Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Bioderma Sensibio H2O Micellar water คลีนซิ่งที่มาพร้อมเทคโนโลยี biomimetic

มันจะมี Cleansing water อยู่ตัวหนึ่ง ที่สุดท้ายเราก็กลับมาหาน้องเสมอ

น้องคือ  Sensibio H2O Micellar Water จาก Bioderma หรือ ไมเซลล่า ฝาชมพูในตำนาน ที่พัฒนาสูตรมาโดยอาศัยหลักการทาง “Ecobiology” เพื่อปรับสมดุลไมโครไบโอม ที่เป็นเสมือนชุมชนของเจ้าตัวจิ๋วบนผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง

ส่วนตัวจะชอบแพคเกจที่เป็นฝาปิดแบบนี้

หัวใจที่สะอาดของการมีผิวสุขภาพดี คือ การทำความสะอาดอย่างพอเหมาะ

พอเหมาะในที่นี้คือ ไม่มากไป ไม่น้อยไป คหสต. คิดว่า ใช้คู่กับสำลี เพื่อเช็ดเบสเมคอัพจากหน้าแค่ 1 – 2 แผ่นก็พอ แล้วไปล้างต่อด้วยโฟม-เจลที่เราชอบ

Micellar water ก็เช่นกัน ก่อนล้างโฟม-เจล ใช้น้ำลูบหน้า จะได้น้ำนมออกมา ให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก่อนจนหมดน้ำนม แล้วค่อยใช้โฟม-เจลที่ชอบ

โดยข้อดีของ Micellar water คือ มาในเบสแบบน้ำ ใช้งานง่าย เนื้อสัมผัสดี เหมาะกับอากาศประเทศไทย เกิดอาการไม่พึงประสงค์ได้น้อยกว่า

โดย Sensibio H2O Micellar Water จาก Bioderma นั้น มีจุดเด่นที่น่าสนใจ ได้แก่

  • เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี Cleansing water มาอย่างเนิ่นนาน
  • พัฒนาสูตรมาอย่างอ่อนโยน
  • มีผลทดสอบในอาสาสมัครว่าทำความสะอาดทั้ง เมคอัพ มลภาวะ และ ละอองเกสร ได้ถึง -99% ซึ่งการสะสมตัวของ มลภาวะ และละอองเกสร นำไปสู่ผิวระคายเคืองแพ้ง่าย

ในวันปกติแม้ไม่ได้แต่งหน้า ก็อาจมีการสะสมของพวกฝุ่นละอองบนผิว ล้างด้วย Micellar water 1 แผ่น ก่อนไปล้างโฟม-เจล ก็ดีนะ

สำหรับประสิทธิภาพในการทำความสะอาดก็คือ ด้วยความที่เราแต่งหน้าไม่หนามาก ใช้รองพื้นเบาๆ แบบ sheer finish ไม่ปกปิดเยอะ ใช้สำลีแค่ 1 – 2 แผ่น ก็เช็ดได้ทั่วหน้า

และถ้าวันไหนแต่งตาด้วยก็จะเท Micellar water ลงบนสำลีให้ชุ่ม วางบนเปลือกตาประมาณ 30 วินาที แล้วลากออกเบาๆ ไปทางหางตา ก่อนจะใช้คอตตอนบัดส์ ชุบ Micellar water มาคลีนมาสคาร่าที่ตกค้างจากโคนขนตาออก ส่วนตัวใช้แล้วไม่แสบตา

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในภาพรวม Sensibio H2O Micellar Water จาก Bioderma พัฒนาสูตรมาได้เป็นอย่างดี ตอบโจทย์ทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผิวบอบบางแพ้ง่าย

จุดเด่นของสูตรส่วนผสมชุดนี้คือ

  1. เลือกใช้สารทำความสะอาดที่อ่อนโยนกับผิว คือ PEG-6 caprylic/capric glycerides ซึ่งนอกจากความสามารถในการทำความสะอาดที่ดี บางตำราจัดสารตัวนี้เป็น “Hydrophilic emollient” ที่ช่วยให้ผิวนุ่ม แต่ละลายน้ำได้ (ไม่เหมือน emollient ปกติซึ่งละลายในน้ำมัน)
  2. เทคโนโลยี Micellar ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากไขมันบนผิวหนัง พัฒนามาในรูปแบบ 100% biomimetic พร้อมผลทดสอบว่า ไม่ทำร้ายสมดุลระบบนิเวศน์ผิว ซึ่งเป็นหัวใจหลักของแบรนด์ Bioderma และบริษัทแม่ NAOS นอกจากนี้ยังมีผลเทสต์ว่า สามารถถูกกำจัดในผิวได้ภายใน 10 นาที ซึ่งลดโอกาสในการสะสมและก่อให้เกิดการระคายเคือง
  3. นวัตกรรมสิทธิบัตร D.A.F.™ (Dermatological Advanced Formulation) ที่เบลนด์เอา น้ำตาลที่เลียนแบบธรรมชาติ 3 ชนิด ซึ่งแบรนด์เคลมว่าสามารถเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ชั้นผิว + soothing ให้ความรู้สึกสบายผิว เพิ่มความทนทานของผิวแพ้ง่าย ให้แข็งแกร่งต่อสิ่งแวดล้อมและสิ่งกระตุ้นจากภายนอกมากขึ้น

เสริมสารบำรุงอื่นๆ เช่น Fructooligosaccharides เป็น prebiotics ที่ช่วยเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ดีๆ บนผิว ที่เรียกว่า probiotics และ สารสกัดจากแตงกวา (Cucurmis sativus extract) ที่มีประโยชน์ในด้านความชุ่มชื้น

ให้คะแนน

  1. สารทำความสะอาด เลือกใช้ PEG-6 caprylic/capric glycerides เป็นสารทำความสะอาด ซึ่งสารนี้มีความสามารถในการทำความสะอาดที่ดี และมีความอ่อนโยน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ เบลนด์เอานวัตกรรมสิทธิบัตร DAF ที่เพิ่มความชุ่มชื้น เสริมความแข็งแรงชั้นผิว ให้ผิวทนทานต่อสิ่งกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม มี prebiotic (fructooligosaccharide) และเสริมสารสกัดจากแตงกวามาเสริมความชุ่มชื้น ส่วนผสมอื่นๆ มีอยู่เท่าที่จำเป็น ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวค่อนข้างชอบฟีลลิ่งขณะใช้ ฟีลลิ่งหลังใช้ เรียกได้ว่า นอกใจน้องไป เดี๋ยวก็ต้องกลับมาหาน้องอยู่ดี ในด้านทำความสะอาด ทำมาได้ดี ด้วยความที่เราแต่งหน้าไม่เยอะ น้องเอามาสคาร่าที่ไม่ได้กันน้ำมากนักออกได้หมดอยู่ ถ้าแปะบนสำลี แล้วเช็ดลากบริเวณดวงตา ส่วนตัวไม่แสบตา ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ และสำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์เลยนะคะ https://bit.ly/BiodermaBA

พิกัดสินค้า Boots, EVEANDBOY, Watsons online, Konvy

หรือช้อปปิ้งออนไลน์ได้บน Shopee, Lazada

Shopee https://s.shopee.co.th/805XKE5xTR

Lazada https://s.lazada.co.th/s.Z0IVvA?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมแอมพูลนิวโรไมด์ในตำนาน Curecode Neuromide Ampoule

มันจะมีอยู่ Ampoule หนึ่งที่ดิฉันบอกจะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แล้วยังไม่มาซักที มากี่โมง

วันนี้ได้ฤกษ์แล้วค่ะ วิเคราะห์ส่วนผสม Curecode neuromide ampoule

น้องเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่เปิดโลกหญิงให้เข้ามาสู่โลกของ Curecode ต่างๆ ได้ลองครั้งแรกก็ตอนรอไปแย่งกดโปร 1 แถม 1 ตอนเที่ยงคืน สมัยนั้น แล้วกดได้ด้วย (มีความขิงนิดๆ)

มาค่ะ วันนี้มารีวิวซะที

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

อันนี้เป็นหน้าตากล่อง

เนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อแบบเจลครีม มีความหนืดหน่อยๆ ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นดี สบายผิว

ก่อนไปดูส่วนผสม เรามาทำความรู้จักกับคอนเซปท์และนวัตกรรมของแบรนด์ Curecode อีกสักรอบ

แบรนด์ Curecode นั้นเป็นแบรนด์ที่พัฒนาโดย Dr.Raymond Park ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวแพ้ง่ายและบอบบางระดับโลก ซึ่ง Dr. นั้นมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ และสิทธิบัตร รวมถึงได้รับรางวัลมาการันตีความสามารถมากมาย

Key technology ที่สำคัญของ Curecode คือ Neuromide Skin-Biome® Science และ Crystal Lamella MES® Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร

เรียกได้ว่า ถ้าพูดถึง Curecode ให้นึกถึง Neuromide ซึ่งมีชื่อ INCI name ว่า N-palmitoyl serinol (ขอย่อว่า NPS) โดยสารนี้จัดเป็น Postbiotic เพราะว่าเป็นสารที่จุลินทรีย์ Probiotics ที่เป็นเชื้อเจ้าบ้านบนผิวของเราสร้างขึ้นมา

โดยกลไกของ NPS นั้น เชื่อว่า สารมีสูตรโครงสร้างคล้ายกับ N-palmitoyl ethanolamine ซึ่งเป็นสารที่จับกับตัวรับ endocannabinoid system แล้วให้ประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่าง 1 ใน นั้น ที่เสริมการทำงานของ Barrier แล้วให้ผิวแข็งแรง คือ ความสามารถในการเสริมการสังเคราะห์ Ceramide

โดยมีงานวิจัยที่น่าสนใจอยู่ 2 ชิ้น

  • การศึกษาในปี 2021 พบว่าการทา NPS ในโมเดลหนูทดลองที่เป็นโรค Atopic dermatitis โดยให้หนูทาตำรับ 0.5% NPS วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่า NPS เร่งการฟื้นฟู Barrier ผิว และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ได้ (Wen et al., Can J Vet Res. 2021;85(3):201-204.)
  • การศึกษาอีกชิ้น ทำในผิวหนังเพาะเลี้ยง NPS นั้น สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ Ceramide ผ่าน Receptor CB-1 ของระบบ endocannabinoid system โดยเฉพาะ Ceramide สายยาว (long-chain fatty acids (FAs) (C22-C24)) ที่มีความสามารถในการเป็น Barrier ที่แข็งแรง (Int J Mol Sci. 2021;22(15):8302.)

การใช้ Pre-Pro-Post biotics ร่วมกัน เราอาจเรียกได้ว่าเป็น Tri-biotics โดยทาง Curecode มีการเลือกใช้ Tribiotics ดังภาพ

(Image from Curecode)

ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการทดสอบการระคายเคืองในอาสาสมัคร และ ผ่านการรับรองกลุ่ม Whitening และ Wrinkle care จาก องค์กรอาหารและยาเกาหลี (KFDA)

ตัวเทคโนโลยี Skin like technology มีสิทธิบัตรรองรับ เป็นการพัฒนาสูตรมาให้มีการจัดเรียงตัวเป็น Lamellar แบบไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ส่วนผสมชุดนี้ทำไว้หลายสีอยู่เหมือนกัน

ขอเริ่มที่ Combination signature ของแบรนด์ Curecode ชุดแรก Tri-biotics ได้แก่

  • Prebiotics: N-acetyl glucosamine (NAG) เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Lactobacillus spp. ร่วมกับ Sialyl lactose เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Bifidobacterium spp.
    • โดย NAG มีประโยชน์กับผิวอีกหลายอย่างเลยจะหยิบมาพูดอีกรอบ
  • Probiotics: Bifida ferment lysate (BFL) ที่มีประโยชน์หลายประการ เด่นๆ น้องจะ ฟื้นฟูและปรับสภาพ สมดุลผิวผ่านหลายๆ กลไก ล่าสุดงานวิจัยของ Wang และคณะ ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วเจอว่า BFL ปรับสภาพสมดุลผิวผ่านหลาย Gene หลายกลไก ผลโดยรวมคือ ผิวแข็งแรง ลดการระคายเคือง และเสริมความต้านทานของผิวให้ผิวเราทนทานมากขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2023;22(12):3427-3435.)
  • Postbiotics: Neuromide® หรือ N-palmitoyl serinol ให้ผิวแข็งแรงเช่นกัน

ถัดมาเป็นเทคโนโลยี Skin like MES ที่บรรจุสารไว้หลายชนิด ที่น่าสนใจ คือ Phytosterol และ Ceramide NP (Ceramide 3) เอาไว้ เสริม Barrier ผิวอีก 1 กรุบ

นอกจากเทคโนโลยีหลักแล้ว ก็ยังเสริมสารบำรุงที่มีประโยชน์เข้ามาอยู่หลายตัว เช่น

  • Niacinamide ที่มีประโยชน์กับผิวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening ผ่านการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก รวมไปถึงด้านการดูแลการอักเสบระคายเคือง Antioxidant เสริมการสร้าง Barrier ผิว และควบคุมความมัน
  • NAG ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของน้ำตาล และเป็นหน่วยย่อยในสาย Hya มีรายงานว่า NAG สามารถยับยั้งการ Glycosylation เพื่อเปลี่ยน pro-tyrosinase ไม่ให้เป็น tyrosinase จึงไม่มีฤทธิ์สร้างเม็ดสี ควบคุมการผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น (Int J Cosmet Sci. 2010;32(3):234.) มีการศึกษาโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • Resveratrol สาร Antioxidant ตัวแม่ตัวหนึ่งในวงการ นอกจากคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant แล้ว ยังมีงานวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติในการเป็น Whitening และ Anti-aging ผ่านหลายๆ กลไก เช่น การทดสอบในหนูทดลองพบว่า Resveratrol สามารถลดการสร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดสี Melanin ได้หลายชนิด รวมทั้งยับยั้งการสังเคราะห์ Tyrosinase ได้ด้วย และยังให้ผลลดการสร้างสีผิวหลังจากถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (Biomol Ther (Seoul). 2014; 22(1):35-40.)

สูตรตำรับใช้ Resveratrol ร่วมกับไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว เช่น Ceramide NP (อีกชื่อ Ceramide IIIB) ในสัดส่วนที่อิงตามสิทธิบัตรอเมริกา เลขที่ US-10179095-B2 เพื่อให้เกิดการเรียงตัวเป็นแบบ Lamellar และมีคุณสมบัติเสริมกระบวนการ Autophagy ของผิว

  • Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptiđe-12 ตัวนี้รู้จักกันในนาม Aquatide มีบทบาทและประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว กระบวนการนี้คล้ายๆ กับ การรีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างใหม่ เพื่อทำให้ผิวเราทำงานได้อย่างสมดุล ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ มีการทดสอบในอาสาสมัครแล้วพบว่า Aquatide มีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหายไปให้กลับมาแข็งแรงไวขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น และ มีงานวิจัยของ Lim และ คณะ (2019) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของ Aquatide ทั้งในระดับของหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร พบว่า Aquatide มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์เพาะเลี้ยงไม่ให้ถูกทำลายจาก Hydrogen peroxide ที่จัดเป็น 1 ใน Reactive oxygen species ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมา และในอาสาสมัคร พบว่าสามารถปกป้ององค์ประกอบของโปรตีนไม่ให้ถูกทำลายด้วยปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และ เมื่อทดสอบที่สัปดาห์ที่ 4 และ 8 พบว่าอาสาสมัครมีความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น (J Cosmet Dermatol 2019 Feb;18(1):197-203.)

สารบำรุงอื่นๆ ที่เติมเข้ามาในสูตร เช่น

  • กลุ่มดูแลการระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing) ได้แก่ สารสกัดจาก St.John’s wort, Allantoin, Panthenol
  • ดูแลเสริมพลังงานให้ผิวและอาจได้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย ได้แก่ Adenosine
  • เติมน้ำด้วย Hya

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง เน้นการดูแลผิวให้ผิวแข็งแรงผ่านหลายๆ กลไก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมดุล microbiome เสริม barrier ผิวให้แข็งแรง เติมน้ำ ดูแลการระคายเคือง เสริมกระบวนการ autophagy ปรับสมดุลให้ผิวมีสุขภาพดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีจุดที่ให้หักคะแนน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ เอาจริง ส่วนตัวว่าเนื้อของเซรั่มออกมาได้ค่อนข้างชุ่มชื้น เวลาใช้เลเยอร์ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางนี้จะไว้ใช้ท้ายๆ ก่อนลงครีม บางวันถ้าทากลางวันอาจจะต้องรอเวลานิดหน่อยให้เขาเซ็ตตัวค่อยลงกันแดด ไม่งั้นกันแดดบางตัวจะเยิ้ม เลยชอบใช้กลางคืนมากกว่า เพราะว่าเช้าๆ เวลาน้อย ในเรื่องของความสบายผิว นี่ว่าน้องทำมาได้ตอบโจทย์ และเรื่องผิวแข็งแรง หญิงมี่ว่าเริ่ด ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

ทางไปตำ

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/9pNNuZBJFq

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.IHrtA?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมกันแดดเนื้อบางเบา Fresh Hydrolotion จาก the Labatorian สูตร Broad spectrum SPF50+ PA++++

สำหรับ Blog นี้ เราจะมาวิเคราะห์ส่วนผสม ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดดน้องใหม่ล่าสุดจากครอบครัว the Labatorian กัน

โดยน้องคนสุดท้องนี้มีชื่อว่า Fresh ซึ่งเป็นกันแดดที่ออกแบบมาสำหรับคนที่มีผิวเป็นสิวง่าย รวมถึงผิวบอบบางและคนผิวมัน ในธีม กันแดดรีเฟรชผิว

มาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ตัวหลอดเป็นหลอดบีบ ฝาหลอดออกแบบมาให้สามารถตั้งวางบนโต๊ะเครื่องแป้งได้พอดี

เนื้อของน้อง Fresh จะออกมาเป็นกันแดดสีขาว ด้วยส่วนผสมของ Physical sunscreen ในสูตร และทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอมเลยจะได้กลิ่นตามธรรมชาติของส่วนผสมอยู่จางๆ

ฟีลตอนเกลี่ยจะไม่ได้ลื่นปรี๊ด แต่จะให้ความรู้สึกมีน้ำมีเนื้อมากขึ้น และพอทิ้งไว้สักครู่จะแห้งไป ไม่เหลือความเหนอะหนะใดๆ

ถ่ายเนื้อกันแดดด้วยแสงแฟลช ดูเหมือนจะเงาวาว แต่ก็ไม่ได้เหนอะหนะ

บางคนอาจจะกังวลว่าน้องมีส่วนผสมของ Titanium dioxide จะทิ้งคราบขาว หน้าเป็นปื้น หน้าเทาไหม สูตรนี้หลังจากที่ได้ลองแล้วไม่เทา ไม่มีคราบขาวค่ะ

พร้อมกันนี้ทางแบรนด์ได้พัฒนาสูตรมาด้วยความเอาใจใส่ด้วยค่ะ

  • มั่นใจ 1 ด้วยผลการทดสอบแบบ in vitro SPF 50+ PA++++
  • มั่นใจ 2 เพราะผ่านการทดสอบจากแพทย์ผิวหนังว่าไม่ก่อการระคายเคือง
  • มั่นใจ 3 เป็นมิตรกับผิวบอบบางแพ้ง่าย และผิวที่เป็นสิวง่าย ไม่รบกวนผิวที่เป็นสิว
  • มั่นใจ 4 ผลิตโดยโรงงานที่ได้รับมาตรฐาน ASEAN GMP, ISO 9001:2005 และ ISO 22716:2007

ก่อนไปดูส่วนผสม ขอเล่าถึงเรื่องของรังสี UV สักเล็กน้อย

ว่าด้วยรังสี UV นั้นก็เป็นรังสีหนึ่งจากแสงแดดที่มีความสำคัญในการทำร้ายทำลายผิว และก่อผลเสียหลายๆ อย่าง ตั้งแต่แค่ผิวคล้ำไปจนถึงมะเร็งผิวหนัง

รังสี UV อยู่ในช่วงความยาวคลื่น 200 – 400 nm แบ่งออกได้เป็น 3 คลื่นความถี่หลักๆ ได้แก่

  • UVC ช่วง 200 – 290 nm
  • UVB ช่วง 290 – 320 nm
  • UVA ช่วง 320 – 400 nm

โดย UVC นั้นถูกกรองด้วยชั้นโอโซนไป เลยไม่ได้มีการพูดถึงในวงการความงามเท่าไหร่ ส่วนที่ลงมาบนผิวโลกและกระทบกับเราก็จะเป็น UVA และ UVB

     UVB จะกระทบกับบริเวณหนังกำพร้า และบริเวณที่สร้างเม็ดสี หลักๆ ก็จะทำให้ผิวคล้ำขึ้น แต่ก็สามารถปลดปล่อยอนุมูลอิสระออกมาทำลายผิว และอาจก่อมะเร็งผิวหนังได้ด้วย

     ส่วน UVA นั้นจะลงไปที่ชั้นหนังแท้ ไปทำลายพวกคอลลาเจน และเส้นใยและสารอื่นในกลุ่ม  Extracellular matrix (ECM) ทำให้เกิดพวกริ้วรอยต่างๆ ตามมา

แต่ที่น่ากลัว คือ ทั้ง UVA และ UVB นั้นสามารถก่อให้เกิดมะเร็งผ่านการกลายพันธ์ที่ระดับของ DNA ได้ และกดภูมิคุ้มกัน (Immunosuppression) ได้เหมือนๆ กัน (Kappes et al., J Invest Dermatol. 2006;126(3):667-675) สุดท้ายนี้ ไม่ว่าจะ A จะ B ก็น่ากลัวทั้งคู่แหละ กันไว้เป็นดีที่สุด

มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

เนื่องจากน้องเป็นกันแดด เลยจะขอเริ่มที่สารกันแดดก่อนเลยนะคะ

สารกันแดดแทนด้วยสีเขียวอ่อน

  • Ethylhexyl methoxycinnamate หรือ รู้จักกันในชื่อย่อ OMC น้องเด่นเรื่องกรอง UVB
  • Bis-Ethylhexyloxyphenol Methoxyphenyl Triazine หรือ BEMT รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Tinosorb S กรองได้ทั้ง UVA และ UVB โดยมีจุดที่ดูดกลืนแสงสูงสุด (Peak absorption) อยู่ 2 จุด ที่ 310 nm (UVB) และ 345 nm (UVA) เมื่อใช้ร่วมกับการแดดตัวอื่น เช่น Ethylhexyl triazone จะเสริมประสิทธิภาพกันให้ดียิ่งขึ้น
  • Ethylhexyl triazone หรือ Uvinul T 150 เด่นในการกรอง UVB และเสริมประสิทธิภาพให้สารกันแดดอื่นๆ ในสูตร
  • Physical sunscreen 2 ตัว ได้แก่ Titanium dioxide และ Zinc oxide ซึ่งออกฤทธิ์สะท้อน กระเจิงรังสี UV ออกไปหมดทั้ง UVB UVA แม้จะมีข้อมูลออกมาหลังๆ บ้าง ว่า Titanium dioxide และ Zinc oxide นางก็ออกฤทธิ์ผ่านการดูดซับรังสีนะ และมีข้อมูลว่า Titanium dioxide จะเด่นในช่วง UVB และ Zinc oxide จะเด่นในช่วง UVA

สรุปได้ว่า น้องเป็นกันแดดที่ Broad spectrum กันได้หมดจดทั้ง UVB UVA

ถัดมาจะเป็นส่วนของสารบำรุง และสารอื่นที่มีประโยชน์ในการดูแลผิว

เริ่มที่สารกรองรังสี High-energy visible (HEV) blue light ในสูตรนี้ คือ Melanin มาภายใต้ชื่อทางการค้าว่า Liposheild® HEV melanin น้องเป็นนวัตกรรมสิทธิบัตรที่ปรับโครงสร้างของ Melanin ซึ่งเป็นสารปกป้องผิว กรอง HEV blue light ตามธรรมชาติของเรา ให้อยู่ในรูปแบบ Fractionated แล้วกรองแสงสีน้ำเงินได้ดีขึ้น โดยช่วงการดูดกลืนรังสีอยู่ที่ 400 – 500 nm

ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า วัตถุดิบ Liposheild® HEV melanin นี้สามารถกรอง HEV light ได้ดีกว่า Melanin แบบธรรมชาติ โดยอาศัยการจัดเรียงโครงสร้างแบบพิเศษตามสิทธิบัตรของเขา

(Image from Vantage group)

ซึ่งแสงสีน้ำเงินนั้นสามารถกระตุ้น/เหนี่ยวนำให้เกิดอนุมูลอิสระในผิว แล้วนำไปสู่ริ้วรอย สีผิวผิดปกติได้คล้ายๆ กับ UV

  • สารที่ให้ประโยชน์ในการควบคุมความมันของผิว ได้แก่ Polymethyl Methacrylate และ Silica ซึ่งสามารถดูดซับน้ำมันจากผิวได้
  • สารที่ดูแลสิว ในที่นี้คือ Chamaecyparis Obtusa Leaf Extract คือ สารสกัดจากใบสน Hinoki ซึ่งเด่นในแง่ของการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และยังพอมีงานวิจัยกล่าวว่า สารสกัดจากใบนี้ประกอบด้วยสารพฤกษเคมีในกลุ่ม Flavonoid, polyphenol ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV และ ยับยั้งการสร้างเอนไซม์ MMP เมื่อสัมผัสรังสี UV ในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พร้อมให้คุณสมบัติเสริมการสร้างคอลลาเจน และเอนไซม์ Superoxide dismutase ที่เป็น Antioxidant enzyme ตามธรรมชาติของผิว (Jang et al., Medicina (Kaunas). 2023;59(4):755.)
  • กลุ่มที่ให้คุณสมบัติดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing) แทนด้วยสีชมพู
    • วิตามินบี 3 จริงๆ น้องก็ให้ประโยชน์หลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่อง Soothing แต่ยังได้ประโยชน์ในด้านของ Whitening, ควบคุมความมัน พร้อมดูแลปัญหาสิวไปได้อีก 1 กรุบ
    • สารสกัดจากคาโมมายล์ และ Dipotassium glycyrrhizate ก็เด่นในแง่ของการดูแลเรื่องของการระคายเคืองผิว
  • เสริม Barrier ผิว ด้วย Ceramide NP ที่เป็นเซราไมด์ที่พบได้มากที่สุดในผิว
  • เติมน้ำด้วย Arginine ที่เป็นกรดอะมิโน และ Sodium hyaluronate
  • ตัดจบด้วย Tocopheryl acetate ที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามินอีที่เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน ปกป้องชั้นไขมันของผิวจากอนุมูลอิสระ

ส่วนของเบสทำมาในรูปแบบของอิมัลชั่นที่ไม่ได้หนักมาก รวมถึงสารที่ใช้ก็ค่อนข้างเป็นมิตร และไม่อุดตันผิว

ให้คะแนน

  1. สารกันแดด/สารบำรุง โดยสรุป กันแดดหลอดนี้เป็นแบบ Physical + Chemical ที่กันได้ครบทั้ง UVA UVB (Broad spectrum) ด้วยการเบลนด์กันของสารกันแดดหลายชนิดที่มีความเสถียร เสริมมาด้วย Liposheild® HEV melanin ที่ปกป้องผิวจาก HEV blue light อีก 1 ขั้นตอน ในด้านของสารบำรุงอื่นๆ ทางแบรนด์พยายามพัฒนาสูตรมาให้เป็นมิตรกับคนที่มีปัญหาผิวมัน เป็นสิวง่าย มีทั้งตัวคุมมัน ดูแลสิว และให้ความรู้สึกสบายผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในส่วนของเบสนั้น เรียกได้ว่าพัฒนามาให้ตอบโจทย์ และเอาใจคนผิวมันที่มี pain point กับกันแดดกันน้ำที่ล้างออกยาก แล้วอาจจะล้างไม่สะอาดหรืออย่างใด จนนำไปสู่สิวอุดตัน สิวซ้ำซาก โดยพัฒนาสูตรไม่กันน้ำออกมา ให้เหมาะกับ Everyday use และส่วนผสมอื่นๆ นั้น ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ไม่มีจุดให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ เอาจริง คือ ตัวเองเป็นคนผิวผสม/แห้ง ยอมรับเลยว่าน้องเป็นกันแดดที่แห้ง แต่ก็ไม่ได้แห้งจนแบบตึง หรือทรมาณ ถ้าเราปูมอยส์ไว้ดี ตัวกันแดดให้อารมณ์เป็นความแห้ง แบบยังให้ฟีลลิ่งที่ยังดีกับผิว ระหว่างวันฟีลลิ่งก็ยังดี สบายผิวไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนเรื่องการคุมมันส่วนตัวยังตอบไม่ได้ เพราะว่าไม่ค่อยเจอปัญหาหน้ามันระหว่างวัน อันนี้คิดว่าตอบโจทย์กันแดดรีเฟรชผิวเพื่อคนผิวมัน แต่คนผิวแห้งก็ใช้ได้อยู่ (ที่แปลว่าใช้ได้) รับไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ the Labatorian ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาให้ได้เปิดหูเปิดตา และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

IG : the_labatorian

Line official : @labatorian

Facebook : https://www.facebook.com/thelabatorian

ทางไปช้อปปิ้ง

แอพส้ม https://shope.ee/9exmZojVdy

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.LogPH?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ the Labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Isdin Hyaluronic moisture ครีม สูตร Sensitive

Blog นี้ขอหยิบเอาครีม Hyaluronic acid สูตรที่พัฒนาและออกแบบมาสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่ายจากแบรนด์ ISDIN ที่มีชื่อว่า Hyaluronic moisture สูตร Sensitive skin (รุ่นกระปุกสีชมพู)

โดยใน Blog นี้จะขอย่อชื่อน้องว่า HMS นะคะ

น้องมีหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ตัวครีมมีแพคเกจเป็นกระปุก

ซึ่งซีรี่ส์ Hyaluronic moisture ทั้ง 2 สูตรนี้มีความรักษ์โลกตรงที่สามารถรีฟิลได้ค่ะ

(Image from ISDIN official website)

ท้าพิสูจน์ ลองแกะดู ก็แกะได้ไม่ยาก

ถ้าพูดถึงผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของ ISDIN โดยฉพาะในไลน์ ISDINCEUTICS ก็คือมั่นใจได้เลยว่าผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยมาแล้วแน่นอน น้อง HMS ก็เช่นกัน

โดยทางแบรนด์มีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครเพศหญิงจำนวน 30 คน ให้ทาผลิตภัณฑ์วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ประเมินผลด้วยแพทย์ผิวหนังและแบบสอบถามให้อาสาสมัครประเมินตนเอง (Self-assessment questionnaire)

พบว่า

  • 97% ของอาสาสมัครมีผิวที่มีสุขภาพดีขึ้น
  • 93% ของอาสาสมัครพบว่า รอยแดงลดลงได้ทันทีในหลังทา
  • 93% ของอาสาสมัครรู้สึกสบายผิว

ผลการทดสอบด้านการลดอาการแดงของผิว

(Image from ISDIN Thailand)

     ก็คือสามารถลดรอยแดงลงได้อย่างมีนัยสำคัญ เมื่อให้อาสาสมัครใช้วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 4 สัปดาห์

จากความเด่นในการลดรอยแดง และดูแลการระคายเคืองนี้เอง ที่ทำให้เราสามารถเอาน้องมา Mix & Match เข้ากับ ISDIN retinal intense เพื่อดูแลการระคายเคืองที่อาจจะเกิดได้อย่างลงตัว

ทางไปอ่านรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Retinal intense >>Click<<

ในด้านของเนื้อครีม น้องเป็นครีมที่ออกแบบมาให้มี Texture ที่คล้ายๆ อิมัลชั่นเจล อารมณ์แบบลูกผสม เจล-ครีม

มีกลิ่นหอมเป็นโทนดอกไม้หวานๆ เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นสูง ให้ความรู้สึกเย็น และสบายผิว ใช้เวลาสักนิดในการซึม/แห้ง ฟีลลิ่งหลังใช้ผิวนุ่ม ไม่เหนอะหนะ

ด้วย Texture แบบนี้เอามาทำ Retinol sandwich ส่วนตัวรู้สึกว่า ก็ดีอยู่ ไม่หนักผิวเท่าไหร่

ลองมาดูส่วนผสมกันบ้าง

ในส่วนของแบรนด์เคลม แบรนด์ได้เคลมส่วนผสมไว้ 3 กลุ่ม ดังนี้

  • Tri-moisture complex ที่เป็นการเบลนด์ Hya ขนาดกลาง และเล็ก เข้ากับ Pro-vitamin B5 และ Moisturizing biopolymers
  • Multi-protection complex ที่เป็นการเบลนด์ Vitamin E, Exo-P และ VitA-Tech เพื่อให้สมบัติ Antioxidant, Anti-pollution และ Anti-aging ไปพร้อมๆ กัน
  • Redness relief complex ด้วย Niacinamide และสารบำรุงอื่นๆ

เราลองมาดูรายละเอียดของสารบำรุงที่น่าสนใจโดยละเอียดกันค่ะ

ด้วยความที่น้องมีชื่อว่า Hyaluronic moisture ก็เลยขอเริ่มที่ Moisturizer ในกลุ่มสีฟ้า

  • Medium and Low molecular weight hyaluronic acid ที่เติมน้ำให้ผิวในหลากหลายระดับความลึกของชั้นหนังกำพร้า ให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น
  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 ที่มีประโยชน์กับผิวหลายประการ ทั้งในแง่ของการเสริมความชุ่มชื้น ฟื้นฟู Barrier ผิวที่เกิดความเสียหาย และดูแลการระคายเคือง โดยตัว Panthenol นั้น มีข้อมูลสนับสนุนว่า สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้ มีคุณสมบัติเป็น Moisturizer ที่ดี เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยผิวกักเก็บน้ำโดยไปลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ให้ผิวนุ่ม ยืดหยุ่น เสริมกระบวนการสมานแผล (Wound healing) ลดการอักเสบระคายเคือง ลดรอยแดง (Ebner et al., Am J Clin Dermatol. 2002;3(6):427-33.)
  • Trehalose เป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ที่เติมน้ำให้ผิวได้อย่างยาวนาน
  • Urea เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่ได้รับการยอมรับในวงการผิวพรรณอีกตัวหนึ่ง น้องเป็น Natural moisturizing factor (NMF) ที่ช่วยจับน้ำให้ผิวเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และมีรายงานสนับสนุนว่า Urea เสริมการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและหน้าที่ (Differentiation) ของเซลล์ Keratinocyte ในชั้นหนังกำพร้า ให้ผิวมีความแข็งแรง เสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว และเสริมภูมิคุ้มกันของผิว โดยไปเสริมการสร้าง Peptide ที่มีฤทธิ์ต่อต้านจุลชีพตามธรรมชาติบนผิว (Dirschka, Int J Clin Pract. 2020;(74, S187):e13569
  • Serine เป็นกรดอะมิโน ที่เป็น NMF เช่นกัน สำหรับ Serine นั้นผิวอาจหยิบไปใช้เป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ Ceramide ได้

ถัดมา เรามาดูกลุ่ม Multi-protection complex กัน

  • Alteromonas Ferment Extract หรือ ที่รู้จักในชื่อการค้าว่า Exo-P ซึ่งเป็น Polysaccharide ที่มีคุณสมบัติปกป้องผิวจากมลภาวะ และเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • Vigna aconitifolia Seed Extract หรือสารสกัดจากถั่ว Moth bean ตัวนี้ถ้าดูองค์ประกอบที่มี Maltodextrin ด้วย จะเข้ากันได้กับวัตถุดิบ Vit-A-Like® PW LS 9898 ของ BASF ประเทศเยอรมัน ซึ่งมีผลการทดสอบทั้งในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง ผิวหนังจำลอง และในอาสาสมัคร โดยพบว่า สารสกัดนี้ สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน เสริมกระบวนการผลัดผิวอย่างอ่อนโยน ซึ่งเหมาะกับผิวแพ้ง่าย และลดเลือนริ้วรอยในอาสาสมัคร (Ref: TDS Vit-A-Like® PW LS 9898)
  • Tocopherol และ Tocopheryl acetate เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน ปกป้ององค์ประกอบของไขมันในผิวไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะอนุมูลอิสระ

ต่อมาเป็นกลุ่ม Soothing แทนด้วยสีบานเย็น

  • 4-t-Butylcyclohexanol หรือที่รู้จักกันในนาม Symsitive ซึ่งให้ประโยชน์ในการลดการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Hydroxyphenyl Propamidobenzoic Acid หรือ Oat avenanthramide ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่พบในข้าวโอ๊ต มีคุณสมบัติเด่นในการลดการระคายเคือง ดูแลการแพ้ การคัน และให้ความรู้สึกสบายผิว

ปิดจ๊อบด้วย Niacinamide ที่มีประโยชน์กับผิวมากมายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ด้านการลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว เสริมการสร้างไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว ให้ผิวแข็งแรง ลดการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปสู่ภายนอก และชะลอวัย

ส่วนผสมอื่นๆ เลือกมาอย่างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง: ถึงแม้ชื่อจะมาด้วย Hyaluronic moisture แต่ส่วนผสม Beyond เกินไปกว่านั้น เพราะว่านอกจากจะเพิ่มความชุ่มชื้นแล้ว ในสูตรยังเสริมสารบำรุงที่ดูแลการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว พร้อมปกป้องผิวจากมลภาวะ และ ดูแลปัญหาริ้วรอย หรือ ปัญหาผิวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตามอายุไปได้พร้อมๆ กัน ส่วนตัวว่าทำมาได้ค่อนข้างครบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ: ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ: ในแง่ของการ Formulate น้อง HMS ทำมาได้ค่อนข้างดี เลือกใช้สารเพื่อมาเสริมกันได้อย่างลงตัว ในด้านเนื้อสัมผัส น้องมาในเนื้อแบบครีมเจล กลิ่นหอมแนวดอกไม้หวานๆ เกลี่ยง่าย ให้ความรู้สึกเย็นและสบายผิว ส่วนตัวผิวผสม-แห้ง รู้สึกว่าชุ่มชื้นพอดี ไม่เหนอะหนะและไม่หนักผิวเกินไป แต่ก็คงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ดี ให้คะแนนความชอบ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทยด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้ได้เรียนรู้ เปิดหูเปิดตา และรู้จักกับเทคโนโลยีใหม่ๆ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบบทความ

สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.oJBGf?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/8KUlV8JjhS

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมสำหรับดูแลปัญหาผิวบอบบาง รอยแดงและการระคายเคือง Ultrasensitive Repair Cream จาก Eucerin

สวัสดีค่ะ สำหรับ Blog นี้จะเป็นบทวิเคราะห์ส่วนผสมและรีวิวผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจชิ้นหนึ่งที่เชื่อว่าน่าจะตอบโต

ผลิตภัณฑ์ที่จะวิเคราะห์ส่วนผสมวันนี้มาจากแบรนด์ Eucerin แบรนด์เวชสำอางที่อยู่คู่กับบ้านเรามานาน จนจะเรียกว่าเป็นแบรนด์เวชสำอางแบรนด์แรกๆ ของไทยเลยก็ว่าได้

ผลิตภัณฑ์ที่จะมาวิเคราะห์ส่วนผสมครั้งนี้มีชื่อว่า Eucerin UltraSensitive Repair Cream ซึ่งมาในหน้าตาแบบนี้นะคะ

ตัวบรรจุภัณฑ์มีหน้าตาประมาณนี้นะคะ

จุดที่น่าสนใจจุดแรก คือ บรรจุภัณฑ์มีเทคโนโลยี Air-free system ที่มีส่วนของจุกปิดบริเวณปลายของปั๊มค่ะ เมื่อเรากดปั๊มจุกดังกล่าวจะเคลื่อนที่เข้าไปด้านใน เพื่อให้เนื้อครีมออกมา และพอเราคลายแรงกด ตัวจุกก็จะกลับมาปิดเหมือนเดิมเพื่อลดการปนเปื้อนจากภายนอก

สำหรับเนื้อครีมจะมาในเนื้อที่ข้นหน่อยนะคะ ไม่มีกลิ่น เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ง่าย ให้สัมผัสที่อาจจะเหนอะเล็กน้อย แต่ตัวเองเป็นคนผิวแห้งก็เลยชอบความชุ่มแบบนี้

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ซึ่งจุดเด่นที่แบรนด์เคลม คือ ประกอบด้วยส่วนผสมที่เด่นในด้านของการดูแลผิวที่มีปัญหาบอบบาง 3 ชนิด ได้แก่ Symsitive, Licochalcone A และ Dexpanthenol ซึ่งจะมาเล่าให้ฟังอีกทีนะคะ

ส่วนผสมวันนี้ได้ทำไว้ 4 สีค่ะ

ขอเริ่มที่สูตรผสมของ Pentylene glycol และ 4-t-Butylcyclohexanol คือตัว Symsitive ซึ่งมีคุณสมบัติเด่นในแง่ของการลดการอักเสบระคายเคือง และลดความรู้สึกไม่สบายผิว ซึ่งออกฤทธิ์ผ่านกลไกการยับยั้ง Receptor รับความรู้สึกร้อน-เย็นในกลุ่ม TRP receptor โดยตัวนี้จะไปโฟกัสที่ TRPV receptor ซึ่งรับความรู้สึกร้อน

ขอเล่าประวัติน้องนิดหน่อยนะคะ เจ้า TRPV-1 receptor นี้ถูกกระตุ้นได้ด้วยสารหลายชนิด อย่างที่เรารู้จักกันก็คือ Capsaicin จากพริก ลองจินตนาการเวลาเราหั่นพริก เราก็จะรู้สึกแสบร้อนที่มือ เพราะ Capsaicin ไปจับกับ TRPV receptor ทำให้เกิดการส่งผ่านความรู้สึกว่าฉันร้อน ฉันแสบ เช่นเดียวกัน กรณีของผิวระคายเคือง รู้สึกร้อนวูบวาบ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากสารเคมีบางชนิดไปจับกับ Receptor รับความรู้สึกร้อน-เย็นในกลุ่ม TRP receptor เลยทำให้รู้สึกร้อนแสบระคายเคือง ก่อนจะมีการไปกระตุ้นให้เกิดอาการระคายเคือง และรอยแดงต่อมา (Iftinca, et al. Drugs. 2021;81:7–27) อารมณ์ประมาณภาพนี้

(Image source: The Author 2011. Published by Oxford University Press, CC BY-SA 2.5, via Wikimedia Commons)

ซึ่งจุดนี้บทความของ Misery และคณะ (2016) ได้กล่าวว่า ผิวบอบบางแพ้ง่าย หรือ Sensitive skin นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ โดยหนึ่งในนั้นคือ การส่งสัญญาณประสาทผ่าน TRPV receptor ที่ถูกกระตุ้นผ่านกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสารเคมี แรงทางกายภาพ รวมถึง ผ่านระบบกลไกต่างๆ ภายในและภายนอกร่างกาย (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016 Feb;30 Suppl 1:2-8.) ทำให้รู้สึกแสบ คัน ระคายเคือง และไม่สบายผิว

อีกชิ้นงานหนึ่งก็น่าสนใจนะคะ บทความของ Guin และคณะ (2017) ได้กล่าวว่า TRP receptor มีผลต่อการเกิดการอักเสบของผิวผ่านระบบของการหลั่งสารที่เกี่ยวข้องกับระบบของเส้นประสาท (Neuropeptide) ซึ่งทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน และรอยแดง โดยอาจจะเป็นในระยะยาว หรือเป็นแบบเรื้อรัง (Protein Cell. 2017;8(9):644-661.) สำหรับเจ้า 4-t-Butylcyclohexanol นี้ นางจะเป็นสารที่ไปยับยั้งไม่ให้ TRPV-1 receptor ทำงาน จึงไม่เกิดการส่งผ่านความรู้สึกแสบร้อนเข้าไป การรู้สึกร้อนแสบระคายเคืองก็จะลดลง มีการทดสอบทางคลินิกยืนยันถึงประสิทธิภาพอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน ขอเลือกอันที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังนะคะ

  • Srour และคณะ (2020) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของครีมที่มี 4-t-Butylcyclohexanol ในการลดการระคายเคืองของผู้ป่วยที่มีอาการผิวอักเสบบริเวณรอบปาก โดยให้ทาครีมดังกล่าวเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น รวมถึงมีค่าความชุ่มชื้น และมีการระเหยของน้ำออกจากผิว (TEWL) ลดลง แสดงให้เห็นว่า Barrier ผิวกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2020;19(6):1409-1414)
  • Schoelermann และคณะ (2016) ได้ทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของครีมที่มี 4-t-Butylcyclohexanol กับ acetyl dipeptide-1 cetyl ester ในการลดการระคายเคืองจาก Capsaicin ในผู้ที่มีปัญหา Sensitive skin โดยให้อาสาสมัครทาครีมดังกล่าวเป็นเวลา 3 วัน แล้วมาทดสอบประสิทธิภาพในการลดการระคายเคืองหลังจากทา Capsaicin พบว่า 4-t-Butylcyclohexanol ลดการระคายเคืองได้ตั้งแต่ช่วง 1 – 2 นาทีแรก และให้ผลไม่ต่างจากครีมที่มี acetyl dipeptide-1 cetyl ester (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:18-20.)

ต่อมาสีฟ้า สารสกัดจาก Glycyrrhiza inflata หรือ ชะเอมจีน ประกอบด้วยสารพฤกษเคมี Licochalcone A เป็นสารสำคัญ ซึ่งสารนี้โดยตัวมันเองมีคุณสมบัติเด่นในด้านการลดการอักเสบระคายเคือง โดยน้องจะไปลดการอักเสบ โดยลดการสร้าง Prostaglandin E2 และลดการทำงานของระบบ NF-kB (อ่านว่า เอ็นเอฟ คัปป้าบี) ที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบผ่านหลายกลไก (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:9-17.) ในระดับหลอดทดลอง มีการทดลองอยู่หลายชิ้นที่พบว่า การเสริมฤทธิ์กันของ Licochalcone A กับ 4-t-Butylcyclohexanol นั้นให้ผลที่ดีขึ้นในการลดการระคายเคือง คัน แดง ของผู้ที่มีปัญหา Sensitive skin ขอเลือกหยิบอันที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังค่ะ

  • การทดลองของ Sulzberger และคณะ (2016) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของครีมที่มีส่วนผสมของ 4-t-Butylcyclohexanol และ Licochalcone A พบว่าลดรอยแดงหลังจากการโกนขนได้ (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:9-17.)
  • การทดลองของ Boonchai และคณะ (2018) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของครีมที่มีส่วนผสมของ 4-t-Butylcyclohexanol และ Licochalcone A (จะขอย่อว่า T+L) ในการรักษาอาการผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) เปรียบเทียบกับตัวยา Steroid Triamcinolone acetonide (ความเข้มข้น 0.02%) เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าทั้ง 2 ตัวให้ผลในการลดอาการระคายเคือง คัน รอยแดงได้ไม่ต่างกัน เพียงแต่ ครีมที่มีตัวยาจะเห็นผลในการลดอาการ และการอักเสบไวกว่า ส่วนครีม T+L นั้นมีประโยชน์ในด้านการลดรอยแดง และเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวมากกว่า (J Cosmet Dermatol. 2018;17(6):1130-1135.)
  • อีกสักชิ้น การทดลองของ Jovanovic และคณะ (2017) ทดสอบประสิทธิภาพของครีม T+L ในอาสาสมัคร Sensitive skin ที่เกิดรอยแดงได้ง่าย และมีความเสี่ยงในการเป็น Rosacea โดยให้อาสาสมัครทาครีมเป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าอาการต่างๆ ลดลงเมื่อเทียบกับก่อนการใช้ครีม (J Drugs Dermatol. 2017;16(6):605-610.)

สีชมพู Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 ตัวนี้เป็นที่ทราบกัน เป็นตัวดั้งเดิมเลยที่ให้ประโยชน์ในแง่ของการลดการระคายเคือง เพิ่มความชุ่มชื้น เสริมการแบ่งตัวของผิว และ ช่วยฟื้นฟู Barrier ผิว

สุดท้าย สีเขียวมะกอก Shea butter เอาจริงๆ ส่วนตัวไม่ค่อยได้กล่าวถึง Shea butter นะคะ แต่วันนี้ขอนิดหน่อย เพราะไหนๆ ก็ดูเรื่องการลดการอักเสบและระคายเคืองแล้วเลยอยากเล่าว่าใน Shea butter ประกอบด้วยสารในกลุ่ม Unsaponifiables หลายชนิด ซึ่งที่น่าสนใจคือ Phytosterols ที่มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคืองเช่นกัน

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ก็มีเท่าที่จำเป็น ทำให้ไม่กวนผิวมาก ซึ่งถือว่าเหมาะมากกับผู้ที่มีปัญหาผิวบอบบางแพ้ง่าย

มาสรุปคะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง เรียกได้ว่าสมกับเป็นแบรนด์เวชสำอางอย่าง Eucerin ที่พัฒนาตัวนี้มาเพื่อตอบโจทย์ Sensitive skin โดยเฉพาะกลุ่มที่มีปัญหาระคายเคือง แสบร้อน คัน และรอยแดงได้อย่างสมศักดิ์ศรี รวมถึงมีงานวิจัยรองรับ จุดนี้ก็ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ตามที่ได้กล่าวไปว่า มีการเลือกใส่สารอื่นๆ เป็นส่วนผสมเท่าที่จำเป็น ซึ่งเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผิวบอบบางแพ้ง่าย เพราะไม่กวนผิวมากนัก รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ลองใช้ นานๆ ที จะมีปัญหาแสบร้อน แดง และคัน และระคายเคืองเมื่อเปลี่ยนอุณหภูมิ จากที่ร้อนไปเย็น อย่างห้องแอร์ หรือ จากห้องแอร์ออกมาข้างนอก พอได้ใช้ครีมตัวนี้ในตอนเช้า ติดกันราวๆ 2 อาทิตย์ รู้สึกว่าการเปลี่ยนอุณภูมิแทบไม่ทำให้เกิดอาการคันเลย (ในการลองใช้ผลิตภัณฑ์นี้ส่วนตัวลองหลังจากหยุดใช้อีกตัวหนึ่งที่มีผลป้องกันด้านอุณหภูมิไปแล้วนะคะ) ในขณะที่แขน มือ และเท้า ยังมีรอยแดงและมีอาการคันอยู่ จุดนี้ส่วนตัวมองว่าค่อนข้างชอบค่ะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Eucerin ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้รู้จักและทดลองใช้ และขอขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

UltraSENSITIVE Repair Cream 50ml ราคา 1,170.-

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้จาก https://www.eucerin.co.th/products/hypersensitive-skin/ultrasensitive-repair-cream-50ml

สถานที่จัดจำหน่าย  ร้านวัตสัน ร้านบู๊ทส์ ร้านขายยาขนาดใหญ่ และโรงพยาบาลชั้นนำทั่วไป

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/8KYVHQGl2I

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.Ioy47?cc

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Eucerin การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ