Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมอยส์บำรุงผิวสูตรปรับใหม่ dermArtlogy Brighten Rejubarrier gel ปรับใหม่ ปรับฉ่ำ นวัตกรรมใหม่ รับ 2025

คุณๆ ยังจำ Radiance gel moisturizer ของ dermArtlogy ได้อยู่ไหมคะ

ทางแบรนด์ปรับสูตรอีกแล้ว คราวนี้ปรับใหญ่ ใช้สารใหม่ล่าสุด นวัตกรรมลึกล้ำเป็นเอกลัษณ์มาก มาดูกัน

ตัวนี้จะเป็นหน้าตาของผลิตภัณฑ์นะคะ ยังคงคุมโทนเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือเปลี่ยนชื่อเป็น Brighten rejubarrier gel

ภายใต้คอนเซปท์ Triple Skin Barrier Booster ด้วย LipomoideTM, AMPamideTM และ MLE® มันคืออะไร เดี๋ยวมีคำอธิบาย

ส่วนนี้เป็นภาพกล่องนะคะ ยังคงคุมโทนอยู่

เนื้อมาในแบบเจลครีม ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เลยจะได้กลิ่นของวัตถุดิบอยู่

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกเย็น สบายผิว คงความชุ่มชื้นและไม่เหนียวเหนอะหนะ

มาดูส่วนผสมกันนะคะ

ส่วนผสมในภาพรวมมาในเบสแบบครีมเจล ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซิลิโคน และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว มีสารบำรุงอยู่หลายชนิดให้ประโยชน์ต่อผิวได้ค่อนข้างกว้าง

เริ่มที่เทคโนโลยี MLE และสารไขมันต่างๆ แทนด้วยอักษรสีน้ำตาล

ส่วนผสมของ MLE จะเป็นคอมบิเนชั่นของสารหลายๆ ชนิด ในสัดส่วนที่เหมาะสม

  • ปกติแล้วในผิวเราจะมีไขมันที่ทำหน้าที่เป็น Barrier ผิว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ Ceramide + Cholesterol และ กรดไขมัน ไขมันเหล่านี้มันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งมีด้วยกันหลายรูปผลึก ส่วนหนึ่งเป็นรูปแบบ Liquid crystal
  • เจ้า MLETM นี่เป็นสูตรผสมของ Pseudoceramide (Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA หรือ Ceramide-9S) ร่วมกับ Phytosterol และกรดไขมัน Stearic acid เรียงตัวในรูปแบบที่คล้ายกับ Liquid crystal ของผิว เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิด Polarized light จะเห็นเป็นเครื่องหมายกากบาท เรียก Maltese cross

(Image from Neopharm)

ด้วยความที่การเรียงตัวเหมือนกันกับ Barrier ผิวเรา เลยมีแนวโน้มว่าทำหน้าที่ปกป้องผิวทดแทน Barrier ของผิว

  • Phytosterols ที่เสริมเข้ามายังมีประโยชน์เพิ่มเติมในด้านการดูแลปัญหาการอักเสบและระคายเคืองของผิวได้อีกทาง
  • นอกจาก MLE ยังมีน้ำมันจากทานตะวัน ที่มีองค์ประกอบของกรดไขมัน Linoleic acid อยู่สูง โดย Linoleic acid มีความสำคัญคือเป็นกรดไขมันจำเป็นที่เราสร้างไม่ได้ ต้องได้รับจากอาหาร หรือการทาภายนอก ตัวมันจะเป็นส่วนประกอบของ Ceramide EOS (Ceramide 1) ที่ทำให้ Barrier ผิวแข็งแรง
  • ถัดมา เป็นไขมัน Glycolipids ชนิดพิเศษ กลุ่ม Sophorolipids ที่ได้จากการหมักยีสต์ Candida bombicola (ชุดส่วนผสม Candida bombicola/glucose/methyl rapeseedate ferment) ตัวนี้ทำงานได้หลายหน้าที่ ทั้งเป็น Glycolipids ที่เป็น moisturizer เป็น surfactant และมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อแบคทีเรียบางประเภท

สารบำรุงตัวถัดมาคือ AquatideTM มีบทบาทและประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว ซึ่งเป็นเสมือนกระบวนการที่ผิวเรารีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างและฟื้นฟูเป็นองค์ประกอบใหม่ ให้ผิวเราทำงานได้ดีเหมือนเดิม

สำหรับท่านที่สนใจเรื่อง Aquatide สามารถตามไปอ่านเรื่องของ Aquatide แบบละเอียดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ (https://miyeonthereviewer.com/2019/06/11/spotlight-aquatide/)

สารสิทธิบัตรใหม่ที่ dermArtlogy เอามาใช้ในสูตรนี้

ตัวแรก LipomoideTM พัฒนามาเพื่อฟื้นฟู Barrier ผิว ด้วยการกระตุ้นการสังเคราะห์ไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว ผ่านเอนไซม์ Fatty acid synthase (FAS) สร้าง palmitic acid, Ceramide synthase 1 (CerS1) ที่ช่วยสร้าง Ceramide NP และ NS และ Serine palmitoyltransferase (SPT) ที่เติมกรดไขมัน palmitic ใส่หัวเบสของเซราไมด์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญในการสร้างเซราไมด์

พร้อมทั้งเสริมกระบวนการเจริญ (Differentiation) ผ่านการเพิ่ม Loricrin และ Keratin 10 เป็น marker บอกว่าผิวเจริญเต็มวัยแล้ว พร้อมๆ กับเสริมการสร้าง Filaggrin ที่จะกลายเป็น NMF ต่อไป ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นการสร้างเซลล์ผิวใหม่ด้วย

เรียกได้ตามแบรนด์เคลมว่าเป็นการกระตุ้น 3 ใหม่ คือ ไขมันเกราะผิวใหม่ โปรตีนใหม่ เซลล์ผิวใหม่

นอกจากนี้ยังไปออกฤทธิ์ยับยั้ง Thymic stromal lymphopoietin (TSLP) ซึ่งเป็น Cytokine ชนิดหนึ่ง ออกฤทธิ์คล้าย IL-7 เกี่ยวข้องกับอาการคันในโรคผิวหนังบางประเภท

TSLP สร้างจากเซลล์เยื่อบุ และเซลล์ผิวหนัง (Keratinocyte) ในคนสุขภาพดี TLSP จะไปกระตุ้นให้ Dendritic cells ทำงาน ไปทำให้ T cells เจริญกลายเป็น T-Helper cells (หรือ CD4+ cells) แล้วสร้าง Cytokines ที่เกี่ยวข้องกับการแพ้ เช่น IL-4, IL-5, IL-13 ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบและการแพ้จากระบบภูมิคุ้มกัน (Leyva-Castillo, et al. Nat Commun. 2013;4:2847.) 

โดยสาเหตุที่ KC จะสร้าง TSLP ออกมานั้นยังไม่ชัดเจน 1 ในนั้นก็คือเวลา Barrier เสียสมดุล KC จะปล่อยตัวนี้ออกมา (Kumar et al. J Allergy Clin Immunol. 2016;138(5):1461-1464.e6) พอออกมาแล้วก็อักเสบแบบวนลูป ในระยะยาวส่งผลให้เกิดโรคผิวหนังอักเสบ เช่น Atopic dermatitis 

โดยส่วนผสม LipomoideTM นี้ไปยับยั้งการสร้าง TLSP ได้ ทำให้อาการแพ้ การคัน ลดลง

อีกตัวคือ AMPamideTM ที่พัฒนามาจาก Defensamide ให้กล้าแกร่งขึ้นอีกขั้นโดย dermArtlogy เอามาใช้เป็นเจ้าแรกในเครือ Neopharm

เล่าถึง Toll-like receptors (TLRs) นิดหนึ่งค่ะ บนผิวเซลล์ของเราจะมี TLR อยู่ ซึ่ง receptor เหล่านี้เรียกว่าเป็นกลุ่ม pattern recognition receptor ซึ่งคล้ายๆ แบบเซนเซอร์ที่ตรวจจับอะไรบางอย่าง ในที่นี้มันจะตรวจจับสารที่ชื่อสร้าง หรือ สารที่เกิดมาเวลาเซลล์เรามีความเสียหาย พอมันจับกันแล้วระบบ TLR โดนเปิด จะส่งสัญญาณต่อไปให้มีการสร้างพวก Cytokines ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบต่อมา โดยพบว่าในคนที่เป็นสิว นี่เชื้อ C. acnes มันไปกระตุ้น TLR ได้เลยทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ หรือ ในกรณีคนไข้ผิวอักเสบ atopic, สะเก็ดเงิน Barrier ผิวจะอ่อนแอ ส่งผลให้พวกสารก่อการแพ้ระคายเคืองลงไปกระตุ้น TLR ได้ เลยเกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ (Lai and Gallo, Infect Disord Drug Targets. 2008;8(3):144–155.)

AMPamideTM นี้สามารถลดการทำงานของ TLR ที่ไวเกินไปได้ จึงให้ผลลดการอักเสบ ทั้งการอักเสบที่เกิดอยู่ก่อนหน้า และป้องกันการอักเสบใหม่

ต่อมาจะเป็นคอมบิเนชั่นของ Kappaphycus alvarezii Extract และ Caesalpinia spinosa Fruit Extract ที่เรียกว่า Biopolymers Film มีข้อมูลว่าเป็นการเบลนด์กันระหว่าง Polysaccharide 2 ฟอร์ม คือ galactomannans กับ sulfated galactans ที่จะสามารถก่อฟิล์มและเคลือบบนผิว ฟิล์มนี้ออกแบบด้วยเทคโนโลยีพิเศษ อากาศผ่านเข้าออกได้ (ไม่ occlusive) จึงบางเบาสบายผิว และมีคุณสมบัติให้ความรู้สึกกระชับผิว

แนบท้ายด้วยส่วนผสมเด่นอีกตัวหนึ่งอ่ะ

Epigallocatechin gallatyl glucoside (EGCGG) เป็นอนุพันธ์ของ EGCG จากชาเขียว ที่มีความคงตัวที่ดีขึ้น โดยเติมน้ำตาลลงไป 1 ตัว มีคุณสมบัติหลายๆ อย่างไม่ว่าจะเป็น Antioxidant ปกป้องผิวจากรังสี UV ดูแลการอักเสบระคายเคือง ลดรอยแดง ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ

มีงานวิจัยชิ้นหนึ่งกล่าวถึงการใช้ EGCG glucoside พบว่ามีความคงตัวที่ดี ปกป้องผิวจากรังสี UV สามารถเปลี่ยนกลับเป็น EGCG ได้ โดยอาศัยจุลินทรีย์ในผิว และให้ประโยชน์เป็น Whitening (Boira et al. Molecules 2024, 29(22), 5391)

สารบำรุงอื่นๆ ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กัน

  • Panthenol (โปรวิตามินบี 5) + Niacinamide (วิตามินบี 3) เด่นเรื่องคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคืองผิว
  • Symsitive (4-t-butylcyclohexanol) Block ความรู้สึกระคายเคืองผิว ผ่านการลดความไวในการตอบสนองที่ระบบประสาท TRPV-1 ที่รับความรู้สึกร้อน ทำให้เรารู้สึกสบายผิว มีข้อมูลว่าให้ผลลดอาการระคายเคือง แสบ แดง ร้อน ได้ค่อนข้างไว
  • สารสกัดจากรากของ Lithospermum erythrorhizon มีสารที่ชื่อว่า Shikonin ซึ่งมีรายงานการวิจัยกล่าวถึงความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ เสริมความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระของผิว ลดการอักเสบระคายเคือง และยังมีคุณสมบัติต่อต้านการเกิด Glycation หรือ การจับกันของน้ำตาลกับโปรตีน ที่จะนำไปสู่ความเสื่อมของผิว (Glynn et al. Exp Dermatol. 2018;27(9):1043-1047.) ข้อมูลจากแบรนด์บอกว่า สามารถลดรอยแดงที่เกิดจากการระคายเคืองได้ใน 1 สัปดาห์
  • Resveratrol เป็น antioxidant (AOX) ตัวหนึ่งที่วงการผิวหนังให้การยอมรับ พบได้ในพืชหลายชนิด รวมถึงในไวน์แดง มีประโยชน์กับผิวหลายประการ และมีงานวิจัยรองรับอยู่หลายฉบับ เช่น มีการทดสอบในคน ด้วย Tape stripping technique พบว่าเมื่อทา Resveratrol ลงบนผิวหนังจะสามารถดูดซึมลงไปยังชั้นล่างๆของ Stratum corneum และให้ผลต่อต้านอนุมูลอิสระยังบริเวณนั้นๆ ได้อยู่ (Arch Dermatol Res. 2017;309(6):423-431.) มีการทดสอบในหนูทดลองพบว่า Resveratrol สามารถลดการสร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดสี Melanin ได้หลายชนิด รวมทั้งยับยั้งการสังเคราะห์ Tyrosinase ได้ด้วย และยังให้ผลลดการสร้างสีผิวหลังจากถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (Biomol Ther (Seoul). 2014; 22(1):35-40.)
  • Glutathione ก็เป็น AOX อีกตัวที่วงการผิวหนังให้การยอมรับ นอกจากความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระแล้ว น้องยังมีส่วนช่วยให้ผิวเราสร้างเมลานินชนิด Pheomelanin ที่มีสีอ่อนกว่า Eumelanin ซึ่งในภาพรวมจะให้สีผิวที่อ่อนลง
  • Superoxide Dismutase เป็นเอนไซม์ที่ใช้ในการกำจัดอนุมูลอิสระของร่างกายตามธรรมชาติ
  • Beta-glucan จัดเป็นคาร์โบไฮเดรต ที่มีการทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า Beta-glucan ที่สกัดจากข้าวบาร์เลย์มีความสามารถในการเสริมการสมานแผล (Carbohydr Polym. 2019;210:389-398.) การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า Beta-glucan ที่สกัดจากข้าวโอ๊ตมีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ผิว ให้โตเต็มวัย ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และฟื้นฟู Barrier ผิว (Int J Biol Macromol. 2021;185:876-889.) ตัว Beta-glucan จัดเป็นสารในกลุ่ม Prebiotic ที่สนับสนุนการเจริญของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ Probiotic ส่งผลต่อเนื่องไปยังการปรับสมดุลของไมโครไบโอม ซึ่งจะช่วยให้ผิวมีความแข็งแรง
  • Zinc PCA ให้ประโยชน์ในการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง คือ ต้องบอกเลยว่าเจลนี้ไม่ธรรมดา โดยสารบำรุงที่ใส่มามีคีย์เด่นๆ 3 ประการ คือ เสริม Barrier แบบแข็งแกร่งมากผ่านหลายกลไก ให้คุณสมบัติลดการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว Soothing ฉ่ำมาก และ เป็น Whitening ได้ด้วย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ในด้าน Antioxidant ดูแลปัญหาสิว การอุดตัน คุมมัน ดูแลปัญหาริ้วรอยไปอีก คือค่อนข้างครบ รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ในด้านเนื้อสัมผัส เขาทำมาได้ค่อนข้างดี เกลี่ยง่าย ไม่เหนอะหนะ แต่ก็ยังคงความชุ่มชื้น จะมีติก็เรื่องของกลิ่นที่แบบตัวเองรู้สึกว่ากลิ่นของส่วนผสม/วัตถุดิบมันชัดไปหน่อย แต่ก็ไม่เคยหักคะแนนเรื่องกลิ่นอ่ะ ฉันทนได้ เพราะด้านความสบายผิว soothing ถือว่าทำมาได้ดีเลิศ เอาไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DermArtlogy ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆมาให้ได้เปิดหูเปิดตาเห็นนวัตกรรมใหม่ๆ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand/

ส่วนท่านที่สนใจสามารถติดตามไปชอปปิ้งได้ที่ลิงค์ตามนี้เลยนะคะ

Lazada https://s.lazada.co.th/s.uDj0U?cc

Shopee https://s.shopee.co.th/1B7sgkxVRu

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

#dermArtlogy #NEW #Moisturizer #3in1 #สำหรับ #ผิวแพ้ง่าย #ผิวหมองคล้ำ #ผิวขาดความชุ่มชื้น #Lipimoide #AMPamide #Neopharm

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Zeroid Pimprove Moisturizer มอยส์เริ่ดๆ soothing ฉ่ำๆ เพื่อคนผิวมัน

สำหรับ Blog นี้ จะหยิบเอามอยส์ที่น่าสนใจสำหรับคนผิวมัน มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันนะคะ

ผลิตภัณฑ์วันนี้ก็คือ Zeroid Pimprove moisturizer นั่นเองค่ะ

เนื้อเป็นเนื้อครีม ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เลยจะได้กลิ่นของวัตถุดิบอยู่จางๆ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสเบา เย็น สบายผิว ซึมไวแห้งไวไม่เหนอะหนะ

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้

ถ้าพูดถึงแบรนด์ในเครือ Neopharm ตัวเทคโนโลยีหลักเลยที่ทุกคนรู้จักและนึกถึงเป็นตัวแรกๆ คือ MLE

ส่วนผสมของ MLE จะเป็นคอมบิเนชั่นของสารหลายๆ ชนิด ในสัดส่วนที่เหมาะสม

  • ปกติแล้วในผิวเราจะมีไขมันที่ทำหน้าที่เป็น Barrier ผิว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ Ceramide + Cholesterol และ กรดไขมัน ไขมันเหล่านี้มันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งมีด้วยกันหลายรูปผลึก ส่วนหนึ่งเป็นรูปแบบ Liquid crystal
  • เจ้า MLETM นี่เป็นสูตรผสมของ Pseudoceramide (Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA หรือ Ceramide-9S) ร่วมกับ Phytosterol และกรดไขมัน Stearic acid เรียงตัวในรูปแบบที่คล้ายกับ Liquid crystal ของผิว เมื่อดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ชนิด Polarized light จะเห็นเป็นเครื่องหมายกากบาท เรียก Maltese cross

(Image from Zeroid global official website)

ด้วยความที่การเรียงตัวเหมือนกันกับ Barrier ผิวเรา เลยมีแนวโน้มว่าทำหน้าที่ปกป้องผิวทดแทน Barrier ของผิว

ถัดมาจะเป็นตัว RestomideTM

RestomideTM หรือ Oleamide MEA ลดการอักเสบและระคายเคือง ผ่าน Cannabinoid receptor Type 1 (CB1) บนผิว เมื่อจับแล้วส่งผลดังนี้

  1. ลดการปลดปล่อยสารที่ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบจาก Keratinocyte (เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า)
  2. ลดการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนที่ผิดปกติของเซลล์ Ketatinocyte แล้วไปเสริมกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง (Differentiation) กระบวนการนี้ให้ประโยชน์ในการลดการอุดตันของผิวได้ส่วนหนึ่ง
  3. ลดการอักเสบระคายเคือง ผ่านระบบภูมิคุ้มกัน
  4. เมื่อจับกับ CB1 Receptor ที่เส้นประสาท จะให้ประโยชน์ในการลดการนำส่งสัญญาณความเจ็บปวด และความรู้สึกคัน

ส่วนผสมของสารบำรุงอื่นๆ ที่เติมมาได้แก่

  • Beta-glucan ซึ่งเป็น prebiotic มีประโยชน์ในการสนับสนุนการเจริญของจุลินทรีย์ดีๆ หรือ probiotic บนผิว การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า Beta-glucan ที่สกัดจากข้าวโอ๊ตมีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ผิว ให้โตเต็มวัย ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และฟื้นฟู Barrier ผิว (Int J Biol Macromol. 2021;185:876-889.)
  • Sodium hyaluronate เติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น
  • Allantoin ดูแลการระคายเคือง

มาในเบสครีมที่บางเบา ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ในภาพรวม จะเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ฟื้นฟูความแข็งแรงของ Barrier ผิวด้วยเทคโนโลยี MLE ดูแลการระคายเคือง ด้วย RestomideTM พร้อมทั้งปรับสมดุลการสร้าง-เจริญ-ผลัดทิ้งของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า ซึ่งน่าจะให้ประโยชน์ในการปรับสมดุลลดการอุดตันผิว เนื้อมาแบบบางเบา ไม่เหนอะหนะ จึงเหมาะกับคนผิวมันและมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ถ้ามองเรื่องเสริมชั้นผิวสำหรับคนผิวมัน นี่ว่าโอเคนะ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวมีผิวผสม-แห้ง มอยส์ตัวนี้ทำมาได้เบาๆ สบายผิว เวลาเกลี่ยจะให้ความรู้สึกเย็น สดชื่น ถ้าวันเบาๆ หรือ หลังอาบน้ำแล้วยังขี้เกียจจัดรูทีนชุดใหญ่ไฟกระพริบ ทาอันนี้ไปพลางๆ สบายผิวดี ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Zeroid สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Zeroid โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ZeroidThailand

ทางไปช้อปปิ้ง

ช้อปปี้ https://s.shopee.co.th/3LCFLiL6Rk

ลาซาด้า https://s.lazada.co.th/s.uJrDP?cc

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Zeroid การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมแอมพูลนิวโรไมด์ในตำนาน Curecode Neuromide Ampoule

มันจะมีอยู่ Ampoule หนึ่งที่ดิฉันบอกจะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แล้วยังไม่มาซักที มากี่โมง

วันนี้ได้ฤกษ์แล้วค่ะ วิเคราะห์ส่วนผสม Curecode neuromide ampoule

น้องเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่เปิดโลกหญิงให้เข้ามาสู่โลกของ Curecode ต่างๆ ได้ลองครั้งแรกก็ตอนรอไปแย่งกดโปร 1 แถม 1 ตอนเที่ยงคืน สมัยนั้น แล้วกดได้ด้วย (มีความขิงนิดๆ)

มาค่ะ วันนี้มารีวิวซะที

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

อันนี้เป็นหน้าตากล่อง

เนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อแบบเจลครีม มีความหนืดหน่อยๆ ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นดี สบายผิว

ก่อนไปดูส่วนผสม เรามาทำความรู้จักกับคอนเซปท์และนวัตกรรมของแบรนด์ Curecode อีกสักรอบ

แบรนด์ Curecode นั้นเป็นแบรนด์ที่พัฒนาโดย Dr.Raymond Park ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวแพ้ง่ายและบอบบางระดับโลก ซึ่ง Dr. นั้นมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ และสิทธิบัตร รวมถึงได้รับรางวัลมาการันตีความสามารถมากมาย

Key technology ที่สำคัญของ Curecode คือ Neuromide Skin-Biome® Science และ Crystal Lamella MES® Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร

เรียกได้ว่า ถ้าพูดถึง Curecode ให้นึกถึง Neuromide ซึ่งมีชื่อ INCI name ว่า N-palmitoyl serinol (ขอย่อว่า NPS) โดยสารนี้จัดเป็น Postbiotic เพราะว่าเป็นสารที่จุลินทรีย์ Probiotics ที่เป็นเชื้อเจ้าบ้านบนผิวของเราสร้างขึ้นมา

โดยกลไกของ NPS นั้น เชื่อว่า สารมีสูตรโครงสร้างคล้ายกับ N-palmitoyl ethanolamine ซึ่งเป็นสารที่จับกับตัวรับ endocannabinoid system แล้วให้ประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่าง 1 ใน นั้น ที่เสริมการทำงานของ Barrier แล้วให้ผิวแข็งแรง คือ ความสามารถในการเสริมการสังเคราะห์ Ceramide

โดยมีงานวิจัยที่น่าสนใจอยู่ 2 ชิ้น

  • การศึกษาในปี 2021 พบว่าการทา NPS ในโมเดลหนูทดลองที่เป็นโรค Atopic dermatitis โดยให้หนูทาตำรับ 0.5% NPS วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่า NPS เร่งการฟื้นฟู Barrier ผิว และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ได้ (Wen et al., Can J Vet Res. 2021;85(3):201-204.)
  • การศึกษาอีกชิ้น ทำในผิวหนังเพาะเลี้ยง NPS นั้น สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ Ceramide ผ่าน Receptor CB-1 ของระบบ endocannabinoid system โดยเฉพาะ Ceramide สายยาว (long-chain fatty acids (FAs) (C22-C24)) ที่มีความสามารถในการเป็น Barrier ที่แข็งแรง (Int J Mol Sci. 2021;22(15):8302.)

การใช้ Pre-Pro-Post biotics ร่วมกัน เราอาจเรียกได้ว่าเป็น Tri-biotics โดยทาง Curecode มีการเลือกใช้ Tribiotics ดังภาพ

(Image from Curecode)

ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการทดสอบการระคายเคืองในอาสาสมัคร และ ผ่านการรับรองกลุ่ม Whitening และ Wrinkle care จาก องค์กรอาหารและยาเกาหลี (KFDA)

ตัวเทคโนโลยี Skin like technology มีสิทธิบัตรรองรับ เป็นการพัฒนาสูตรมาให้มีการจัดเรียงตัวเป็น Lamellar แบบไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ส่วนผสมชุดนี้ทำไว้หลายสีอยู่เหมือนกัน

ขอเริ่มที่ Combination signature ของแบรนด์ Curecode ชุดแรก Tri-biotics ได้แก่

  • Prebiotics: N-acetyl glucosamine (NAG) เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Lactobacillus spp. ร่วมกับ Sialyl lactose เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Bifidobacterium spp.
    • โดย NAG มีประโยชน์กับผิวอีกหลายอย่างเลยจะหยิบมาพูดอีกรอบ
  • Probiotics: Bifida ferment lysate (BFL) ที่มีประโยชน์หลายประการ เด่นๆ น้องจะ ฟื้นฟูและปรับสภาพ สมดุลผิวผ่านหลายๆ กลไก ล่าสุดงานวิจัยของ Wang และคณะ ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วเจอว่า BFL ปรับสภาพสมดุลผิวผ่านหลาย Gene หลายกลไก ผลโดยรวมคือ ผิวแข็งแรง ลดการระคายเคือง และเสริมความต้านทานของผิวให้ผิวเราทนทานมากขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2023;22(12):3427-3435.)
  • Postbiotics: Neuromide® หรือ N-palmitoyl serinol ให้ผิวแข็งแรงเช่นกัน

ถัดมาเป็นเทคโนโลยี Skin like MES ที่บรรจุสารไว้หลายชนิด ที่น่าสนใจ คือ Phytosterol และ Ceramide NP (Ceramide 3) เอาไว้ เสริม Barrier ผิวอีก 1 กรุบ

นอกจากเทคโนโลยีหลักแล้ว ก็ยังเสริมสารบำรุงที่มีประโยชน์เข้ามาอยู่หลายตัว เช่น

  • Niacinamide ที่มีประโยชน์กับผิวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening ผ่านการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก รวมไปถึงด้านการดูแลการอักเสบระคายเคือง Antioxidant เสริมการสร้าง Barrier ผิว และควบคุมความมัน
  • NAG ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของน้ำตาล และเป็นหน่วยย่อยในสาย Hya มีรายงานว่า NAG สามารถยับยั้งการ Glycosylation เพื่อเปลี่ยน pro-tyrosinase ไม่ให้เป็น tyrosinase จึงไม่มีฤทธิ์สร้างเม็ดสี ควบคุมการผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น (Int J Cosmet Sci. 2010;32(3):234.) มีการศึกษาโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • Resveratrol สาร Antioxidant ตัวแม่ตัวหนึ่งในวงการ นอกจากคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant แล้ว ยังมีงานวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติในการเป็น Whitening และ Anti-aging ผ่านหลายๆ กลไก เช่น การทดสอบในหนูทดลองพบว่า Resveratrol สามารถลดการสร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดสี Melanin ได้หลายชนิด รวมทั้งยับยั้งการสังเคราะห์ Tyrosinase ได้ด้วย และยังให้ผลลดการสร้างสีผิวหลังจากถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (Biomol Ther (Seoul). 2014; 22(1):35-40.)

สูตรตำรับใช้ Resveratrol ร่วมกับไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว เช่น Ceramide NP (อีกชื่อ Ceramide IIIB) ในสัดส่วนที่อิงตามสิทธิบัตรอเมริกา เลขที่ US-10179095-B2 เพื่อให้เกิดการเรียงตัวเป็นแบบ Lamellar และมีคุณสมบัติเสริมกระบวนการ Autophagy ของผิว

  • Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptiđe-12 ตัวนี้รู้จักกันในนาม Aquatide มีบทบาทและประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว กระบวนการนี้คล้ายๆ กับ การรีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างใหม่ เพื่อทำให้ผิวเราทำงานได้อย่างสมดุล ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ มีการทดสอบในอาสาสมัครแล้วพบว่า Aquatide มีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหายไปให้กลับมาแข็งแรงไวขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น และ มีงานวิจัยของ Lim และ คณะ (2019) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของ Aquatide ทั้งในระดับของหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร พบว่า Aquatide มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์เพาะเลี้ยงไม่ให้ถูกทำลายจาก Hydrogen peroxide ที่จัดเป็น 1 ใน Reactive oxygen species ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมา และในอาสาสมัคร พบว่าสามารถปกป้ององค์ประกอบของโปรตีนไม่ให้ถูกทำลายด้วยปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และ เมื่อทดสอบที่สัปดาห์ที่ 4 และ 8 พบว่าอาสาสมัครมีความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น (J Cosmet Dermatol 2019 Feb;18(1):197-203.)

สารบำรุงอื่นๆ ที่เติมเข้ามาในสูตร เช่น

  • กลุ่มดูแลการระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing) ได้แก่ สารสกัดจาก St.John’s wort, Allantoin, Panthenol
  • ดูแลเสริมพลังงานให้ผิวและอาจได้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย ได้แก่ Adenosine
  • เติมน้ำด้วย Hya

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง เน้นการดูแลผิวให้ผิวแข็งแรงผ่านหลายๆ กลไก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมดุล microbiome เสริม barrier ผิวให้แข็งแรง เติมน้ำ ดูแลการระคายเคือง เสริมกระบวนการ autophagy ปรับสมดุลให้ผิวมีสุขภาพดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีจุดที่ให้หักคะแนน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ เอาจริง ส่วนตัวว่าเนื้อของเซรั่มออกมาได้ค่อนข้างชุ่มชื้น เวลาใช้เลเยอร์ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางนี้จะไว้ใช้ท้ายๆ ก่อนลงครีม บางวันถ้าทากลางวันอาจจะต้องรอเวลานิดหน่อยให้เขาเซ็ตตัวค่อยลงกันแดด ไม่งั้นกันแดดบางตัวจะเยิ้ม เลยชอบใช้กลางคืนมากกว่า เพราะว่าเช้าๆ เวลาน้อย ในเรื่องของความสบายผิว นี่ว่าน้องทำมาได้ตอบโจทย์ และเรื่องผิวแข็งแรง หญิงมี่ว่าเริ่ด ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

ทางไปตำ

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/9pNNuZBJFq

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.IHrtA?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Brikk จาก the Labatorian เซรั่มดูแล Barrier ผิว ส่วนผสมอัดแน่น แต่เนื้อบางเบา เวอร์ชั่นติดแกลม อัพเดท 2024

Blog นี้ขอหยิบเอา Brikk ติดแกลม เวอร์ชั่น 2024 จากแบรนด์ The Labatorian ที่อัพเดทแพคเกจใหม่ พร้อมปรับสูตรใหม่เพื่อความฉ่ำปัง

น้องพึ่งเปิดตัวแพคเกจใหม่เมื่อช่วง 11.11 ที่ผ่านมานี้เอง

Brikk ใหม่ เขามาในหน้าตาประมาณนี้ ขวดใหม่ไฉไลมาก

อันนี้จะเป็นตัวกล่องนะคะ

เนื้อเซรั่มเป็นเนื้อแบบใส จะได้กลิ่นหอมของกุหลาบจางๆ ซึ่งมาจาก Rose water ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ นอกจากจะให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) แล้วก็ยังได้กลิ่นหอมด้วย

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย แรกๆ จะให้สัมผัสลื่นๆ ผิว แต่เมื่อทิ้งไว้สักพัก ไม่ถึง 1 นาที ตัวเซรั่มจะซึม/แห้งไป ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ชุ่มชื้น และไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสูตรปรับใหม่นี้มีความชุ่มผิวมากขึ้น

ค่า pH นั้นอยู่ที่ประมาณ 5 นะคะ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับค่า pH ของผิว

รายการส่วนผสมของสูตรใหม่ 2024 แอบมีต่างจากสูตรเดิมเล็กน้อย

แต่ก่อนไปดูส่วนผสม อยากเล่าถึง Barrier ของผิว 4 กลุ่มย่อย

  1. Physical barrier คือ ตัวผิวเอง โครงสร้างที่สมบูรณ์ของผิวหนังเป็นตัวปกป้องไม่ให้ของดีๆ ภายในออกไปข้างนอก และป้องกันไม่ให้อันตรายจากภายนอกเข้ามาข้างใน
  2. Chemical barrier คือ พวกสารเคมีต่างๆ ที่ผิวเราสร้างขึ้นมา การรักษาสภาวะ pH ให้เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคโตได้ บางที่อาจจะนับรวม Biochemical barrier เข้ามาไว้ด้วย คือพวก Antimicrobial peptide ที่ผิวเราสร้างขึ้นมาระงับเชื้อก่อโรคต่างๆ ตัวที่ดังๆ ก็เช่น Defensin
  3. Immunological barrier คือ ระบบภูมิคุ้มกันของผิวเรานั่นเอง ที่คอยปกป้องผิวจากทั้งสารเคมี และพวกจุลินทรีย์ต่างๆ
  4. และช่วงหลังๆ มา Microbiome ปังมาก เลยมีคนพูดถึง Microbiological barrier โดย Microbiome เป็นเหมือนชุมชนของจุลินทรีย์หลากหลายชนิด น้องมีปฏิกิริยากับผิวเราทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง รวมถึงสร้างสารที่มีประโยชน์ให้แก่ผิว

การเลือกใช้ Pre-pro-post biotics ในทางเครื่องสำอาง ก็เพื่อดูแล Microbiome ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ผิวของเราแข็งแรง และมีสุขภาพดี

โดยตัว Brikk นั้นเคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily ที่ดูแลผิวเสมือนรวมเอาเซรั่ม 6 ขวดเข้าไว้ด้วยกัน ดังนี้

  • Antioxidant ด้วยส่วนผสมของ Antioxidant ชั้นเลิศอย่าง Resveratrol กับ Ferulic acid
  • Anti-pollution ตัวที่น่าสนใจก็คือ Ectoine กับพวกสารที่ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Microbiome ดูแลด้วย Prebiotics
  • Lipid & NMF ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Soothing ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Hydration เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างยาวนาน

เราลองมาดูส่วนผสมของ Brikk กันนะคะว่าดูแล Barrier ผิวได้ในทุกมิติ และเป็นเซรั่ม 6 ขวดในขวดเดียวกันได้ อย่างไร

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมของ Brikk นั้นมีสารบำรุงอยู่หลายชนิดเหมือนกัน ลองมาดูตัวที่น่าสนใจๆ

  • กลุ่ม Microbiome ใช้แทนด้วยสีเขียวมะกอก ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย Prebiotic 2 ชนิด ได้แก่ Inulin และ Beta-glucan และ Post-biotic อย่าง Lactococcus ferment lysate
    • Inulin เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น Chicory, artichoke ซึ่งจัดเป็น Prebiotic ชนิดหนึ่ง น้องเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีที่เรียกกันว่า Probiotic ในทางเครื่องสำอางมีการใช้ Inulin เพื่อเป็น Moisturizer โดยข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า Inulin มีความสามารถในการเป็น Moisturizer ที่ดีกว่า Hyaluronic acid (Ref: TDS preBIULIN AGA)
    • Beta-glucan เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และในพืชบางชนิด เช่น Oat ซึ่งนอกจากความสามารถในการเป็น Prebiotic แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านการเป็น Moisturizer และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect
    • Lactococcus ferment lysate เป็นกลุ่มสารที่ได้จากการย่อยระบบที่เลี้ยงจุลินทรีย์ Probiotic อย่าง Lactoccus เราเลยเรียกว่า Postbiotic ข้อมูลจากวัตถุดิบ ProRenew Complex CLR™ กล่าวว่าใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์ Lactococcus lactis ซึ่งมีรายงานงานวิจัยสนับสนุนถึงประโยชน์ที่ดีหลายชนิด เช่น คุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิวในผิวหนังเพาะเลี้ยง (Lett Appl Microbiol. 2019;68(6):530-536.) เสริมการทำงานของ Barrier ผิวผ่าน Antimicrobial peptide ที่ชื่อ Defensin ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องผิวตามธรรมชาติ และเสริมการสร้าง Filaggrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญตัวหนึ่งของผิว ไม่ว่าจะเป็น เป็นสารตั้งต้นของ NMF และ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของ Cornified envelope ที่ให้ Corneocyte แข็งแรง ปกป้องผิวเราจากอันตรายต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ผลทั้งสองอย่างทดสอบในผิวหนังเพาะเลี้ยง และมีการทดสอบในอาสาสมัครโดยให้ทาตำรับที่มี Lactococcus วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 30 วัน พบว่าผิวหนังของอาสาสมัครมี Barrier ที่แข็งแรงขึ้น วัดจากค่าการระเหยของน้ำจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ที่ลดลง และช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว (Skin Pharmacol Physiol. 2019;32(2):72-80.)
  • สีบานเย็น เป็นพวกสารที่เสริมคุณสมบัติการเป็น Barrier ของผิว อย่างพวก Ceramide, Cholesterol และ Sphingoid base ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของ Ceramide อย่าง Phytoshingosine
  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารที่เติมน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งมีด้วยกันหลายตัว เช่น
    • Ectoine เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่มีโครงสร้างเป็นวงกลม สร้างโดยแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างโหดร้าย (Extremophile) ทำหน้าที่ปกป้องตัวเขาเองจากอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากปัจจัยกายภาพและเคมี มีการพบว่าตัว Ectoine จะทำหน้าที่ดึงเอาน้ำมาเกาะไว้กับตัวเองแล้วกลายเป็นชั้นโครงสร้างที่ช่วยปกป้องโปรตีนองค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญของเซลล์เอาไว้ เรียกว่าเป็น Ectoine hydrocomplex (Clin Dermatol. 2008;26(4):326–633.) เจ้า Hydrocomplex ดังกล่าวส่งผลดีถึงองค์ประกอบทั้งเซลล์ คือปกป้องเซลล์นั้นให้มีปริมาณน้ำเหมาะสม และทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อปริมาณน้ำต่ำลง จะไปมีผลต่อระบบของการอักเสบทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา ในกรณีของผิวหนัง การมี Ectoine จะช่วยให้ Lipid barrier ของผิวทำงานได้ตามปกติและมีความแข็งแรง ผิวจึงแข็งแรง และเก็บกักน้ำได้ดี (มีการระเหยของน้ำออกจากผิว/Transepidermal water loss; TEWL น้อย) (Biophys Chem. 2010;150(1–3):37–46.) มีการทดสอบประสิทธิภาพในทางผิวหนังอยู่หลายชิ้น ซึ่งได้กล่าวถึงในบทความวิชาการล่าสุดของ Kauth และ Truvosa (Dermatology and Therapy. 2022;12:295–313) ในภาพรวมคือ Ectoine ให้ประโยชน์ในการปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ลดการอักเสบระคายเคือง รวมทั้งดูแลปัญหาผิวอักเสบและระคายเคืองต่างๆ (Skin Pharmacol Physiol. 2004; 17(5):232-7.) ยังมีการทดสอบพบว่า Ectoine ให้ประโยชน์เป็น Whitening ได้อีก โดยไป block ผลจาก MSH ไม่ให้กระตุ้นให้เกิดการสร้าง Melanin ออกมาเมื่อเจอรังสี UV (Antioxidants (Basel). 2020;9(1):63.)
    • Polyquaternium-51 ตัวนี้เป็น Polymer สังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับไขมัน Phospholipid บนผิวของเรา ว่ากันว่านางจะเคลือบผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นของนางดีกว่า Hyaluronic acid
    • Saccharide isomerate ที่เด่นเรื่องการจับน้ำให้ผิวได้อย่างยาวนาน เพราะน้องสามารถเกาะติดบนผิวได้ดีและอยู่บนผิวได้นาน ถ้าเราไม่ล้างออกไป
    • Betaine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine ที่นอกจากจะเพิ่มความชุ่มชื้น ยังดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว และปรับ Feeling ของสูตรให้ไม่เหนอะหนะไปพร้อมๆ กัน
    • กรดอะมิโน และสารอื่นที่จัดเป็น Natural moisturizing factor หรือ NMF มีคุณสมบัติในการจับน้ำให้แก่ผิว
  • สีเขียว คู่หูคู่ขวัญ Niacinamide (B3) + N-acetyl-D-glucosamine (NAG) เราคงไม่กล่าวถึงประโยชน์ของ B3 และ NAG แบบแยกกัน เพราะทั้ง 2 ตัวก็มีประโยชน์กับผิวมากโขอยู่ สำหรับการใช้ร่วมกันนั้นมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • สีน้ำเงิน สารบำรุงอื่นๆ ยกตัวอย่างบางตัวที่น่าสนใจ เช่น
    • Syn-Hycan (Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate) สารชื่อยาวๆ นี้เป็นเปปไทด์สังเคราะห์ เทคโนโลยีสิทธิบัตร ซึ่งทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า มีคุณสมบัติในการเสริมการทำงานของ TGF-Beta ที่มีตามธรรมชาติของผิว ซึ่งส่งผลต่อไปให้มีการสังเคราะห์กลุ่มสาร Matrix จำพวก Hyaluron, Lumican และ Decorin ซึ่งมีคุณสมบัติให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และมีความแข็งแรง รวมทั้งช่วยเสริมการเรียงตัวของคอลลาเจนเดิมในผิวให้อยู่ในโครงร่างที่แข็งแรง (ปกติเวลาเราอายุเพิ่มขึ้นสายเส้นใยของคอลลาเจนจะฉีกขาดไปตามกาลเวลา และมีการเรียงตัวที่ไม่สวยงามไม่เป็นระเบียบแบบเดิม ผิวเลยหย่อนคล้อย ไม่กระชับ)
    • สูตรผสมของ Water (and) Butylene Glycol (and) PEG-60 Almond Glycerides (and) Caprylyl Glycol (and) Glycerin (and) Carbomer (and) Nordihydroguaiaretic Acid (and) Oleanolic Acid รู้จักกันในนาม AC.NetTM จาก Croda ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เบลนด์กันมาอย่างลงตัวเพื่อดูแลปัญหาสิว ผิวมัน และรูขุมขนกว้าง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยังระบุว่า สารชุดนี้ยังยับยั้งการเจริญของพวก C. acnes ที่ก่อสิว และ P. ovale ที่ก่อปัญหาผิวหลายประการ เช่น รูขุมขนอักเสบ
    • Ferulic acid กับ Resveratrol เป็น Antioxidant ที่มีประโยชน์มากมายกับผิว ซึ่ง Resveratrol เองก็พอมีข้อมูลเรื่องการเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งเป็นเสมือนการย่อยสลาย ทำลาย แล้วรีไซเคิลเอาส่วนประกอบที่อาจจะเสื่อมสภาพ หรือไม่ค่อยทำงานแล้ว มาสร้างใหม่ให้ดีเหมือนเดิม
  • สีส้ม Hyaluron และอนุพันธ์หลายชนิด ทั้งตัวเกาะ ตัวเคลือบ และตัวเล็ก มีประโยชน์ในการเติมน้ำให้กับผิวในหลายๆ ระดับ
  • สีชมพู กลุ่มสารที่ดูแลด้านการระคายเคืองผิว ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)

ในภาพรวมส่วนผสมของสารบำรุงที่ใส่ลงมาทำงานเสริมกันอย่างลงตัวทั้งในด้านการฟื้นฟู Barrier ผิว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของไขมัน ส่วนของโปรตีน Filaggrin พวก NMF และยังดูแลเรื่อง Microbiome รวมทั้งเติมน้ำ ฟื้นฟู ดูแลปัญหาผิวมัน สิว รูขุมขนกว้าง ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) ไปพร้อมๆ กัน สมกับที่เคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily จริงๆ

และสูตรใหม่ในปี 2024 นี้ ที่นางเพิ่มมาก็คือ Hexacarboxymethyl dipeptide-12 ซึ่งเป็นโค้ดเดียวกับ Aquatide ซึ่งไปเปิดระบบ SIRT-1 แล้วเสริมกระบวนการ Autophagy ทำให้ผิวแข็งแรง

อีกตัวที่ให้สีฟ้าอ่อนๆ ก็คือ Malachite extract ซึ่งเป็นสารที่ได้จากหินแร่มาลาไคท์ มีส่วนประกอบของแร่ธาตุ Copper ซึ่งเสริมกระบวนการทำงานของผิวในการต่อต้านอนุมูลอิสระจากสิ่งแวดล้อม และเป็น antioxidant

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives Brikk 2024 ก็คือ Brikk คนเดิม ไมโครไบโอมมาครบ Barrier ผิวเริ่ด เพิ่มเติมคือ เสริม Autophagy อีก 1 กรุบ เอาไปเถอะ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลย จึงไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผลิตภัณฑ์เสริม Barrier ส่วนใหญ่เนื้อจะค่อนข้างหนัก แต่น้อง Brikk นั้นทำมาได้ดีมาก บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ คนที่มีผิวมันน่าจะชอบ ส่วนตัวมีผิวผสม-แห้ง คิดว่า สูตรใหม่นี้ทำมาได้ชุ่มชื้นมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ The labatorian ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

IG : the_labatorian

Line official : @labatorian

Facebook : Labatorian

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/8fBa6jB03O

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.sYpqP?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ The labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Basic Cosmetic Science] Skin barrier: องค์ประกอบของ Barrier ผิว

ระดับความยาก: ปานกลาง

“But first, skin barrier”–LadyMiyeon, 2023

ผิวจะดีได้ Barrier ต้องดีก่อน

ผิวหนังของคนเรามีหลายหน้าที่ แต่หน้าที่หนึ่งที่สำคัญมาก คือการเป็นกำแพงที่คอยปกป้องไม่ให้สิ่งอันตรายจากข้างนอกเข้ามาภายในผิว และป้องกันไม่ให้ของดีๆ ในผิวเราหลุดออกไปข้างนอก

หน้าที่นี้เราเรียกว่า Barrier function 

โดยชั้นที่ทำหน้าที่หลักในการปกป้องผิว หรือเป็น Barrier นี้จะเป็นผิวหนังชั้นนอกสุด หรือ Epidermis และส่วนที่สำคัญในการทำหน้าที่นี้จตะอยู่ที่ชั้นขี้ไคล หรือ Stratum corneum

การเป็น Barrier function ของ Stratum corneum

ส่วนของหนังกำพร้าทำหน้าที่เป็นปราการ หรือที่เรียกกันว่า Barrier คอยปกป้องไม่ให้สารต่างๆ จากข้างนอกเข้ามาข้างใน และปกป้องไม่ให้สารจากข้างในออกไปข้างนอก

ปกติแล้วผิวหนังเรามีกลไกหลัก 3 อย่างในการเป็นปราการปกป้องผิว ได้แก่

  1. ไขมันที่เรียงตัวเป็นชั้นๆ หรือ Lipid lamellar
  2. สารกลุ่ม Natural Moisturizing factor (NMF) ที่มีทั้งในเซลล์ และในช่องว่างระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่ดูดน้ำเอาไว้ ไม่ให้ไปไหน
  3. การเรียงตัวอันซับซ้อนของเซลล์ผิวในชั้น Stratum corneum ซึ่งเป็นผิวชั้นบนสุด และองค์ประกอบโปรตีน Keratin ในผิว

องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้แลดูคล้ายกับก้อนอิฐที่เรียงกันและฉาบเชื่อมกันด้วยปูน ก็เลยมีผู้เสนอ Model เพื่ออธิบายการเป็น Barrier ของผิวว่าเป็นกำแพงอิฐ (Brick-wall model) ดังรูป

ส่วนของก้อนอิฐก็คือเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุด หรือที่มีชื่อว่า Corneocyte ส่วนของปูนก็คือไขมันที่เป็น Lipid lamellar นั่นเอง ว่ากันว่า Lipid lamellar นั้นสำคัญที่สุดในการเป็น Barrier ให้ผิว

นอกจากองค์ประกอบหลักทั้ง 3 นี้แล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ เสริม เช่น Corneocyte envelope หรือ Cornified envelope, Aquaporin, Tight junction ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

รายละเอียดแต่ละองค์ประกอบของ Barrier ผิวมีดังนี้

ไขมันของผิว

ไขมันที่เป็น Barrier ผิว นั้นอยู่ภายใต้ผิวหนัง เป็นคนละอันกับน้ำมันที่ทำให้ผิวเรามันเยิ้มที่เรามองเห็นข้างนอก ไขมันในผิวเรียงตัวซ้อนกันเป็นผนังสองชั้น วางทับกันอีกหลายๆ ชั้นในแนวขนาน เรียกว่า Lipid lamellar นั่นเอง ดังภาพ

การเรียงตัวของ Lipid lamellar นั้นเกิดขึ้นจากไขมันหลักๆ 3 ชนิด ได้แก่ เซราไมด์ (Ceramides) คอเลสเตอรอล (Cholesterol) และกรดไขมัน (Fatty acid) ถ้าคิดโดยน้ำหนักจะพบว่าปริมาณของ Ceramide นั้นเกือบจะครึ่งหนึ่งของไขมันทั้งหมด แต่ความมหัศจรรย์อยู่ที่สัดส่วนของไขมันทั้ง 3 ชนิดนี้ ถ้าคิดโดยโมล จะพบว่าไขมันทั้ง 3 จะมีสัดส่วนเท่ากันคือ 1:1:1 ภาษาทางเคมีเรียกว่า Equimolar 

โมลเป็นการวัดปริมาณสารในเชิงเคมี โดยคำนวณจากน้ำหนักของสาร หารด้วยน้ำหนักโมเลกุล

ผิวหนังเราสามารถสร้างไขมันบางชนิดได้เอง แต่บางชนิดต้องได้รับจากอาหาร หรือจากการทาเข้าไป เมื่อสร้างเสร็จไขมันจะถูกเก็บสะสมในรูปแบบของถุงที่มีชื่อว่า Lamellar body ในเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าที่มีชีวิต เมื่อถึงเวลาก็จะปล่อยเอาถุงนี้ออกมาจากเซลล์ ไขมันที่บรรจุอยู่ในถุงที่ถูกผลักออกมาจากเซลล์จะถูกแปรสภาพออกมาและมาเรียงตัวกลายเป็นชั้นไขมันที่เป็น Barrier ผิวต่อไป

Ceramides

Ceramides ในผิวหนังมีมากมายด้วยกันหลายชนิด ว่ากันว่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบมามากกว่า 300 ชนิด แต่สามารถแบ่งได้เป็น 11 กลุ่มหลักๆ ชนิดที่มีความแข็งแรงมากที่สุดคือชนิด Ceramide 1 หรือ Ceramide EOS ชนิดที่พบมากที่สุดในผิวคือชนิด Ceramide 3 หรือ ceramide NP

Ceramide แต่ละชนิดกันก็จะทำให้เกิดโครงสร้างของ Lipid lamellar ได้คนละแบบกัน และมีความแข็งแรงแตกต่างกัน โดยเชื่อว่าLipid lamellar ที่มี Ceramide 1 ในปริมาณที่พอเหมาะนั้นเป็น Barrier ที่มีความแข็งแรงมากที่สุด

เครื่องสำอางที่เป็น Moisturizer หลายๆ แบรนด์ก็มีการใส่ Ceramide เข้ามาเพื่อหวังให้ไปทดแทน Ceramide ในผิว เพื่อช่วยฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวหนังแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการแพ้จากสารอื่นๆ ภายนอกได้

ตัวอย่าง Ceramide ที่มีการใช้ในเครื่องสำอางคือ Ceramide 1, 2, 3, และ 6 ชนิดที่พบบ่อยที่สุดจะเป็น Ceramide 3 ทั้งนี้คิดว่าการที่วงการเครื่องสำอางเลือกใช้ Ceramide 3 เป็นหลัก อาจจะเพราะความคงตัวของ Ceramide 3 นั้นมีมาก และปริมาณของ Ceramide 3 ในผิวนั้นก็มีมาก ถ้าหากได้รับเกินความจำเป็นก็น่าจะไม่มีผลกระทบด้านลบต่อผิว

Ceramide นั้นมีความจำเป็นต่อการเรียงตัวเป็นชั้นขนานแบบ Lamellar structure โดยเชื่อว่า Ceramide 1 ที่มีส่วนของกรดไขมันไลโนเลอิก (Linoleic acid) ในโครงสร้าง ทำหน้าที่เสมือนเข็มที่เป็นตัวเย็บเอาชั้นไขมันแต่ละชั้นให้เกาะติดกัน และเนื่องจากร่างกายเราไม่สามารถสร้าง Linoleic acid ขึ้นมาได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร หรือการทาภายนอก นักวิทยาศาสตร์พบว่าในคนที่ขาดกรดไขมันจำเป็นชนิด Linoleic acid ผิวจะสร้าง Oleic acid เข้ามาแทนที่ โดย Ceramide ที่มี Oleic acid นั้นไม่ได้แข็งแรงเท่า Linoleic acid Barrier ผิวของคนที่ขาดกรดไขมันจำเป็นจึงอ่อนแอกว่า ส่งผลให้ผิวบอบบางกว่า และแห้งได้ง่ายกว่า

Linoleic acid นั้นพบได้ในน้ำมันจากพืชหลายชนิด ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว และมีรายงานว่าการกินน้ำมันพืชที่มี Linoleic acid สามารถเพิ่มปริมาณของ Linoleic acid ในผิวได้จริง ถ้าหากใครผิวแห้งมากๆ อาจจะลองทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้น้ำมันจากพืช เช่น Evening primrose oil หรือ Borage oil ก็จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้นได้มากขึ้น แต่ข้อเสียของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มนี้คือ อาจจะทำให้บางคนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้

Cholesterol

Cholesterol จัดเป็นไขมันที่มีโครงสร้างเป็น Steroid เรามักจะเข้าใจกันว่า Cholesterol นี้ไม่ดี เพราะเวลามี Cholesterol ในกระแสเลือดมากๆ จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย แต่ Cholesterol ในผิวเป็นสิ่งที่ดี เพราะ Cholesterol นั้นจะมาอยู่รวมกับ Ceramide และกรดไขมันเกิดเป็น Barrier ผิวขึ้นมา

Cholesterol ยังไม่ค่อยมีการใช้เป็น Active ingredients ในทางเครื่องสำอางมากนัก ส่วนใหญ่จะเอามาใช้ในการเป็นสารปรุงแต่งเสียมากกว่า เพราะ Cholesterol นั้นเมื่ออยู่รวมกับ Phospholipids หรือสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) บางชนิดจะเกิดการเรียงตัวเป็นถุงทรงกลมๆ ที่เรียกว่า Liposome หรือ Niosome ทำหน้าที่เก็บกักสารและช่วยพาสารเอาไปในผิวได้มากขึ้น นอกจากนี้ Cholesterol ยังทำหน้าที่เป็น Emulsifier ช่วยเป็นตัวประสานน้ำให้เข้ากับน้ำมันได้ด้วยในสูตรครีม เมื่อใช้เป็น Active ingredient Cholesterol นั้นนอกจากมีคุณสมบัติในการฟื้นฟู Barrier ผิวแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบในผิว และยังช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากรังสี UV ได้ด้วย*

*(Reference: Bhyn et al. J Dermatol Sci. 2012;65 (2) :110-7)

Fatty acid

กรดไขมันนั้นมีหลายชนิด และมีความสำคัญหลายๆ อย่าง ทั้งเป็นส่วนประกอบในการสร้าง Lipid lamella ยังเป็นสารตั้งต้นของไขมันชนิดอื่นๆ ในผิว กรดไขมันบางชนิดผิวหนังสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ แต่บางชนิดนั้นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เมื่อผิวขาดไขมันก็มักจะแสดงอาการแห้ง และเหี่ยวตามมา

การเพิ่มไขมันจำเป็นในผิวทำได้ทั้งการทา และการรับประทาน โดยสิ่งที่เป็นแหล่งของกรดไขมันก็คือ น้ำมันและไขมันจากพืชชนิดต่างๆ และไขมันจากสัตว์บางชนิด

Natural moisturizing factor

Natural moisturizing factor หรือ ชื่อย่อ NMF เป็นสารโมเลกุลเล็กๆ ที่พบในชั้นหนังกำพร้า ทั้งภายในเซลล์ Corneocyte และในช่องว่างระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่ดูดและอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ออกไปไหนจึงมีผลทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นและมียืดหยุ่น

NMF ในผิวมีด้วยกันหลายตัว แต่ที่พบมากที่สุดนั้นเป็นกลุ่มของกรดอะมิโน และอนุพันธ์ เช่น Pyrollidone carboxylic acid หรือ PCA ที่มักจะอยู่ในรูปแบบของเกลือ Sodium PCA พบในปริมาณเกือบครึ่งของ NMF ทั้งหมด

ผิวเราสามารถสร้าง NMF ได้เองจากกระบวนการต่างๆ เช่น

  • กรดอะมิโนและ PCA มาจากการสลายตัวของโปรตีนที่ชื่อ ฟิลแลกกริน (Filaggrin)
  • Lactate มาจากเหงื่อ
  • น้ำตาลมาจากการย่อยสลายของ Glucosyl ceramide เป็นต้น

เนื่องจาก NMF เป็นสารที่ละลายน้ำ ถ้าเราสัมผัสกับน้ำบ่อยๆ NMF ก็สามารถที่จะละลายหลุดออกไปกับน้ำได้

ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายๆ ชนิดก็มีการใส่ NMF ชนิดกรดอะมิโน แต่ส่วนมากมักจะหวังผลอื่นของกรดอะมิโน เช่น การให้เป็นสารตั้งต้นเพื่อให้ผิวสร้างโปรตีน

ปัจจุบันนี้การ Claim เรื่อง NMF เริ่มกลับมาโด่งดัง มีผลิตภัณฑ์หลายๆ ชิ้นจากทางฝั่งญี่ปุ่นที่ใช้คำว่า NMF เป็นส่วนหนึ่งในชื่อของผลิตภัณฑ์ นับเป็นการสร้างจุดเด่นในทางการตลาดได้เป็นอย่างดี โดยตัวที่เห็นบ่อยจะเป็น Sodium PCA และกรดอะมิโน

สำหรับประสิทธิภาพของสารกลุ่ม NMF นั้นขึ้นอยู่กับความชื้นในอากาศ ในช่วงที่อากาศแห้ง หรือในพื้นที่แห้งแล้ง การใช้ร่วมกับสารกลุ่มไขมันจะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

NMF ที่เป็นน้ำตาล

น้ำตาลที่ให้ผลด้านความชุ่มชื้นเพียงอย่างเดียว ได้แก่ Glucose, Fructose, Sucrose และ Sorbitol

NMF ที่เป็นกรดอะมิโน

กรดอะมิโนเป็นหน่วยเล็กที่สุดของโปรตีน มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด บางชนิดร่างกายก็สร้างได้ แต่บางชนิดจำเป็นต้องได้รับจากภายนอก เนื่องจากกรดอะมิโนมีขนาดเล็กจึงสามารถดูดซึมลงไปในผิว และให้ผลด้านริ้วรอยได้ด้วย

นอกจากนี้กรดอะมิโนบางชนิดยังมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น

  • Serine ผิวหนังสามารถเอาไปใช้ในการสร้าง Ceramide ได้
  • Arginine ผิวหนังสามารถเอาไปสร้าง Nitric oxide ที่มีบทบาทเกี่ยวกับการขยายหลอดเลือด ผิวจึงได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น และดูสุขภาพดีมีเลือดฝาด

Corneocyte และโปรตีน Keratin

Corneocyte เป็นชื่อของเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นบนสุดของหนังกำพร้าที่มีชื่อว่า Stratum corneum เซลล์ Corneocyte และโปรตีน Keratin เป็นองค์ประกอบอย่างสุดท้ายของ Barrier ผิว

กล่าวกันว่าชั้น Lipid lamella ของไขมันนั้นแม้จะแข็งแรง แต่ก็มีความเปราะโดนทำลายง่าย ต้องอาศัยโครงสร้างของโปรตีน Keratin ที่อัดกันแน่นในเซลล์ Corneocyte ซึ่งมีความคงตัวค่อนข้างมาก เรียงตัวสานกันเป็นโครงสร้างสลับซับซ้อนแบบร่างแห ทำหน้าที่เสมือนเป็นเกราะกำบังในการปกป้อง Lipid lamella ให้คงรูปอยู่ได้แม้อากาศจะแห้งมากแค่ไหนก็ตาม

การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารผลัดผิวบ่อยๆ เช่นพวก AHA หรือ Peeling gel ที่มีชื่อเล่นในตลาดว่า เจลขัดขี้ไคล หรือการไปทำทรีทเมนท์ที่มีการผลัดลอกผิวบ่อยๆ จะทำให้เซลล์ผิวพวกนี้บางลง ส่งผลให้ Barrier ผิวเกิดความเสียหายได้ง่ายขึ้น จึงควรระวังไม่ควรทำทรีทเมนท์และใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถี่จนเกินไป ซึ่งในส่วนถัดไปจะกล่าวถึงการแบ่งตัวของเซลล์ผิวและผลิตภัณฑ์ผลัดผิว (Peeling product) อีกครั้งหนึ่ง

องค์ประกอบอื่นๆ ของผิวที่ช่วยเรื่องการเก็บกักน้ำ

นอกจากองค์ประกอบหลักทั้ง 3 ที่ได้กล่าวไปแล้ว ผิวเรายังมีส่วนอื่นๆ ที่คอยอุ้มน้ำไว้อีก เช่น Aquaporin, Tight junction, Corneocyte envelope เป็นต้น

Aquaporin

Aquaporin เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งบนผิวเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนด่านตรวจที่คัดเลือกให้เฉพาะน้ำและสารโมเลกุลเล็กๆ บางชนิดผ่านเข้าออกได้ เป็นตัวควบคุมไม่ให้น้ำและสารตัวเล็กๆ อย่าง Glycerol กับ Urea สูญเสียออกไปสู่ภายนอกผิว

Aquaporin นั้นไม่ได้มีแค่ในผิว แต่เจอในเนื้อเยื่ออื่นๆ ทั่วร่างกาย มีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นการปกป้องเนื้อเยื่อนั้นๆ ไม่ให้รับความเสียหายจากสภาวะกดดันต่างๆ เช่น ในสมอง Aquaporin นั้นสามารถปกป้องสมองไม่ให้บวมจากความเครียดได้ด้วย

Aquaporin ที่พบในผิวมีหลายชนิด แต่ชนิดที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญ คือ Aquaporin 3 (AQP3) ซึ่งในวงการเครื่องสำอาง ก็จับเอามาเป็นจุดขายเรียบร้อยไปแล้ว

AQP3 ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลการแพร่ของน้ำและ Glycerol เข้าออกผิว มีการค้นพบว่าหนูที่ขาด AQP3 นั้นจะมีการเคลื่อนที่ของ น้ำ และ Glycerol เข้าออกผิวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้หนูพวกนี้มีผิวที่แห้ง เหี่ยว และการสมานแผล (Wound healing) เกิดขึ้นได้ไม่ดี นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่า AQP3 นั้นมีบทบาทเกี่ยวกับการรักษาความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และการสมานแผลของผิว

สารที่ค้นพบว่าสามารถเพิ่มการสร้าง AQP3 ได้ก็คือ Glyceryl glucoside สารนี้มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถเพิ่มการสร้าง AQP3 ในผิวได้ ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น และลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้*สารนี้เมื่อใช้ร่วมกับ Ceramide และ NMF จะช่วยเสริมประสิทธิภาพกันอย่างมากในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบสารนี้ระบุว่าประสิทธิภาพของสารนี้มีค่อนข้างมาก และเทียบเท่ากับการใช้สารในกลุ่ม Hyaluron ได้เลย

*Reference: Schrader et al., Skin Pharmacol Physiol 2012;25:192–199.

ปัจจุบันวงการเครื่องสำอางยังมีการ Claim ว่า ในผิวเราก็มี Aquaporin 8 หรือ AQP8 อยู่ด้วย โดยเจ้า AQP8 นี้ว่ากันว่าทำหน้าที่ดูแลการแพร่ของน้ำและ Ammonium ion ซึ่งผิวเราเอามาใช้สร้าง Urea ที่เป็น NMF ตัวสำคัญตัวหนึ่งที่ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น

ในวงการเครื่องสำอางมีสารสกัดจากพืชอวบน้ำที่ชื่อ Salicornia herbacea สารสกัดนี้สามารถกระตุ้นให้ผิวสร้าง AQP8 ได้มากขึ้น ผู้ผลิตวัตถุดิบยัง Claim อีกว่าสารสกัดนี้ยังมีผลเพิ่มการสร้าง AQP3, Filaggrin และไขมันที่เป็นส่วนประกอบของ Lipid lamella ได้ดีการทดสอบในอาสาสมัครพบว่าสารนี้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในผิว และช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้

Tight junction

Tight junction หรือเรียกย่อๆ ว่า TJs เป็นช่องแคบๆ ที่อยู่ระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่เสมือนตัวกั้นไม่ให้สารต่างๆ และน้ำ เข้าออกได้อย่างอิสระ มีผลช่วยรักษาน้ำให้อยู่ในผิว

TJs ในผิวมีด้วยกันหลายชนิด แต่ชนิดที่สำคัญและเริ่มมีการพูดถึงกันในวงการเครื่องสำอางคือ Claudins โดยพบว่าผิวหนังที่สัมผัสกับสาร Benzopyrene ซึ่งเป็นสารกลุ่มมลพิษ (Pollutant) ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์นั้น มีจำนวนของ Claudins ในผิวลดลง ส่งผลให้ผิวมีการสูญเสียน้ำมากขึ้น Barrier ของผิวอ่อนแอลง และยังมีผลให้เกิดริ้วรอยต่างๆ มากมาย

ตัวอย่างสารที่สามารถเพิ่มการสังเคราะห์ TJs ในผิวได้ คือ Colloidal oatmeal ซึ่งเป็นสารดั้งเดิมที่มีใช้กันมาเนิ่นนาน อาจจะเกินร้อยปีด้วยซ้ำ โดยพบว่าสารสกัดจาก Colloidal oatmeal สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ TJs เพิ่มการสังเคราะห์ไขมันในผิว และเหนี่ยวนำให้ผิวเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) กลายเป็นผิวที่สมบูรณ์เต็มวัย*

*Reference: Ilnytska O. et al. J Drugs Dermatol. 2016;15 (6) :684-90.

Colloidal oatmeal มีใช้ในเครื่องสำอางอยู่อย่างแพร่หลาย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย ไม่แข็งแรง

Corneocye envelope

Corneocye envelope หรือเรียกย่อๆ ว่า CE เป็นเสมือนเปลือกอีกชั้นหนึ่งที่ห่อหุ้มเซลล์ผิวชั้นนอกสุด (Corneocyte) เอาไว้ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผิวหนัง

ในผิวที่โตเต็มที่โครงสร้างของ CE จะมีความแข็งแรงกว่าผิวที่อยู่ด้านในหรือยังโตไม่เต็มที่ ในผิวหนังนั้นการสร้าง CE เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อกันโดยใช้เอนไซม์ในผิว (Cross-linked) ของโปรตีนหลายๆ ชนิด หลายๆ ชั้น จนมาเป็นเปลือกที่แข็งแรงและมีความคงตัวสูงขึ้นมา โดยโปรตีนตัวหนึ่งที่อยู่เป็นเปลือก CE นั้นมีชื่อว่า Filaggrin

Filaggrin นั้นได้จากการสลายตัวของโปรตีนตัวใหญ่กว่าที่ชื่อ Profilaggrin ที่ผิวชั้นล่างๆ เราสร้างไว้และเก็บไว้ในถุง (Keratohyalin granules) เมื่อเซลล์ผิวเราแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อเคลื่อนตัวออกมาข้างนอก ถุงนี้ก็จะแตกออก ทำให้ Profilaggrin นั้นโดนย่อยกลายเป็น Filaggrin ซึ่งมีชะตากรรม 2 อย่าง อย่างแรกคือ ไปโดน Cross-linked เป็นเปลือก CE ทำให้ผิวแข็งแรง กับอีกอย่างคือ Filaggrin นั้นโดนย่อยสลายต่อกลายเป็น NMF

ในการย่อยสลายของ Profilaggrin และ Filaggrin ไปเป็น NMF นั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้อง คือ Caspase-14 ส่งผลให้ผิวเรามีปริมาณของ NMF ที่มากขึ้น สุดท้ายแล้วก็คือทำให้ผิวหนังสามารถอุ้มน้ำไว้ได้ดีขึ้นในวงการเครื่องสำอางมีสารอยู่ชนิดหนึ่งที่มีผลกับ Caspase-14 สารนี้ก็คือ Galactomyces ferment filtrate; GFF หรือที่รู้จักกันในนามว่า Pitera นั่นเอง โดยมีการศึกษาพบว่า GFF นั้นช่วยให้ Caspase-14 ทำงานได้ดีขึ้น* ผิวจึงแข็งแรงมากขึ้นและมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น

*Reference: Kataoka S., et al. Arch Dermatol Res. 2013;305 (8) :683-9.

สำหรับตอนนี้ในวงการเครื่องสำอาง ก็มีเครื่องสำอางที่มาจับองค์ประกอบเหล่านี้ครบเลยค่ะ

ซึ่งเราสามารถสรุปกลไก และตัวอย่างสารบำรุงที่ดูแล Barrier ผิวได้ดังนี้

  • ไขมันที่เป็น Barrier ผิว: Ceramides, MLE, MVE, Fatty acids, Natural oil, Cholesterol
  • NMF: กลุ่มน้ำตบที่มีกรดอะมิโน/น้ำตาล/ไฮโดรไลส์คอลลาเจน/ไฮยาลูรอน
  • Aquaporin: เช่น Glyceryl glucoside
  • Tight junction: Colloidal oatmeal
  • Corneocyte envelope: ทางฝั่งญี่ปุ่นให้ความสนใจกับ Corneocyte envelope ค่อนข้างเยอะค่ะ และเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร รวมถึงพิเทร่า ที่ดูแลเรื่อง Corneocyte envelope เช่น เทคโนโลยี HA stabilizing ของ d Program ในเครือ Shiseido
Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวกาย CeraVe Moisturizing Lotion (revised 12/2022)

เชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะคุ้นตา คุ้นชิน แล้วก็อาจจะเคยใช้มอยส์เจอไรเซอร์บำรุงผิวกายของ CeraVe กันมาบ้างแล้วนะคะ

แบรนด์ CeraVe นี่เป็นแบรนด์เวชสำอางบำรุงผิวที่พัฒนาร่วมกับแพทย์ผิวหนังชั้นน้ำของอเมริกา มีราคาที่จับต้องได้ หาซื้อได้ง่าย และเป็นที่นิยมทั่วโลกเลยทีเดียวค่ะ

แบรนด์ CeraVe นั้นเป็นเวชสำอางแบรนด์อันดับ 1 ที่แพทย์ผิวหนังในอเมริกาแนะนำ

ซึ่งสูตรที่ทางบริษัท L’oreal Thailand นำเข้ามาจำหน่ายในไทยนั้น ก็ได้ผ่านการวิจัยและปรับสูตรเพื่อให้เหมาะกับการใช้ในอากาศบ้านเราด้วยค่ะ

ซึ่งก็มีด้วยกันหลายสูตร ท่านที่สนใจสามารถติดตามรับชมได้ที่บน Official website ของทางแบรนด์ CeraVe ประเทศไทยได้เลยค่ะ

(Image from CeraVe Thailand Official Website)

สำหรับ Content นี้เราจะมาอัพเดทและวิเคราะห์ส่วนผสมของ CeraVe Moisturizing Lotion กันอีกครั้งนะคะ

สำหรับหน้าตาน้องก็จะเป็นแบบนี้ค่ะ

ก็จะขอเล่าเรื่องของปราการผิว (Skin Barrier) ของเรา แล้วก็เทคโนโลยี MVE ของทางแบรนด์เล็กน้อยก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

ในผิวชั้นนอกของเรา จะมีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่ 3 อย่าง ที่ทำหน้าที่เป็นตัวปกป้องรักษาความชุ่มชื้นให้คงอยู่ในผิว และป้องกันไม่ให้สารอันตรายต่างๆเข้ามาในผิว ที่เราเรียกกันว่า Barrier ผิวค่ะ

สิ่งเหล่านี้ได้แก่

  1. ไขมันที่เรียงตัวเป็นชั้นๆ หรือ Lipid lamellar
  2. สารชอบน้ำ ที่เรียกว่า Natural moisturizing factor เช่น พวกกรดอะมิโน น้ำตาล ยูเรีย และอิออนบางชนิด
  3. โปรตีนเคราติน และการเรียงตัวแบบสลับซับซ้อนของเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นนอก ที่ชื่อ Corneocyte

ว่ากันว่า ไขมันนั้นสำคัญที่สุดในการเป็น Barrier ของผิวนะคะ

แน่นอนว่า ไขมันนี้ เป็นคนละชนิดกับ น้ำมัน Sebum ที่หลั่งออกมาจากต่อมไขมันในรูขุมขน

ไขมันส่วนนี้อยู่ในผิวชั้นนอกของเรา เรียงตัวเป็นชั้นๆ ประกอบด้วยไขมัน 3 ชนิดหลักๆ คือ Ceramide, Cholesterol และ กรดไขมันค่ะ

และองค์ประกอบที่พบมากที่สุดในไขมันนี้ก็คือ Ceramide ที่พบได้เกือบถึง 50% เลยทีเดียว และนางก็มีความสำคัญมากกับความแข็งแรงของ Barrier ผิว

Ceramide นั้นมีหลายชนิดค่ะ แต่ชนิดที่มีความสำคัญคงหนีไม่พ้น Ceramide 1 แต่ทางเครื่องสำอางเราไม่ค่อยนำมาใช้กัน เพราะปัญหาเรื่องความคงตัว เลยหยิบเอา Ceramide 3 ที่คงตัวดีกว่ามาใช้กันเสียมากกว่า

ข้อดีอย่างหนึ่งของ CeraVe ก็คือ ใช้ Ceramide 3 ชนิด คือ Ceramide 1, Ceramide 3 และ Ceramide 6-II ในสัดส่วนที่เหมาะสมเพื่อเสริมการฟื้นฟู Barrier ผิวของเราได้อย่างลงตัวค่ะ

ส่วนเทคโนโลยี MVE นั้น เป็นเทคโนโลยีที่ทางแบรนด์เลือกใช้ในการนำส่งสารบำรุงเข้าสู่ผิวค่ะ

MVE นั้นย่อมาจาก Multivesicular emulsion ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีทั้งสิทธิบัตร และงานวิจัยรองรับรับ โดยเป็นระบบนำส่งที่มีรูปร่างเป็นทรงกลมที่มีหลายๆชั้น คล้ายหัวหอม เวลาลงผิว ก็จะค่อยๆปลดปล่อยออกมาทีละชั้น ทำให้สารเพิ่มความชุ่มชื้นต่างๆอยู่ในผิวได้นานขึ้น (Ref: J Clin Aesthet Dermatol. 2016; 9(12): 26–32.)

(Image from CeraVe Thailand)

ซึ่งตรงนี้ทางแบรนด์เองก็มีผลการทดสอบประสิทธิภาพด้านความชุ่มชื้นในอาสาสมัครด้วยนะคะ

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

จากส่วนผสมวันนี้ทำสีของสารบำรุงไว้ 2 สีค่ะ

ในส่วนของสารบำรุงสีม่วงจะเป็นส่วนของสารไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิวค่ะ ซึ่งได้แก่

  • Ceramides ทั้ง 3 ชนิด คือ Ceramide 1, 3 และ 6-II ซึ่งถือว่าเป็นการเลือกเซราไมด์ได้อย่างชาญฉลาด ผิวหนังของคนเราประกอบด้วย Ceramides อยู่หลายชนิดก็จริง อันนี้ขอลงลึกนิดหน่อย ถ้าแบ่งแบบง่ายๆ เราสามารถแบ่ง Ceramides ในผิวได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ ตามชนิดของกรดไขมันที่เป็นองค์ประกอบในโมเลกุล คือ Ceramides กลุ่ม N เป็น Ceramide ที่มีกรดไขมันชนิดปกติ กลุ่ม A มีกรดไขมันที่มีหมู่ Hydroxyl ที่ตำแหน่ง alpha-carbon และกลุ่ม EO มีกรดไขมันชนิดที่มีการ Esterified บริเวณ Hydroxyl ตำแหน่ง Omega ว่ากันว่า เซราไมด์กลุ่ม EO จะมีความสำคัญมากที่สุดในการทำให้ Barrier ของผิวแข็งแรง และผิวเราต้องมีสัดส่วนของ Ceramide A, N และ EO ที่เหมาะสมถึงมีผิวแข็งแรง ทีนี้ทางแบรนด์ก็เลยหยิบเอาเซราไมด์ตัวแทนจากแต่ละกลุ่มมาใส่ในครีม ถึงบอกว่านี่คือการใช้ได้อย่างชาญฉลาด
  1. Ceramide AP เป็น Ceramide ในกลุ่ม A มีชื่ออีกชื่อว่า Ceramide 6 II
  2. Ceramide NP เป็น Ceramide ในกลุ่ม N มีชื่ออีกชื่อว่า Ceramide 3 ตัวนี้เป็นเซราไมด์ชนิดที่พบมากที่สุดในผิวเรา
  3. Ceramide EOP เป็น Ceramide ในกลุ่ม EO ที่มีกรดไขมันสายยาวๆอยู่ แต่จากแหล่งข้อมูล มี่ก็ยังมีความสับสนอยู่ เพราะ Ceramide 1 ที่แท้ทรูคือ Ceramide EOS
  • Cholesterol เป็นอีก 1 องค์ประกอบที่สำคัญของ Barrier ผิว
  • Phytosphingosine เป็นเบสชนิดหนึ่งกลุ่ม Sphingoide ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในโครงสร้างของ Ceramide

ตัว Phytosphingosine ของมันเองก็มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการ และมีการศึกษาวิจัยรองรับอยู่หลายชิ้น ที่น่าสนใจคือ น้องมีคุณสมบัติที่ดีในการดูแลการอักเสบและระคายเคืองผิว และเสริมการบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) ของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า (Keratinocyte) ให้ทำงานได้สมบูรณ์และโตเต็มไว (Mol Med. 2006; 12(1-3): 17–24.)

  • Caprylic/capric glycerides เป็นไขมันชนิด Triglycerides ซึ่งผิวเราสามารถย่อยสลายแปรสภาพได้เป็นกรดไขมัน กับ Glycerin

สีฟ้า เป็นสารบำรุงอื่นๆ ที่ไม่ได้จัดเข้ากับ Barrier lipid ได้แก่

  • Sodium hyaluronate ซึ่งมีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้น
  • Tocopherol หรือวิตามินอี เป็น antioxidant

ในภาพรวมจึงเน้นไปที่ความแข็งแรงของผิว และเสริมความชุ่มชื้น

และในสูตรไม่มีส่วนผสมสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนดีกว่าค่ะ วันนี้ส่วนผสมมีไม่ค่อยเยอะมาก ขอแบ่งให้คะแนนเป็น 2 หมวดนะคะ

  1. ส่วนผสม ถ้าพิจารณาในด้านของส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องกับ Barrier ผิวทั้งหมด ตัวนี้ยังถือว่าขาดกลุ่ม NMF ที่เป็นสารโมเลกุลเล็กอยู่นะคะ แต่ถ้าพิจารณาในด้านของสารไขมันที่เสริมสร้าง Barrier ผิวทั้งหมด ตัวนี้ถือว่าทำมาได้ดี และมีความชาญฉลาด ที่เลือกใช้เซราไมด์ทั้ง 3 กลุ่มหลัก คือ A, N และ EO ตามชนิดที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว ส่วนผสมทุกตัวที่ใส่มามีความเป็นมิตรกับผิวดีค่ะ และอย่าลืมประเด็นของเรื่อง MVE technology ด้วย จุดนี้ขอให้คะแนนแบบในภาพรวมที่ 4 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน น้องเป็นโลชั่นที่ให้สัมผัสที่ค่อนข้างบางเบามาก ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะ ในส่วนของสัมผัสหลังใช้ก็ถือว่าค่อนข้างดีค่ะ เบาสบายผิว เอามาทาได้ทั้งหน้าและตัวค่ะ ขวดเดียวครบจบทั้งหน้าตัว ระหว่างวันถ้าเหงื่อออกก็ไม่ได้เยิ้มหรือรู้สึกเหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัว รับไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ CeraVe ประเทศไทย ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ CeraVe ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/CeraveThailandOfficial/

ทางไปช้อปปิ้ง

Lazada https://s.lazada.co.th/s.EBh18?cc

Shopee https://s.shopee.co.th/7Kk6ylfl2b

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาจากทางแบรนด์ CeraVe การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณ ผู้เขียนไม่ได้รับค่าตอบแทนในการเขียนรีวิวนี้และไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆ ในการขายสินค้า แต่ผู้เขียนอาจได้รับส่วนแบ่งจากการคลิ้กลิงค์ไปยังร้านค้า