Image

[Skincare diet theory] การลดการใช้เครื่องสำอางจะช่วยให้สุขภาพผิวเราดีขึ้นจริงไหม ??

Disclaimer: บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม และการอ่านจากบทความและ Blog ของต่างประเทศ ไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับแบบแน่ชัด โปรดใช้วิจาณญาณในการรับชม และขอสงวนลิขสิทธิ์ในบทความทุกประการ

 

เชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะเคยได้ยินเรื่องของ Skincare diet หรือ การลดการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงเพื่อให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น

รวมไปถึงมีกระแส การหยุดใช้ Skincare ทุกชนิด เพื่อ Reset ผิว ให้กลับมาฟื้นฟูตัวเอง

 

เทรนด์เรื่องของ Skincare diet นี้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2018 มี Blogger และ Youtuber จากต่างประเทศหลายท่านนำเสนอ Skincare regimen ใหม่ ที่มีเพียงการบำรุงแค่ 2-3 ขั้นตอนแค่นั้นเอง การบำรุงผิวแบบนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไรถ้าเทียบกับการใช้การบำรุงผิวตามแบบฉบับของ K-beauty จากเกาหลี ซึ่งมีการบำรุงผิวหลายขั้นตอน จนมีชื่อเล่นในวงการว่า 10-steps skincare regimen

เชื่อว่าการทำ Skincare diet น่าจะมีรากฐานมาจากการบำรุงผิวแบบ J-beauty ที่มาจากญี่ปุ่น โดยคนญี่ปุ่นใช้ผลิตภัณฑ์เพียงน้อยชนิด ส่วนมากเป็นผลิตภัณฑ์สารพัดประโยชน์ หรือพวก All-in-one เพื่อลดเวลาการบำรุงผิวในช่วงเวลาอันเร่งด่วน

ส่วนตัวมี่เองในช่วงก่อนก็เริ่มมาจาก J-beauty ก่อนเปลี่ยนเป็น K-beauty ในช่วงปี 2015 และมาใช้ J-beauty ในช่วง 2018 ก่อนจะกลับมาเป็น K-beauty อีกครั้งในช่วงปีก่อน

ทีนี้การสร้าง Skincare regimen เราทำกันอย่างไร ???

สามารถตามไปอ่านแบบละเอียดได้ที่ Blog เรื่อง Skincare regimen ก่อนหน้านี้นะคะ >>Click<<

ซึ่งมีขอสรุปสั้นๆ ให้จบภายใน 3 ข้อค่ะ

  1. Skincare regimen แบ่งเป็น สิ่งที่เราทำทุกวัน เรียกว่า Routine care กับสิ่งที่ทำแค่ไม่กี่ครั้งใน 1 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน เรียกว่า Special care
  2. สำหรับ Routine care เราจะเรียงตามหลักการพื้นฐาน คือ Clean-Care-Protect-Decorate
  3. สำหรับการบำรุง หรือ Care เราจะเรียงตามเนื้อเบาไปหาหนัก

 

ก่อนจะไปดู Skincare regimen ของทั้งสองแบบ มี่ขอทำตารางสรุปความแตกต่างระหว่าง J-beauty กับ K-beauty ให้ได้ชมกันก่อนนะคะ

JK 1

J-beauty จะค่อนข้างเรียบง่าย ซึ่งส่วนตัวมี่ขณะใช้ J-beauty Skincare regimen เป็นตัวบำรุงชุดนี้ค่ะ

แบบที่ 1: ใช้ All-in-one เป็นตัวหลักในการบำรุง

J-beauty 3

เริ่มจากการใช้น้ำตบ DHC F1 lotion ตามด้วยทา All-in-one gel

แบบที่ 2: เสริม Serum น้ำผึ้งของ Herbery earth เข้ามา

J-beauty 1

พอเราเริ่มรู้สึกว่าผิวเราไม่นุ่ม ไม่เด้ง เริ่มกรอบ ก็จะใช้เซรั่มน้ำผึ้งที่มีประโยชน์เติมน้ำเข้ามาเสริมค่ะ

แบบที่ 3: ช่วงผิวเริ่มมัน เปลี่ยน All-in-one gel เป็น Holika Holika skin & Good cera all-in-one master

J-beauty 2

สิ่งที่สัมผัสได้ในช่วงที่ลดการใช้สกินแคร์ลงคือ

  1. ผิวดูมีสุขภาพดีขึ้น สว่าง ไม่หมองคล้ำ จับแล้ว นุ่มนวล ละเอียด รูขุมขนแลดูกระชับ
  2. ระหว่างวันไม่มันเยิ้ม รองพื้นไม่ดรอป เมคอัพไม่เลือนหาย แลดูสดเหมือนพึ่งแต่ง

แต่จะมีบางช่วงที่เรารู้สึกว่าผิวขาดน้ำคือ สัมผัสแล้วกระด้าง ตบแล้วไม่เด้ง เหี่ยว เราก็จะปรับ Regimen ใหม่อีกครั้ง

 

ต่อมาจะเป็นการยกตัวอย่าง K-beauty ของมี่นะคะ

K-beauty 1

มีอยู่ทั้งหมด ขั้นตอนค่ะ

  1. BHA Toner
  2. DHC F1 fresh lotion
  3. Eye cream
  4. Marine collagen serum
  5. Serum น้ำผึ้ง
  6. It’s Skin GF effector
  7. โลชั่นน้ำดอกมะลิ
  8. ครีมปลาดาว
  9. โทนเนอร์นมแพะ (อันนี้ถึงจะชื่อโทนเนอร์ แต่เนื้อเป็นแบบครีม ค่อนข้างมัน)

ถ้าเป็นกลางวันจะจบด้วยนมแพะ แล้วทากันแดดค่ะ

ถ้าเป็นกลางคืน จะทาต่อด้วย

  1. Real barrier cream
  2. Olive oil ของ Watsons จีน
  3. Mamonde rose pack เป็นบางวัน (Special care)

 

ช่วงนี้ผิวจะนุ่มลื่มชุ่มชื้นค่อนข้างมาก แต่ใช้เวลากับการบำรุงผิวค่อนข้างนานเหมือนกันค่ะ

 

เอาหละ เราลองมาดูหลักการพื้นฐานของการทำ Skincare diet นะคะ

Skincare diet ที่เป็นที่นิยม ทำได้ 2 แบบใหญ่ๆ

  1. หยุดทุกอย่าง เพื่อ Reset ผิว ทาแค่กันแดดในตอนกลางวัน (ส่วนตัวไม่แนะนำเพราะว่า หลังล้างหน้า ไขมันที่ดี และสารอุ้มน้ำจากผิวจะถูกชะล้างออกไปด้วย เราควรเติมน้ำและน้ำมันคืนให้ผิว)
  2. ลดจำนวนลง เหลือแค่ราวๆ 2 – 3 ชิ้น ตามความต้องการผิว (ไม่นับยาที่ต้องใช้ตามแพทย์/เภสัชกร)

 

เพราะฉะนั้นการจะเริ่ม Skincare diet สิ่งที่เราต้องทำก่อน คือ โฟกัส หาปัญหาผิวของเราก่อน ว่าเราอยากบำรุง หรือ มีปัญหา มีความต้องการอะไรเป็นพิเศษไหม ก่อนค่อยมาเลือกสกินแคร์ค่ะ

เช่น

  • ผิวแห้ง: Hyaluron + Ceramide
  • ไวท์เทนนิ่ง: วิตามินซี บี3 และสาร Whitening ต่างๆ
  • ริ้วรอย: วิตามินซี บี3 เอ และสารบำรุงต่างๆที่ช่วยดูแลเรื่องริ้วรอย
  • สิว: BHA toner หรือ Witch hazel + ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารกระชับรูขุมขน
  • รอยแดง: กลุ่มเติมน้ำ และ กลุ่ม Soothing เช่น ว่านหางจระเข้ Rose water
  • ผิวบอบบางแพ้ง่าย: Hyaluron + Ceramide

 

สำหรับประโยชน์และข้อจำกัดของ Skincare diet เท่าที่มี่พยายามรวบรวมมาคือ

ประโยชน์

  1. ใช้เวลาในการดูแลผิวลดลง
  2. ประหยัดเงินในการซื้อสกินแคร์มากขึ้น
  3. สภาพผิวดีขึ้น (สำหรับบางคน)
  4. ลดการสัมผัสสารเคมีที่ไม่จำเป็นกับผิว ทำให้สุขภาพผิวดีขึ้น

ข้อจำกัด

  1. ผลิตภัณฑ์เพียงไม่กี่อย่างอาจไม่ตอบโจทย์ทุกปัญหาผิว
  2. ผิวอาจแห้งระหว่างวัน

 

สำหรับส่วนตัวมี่มีมุมมองเกี่ยวกับเรื่อง Skincare diet คือ ถ้ามีปัญหาผิวแห้ง จะใช้วิธีนี้ได้ค่อนข้างยากค่ะ เพราะเราอาจจะรู้สึกว่า มอยส์เจอร์ที่ใช้อาจจะยังไม่เพียงพอ

ส่วนคนที่มีปัญหาผิวมัน อาจจะรู้สึกว่า ลดจำนวนชิ้นของ Skincare ลงแล้วสบายผิวมากขึ้น

  1. สุดท้ายนี้อยากบอกว่า การตอบสนองของแต่ละคนต่อเครื่องสำอางจะไม่เหมือนกันนะคะ บางคนใช้แล้วดี แต่บางคนอาจจะไม่ดีก็ได้
  2. การแพ้ การระคายเคือง การอุดตัน เป็นเรื่องที่ไม่สามารถคาดเดาได้แบบ 100% แต่การอ่านส่วนผสมและเลี่ยงสารที่เคยเกิดปัญหาให้เรา จะช่วยลดโอกาสเกิดอาการเหล่านี้ได้ โดยหลักการพื้นฐานคือ คนที่เคยแพ้ส่วนผสมหนึ่งๆ มักจะเกิดการแพ้ซ้ำๆ กันได้อีกกับสารเดิม หรือ สารที่มีโครงสร้างคล้ายๆกัน (ชื่อคล้ายๆกัน)
  3. การเลือกผลิตภัณฑ์ บางทีก็เหมือนเป็นการลองผิดลองถูก เราอาจจะต้องลองดูว่า แบบไหนถึงจะได้ผลิตภัณฑ์ และ Regimen ที่ดี และเหมาะสมกับผิวเรามากที่สุด

 

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีม Whitening วิตามินรวมจากญี่ปุ่น Shimi AX จากแบรนด์ Kracie

สวัสดีค่ะ

มีผลิตภัณฑ์อยู่ตัวหนึ่งที่มีติดค้างรีวิวทุกคนมานานมากๆ จนใช้หมดไปสองหลอดแล้วก็ยังไม่ได้ฤกษ์นำมารีวิวเสียที

เอาหล่ะ ในที่สุด วันนี้ก็ได้ฤกษ์ รีวิวปิดท้ายวันหยุด ก่อนต้องตื่นไปทำงานแต่เช้ากันในวันพรุ่งนี้

นางก็คือ ครีม #ลูกรักบ้านมียอน Shimi AX จากแบรนด์ Kracie นั่นเองค่ะ

หน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

shimi 1.JPG

หลอดเก่าไป หลอดใหม่มา ตอนนี้หลอดที่สองก็หมด แต่ขอพักสักแป๊บ เพราะของล้นกรุมากๆ 555

 

ตัวหลอดมาแบบเรียบแต่โก้ หรูแต่ง่ายค่ะ

shimi 2

 

จริงๆในบ้านเรามีขายที่ Matsumoto kiyoshi นะคะ แต่มี่สั่งจากเว็บ Dokodemo เอาค่ะ ราคารวมค่าขนส่งแล้วก็ไม่ต่างกันมากนัก

 

คำว่า “Shimi” หรือ しみ เป็นคำที่กำลังอินเทรนด์ของฝั่งญี่ปุ่นเค้าค่ะ แปลว่ารอยเปื้อน แต่ในทางสกินแคร์และบิวตี้ หมายถึง จุดด่างดำ

 

สำหรับเนื้อครีมก็เป็นครีมเนื้อข้นๆหน่อย

shimi 3

ไม่มีกลิ่นค่ะ น่าจะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ขัดกับลุคที่ดูข้นๆของนางเลย

shimi 4

 

วันนี้ไม่ได้วัด pH เพราะเนื้อครีมนางไม่เปียกกระดาษ กระดาษเลยไม่เปลี่ยนสีค่ะ

 

สำหรับส่วนผสมวันนี้ มี่ใช้วิธีแกะจากข้างกล่องเอานะคะ เนื่องจากไม่สะดวกไปถ่ายรูปฉลากไทยในร้านจ้า

สผส

ซึ่งจากที่สังเกตมา ทางญี่ปุ่นเขาไม่ได้เรียงลำดับส่วนผสมจากความเข้มข้นมากไปหาน้อยนะคะ แต่จะเอา Active มาขึ้นก่อน ตามด้วยสารที่เป็นเบส หรือ Vehicle ของตำรับค่ะ

 

สำหรับสารบำรุง ที่สำคัญจะเป็นกลุ่มของวิตามินรวม 3 ชนิดหลัก คือ A C E ค่ะ

  • วิตามินเอ เป็นรูปแบบของ Retinyl palmitate ซึ่งถ้าเทียบกับฟอร์มอื่นแล้ว นางก็จะมีการระคายเคืองที่น้อยกว่า แต่กว่านางจะออกฤทธิ์ได้ นางต้องผ่านการแปรสภาพในผิวถึง 3 ขั้นตอน โดยประโยชน์ของวิตามินเอ กับผิวพรรณนั้น ค่อนข้างกว้างค่ะ โดยหลักๆ จะเด่นไปในด้านของริ้วรอย การปรับสมดุลการผลัดผิว ความกระชับและยืดหยุ่นของผิว และสิว
  • วิตามินซี มาในรูปแบบของ Ascorbyl glucoside ซึ่งเป็นรูปแบบที่เอาวิตามินซีมาจับกับน้ำตาล โดยประโยชน์ของวิตามินซี ก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเชิง Whitening, ลดการอักเสบระคายเคือง ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • วิตามินอี ตัวนี้น่าสนใจนะคะ เป็นรูปแบบของ Tocopheryl nicotinate ซึ่งเป็นสารลูกผสมระหว่างวิตามินอี กับ บี 3 ทางผู้ผลิตวัตถุดิบก็เคลมว่า ถ้านางลงผิว ผิวเราก็จะแปรสภาพจนได้วิตามินอี และ บี 3 ให้ประโยชน์หลายอย่างทั้ง Antioxidant, ลดการอักเสบระคายเคือง และในเชิงด้าน Whitening

antioxidants-06-00020-g001.jpg

(Duncan and Suzuki, . 2017 Mar; 6(1): 20.)

 

สำหรับ Tocopheryl nicotinate นอกจากผลที่กล่าวมาแล้ว นางมีคุณสมบัติในการเสริมการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆในผิวเสริมมา ซึ่งจริงๆก็มีใช้ในทางยามาซักพักแล้วค่ะ (The American Journal of Clinical Nutrition 1974. 27(10):1110-6)

 

สารบำรุงที่เหลืออยู่ ในส่วนของสีฟ้า คือ

  • Dipotassium glycyrrhizate ตัวนี้ได้มาจากชะเอมค่ะ มีคุณสมบัติในเชิงการลดการอักเสบระคายเคือง
  • Lactobacillus/lotus seed ferment ตัวนี้มีประโยชน์ในด้านชุ่มชื้นเป็นหลักค่ะ

 

และสีเขียว Cholesterol กับ Corn oil เป็นไขมันที่มีประโยชน์กับผิวค่ะ

 

ในส่วนผสมมีการใช้ Paraben เป็นสารกันเสีย แต่ส่วนตัวไม่ได้หักคะแนน Paraben แล้วนะคะ ถ้าใครไม่แพ้สารตัวนี้ นางก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรค่ะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ วันนี้ขอให้ 2 หมวด คือ ส่วนผสม และ การใช้งานนะคะ

  1. ส่วนผสม ในส่วนผสมทำมาได้ค่อนข้างดี และลำพังการผสมเอาวิตามิน A C E/B3 เข้าด้วยกันก็เรียกได้ว่า ให้ประโยชน์ในการดูแลผิวได้ครบวงจรแล้วค่ะ เหลือแค่ว่าเราไม่ทราบความเข้มข้นว่าเค้าใช้ในปริมาณเท่าไหร่ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ในตัวครีม เนื้อออกมาค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเหนียว หรือมันเยิ้ม (มี่ผิวผสม/แห้ง) แต่ด้วยความที่มีวิตามินเอ ส่วนตัวก็จะใช้แค่ตอนกลางคืนนะคะ แม้ว่า Retinyl palmitate จะเสี่ยงแพ้แสงน้อยกว่าตัวที่เป็นรูปแบบยา อย่าง acid แต่ก็ขอเลี่ยงการใช้กลางวันไว้ก่อนค่ะ สำหรับด้าน Whitening ส่วนตัวมองว่า นางค่อยๆปรับสภาพจุดด่างดำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้นค่ะ แต่ไม่ถึงกับจะมาแบบขาวขึ้นแบบเว่อร์วังรวดเร็วอะไรทำนองนั้นค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลากันไปเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมาสก์หน้าสีชมพู Pink collagen radiant & Firm overnight mask จากแบรนด์ Scentio

มันจะมี Sleeping mask อยู่ชิ้นนึงที่มีอยากเอามาวิเคราะห์ส่วนผสมตั้งนานแล้ว แต่พึ่งได้มีโอกาสค่ะ

เป็น Sleeping mask สูตร Pink collagen จากแบรนด์ Scentio ที่เป็นสินค้าของเครือ Beauty buffet ค่ะ โดยสาเหตุที่มี่สนใจแบรนด์นี้ก็เพราะว่ามีน้องเซนต์เป็น Presenter รักน้อง ก็ต้องอุดหนุนสินค้าที่น้องเป็น Presenter เอ๊ย ไม่ใช่ ถือว่าไม่ได้ยินเนอะ

แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่ผลิตสินค้าน่ารักๆมาตอบโจทย์สาววัยแรกรุ่น แบบเราๆ ในราคาที่ไม่แพงมาก และส่วนผสมค่อนข้างดีงาม คุ้มค่าคุ้มราคาค่ะ

อย่าง Sleeping mask วันนี้ ก็มีส่วนผสมที่ดีงามไม่แพ้ของนอกเหมือนกัน ไว้เดี๋ยวเราไปดูด้วยกันตอนช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

น้องมาภายใต้คอนเซปท์ ปฏิวัติผิวสวย 4D ค่ะ

มาดูหน้าตาของน้องกันก่อนดีกว่าค่ะ นางมาในกล่องสีชมพูแบบนี้ค่ะ

sc 1.JPG

ด้านในเป็นแพคเกจแบบกระปุกไอติมน่ารัก สีชมพูขาว

sc 2

เนื้อครีมก็สีชมพู เป็นเนื้อแบบพุดดิ้ง คืนรูปได้ กลิ่นก็มาในโทนหวานแหวว

cream

เนื้อเบา ซึมไว ให้ความรู้สึกนุ่ม ชุ่มชื้น ไม่เหนียวเหนอะหนะ

cream 2

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สผส piti

ส่วนผสมวันนี้เรียกได้ว่าเยอะและยาวเหมือนกันนะคะ ในภาพรวมนางเป็นมาสก์แบบครีม ที่มีส่วนผสมของน้ำ น้ำมันสังเคราะห์ น้ำมันจากธรรมชาติ และ ซิลิโคนค่ะ โดยที่เนื้อมีความบางเบาแต่ชุ่มชื้นดี น่าจะเพราะเป็นเนื้อแบบซิลิโคนในน้ำ และมีส่วนผสมของสารดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นหลายตัว เสริมสารบำรุงอื่นๆมาอีกหลายชนิด

มาดูกันทีละสีเลยนะคะ

  • เปิดด้วยสีเขียว สูตรผสมของ Octyldodecanol, Echium Plantagineum Seed Oil, Helianthus Annuus (Sunflower) Seed Oil Unsaponifiables, Cardiospermum Halicacabum Flower/Leaf/Vine Extract และ Tocopherol รู้จักกันในนาม Defensil ที่เรามักพบในครีมที่เคลมเรื่องของการลดการอักเสบระคายเคืองที่พบบ่อยตามร้านขายยา วัตถุดิบนี้ทางผู้ผลิตแกเคลมเกี่ยวกับคุณสมบัติในการลดการอักเสบ เสริมสร้างและฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • สีฟ้าจะเป็นกลุ่มของสารเติมน้ำให้กับผิว ซึ่งมาแบบจัดเต็มด้วยกันหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น
    • สารกลุ่ม Hyaluronic acid 4 ชนิด ที่มีขนาดแตกต่างกันไป มีประโยชน์ในการเติมน้ำให้แก่หลายๆระดับชั้นผิว
    • Polyglutamic acid มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นโดยการดูดน้ำให้ผิวเช่นกัน ตัววัตถุดิบนี้ ทางผู้ผลิตบางเจ้า แกเคลมว่า เวลาลงผิว ผิวเราจะตัดเอาออกมาเป็นกรดอะมิโน Glutamic acid เดี่ยวๆ ที่มีประโยชน์เป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้น ที่เรียกกันว่า Natural moisturizing factor หรือ NMF ที่ช่วยจับน้ำให้ผิว ผิวจึงชุ่มชื้น และนุ่มนวล
    • Hydrolyzed collagen อันนี้ที่ข้างกล่องเคลมว่าเป็นคอลลาเจนที่ได้จากปลาดาว มีประโยชน์ในเชิงด้านความชุ่มชื้นเช่นกัน
    • Trehalose เป็นน้ำตาลชนิดพิเศษ มีประโยชน์ในเชิงด้านความชุ่มชื้นเช่นกัน
    • Acetamidoethoxyethanol ตัวนี้นางเป็นวัตถุดิบสิทธิบัตร มีชื่อทางการค้าว่า ElfaMoist® AC ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าเป็นสารโมเลกุลเล็กที่สามารถแทรกซึมลงไปในหนังกำพร้าชั้น Stratrum corneum โดยไม่ทำให้ Barrier ผิวเสื่อมสภาพ ให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวได้อย่างยาวนานถึง 30 ชั่วโมง
  • สีม่วง เป็นสารบำรุงอื่นๆ ได้แก่
    • Inositol มีประโยชน์ในการช่วยซ่อมแซมโครงสร้างที่เกี่ยวกับการรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง ช่วยควบคุมความมัน เพิ่มความยืดหยุ่นให้ผิวหนังโดยไปเพิ่มการทำงานของเซลล์ใต้ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น และช่วยให้เซลล์ไขมันใต้ผิวเรียบเนียนขึ้น จึงดูเหมือนว่าริ้วรอยลดลง และผิวแน่นขึ้น เต่งตึงขึ้น (ข้อมูลจากผู้จำหน่ายวัตถุดิบชนิด myo-Inositol)
    • Gluconolactone นางเป็นอนุพันธ์ของน้ำตาล อยู่ในกลุ่ม Polyhydroxy acid (PHA) ให้คุณสมบัติการผลัดผิว (Exfoliant) คล้าย AHA แต่อ่อนโยนและมีความระคายเคืองน้อยกว่า มีรายงานวิจัยสนับสนุนว่าการผลัดผิวของ PHA สามารถเพิ่มความชุ่มชื้น เพิ่มความแข็งแรงของ Barrier ผิวหนัง (Cutis. 2004; 73(2 Suppl):3-13.)
    • Hydrolyzed adansonia digitata extract อันนี้ก็น่าสนใจค่ะ นางเป็นสารที่ได้จากการย่อยสลายสารสกัด Baobab ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า สารนี้ประกอบด้วยสารกลุ่ม Mucilage ที่มีความสามารถในการก่อฟิล์มบนผิวหนัง ช่วยดูดน้ำเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ปกป้องกันน้ำระเหยออกจากผิว ให้ผิวนุ่มและเงางาม เมื่อฟิล์ม Set ตัวได้ จะให้ความรู้สึกตึง (Tightening effect) (Dansonyl®, BASF)
    • Tocotrienols เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินอี และ สารสกัดจากมะเขือเทศ ทั้งคู่มีประโยชน์เป็น Antioxidant

ในภาพรวมคือเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นไปในเชิงการเติมน้ำให้ผิว เพื่อให้ผิวเรานุ่มนวล ชุ่มชื้น พร้อมกับช่วยให้ผิวเราแข็งแรงนั่นเองค่ะ

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ในส่วนของสารบำรุง เรียกได้ว่าจัดเต็มไปในเชิงด้านการเติมน้ำให้ผิวแบบเน้นๆ เสริมมาด้วยคุณสมบัติในด้านของการปกป้องผิวให้แข็งแรง ให้ความรู้สึกสบายผิว และ Antioxidant อีกเล็กน้อย จุดนี้ส่วนตัวอยากให้มีสารบำรุงกลุ่มอื่นๆเพิ่มขึ้นอีกนิดนึง ขอให้ 4 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่ได้มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ถึงแม้จะดูเหมือนมีซิลิโคนเยอะ และหลายๆคนก็เกรงกลัวซิลิโคน แต่ความจริงตัวซิลิโคนเขาเองก็มีประโยชน์ในด้านของการปรับ Feeling ให้บางเบา เรียบเนียน ไม่เหนอะหนะ และเคลือบปกป้องผิว จุดนี้ให้ 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวค่อนข้างชอบเนื้อสัมผัส การเกลี่ย สัมผัสหลังใช้ และความชุ่มชื้นหลังใช้นะคะ แต่รู้สึกว่ากลิ่นจะไม่ถูกจริตเราไปนิดนึง แต่ก็คงไม่หักคะแนนเรื่องกลิ่นนะคะ ส่วนด้านความชุ่มชื้น ส่วนตัวมีผิวผสม/แห้ง คิดว่ายังแห้งไปนิดนึงค่ะ ให้ 4 ฟลาสก์

คะแนน sc

สำหรับวันนี้คงต้องขอลากันไปเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาจากทางแบรนด์ Scentio/Beauty buffet การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้าและไม่ได้รับค่าตอบแทนในการรีวิว โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เอสเซนส์ฟื้นฟูผิว ด้วยพลัง Ionic balance กับ GluCA Derma Solv Ionic Essence จากเกาหลี

สวัสดีค่ะ วันนี้มี่หยิบเอาเซรั่มตัวโปรดที่มีเทคโนโลยีที่น่าสนใจจากเกาหลีมารีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันค่ะ

เป็นผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ GluCA ซึ่งเป็นเวชสำอางประสิทธิภาพสูงจากเกาหลี ที่มีวางจำหน่ายในคลินิกและโรงพยาบาลผิวหนังชั้นนำของประเทศเกาหลีค่ะ

ซึ่งมี่เองก็มีโอกาสได้รู้จักจากการไปเดินชมงาน K-beauty expo 2019 เมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมาค่ะ

ผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ GluCA ที่เข้ามาในไทยจะมีด้วยกัน 2 Line นะคะ คือ Line Clinic รุ่นสีฟ้า กับ Line whitening จะเป็นสีเทาค่ะ

ในกลุ่มของ Clinic จะมีผลิตภัณฑ์อยู่ 4 ชิ้นค่ะ คือ โฟมล้างหน้า เอสเซนส์ ครีม และ กันแดดค่ะ

glu 1

(Image from GluCA official website)

วันนี้มี่หยิบเอาส่วนผสมของ GluCA Derma Solv Ionic Essence ซึ่งเป็นตัวเอสเซนส์เข้มข้นในไลน์สีฟ้า หรือ ไลน์ Clinic มาวิเคราะห์ให้ได้ชมกันค่ะ

เริ่มที่หน้าตาของน้องจะมาในกล่องสีขาวแถบฟ้าแบบนี้นะคะ

glu 2

ตัวแพคเกจจะมาในรูปแบบหลอด พร้อมหัว Applicator

glu 3

glu 4-1

ซึ่งเมื่อเรากดที่ปุ่มสีฟ้า เนื้อผลิตภัณฑ์ก็จะออกมาแบบนี้ค่ะ

glu 7

โดยเราสามารถใช้ตัว Applicator นี้กลิ้งเบาๆได้ทั่วใบหน้าเลยค่ะ หรือจะเน้นเฉพาะรอบดวงตาก็ได้

 

ผลิตภัณฑ์มาในเนื้อเจลใส มีกลิ่นหอมอ่อนๆจากน้ำมันหอมระเหยธรรมชาติ อันนี้ทาด้วย Applicator ที่ติดมากับหลอดนะคะ

glu 8

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะ

glu 9

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 นะคะ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวเราดีค่ะ

glu 5

สำหรับส่วนผสมเป็นดังภาพค่ะ

สผส gluCA

ในภาพรวมนางเป็นเอสเซนส์ที่มาในรูปแบบของเจลเบสน้ำ มีส่วนผสมของน้ำมันจากธรรมชาติที่ทดแทนไขมันคืนให้ผิวอยู่เล็กน้อยในลำดับท้ายๆ เสริมมาด้วยสารบำรุงหลายชนิด และแต่งกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติค่ะ

ส่วนผสมวันนี้มีหลายสีหน่อยนะคะ

  • ขอเปิดด้วยสีส้ม อิออน Calcium และ Magnesium ในรูปแบบที่ละลายน้ำได้ ซึ่งสองตัวนี้ทางแบรนด์เคลมเรื่องของเทคโนโลยี Ion balance เพื่อควบคุมสมดุลของ Calcium และ Magnesium ของผิว ซึ่งประโยชน์ของ Calcium ที่มีต่อผิวนั้นมีมากมาย แต่หลักๆคือช่วยให้เซลล์ผิวเจริญเติบโตเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและหน้าที่ (Differentiation) เป็นผิวที่โตเต็มวัย
    โดย Calcium จะทำงานร่วมกับ Magnesium ในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ในเซลล์ที่มีสุขภาพดี อิออนของ Calcium และ Magnesium จะอยู่ในสภาวะที่สมดุล แต่ถ้าไม่สมดุล เซลล์ก็จะสุขภาพไม่ดี

glu ca mg

สำหรับประโยชน์ของ Calcium ที่ชัดเจนสำหรับผิวหนังก็คือเรื่องการ Differentiation ให้ผิวเราแข็งแรงและสมบูรณ์ ซึ่งรูปนี้อธิบายได้ชัดมากๆค่ะ
glu ca mg 2

  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้น ผ่านกระบวนการเติมน้ำให้ผิว ซึ่งประกอบด้วย Hyaluron 3 ชนิด ร่วมกับสารสกัดจากน้ำผึ้ง โปรวิตามินบี 5 และ Hydrolyzed collagen
  • สีเขียว คู่ผสมของ Palmitoyl tripeptide-1, Palmitoyl tetrapeptide-7 รู้จักกันในนามของ Matrixyl 3000 (จริงๆใน Matrixyl 3000 มีสารตัวอื่นประกอบด้วย แต่ขอละไว้นะคะ) ซึ่งมีประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย และมีงานวิจัยรองรับถึงประสิทธิภาพ
  • สีม่วง เป็นไขมันที่ทดแทนให้ผิว โดยตัวสำคัญคือ Ceramide NP หรือ Ceramide 3 ซึ่งตัวเซราไมด์เองมีความสำคัญมากกับความสามารถในการเป็นปราการเพื่อปกป้องผิว
  • สีเขียวมะกอก เป็นสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งตาม Combination ที่แบรนด์เคลมในไลน์ Clinic จะมีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชทั้งหมด 6 ชนิด ที่ผ่านการค้นคว้าและพัฒนามาจากทางแบรนด์ โดยทางแบรนด์เคลมว่าได้คัดเลือกมาจากฐานข้อมูลสารสกัดกว่า 85 ชนิด จนได้ 6 ชนิดนี้มาเป็น Combination ที่ให้ประโยชน์ในเชิงการฟื้นฟูและปรับสภาพผิว ที่ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Self-restoration technology ได้แก่ สาหร่ายสีน้ำตาล บลูเบอร์รี่ ใบบัวบก ชาเขียว เสริมด้วย สารสกัดจาก Propolis และ Allantoin

glu สารสกัด

(Image from GluCA)

มี่ขอเลือกกล่าวถึงสารสกัดจากพืชบางตัวนะคะ

  • สารสกัดจากใบบัวบก เสริมมากับ Madecassoside บริสุทธิ์ ซึ่งในปกติใบบัวบกเองก็มี Madecassoside อยู่ตามธรรมชาติ แต่ก็ยังมีการเติมเสริมเพิ่มลงไป เพื่อประโยชน์ในเชิงด้านของการสมานแผล (Wound healing) และในเชิงริ้วรอย
  • สารสกัดจากชาเขียว อุดมไปด้วยสารในกลุ่ม Catechins ซึ่งมีประโยชน์มากมายกับผิว ไม่ว่าจะเป็นในเชิงของ Antioxidant รวมไปถึงเชิงการป้องกันการเกิดริ้วรอย ลดการอักเสบระคายเคือง

 

แต่จุดที่น่าพิจารณาคือ การมีน้ำมันจากเปลือกของพืชในตระกูล Citrus ที่ได้มาจากกระบวนการบีบ (Cold press) อาจจะทำให้เกิดอาการผิวไวต่อแสงได้ในบางคน จึงควรทากันแดดเสมอ หรือ นำผลิตภัณฑ์ไปใช้ในตอนกลางคืน ซึ่งในจุดนี้ส่วนตัวมี่ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหลังจากใช้ทั้งเช้าและเย็นมาเกือบเดือน ซึ่งในจุดนี้เราก็ไม่ทราบว่าน้ำมันหอมระเหยจาก Citrus เหล่านี้มาจากกระบวนการไหน ถ้าเป็นการสกัดวิธีอื่นก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ

ในภาพรวมถือว่าเป็นเอสเซนส์ที่ทำมาได้น่าสนใจทั้งในด้านของ Package ทั้งส่วนผสม ที่คัดเลือกมาเสริมกันอย่างลงตัว และการเลือกใช้เทคโนโลยี Ion balance ที่เลือกใช้ทั้ง Calcium และ Magnesium มาเสริมกันได้อย่างลงตัว

 

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ในด้านของสารบำรุง ตามที่กล่าวไปด้านบน ทางแบรนด์เลือกใช้สารบำรุงหลายชนิด ที่บำรุงผิวเสริมกันได้อย่างลงตัว เพื่อฟื้นฟูปัญหาผิวแห้ง ผิวที่บอบบาง แพ้ง่าย ซึ่งเกิดจากสิ่งแวดล้อม หรือเกิดตามกาลเวลา อายุที่เพิ่มขึ้น โดยสารบำรุงที่เลือกใช้ นอกจากจะให้ประโยชน์ในด้านการฟื้นฟู Barrier ผิวแล้ว ยังมีประโยชน์ในเชิงการลดริ้วรอย ลดการอักเสบระคายเคือง เสริมกระบวนการสมานแผล (Wound healing) และเติมน้ำไปพร้อมๆกัน จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ มีการใช้น้ำมันหอมระเหยจากพืชในสกุล Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดการแพ้แสงได้ในบางราย แต่ส่วนตัวมี่ใช้ทั้งเช้าเย็น ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน อย่างแรกที่ต้องชมก่อนคือเรื่องของ Applicator ที่เขาออกแบบมาได้รับกับส่วนเว้าใต้ตา และส่วนโค้งของใบหน้า เรื่องของเนื้อสัมผัสของตัวเอสเซนส์ก็ทำมาได้ค่อนข้างดี และเรื่องของประสิทธิภาพส่วนตัวมองว่าในด้านของการลดการอักเสบระคายเคือง และช่วยฟื้นฟูให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้น ตรงนี้ทำมาได้ประทับใจมากๆ ให้ไป 5 ฟลาสก์

คะแนน GluCA

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ แล้วพบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มสารสกัดสเตมเซลล์ข้าวหอมมะลิแดง จากผลงานวิจัยสู่ผลิตภัณฑ์อันเลอค่า Herbalist Siam ที่มีชื่อว่า Red Jasmine Rice Phyto Cell More than serum

สวัสดีค่ะ

มี่เชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะเคยเห็นรีวิวของเซรั่มแบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่งที่ Go inter ไปหลายๆประเทศ รวมทั้งอเมริกา และฮ่องกงมาแล้วนะคะ

วันนี้มี่เองก็มีโอกาสได้ทดลองใช้สินค้าของแบรนด์นี้ แล้วรู้สึกว่าเขาทำมาได้ค่อนข้างดีจริงๆค่ะ

สิ่งที่มี่จะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมวันนี้ก็คือ เซรั่มจากแบรนด์ Herbalist Siam ที่มีชื่อว่า Red Jasmine Rice Phyto Cell More than serum ค่ะ

ซึ่งใช้นวัตกรรมสารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยง หรือ แคลลัส ที่วงการเครื่องสำอางเรียกติดปากกันว่า Stem cell ของข้าวหอมมะลิสีแดง ที่ผ่านการค้นคว้าโดยผู้เชี่ยวชาญจากสำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง รวมทั้งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร ที่ไปกวาดรางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมจากที่ประชุมวิชาการนานาชาติมาอยู่หลายต่อหลายครั้งค่ะ

1566034396075

(Image from Herbalist Siam)

แค่เกริ่นมานี่ก็แลดูน่าสนใจ ควรค่าแก่การลองแล้วเนอะ

ตัวเซรั่มมาในแพคเกจที่มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

her 1

ด้านในเป็นขวดแก้ว ที่มีหลอดหยดแบบ Built-in ในตัวค่ะ

her 2

เนื้อเซรั่มจะเป็นแบบเนื้อออกขุ่นๆหน่อย และเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราเลยจะได้กลิ่นจางๆของวัตถุดิบอยู่นิดหน่อย

her 4

ตัวเซรั่มเกลี่ยง่าย ซึมไว แห้งไว ให้ความรู้สึกเหมือนมีฟิล์มบางๆเคลือบปกป้องผิวและให้ความรู้สึกเรียบตึงกระชับอยู่ค่ะ

her 5

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 นะคะ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

her 3

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส herbalist

ในภาพรวมนางเป็นเซรั่มเบสกึ่งๆอิมัลชั่นกึ่งๆเจล ที่ประกอบด้วยน้ำ และไขมันสังเคราะห์เพื่อเคลือบปกป้องผิว โดยไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และ ซิลิโคนค่ะ

สำหรับส่วนผสมวันนี้มี่ทำไว้หลายสีนะคะ

  • ขอเริ่มที่สีชมพู พระเอกของเราในวันนี้ นั่นก็คือ Oryza sativa callus culture extract หรือ สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยง หรือ แคลลัสของข้าวหอมมะลิสีแดง ซึ่งผ่านการค้นคว้าวิจัย และเป็นนวัตกรรมสิทธิบัตร มีข้อมูลงานวิจัยที่ทดสอบประสิทธิภาพของสารสกัดดังกล่าวในอาสาสมัคร พบว่าอาสาสมัครที่ใช้ครีมที่ผสมสารสกัดจากแคลลัสของข้าวหอมมะลิสีแดง มีริ้วรอยที่ลดลง ปริมาณเม็ดสีที่ลดลง ความยืดหยุ่นที่เพิ่มขึ้น ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น และครีมดังกล่าวไม่เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้ในกลุ่มอาสาสมัครในการทดสอบนี้ (The Journal of Applied Science, 2018;17S:63-72)

1566034414098(Image from: The Journal of Applied Science, 2018;17S:63-72)

โดยผลตรงนี้อาจจะเกิดจากการที่ในเซลล์เพาะเลี้ยงหรือแคลลัสของพืชที่กำลังเติบโตนี้อุดมไปด้วยสารอาหารมากมาย รวมไปถึง Growth factor หลายชนิดที่มีประโยชน์กับผิวพรรณ

  • สีน้ำตาล Alteromonas ferment extract ตัวนี้รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Exo-H ซึ่งเป็นส่วนผสมของ Water (and) Butylene Glycol (and) Alteromonas Ferment Extract นำเข้ามาจากฝรั่งเศส ทางบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมไว้ว่า มีคุณสมบัติเพิ่มความแข็งแรงและความสามารถในการกักเก็บน้ำให้แก่ผิว โดยไปเพิ่มการสังเคราะห์ Hyaluronic acid, ไขมันบางชนิด และ โปรตีน Filaggrin ซึ่งขอกล่าวถึงโปรตีน Filaggrin นี้นิดหน่อยค่ะ เพราะนางเป็นโปรตีนตัวหนึ่งที่มีประโยชน์มากๆ
  • Filaggrin เป็นโปรตีนที่ผิวเราจะเอาไปใช้ได้ 2 แบบ คือ เอาไปย่อยจนได้กรดอะมิโนตัวเล็กๆ ทำหน้าที่เป็นสารจับน้ำให้ผิวตามธรรมชาติ ที่เราเรียกว่า Natural moisturizing factor หรือ NMF กับอีกบทบาทหนึ่งคือ นางจะโดนเอนไซม์ตัวหนึ่งจับเอาไปเชื่อมกับโปรตีนอื่นๆแล้วกลายเป็นเปลือกโปรตีนแข็งๆที่หุ้มเอาเซลล์ในผิวชั้นนอกสุดเอาไว้ เรียกว่า Cornified envelope (CE) ซึ่งหลังๆทางวงการเครื่องสำอางพูดถึงเรื่อง CE กันมาก โดยเจ้า CE นี่ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงให้แก่เซลล์ในชั้นหนังกำพร้าของเรานั่นเองจ้า
  • โดยรวมคือวัตถุดิบนี้ จึงมีคุณสมบัติในการเพิ่มความแข็งแรงและความสามารถในการกักเก็บน้ำให้แก่ผิว
  • สีส้ม เป็นคู่หูคู่ขวัญเปปไทด์ 2 ชนิด อย่าง Palmitoyl tripeptide-1 กับ Palmitoyl tetrapeptide-7 ที่ให้ประโยชน์ในเชิงด้านของการเสริมการสร้างคอลลาเจน ช่วยเสริมความกระชับ และช่วยให้ริ้วรอยแลดูตื้นขึ้นและจางลง
  • สีฟ้าเป็นกลุ่มของสารเติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • สีเขียว เป็นสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมี่ขอเลือกหยิบยกเอามาเฉพาะตัวที่น่าสนใจนะคะ
    • Aminopropyl ascorbyl phosphate ซึ่งเป็นอนุพันธ์ตัวใหม่ตัวหนึ่งของวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นในเชิงของ Whitening, การชะลอวัย และการเสริมความกระชับให้ผิว รวมไปถึงด้านการลดการอักเสบและระคายเคือง
    • กลุ่มสารสกัดจากพืช และสารบำรุงที่ให้คุณสมบัติเชิง Whitening หลายตัว ได้แก่ Paeonia suffruticosa root extract, Arbutin, Saxifraga samentosa extract, Acetyl tyrosine, และ Glutathione
    • สารสกัดจาก Scutellaria baicalensis มีรายงานว่าประกอบด้วยสารฟลาโวนอยด์ Baicalin กับ wogonin ที่ให้ผลลดการอักเสบในผิว ปกป้องไม่ให้รังสี UV เหนี่ยวนำให้เกิดการทำลายคอลลาเจนในผิว โดยไปมีผลยับยั้งไม่ให้เอนไซม์ MMP ที่เป็นตัวย่อยสลายเพิ่มจำนวนขึ้น (Eur J Pharmacol. 2011; 661(1-3):124-32.)

 

โดยสรุป เซรั่มนี้จึงถือว่าเป็นเซรั่มตัวหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ โดยให้ประโยชน์กับผิวได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นด้านของ Whitening, ความชุ่มชื้น การชะลอวัย และลดเลือนริ้วรอย ไปพร้อมๆกัน ซึ่งถือว่าตอบโจทย์กับความต้องการ และปัญหาผิวของหนุ่มๆสาวๆในวัย 30+ มากๆ

และในอีกจุดที่น่าสนใจคือการพัฒนาสูตร ผ่านการเลือกส่วนผสมมาอย่างดี ไม่ได้มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลย

ว่าแล้วก็มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ วันนี้ขอแบ่งเป็น 3 หมวดนะคะ เนื่องจากส่วนผสมมีค่อนข้างเยอะ

  1. สารบำรุง จุดแรกที่ต้องขอกล่าวชื่นชม คือการนำเอานวัตกรรมที่ต่อยอดจากงานวิจัยที่ส่วนใหญ่มักจะขึ้นหิ้ง มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ และนำพาเอาข้าวไทยไปสู่ตลาดโลก โดยใช้ส่วนผสมจากสารสกัดของเซลล์เพาะเลี้ยงจากข้าวหอมมะลิแดง ที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยมาหลายขั้นตอน รวมถึงมีข้อมูลรองรับในด้านประสิทธิภาพเชิงคลินิก มา Blend ผสมกับสารบำรุงอื่นๆจากนานาอารยะประเทศเข้ากันได้อย่างลงตัว โดยให้ประโยชน์โดยรวมทั้งในด้าน ของ Whitening, ความชุ่มชื้น การชะลอวัย และลดเลือนริ้วรอย ไปพร้อมๆกัน ตามที่ได้กล่าวไปในด้านบน รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีจุดให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวมี่คิดว่าเนื้อเซรั่มแห้งไวไปนิดหน่อย และมี่เองก็มีผิวผสม/ค่อนแห้ง เลยรู้สึกว่ามันจะแห้งไป ต้องหา moisture อื่นๆมาเสริมทับอีกชั้นหนึ่ง แต่คิดว่าคนที่มีผิวมันน่าจะชอบค่ะ ในด้านของประสิทธิภาพ ส่วนแรกที่เราจะได้รับน่าจะเป็นเรื่องของความชุ่มชื้น ความรู้สึกนุ่มฟู และกระชับ เรื่องจุดด่างดำ กับริ้วรอยก็จะตามๆกันมา เพียงแต่ตอนนี้มี่ยังไม่ได้มีปัญหาเรื่องริ้วรอย เลยยังตอบในจุดนี้ไม่ได้นะคะ แต่โดยรวมค่อนข้างชอบค่ะ ให้ไป 4 ฟลาสก์

คะแนน her

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Herbalist Siam ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Website: www.herbalistsiam.com

Line: @herbalist_siam

http://bit.ly/herbalistsiam

หรือสามารถติดต่อสั่งซื้อผ่าน Lazada ได้แล้วค่ะ

วันนี้คงต้องขอตัวไปก่อน พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Herbalist Siam การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Beauty Talks] ประโยชน์ของแร่ธาตุในทางสกินแคร์

วันนี้มี่มาเล่าถึงการใช้แร่ธาตุในเชิง Skincare ค่ะ

เชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับการใช้น้ำแร่ หรือ การอาบน้ำแร่ รวมไปถึงออนเซนต่างๆ เพื่อคุณสมบัติในการบำรุงผิวพรรณแล้ว

วันนี้มี่เลยอยากมาแชร์ข้อมูลถึงประโยชน์ของแร่ธาตุต่างๆในผิวหนังเรากันค่ะ

อย่างแร่ธาตุที่ทางเครื่องสำอางใช้กันบ่อยๆ คงหนีไม่พ้น Zinc ซึ่งเจ้า Zinc นั้นก็มีประโยชน์มากมายกับผิวพรรณ เพราะตัวนางเองเป็น Cofactor ของเอนไซม์บางชนิดในผิว จึงทำหน้าที่ควบคุมการทำงานต่างๆของผิวให้เป็นปกติ แต่ทางเครื่องสำอางที่ Focus กันแล้วใช้กันบ่อยๆ จะเป็นเรื่องของคุณสมบัติในการควบคุมความมัน คุณสมบัติในการระงับเชื้อ รวมถึง Zinc oxide ที่มีขนาดพอเหมาะ สามารถให้คุณสมบัติเป็นสารกันแดดได้ด้วย

ตัวต่อมาที่มีใช้กันมานานแล้ว คือ เจ้า Copper ซึ่งมักเอามาจับกับ Peptide เพื่อเสริมการดูดซึม มีประโยชน์ในเชิงการเป็น Antioxidant

Selenium ก็มีบทบาทในการบำรุงผิว และมีการพูดถึงในเชิงของการเป็น Antioxidant และคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง

ตัวถัดมาที่วงการเครื่องสำอางเริ่มพูดถึงในหลายๆปีที่ผ่านมาคือ Calcium ค่ะ โดยเจ้า Calcium นี้มีประโยชน์มากมายหลายอย่าง แต่หลักๆจะเกี่ยวข้องกับคุณสมบัติในการบำรุงผิว ช่วยให้ผิวแข็งแรง โดยมีผลต่อกระบวนการเปลี่ยนแปลงรูปร่างและหน้าที่ของผิว ควบคุมการสร้างเปลือกหุ้มเซลล์ Corneocyte ในหนังกำพร้า ที่เรียกว่า Cornified envelope ซึ่งหลังๆแบรนด์ทางญี่ปุ่นเริ่มพูดถึง Cornified envelope กันมากขึ้นค่ะ

Cornified envelop เป็นเสมือนเปลือกแคปซูลที่ทำจากโปรตีนหลายๆชนิดที่มีความทนทานมาก เรียงซ้อนกันหลายชั้น อัดกันแน่นด้วยโครงสร้างที่ซับซ้อน ทำหน้าที่เป็นเสมือนเกราะในการปกป้องผิว ให้แข็งแรงค่ะ

 

F5.large

(Image from Candi et al. PNAS March 3, 1998 95 (5) 2067-2072; https://doi.org/10.1073/pnas.95.5.2067)

 

ส่วนตัวมี่ค่อนข้างให้ความสนใจกับการใช้แร่ธาตุเพื่อบำรุงผิวนะคะ นอกจากน้ำแร่ และเซรั่มน้ำแร่ที่ใช้อยู่แล้ว เมื่อตอนไปเกาหลีเห็นแบรนด์ A’pieu ของทางเกาหลีได้ Launch สินค้าในกลุ่มของ Mineral ออกมา 3 สูตร ซึ่งทำมาได้น่าสนใจเลยทีเดียว

nfUZTMnRNQilWIzIdyYs

(Image from A’pieu)

โดยมีด้วยกัน 3 สูตร คือ Zinc, Calcium และ Magnesium ค่ะ

  • สูตร Zinc จะเน้นเคลมเรื่องของ Calming
  • สูตร Calcium เน้นเคลมเรื่องของ Moisturizing
  • สูตร Magnesium เน้นเคลมในเรื่องของ Nutrition

 

GvJFfgOfpOSdVPZDMqLx

(Image from A’pieu)

 

ในตอนแรกนางปล่อยแพคเกจมาเป็นรูปแบบกระปุก แต่ตอนมี่ไป นางปรับแพคเกจมาเป็นแบบหลอด แล้วปล่อยสินค้าที่เป็นโทนเนอร์แร่ธาตุรวมออกมาอีกชิ้นค่ะ

APIEU_Cicative_Cream_01

(Image from A’pieu)

 

ซึ่งตัวที่มี่ไปสอยมาจากเกาหลีทริปนี้ก็คือ ครีมสูตร Calcium ด้วยความที่เราเป็นสาย Barrier ผิว ดังนั้นคุณสมบัติของ Calcium ที่มีต่อผิวในด้านของ Cornified envelope จึงค่อนข้างถูกใจต้องตาสำหรับมี่ค่ะ ไว้เราจะมารีวิวให้ได้ชมกันต่อไปนะคะ

 

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ซีรั่มวิตามินซีน้องใหม่จากแบรนด์ OMG! Oh my glam Boost C E HYA Serum ซีรั่มที่ใครได้ลองใช้ แล้วต้องร้อง OMG!

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวซีรั่มวิตามินซีที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เป็นซีรั่มวิตามินซีจากแบรนด์ OMG Oh my glam! ที่มีชื่อว่า Boost C E HYA Serum ค่ะ

คอนเซปท์ของแบรนด์ก็คือ “ซีรั่มที่ใครได้ลองใช้ แล้วต้องร้อง OMG!”

หน้าตาเป็นประมาณนี้นะคะ

omg 1

ด้านในเป็นขวดแบบปั๊มค่ะ

omg 2

เนื้อซีรั่มเป็นแบบเบสน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เลยจะมีกลิ่นจางๆของวัตถุดิบอยู่นิดหน่อยค่ะ

omg 3

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ

omg 4

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 3 – 4 ซึ่งเหมาะกับการเป็นผลิตภัณฑ์วิตามินซีค่ะ

โดยทางแบรนด์เคลมว่า ค่า pH ณ วันผลิต ซึ่งถ้าดูจากข้างกล่องที่มี่ได้มา คือ 26/6/2562 วัดด้วย pH meter จะอยู่ 3.5 ซึ่งตัวกระดาษอินดิเคเตอร์ที่วัดได้ สีก็อยู่ระหว่าง 3 และ 4 ค่ะ ก็ถือว่าแลดู Stable และคงที่ อยู่นะคะ

omg 5

มาดูส่วนผสมกันดีกว่านะคะ

สผส omg

ส่วนผสมวันนี้มี่ทำสารบำรุงและสารที่น่าสนใจไว้หลายสีนะคะ

  • ขอเริ่มที่สีฟ้าค่ะ เป็นกลุ่มของวิตามิน และสารพฤกษเคมีที่ได้จากธรรมชาติ ได้แก่
    • L-ascorbic acid โดย L-ascorbic acid เป็นรูปแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ ซึ่งเมื่อลงผิวได้ นางไม่ต้องผ่าน Metabolism ของผิว นางออกฤทธิ์ได้เลยจึงมีประสิทธิภาพในการบำรุงผิว แต่ข้อจำกัดคือ มีความคงตัวค่อนข้างต่ำค่ะ ซึ่งทางแบรนด์ก็มีการเสริมความคงตัวให้ด้วยกลไกต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสริม antioxidant และ การปรับ pH ให้อยู่ราวๆ 3.5
      สำหรับประโยชน์ของวิตามินซีของผิวพรรณ ได้แก่ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัย เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจนของผิว และมีผลยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสีของผิว รวมไปถึงคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง และมีหลายๆแหล่งข้อมูลบอกว่า วิตามินซี สามารถยับยั้งกระบวนการอักเสบในผิว และปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ด้วย จึงให้ประโยชน์ในด้าน ริ้วรอย ชะลอวัย ลดการอักเสบ และผิวขาวกระจ่างใสไปพร้อมๆกัน ทางแบรนด์ใส่มาที่ระดับ 17.5% ค่ะ
    • Tocotrienols และ Tocopherol เป็นวิตามินอีรูปแบบธรรมชาติเช่นกัน มีประโยชน์เป็น Antioxidant ค่ะ ทางแบรนด์เคลมว่า ใช้วิตามินอี 2%
      ซึ่งปกติแล้ว วิตามินอี กับ ซี จะทำงานเสริมซึ่งกันและกัน ช่วยปกป้องซึ่งกันและกัน และช่วย Regenerate วิตามินที่ทำงานต้านอนุมูลอิสระจนเสื่อมสภาพไปให้กลับมาสดใหม่ไฉไลเหมือนเดิม
    • Ferulic acid เป็นพฤกษเคมีในกลุ่ม Phenolic มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี ซึ่งมีหลายๆงานวิจัยนะคะ ที่กล่าวว่า การใช้ Ascorbic acid ร่วมกับ Tocopherol และ Ferulic acid จะช่วยให้สารทั้งสามตัวมีความคงตัวที่ดี และมีประสิทธิภาพที่ดีค่ะ
    • Caffeic acid และ p-Coumaric acid ทั้งสองตัวนี้ก็เป็นพฤกษเคมีในกลุ่ม Phenolic ที่มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดีเช่นกันค่ะ
  • สีชมพู เป็นกลุ่มของสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมีด้วยกันหลายตัวค่ะ ได้แก่
    • Panthenol คือโปรวิตามินบี 5 มีประโยชน์ในเชิงการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และลดการอักเสบระคายเคือง
    • Hyaluronic acid สองชนิด คือ Hya ขนาดใหญ่ กับ Hydrolyzed Hya ขนาดเล็ก ซึ่งจะช่วยเติมน้ำให้ผิวในหลายระดับของชั้นผิว
    • Bifida ferment lysate เรียกได้ว่าเป็นวัตถุดิบจากจุลินทรีย์ตัวหนึ่งที่หลังๆมานี้วงการเครื่องสำอางหยิบยกมาพูดถึงบ่อยมากๆ วัตถุดิบนี้มีข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบสนับสนุนถึงคุณสมบัติในการเสริมกระบวนการฟื้นฟูตัวเองของผิวที่เกิดจากรังสี UV และความเครียดต่างๆ รวมถึง ปรับสมดุลการทำงานต่างๆของผิว และ เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว มีบทความวิชาการฉบับหนึ่งที่กล่าวว่า การใช้สารสกัดจาก Bifidobacterium longum สามารถเพิ่มความแข็งแรงให้ผิว ลดโอกาสเกิดการแพ้ระคายเคือง ทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร ที่ความเข้มข้น 10% (Exp Dermatol. 2010 Aug;19(8):e1-8.) ซึ่งเป็นความเข้มข้นเดียวกับที่ทางแบรนด์เคลมว่าใช้ค่ะ
    • L-glutathione เป็นรูปแบบที่ Active ของ Glutathione ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant และยังมีความสามารถในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สร้างเม็ดสีผิว และ ยังเหนี่ยวนำให้ผิวสร้างเมลานินชนิด Pheomelanin ซึ่งมีสีอ่อน ในภาพรวมจึงมีประโยชน์ในเชิง Whitening และการป้องกันริ้วรอย
  • สีส้ม สารกลุ่มนี้ไม่เชิงเป็นสารบำรุง แต่เป็นสารเสริมที่ช่วยเพิ่มความเสถียรให้แก่ผลิตภัณฑ์ค่ะ มีด้วยกัน 3 ตัว ได้แก่
    • Ethylhexyl methoxycrylate รู้จักกันภายใต้ชื่อทางการค้า SolaStay® S1 มีประโยชน์เป็นตัวปกป้องสารไม่ให้เสื่อมสภาพจากรังสี UV ที่มาจากแสง
    • Pentaerythrityl tetra-di-t-butyl hydroxyhydrocinnamate สารชื่อยาวๆนี้รู้จักกันภายใต้ชื่อทางการค้า Tinogard® TT เป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่ม Phenolic ที่ได้จากการสังเคราะห์ มีความคงตัวสูง ให้ผลดีในการปกป้องปฏิกิริยา Oxidation ที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความร้อน
    • Benzotriazolyl dodecyl p-cresol รู้จักกันภายใต้ชื่อทางการค้า Tinogard® TL มีประโยชน์เป็นตัวปกป้องสารไม่ให้เสื่อมสภาพจากรังสี UV ที่มาจากแสง

 

จากที่ได้กล่าวมาจะเห็นว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว คัดเลือกส่วนผสมมาอย่างดี โดยนอกจากจะเลือกส่วนผสมที่เป็น Antioxidant ในกลุ่มของ Phenolic จากธรรมชาติ อย่าง Ferulic acid, Caffeic acid และ p-Coumaric acid มาช่วย Stabilize ตัววิตามินซีให้มีความเสถียรสูงแล้ว ยังใช้กลุ่มของ Antioxidant และสารปกป้องแสง (Photoprotective agents) เข้ามาช่วยกันเป็นเสมือนกองทัพช่วยกันปกป้ององค์หญิงวิตามินซีให้ยังคงความคงสดใหม่ คงสภาพได้ยาวนานขึ้น แถมยังเสริมเอาสารบำรุงอื่นๆเข้ามาได้อย่างลงตัวค่ะ

อีกจุดที่น่าสนใจ คือ ความใส่ใจของแบรนด์ในการเลือกใช้ Propanediol แทนสารเพิ่มความชุ่มชื้นกลุ่มเก่าอย่าง Propylene glycol (PG) ซึ่งตัว PG ระยะหลังๆมาก็มีรายงานว่าทำให้เกิดการแพ้และระคายเคืองได้บ่อย แต่ตัว Propanediol เป็นสารที่ได้จากการหมักน้ำตาลจากข้าวโพด เพื่อเปลี่ยนเป็น Propanediol ตัวนี้ทางบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่ามีความปลอดภัยที่ดีกว่า PG ค่ะ  และเมื่อใช้ร่วมกับ Glycerin พบว่าประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นจะดีขึ้นด้วย

เนื่องจากวันนี้ส่วนผสมมีไม่เยอะมาก เลยขอแบ่งการให้คะแนนเป็น 2 หัวข้อนะคะ

  1. ส่วนผสม ในซีรั่มมาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ซิลิโคน และสารอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ในด้านของสารบำรุง นอกจากวิตามินซีแล้ว ยังเสริมเอาสารบำรุงอื่นๆ และสารเสริมที่ช่วยปกป้องวิตามินซีและสารบำรุงอื่นในตำรับให้ Stable จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน เป็นปกติของผิวที่เมื่อโดนวิตามินซีในสภาวะที่เป็นกรดอาจจะรู้สึกอุ่น หรือยุบยิบได้ ซึ่งอาการนี้จะหายไปเมื่อเราใช้ไปซักระยะค่ะ สำหรับด้านของประสิทธิภาพส่วนตัวมองว่าตัวนี้ค่อนข้างโอเคในแง่ของจุดด่างดำ และความกระชับ firm และเด้งของผิวค่ะ โดยรวมค่อนข้างชอบเลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์

 

คะแนน omg

 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ OMG ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Line@: @ohmyglam.skincare

Facebook: ohmyglam.skincare

Instagram: ohmyglam.skincare

Mail: ohmyglam.official@gmail.com

Tel: +66-6-5391-4544

วันนี้คงต้องขอตัวกันไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ OMG การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ครีมบำรุงผิวใต้วงแขน จาก Maricha กับ Maricha organic underarm

สวัสดีค่ะทุกท่าน

วันนี้มี่มีรีวิวสกินแคร์สำหรับบำรุงผิวใต้วงแขนมาฝากกันนะคะ

เชื่อว่ามาถึงจุดนี้ หลายๆคนอาจจะคิดว่า เราจำเป็นต้องบำรุงผิวใต้วงแขนด้วยเหรอ?

 

คำตอบคือ ใช่ค่ะ

 

เพราะว่า ผิวใต้วงแขนของเรานั้นต้องสัมผัสกับพวกโรลออนกับสเปรย์ระงับเหงื่อ ระงับกลิ่นกาย ซึ่งมักจะมีค่า pH เป็นกรด และ ตัวสารที่ระงับเหงื่อ มีคุณสมบัติไปฉาบปิดรูต่อมเหงื่อ ก็อาจจะทำให้เกิดการระคายเคืองได้ ด้วยเวลาที่จำกัดหลายๆคนก็มักจะไม่ได้โฟกัสกับล้างรักแร้ก่อนนอน แต่ถ้าล้างมากเกินไป ก็แห้งอีก

 

ดังนั้นการมีสกินแคร์บำรุงซักชิ้น ก็น่าจะช่วยให้ผิวใต้วงแขนของเราแลดูเรียบเนียน สีผิวสม่ำเสมอ รวมไปถึงดูแลพวกปัญหาผิวแห้ง แดง คัน และปัญหารอยเหี่ยวย่น

 

ส่วนตัวมี่เองก็พึ่งได้สัมผัสกับครีมบำรุงผิวใต้วงแขนมาตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว ตอนนี้ก็ได้ลองใช้มาหลายชิ้น ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากต่างประเทศและของไทย วันนี้เลยขอหยิบยกเอาสกินแคร์ใต้วงแขนของไทยชิ้นหนึ่งที่เขาทำได้ค่อนข้างดีมารีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันค่ะ

ครีมบำรุงผิวใต้วงแขนวันนี้มาจากแบรนด์ Maricha มีชื่อว่า Maricha organic underarm ค่ะ

 

รีวิวกันตั้งแต่แกะกล่องกันเลย พอเราแกะกล่องก็เกิดความรู้สึกประทับใจแรก เรียกได้ว่ามีความใส่ใจกันตั้งแต่ขั้นตอนการห่อ การแพคลงกล่องเลยนะคะ

ma 1

ตัวครีมมาในกล่องสีขาว ที่มีหน้าตาเป็นประมาณนี้นะคะ

ma 2

ด้านในเป็นขวดแบบปั๊ม

ma 4

เนื้อเป็นเนื้อแบบครีม

ma 5

กลิ่นละมุนๆ เนื้อเบา เกลี่ยง่าย ซึมไวไม่เหนอะหนะ ตอนใช้จริงเอาลงใต้วงแขน เหงื่อออกก็ไม่ได้เยิ้ม หรือรู้สึกแฉะจั๊ก หรือลื่นๆเป็นเมือกแต่อย่างใดนะคะ

ma 6

ก่อนไปดูส่วนผสมอยากอวดด้านหลังกล่องซักหน่อยค่ะ

เรียกได้ว่าทำมาได้ดี แลดูสวยงามมีมาตรฐานสูงไม่แพ้ของนอกเลยจริงๆ

ma 3

มาทั้งทีไม่วิเคราะห์ส่วนผสมคงไม่ได้

 

ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์นี้เป็นดังนี้ค่ะ

สผส Maricha

จากส่วนผสม ในภาพรวมนางมาในเบสแบบอิมัลชั่นนะคะ มีส่วนผสมของน้ำกับน้ำมัน ไม่มีแอลกอฮอล์และซิลิโคน ตัวสารบำรุงและ Emulsifier (ตัวเชื่อมผสานน้ำกับน้ำมัน) มีความพยายามในการเลือกกลุ่มของสารสกัดจากธรรมชาติ และสารที่ดัดแปลงจากธรรมชาติ อย่างตัว Olive ต่างๆ ได้จากการดัดแปลงมาจากน้ำมันมะกอกค่ะ

 

ในด้านของการใช้น้ำหอม ทางแบรนด์เลือกเป็นน้ำมันหอมระเหยจากพืชหลายชนิด (ตามที่มีแสดงไว้ในส่วนผสมสีเขียวนะคะ) เอามาเบลนด์ผสมรวมกัน ซึ่งในทาง Aromatherapy ถือว่าน้ำมันหอมระเหยเหล่านี้มีคุณสมบัติในการดูแลผิวด้วยค่ะ อย่างน้ำมันบางตัวก็มีคุณสมบัติในการระงับเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งประเด็นนี้มองว่าน่าจะลดการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ได้

 

ส่วนสารบำรุงอื่นๆ ก็เลือกมาได้ค่อนข้างดีนะคะ เราลองมาดูสารบำรุงที่น่าสนใจกันค่ะ

  • สีม่วง เป็นน้ำคั้นจากใบของ Witch hazel และ สารสกัดจาก Witch hazel ซึ่งมีประกอบด้วยสารในกลุ่ม Tannin ที่มีคุณสมบัติควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน ผ่านกลไกที่เรียกว่า Astringent (ภาษาไทยแปลว่าฝาดสมาน คือมองว่าแปลแล้วก็ไม่ได้สื่ออะไรอ่ะ เอาเป็นว่า Tannin พวกนี้เป็น Astringent ไปตกตะกอนโปรตีนบางชนิดแล้วกันค่ะ) อันนี้ อาจจะระงับการเกิดเหงื่อได้
  • สีส้ม คือ น้ำมันจากอาร์แกน ซึ่งทดแทนไขมันจำเป็นให้แก่ผิวใต้วงแขน ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น
  • สีฟ้า เป็นวิตามินอี ซึ่งเป็น Antioxidant
  • สีชมพู เป็นสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งเรียกได้ว่ามีอยู่หลายตัวเหมือนกันค่ะ มี่ขอหยิบยกเอาตัวที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังนะคะ
    • Bisabolol เป็นสารที่แยกได้จากคาโมมายล์ มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง
    • Opuntia ficus-indica extract อันนี้อาจจะเป็นสารสกัดจากกระบองเพชร Nopal cactus คิดว่าน่าจะเป็นตัวเดียวกับที่นำเข้ามาจากสวิตเซอร์แลนด์ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารนี้ให้ผลลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น
    • Biosaccharide gum-1 เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวได้ค่อนข้างนาน ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่ามีคุณสมบัติลดการอักเสบระคายเคือง
    • Biosaccharide gum-2 เป็นคาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ เป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตของน้ำตาล Rhamnose กับน้ำตาลอื่นๆ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าสารนี้ให้ประโยชน์โดยการทำหน้าที่เป็น Glyco-messenger ติดต่อสื่อสารระหว่างเซลล์ผิวให้คุณสมบัติในเชิงการลดการอักเสบระคายเคือง และลดภาวะ Stress ของผิว
    • น้ำตาล Rhamnose และ น้ำตาล Glucose มีประโยชน์ในเชิงการเพิ่มความชุ่มชื้น
    • Palmaria palmata extract คือ สารสกัดจากสาหร่ายสีแดงชนิดหนึ่ง มีรายงานการวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant (Food Chem Toxicol. 2005; 43(7):1073-81.) เข้าใจว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบ Whitonyl ของฝรั่งเศส ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า ประกอบด้วยสารในกลุ่ม oligosaccharides ซึ่งมีคุณสมบัติในเชิง Whitening โดยไปขัดขวางการสร้างเม็ดสี และขัดขวางการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปด้านนอก
    • Elettaria cardamomum seed extract คือ สารสกัดจาก Cardamom ที่เป็นเครื่องเทศชนิดหนึ่ง ตรงนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็นวัตถุดิบ Extrapone® Cardamom จากบริษัท Symrise ประเทศฝรั่งเศส ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า มีคุณสมบัติในการระงับเหงื่อ และมีคุณสมบัติในการระงับเชื้อแบคทีเรีย จึงให้ประโยชน์ในเชิงด้านของการระงับเหงื่อ และป้องกันการเกิดกลิ่นกายไปพร้อมๆกัน

 

โดยรวมถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่ทำมาได้ค่อนข้างดี และลงตัวมากๆ สำหรับการดูแลผิวใต้วงแขนค่ะ และที่สำคัญคือ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลย

 

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง ในด้านของสารบำรุง เน้นไปที่คุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคือง และเสริมความชุ่มชื้นให้ผิว ตามมาด้วยคุณสมบัติในเชิงของ Whitening และ ระงับเหงื่อ ป้องกันการเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดีและตอบโจทย์สำหรับการเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงใต้วงแขน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ เน้นไปที่สารธรรมชาติ และสารที่ดัดแปลงมาจากธรรมชาติ ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว จึงไม่มีที่ให้หักคะแนน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบเนื้อครีมและกลิ่นของเขานะคะ ในด้านของความชุ่มชื้น ตรงนี้ต้องยอมรับว่าเขาทำมาได้ค่อนข้างดี – ดีมากเลย เรื่องการลดการเกิดเหงื่อ ถ้าสังเกตระหว่างวัน ก็ต้องยอมรับว่าเมื่อใช้ไปซักระยะ วงแขนจะเปียกลดลง ส่วนเรื่องกลิ่นตัวมี่ไม่ค่อยมีปัญหาด้านนี้ เลยไม่เห็นความแตกต่างก่อนและหลังใช้ค่ะ ส่วนด้าน Whitening มี่พึ่งใช้ได้ราวๆ 2 สัปดาห์เลยอาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ โดยรวมขอให้คะแนนความชอบไป 5 ฟลาสก์

คะแนน

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Maricha นะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

 

ส่วนวันนี้คงต้องลากันไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสหน้า สวัสดีค่ะ

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Maricha การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Beauty Talks] หลักการพื้นฐานในการสรรสร้าง Skincare regimen

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มาเล่าให้ฟังในเรื่องของหลักการพื้นฐานในการสรรสร้าง Skincare regimen เพื่อผิวเรานะคะ

ปกติแล้วเราจะแบ่งเครื่องสำอางที่ใช้กับผิวพรรณเป็น 4 หมวด ตามวัตถุประสงค์ในการใช้งานค่ะ

ได้แก่

  1. Clean: หมายถึงกลุ่มที่ใช้ในการทำความสะอาด เช่น พวก Cleansing water, เจล และโฟมล้างหน้า
  2. Care: เป็นกลุ่มที่ใช้ในการบำรุงผิว
  3. Protect: เป็นกลุ่มที่ใช้ในการปกป้องผิว เช่น กันแดด สกินแคร์ต่อต้านมลภาวะ
  4. Decorate: เป็นกลุ่มของเครื่องสำอางที่ใช้ในการตกแต่ง ได้แก่ พวกเมคอัพต่างๆ

 

ซึ่งในการใช้งานเราก็จะเรียงตาม 1-4 เลยค่ะ

ส่วน Skincare regimen ก็คือการจัดเรียงขั้นตอนการดูแลผิวของเรานั่นเอง

 

ทีนี้เรายังสามารถแบ่ง Skincare regimen ได้เป็น 2 หมวด คือ

  1. การดูแลผิวแบบพื้นฐานในทุกๆวัน ที่เราเรียกว่า Routine care
  2. การดูแลผิวในโอกาสพิเศษ หรือการดูแลผิวแบบที่ไม่ได้ทำทุกวัน เรียกว่า Special care เช่นพวก มาสก์ สครับ พีลลิ่ง ต่างๆ

 

ตามภาพนะคะ

skincare regimen

สำหรับขั้นตอนการทำความสะอาด การปกป้อง และการแต่งหน้า ก็ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่ที่ซับซ้อนและยากกว่า คือ ขั้นตอนในการบำรุงผิวของเรานั่นเองค่ะ

 

ปกติเราจะเรียงจากเนื้อสัมผัส หรือ เนื้อเบส หรือ ส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ โดยเรียงจากสกินแคร์ที่มีน้ำเยอะ (Hydrophilic, water-based) ซึ่งจะมีเนื้อเบา ไปหาสกินแคร์ที่มีน้ำมันเยอะ (Lipophilic, oil-based) ซึ่งจะมีเนื้อที่หนักกว่าค่ะ

โดยมี่ได้ลิสท์ความหนักเบาของเนื้อเครื่องสำอางให้ตามภาพค่ะ

skincare regimen 2

 

ทีนี้อาจจะเป็นการยากสำหรับมือใหม่ ถ้าจะต้องมานั่งแกะ นั่งอ่านส่วนผสมเนาะ ว่าอันไหนน้ำเยอะ อันไหนน้ำมันเยอะ มี่แนะนำวิธีการกะง่ายๆ โดยอาศัยความรู้สึกของผิวเราเลยค่ะ

อาศัยหลัก “My skin, My rules” ผิวชั้นเรื่องของชั้น

  1. ลองทาสกินแคร์ต่างๆลงบนผิว แล้วใช้ความรู้สึกที่สัมผัสได้ว่าอันไหนเบากว่า ก็ลงอันนั้นก่อน
  2. สกินแคร์ที่มีน้ำเยอะ เวลาทาจะรู้สึกเย็น สกินแคร์ที่มีน้ำมันเยอะ เวลาทาจะรู้สึกอุ่น

 

สำหรับการสร้าง Skincare regimen อาจสรุปง่ายๆได้ตามแผนภาพนี้นะคะ

skincare regimen 3

หลักจากบำรุงเสร็จ

  • ถ้าเป็นกลางวัน: ทากันแดด – แต่งหน้าตามปกติ
  • ถ้าเป็นกลางคืน: อาจเสริม Sleeping pack

 

Disclaimer: บทความนี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ส่วนตัว ทั้งทางตรงและทางอ้อม และการอ่านจากบทความและ Blog ของต่างประเทศ ไม่มีหลักฐานทางวิชาการรองรับแบบแน่ชัด โปรดใช้วิจาณญาณในการรับชม และขอสงวนลิขสิทธิ์ในบทความทุกประการ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม เซรั่มเพื่อชะลอวัยสำหรับวัย Pre-agers จาก DNAh กับ Absolute bright serum age defense

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ DNAh (ดีนะห์) มาให้ได้ชมกันอีกแล้วค่ะ

ถ้าพูดถึงแบรนด์ DNAh มี่เคยรีวิวผลิตภัณฑ์ของเขาไว้หลายชิ้นเหมือนกันนะคะ

อย่างกันแดดก็น่าสนใจ >>Link รีวิวกันแดด DNAh<<

หรือ Sleeping pack หรือ มาส์กหน้าก่อนนอนก็ดูดีใช่เล่น >>Link รีวิวมาส์กหน้า DNAh<<

 

วันนี้ถึงคิวของเซรั่มที่มีชื่อว่า Absolute bright serum ค่ะ

ซึ่งเป็นเซรั่มที่ออกแบบมาเพื่อกลุ่ม Pre-agers หรือ กลุ่มวัยรุ่นที่กำลังจะก้าวข้ามวัยไปสู่วัย 30+ ที่จะเริ่มแก่นั่นเองค่ะ

เซรั่มตัวนี้นอกจากจะให้ประโยชน์ในเชิง Whitening แล้ว ยังมีประโยชน์เสริมในด้านของการต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัยด้วยค่ะ ดังจะเห็นได้จากคำว่า “Age defense” บนขวด

 

เรามาดูผลิตภัณฑ์กันดีกว่าค่ะ

ตัวเซรั่มบรรจุมาในขวดปั๊มอคริลิก ที่มีหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

se 1

เนื้อเซรั่มมาในลักษณะแบบใส มีกลิ่นหอมจางๆ

se 2

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะค่ะ

se 3

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ ถือว่าใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

se 4

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สผส serum new

วันนี้มี่ทำส่วนผสมไว้ 5 สีเลยทีเดียวค่ะ

เรียงไปทีละสีเลยนะคะ

  • สีม่วง Rosa damascena callus culture extract สารสกัดจากเซลล์เพาะเลี้ยงของดอกกุหลาบมอญ ซึ่งเป็นกุหลาบที่มีคุณค่าในเชิงเครื่องสำอาง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่ามีคุณสมบัติเด่นในด้าน Whitening รองลงมาคือเป็น antioxidant ช่วยในการชะลอวัย และมีประโยชน์ในด้านลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • สีชมพู สูตรผสมของ Malva Sylvestris Extract (and) Alchemilla Vulgaris Extract (and) Melissa Officinalis Extract (and) Mentha Piperita Extract (and) Veronica Officinalis Extract (and) Achillea Millefolium Extract (and) Primula Veris Extract รู้จักกันในนาม Alpaflor Gigawhite เป็นสารสกัดจากพืช 7 ชนิด จากเทือกเขาแอลป์ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าให้คุณสมบัติเป็น Whitening โดยผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวการสร้างเม็ดสีผิว ทางผู้ผลิตได้ทดสอบในอาสาสมัครชาวเอเชีย พบว่ามีประโยชน์ช่วยให้ผิวดูขาวกระจ่างใส และลดเลือนจุดด่างดำตามอายุ (Age spot)
  • สีน้ำเงิน น้ำมันจากอาร์แกน มีประโยชน์ในด้านความชุ่มชื้น และทดแทนไขมันให้แก่ผิว
  • สีฟ้า เป็นสารที่ให้ประโยชน์ในเชิง Whitening ได้แก่
    • Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 มีประโยชน์กับผิวมากมาย ทั้งในเชิงความแข็งแรงของผิว ลดการอักเสบระคายเคือง และ Whitening
    • Tranexamic acid เป็นสารที่มีประวัติการใช้ในเชิงยาต้านการแข็งตัวของเลือด แต่มีผลข้างเคียงทำให้ผิวขาวขึ้น ทางเครื่องสำอางเลยเอามาวิจัยต่อ พบว่า.) มีรายงานว่า Tranexamic acid สามารถยับยั้ง Plasmin ปกติ Plasmin เป็นตัวตั้งต้นก่อนจะไปกระตุ้นฮอร์โมน alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวแม่ ที่ไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซท์ ทำงานได้ดีมากขึ้น (Active มากขึ้น) ก็สร้างเมลานินออกมาได้มากขึ้น (J Am AcadDermatol 2011;October:699-714.)
  • สีเขียวเป็นสารบำรุงอื่นๆ มีอยู่หลายตัวเลยทีเดียว ที่น่าสนใจได้แก่
    • สารสกัดจากไข่ปลาคาเวียร์ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารสกัดจากคาเวียร์ประกอบด้วยวิตามินและสารอาหารหลายชนิด ให้ประโยชน์ในเชิงด้านความชุ่มชื้น และชะลอวัยลดริ้วรอย
    • Sophora flavescens extract มีรายงานว่าสารสกัดจากส่วนรากมีคุณสมบัติในการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และ ลดการสร้างโปรตีนที่เป็นส่วนประกอบของ ถุงเก็บเมลานิน ที่มีชื่อว่า Melanosome และโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก (Pharm Biol. 2013;51(11):1467-76.)
    • สูตรผสมของ Lactobacillus/Soybean Ferment Extract (and) Saccharomyces/Viscum Album (Mistletoe) Ferment Extract (and) Saccharomyces/Imperata Cylindrica Root Ferment Extract มีชื่อทางการค้าว่า Natural HG ของเกาหลี ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่ามีประโยชน์เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง ช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว
    • Artemia extract น่าจะหมายถึงสารสกัดจาก Artemia Salina ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลที่อยู่ในกลุ่ม Brine shrimp ผลการทดสอบในระดับหลอดทดลองของผู้ผลิตวัตถุดิบรายงานว่า วัตถุดิบนี้ช่วยเสริมการสร้างโปรตีน Keratin ของผิว ปกป้องผิวจากความเครียด รังสี UVB และ Infrared รวมถึงเสริมการสร้างคอลลาเจนของผิว จึงมีประโยชน์ไปในเชิงด้านการปกป้องผิว และชะลอการเกิดริ้วรอย

 

ตัวเซรั่มมาในเบสน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคนและไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

 

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง เป็นเซรั่มที่เสริมสารบำรุงมาหลายชนิด ให้ประโยชน์ที่ดีแก่ผิวในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเชิง Whitening, anti-aging ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น ให้ความรู้สึกสบายผิว ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างครบ สยบเกือบทุกปัญหาผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ตัวเซรั่ม มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน ซิลิโคน และสารอื่นๆที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีจุดให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน เนื้อเซรั่มค่อนข้างบางเบา ซึมซาบไว ไม่เหนอะหนะ อาจจะมีกลิ่นจางๆของวัตถุดิบติดมาบ้าง แต่ก็ถือว่าทำมาได้ดีนะคะ ส่วนในด้านการใช้งาน ช่วงแรกๆที่ใช้จะสัมผัสได้ถึงด้านความชุ่มชื้น ผิวนุ่มฟู และดูละเอียดขึ้น ส่วนในด้าน Whitening จะเริ่มตามมาที่ป่ระมาณ 2 – 3 สัปดาห์หลังใช้ค่ะ เหมาะกับพวกจุดด่างดำตามวัย รวมถึงพวกรอยดำต่างๆ ส่วนด้านริ้วรอย ช่วงนี้ผิวมี่ไม่ได้มีปัญหานี้เลยยังตอบไม่ได้ แต่ดูจากส่วนผสมแล้ว ถือว่าเขาทำมาได้ดีอยู่ สำหรับคนผิวแห้งมากๆ ตัวนี้ตัวเดียวอาจจะยังไม่พอ ต้องหามอยส์เจอไรเซอร์อื่นมาเสริมทับอีกชั้นหนึ่ง ส่วนคนผิวมัน คิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไรนะคะ จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์

 

คะแนน

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DNAh ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเฟสบุคของแบรนด์ DNAh ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/deenahthailand

ช่องทางการจำหน่าย

เพจ DNAh

Line @ : DNAhThailand

qr

 

Shop store :ร้านยา ฟาร์มาคาเฟ่ จ.เชียงใหม่

 

สำหรับวันนี้ก็ขอลากันไปแค่นี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DNAh การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ