Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเสริมผิวแข็งแรง Ultimune Power Infusing Concentrate จาก Shiseido

ยอมรับก่อนเลยว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่รีวิวยากมากชิ้นหนึ่งในปี 2024 นี้เลย กับ Ultimune Power Infusing Concentrate จาก Shiseido

ด้วยความที่ทางแบรนด์มีเทคโนโลยีชั้นสูง ที่ซับซ้อนผ่านการวิจัยมานาน และน่าสนใจมาก เลยทำให้ Ultimune serum มีความน่าสนใจมาก

ก่อนไปดูส่วนผสม อยากกล่าวถึงเรื่องของ Lifeblood Research™ ของทางแบรนด์ก่อน

Lifeblood Research™ เป็นการศึกษาถึงศาสตร์แห่งการไหลเวียนของเลือด (Blood flow science) ซึ่งเกิดจากการสั่งสมความรู้และประสบการณ์จากงานวิจัยมากว่า 120 ปี ของทางแบรนด์

โดยทางแบรนด์พบว่า ความงามของผิวขึ้นอยู่กับระบบการไหลเวียนภายในผิว ที่ผนังของเส้นเลือดฝอย หรือ บริเวณ Endothelial ถ้าบริเวณนี้มีความแข็งแรง ก็จะทำให้นำส่งสารอาหารมายังผิวได้ดี ส่งผลให้ผิวสวยและแข็งแรง

(Image from Shiseido International Website)

ซึ่งประเด็นนี้ก็มีงานวิจัยจาก 3rd party (คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับแบรนด์) มาสนับสนุน เช่น ทีมวิจัยของ Fewkes และคณะ พบว่า ถ้าการไหลเวียนเลือดไม่ดี จะทำให้มีการสะสมตัวของ Advanced glycation end products (AGEs) ในผิวมากขึ้น (Cardiovasc Diabetol. 2024;23(1):332.)

(Image from Shiseido International Website)

ปัจจัยที่ทำให้ผนังเส้นเลือดอ่อนแอลง ได้แก่ รังสี UV สภาวะผิวแห้ง ความเครียด และ Aging

โดยใน Ultimune จะใช้สารสกัดจากพลูคาว (Houttuynia Cordata Extract) ซึ่งทาง Shiseido มีผลวิจัยพบว่า ช่วยขยายหลอดเลือด ส่งเสริมกระบวนการไหลเวียนของเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผนังหลอดเลือด ส่งผลต่อให้เซลล์ภูมิคุ้มกันดูแลผิวได้อย่างทั่วถึง ผิวจึงแข็งแรง

(Image from Shiseido International Website)

ยังมีอีกโมเลกุลหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือด คือ APJ (angiotensin domain type 1 receptor-associated protein) ซึ่งเป็น Softness sensor โมเลกุลนี้จะจับสัญญาณว่า เส้นเลือดมีความแข็งเกร็ง (Stiff) ไม่ยืดหยุ่นหรือไม่ โมเลกุลนี้จะอยู่ข้างๆ หลอดเลือดฝอย โดยพบว่าในผิวที่มีอายุเยอะ หรือ ผิวที่เส้นเลือดขาดความยืดหยุ่น ปริมาณของ APJ จะลดลง เส้นเลือดฝอยมีความเปราะ และไม่สมบูรณ์ ส่งผลสืบเนื่องไปสู่ Aging

อีกโมเลกุลหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ VE-cadherins ที่ทำหน้าที่ยึดเกาะผนังหลอดเลือดฝอยเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งถ้า VE-cadherins น้อยลง จะทำให้ผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรง ส่งผลให้ผิวทำงานได้น้อยลง และเกิดปัญหาต่างๆ ในเชิง Aging ตามมา

โดยสารสกัดจากพลูคาว สามารถเพิ่มปริมาณ VE-cadherins ได้

เสริมมาด้วยกระเจี๊ยบแดงที่ผ่านกระบวนการหมัก (Lactobacillus/hibiscus sabdariffa flower ferment filtrate) ซึ่งไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันตัวหนึ่งที่ชื่อ NK cell โดยปกติแล้ว NK cells จะเป็นตัวกำจัดเซลล์ซอมบี้ หรือ Senescent cells ในผิว แต่เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น การทำงานของ NK cells จะลดลง ทำให้เซลล์ซอมบี้สะสมตัว และซอมบี้พวกนี้สามารถปล่อยสารที่ไปเหนี่ยวนำให้เซลล์ข้างเคียงเป็นเซลล์ซอมบี้ไปด้วย ทางแบรนด์เรียกกระบวนการนี้ว่า “Zombification”

(Image from Shiseido International Website)

อีก Mechanism หนึ่งของการกำจัดเซลล์ซอมบี้ หรือ Senescent cells คือ ผ่าน CD4 T cells โดยจะไปกำจัด Senescent cells ผ่าน HCMV receptor บนผิวเซลล์ซอมบี้

คอมบิเนชั่นของกระเจี๊ยบแดงและพลูคาว ทางแบรนด์เรียกเป็น Double inner defense

มาค่ะ เกริ่นไปยืดยาว เข้าบทรีวิวของเรากัน

Ultimune Power Infusing Concentrate มาในหน้าตาแบบนี้

ส่วนนี้จะเป็นกล่องของผลิตภัณฑ์

เนื้อเป็นเนื้อแบบกึ่งๆ เจล สีครีม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

โดยในส่วนของกลิ่นหอม ทางแบรนด์เคลมว่า เป็นกลิ่นในโทน Green floral ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และมีเทคโนโลยี ImuCalm Compound™ ที่เบลนด์กลิ่นมาบำบัด เพื่อช่วยลดความเครียดทางอารมณ์อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งความเครียดก็จะนำไปสู่การปลดปล่อย Cortisol ที่มีผลทำให้เกิดกระบวนการอักเสบของผิวต่อไป

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสลื่น ชุ่มชื้น ไม่เหนอะหนะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในส่วนผสมมีสารบำรุงอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีรองรับอยู่พอควร ซึ่งทางนี้มองว่า ทางทีมวิจัยของ Shiseido นั้นมีความเข้มแข็งมาก และมีการจดสิทธิบัตร เผยแพร่ผลงานวิจัยอยู่สู่สาธารณะอยู่เรื่อยๆ

มาเริ่มที่เทคโนโลยีหลักของแบรนด์ คือ Double inner defense ที่เป็นการเบลนด์ Fermented hibiscus กับ พลูคาว

  • สารสกัดจากพลูคาว (Houttuynia Cordata Extract) ซึ่งทาง Shiseido มีผลวิจัยพบว่า ช่วยขยายหลอดเลือด ส่งเสริมกระบวนการไหลเวียนของเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผนังหลอดเลือดผ่านกระบวนการเพิ่มปริมาณ VE-cadherins ที่เป็นตัวยึดเกาะของ Endothelial ส่งผลให้ทั้งอาหารมาเลี้ยง และนำเซลล์ภูมิคุ้มกันมาดูแลผิวได้อย่างทั่วถึง ผิวจึงแข็งแรง (เข้าใจว่าเลยมีคำพ้องของคำว่า Immune ที่แปลว่าภูมิคุ้มกัน ในชื่อผลิตภัณฑ์นั่นเอง)
  • Fermented hibiscus extract (Lactobacillus/hibiscus sabdariffa flower ferment filtrate) ซึ่งไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันตัวหนึ่งที่ชื่อ NK cell โดยปกติแล้ว NK cells มีหลายหน้าที่ หนึ่งในนั้นคือ การกำจัด Senescent cells หรือเซลล์ซอมบี้ในผิว แต่เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น การทำงานของ NK cells จะลดลง ทำให้เซลล์ซอมบี้สะสมตัว และซอมบี้พวกนี้สามารถปล่อยสารที่ไปเหนี่ยวนำให้เซลล์ข้างเคียงเป็นเซลล์ซอมบี้ไปด้วย ทางแบรนด์เรียกกระบวนการนี้ว่า “Zombification” ซึ่งเมื่อให้ Fermented hibiscus extract เข้าไป จะทำให้กระบวนการทำงานของ NK cells ดีขึ้น และกำจัดพวก senescent cells ออกไป (เรียกกระบวนการนี้ว่า Senolytics)

สารสกัดอีกตัวที่มีนวัตกรรมอลังการโฉ่งฉ่างไม่แพ้กัน ก็คือ wild thyme หรือ Thymus serpyllum extract

กลับมาที่เซลล์ภูมิคุ้มกันอีกรอบ คราวนี้มาดู Macrophage ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง ปกติน้องจะทำหน้าที่กินเชื้อแปลกปลอม เวลานางเข้ามาในร่างกายเรา โดย Macrophage มี 2 ชนิด คือ M1 และ M2

  • M1 เด่นในแง่การเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ (pro-inflammatory) และ M2 เด่นในแง่ลดการอักเสบ (anti-inflammatory)
  • เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น M1 จะเพิ่มขึ้น นำไปสู่สภาวะเสียสมดุลทางภูมิคุ้มกัน และเกิดเป็น “Inflammaging” โดยคอลลาเจนจะสลายตัวไปด้วยเป็นผลสืบเนื่องจากกระบวนการอักเสบ
  • ในปี 2022 Shiseido ค้นพบว่าเวลาเราอายุเพิ่มขึ้น จะมีปริมาณของสาร Cytokine ชนิด IL-34 ลดลงซึ่งไปทำให้ M1 เพิ่มขึ้น

  • ผลวิจัยจากทางแบรนด์พบว่า สารสกัดจาก wild thyme ไปเพิ่มปริมาณ IL-34 ซึ่งจะนำไปสู่
    การปรับสมดุลชนิดของ Macrophage M1/M2 ทำให้ผิวแข็งแรง ลดกระบวนการ
    อักเสบ และปกป้องคอลลาเจนในผิวต่อไป

ลองมาดูสารบำรุงอื่นๆ กันนะคะ

  • Lotus (Nelumbo nucifera) germ extract มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงคุณสมบัติในการเปิดระบบ Autophagy เพื่อกำจัดโปรตีนที่ไม่ฟังก์ชั่นใน mitochondria ซึ่งเป็นเหมือนโรงพลังงานของเซลล์ และสามารถกระตุ้น Senescent fibroblast ให้กลับมาทำงานสร้างคอลลาเจนได้อีก (Aging (Albany NY). 2022;14(19):7662-7691.)
  • Sanguisorba officinalis root extract มีรายงานถึงความสามารถในการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในหลอดทดลอง และลดริ้วรอยในอาสาสมัคร (Biosci Biotechnol Biochem. 2008;72(2):303-11.)  ยับยั้งการสลาย Hyaluronan ในระดับหลอดทดลอง และการทดสอบในอาสาสมัครพบว่าอาสาสมัครมีริ้วรอยลดลงเมื่อเทียบกับครีมเบส (Int J Cosmet Sci. 2019;41(1):12-20.) ลดการอักเสบ (J Ethnopharmacol. 2011;134(1):11-7.)
  • สารสกัดจากเห็ดหลินจือ (Ganoderma Lucidum (Mushroom) Stem Extract) มีงานวิจัยอยู่ค่อนข้างมากถึงประโยชน์ของเห็ดหลินจือ ซึ่งให้ประโยชน์ต่อผิวค่อนข้างกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Soothing, ปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน เป็น antioxidant เป็น whitening
  • Sodium carboxymethyl beta-glucan มีข้อมูลอยู่ว่าสามารถก่อฟิล์มบนผิว และมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อม รวมถึงเสริมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความชุ่มชื้น
  • Hydroxyproline เป็นหน่วยย่อยของคอลลาเจน นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้นแล้วอาจจะมีประโยชน์ในด้านของการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • Trehalose เป็นน้ำตาลที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

นอกจากนี้จะมีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชที่มีกลิ่นหอม ร่วมกับสารหอมอยู่หลายชนิด โดยอาจเบลนด์เข้ากันเพื่อสร้างกลิ่นในโทน Green floral ที่ให้ความผ่อนคลายตามเคลมของ Imucalm technology

จริงๆ ในส่วนผสมจะมีคู่ของ PEG/PPG-17/4 Dimethyl Ether และ PEG/PPG-14/7 Dimethyl Ether ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นในด้านของการทำสูตร และในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และเป็นสารเอกลักษณ์ที่ทาง Shiseido ใช้ในหลายๆ ผลิตภัณฑ์

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง หลักๆ ในภาพรวมจะเน้นไปที่ด้านของการปรับสมดุลระบบการไหลเวียนเลือดในผิว ให้ผิวแข็งแรงและทำงานได้ดี ร่วมกับการเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะให้ประโยชน์ต่อเนื่องไปในด้านของการชะลอวัย ดูแลปัญหาการอักเสบระคายเคือง และ inflammaging เสริมมาด้วยการเติมน้ำ และการเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ มีส่วนผสมของ Alcohol แต่ส่วนตัวใช้ได้ไม่ได้มีปัญหาอะไร หักไป 1 คะแนน เหลือ 4 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวชอบทั้งในแง่ของกลิ่นผลิตภัณฑ์ เนื้อสัมผัส การเกลี่ย และความรู้สึกหลังทา ในภาพรวมเซรั่ม Ultimune ทำมาได้ค่อนข้างดี ตอบโจทย์ และการใช้งานมานานเกินปี รู้สึกว่าน้องช่วยให้ผิวแข็งแรง และชะลอปัญหาผิวต่างๆ ให้เกิดขึ้นช้าลง พร้อมทั้งให้ผิวเราทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้มากขึ้น ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ พบกันใหม่คอนเทนท์ถัดไป สวัสดีค่ะ

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/1LPjJTlFw5

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.HCOWV?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Brikk จาก the Labatorian เซรั่มดูแล Barrier ผิว ส่วนผสมอัดแน่น แต่เนื้อบางเบา เวอร์ชั่นติดแกลม อัพเดท 2024

Blog นี้ขอหยิบเอา Brikk ติดแกลม เวอร์ชั่น 2024 จากแบรนด์ The Labatorian ที่อัพเดทแพคเกจใหม่ พร้อมปรับสูตรใหม่เพื่อความฉ่ำปัง

น้องพึ่งเปิดตัวแพคเกจใหม่เมื่อช่วง 11.11 ที่ผ่านมานี้เอง

Brikk ใหม่ เขามาในหน้าตาประมาณนี้ ขวดใหม่ไฉไลมาก

อันนี้จะเป็นตัวกล่องนะคะ

เนื้อเซรั่มเป็นเนื้อแบบใส จะได้กลิ่นหอมของกุหลาบจางๆ ซึ่งมาจาก Rose water ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ นอกจากจะให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) แล้วก็ยังได้กลิ่นหอมด้วย

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย แรกๆ จะให้สัมผัสลื่นๆ ผิว แต่เมื่อทิ้งไว้สักพัก ไม่ถึง 1 นาที ตัวเซรั่มจะซึม/แห้งไป ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ชุ่มชื้น และไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสูตรปรับใหม่นี้มีความชุ่มผิวมากขึ้น

ค่า pH นั้นอยู่ที่ประมาณ 5 นะคะ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับค่า pH ของผิว

รายการส่วนผสมของสูตรใหม่ 2024 แอบมีต่างจากสูตรเดิมเล็กน้อย

แต่ก่อนไปดูส่วนผสม อยากเล่าถึง Barrier ของผิว 4 กลุ่มย่อย

  1. Physical barrier คือ ตัวผิวเอง โครงสร้างที่สมบูรณ์ของผิวหนังเป็นตัวปกป้องไม่ให้ของดีๆ ภายในออกไปข้างนอก และป้องกันไม่ให้อันตรายจากภายนอกเข้ามาข้างใน
  2. Chemical barrier คือ พวกสารเคมีต่างๆ ที่ผิวเราสร้างขึ้นมา การรักษาสภาวะ pH ให้เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคโตได้ บางที่อาจจะนับรวม Biochemical barrier เข้ามาไว้ด้วย คือพวก Antimicrobial peptide ที่ผิวเราสร้างขึ้นมาระงับเชื้อก่อโรคต่างๆ ตัวที่ดังๆ ก็เช่น Defensin
  3. Immunological barrier คือ ระบบภูมิคุ้มกันของผิวเรานั่นเอง ที่คอยปกป้องผิวจากทั้งสารเคมี และพวกจุลินทรีย์ต่างๆ
  4. และช่วงหลังๆ มา Microbiome ปังมาก เลยมีคนพูดถึง Microbiological barrier โดย Microbiome เป็นเหมือนชุมชนของจุลินทรีย์หลากหลายชนิด น้องมีปฏิกิริยากับผิวเราทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง รวมถึงสร้างสารที่มีประโยชน์ให้แก่ผิว

การเลือกใช้ Pre-pro-post biotics ในทางเครื่องสำอาง ก็เพื่อดูแล Microbiome ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ผิวของเราแข็งแรง และมีสุขภาพดี

โดยตัว Brikk นั้นเคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily ที่ดูแลผิวเสมือนรวมเอาเซรั่ม 6 ขวดเข้าไว้ด้วยกัน ดังนี้

  • Antioxidant ด้วยส่วนผสมของ Antioxidant ชั้นเลิศอย่าง Resveratrol กับ Ferulic acid
  • Anti-pollution ตัวที่น่าสนใจก็คือ Ectoine กับพวกสารที่ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Microbiome ดูแลด้วย Prebiotics
  • Lipid & NMF ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Soothing ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Hydration เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างยาวนาน

เราลองมาดูส่วนผสมของ Brikk กันนะคะว่าดูแล Barrier ผิวได้ในทุกมิติ และเป็นเซรั่ม 6 ขวดในขวดเดียวกันได้ อย่างไร

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมของ Brikk นั้นมีสารบำรุงอยู่หลายชนิดเหมือนกัน ลองมาดูตัวที่น่าสนใจๆ

  • กลุ่ม Microbiome ใช้แทนด้วยสีเขียวมะกอก ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย Prebiotic 2 ชนิด ได้แก่ Inulin และ Beta-glucan และ Post-biotic อย่าง Lactococcus ferment lysate
    • Inulin เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น Chicory, artichoke ซึ่งจัดเป็น Prebiotic ชนิดหนึ่ง น้องเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีที่เรียกกันว่า Probiotic ในทางเครื่องสำอางมีการใช้ Inulin เพื่อเป็น Moisturizer โดยข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า Inulin มีความสามารถในการเป็น Moisturizer ที่ดีกว่า Hyaluronic acid (Ref: TDS preBIULIN AGA)
    • Beta-glucan เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และในพืชบางชนิด เช่น Oat ซึ่งนอกจากความสามารถในการเป็น Prebiotic แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านการเป็น Moisturizer และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect
    • Lactococcus ferment lysate เป็นกลุ่มสารที่ได้จากการย่อยระบบที่เลี้ยงจุลินทรีย์ Probiotic อย่าง Lactoccus เราเลยเรียกว่า Postbiotic ข้อมูลจากวัตถุดิบ ProRenew Complex CLR™ กล่าวว่าใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์ Lactococcus lactis ซึ่งมีรายงานงานวิจัยสนับสนุนถึงประโยชน์ที่ดีหลายชนิด เช่น คุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิวในผิวหนังเพาะเลี้ยง (Lett Appl Microbiol. 2019;68(6):530-536.) เสริมการทำงานของ Barrier ผิวผ่าน Antimicrobial peptide ที่ชื่อ Defensin ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องผิวตามธรรมชาติ และเสริมการสร้าง Filaggrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญตัวหนึ่งของผิว ไม่ว่าจะเป็น เป็นสารตั้งต้นของ NMF และ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของ Cornified envelope ที่ให้ Corneocyte แข็งแรง ปกป้องผิวเราจากอันตรายต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ผลทั้งสองอย่างทดสอบในผิวหนังเพาะเลี้ยง และมีการทดสอบในอาสาสมัครโดยให้ทาตำรับที่มี Lactococcus วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 30 วัน พบว่าผิวหนังของอาสาสมัครมี Barrier ที่แข็งแรงขึ้น วัดจากค่าการระเหยของน้ำจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ที่ลดลง และช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว (Skin Pharmacol Physiol. 2019;32(2):72-80.)
  • สีบานเย็น เป็นพวกสารที่เสริมคุณสมบัติการเป็น Barrier ของผิว อย่างพวก Ceramide, Cholesterol และ Sphingoid base ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของ Ceramide อย่าง Phytoshingosine
  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารที่เติมน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งมีด้วยกันหลายตัว เช่น
    • Ectoine เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่มีโครงสร้างเป็นวงกลม สร้างโดยแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างโหดร้าย (Extremophile) ทำหน้าที่ปกป้องตัวเขาเองจากอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากปัจจัยกายภาพและเคมี มีการพบว่าตัว Ectoine จะทำหน้าที่ดึงเอาน้ำมาเกาะไว้กับตัวเองแล้วกลายเป็นชั้นโครงสร้างที่ช่วยปกป้องโปรตีนองค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญของเซลล์เอาไว้ เรียกว่าเป็น Ectoine hydrocomplex (Clin Dermatol. 2008;26(4):326–633.) เจ้า Hydrocomplex ดังกล่าวส่งผลดีถึงองค์ประกอบทั้งเซลล์ คือปกป้องเซลล์นั้นให้มีปริมาณน้ำเหมาะสม และทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อปริมาณน้ำต่ำลง จะไปมีผลต่อระบบของการอักเสบทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา ในกรณีของผิวหนัง การมี Ectoine จะช่วยให้ Lipid barrier ของผิวทำงานได้ตามปกติและมีความแข็งแรง ผิวจึงแข็งแรง และเก็บกักน้ำได้ดี (มีการระเหยของน้ำออกจากผิว/Transepidermal water loss; TEWL น้อย) (Biophys Chem. 2010;150(1–3):37–46.) มีการทดสอบประสิทธิภาพในทางผิวหนังอยู่หลายชิ้น ซึ่งได้กล่าวถึงในบทความวิชาการล่าสุดของ Kauth และ Truvosa (Dermatology and Therapy. 2022;12:295–313) ในภาพรวมคือ Ectoine ให้ประโยชน์ในการปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ลดการอักเสบระคายเคือง รวมทั้งดูแลปัญหาผิวอักเสบและระคายเคืองต่างๆ (Skin Pharmacol Physiol. 2004; 17(5):232-7.) ยังมีการทดสอบพบว่า Ectoine ให้ประโยชน์เป็น Whitening ได้อีก โดยไป block ผลจาก MSH ไม่ให้กระตุ้นให้เกิดการสร้าง Melanin ออกมาเมื่อเจอรังสี UV (Antioxidants (Basel). 2020;9(1):63.)
    • Polyquaternium-51 ตัวนี้เป็น Polymer สังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับไขมัน Phospholipid บนผิวของเรา ว่ากันว่านางจะเคลือบผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นของนางดีกว่า Hyaluronic acid
    • Saccharide isomerate ที่เด่นเรื่องการจับน้ำให้ผิวได้อย่างยาวนาน เพราะน้องสามารถเกาะติดบนผิวได้ดีและอยู่บนผิวได้นาน ถ้าเราไม่ล้างออกไป
    • Betaine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine ที่นอกจากจะเพิ่มความชุ่มชื้น ยังดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว และปรับ Feeling ของสูตรให้ไม่เหนอะหนะไปพร้อมๆ กัน
    • กรดอะมิโน และสารอื่นที่จัดเป็น Natural moisturizing factor หรือ NMF มีคุณสมบัติในการจับน้ำให้แก่ผิว
  • สีเขียว คู่หูคู่ขวัญ Niacinamide (B3) + N-acetyl-D-glucosamine (NAG) เราคงไม่กล่าวถึงประโยชน์ของ B3 และ NAG แบบแยกกัน เพราะทั้ง 2 ตัวก็มีประโยชน์กับผิวมากโขอยู่ สำหรับการใช้ร่วมกันนั้นมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • สีน้ำเงิน สารบำรุงอื่นๆ ยกตัวอย่างบางตัวที่น่าสนใจ เช่น
    • Syn-Hycan (Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate) สารชื่อยาวๆ นี้เป็นเปปไทด์สังเคราะห์ เทคโนโลยีสิทธิบัตร ซึ่งทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า มีคุณสมบัติในการเสริมการทำงานของ TGF-Beta ที่มีตามธรรมชาติของผิว ซึ่งส่งผลต่อไปให้มีการสังเคราะห์กลุ่มสาร Matrix จำพวก Hyaluron, Lumican และ Decorin ซึ่งมีคุณสมบัติให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และมีความแข็งแรง รวมทั้งช่วยเสริมการเรียงตัวของคอลลาเจนเดิมในผิวให้อยู่ในโครงร่างที่แข็งแรง (ปกติเวลาเราอายุเพิ่มขึ้นสายเส้นใยของคอลลาเจนจะฉีกขาดไปตามกาลเวลา และมีการเรียงตัวที่ไม่สวยงามไม่เป็นระเบียบแบบเดิม ผิวเลยหย่อนคล้อย ไม่กระชับ)
    • สูตรผสมของ Water (and) Butylene Glycol (and) PEG-60 Almond Glycerides (and) Caprylyl Glycol (and) Glycerin (and) Carbomer (and) Nordihydroguaiaretic Acid (and) Oleanolic Acid รู้จักกันในนาม AC.NetTM จาก Croda ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เบลนด์กันมาอย่างลงตัวเพื่อดูแลปัญหาสิว ผิวมัน และรูขุมขนกว้าง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยังระบุว่า สารชุดนี้ยังยับยั้งการเจริญของพวก C. acnes ที่ก่อสิว และ P. ovale ที่ก่อปัญหาผิวหลายประการ เช่น รูขุมขนอักเสบ
    • Ferulic acid กับ Resveratrol เป็น Antioxidant ที่มีประโยชน์มากมายกับผิว ซึ่ง Resveratrol เองก็พอมีข้อมูลเรื่องการเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งเป็นเสมือนการย่อยสลาย ทำลาย แล้วรีไซเคิลเอาส่วนประกอบที่อาจจะเสื่อมสภาพ หรือไม่ค่อยทำงานแล้ว มาสร้างใหม่ให้ดีเหมือนเดิม
  • สีส้ม Hyaluron และอนุพันธ์หลายชนิด ทั้งตัวเกาะ ตัวเคลือบ และตัวเล็ก มีประโยชน์ในการเติมน้ำให้กับผิวในหลายๆ ระดับ
  • สีชมพู กลุ่มสารที่ดูแลด้านการระคายเคืองผิว ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)

ในภาพรวมส่วนผสมของสารบำรุงที่ใส่ลงมาทำงานเสริมกันอย่างลงตัวทั้งในด้านการฟื้นฟู Barrier ผิว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของไขมัน ส่วนของโปรตีน Filaggrin พวก NMF และยังดูแลเรื่อง Microbiome รวมทั้งเติมน้ำ ฟื้นฟู ดูแลปัญหาผิวมัน สิว รูขุมขนกว้าง ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) ไปพร้อมๆ กัน สมกับที่เคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily จริงๆ

และสูตรใหม่ในปี 2024 นี้ ที่นางเพิ่มมาก็คือ Hexacarboxymethyl dipeptide-12 ซึ่งเป็นโค้ดเดียวกับ Aquatide ซึ่งไปเปิดระบบ SIRT-1 แล้วเสริมกระบวนการ Autophagy ทำให้ผิวแข็งแรง

อีกตัวที่ให้สีฟ้าอ่อนๆ ก็คือ Malachite extract ซึ่งเป็นสารที่ได้จากหินแร่มาลาไคท์ มีส่วนประกอบของแร่ธาตุ Copper ซึ่งเสริมกระบวนการทำงานของผิวในการต่อต้านอนุมูลอิสระจากสิ่งแวดล้อม และเป็น antioxidant

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives Brikk 2024 ก็คือ Brikk คนเดิม ไมโครไบโอมมาครบ Barrier ผิวเริ่ด เพิ่มเติมคือ เสริม Autophagy อีก 1 กรุบ เอาไปเถอะ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลย จึงไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผลิตภัณฑ์เสริม Barrier ส่วนใหญ่เนื้อจะค่อนข้างหนัก แต่น้อง Brikk นั้นทำมาได้ดีมาก บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ คนที่มีผิวมันน่าจะชอบ ส่วนตัวมีผิวผสม-แห้ง คิดว่า สูตรใหม่นี้ทำมาได้ชุ่มชื้นมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ The labatorian ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

IG : the_labatorian

Line official : @labatorian

Facebook : Labatorian

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/8fBa6jB03O

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.sYpqP?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ The labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเสริมพลัง Autophagy สูตรใหม่ปรับฉ่ำ ATG ultrasoothe rejuvenating serum จาก dermArtlogy

รู้สึกว่าปีนี้เป็นปีแห่งการปรับสูตรใหม่ของเครือ Neopharm เลยก็ว่าได้

ล่าสุด ATG #ลูกรักบ้านมียอน ก็ได้รับการปรับสูตรให้ดีงามขึ้นด้วย และมาในโฉมใหม่ ด้วยชื่อ ATG Ultrasoothe Rejuvenating serum

แต่ใดๆ น้องก็ยังคงคุมโทนอยู่ทั้งในส่วนของดีไซน์ และธีมของส่วนผสมยังคงบำรุงได้ฉ่ำเหมือนเดิม อาจจะฉ่ำกว่าเดิมด้วยนิดๆ

สังเกตที่แพคเกจจะคล้าย ATG แต่ว่าสูตรปรับใหม่ จะมีคำว่า “Ultrasoothe” เพิ่มเข้ามาค่ะ

ส่วนตัวรู้สึกว่าเนื้อเซรั่มเบาขึ้นกว่า ATG เดิมนิดหน่อย

ตอนเกลี่ยจะค่อนข้างลื่นผิว ให้ความรู้สึกสดชื่น และสบายผิว ตอนแรกๆ จะดูชุ่มๆ

แต่ถ้าทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 นาที ก็จะซึมและแห้งไปจนหมด

ส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ถ้าดูจากส่วนผสม ส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านต่างๆ เรียกได้ว่าดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

โดยขอเริ่มที่กลุ่มสีชมพู กลุ่มของไขมัน และสารที่ใช้ทำ MLETM (Multi-lamellar emulsion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง Neopharm ประเทศเกาหลี

  • MLETM ปกติแล้วในผิวเราจะมีไขมันที่ทำหน้าที่เป็น Barrier ผิว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ Ceramide + Cholesterol และ Fatty acid ไขมันเหล่านี้มันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งมีด้วยกันหลายรูปผลึก ส่วนหนึ่งเป็นรูปแบบ Liquid crystal

โดย MLETM ในตำรับนี้เป็นสูตรผสมของ Pseudoceramide (Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA หรือ Ceramide-9S) ร่วมกับ Phytosterol และกรดไขมัน Stearic acid, Palimitic acid และ Caprylic/capric triglycerides โครงสร้างของ MLE นั้นจะมีการจัดเรียงตัวในรูปแบบที่คล้ายกับ Liquid crystal ของผิว เลยสามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวทดแทน Barrier ของผิว

อีกตัวที่เป็นส่วนประกอบของ MLE คือ Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide หรือ Ceramide-5SP ซึ่งพอเอามารวมกับ Ceramide-9S และสารอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะเกิดเป็นโครงสร้างรูปแบบ Liquid crystal ที่เวลาดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ Polarized microscope จะเห็นเป็นลักษณะพิเศษที่เรียกว่า Maltese cross ซึ่งเหมือนกับการเรียงตัวของ Barrier ผิว ตามภาพ

(Image from Neopharm)

  • Phytosterols ที่เสริมเข้ามายังมีประโยชน์เพิ่มเติมในด้านการดูแลปัญหาการอักเสบและระคายเคืองของผิวได้อีกทาง

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของ Peptide และสารบำรุงที่น่าสนใจแสดงด้วยอักษรสีบานเย็น

  • Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptide-12 ตัวนี้คือ Aquatide ที่เป็นเหมือนนางเอก มีบทบาทและประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว ซึ่งเป็นเสมือนกระบวนการที่ผิวเรารีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างและฟื้นฟูเป็นองค์ประกอบใหม่ ให้ผิวเราทำงานได้ดีเหมือนเดิม ขอใช้รูปเก่ามาประกอบค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจเรื่อง Aquatide สามารถตามไปอ่านเรื่องของ Aquatide แบบละเอียดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ

(https://cosmeknowledge.wordpress.com/2019/06/11/spotlight-aquatide/)

  • Tetracarboxymethyl hexanoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า AdiposolTM ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าน้องไปมีผลกระตุ้น Adiponectin ซึ่งเป็น Peptide hormone ชนิดหนึ่งที่สร้างจากเซลล์ไขมัน (Adipocyte) ปกติ Adiponectin จะมีบทบาทในระดับร่างกาย แต่ก็มีการพบว่า Adiponectin นั้นมีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิว เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและ Hyaluron ในธรรมชาติของผิว และลดการอักเสบระคายเคือง (Oh, et al., Biomol Ther (Seoul). 2021; Sep 28. doi: 10.4062/biomolther.2021.089.)

ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่ารังสี UV และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม อย่างมลภาวะ ไปกดการสร้าง Adiponectin เลยทำให้กระบวนการต่างๆ เหล่านี้หายไป นอกจากนี้รังสี UV ยังไปทำให้เอนไซม์ MMP มาย่อยสลายคอลลาเจนเกิดความเหี่ยวขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ AdiopSOL กล่าวว่า สารนี้ยังเสริมกระบวนการ Autophagy ลดการสร้างเอนไซม์ MMP และลดการอักเสบในระดับหลอดทดลอง และลดรอยแดงของผิวในอาสาสมัคร

(Image from Incospharm และ AH&NS)

  • Pentasodium tetracarboxymethyl palmitoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อย่อว่า PTPD เป็นเปปไทด์ที่พัฒนามาเพื่อเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครที่เป็นโรคผิวหนังชนิด Atopic dermatitis เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีอาการระคายเคือง คัน ลดลง และมีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น (Kwon, et al. J Dermatolog Treat. 2019;30(6):558-564.) นอกจากนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า PTPD ยังมีคุณสมบัติลดปริมาณของเม็ดสีผิว ผ่านการเสริมการเกิด Autophagy ของแหล่งสร้างเม็ดสีผิวอย่าง Melanocyte

(Image from Dermartlogy Thailand)

  • Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide รู้จักกันในนาม K6PC-5 น้องเป็น sphingosine kinase 1 (SphK1) activator โดย SphK1 ทำหน้าที่สร้าง Sphingosine-1-phosphate (S1P) ซึ่งมีคุณสมบัติหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการเจริญ แบ่งตัวเพิ่มจำนวน หรือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า K6PC-5 สามารถเพิ่มการสร้าง involucrin และ filaggrin ซึ่งเป็น Marker หนึ่งที่บอกว่าเซลล์ผิวได้ Differentiate จนสมบูรณ์แล้ว และการทดสอบในหนูทดลองพบว่า การทา K6PC-5 สามารถปรับสมดุลการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ให้ผิวหนังมีความสมบูรณ์มากขึ้น (Hong et al., J Invest Dermatol. 2008;128(9):2166-78.) การทดสอบในหนูทดลองที่อายุเยอะ (Aging) พบว่า การทา K6PC-5 สามารถเพิ่มจำนวน Fibroblast ที่เป็นเซลล์สำคัญในการสร้างเส้นใยต่างๆ เช่น collagen ให้ผิวกระชับ แข็งแรง เสริมการสร้างคอลลาเจน และเพิ่มความหนาให้ชั้นหนังแท้ รวมถึงมีการเพิ่มจำนวนของโปรตีน involucrin, loricrin, filaggrin, and keratin 5 ซึ่งเป็นโปรตีนที่แสดงออกเมื่อผิวหนังเกิดการ Differentiate จนสมบูรณ์ (J Dermatol Sci. 2008;51(2):89-102.) มีอีกการศึกษาในโมเดลหนู Photoaged โดยให้หนูสัมผัส UV นานๆ พบว่า K6PC-5 สามารถเพิ่มคอลลาเจน และจำนวน Fibroblast รวมถึง เสริมความแข็งแรงของชั้น Stratum corneum และเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ผิว (Park et al., Exp Dermatol. 2008;17(10):829-36.) อาจจะกล่าวโดยสรุป ว่า K6PC-5 ปรับสมดุลช่วยให้ผิวแข็งแรง และให้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย
  • Caprylamide MEA หรือ Dualguard-7TM สารนี้มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคืองโดยไปลดการสร้างสารเหนี่ยวนำการอักเสบในกลุ่มของ Interleukin-17 (IL-17) เสริมกระบวนการ Autophagy ผ่านการยับยั้งโปรตีน p62 ซึ่งเป็นตัวต่อต้านการเกิด Autophagy และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน

กลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นแทนด้วยสีฟ้า จะเป็นตัว Hyaluronic acid รูปแบบดั้งเดิม และ Hydrolyzed hyaluronic acid ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดเล็กลง กรดอะมิโน Arginine

ถัดมาเป็นกลุ่มของสารที่ลดการอักเสบและระคายเคืองผิว รวมถึงสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด อย่างวิตามินบี 3 บี 5 Betaine, Allantoin

สูตรนี้มีการปรับเปลี่ยนสารลดการระคายเคืองจากเดิมเป็น Symsitive® (4-t-Butylcyclohexanol) ที่มีจุดเด่นคือออกฤทธิ์ Block ตัวรับส่งสัญญาณความร้อนและความเจ็บปวดชนิด TRPV-1 ให้ผลลดการระคายเคือง แสบร้อน ได้อย่างรวดเร็ว และยังไปเพิ่มความทนทาน (Tolerance threshold) ของระบบประสาทรับความรู้สึกแสบร้อน ให้ผิวเราทานทานมากขึ้น โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพในการลดความแสบร้อนจากการทา Capsaicin ในอาสาสมัคร (Ref: TDS Symsitive®)

(Image from Symrise)

ทางแบรนด์ได้ทดสอบประสิทธิภาพในการลดความรู้สึกระคายเคือง โดยให้อาสาสมัคร 20 คน ทาผลิตภัณฑ์ที่มี Symsitive เทียบกับ ครีมเบส พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มี Symsitive เมื่อกระตุ้นด้วยการระคายเคืองแล้ว ฝั่งที่ใช้ Symsitive อาการระคายเคืองแสบร้อนลดลงได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 – 3 นาที

(Image from Symrise)

ปิดท้ายด้วยสีเขียวเป็นสารสกัดจากบัวบก ที่มีประโยชน์ต่อผิวในหลายประการ ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นสารสกัดจากบัวบกในรูปแบบ Medical grade ในความเข้มข้นสูงถึง 50% และยังเสริมสารบริสุทธิ์ที่เป็นสารพฤกษเคมีหลัก (Active phytochemicals) ในบัวบก อย่าง Madecassoside เข้ามา ซึ่งสารเหล่านี้มีประโยชน์ในด้านการลดการอักเสบ เสริมการสมานแผล ชะลอวัยลดเลือนริ้วรอย เป็น Antioxidant และอื่นๆอีกหลายด้าน

สารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวมากขนาดนี้ผิวจะมันไหม?

ในจุดนี้ทางแบรนด์วางแผนการตั้งตำรับมาอย่างรอบคอบโดยการเสริมเอา Zinc gluconate ที่มีคุณสมบัติกระชับรูขุมขน (Astringent) และควบคุมความมันเข้ามา

เบสเป็นแบบน้ำ มีส่วนผสมของสารที่ละลายได้ในไขมันอยู่นิดหน่อย เนื้อเลยเป็นรูปแบบกึ่งใสกึ่งขุ่น อาจเรียกเป็น Translucent (โปร่งแสง แต่ไม่ถึงกับใส) ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ในภาพรวมนอกจากความโดดเด่นในแง่ของด้าน Autophagy ที่มีประโยชน์ทั้งการชะลอวัย เสริมความแข็งแรงให้กับผิวแล้ว ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกหลายชนิดที่ดูแลผิวได้อย่างครอบคลุมจบทุกปัญหา และช่วยให้ผิวแข็งแรง และอาจได้ประโยชน์ไปถึงด้านริ้วรอย การชะลอวัย และ ไวท์เทนนิ่ง ในสูตรใหม่นี้ ATG Ultrasoothe ปรับสารลดความรู้สึกระคายเคืองมาเป็น Symsitive เอาใจวัยรุ่นใจร้อน รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ตัวเซรั่มเนื้อค่อนข้างเบา ไม่เหนอะหนะ ซึมไว แห้งไว ถ้าใครผิวแห้งมากอาจจะยังชุ่มไม่พอ ให้ประกบคู่กับ Radiance gel moist ไป หรือ ใช้มอยส์อื่นตามชอบ เรื่องของประสิทธิภาพในการดูแลอาการแดง คัน ระคายเคือง ไม่สบายผิว ค่อนข้างลงตัว และส่วนตัวรู้สึกว่าตอบโจทย์ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DermArtlogy สาขาประเทศไทย ที่สนับสนุนสินค้านวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงได้เลย

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.ozkdD?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/4AfROJW4hg

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มบำรุงที่พัฒนาไปอีกขั้น ATG rejuvenating serum จากแบรนด์ dermArtlogy

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาอัพเดท รีวิว และวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มในไลน์ใหม่ของทางแบรนด์ dermArtlogy ของบริษัท Neopharm ประเทศเกาหลีกันนะคะ

เรียกได้ว่าเซรั่มของแบรนด์ dermArtlogy นั้น มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและทันสมัย

ล่าสุดทางแบรนด์ก็ได้พัฒนาสูตรใหม่ ATG rejuvenating serum ออกมาสำเร็จ จนกลายเป็นเซรั่มตัว Top สุด และได้วางจำหน่ายในบ้านเราเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา

สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดของแบรนด์และเซรั่มสูตร Ageless potent rejuvenating serum สูตรก่อนหน้า และสูตร Gel สามารถติดตามได้ที่ Link ด้านล่างนี้ค่ะ

ช่องทางตามไปอ่าน Ageless potent rejuvenating serum https://miyeonthereviewer.com/2020/10/09/dermatlogy-agelesspotent/

ช่องทางตามไปอ่าน Link Gel moisturizerhttps://miyeonthereviewer.com/2021/01/25/dermartlogy-gelmoist/

สำหรับสูตร Top สุด ณ ขณะนี้ คือตัว ATG ที่จะมาเล่าให้ฟังในวันนี้มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

น้องมาในดีไซน์ที่เป็น Signature ของทางแบรนด์ โดยรุ่นนี้จะเป็นขวดปั๊มแบบสุญญากาศ Airless pump ค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นประมาณนี้นะคะ มาในรูปแบบ Translucent กึ่งใสกึ่งขุ่น แสงยังผ่านได้

เช่นเคย เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราเลยจะยังได้กลิ่นของวัตถุดิบอยู่จางๆ เนื้อรุ่นนี้เกลี่ยได้ง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น เบา สบายผิว ไม่เหนอะหนะ และไม่แห้งจนเกินไป

ตัวนี้ส่วนตัวมี่โอกาสได้ทดลองใช้ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ยังไม่ออกสู่ท้องตลาดจนปัจจุบันก็ปาเข้าไปน่าจะครึ่งปีได้

ช่วง 2 เดือนแรก จะทาเฉพาะบริเวณใบหน้าด้านซ้ายที่ไม่ได้ใช้พวก retinoid ในด้านของความสบายผิว ความชุ่มชื้น ความแดงที่เป็น undertone บริเวณแก้มดูเหมือนจะลดลง รูขุมขนดูละเอียดขึ้น

หลังจากนั้นก็ทาทั้งสองฝั่งแบบจริงจังจนถึงปัจจุบันน่าจะเกิน 3 เดือนไปแล้ว ที่รู้สึกชอบมากคงหนีไม่พ้นเรื่องของความแข็งแรงของผิว และความรู้สึกดีหลังใช้งาน อารมณ์แบบรักผิวตอนนี้มาก แม้จะมีปัญหากับการใส่ Mask บ้างก็ตาม

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 4 – 5 นะคะ

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวมแม้ส่วนผสมจะดูเหมือนค่อนข้างเยอะชนิด แต่ส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านต่างๆ เรียกได้ว่าดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

วันนี้แบ่งส่วนผสมไว้เป็นสีๆ ตามกลุ่มของการออกฤทธิ์นะคะ

โดยขอเริ่มที่กลุ่มสีชมพู กลุ่มของไขมัน และสารที่ใช้ทำ MLETM (Multi-lamellar emulsion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง Neopharm ประเทศเกาหลี

  • MLETM ปกติแล้วในผิวเราจะมีไขมันที่ทำหน้าที่เป็น Barrier ผิว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ Ceramide + Cholesterol และ Fatty acid ไขมันเหล่านี้มันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งมีด้วยกันหลายรูปผลึก ส่วนหนึ่งเป็นรูปแบบ Liquid crystal
  • เจ้า MLETM นี่เป็นสูตรผสมของ Pseudoceramide (Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA หรือ PC-9S) ร่วมกับ Cholesterol, Phytosterol, rapeseed sterols และกรดไขมัน Stearic acid กับกรดไขมันใน น้ำมันจากแมคคาเดเมีย และ Caprylic/capric triglycerides ซึ่งเรียงตัวในรูปแบบที่คล้ายกับ Liquid crystral ของผิว เลยสามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวทดแทน Barrier ของผิว อีกตัวที่เป็นส่วนประกอบของ MLE คือ Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide หรือ PC-5SP ซึ่งพอเอามารวมกับ PC-9S และสารอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะเกิดเป็นโครงสร้างรูปแบบ Liquid crystal ที่เวลาดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ Polarized microscope จะเห็นเป็นลักษณะพิเศษที่เรียกว่า Maltese cross ซึ่งเหมือนกับการเรียงตัวของ Barrier ผิว ตามภาพ
(Image from Neopharm)
  • Phytosterols และ Rapeseed sterols ที่เสริมเข้ามายังมีประโยชน์เพิ่มเติมในด้านการดูแลปัญหาการอักเสบและระคายเคืองของผิว

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของ Peptide ต่างๆ ที่เป็นอักษรสีส้มนะคะ

Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptide-12 ตัวนี้คือ Aquatide ที่เป็นตัวหลักตัวหนึ่ง โดยมีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว ซึ่งเป็นเสมือนกระบวนการที่ผิวเรารีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างและฟื้นฟูเป็นองค์ประกอบใหม่ ให้ผิวเราทำงานได้ดีเหมือนเดิม ขอใช้รูปเก่ามาประกอบค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจเรื่อง Aquatide สามารถตามไปอ่านเรื่องของ Aquatide แบบละเอียดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ (https://cosmeknowledge.wordpress.com/2019/06/11/spotlight-aquatide/)

Tetracarboxymethyl hexanoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า AdiposolTM ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าน้องไปมีผลกระตุ้น Adiponectin ซึ่งเป็น Peptide hormone ชนิดหนึ่งที่สร้างจากเซลล์ไขมัน (Adipocyte) ปกติ Adiponectin จะมีบทบาทในระดับร่างกาย แต่ก็มีการพบว่า Adiponectin นั้นมีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิว เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและ Hyaluron ในธรรมชาติของผิว และลดการอักเสบระคายเคือง (Oh, et al., Biomol Ther (Seoul). 2021; Sep 28. doi: 10.4062/biomolther.2021.089.)

ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่ารังสี UV และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม อย่างมลภาวะ ไปกดการสร้าง Adiponectin เลยทำให้กระบวนการต่างๆ เหล่านี้หายไป นอกจากนี้รังสี UV ยังไปทำให้เอนไซม์ MMP มาย่อยสลายคอลลาเจนเกิดความเหี่ยวขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง

ในจุดนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ AdiopSOL กล่าวว่า สารนี้ยังเสริมกระบวนการ Autophagy ลดการสร้างเอนไซม์ MMP และลดการอักเสบในระดับหลอดทดลอง และลดรอยแดงของผิวในอาสาสมัคร

(Image from Incospharm และ AH&NS)

Pentasodium tetracarboxymethyl palmitoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อย่อว่า PTPD เป็นเปปไทด์ที่พัฒนามาเพื่อเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครที่เป็นโรคผิวหนังชนิด Atopic dermatitis เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีอาการระคายเคือง คัน ลดลง และมีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น (Kwon, et al. J Dermatolog Treat. 2019;30(6):558-564.) นอกจากนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า PTPD ยังมีคุณสมบัติลดปริมาณของเม็ดสีผิว ผ่านการเสริมการเกิด Autophagy ของแหล่งสร้างเม็ดสีผิวอย่าง Melanocyte

(Image from dermArtlogy)

Acetyl dipeptide-1 cetyl ester ตัวนี้เป็น Peptide ตัวหนึ่งที่เราเจอกันค่อนข้างบ่อย น้องเด่นในแง่ของการลดความรู้สึกระคายเคือง ซึ่งมีการศึกษารองรับในอาสาสมัคร โดยให้อาสาสมัครทา Capsaicin เพื่อเกิดการระคายเคือง แล้วทาผลิตภัณฑ์ที่มีสารตัวนี้ลงไป พบว่า สารนี้สามารถลดการระคายเคืองและความรู้สึกแสบร้อนที่เกิดขึ้น (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:18-20.) สำหรับกลไกในการออกฤทธิ์จะเกิดผ่านระบบของ Opioid โดยไปลดการนำส่งสัญญาณกระแสประสาทที่ให้เกิดความรู้สึกแสบร้อน

กล่าวถึงระบบของ Opioid ในผิวหนังเรานั้น เป็นระบบที่ควบคุมการสื่อสารทางระบบประสาทภายในผิว (Skin neuroendocrine system) จะมีสารที่ชื่อว่า met-Enkephalin สร้างออกมาจากเซลล์เมล็ดเลือดขาว monocyte ทำหน้าที่หลักในการรักษาสมดุลของผิวผ่านการควบคุมกระบวนการอักเสบของผิวและการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน/เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า รวมไปถึงเสริมการฟื้นฟูตัวเองเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น (Bigliardi, et al. Exp Dermatol. 2016;25:586-591.)

ซึ่ง Acetyl dipeptide-1 cetyl ester จะไปเหนี่ยวนำให้เกิด met-Enkephalin ที่ไปจับกับตัวรับของ Opioid ซึ่งมีผลลดการระคายเคือง เสริมการฟื้นฟูผิว และทำให้ผิวแข็งแรงในระยะต่อมา

กลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นแทนด้วยสีบานเย็น จะเป็นตัว Hyaluronic acid รูปแบบดั้งเดิม และ Hydrolyzed hyaluronic acid ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดเล็กลง กรดอะมิโน Arginine และวัตถุดิบอีกชิ้นที่เรียกว่าเป็น Exclusive ingredient ของทางแบรนด์ คือ Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide

  • Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide มีชื่อย่อว่า K6-PC5 มีคุณสมบัติในการเสริมความแข็งแรงของผิวแบบอ้อมๆ ผ่านการเสริมการสร้างสาร Sphingosine ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญใน Ceramide และ Sphingosine ยังควบคุมกระบวนการทำงานต่างๆ ของผิว โดยรวมจะช่วยให้ผิวเราเก็บกักและอุ้มน้ำไว้ได้ดีขึ้น

ถัดมาเป็นกลุ่มของสารที่ลดการอักเสบและระคายเคืองผิว รวมถึงสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด อย่างวิตามินบี 3 บี 5 Betaine, Dipotassium glycyrrhizate, Allantoin และอีกตัวที่น่าสนใจ

  • Caprylamide MEA หรือ Dualguard-7TM สารนี้มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคืองโดยไปลดการสร้างสารเหนี่ยวนำการอักเสบในกลุ่มของ Interleukin-17 (IL-17) เสริมกระบวนการ Autophagy ผ่านการยับยั้งโปรตีน p62 ซึ่งเป็นตัวต่อต้านการเกิด Autophagy และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน

ปิดท้ายด้วยสีเขียวเป็นกลุ่มของบัวบกและคณะ เป็นสารสกัดจากบัวบก ที่มีประโยชน์ต่อผิวในหลายประการ ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นสารสกัดจากบัวบกในรูปแบบ Medical grade ในความเข้มข้นสูงถึง 50% และยังเสริมสารบริสุทธิ์ที่เป็นสารพฤกษเคมีหลัก (Active phytochemicals) ในบัวบก อย่าง Madecassoside, Asiaticoside, Madecassic acid, และ Asiatic acid เข้ามา ซึ่งสารเหล่านี้มีประโยชน์ในด้านการลดการอักเสบ เสริมการสมานแผล ชะลอวัยลดเลือนริ้วรอย เป็น Antioxidant และอื่นๆอีกหลายด้าน

สารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวมากขนาดนี้ผิวจะมันไหม?

ในจุดนี้ทางแบรนด์วางแผนการตั้งตำรับมาอย่างรอบคอบโดยการเสริมเอา Zinc PCA เข้ามา ซึ่งเจ้า Zinc PCA เป็นสารลูกผสมของ Zinc กับ Pyrollidone carboxylic acid (PCA) มีรายงานการวิจัยกล่าวว่านอกจากคุณสมบัติในการกระชับรูขุมขนควบคุมความมัน (Astringent) แล้ว Zinc PCA ยังมีรายงานว่ามีประโยชน์ในการปกป้องผิวหนังจากรังสี UVA และลดผลเสียจากรังสี โดยไปลดการสร้าง Activator protein 1 ที่จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบต่อ และ MMP-1 ที่เป็นเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนในผิว (Int J Cosmet Sci. 2012; 34(1):23-8.)

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ นั้นถือว่าเป็นมิตรกับผิวทั้งหมด

ให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ในภาพรวมนอกจากความโดดเด่นในแง่ของด้าน Autophagy ที่มีประโยชน์ทั้งการชะลอวัย เสริมความแข็งแรงให้กับผิวแล้ว ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกหลายชนิดที่ดูแลผิวได้อย่างครอบคลุมจบทุกปัญหา และช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ถ้าเทียบกับในไลน์ของ Autophagy ที่ออกมาทั้ง 4 สูตร รวมตัวนี้ ส่วนตัวชอบตัวนี้มากที่สุด ทั้งในแง่ของความรู้สึกเบาสบายผิว เรื่องของอาการแดงและคันระคายเคืองผิว สำหรับกลางวันคือ perfect มาก แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืนส่วนตัวจะรู้สึกว่าความชุ่มชื้นตัวเนื้อเซรั่มอาจจะยังน้อยไปนิดหน่อยสำหรับบริเวณที่มีปัญหาผิวแห้งจริงๆ อย่างบริเวณแก้ม แต่เอาครีมมอยส์เจอร์อื่นมาทับไว้อีกชั้นหนึ่งคือสมบูรณ์แบบมาก จากที่ได้ทดลองใช้มาตั้งแต่ก่อนผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 3 เดือน สิ่งที่ดีงามคือ สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้นมาก ตามที่ได้กล่าวไปในด้านบน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DermArtlogy ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand/

📲 𝐋𝐢𝐧𝐞 𝐎𝐟𝐟𝐢𝐜𝐢𝐚𝐥 : @dermskintech หรือคลิก https://bit.ly/2ZWhJB1
📲 𝐋𝐚𝐳𝐚𝐝𝐚 : https://bit.ly/3pVBtOO
📲 𝐒𝐡𝐨𝐩𝐞𝐞 : https://shp.ee/34de5z5

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ