 17-e

อันนี้ก็เป็นอีกเทคนิคนึงที่สามารถทำได้ในทางทฤษฎีค่ะ แต่ทางปฏิบัตินี่ก็ไม่ทราบเช่นกัน เพราะยังไม่เคยมีใครศึกษาไว้


ตัวต่อมา เป็น Caviar aging ค่ะ

mar 14

ตัวนี้เป็นกล่องสีเขียว เมทัลลิค สะท้อนแสงแวววาวดูมีราคา ข้างในเป็นหลอดค่ะ

เนื้อครีมเป็นสีขาวอมฟ้า เกลี่ยง่าย ดูดซึมไว จะชุ่มมากกว่าสูตรไวท์ แต่ก็ไม่เหนอะหนะ

mar 15
mar 12-e

ลองมาดูส่วนผสมกันนะคะ

mar 16

ตัวที่เป็นสารออกฤทธิ์ก็จะมี

1. Niacinamide คือ รูปแบบหนึ่งขอวิตามินบี 3 มีรายงานว่า สารตัวนี้สามารถเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ โดยไปรบกวนการส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้ว ลดการอักเสบในผิว เพิ่มการไหลเวียนเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)

2. Vibrio alginolyticus ferment filtrate เหมือนสูตรไวท์

3. Alteromonas ferment filtrate สารที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ชนิดหนึ่ง ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าให้ผลกระตุ้นการสร้าง Ceramide กับไขมันชนิดอื่นๆในผิว และเพิ่มการสร้าง Filaggrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญในผิว โดยจะสลายตัวเป็นกรดอะมิโนที่คอยจับน้ำให้ผิว และ กลายเป็นตัวเพิ่มความแข็งแรงในการยึดเกาะกันของเซลล์ผิว

4. Caprooyl tetrapeptide-3 เปปไทด์ที่จับกับกรดไขมันสายสั้นๆที่ชื่อ Caproic acid ให้ผลกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบในแนวกั้นระหว่างชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ (Dermal Epidermal Junction) ให้ผลลดและป้องกันริ้วรอย

5. Tocopheryl acetate เป็นรูปแบบหนึ่งองวิตามินอี ให้ผลเป็น Antioxidant แต่ส่วนมากจะให้ผลปกป้องสารต่างๆในผลิตภัณฑ์ ไม่ให้เสื่อมสภาพไปเพราะอากาศ

6. Dipotassium glycyrrhizate เป็นสารที่แยกได้จากชะเอม ให้ผลลดการอักเสบ ลดการระคายเคือง

7. 4-Butyl resorcinol ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ทำให้เมลานินถูกสร้างมาน้อยลง ผิวขาวขึ้น การทดสอบในอาสาสมัครที่เป็นฝ้ากับครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้ 0.1% เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ พบว่ารอยฝ้าจางลง และมีผลข้างเคียงน้อยมาก (Ann Dermatol. 2010; 22(1): 21–25.)

8. Caviar extract

9. Arginine เป็นกรดอะมิโน ที่นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้น ยังเป็นส่วนประกอบในการสังเคราะห์สารที่เกี่ยวกับการเพิ่มการไหลเวียนเลือด ซึ่งจะช่วยให้ผิวหนังมีสารอาหารมาเลี้ยงมากขึ้น

10. Whey protein โปรตีนที่ได้จากเวย์ เนื่องจากมีขนาดที่ใหญ่ จึงไม่สามารถดูดซึมผ่านผิวได้ ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นภายนอกผิว

โดยรวมผลิตภัณฑ์นี้ใช้สารออกฤทธิ์ที่ค่อนข้างใหม่ และออกฤทธิ์แบบใหม่ๆ เช่น เพิ่มความแข็งแรงให้ Dermal Epidermal Junction เพิ่มการสร้าง Filaggrin มีเสริมด้วย Whitening อีก

โดยรวมถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดีและครบถ้วนสมบูรณ์ จึงขอให้ 5/5


ส่วนตัวสุดท้ายคือ ซีรัมวิตามินซี ซึ่งเคยเขียนไปแล้ววันก่อน ติดตามได้ทางลิงค์นี้เลยค่ะ

vc 1-re สำหรับวันนี้มีแค่นี้ค่ะ

ขอขอบคุณผลิตภัณฑ์ดีๆจากทาง Marveile Thailand ด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามได้กับทาง marveile  ทางเฟสบุค หรือ เวบไซต์เลยค่ะ

facebook: Marveile.Thailand

Website: http://www.marveilethailand.com

[Cosme-Diagnosis]TonyMoly BCDation

[Cosme-Diagnosis]TonyMoly BCDation

ปกติมี่ไม่เคยรีวิวรองพื้นเลยค่ะ จนกระทั่งมาสัมผัสกับเจ้านี่ นางอุดมด้วยส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวหนังได้เลอค่ากว่า Skincare บางอันเสียอีกค่ะ

เจ้า BCDation ตัวนี้มี่ไปได้มาตอนไปเกาหลีเมื่อเดือน มิย ปีที่แล้ว ตอนนั้นมีโปรซื้อ 1 แถม 1 แต่เป็นซื้อขนาดปกติเป็นขวด แถมหลอดเล็ก 20 กรัมให้ค่ะ

ทางแบรนด์ Claim ว่า BCDation = BB + CC + Foundation

ประมาณว่าขวดเดียวจบ

สีที่

มี่่เลือกมาคือสีเบอร์สองค่ะ

tm1-e

ลองสวอทช์เทียบกับ Illamasqua ลูกรักนะคะ
tm4-etm5tm6

จะเห็นว่าเนื้อสัมผัสค่อนข้างคล้ายเลยทีเดียว ทั้งการทาแล้วออกมาเป็นเนื้อแป้ง

ลองมาดูส่วนผสมดีกว่าค่ะ

tm3

อันนี้อ่านไม่ออกค่ะ ยอม ประมาณว่าปราศจาก 8 สารต้องห้าม เนียนได้ 24 ชั่วโมง มั้ง??

tm2

จะเห็นว่าอลังมาก

เอาแบบสรุปก่อนนะคะ เผื่อใครขี้เกียจอ่านยาวๆ

1. Actives คือ สารออกฤทธิ์ มีอยู่ค่อนข้างสมบูรณ์ ทั้ง Antioxidant, Anti-inflammatory, Whitening, กระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน เพิ่มความชุ่มชื้น และเป็น Anti-aging โดยไปกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนได้ ซึ่งก็ถือว่าเกือบจะสมบูรณ์แบบ ถือเป็น Skincare ชิ้นหนึ่งได้เลย จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

2. Base ปกติผลิตภัณฑ์ประเภท Emulsion ถ้าพิจารณาให้คะแนนจากความสมบูรณ์ของการเป็น Moisturizer คือต้องมีสารชอบน้ำที่ดูดน้ำให้ผิว สารไขมันจากธรรมชาติ และสารไขมันเคลือบคลุมผิว ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้มีสารที่ดูดน้ำให้ผิวอยู่หลายตัว ทุกตัวมีประสิทธิภาพที่ค่อนข้างดี และไม่ระคายเคือง มีน้ำมันจากพืชธรรมชาติอยู่หลายชนิด และมีสารเคลือบคลุมผิวกันน้ำระเหยอีกหลายตัว จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

3. Additives มีอยู่หลายชนิด บางชนิดก็ให้คุณสมบัติบำรุงผิวเสริมเข้ามาด้วย จะมีก็ขอติเรื่อง Grapefruit oil ซึ่งมีสารกลุ่ม Coumarins ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้แสงได้ในบางราย จึงควรหลีกเลี่ยงการทำงานหรือออกกำลังการแจ้งเมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ จึงขอให้ 4 ฟลาสก์

คะแนนส่วนผสม 14/15
คะแนนการใช้งาน 4/5

รวม 18/20 ค่ะ

แบบเจาะลึกจัดเต็มค่ะ

1. Actives เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีฤทธิ์ทางชีวภาพ ขอแบ่งเป็น 3 กลุ่มตามแหล่งที่มา ได้แก่

1.1 สารสำคัญที่ได้จากกระบวนการทาง Biotechnology ได้แก่

– Pseudoalteromonas ferment extract รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Antarcticine ของบ. Lipotec ได้จากการแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่พบในธารน้ำแข็ง ประกอบด้วยสารกลุ่ม Tripeptide ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและอิลาสติน จึงช่วยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น ริ้วรอยลดลง นอกจากนี้มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยในกระบวนการสมานแผล (Promote Wound-healing) เวลาผิวหนังเกิดความเสียหาย ก็จะช่วยให้ซ่อมแซมตัวเองได้ไวขึ้น (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)

1.2 สารสำคัญที่เป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ได้แก่

– น้ำคั้นจาก Birch (Betula platphylla japonica juice) สารสกัดจากพืชตัวนี้มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ Antioxidant (Life Sci. 2004; 74(8):1013-26.) และสามารถป้องกันการเกิดผื่นการแพ้ ที่คล้าย Atopic dermatitis ในหนูทดลองได้ (J Ethnopharmacol. 2008; 116(2):270-8.) ส่วนข้อมูลจากผู้ผลิตบอกว่า มีคุณสมบัติคล้ายเอสโตรเจน และกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน (Birch sap จาก บ. Koei Kogyo)

– Witch hazel extract (Hamamelis verginiana) รู้จักกันดีเพราะคุณสมบัติความเป็น Astringent ช่วยกระชับรูขุมขน ควบคุมความมัน สำหรับรายงานการวิจัยมีระบุถึงฤทธิ์ในการต้านการอักเสบ (J Pharm Pharmacol. 1994; 46(4):286-90.) และมีสารประกอบจำพวก Tannin และ Proanthocyanidins (Planta Med. 1988; 54(5):454-7.) ซึ่งพวกนี้มีฤทธิ์ Antioxidant ที่ดี

– สารสกัดจากพืชตระกูลสน (Pinus densiflora extract) มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ Antioxidant และคุณสมบัติในการปกป้อง DNA ไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ (Prev Nutr Food Sci. 2012; 17(2):116-21.) ซึ่งพืชตระกูลสนก็จะมีสารในกลุ่ม Proanthocyanidins ที่มีฤทธิ์แรง อยู่เกือบๆทุกสายพันธุ์ และมักจะมีคุณสมบัติเป็น Whitening อยู่ในตัวด้วย

– สารสกัดจากรากหญ้าคา (Imperata cylindrica root extract) มีรายงานการวิจัยระบุว่าในหญ้าคามีสารประกอบกลุ่ม Polysaccharide ที่มีคุณสมบัติกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ (Planta Med. 1999; 65(6):549-52.) ผู้จำหน่ายวัตถุดิบบอกว่าสารสกัดนี้มีคุณสมบัติช่วยควบคุมความดันในเซลล์ผิว และช่วยรักษาน้ำในผิวหนังชั้นนอก ควบคุมความชุ่มชื้นในผิวได้ 24 ชั่วโมง (Vegesome Moist 24 ของ บ.Sederma)

– สารสกัดจากถั่วเขียว (Phaseolus radiatus seed extract) ถั่วเขียวเป็นพืชหนึ่งที่ทางเกาหลีชอบนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง เพราะมีโปรตีน กรดอะมิโน ฟลาโวนอยด์หลายๆชนิด ในฐานข้อมูลงานวิจัยยังไม่มีรายงานในส่วนที่เกี่ยวข้องกับทาง Skincare แต่ถ้าลองค้นในฐาน Patent จะเจอเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์ Anti-aging ส่วนข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบบอกว่า สารสกัดจากถั่วเขียวสามารถปรับสภาพผิวให้ผิวนุ่มนวลเนียนและกระจ่างใส

– Oatmeal extract (Avena sativa extract) ส่วนของ Oatmeal มีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการต้านการอักเสบ (Anti-inflammatory) ของเซลล์ผิวหนัง (Int J Tissue React. 2003; 25(2):41-6.) และช่วยป้องกันความระคายเคืองจากสารเคมีในผิว (การทดสอบใช้ SLS เป็นสารที่ทำให้ผิวหนังเกิดการระคายเคือง) (Skin Pharmacol Appl Skin Physiol. 2002; 15(2):120-4.) นอกจากนี้เนื่องจากใน Oatmeal มีทั้งคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนจึงให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ด้วย

– น้ำมันจากพืชต่างๆหลายชนิด ได้แก่ Babassu (Orbignya oleifera), มะรุม (Moringa oleifera), ทานตะวัน, Meadowfoam, Argan, มะกอก และ Baobab (Adansonia digitata) ซึ่งบางชนิดเป็นพืชหายากที่ใช้กันบางเขตของโลก เหมือนเป็นการตลาดด้วยส่วนหนึ่ง เพราะปกติน้ำมันจากพืชจะมีสารประกอบกรดไขมันต่างๆ Phytosterol Phospholipid และสารอื่นๆที่สามารถดูดซึมเข้าสู่ผิวหนังได้ ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้นโดยไปทดแทนไขผิวหนังที่เสียสภาพไป อาจจะให้ผลลดริ้วรอยได้ แต่บางคนอาจจะแพ้น้ำมันพืชบางอย่าง หรือเกิดการอุดตันรูขุมขนจากน้ำมันได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ในแต่ละบุคคลจึงควรทดสอบก่อน

1.2 สารสำคัญที่เป็นสารบริสุทธิ์ ได้แก่

– Sodium hyaluronate มีบทบาทในเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนัง

– Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ตัวนี้มีบทบาทหลายๆอย่าง ทั้งในเรื่องการเป็น Whitening ช่วยปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ ลดการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนเลือด กระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆในหนังกำพร้า (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)

– Adenosine เหมือนเป็นสารชั้นสูงที่ใช้กันในเคาน์เตอร์แบรนด์ โดยเฉพาะแบรนด์ L แต่ปัจจุบันก็เห็นมีใช้กันหลายแบรนด์ Claim กันว่าเป็นองค์ประกอบของสารให้พลังงานของเซลล์ที่ชื่อ ATP ก็จะช่วยประสานการทำงานต่างๆของเซลล์ เพิ่มพลังให้เซลล์ ว่ากันไป ซึ่งถ้าอิงจากฐานข้อมูลงานวิจัยมีกล่าวถึงผลเกี่ยวกับการลดริ้วรอยอยู่ (J Cosmet Sci. 2007; 58(2):147-55.)

– Acetyl heptapeptide-9 ตัวนี้ใช้คู่กับ Colloidal gold นำมาจับกัน (Conjugated) เพื่อเพิ่มการดูดซึมเข้าสู่ผิว ออกฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของ Fibroblast เพื่อให้สังเคราะห์คอลลาเจนเพิ่มขึ้น ทำให้ริ้วรอยต่างๆดูจางลง

– Oxygen อันนี้ไม่ทราบวัตถุประสงค์จริงๆค่ะ เป็นเทรนด์ของเกาหลีที่ชอบบอกว่าเติม Oxygen ให้ผิว แต่ Oxygen ถ้ามีมากเกินไปและถูกเหนี่ยวนำให้เป็น Radical (อนุมูลอิสระ) จะทำร้ายผิวได้

2.เนื้อผลิตภัณฑ์ ได้แก่

2.1 ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Propylene glycol, Butylene glycol, Pentylene glycol, Dipropylene glycol, Butylene glycol Dicaprate/Dicaprylate ซึ่งให้คุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นแก่ผิวได้ดี

2.2 ส่วนของน้ำมัน ได้แก่

– น้ำมันจากพืชหลายๆชนิด ที่ดูดซึมเข้าผิวได้ (กล่าวในส่วนของ Active ingredients) และ Hydrogenated vegetable oil

– สารเคลือบคลุมผิวรักษาความชุ่มชื้น ได้แก่ Hydrogenated polydecene, Methyl hydrogenated rosinate, Ethylhexyl olivate, Hexyl laurate ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันน้ำระเหยออกจากผิวหนัง

3.สารองค์ประกอบอื่นๆ

3.1 อนุพันธ์ของซิลิโคน ได้แก่ Cyclopentasiloxane, Phenyltrimethicone, Cetyl PEG/PPG-10/1 Dimethicone, Cyclohexasiloxane, Dimethicone, Cetyl dimethicone, Triethoxycaprylylsilane, Hydrogenated dimethicone พวกนี้ทำหน้าที่แตกต่างกันไป และยังช่วยให้สัมผัสที่ดีตอนทาครีม ช่วยเคลือบคลุมผิวให้เรียบเนียน รู้สึกดี

3.2 Emulsifier/Surfactant ได้แก่ Polyglyceryl-4 isostearate ตัวนี้ให้สมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นได้, Sorbitan isostearate, Sorbitan olivate, Disteardimonium hectorite ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของ Hectorite ซึ่งเป็นแร่ที่ได้จากธรรมชาติ เป็น Emulsifier จะให้ครีมที่มีเนื้อเนียนและมีสีขาว เป็นสารเพิ่มความหนืดในตัว ทำให้ครีมที่ได้มีความหนืดเหมาะสม แผ่กระจายบนผิวได้ดี และเป็นมิตรกับผิว

3.3 สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Glyceryl polymethacrylate, Gelatin และ Acacia gum ซึ่งสองตัวหลังเป็นสารที่ได้มาจากธรรมชาติ

3.4 Preservatives ได้แก่ Phenoxyethanol, 1,2-hexane diol, Caprylyl glycol, Ethylhexylglycerine 3 ตัวหลังมีฤทธิ์ฤทธิ์ระงับเชื้ออ่อนๆ นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ด้วย

3.4 Pigment/Mineral ได้แก่ Titanium dioxide, Zinc oxide 2 ตัวนี้ให้สีขาว และมีคุณสมบัติเป็น Physical sunscreen ได้เมื่อใช้ในความเข้มข้นค่าหนึ่งขึ้นไป, Talc เป็นแร่ที่มีคุณสมบัติช่วยดูดซับความมันบนผิวได้ ไม่มีคุณสมบัติที่ให้สี, CI77491, CI77492, CI77499 3 ตัวนี้ เป็น Iron oxides สีเฉดเหลือง-ส้ม

3.5 สารแต่งกลิ่น/น้ำหอม ได้แก่ Grapefruit peel oil กับ Fragrance ซึ่ง Grapefruit peel มีสารพฤกษเคมีกลุ่ม Coumarins ที่อาจจะทำให้เกิดภาวะไวต่อแสงแดดได้ในบางราย จึงอาจจะระวังเวลาออกไปแดดจัดๆนานๆ

3.6 สารที่มีหลายหน้าที่ มีสองตัว

– Triethyl citrate ตัวนี้เป็น Ester ของ Citric acid มีหลายๆหน้าที่เช่นเป็น Solvent ช่วยละลายสาร และก็ทำหน้าที่ระงับการหลั่งเหงื่อ ซึ่งก็เป็นไปได้ทุกหน้าที่ นอกจากนี้ก็สามารถใช้เป็น Fixative ในผลิตภัณฑ์ประเภทน้ำหอมให้กลิ่นติดทนนานได้ มีวัตถุดิบตัวหนึ่งของบริษัท Elementis ชื่อว่า Bentone gel ประกอบด้วย Disteardimonium hectorite, Phenyltrimethicone และสารตัวนี้ ทำหน้าที่เป็นสารเพิ่มความหนืด และช่วยปรับลักษณะของผลิตภัณฑ์ให้แผ่กระจายได้ง่าย ไม่เหนอะหนะ ช่วยให้ผิวนุ่ม แลดูเงางาม ควบคุมความมัน ซึ่งก็ถือว่าเป็นคุณสมบัติของรองพื้น/BB ที่ดี

– Calcium stearate ตัวนี้สามารถเป็นสารให้สี สารป้องกันเม็ดสี(ของแข็งที่ไม่ละลาย)ตกตะกอนและอัดกันแน่น (Caking) เพิ่มความคงตัวของ Emulsion ควบคุมความหนืด
จะเห็นได้ว่าค่อนข้างมาเต็มเลยทีเดียว ถ้าใครผิวขาวๆหน่อยน่าจะจัดได้ค่ะ เนียนผ่องได้ทั้งวี่วันค่ะ

[Beauty Talks] Winter Skincare

[Beauty Talks] Winter Skincare

รู้สึกว่าช่วงนี้หาสาระไม่ค่อยได้ วันนี้เลยมาจัด Winter Skincare ต้านลมหนาวค่ะ

หลายๆคนเลยคงเกิดคำถามว่า หน้าหนาวแล้วโบกครีมโบกโลชั่นยังไงผิวก็ยังแห้งยังลอกอยู่ไม่หายซักที สุดท้ายก็ต้องไปลงเอยกับเวชสำอางแพงๆ แล้วก็ดีขึ้นกระจิ๊ดนึง

วันนี้มาไขคำตอบให้ค่ะ

สืบเนื่องจากบทความคราวก่อน เราเมาท์กันเรื่องมอยส์เจอไรเซอร์ ว่ามันจะประกอบด้วยสารสามกลุ่มหลักๆคือ

moisture 4

1. Humectant คือ สารดูดน้ำให้ผิว
2. Emollient คือ สารไขมันที่ดูดซึมได้ ช่วยให้ผิวนุ่ม
3. Occlusive คือ สารไขมันที่ไม่ดูดซึม ทำหน้าที่เคลือบผิวกันน้ำระเหยออกจากผิว

เพราะผิวเรามีน้ำมากกว่าอากาศ น้ำในผิวมันก็เลยจะต้องออกไปหาอากาศ ตามหลักเคมีทั่วไปค่ะ แต่ โชคดีที่ผิวเรามี Barrier ซึ่งเกิดมาจาก Ceramide/Cholesterol และสารจับน้ำในผิว ที่เราเรียกว่า NMF คอยรักษาน้ำไว้

แต่ทีนี้ การดูแลตัวเองที่ไม่ถูกต้อง หรือสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป ทำให้ระบบ Barrier พวกนี้ผิดปกติไปค่ะ จึงต้องมีการเสริมด้วย Moisturizer ซึ่งจุดนี้ ไม่ต้องไปพึ่งเวชสำอางแพงๆเลยก็ได้ ถ้าเรารู้จักพิจารณาส่วนผสม เครื่องสำอาง Mass market หลายๆชิ้นเลยก็มีคุณสมบัติเพิ่ม Barrier ให้ผิวได้ เผลอๆดีกว่าเวชสำอางอีก

(Note: คำว่า เวชสำอาง กฏหมายยังไม่ยอมรับนะคะ เป็นแค่ชื่อที่ผู้ผลิตตั้งมาเพื่อการขายเฉยๆ)

มาดูกันที่เจ้ามอยส์เจอไรเซอร์นะคะ

Humectant นี่เป็นสารดึงน้ำ ตัวอย่างที่เราพบบ่อยก็เช่น Sodium hyaluronate, โปรตีน เช่น Collagen, Glycerin, พวกที่ลงท้ายด้วย Glycols, น้ำตาล เช่น Glucose, Sorbitol และก็กรดอะมิโน

พวกนี้จะออกฤทธิ์โดยดึงน้ำจาก”อากาศ”

ย้ำ จาก “อากาศ” มาให้ผิว

แล้วพอหน้าหนาว อากาศแห้ง ทาไปมันจะไปดึงน้ำที่ไหนคะ???

มันก็ดึงจากผิวเรานั่นหล่ะค่ะ ตอบคำถามบางคนได้เลยค่ะ ว่าตบน้ำตบไฮยา แล้วยิ่งแห้ง ใช้มอยส์เจอร์สูตรน้ำแล้วก็แห้งเหมือนเดิม เผลอๆแห้งกว่าเดิมอีก

ก็เพราะประการนี้แหล่ะ

แล้วเราจะทำไงดี??

คำตอบก็คือ Occlusives ค่ะ

หลายๆเคสเลย ในคนผิวแห้ง ปริมาณน้ำในผิวชั้นในเค้าไม่ได้ต่างจากคนผิวปกติ หรือคนผิวมันเลย แค่เค้ามีน้ำในผิวชั้นนอกน้อยกว่าคนปกติ เลยแห้ง แตก ลอก คัน แค่นั้น

เราก็โบก Occlusives ลงไปค่ะ เพื่อกันไม่ให้น้ำระเหยออกไป ผิวเราก็จะกักเก็บน้ำได้มากขึ้น และชุ่มขึ้นค่ะ

occlusive 3-e

occlusive 4-e

สำหรับการเพิ่มประสิทธิภาพของ Occlusive ที่ดีก็คือ ทาหลังอาบน้่ำค่ะ ให้มันเก็บน้ำที่อาบไปมะกี๊ไว้ในผิว หรือถ้าไม่ชอบก็ภายใน 30 นาทีหลังอาบค่ะ

จะอาบอุ่นอาบเย็นอาบร้อนไม่ว่า อาบเสร็จเติมไขมันทดแทนให้ผิวค่ะ

สำหรับคุณสมบัติในการเป็น Occlusives ของเครื่องสำอางต่างๆ เรียงจากมากไปหาน้อยก็จะได้แก่

กลุ่มแรกเป็นกลุ่มน้ำมันค่ะ

occlusive 1

Vaseline บริสุทธิ์ (หรือ Petroleum jelly, soft parraffin) > Ointment (ขี้ผึ้ง) > Body oil (น้ำมันทาตัว ที่เป็นพวกตระกูล Mineal oil หรือตระกูล Poly…. ต่างๆ น้ำมันจากพืชไม่นับนะคะ เพราะมันดูดซึมได้ ไม่สามารถกันน้ำระเหยได้)

Note: สำหรับคนที่จะใช้วาสลีน ลองมองหาแบบหลอดนะคะ จะได้ลดการปนเปื้อนได้ แต่ถ้าไม่สะดวก เอาแบบกระปุกก็ได้ แต่ควรแยกสำหรับตัว กับสำหรับหน้าเป็นคนละกระปุกค่ะ

อีกนิดอีกทีนึงค่ะ เดี๋ยวนี้มีวาสลีนแต่งสีแต่งกลิ่น เติมน้ำมัน เติมสารสกัดนู่นนี่นั่น เอาแบบธรรมชาติของมันก็ดีอยู่แล้วค่ะ จริงๆมันก็ไม่จำเป็นเลยค่ะ เพราะเราสามารถที่จะรองอะไรก็ได้ แล้วค่อยเอาวาสลีนทับไปอีกชั้นนึง

กลุ่มที่สองเป็นกลุ่ม Emulsion (น้ำมันผสมกับน้ำ)

occlusive 2

Body Butter > Body cream > Body lotion

คำว่า Cream เราแบ่งเป็นสองแบบค่ะ (จริงๆมีมากกว่าสอง)

Cream แรก คือ ครีมน้ำมัน มีน้ำมันเป็นองค์ประกอบหลัก ก็จะคลุมผิวได้ดีกว่า

อีกครีมคือ ครีมน้ำ มีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก พวกนี้ก็จะคลุมผิวได้น้อย แต่ก็เติมน้ำให้ผิวได้ดีกว่าค่ะ

จริงๆมันจะมีครีมซิลิโคนอีกค่ะ ซิลิโคนบางตัวระเหยได้ บางตัวไม่ระเหย มันก็จะเป็น Occlusive ที่ดีเหมือนกัน แถมสัมผัสดีกว่า ไม่เหนอะหนะเหมือนพวก oil

วันนี้ก็มีแค่นี้ค่ะ จริงๆว่าจะเขียนเร็วกว่านี้นะ แต่ลืมตลอดเลยค่ะ

[Cosmetic Science] All about snail รู้ลึกรู้จริงเรื่องหอยทาก

[Cosmetic Science] All about snail รู้ลึกรู้จริงเรื่องหอยทาก

ช่วงก่อนๆ เมือกหอยทากกำลังบูมมากในบ้านเรา แต่มาตอนนี้เริ่มกร่อยๆไปแล้วก็จริง แต่มี่ว่าหอยทากยังดู “Promisable” อยู่นะคะ เพราะลักษณะของเมือกหอยในการ Repair ผิวหนังที่ได้รับความเสียหายไม่ว่าจะเป็น Chemical UV หรือ damage อื่นๆ

วันนี้เรามาเจาะลึกกันดีกว่าค่ะ

หอยบนมือ-edit
(ขอบคุณหอยทากน้อยๆจาก Reelle clinic institute ค่ะ)

สงสัยมั้ย ทำไม อยู่ดีๆ เขาถึงเอาหอยทากมาใช้เป็นครีมได้ แล้วดังมากด้วย ในบ้านเรา เทรนด์เครื่องสำอางหอยทากน่าจะมาจากทางเกาหลีค่ะ แต่ความจริงแล้ว ถ้าดูจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ (รายงานการวิจัยเกี่ยวกับการทดสอบเชิงคลินิกของเมือกหอยทากในการลดริ้วรอย) เขาบอกว่า

ในปี 1999 ศ.ดร. Abad Iglesias ได้พบว่า หอยทากสายพันธุ์ Cryptomphalus aspersa จะหดหนวดตอนเจอรังสี X ray และรังสีแกมม่า หลังจากนั้นมันก็จะสร้างน้ำเมือก ซึ่งประกอบด้วยสาร Glycosaminoglycan หรือ GAGs (สารประกอบคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน ที่เชื่อๆกันว่ามีฤทธิ์ทางชีวภาพเยอะมาก) และรักษา/ฟื้นฟูความเสียหาย/บาดแผลของตัวเองได้ภายใน 48 ชั่วโมง

ส่วนข้อมูลอื่นๆ เขาก็มีบอกว่า ญี่ปุ่นกับจีน ใช้หอยเดินบนหน้ามาหลายร้อยปี (ไม่ก็พันปีบ้างหละ) อันนี้ก็ไม่รู้จริงแท้แค่ไหนนะคะ เอาเป็นว่า มีสองค่ายละกันเนาะ ทางยุโรป กับ ทางเอเชีย ว่ากันไป

จริงๆแล้วไม่ใช่หอยทากทุกชนิดจะสามารถเอามาใช้เป็นวัตถุดิบเครื่องสำอางได้นะคะ มีเเค่เพียงบางชนิดเท่านั้น ซึ่งที่เราพบบ่อยจะเป็นเจ้า Cryptomphalus aspersa นี่แหละ ตัวนี้มีชื่อพ้องว่า Helix aspersa ค่ะ (ตรงส่วนของชื่อพ้องนี่ Admin ไม่แน่ใจความถูกต้องของข้อมูลเท่าไหร่นะคะ เพราะในงานวิจัยที่มีรายงานในฐาน จะใช้ชื่อสายพันธุ์ว่า Cryptomphalus aspersa หมดเลย)

เมือกหอยทาก ประกอบด้วยของเหลวที่หลั่งออกมาจากต่อม 3 ต่อม คือ

1. Mucous gland ที่บริเวณเท้า ซึ่งเชื่อว่ามีฤทธิ์ Curative กับ Restorative สองคำนี้ไม่อยากแปลเลยค่ะ ดูเกินจริงกับขอบข่ายนิยามเครื่องสำอางมาก แปลว่า รักษา กับ ฟื้นฟู ค่ะ

2. Proteic gland จากภายในร่างกาย เชื่อว่ามีฤทธิ์ต้านจุลชีพต่างๆ ช่วยปกป้องตัวหอยจากจุลินทรีย์ร้ายๆบนดินค่ะ

3. Salivary gland จากทางเดินอาหาร เชื่อว่าเป็นพวกน้ำย่อย Claim กันไปว่า เวลาทาจะช่วยย่อยเซลล์ผิวที่ตายแล้วออก และช่วยให้สารอื่นๆซึมผ่านง่ายขึ้น (Digestive and penetrating effecr)

ในท้องตลาดมีการ Claim เกี่ยวกับเครื่องสำอางผสมเมือกหอยทากกันไปมากมาย แต่ที่มีการทดสอบยืนยันจะเป็นเรื่องของริ้วรอยค่ะ ซึ่งให้ผลดีในอาสาสมัครค่ะ

“Cosmetic Claims vs Scientific studies”

* Cosmetic Claims หมายถึง การกล่าวอ้างสรรพคุณของเครื่องสำอาง
* Scientific studies หมายถึง การศึกษาค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์

อย่างที่บอกว่าเครื่องสำอางผสมเมือกหอยทากในท้องตลาดก็มี Claim กันไปต่างๆนานาสารพัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณสมบัติในการรักษาแผลไหม้ ทั้งจากความร้อน จากแสงแดด จากสารเคมี จากรังสี คุณสมบัติในการรักษาแผลเป็น คุณสมบัติในการรักษาโรคผิวหนังอักเสบต่างๆ เช่น Dermatitis, Eczema, Rosaceae คุณสมบัติในการลดริ้วรอย กระชับรูขุมขน รวมไปถึงคุณสมบัติในการกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิว ผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวหนัง ฯลฯ

ถ้าค้นจากข้อมูลงานวิจัยในฐาน Pubmed จะพบแค่เกี่ยวกับเรื่องคุณสมบัติการลดริ้วรอยในอาสาสมัคร และแค่คุณสมบัติในการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ผิวหนัง (Keratinocye) กับเซลล์ที่สร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจน-อิลาสติน (Fibroblast) ลองดูรายละเอียดแต่ละการทดลองดีกว่าค่ะ

การทดลองแบบ In vitro (ในระดับหลอดทดลอง หรือหมายถึงนอกร่างกายสิ่งมีชีวิต) โดย Cruz และคณะ ทดสอบพบว่า เมือกจากหอยทากมีคุณสมบัติกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง ในลักษณะที่เป็น Time and Dose dependent หมายถึง การตอบสนองขึ้นกับเวลาที่สัมผัสสาร และความเข้มข้นสาร ประมาณว่า ใช้นานๆยิ่งดี ใช้ความเข้มข้นสูงยิ่งดี และยังช่วยเพิ่มอัตรารอดชีวิตของเซลล์ผิวหนัง กับ Fibroblast ได้ด้วย ผู้วิจัยจึงสรุปว่า เมือกหอยทากน่าจะเอาไปใช้ในกรณีของการเร่งการสมานแผลได้ (Wound healing) (Int J Cosmet Sci. 2012; 34(2):183-9.)

มีการทดสอบเชิงคลินิก (Clinical trial) อีกสองชิ้น ทำคล้ายๆกันค่ะ เป้นการศึกษาผลของเมือกหอยทากในการลดริ้วรอย (เขาจะใช้คำว่า Photoaging ซึ่งแปลตรงตัวจะหมายถึงการแก่ที่เกิดจากแสง แต่แปลเป็นไทยน่าจะหมายถึง การแก่ก่อนวัย)

การทดสอบแรก ทำโดย Tribó-Boixareu และคณะ ทดสอบกับอาสาสมัครผู้หญิง 15 คน โดยให้ใช้ผลิตภัณฑ์โลชั่นหอยทากเข้มข้น 8% ตอนกลางวัน คู่กับ Hydrogel (เหมือนซีรัมค่ะ) ผสมหอยทากเข้มข้น 40% ตอนกลางคืน เป็นเวลา 90 วัน พบว่าริ้วรอยตื้นๆและริ้วรอยลึกของอาสาสมัครลดลง สีผิวสม่ำเสมอขึ้น ผิวหยาบกระด้างลดลง มีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น (Cosmetic Dermatol. 2009; 22(5):247-252.)

ส่วนอีกการทดสอบ ทำโดย Fabi และคณะ ทดสอบในลักษณะคล้ายๆกันคือ ใช้ผลิตภัณฑ์โลชั่นหอยทากเข้มข้น 8% ตอนกลางวัน คู่กับ Hydrogel (เหมือนซีรัมค่ะ) ผสมหอยทากเข้มข้น 40% ตอนกลางคืน แต่คราวนี้ให้ทาแค่ครึ่งหน้า อีกครึ่งหน้าทา Placebo (มีความหมายว่า ยาหลอก หมายถึงตัวอย่างที่ไม่มีสารที่ใช้ทดสอบ สำหรับการทดลองนี้ก็คือ ครีม/ซีรัมที่ไม่มีหอย) เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่า ข้างที่ใช้หอยมีริ้วรอยลดลง ริ้วรอยลึกๆตื้นขึ้น (J Drugs Dermatol. 2013; 12(4):453-457.)

ส่วนเรื่องการ Claim ว่าเมือกหอยทากสามารถรักษาแผลไหม้ได้ น่าจะเป็นเพราะว่า คุณ ศ.ดร. Abad นำเอาเมือกหอยทากไปรักษาคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บจากโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ Chernobyl ระเบิด (หรือเปล่านะ ไม่ได้ค้นเกี่ยวกับประวัติของ Chernobyl accident เหมือนกันค่ะ ใช่หรือไม่ใช่แจ้งเข้ามาได้นะคะ) แล้วได้ผลดี แต่พยายามหารายงานตัวนี้ไม่พบค่ะ เจอแต่การกล่าวถึงในผลงานตีพิมพ์ฉบับอื่นๆ

สรุป:
รายงานทางวิทยาศาสตร์พบว่า เมือกหอยทากสามารถ
1. กระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง เซลล์ Fibroblast (ที่สร้างคอลลาเจน)
2. ช่วยให้เซลล์ทั้งสองเซลล์นี้มีชีวิตยืนยาว (เพิ่ม Survival ของเซลล์)
3. ลดริ้วรอย ปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอเนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นให้สม่ำเสมอ ช่วยให้ผิวเนียนเรียบ

นอกนั้นยังไม่พบข้อมูล (อิงจากฐาน Pubmed เมื่อสิ้นเดือนพฤษภาคม 2557)

แล้วในเมือกหอยทากมันมีอะไร ถึงได้เคลมกันสุดฤทธิ์สุดเดชขนาดนี้

เราคงสงสัยว่า ในเมือกหอยทากมันมีอะไร ทำไมถึงได้เป็นที่มาของคำ Claim ต่างๆนานา Admin เองก็สงสัยค่ะ ซึ่งก็มีข้อมูลจากผู้จำหน่ายวัตถุดิบระบุว่าการวิเคราะห์แบบหยาบๆของเมือกหอยทาก (เฉพาะวัตถุดิบที่เขาขาย) จะมีส่วนของโปรตีนทั้งหมด (Total proteins) อยู่ 1.0-3.0 mg/ml ถามว่าเยอะไหม มีข้อมูลบอกว่าในนมวัว 1 ลิตร มีโปรตีนอยู่ 30-35 กรัม คิดคำนวณแล้วตกอยู่ที่ 30-35 mg/ml (ข้อมูลโปรตีนในนมวัวจาก Wikipedia) ถือว่าน้อยนะ ต่างกันเกือบ 10 เท่าเลยค่ะ แต่เขานำเอาส่วนของโปรตีนไปวิเคราะห์ต่อ เขาพบว่ามีโปรตีนสองแบบ คือ แบบโมเลกุลใหญ่กว่า และแบบโมเลกุลเล็กกว่า

ซึ่งโปรตีนโมเลกุลใหญ่ มีน้ำหนักโมเลกุลมากกว่า 250 kDa (ค่าที่ใช้บอกน้ำหนักโมเลกุลของสารเคมี) เป็นโปรตีนประเภท Hemocyanin ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการแลกเปลี่ยนและนำพาออกซิเจน ส่วนพวกโปรตีนโมเลกุลเล็กกว่า 100 kDa เป็นโปรตีนชนิดพิเศษที่ยังไม่เคยมีรายงานในฐานข้อมูล มีองค์ประกอบของกรดอะมิโนเกือบครบ ขาดแต่ Methionine กับ Tryptophan

นอกจากนี้มีส่วนของน้ำตาลทั้งหมด (Total sugars) อยู่ 0.5-0.7 mg/ml และธาตุแคลเซียม 1.3 mg/ml

ส่วนข้อมูลจากสิทธิบัตรที่เกี่ยวกับกรรมวิธีการผลิตเมือกหอยทาก ระบุว่าในเมือกหอยทากมีส่วนประกอบต่างๆ ดังนี้
80-98% Water
0.02-1% Mucopolysaccharide
0.01-1% Hyaluronic acid
0.05-0.5% Fibroblast growth factor
0.001-0.2% copper-hemocyanin (the oxygen carrier)
0.005-0.1% High-MW proteins
0.005-0.1% Low-MW antioxidants

ดูแล้วแบบว่า น้ำ 80-98% หมายความว่า เกือบทั้งหมดคือน้ำ ส่วนสารอื่นๆ ที่น่าสนใจก็มี Hyaluronic acid, Fibroblast growth factor, Hemocyanin และ Antioxidants ต่างๆค่ะ

แต่มันจะทำให้เกิดผลได้ตาม Claim ขนาดนั้นเลยหรือ จุดนี้ก็ไม่ทราบ และ Clinical trial เองก็ระบุมาแค่ฤทธิ์ในการลดริ้วรอย กับมีงานวิจัยในระดับหลอดทดลองบอกว่าเมือกสามารถกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนัง และเซลล์ Fibroblast ได้
ถ้าพิจารณาความเกี่ยวโยงระหว่างส่วนประกอบทางเคมี กับผลการศึกษาทางคลินิก และระดับหลอดทดลอง ก็สามารถโยงความสัมพันธ์ได้อยู่นะคะ เพราะสารประกอบเหล่านี้มีคุณสมบัติในเชิง Anti-wrinkle และ Antiaging ได้จริงค่ะ ส่วนตัว Hemocyanin ก็ค่อนข้างน่าสนใจ เพราะว่าเป็นสารที่ยังไม่ค่อยมีใครกล่าวถึง มีคุณสมบัติคล้ายกับ Hemoglobin ในเลือด ทำหน้าทีเป็น Oxygen carrier คือจับออกซิเจนไว้ แล้วเอาไปปลดปล่อยที่อื่นๆ
แล้ว Oxygen จริงๆ ก็ไม่ใช่ว่าจะดีนะ ผลแท้จริงมันคืออะไรก็ยังไม่มีใครตอบได้แน่ชัด แล้วถ้าเกิดเป็น Oxygen radical ก็ยิ่งจะไปทำร้ายผิว เพราะเป็นอนุมูลอิสระสามารถไปทำร้ายโปรตีนและไขมันที่เป็นโครงสร้างบนผิว เกิดเป็นความเหี่ยวได้ในระยะยาว แต่จุดนี้เนื่องจากมีเปอร์เซ็นต์ของสารนี้น้อยมากจึงยังไม่น่าจะต้องห่วงเท่าไหร่ คงให้คุณสมบัติที่ดีกับผิวมากกว่าค่ะ

แต่อย่าลืมว่า อันนี้เป็นข้อมูลจากผู้ผลิตแค่สองรายเท่านั้น กรรมวิธีการผลิตแต่ละที่ อาจจะทำให้ได้ความบริสุทธิ์ไม่เท่ากัน และบางบริษัทแยกหอยทากออกมาแล้วเอามาเติมน้ำเข้าไปอีก ก็มี ทำให้ยิ่งเจือจางเข้าไปกว่าเดิม แม้ว่าเค้าจะบอกว่าใช้เข้มข้น 70% (สมมติ) จริงๆแล้วในเมือกหอยมีน้ำไปซะ 98% เหลือสารอื่นๆแค่กี่เปอร์เซ็นต์เอง แต่บางแบรนด์บอกว่าใช้เมือกหอย 5% (สมมติ) แต่จริงๆแล้วอาจจะเอาน้ำไประเหยออกก่อนได้เป็นเมือกหอยเข้มข้น ก็เป็นไปได้นะ ดังนั้นเราจึงไม่สามารถบอกอะไรได้จากความเข้มข้นของเมือกหอยทาก หรือ Snail secretion filtrate ที่ข้างกล่องเลยค่ะ เพราะเราไม่ทราบความบริสุทธิ์ และผู้เดียวที่จะทราบได้ก็คือผู้ผลิต ที่สำคัญคือ ถ้าใช้แล้วถูกกับผิว มีราคาไม่แพง ก็ใช้ต่อเลย เพราะส่วนประกอบในเมือกหอยทาก ดูๆแล้วน่าจะมีประโยชน์ แต่ระวังด้วย เพราะมีโปรตีน มีหลายๆคนที่แพ้โปรตีนค่ะ และที่สำคัญอีกอย่างคือ การแพ้/การระคายเคือง/การอุดตัน/ประสิทธิภาพ เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลค่ะ (ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า Individual แต่ถ้าให้แปลว่า เป็นเรื่องของปัจเจก นี่คงจะงงกันใหญ่ เราก็แปลง่ายๆว่า แล้วแต่บุคคลและกันเนาะ) การวิเคราะห์ส่วนผสมบอกได้แค่แนวทางคร่าวๆเฉยๆนะคะ

แล้วเราเอาเมือกหอยทากมา ทารุณสัตว์มั้ยคะ??

หลายๆคนก็กลัวว่า เครื่องสำอางจากหอยทากนี่ หอยทากจะบาดเจ็บหรือตายหรือเปล่า ถ้าเราไปเอาเมือกจากมันมาใช้ จะทารุณสัตว์มั้ย จะบาปมั้ย วันนี้จะได้ดูเบื้องหลังวิธีสกัดเมือกหอยทากแล้วค่ะ ซึ่งอิงจากวิธีที่นำเสนอไว้ในสิทธิบัตรของต่างประเทศนะคะ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทางเกาหลีจะทำแบบนี้หรือเปล่า แต่คิดว่าน่าจะทำในลักษณะที่คล้ายๆกันค่ะ พร้อมแล้วก็ไปลองดูด้วยกันเลยดีกว่า

เวลาจะแยกเมือกจากหอยทาก จริงๆแล้วก็มีหลายขั้นตอนนะคะ ไม่ใช่ว่าจับๆมาบี้ๆ ตำๆ เอาแต่เมือกเหมือนที่หลายคนคิด แต่ความจริงแล้ว เขามีกรรมวิธีการกระตุ้นหอยให้ตื่นตัว เมื่อหอยตื่นตัว หรือตกใจ ก็จะมีการสร้างเมือกออกมามากขึ้นค่ะ เราก็อาศัยจังหวะนี้ไปเก็บเมือกมา

วิธีการกระตุ้นหอยที่อธิบายไว้ในสิทธิบัตรมีด้วยกันหลายวิธัี เช่น
1. กระตุ้นด้วยสิ่งเร้าทางกายภาพ เช่น ไปแหย่ ไปจับ ฯลฯ
2. ใช้ความถี่ของเสียง
3. ใช้ความกดอากาศที่สูงกว่าปกติ
4. จับห้อยหัวอาศัยแรงโน้มถ่วงเป็นตัวกระตุ้น
5. เอาไปปั่นเหวี่ยงที่ความเร็วต่ำๆ
ฯลฯ

ซึ่งวิธีเหล่านี้ต้องไม่ทำอันตรายกับหอยทากค่ะ เพราะเชื่อกันว่าถ้าหอยทากเกิดอันตรายจนถึงตายจะหลั่งสารพิษออกมาเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นอันตรายกับร่างกายเราค่ะ

หลังจากหอยสร้างเมือกออกมา เราก็เก็บเอาเมือกนั้นมาปั่นเหวี่ยง (Centrifuge) ก็จะได้ส่วนของน้ำด้านบน กับส่วนตะกอนด้านล่าง

เอาส่วนน้ำมากรอง (Flitration) ก็จะได้ Snail Secretion Filtrate ที่ใช้กันเป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอางแล้วค่ะ

ทีนี้ก็ตอบโจทย์ได้แล้วค่ะ ว่าเมือกหอยทากนั้นได้มาโดยที่หอยทากไม่ต้องเสียชีวิตหรือทรมาณ ก็อาจจะเป็นทางเลือกหนึ่งสำหรับ Skin care regimen ของเราก็เป็นไปได้

อย่าลืมว่า หอยทากมีโปรตีนนะคะ อาจจะทำให้เกิดการแพ้ได้ ดังนั้นก่อนใช้ควรทดสอบการแพ้ที่ท้องแขนก่อนค่ะ (ถ้าเป็นไปได้ทดสอบกับทุกอย่างก่อนการใช้เลยก็ดีค่ะ ถ้ามีสภาพผิวที่แพ้ง่าย) และที่สำคัญ ประสิทธิภาพของเครื่องสำอางแต่ละชนิด กับผลข้างเคียง-อาการไม่พึงประสงค์ที่อาจจะเกิด เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ค่ะ ควรทดสอบก่อนการใช้เสมอนะคะ

ตัวอย่างผลิตภัณฑ์ในตลาดค่ะ

snail white-crys

แบรนด์แรก SW

รีม SW ตัวนี้มีส่วนของ Active ingredients อยู่หลายตัว เน้นหนักไปทางสารสกัดจากธรรมชาติ ตัวเมื่อวานของ Dr.M. เน้นเป็นสารสกัดจากดอกไม้ มาตัวนี้เขาใช้ผลไม้ค่ะ มี 4 ผลไม้ ซึ่งปกติสารสกัดจากผลไม้จะมีจุดเด่นในเรื่องของการให้ความชุ่มชื้น อาจจะมีพวกวิตามินหรือพฤกษเคมีอื่นๆได้มาจากผลไม้ด้วย แต่ไม่เด่นเท่าเรื่องคุณสมบัติความชุ่มชื้นจากสารประกอบน้ำตาลในผลไม้ค่ะ

เสริมด้วยสารสกัดจากบัวบก ขิง และดอกตระกูลลาเวนเดอร์

มีสารที่เป็น Pure compund อยู่ 4 ตัว คือวิตามินบี 3 ซึ่งให้ผลไปทาง Whitening มี Hydrolyzed hyaluronic acid ที่ว่ากันว่ามีโมเลกุลเล็กลงจึงซึมลงผิวได้มากขึ้น ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้น

และมี Allantoin กับ Bisabolol ให้ผลไปในเชิงการต้านการอักเสบ ยับยั้งการแพ้ การระคายเคือง

อีกตัวที่น่าสนใจคือ Panax ginseng callus culture extract ที่ดูจากชื่อแล้วหมายถึง การเอาเนื้อเยื่อจากโสม (จะเรียก Stem cell ก็ดูจะเกินไป เพราะ Callus เป็นเซลล์ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อพืชในอาหารเลี้ยงเซลล์ เป็นเซลล์ที่จะโตเป็นชิ้นส่วนพืชต่อไป) ตัวนี้ Claim กันได้เว่อร์วีว่ามาก มีทุกฤทธิ์ ตั้งแต่ Whitening Antiaging Antioxidant wound-healing และ Antiinflammatory คือ ถ้าเอา Keyword นี้ไปคีย์ค้นหาในฐานข้อมูล ก็จะไม่มีงานวิจัยอะไรมา Support เลย และทางผู้ผลิตวัตถุดิบก็ไม่ได้เผยแพร่อะไรออกมา จึงอาจจะเป็นการ Overclaimed ไปหน่อย

ที่สำคัญคือ Callus กับ Plant extract มันมักจะไม่มีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนกันนะ ส่วนไหนก็ส่วนนั้น อย่างพืชต้นเดียวกัน ใบมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง ผลมีอีกอย่าง ก็เห็นกันอยู่บ่อยๆค่ะ ดังนั้นจะเอา Activity ของโสม มาใช้กับ Callus โสม ก็ไม่น่าจะถูกต้องเท่าไหร่

แบรนด์ที่สอง Dr.MJ

realmucin_ampoule-crys

ตัวนี้นอกจากหอยทากแล้วยังมีส่วนผสมของ Allantoin ซึ่งเป็นสารที่แยกได้จากรากคอมเฟรย์ ช่วยกดอาการแพ้และอาการระคายเคืองได้ค่ะ

มีกรดอะมิโน Arginine ซึ่งมีบทบาทเกี่ยวกับการไหลเวียนของเลือด

มีสารสกัดจากดอกไม้ต่างๆอีก 7 ชนิด จะว่าไป เกาหลีเค้าก็ชอบดอกไม้เหมือนกันนะคะ ซึ่งบางดอกก็มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์ทางชีวภาพ บางดอกก็เหมือนเป็นการใส่มาเพื่อจุดขาย หรือจะออกแนว เกสรทั้ง 5 7 9 แบบบ้านเรา (อันนี้พูดเล่นค่ะ)

โดยรวมแล้ว Ampoule หรือ ซีรัมตัวนี้ ก็ค่อนข้างน่าสนใจในระดับหนึ่งค่ะ เพราะมีสารสกัดจากดอกไม้ซึ่งมีผลเป็น Whitening เข้ามาด้วย ขอให้คะแนนความน่าสนใจของส่วนผสมหลักอยู่ที่ 4 ฟลาสก์ค่ะ

ตัวถัดมา แบรนด์ I

ITs

ตัวนี้ส่วนผสมมาเต็มมาก นอกจากเมือกหอยทาก ก็จะมี

– Sodium hyaluronate เป็น Glycoprotein ที่มีประโยชน์เกี่ยวกับเรื่องความชุ่มชื้นของผิว
– Grifola frondosa (maitake) mycelium ferment filtrate เป็นของเหลวที่กรองออกมาจากการหมักเห็ด ปกติเห็ดตัวนี้มีประโยชน์ปรับภูมิคุ้มกัน เมื่อนำมาหมัก ปกติจะเกิดกระบวนการที่เรียกว่า ‘Bioconversion’ ซึ่งเป็นการที่จุลินทรีย์เปลี่ยนสภาพสารพฤกษเคมีในพืชให้มีฤทธิ์เพิ่มขึ้น ทาง INCI จัดเป็น Antioxidant กับ Humectant (เพิ่มความชุ่มชื้น) รายละเอียดอื่นๆหาข้อมูลไม่พบ
– Betula alba extract คือสารสกัดจาก White birch ทางเครื่องสำอาง Claim ว่า เป็นตัวช่วยสมานผิว เป็น Astringent กระชับรูขุมขน ช่วยต้านการอักเสบ และเป็น Antioxidant ส่วนข้อมูลทางงานวิจัยจากฐาน Pubmed พบแค่ว่า สาร Betulin ที่พบในเปลือก อาจทำให้เกิดอาการแพ้ได้ (Contact Dermatitis. 2013; 68(6):382-3.)
– สารสกัดจากดอก campsis grandiflora ที่มีชื่อไทยสวยๆว่า ดอกรุ่งอรุณ มีงานวิจัยหลายๆฉบับศึกษาเกี่ยวกับดอกนี้ เช่น ในสารสกัดประกอบด้วยสารในกลุ่ม Triterpenoid หลายๆชนิด (Arch Pharm Res. 2005; 28(5):550-6.) มีฤทธิ์ Antioxidant และ Anti-inflammatory ที่อาจจะนำไปประยุกต์ใช้ในคนที่มีปัญหาโรคการอักเสบที่ผิวได้ (J Ethnopharmacol. 2006; 103(2):223-8)
– Trichloma matsutake extract สารสกัดจากเห็ดที่แสนจะแพงนี้ มีงานวิจัยที่ตรวจวิเคราะห์สารเคมีที่พบในเห็ด ซึ่งพบเป็นพวกกรดอะมิโน และเบสของ DNA ทั่วไป (J Food Sci. 2013 ; 78(8):C1173-82.) และมีฤทธิ์เกี่ยวกับการปรับสมดุลภูมิคุ้มกันได้เพราะมีสารในกลุ่ม Polysaccharide ที่ชื่อ alpha-glucan (J Agric Food Chem. 2005; 53(23):8948-56.)
– Opuntia tuna fruit extract เป็นพืชในตระกูลกระบองเพชร มีงานวิจัยหนึ่งกล่าวว่าในผลของพืชนี้มีวิตามินซี และสารสีในกลุ่ม Betalain ที่เป็น Antioxidant อย่างดี ซึ่งเมื่อให้คนทานจะลดภาวะความเครียดในร่างกายได้ (Am J Clin Nutr. 2004; 80(2): 391-395) แต่สารในกลุ่ม Betalain ไม่คงตัว การนำมาใช้อาจจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ (คหสต.)
– Malt extract มีบทบาทเกี่ยวกับเรื่องความชุ่มชื้น และช่วยปรับสภาพผิว
– Porphyra yezoensis extract เป็นพืชในตระกูลสาหร่ายสีแดง ซึ่งปกติจะมี Pigment สีแดงที่เป็น Antioxidant แต่ไม่พบข้อมูลเกี่ยวกับประโยชน์ต่อผิวหนังในฐานงานวิจัย
– Arbutin เป็นสารที่ช่วยให้สีผิวอ่อนลง โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่สังเคราะห์เมลานิน แต่มักจะไม่ค่อยคงตัวและสลายตัวง่าย
– Adenosine เป็นสารบริสุทธิ์ที่ Claim กันว่าเป็นองค์ประกอบของสารให้พลังงานของเซลล์ที่ชื่อ ATP ก็จะช่วยประสานการทำงานต่างๆของเซลล์ เพิ่มพลังให้เซลล์ ว่ากันไป ซึ่งถ้าอิงจากฐานข้อมูลงานวิจัยมีกล่าวถึงผลเกี่ยวกับการลดริ้วรอยอยู่ (J Cosmet Sci. 2007; 58(2):147-55.)
– sh-Oligopeptide-1 คือ EGF (Epidermal growth factor) ที่ได้จากการสังเคราะห์ของแบคทีเรีย เป็นpeptide สายยาวปานกลาง (ไม่เกิน 53 amino acid) ซึ่งการดูดซึมเข้าผิวอาจจะค่อนข้างยากไปนิด EGF มีการ Claim เกี่ยวกับเรื่องการกระตุ้นการทำงานของเซลล์ในผิวหนังชั้นนอก ช่วยลดริ้วรอย ส่งเสริมการสร้างเซลล์ผิว คืนความอ่อนเยาว์ เป็นวัตถุที่มีราคาค่อนข้างสูง (แต่ถูกกว่า EGF บริสุทธิ์)
– Tocopheryl acetate คืออนุพันธ์ของวิตามินอี ใช้เป็น Antioxidant เพื่อป้องกันไม่ให้สารในตำรับเสื่อมสภาพ แต่ผลิตภัณฑ์นี้มี BHT อยู่ด้วย ก็จะทำให้วิตอี มีผลเหลือถึงผิวหนัง

โดยรวมแล้วก็ถือว่าครบเลยค่ะ
ตัวอื่นๆที่น่าสนใจก็จะมี Nature republic กับ Mizon และ Holika holika ค่ะ

แต่ส่วนผสมเค้าเป็นภาษาเกาหลี อ่านไม่ออก = =

Reference:
Fabi, et al. J Drugs Dermatol., 2013; 12(4), 453-457.
Int J Cosmet Sci. 2012; 34(2):183-9.
Cosmetic Dermatol. 2009; 22(5):247-252.
J Drugs Dermatol. 2013; 12(4):453-457.
Technical data sheet, Endocare®, Cryptomphalus aspersa Secretion (SCA).
Wang, W., et al. Gastropod biological fluid, method of making and refining and use, International Patent, WO 2009/002982 A2

[Beauty Talks] วิธีการตรวจสอบเลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง

[Beauty Talks] วิธีการตรวจสอบเลขที่จดแจ้งเครื่องสำอาง

เดี๋ยวนี้มีเครื่องสำอางแปลกๆออกมาเยอะมากขึ้นเรื่อยๆค่ะ บางชนิดเองก็ไม่ผ่านการจดแจ้งทะเบียนกับอย บางชนิดก็จด แต่จดแบบปลอมๆ

วันนี้เลยเอาวิธีการตรวจสอบเลขที่จดแจ้งของเครื่องสำอางมาฝากกันค่ะ

ขั้นแรกเลย ให้เข้าไปที่เวบไซต์ e-cosmetic.fda.moph.go.th/ ก็จะได้หน้าต่างดังรูปค่ะ

ตรวจเลขจดแจ้ง 1

เข้าไปคลิกตรงคำว่า “ค้นหาข้อมูลเครื่องสำอาง” ที่ตีกรอบสีส้มไว้ ในรูป

ก็จะได้หน้าต่างแบบนี้

ตรวจเลขจดแจ้ง 2

คลิกคำว่า ข้อมูลรับแจ้งรายละเอียดเครื่องสำอาง (ส่วนที่ตีกรอบสีม่วงไว้) จะได้หน้าต่างดังรูป

ตรวจเลขจดแจ้ง 3

แล้วก็พิมพ์เลขที่จดแจ้งลงไปในช่อง “ค้นจากเลขที่แจ้ง” (ลูกศรสีม่วง) แล้วกดค้นหา ก็จะได้ข้อมูลออกมาดังนี้

ตรวจเลขจดแจ้ง 4

ง่ายมากเลยใช่มั้ยคะ ^^

ทีนี้สงสัยผลิตภัณฑ์อะไรก็เอามาคีย์ได้เลยค่ะ

แต่…

มีเลข อย ก็ไม่ได้แปลว่าจะปลอดภัยนะคะ

เพราะการจดแจ้งทะเบียนเครื่องสำอางในไทยเป็นลักษณะของการ Pre-Market control คือ ควบคุมแค่ก่อนการจำหน่ายในท้องตลาดเฉยๆค่ะ

หลังจากได้เลขที่จดแจ้งมาแล้ว ผู้ผลิตจะแอบไปใส่อะไร ลดอะไร ก็ไม่มีใครรู้ได้ค่ะ ดังนั้นเราควรเลือกซื้อจากผู้ผลิตที่ไว้ใจได้นะคะ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินและความงามค่ะ