Image

ไม่ใช่แค่ 1 แต่มาเป็นคู่ รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มคู่หูดูแลปัญหาริ้วรอย Matrix serum PE และ Retinol serum จากแบรนด์ Kisocare ประเทศญี่ปุ่น

เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้รู้จักกับแบรนด์ Kisocare เป็นแบรนด์จากญี่ปุ่น มาในสายสกินแคร์เรียบง่ายแต่พัฒนาสูตรมาด้วยความเอาใจใส่ ทุกอย่างอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ และมีการเลือกใช้ส่วนผสมใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

โดยส่วนตัวเองก็มีโอกาสได้ลองสินค้าของทางแบรนด์หลายๆ ชิ้น ใน Blog นี้จะเป็นการหยิบเอา 2 ชิ้นที่คิดว่า ใช้คู่กันแล้วเสริมกันแบบลงตัวมาก มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมกัน

โดยเป็นคู่ของ Matrix serum PE + Retinol serum ที่เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกัน

ซึ่งเราจะเริ่มกันที่ตัว Matrix serum ซึ่งเป็น peptides เบลนด์ ใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น

มาในหน้าตาแบบนี้นะคะ

เซรั่มเป็นเบสแบบน้ำใส ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ ให้สัมผัสที่ชุ่มชื้น และเย็นสบายผิว

ในด้านส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวมเป็นเซรั่มเปปไทด์ที่เสริม antioxidant จากวิตามินซี มาในเบสแบบน้ำ

ส่วนผสมของสารบำรุงขอเริ่มที่หมวดเปปไทด์ก่อน

  • คอมบิเนชั่นของ Palmitoyl tetrapeptide-7 + Palmitoyl tripeptide-1 รู้จักกันในนาม Matrixyl 3000 ซึ่งมีข้อมูลเด่นๆ ในด้านของการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนหลายๆ ชนิดในผิว เช่น Collagen I ที่เป็นตัวหลักในด้านกระชับ เฟิร์ม แข็งแรง ร่วมกับ Collagen IV + VII และ Nidogen I ที่ฟอร์มคอมเพล็กส์ร่วมกัน อุ้มเอารอยต่อชั้นหนังกำพร้า-หนังแท้ (DEJ) เอาไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยลึก และช่วยซัพพอร์ตการจัดเรียงตัวของเส้นใย matrix ให้ผิวกระชับแน่น (Ref: TDS Matrixyl 3000)
  • Acetyl hexapeptide-8 เป็น neuropeptide ที่ช่วยคลายริ้วรอยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น มีวิจัยรองรับอยู่ (Am J Clin Dermatol 2013;14:147–153.)
  • Pentapeptide-18 ตัวนี้เป็น neuropeptide อีกตัว ที่เสริมกันกับ Acetyl hexapeptide-8 ในการดูแลริ้วรอยต่างๆ และพวกริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า (expression line) ได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งได้ประโยชน์ในด้านผิวชุ่มชื้น ตัวนี้มีวิจัยรองรับอยู่ถึงประสิทธิภาพในการดูแลปัญหาริ้วรอย (Cosmetics. 2014;1(2): 75-81.)

คอมบิเนชั่นของ Acetyl hexapeptide-8 + Pentapeptide-18 มีชื่อเรียกในวงการว่า Argirelox

ถัดมาเป็น Sodium ascorbyl phosphate ที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ เป็น antioxidant ที่ดี มีประโยชน์ในเชิง whitening และมีประโยชน์เสริมในการดูแลปัญหาสิว

เสริม Hya ที่ช่วยดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิว

ตัวถัดมาเป็นเซรั่มเรตินอล ซึ่งทำมาได้ดีไม่แพ้กันค่ะ

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

รุ่นนี้มีเคลมว่าใช้เรตินอล 0.1% มาในสูตรอ่อนโยน แต่ด้วยความเป็นเรตินอล เราจะใช้แค่ตอนกลางคืน

เนื้อเซรั่มมาในเบสแบบน้ำ สีเหลืองตามธรรมชาติของเรตินอล ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไวไม่เหนอะหนะ เนื้อค่อนข้างเบาสบายผิว

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในภาพรวมน้องมาในเบสแบบน้ำ มีส่วนผสมของน้ำมันบำรุงผิวอยู่นิดหน่อย

ในกลุ่มของวิตามินเอ มีด้วยกัน 6 อนุพันธ์ บางตัวเป็นฟอร์มที่หาพบในสกินแคร์ได้ยาก และมีราคาสูง

  • Retinol ฟอร์มธรรมชาติ มีประโยชน์ในการดูแลผิวหลายประการ ตั้งแต่เรื่องปรับสมดุลการสร้าง-ผลัดออก ให้ผิวแข็งแรง กระชับ ดูแลปัญหาผิว ริ้วรอย ชะลอวัย แต่ตอนจะออกฤทธิ์ต้องแปรสภาพในผิวก่อน
  • Hydroxypinacolone retinoate หรือ HPR ตัวนี้มีข้อมูลจากผู้ผลิตว่าอ่อนโยนกว่า Retinol ให้ประโยชน์เหมือนกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่าสามารถออกฤทธ์ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการแปรสภาพ
  • Retinyl palmitate เป็นเอสเทอร์ของเรตินอล ต้องถูกแปรสภาพเป็น Retinol ก่อน แต่ข้อดีคือ เป็นเหมือนสต็อคให้เรตินอล ผิวจะค่อยๆ เปลี่ยนมา และมีโอกาสระคายเคืองน้อยกว่า Retinol
  • Hydrogenated retinol เป็นเรตินอลที่ดัดแปลงโครงสร้างให้เป็นสารอิ่มตัว มีข้อมูลว่า มีความคงตัวมากขึ้น การระคายเคืองผิวน้อยลง มีสิทธิบัตรญี่ปุ่นพูดถึง Hydrogenated retinol ว่าสามารถเสริมการสร้าง Hyaluronic acid ตามธรรมชาติในผิว ให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มนวล และดูแลปัญหาริ้วรอย (Ref: JP2006193427A)
  • Tocopheryl retinoate เป็นลูกผสมระหว่างวิตามินเอ-อี มีคุณสมบัติเป็น antioxidant เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน และมีการระคายเคืองน้อยลง
  • Sodium retinoyl hyaluronate เป็นลูกผสมของวิตามินเอ-ไฮยา มีเคลมว่าดูดซึมได้ดีขึ้น ลดการระคายเคือง และช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

เสริมไฮยาเข้ามาหลายฟอร์มเพื่อดูแลเรื่องความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ตัวที่น่าสนใจคือ Sodium hyaluronate crosspolymer-2 ซึ่งเป็นไฮยาตัวใหญ่มาก สร้างตัวเป็นฟิล์มที่แข็งแรงบนผิว ให้ผิวนุ่มนวล และชุ่มชื้น ช่วยเก็บน้ำให้ผิว (moisture retention)

ในส่วนของ antioxidant มีการเสริมวิตามินอี ร่วมกับสารสกัดจากชาเขียว โรสแมรี่ และดูแลการระคายเคืองด้วยสารสกัดจาก cica, scutellaria, polygonum และชะเอม

มาให้คะแนนกัน

Blog นี้ขอให้คะแนนของ Retinol serum นะคะ

  1. สารบำรุง มีวิตามินเอและอนุพันธ์ รวมๆ กัน 6 ฟอร์ม ซึ่งบางฟอร์มหาได้ยากและมีราคาสูง ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้ลองวิตามินเอฟอร์มใหม่ๆ เสริมไฮยาหลากหลายชนิด ที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้น พร้อมไฮยาที่ก่อฟิล์มช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้มากขึ้น มี Antioxidant และมีสารที่ดูแลการระคายเคือง โดยจะเน้นเป็นพวกสารสกัดจากพืช ซึ่งมีวิจัยซัพพอร์ตอยู่ ถ้านับแค่ความเป็น Retinol serum ก็คือสมบูรณ์แบบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว และมาในเบสแบบน้ำ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวค่อนข้างชอบความเป็นเบสน้ำของผลิตภัณฑ์ ใช้งานง่าย เลเยอร์ลงสกินแคร์รูทีนได้ง่าย จะเสริมน้ำตบเซราไมด์ของแบรนด์ก็คือจอยอยู่นะฟินไม่แพ้กัน หรือเอามาทำ retinol sandwich คู่กับมอยส์ที่มีอยู่ก็จอยไม่แพ้กัน ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Kisocare สาขาประเทศไทย ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตา ได้ลองวิตามินเอฟอร์มที่หาตัวจับยาก และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/kisocare.thailand

IG: https://www.instagram.com/kisocare.thailand/

แนบลิงค์ช้อปปิ้ง

Matrix serum PE

Shopee https://s.shopee.co.th/40YA0Fiu9F

Lazada https://s.lazada.co.th/s.ZaExmP?cc

Retinol serum

Shopee https://s.shopee.co.th/7KobyIuImD

Lazada https://s.lazada.co.th/s.ZaEx9U?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Kisocare การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่ม Snail retinol ขั้นกว่าของเรตินอล คือ เรตินอลผสมเมือกหอยทาก จาก Dr.G

Blog นี้ขอมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่ม Retinol จากแบรนด์ Dr.G กัน

น้องเป็นเซรั่มเรตินอลที่ผสมเมือกหอยทากลงไปด้วย เอาจริงๆ คือ เมือกหอยทากนี่เหมือนจะดูเอาท์ แต่ว่ามันก็มีงานวิจัยอยู่หลายฉบับที่บอกว่าเมือกหอยทากที่นำมาจากหอยทากสายพันธุ์ Cryptomphalus aspersa มีประโยชน์ในการดูแลผิวหลายประการ และมีการทดสอบในอาสาสมัครถึงประสิทธิภาพด้านริ้วรอยอยู่ เมื่อเอามาจับมือกับเรตินอล เลยกลายเป็นคู่หู perfect pair ที่น่าสนใจอีกคู่หนึ่ง

เซรั่มมาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ส่วนกล่องเราแอบประทับใจตรงที่มีอักษรเบรลล์พิมพ์ปั๊มนูนอยู่ด้วย อันนี้คือน่ารักมากอ่ะ

ตัวผลิตภัณฑ์นี้เคลมว่ามีการใช้เทคโนโลยี Double Liposome ซึ่งปกติ Liposome เป็นระบบการนำส่งแบบถุงผนังสองชั้นที่เตรียมจาก phospholipid เป็นสารหลัก มีการจัดเรียงโครงสร้างคล้ายเยื่อหุ้มเซลล์ เลยมีประโยชน์ในการเสริมการนำส่งสารบำรุงเข้าสู่ผิว

เนื้อเซรั่มสีออกครีมๆ มีกลิ่นหอม

เกลี่ยได้ง่าย ให้ความชุ่มชื้นสูง

ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในผู้หญิงอายุ 30 – 59 คน จำนวน 21 คน เป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยสถาบัน P&K Skin Clinical Research Center (Ref: Dr.G Korea Official Website) โดยทางนี้เลือกมา 2 parameters คือ ริ้วรอยบนหน้าผาก กับ ร่องแก้ม

พบว่า ให้ผลดีอยู่นะคะ โดยเมื่อให้กลุ่มอาสาสมัครหญิงอายุ 30 – 59 ใช้เป็นเวลา 4 สัปดาห์ อาสาสมัครจะมีริ้วรอยบริเวณหน้าผากตื้นขึ้น 108.7% และร่องแก้มตื้นขึ้น 128.3% คือถือว่าดีงามมาก

และก็มีอีกจุดที่ประทับใจ คือ เราไม่ค่อยเห็นว่ามีการทดสอบการเสริมฤทธิ์กันระหว่าง product อื่นในไลน์เดียวกัน เมื่อใช้ร่วมกัน แต่ Dr.G ทำค่ะ พบว่า ใช้ Ampoule คู่กับครีมได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นทั้งในด้านชุ่มชื้น ริ้วรอยรอบดวงตา ดูแลสีผิวไม่สม่ำเสมอ และในภาพด้านล่างคือ ผลการยกกระชับ (Lifting)

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ส่วนผสมก็คืออัดแน่นอัดฉ่ำตามสไตล์เกาหลี

ในด้านสารบำรุงก็มีอยู่หลายตัวเหมือนกัน

สำหรับกลุ่ม Retinoids จะมีด้วยกัน 2 ตัว คือ HPR กับ Retinol ซึ่ง HPR สามารถออกฤทธิ์ได้เลย และ Retinol เวลาลงผิวจะถูกแปรสภาพก่อน จึงจะออกฤทธิ์ได้

ประโยชน์ของ Retinoid ค่อนข้างกว้าง ตั้งแต่ปรับสมดุลการสร้าง-เจริญของผิวในหนังกำพร้า เสริมการสร้างคอลลาเจน และเส้นใยที่เป็นประโยชน์ในการดูแลด้านความกระชับ ผิวเรียบเนียน รวมไปถึงเรื่องปรับสมดุลความมัน ดูแลปัญหาสิว และได้ประโยชน์เรื่องปรับสมดุลเม็ดสีด้วยอีกทาง

ในส่วนของวิตามินและสารกลุ่มใกล้เคียงในตำรับ ได้แก่

  • Niacinamide ดูแลผิวได้หลายประการ ทั้งในด้านของสีผิว การระคายเคือง ผิวแข็งแรง
  • Tocopherol หรือ วิตามินอี เป็น antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน
  • Hydroxydecyl Ubiquinone มีอีกชื่อว่า Idebenone เป็นสารสังเคราะห์เลียนแบบ Coenzyme Q10 มีขนาดเล็กกว่า จึงมีการเคลมว่าดูดซึมได้ดีกว่า เป็น antioxidant อีกตัวที่ละลายได้ในไขมัน

สารที่มีประโยชน์อื่นในการดูแลด้านริ้วรอยและชะลอวัย ได้แก่

  • Snail secretion filtrate หรือ เมือกหอยทาก เป็นเหล้าเก่าในขวดใหม่ มีประวัติการใช้มาเนิ่นนาน มีงานวิจัยตีพิมพ์มาตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 2010s โดยในเมือกหอยทากจะประกอบด้วยสารในกลุ่ม Glycosaminoglycans (GAGs) ที่เด่นในเรื่องความชุ่มชื้น และมีประโยชน์อื่นๆ กับผิว อย่างข้อมูลที่มีจะเป็นทั้งในด้านของการสมานแผล, antioxidant, มีผลต่อการแบ่งตัวของ fibroblast จึงให้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย รวมไปถึงการดูแลสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ (mentioned in Nguyen et al. J Cosmet Dermatol. 2020;19(7):1555-1569.)
  • Dioscorea Japonica Root Extract สารสกัดจาก Glutinous yam ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่ามีคุณสมบัติเป็น antioxidant และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • Adenosine มีประโยชน์ในการดูแลปัญหาริ้วรอย
  • Ferulic acid เป็น antioxidant ที่ดี ข้อมูลจาก Systematic review (ซึ่งเป็นการรวบรวมงานวิจัยที่มีมาก่อนหน้ามาวิเคราะห์) ล่าสุดเมื่อเดือน พ.ค. 2025 กล่าวว่า Ferulic acid มีศักยภาพที่ดีในการนำมาใช้ในทางเครื่องสำอาง มีฤทธิ์ลดการอักเสบระคายเคือง เพื่อดูแลปัญหารอยแดง สีผิวไม่สม่ำเสมอ ยับยั้งเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยคอลลาเจน พร้อมๆ กับสนับสนุนการสร้างคอลลาเจนใหม่ จึงให้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย (Roux et al. J Clin Aesthet Dermatol. 2025;18(5):38-42.) และมีผลทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงว่า เมื่อใช้คู่กับ Retinol สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลปัญหา Photoaging และกระบวนการอักเสบ จากรังสี UVB ได้ (Aging (Albany NY). 2024;16(8):7153-7173.)
  • Palmitoyl Pentapeptide-4 เป็นเปปไทด์จากกรดอะมิโน 5 ตัว ที่มาจับกับกรดไขมัน palmitic เพื่อให้ดูดซึมได้ดีขึ้น มีประโยชน์ในการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน อิลาสติน และ Glycosaminoglycan ในผิว และมีโครงสร้างที่คล้ายกับ Precursor ของ Collagen type I ตัวนี้มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการรองรับ (Int J Cosmet Sci. 2005;27(3):155-60)

Soothing/Calming ดูแลการระคายเคืองด้วยส่วนผสมหลายชนิด เช่น Beta-glucan, Biosaccharide gum-1, Allantoin, Betaine และ Cica

เสริมไขมันที่เป็นน้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติ และมีคอลลาเจน + ไฮยา ที่เติมน้ำให้ผิว

ส่วนของเบสมาแบบซับซ้อน ให้เนื้อสัมผัสที่ดี แห้งไวแต่ยังคงชุ่มชื้นอยู่ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง เป็นเซรั่มที่เลือกเอาสารที่โดดเด่นในการดูแลริ้วรอย ชะลอวัย เข้ามาด้วยกัน ทั้งในส่วนของการเลือกใช้ Retinol + HPR มาจับคู่กับเมือกหอยทาก และ Ferulic acid มาพร้อมกับตัวที่ดูแลการระคายเคือง ไขมันทดแทนผิว และสารเพิ่มความชุ่มชื้น ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างครบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ในด้านเนื้อสัมผัสค่อนข้างทำมาได้ดี เกลี่ยง่ายให้ความชุ่มชื้นสูง ใช้แล้วสบายผิว แต่ส่วนตัวคิดว่ากลิ่นออกมาแรงไปนิดนึง แต่ก็ไม่เคยหักคะแนน้ำหอมนะ ส่วนในด้านประสิทธิภาพ ตัวเองก็ใช้เรตินอยด์มานานมาก ตัวนี้ก็คือเมนเทนผิวได้ดี ก็คือชอบ ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

แนบลิงค์ช้อปปิ้ง

Shopee https://s.shopee.co.th/AUjDnObWlc

Lazada https://s.lazada.co.th/s.BahvV?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเรตินอลสุดปัง Y.O.U Advanced retinol serum ด้วยนวัตกรรมส่วนผสม 2.0% Retinoid complex

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเรตินอลที่น่าสนใจ จาก Y.O.U Advanced retinol serum

โดยในซีรี่ส์นี้ทางดิฉันได้รับเกียรติจากแบรนด์ให้เป็น Product ambassador เอง และมีอีเวนท์เปิดตัวผลิตภัณฑ์ไปเมื่อ 11 มกราคม 2568 ที่ผ่านมานะคะ

ใน Blog นี้ เราจะมาดูความดีงามของเซรั่มตัวนี้กัน

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

ซึ่งขวดเป็นขวดปั๊มแบบ Airless ที่จะปกป้องเนื้อสูตรจากอากาศและเพิ่มความคงตัวให้แก่เนื้อสารได้ส่วนหนึ่ง และในการใช้งาน ตัวขวดจะกำหนดปริมาณที่เหมาะสมในการทา คือ 1 ปั๊ม ก็เพียงพอแล้ว

เนื้อเป็นกึ่งๆ เจลครีม

(หมายเหตุ ปริมาณในภาพเป็นเพียงการแสดงให้เห็นเนื้อสัมผัส กดออกมาไม่ถึง 1 ปั๊ม)

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไวไม่เหนอะหนะ มีกลิ่นหอมอ่อนๆ

ในด้านของเทคโนโลยีในซีรี่ส์ Advanced retinol นี้ ทางแบรนด์ Y.O.U ทำมาได้ค่อนข้างดี เรามาดูไปทีละประเด็นค่ะ

3X Retinoid complex เป็นการเลือกใช้ Retinoids 3 ฟอร์มมาเบลนด์กัน เพื่อให้ได้ประโยชน์ในการบำรุงได้ยาวนาน ได้แก่ Retinyl palmitate, Retinol และ Hydroxypinacolone retinoate (HPR) 

ภาพด้านล่างทำมาคร่าวๆ นะคะ

ประเด็นถัดมาที่น่าสนใจ คือ ตัว Retinol ที่ทางแบรนด์ใช้เก็บกักในแคปซูลชนิด Multi-layer เพื่อให้ปลดปล่อยเอาเรตินอลออกมาช้าๆ และเพื่อเสริมความคงตัวให้เรตินอล

หน้าตาแคปซูลประมาณนี้

การเก็บกักด้วยแคปซูลนี้ยังมีประโยชน์ในการเสริมการดูดซึม โดยทางแบรนด์ได้ทดสอบในผิวหนังมนุษย์ที่ตัดออกมาเลี้ยงในห้องทดลอง

อาสาสมัครหญิง อายุ 37 ปี

ทาตำรับ 3 ชนิด คือ ตำรับที่มีเรตินอล เซรั่ม Y.O.U และ ครีมเบส (Negative control) เป็นเวลา 8 ชั่วโมงตรวจหา Retinol ด้วยเทคนิค Raman spectroscopy 

สีน้ำเงิน คือ มี Retinol น้อย สีเข้าใกล้แดง คือ มี Retinol อยู่สูง

ก็เจอว่าเซรั่ม Y.O.U ดูดซึมได้ค่อนข้างดี

ส่วนผสมทั้งหมดเป็นดังนี้

ในภาพรวมเรียกได้ว่าสารบำรุงจัดมาค่อนข้างเต็ม และค่อนข้างครบสำหรับการเป็นเซรั่มสำหรับชะลอวัยที่ดีสักชิ้น

รายละเอียดสารบำรุงแต่ละตัวเป็นดังนี้

เริ่มที่กลุ่มของเรตินอล มีด้วยกัน 3 ฟอร์ม ดังเคลม 3X Retinoid complex ตามที่ได้นำเสนอไปด้านบน

  • Retinyl palmitate เป็นเรตินอลเอสเทอร์ ที่จับกับกรดไขมัน palmitic เวลาลงผิว ผิวเราจะย่อย ได้เป็น Retinol หรือ อาจจะเก็บไว้ก่อนก็ได้
  • Retinol ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่ามาในรูปแบบของไมโครแคปซูล เพื่อปกป้องไม่ให้น้องสลายตัว เรตินอลนี้เวลาจะออกฤทธิ์ต้องแปรสภาพ อารมณ์แบบ กลายร่าง 2 ขั้นตอนก่อน ก็จะใช้เวลานิดหน่อย ตั้งแต่ค่อยๆ ปล่อยออกมาจากแคปซูล จนค่อยๆ เปลี่ยนรูปไปก่อนออกฤทธิ์
  • Hydroxypinacolone retinoate หรือ HPR อันนี้พอจะมีข้อมูลอยู่ว่าออกฤทธิ์ได้เลย และประสิทธิภาพก็ไม่เบา พร้อมทั้งมีการระคายเคืองต่ำ

ประโยชน์ของเรตินอลในด้านเครื่องสำอาง ค่อนข้างกว้าง ทั้งในด้านของสิว ริ้วรอย ปรับสมดุลการสร้าง-เจริญ-ผลัดผิว เป็นที่ยอมรับในวงการ และมีงานวิจัยสนับสนุนค่อนข้างมากว่ามีประโยชน์

ขอยกมา 1 งานวิจัยที่ตัวเองรู้สึกชอบ และค่อนข้างชัดเจน ครอบคลุม คือ งานวิจัยของ Shao และคณะ เมื่อปี 2017 (Shao et al., Int J Cosmet Sci. 2017;39(1):56-65.) ตีพิมพ์ลงในวารสาร International Journal of Cosmetic Science ใช้อาสาสมัครที่มีอายุเฉลี่ย 76 ปี จำนวน 12 คน ให้ทาเรตินอล 0.4% ลงบริเวณก้น ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่โดนแสงเลย เป็นเวลา 7 วัน เทียบกับผลิตภัณฑ์เบส เพื่อตัดผลรบกวนจาก UV ในการศึกษาประสิทธิภาพด้าน Anti-aging ของเรตินอล

พบว่า

  • ผิวหนังชั้น Epidermis (หนังกำพร้า) มีความหนาตัวเพิ่มขึ้น โดยมีการแบ่งตัวของเซลล์ Keratinocyte เพิ่มขึ้น
  • ปริมาณเส้นใย Extracelular matrix (ECM) ในชั้นหนังแท้เพิ่มขึ้น โดยไปกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้าง collagen, fibronectin และ elastin ออกมา
  • การไหลเวียนของเลือดมาเลี้ยงผิวดีขึ้น ผ่านการกระตุ้นการสร้างเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด (Endothelial cells)

ก็คือครบเลยทั้งผิว ได้หมด

ถัดมา มี Retinol แล้ว มาดู Anti-aging อื่นในสูตรบ้าง

  • Carnosine เป็น Dipeptide ที่มีฤทธิ์ Antioxidant และต่อต้านกระบวนการ Glycation ซึ่งหมายถึง ปฏิกิริยาที่น้ำตาล เช่น กลูโคส ไปจับกับโปรตีน เช่น คอลลาเจน แล้วเกิดการเรียงโครงสร้างจนได้ผลิตภัณฑ์สุดท้าย เรียกว่า Advanced glycation end products; AGEs ตัวนี้ทำให้การทำงานของโปรตีนเดิมเสื่อมไป เช่น ถ้าเป็นคอลลาเจน ก็ขาดความกระชับเหมือนคอลลาเจนฟอร์มธรรมชาติ และยังไปกระตุ้นตัวรับจำเพาะ เรียก Receptors for AGEs หรือ RAGEs ส่งผลให้เกิดการปลดปล่อยอนุมูลอิสระ และไปเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบผ่านระบบ NF-kB (Cell Mol Biol (Noisy-le-grand). 1998 Nov;44(7):1013-23.)
  • Bakuchiol เป็น Phytoretinol ที่ได้จากธรรมชาติ มีการออกฤทธิ์คล้ายเรตินอล คือ เด่นในแง่ของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย รวมถึงดูแลปัญหาสิว

Peptides ต่างๆ และคอลลาเจน

  • Oligopeptide-1 หรือ Epidermal growth factor (EGF) ตัวนี้เด่นในด้านของการเสริมการแบ่งตัวของผิวในชั้นหนังกำพร้า
  • Acetyl hexapeptide-8 คลายริ้วรอยให้จางลง
  • Palmitoyl Pentapeptide-4 หรือ Pal-KTTKS มีประโยชน์ในการเสริมสังเคราะห์คอลลาเจน อิลาสติน และ Glycosaminoglycan ในผิว และมีโครงสร้างที่คล้ายกับ Precursor ของ Collagen type I ตัวนี้มีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารทางวิชาการรองรับ (Int J Cosmet Sci. 2005;27(3):155-60)
  • Hexapeptide-9 เป็นสารในกลุ่ม signaling peptide ที่ทำหน้าที่ส่งสัญญาณให้ผิวเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนชนิดต่างๆ รวมถึงโปรตีนต่างๆในชั้น Dermis และเพิ่มการยึดเกาะของเซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า ให้แข็งแรงมากขึ้น
  • Acetyl Tetrapeptide-9 เสริมกระบวนการสร้าง Lumican ซึ่งเป็นเส้นใยบริเวณรอยต่อของชั้นหนังกำพร้ากับหนังแท้ และเสริมการสร้างคอลลาเจน
  • Acetyl Tetrapeptide-11 เสริมกระตุ้นการสังเคราะห์ Syndecan-1 ซึ่งเป็นสารที่มีผลเกี่ยวกับการทำงาน การสื่อสารระหว่างเซลล์ และการเกาะติดกันของเซลล์ นอกจากเรื่องผิวกระชับ ยืดหยุ่น ยังได้ประโยชน์ในเรื่องของผิวโกลว์ขึ้น และสีผิวสม่ำเสมอขึ้น
  • Nonapeptide-1 ตัวนี้เป็น Whitening โดยไปต่อต้านฮอร์โมน alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นเซลล์สร้างเม็ดสีให้สร้างเมลานินออกมา เมื่อ่ฮอร์โมนโดนยับยั้ง เม็ดสีก็จะโดนสร้างน้อยลง
  • คอลลาเจน 3 แบบ ได้แก่ Soluble collagen, Collagen, Collagen amino acids

พอพูดถึงเรตินอล แล้วก็กังวลเรื่องระคายเคืองใช่ไหม นี่เลยค่ะ เขาจัดมาเรียบร้อย กลุ่มที่ดูแลการระคายเคือง

  • 4-t-Butylcyclohexanol หรือที่รู้จักกันในวงการว่า Symsitive® มีประโยชน์ในการลดความรู้สึกระคายเคืองผิว ผ่านการลดความไวในการตอบสนองที่ระบบประสาทรับความรู้สึกร้อน TRPV-1 ทำให้เรารู้สึกสบายผิว มีการทดสอบประสิทธิภาพของครีมที่มี 4-t-Butylcyclohexanol ในการลดการระคายเคืองของผู้ป่วยที่มีอาการผิวอักเสบบริเวณรอบปาก โดยให้ทาครีมดังกล่าวเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น รวมถึงมีค่าความชุ่มชื้น และมีการระเหยของน้ำออกจากผิว (TEWL) ลดลง แสดงให้เห็นว่า Barrier ผิวกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2020;19(6):1409-1414)
  • Dipotassium glycyrrhizate ตัวนี้ได้จากรากชะเอม มีความเด่นในการดูแลการอักเสบ และการระคายเคืองเช่นกัน
  • Palmitoyl Tripeptide-8 มีข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า มีคุณสมบัติในการต่อต้านกระบวนการอักเสบที่เกิดจากระบบเส้นประสาท ดูแลอาการระคายเคือง คันยุบยิบ ทั้งจากรังสี UV และระบบภูมิคุ้มกันของผิว
  • Althaea officinalis root extract หรือ สารสกัดจากราก Marshmallow เด่นในด้านให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing)
  • สารสกัดจากถั่วเขียว Phaseolus Radiatus Seed Extract มีประโยชน์หลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือด้าน Soothing

เสริมตัววิตามินบี 3 ก็ให้ประโยชน์กับผิวในหลายๆ ด้านพร้อมๆ กัน ทั้งชะลอวัย whitening และ ผิวแข็งแรง

เติมน้ำด้วย Hya + Sodium polyglutamate + arginine และ Glyceryl glucoside ที่ทำงานร่วมกับ Glycerin ในการเพิ่มความชุ่มชื้นและเสริมการสังเคราะห์ตัว Aquaporin ที่ช่วยผิวเก็บน้ำ

คืนไขมันด้วยน้ำมัน Buriti (Mauritia flexuosa fruit oil) ที่พบในบราซิล อุดมไปด้วยแคโรทีนอยด์ที่เป็น Antioxidant และมีกรดไขมันที่มีประโยชน์กับผิว มาพร้อม Ceramide อีกหลายชนิดให้ผิวแข็งแรง

ส่วนผสมอื่นๆ ก็คือ ทำมาได้ดีหมด ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง เป็นเซรั่มเรตินอยด์ที่ใช้เรตินอยด์ทั้งหมด 3 ฟอร์ม มีการเก็บกักไว้ในแคปซูล และมีการทดสอบประเมินการดูดซึมเรตินอลเข้าผิว เสริมสารบำรุงที่ให้ประโยชน์ต่อผิวครบทุกด้านจบทุกปัญหาผิว มาพร้อมสารที่ดูแลการระคายเคือง และเสริม Barrier ผิวให้แข็งแรง ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวก็คือใช้เรตินอลมานาน อารมณ์แบบ Expert user แล้ว ก็ไม่ได้เจอปัญหาการระคายเคืองจากผลิตภัณฑ์ ตัวเนื้อเซรั่มทำมาได้ค่อนข้างดี ฟีลดีไม่หนักมากไป ไม่เบาไป แทรกเข้ารูทีนได้ง่าย เลเยอร์คู่กับตัวอื่นๆ ได้ง่ายไม่เจอปัญหา เอามาทำเทคนิค Retinol sandwich ลงมอยส์ก่อน แล้วทาเรตินอล แล้วลงมอยส์ทับก็ดี ในภาพรวมก็ค่อนข้างชอบ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Y.O.U สาขาประเทศไทยที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ลองใช้ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

ทางไปช้อปปิ้ง

Shopee https://s.shopee.co.th/50KJkLqmaC

Lazada https://s.lazada.co.th/s.uk8qX?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินซี และเซรั่มวิตามินเอ สายคลีน จาก Biobalance

สวัสดีค่ะทุกท่าน สำหรับ Blog นี้ขอมาต่อกันที่บทวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มที่น่าสนใจจากแบรนด์ Biobalance 2 ชิ้น คือ เซรั่มวิตามินซี ที่มีชื่อว่า Pure vitamin C super serum และเซรั่มวิตามินเอ ที่มีชื่อว่า Retinol’E super serum นะคะ

สำหรับท่านที่สนใจเกี่ยวกับแบรนด์ Biobalance สามารถติดตามคอนเทนท์แนะนำแบรนด์ Biobalance ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ

(แนบลิงค์ https://miyeonthereviewer.com/2022/08/26/brandintro-biobalance/)

ทางเพจได้เคยนำเสนอรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Eye cream สุดปังของแบรนด์ไว้ ท่านใดที่พลาดสามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้ได้เลย

(แนบลิงค์ https://miyeonthereviewer.com/2022/09/23/biobalance-eye/)

ส่วนเซรั่มที่เราจะนำมานำเสนอกันในวันนี้นั้นเป็นเหมือนพระเอกนางเอกของแบรนด์กันเลยค่ะ คือ น้องวิตซี กับน้องวิตเอ ที่มีหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

โดยขอเริ่มที่น้องวิตซีนะคะ

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Pure vitamin C super serum

ซึ่งมาในขวดแก้วสีชาแบบมีหลอดหยดค่ะ

สำหรับเนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อของ Propanediol ที่จะอุ่นๆ ให้ความรู้สึก ‘rich’ คือ อารมณ์เหมือนมีอะไร หนืดๆ นิดหน่อยตอนเกลี่ย

หลังเกลี่ย

ถ่ายภาพผ่านแฟลชจะเห็นเป็นส่วนของ propanediol ดูวาวๆ

หลังจากทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ความวาวก็จะหายไปค่ะ

สำหรับส่วนผสม คือ สมเป็นสกินแคร์สายคลีน ก็คือ ตรงตามเทรนด์ ‘The less is more’ มากๆ

แค่เอา L-ascorbic acid (LAA) 10% มาละลายในเบสที่เป็น Propanediol ซึ่งการทำมาในเบสแบบไม่มีน้ำจะช่วยรักษาเสถียรภาพของ LAA เอาไว้

สำหรับ Propanediol นั้นจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าเป็น Humectant solvent ซึ่งปกติเราใส่กันในปริมาณไม่มาก ราวๆ ไม่เกิน 5% เป็นสารให้ความชุ่มชื้นผ่านการดูดน้ำให้ผิว ในที่นี้เอามาเป็นเบสเลย เพื่อจะได้ปกป้องตัวสารวิตซีเอาไว้

Propanediol เป็นสารที่ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าได้จากกระบวนการดัดแปลงจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด ในวงการเครื่องสำอางทำขึ้นมาเพื่อทดแทนการใช้ Propylene glycol ซึ่งได้จากการสังเคราะห์ และมีรายงานถึงการแพ้-ระคายเคืองอยู่บ้าง

ถ้าดูจากคะแนนความเป็นมิตรต่อคน สัตว์และสิ่งแวดล้อมจาก Environmental Working Group (EWG) นั้นน้องจะมีคะแนนที่ 2 คะแนน แต่ถ้าเป็น Propylene glycol นั้นจะมีคะแนนอยู่ที่ 3 คะแนนค่ะ

ถ้ากล่าวกันตามจริงตามหลักการก็ไม่ได้ต่างกันเยอะมาก แต่ส่วนตัวมองว่าจากข้อมูลที่เห็นมา Propanediol นั้นมีข้อมูลว่าเกิดการระคายเคืองได้น้อยกว่า ก็น่าจะดีกว่า

สำหรับวิตามินซีที่ทางแบรนด์เลือกใช้นั้นเป็นรูปแบบ LAA ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ ที่มีรายงานกล่าวถึงประสิทธิภาพที่ดีอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน

ส่วนประโยชน์ของวิตามินซีก็จะดูแลผิวได้หลายด้าน เช่น

  • ด้านของ Whitening ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นขั้นตอนหลักของการสร้างเม็ดสีผิว
  • เป็น Antioxidant ที่ดี
  • ลดการอักเสบและระคายเคือง
  • ปกป้องผิวจากรังสี UV (Photoprotective)
  • เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน โดยเป็น Cofactor ให้แก่เอนไซม์ prolyl hydroxylase และ lysyl hydroxylase ที่ใช้สร้างกรดอะมิโนพิเศษ Hydroxyproline และ Hydroxylysine ในสายคอลลาเจน

วิตามินซีนั้นค่อนข้างบอบบางค่ะ สลายตัวง่ายจากหลายๆ ปัจจัย การทำมาในสูตรไม่มีน้ำแบบนี้ กับมาในขวดแก้วสีชาก็ช่วยปกป้องได้ในระดับหนึ่ง

แต่ว่าพอทำมาในเบสที่เป็น Humectant solvent แบบนี้ บางคนก็อาจจะไว ถ้าละเลงบนผิวเลยก็อาจจะระคายเคือง ซึ่งรูปแบบของการระคายเคืองก็มีได้หลายแบบ ตั้งแต่รู้สึกร้อนๆ แสบๆ ยุบยิบ จนไปถึงรูขุมขนอักเสบคล้ายเป็นสิว

ใครที่กำลังเริ่มใช้ หรือเคยใช้มาแล้วเกิดอาการระคายเคืองอาจจะลองผสมเข้ากับสกินแคร์อื่น วอร์มให้เข้ากันก่อนทาบนผิวก็จะช่วยลดอาการตรงนี้ได้ แล้วก็ค่อยๆ ปรับเพื่อให้ผิวเราค่อยๆ ชินกับน้องค่ะ

ส่วนอีกตัวเป็นเซรั่มวิตามินเอผสมวิตามินอีค่ะ น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Retinol’E super serum

มาในขวดแก้วสีชาแบบมีดรอปเปอร์เช่นกัน

เนื้อจะมาในรูปแบบออยล์ที่เหลวหน่อย

ถึงแม้จะเป็นออยล์ แต่มาลองดูเนื้อก่อน น้องเป็นออยล์ที่ค่อนข้างเบาไม่เหนอะหนะ เกลี่ยได้ง่าย เคลือบปกป้องผิว

ถ่ายภาพด้วยแฟลชจะเห็นความวาวของเนื้อออยล์อยู่เล็กน้อย

ตัวเซรั่มจะใช้เวลาในการซึมสักนิดค่ะ ทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม เลยจะได้กลิ่นจางๆ ของวัตถุดิบอยู่ค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในด้านของส่วนผสมนั้นจะมีวิตามินเอ ร่วมกับวิตามินอี ใน 2 รูปแบบ คือ Tocopheryl acetate และ Tocopherol ในความเข้มข้นรวม 2% และเสริม Bisabolol มาเพื่อดูแลเรื่องการระคายเคือง เนื่องจากตัว Retinol นั้นอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ในผู้ใช้บางราย

วิตามินเอ เป็นรูปแบบ Retinol จัดมาที่ 0.3% ซึ่งมีความระคายเคืองต่ำ แต่มากกว่าพวกกลุ่ม ester นิดหน่อย ซึ่งหลังๆ มา เราไม่ค่อยเจอพวก Ester ในท้องตลาดมากนัก ถ้าไม่นับพวก Ester ของ Retinoic acid อย่าง Hydroxypinacolone retinoate (ชื่อทางการค้า Granactive® Retinoid) ที่เจอได้อยู่

สำหรับวิตามินเอนั้นมีประโยชน์กับผิวหลายๆ ประการ จะเด่นไปในด้านของการดูแลผิวเรื่องริ้วรอย ผ่านกลไกที่ซับซ้อนหลายๆ อย่าง และอาจจะให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องสิวได้ ผ่านการควบคุมการแบ่งตัวและเปลี่ยนรูปของเซลล์ Keratinocyte ในชั้นหนังกำพร้า

ส่วนวิตามินอีนั้นเป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน แล้วก็ช่วยปกป้องวิตามินเอในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพ วิตามินอีเองก็ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อยู่บ้าง มีการเสริม Antioxidant สังเคราะห์อย่าง BHA, BHT เข้ามาช่วยปกป้องวิตามินเอ และอี ไว้อีก 1 สเต็ป

โดยรวมก็ถือว่าเป็นเซรั่มวิตามินเอที่ทำมาได้คลีนๆ และเรียบง่ายดีค่ะ

สรุปแล้วกลุ่ม Super serum ที่ทางแบรนด์ Biobalance นำเข้ามาในไทยทั้ง 2 ตัวนั้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ มาในราคาที่เอื้อมถึงได้ค่ะ

มาดูคะแนนกันนะคะ สำหรับวันนี้เนื่องด้วยส่วนผสมไม่ได้เยอะมาก เลยขอลดหัวข้อการให้คะแนนเป็น 2 หมวด คือ หมวดส่วนผสม แล้วก็หมวดการใช้งาน

  1. ส่วนผสม ทั้ง 2 ตัวเป็นเซรั่มที่ทำมาได้ค่อนข้างคลีน เรียบง่าย ตอบเทรนด์ ‘The less is more’ ซึ่งก็ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดีตามเทรนด์นะคะ แต่ถ้าบางคนที่ไม่ได้อินกับเทรนด์ The less is more อาจจะรู้สึกว่ามันเบาไปหน่อย มันมีอะไรได้อีก จุดนี้ขอให้ไป 3 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ในด้านของเนื้อสัมผัส ถ้าเป็นตัววิตซี น้องจะหนึบๆ หนักๆ นิดหน่อย เพราะเป็นเนื้อของ Propanediol ล้วนๆ แต่ไม่มันเหมือนน้ำมัน ใครที่กำลังเริ่มใช้เบสแบบนี้แนะนำให้ลองผสมเข้ากับครีมอื่นๆ ก่อน เพื่อให้ผิวเราค่อยๆ ปรับค่ะ ส่วนของตัววิตเอ นั้นจะมาในรูปแบบน้ำมัน ที่เบลนด์มาได้ฟิลลิ่งที่บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่เยิ้มมาก ทาก่อนนอนตื่นมาไม่แห้ง หมอนไม่เปอะเปื้อน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/BiobalanceOfficialThailand

ลิงค์สำหรับตามไปชอปปิ้ง

LazMall

ชอปปิ้งเซรั่มวิตามินซี: https://s.lazada.co.th/s.k1cLB?cc

ชอปปิ้งเซรั่มวิตามินเอ: https://s.lazada.co.th/s.k1cvu?cc

Shopee Mall Official Biobalance Mall https://invle.co/cle62tp

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินเอตัวดัง Liftactiv retinol serum จาก Vichy ที่พัฒนามาด้วยส่วนผสมที่เสริมกันอย่างลงตัว

สำหรับคอนเท้นท์นี้จะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเรตินอลสุดปังจากฝรั่งเศสของแบรนด์ Vichy ที่มีชื่อว่า Liftactiv Retinol Specialist Deep Wrinkles Serum หรือ ที่มีชื่อย่อๆ ในวงการว่า Vichy Liftactiv Retinol Serum

ซึ่งตัวกล่องจะมีหน้าตาประมาณนี้

เวลาไปที่ร้านก็จะมีกล่องที่มีภาษาไทยหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง ประมาณนี้

ตัวแพคเกจจริงจะเป็นขวดแก้วสีขาวทึบแสง เวลาซื้อมาทางแบรนด์จะแยกหัวหยดไว้ให้เราประกอบเองค่ะ

พอประกอบแล้วจะได้หน้าตาประมาณนี้

เราสามารถที่จะบีบๆ ตรงปากหัวหยด เพื่อช่วยให้เนื้อเซรั่มไหลออกมาได้ง่ายขึ้น ปริมาณที่แนะนำในการใช้จากทางแบรนด์ก็คือ ประมาณ 2 – 3 หยด ทาเฉพาะตอนก่อนนอน และในช่วงกลางวันให้ใช้กันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 เพราะจะได้ป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจนเกิดริ้วรอย หรือ จุดด่างดำ

เนื้อของผลิตภัณฑ์มาในรูปแบบน้ำนม ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสเบา สบายผิว ไม่เหนอะหนะ แต่ยังคงความชุ่มชื้นเอาไว้

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 6 – 7

สำหรับท่านที่ไม่เคยใช้เรตินอลมาก่อน ทางแบรนด์ก็แนะนำว่า ให้ค่อยๆ ปรับการใช้

  • สัปดาห์แรก ใช้ 2 ครั้ง/สัปดาห์
  • สัปดาห์ต่อมา ใช้วันเว้นวัน
  • สัปดาห์ที่ 3 ใช้ทุกวัน

ซึ่งเราก็สามารถปรับได้ตามความเหมาะสมค่ะ เช่น ถ้า ใช้วันเว้นวันแล้วรู้สึกผิวแดง เคืองผิว เราก็ลดความถี่ในการใช้ลงแล้วค่อยๆ ปรับเพิ่ม เพื่อให้ผิวเราปรับตัวและชินกับเรตินอล

หรืออาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งที่ทางแบรนด์แนะนำ คือ การใช้ Sandwich Technique (ทา moisturizer ที่ใช้เป็นประจำก่อน – ทา retinol serum – ทา moisturizer ตบท้าย) หรือ ลงพรีเซรั่มก่อนใช้เซรั่มเรตินอล

ซึ่งส่วนตัวเป็นคนที่ใช้เรตินอลเป็นประจำอยู่แล้ว เลยใช้แทนตัวที่ใช้อยู่ได้เลย เมื่อใช้ของ Vichy ชิ้นนี้เลยรู้สึกว่าเขาทำมาดีเหมือนกันค่ะ

สำหรับส่วนผสมจะเป็นดังนี้ค่ะ

ทางเพจได้จัดหมวดหมู่ของสารบำรุงผิวและสารอื่นๆ ไว้เป็นกลุ่มสี

สำหรับพระเอกของผลิตภัณฑ์ ก็คือ Retinol เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ ซึ่งทางแบรนด์ใช้ที่ความเข้มข้น 0.2% โดยทางแบรนด์เคลมว่า เป็นความเข้มข้นที่ให้ประสิทธิภาพดี แต่ยังคงความอ่อนโยนเอาไว้ ไม่ระคายเคืองมากจนเกินไป (ปกตินิยมใช้ที่ 0.1 – 0.3% แม้ว่าการเพิ่มความเข้มข้นมีแนวโน้มว่าจะให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น แต่ยิ่งความเข้มข้นสูง ก็จะมีโอกาสในการเกิดการระคายเคืองสูงกว่า)

ประโยชน์ของ Retinol นั้นเรียกได้ว่ามีมากมายหลายอย่าง เด่นไปในทางด้านของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย และดูแลเรื่องผิวไม่กระชับ ตัวน้องจะออกฤทธิ์ที่หลายระดับชั้นผิว จึงให้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งในแง่ของการปรับสมดุลการสร้าง-แบ่งตัว-เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่และการผลัดออกของผิวในหนังกำพร้า เสริมการสร้างพวกเส้นใยไฟเบอร์ต่างๆ ที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในชั้นหนังแท้ รวมถึงไปลดการสังเคราะห์เอนไซม์ MMP ที่ไปทำลายคอลลาเจน

ตามทฤษฎีแล้ว Retinol นี่ถือว่าเป็นสารที่วงการแพทย์ยอมรับตัวหนึ่งในด้านของการเป็น Anti-aging ดูแลเรื่องผิวไม่กระชับ หย่อนคล้อย ริ้วรอย

ในวงการทางผิวหนังมีการศึกษาประสิทธิภาพของ Retinol อยู่หลายชิ้นงานเหมือนกัน ขอหยิบยกมาเล่า 2 ชิ้น ที่คิดว่าน่าสนใจ

การทดสอบแรกของ Kong และคณะ เมื่อปี 2016 ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Cosmetic Dermatology มี 2 การทดลองย่อย

  • งานแรกทดสอบประสิทธิภาพของเรตินอล 0.1% เทียบกับกรดวิตามินเอ 0.1% โดยให้อาสาสมัคร 6 คน (ชาย 3 หญิง 3) ทาบริเวณแขน แล้วเก็บชิ้นเนื้อมาตรวจ พบว่าผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหนาตัวขึ้น และปริมาณยีนที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจนมีมากขึ้น (คือ มีการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน) ทั้งบริเวณที่ทาด้วยเรตินอล และกรดวิตามินเอ
  • งานถัดมาทดสอบประสิทธิภาพของเรตินอล 0.1% ในอาสาสมัครหญิง อายุระหว่าง 35 – 55 ปี จำนวน 41 คน โดยให้ทา Retinol วันเว้นวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ และทาทุกวันอีก 10 อาทิตย์ พบว่าริ้วรอยจางลง และริ้วรอยที่มีอยู่ตื้นขึ้น

(Ref: Kong et al., J Cosmet Dermatol. 2016;15(1):49-57.)

อีกการทดสอบหนึ่งที่ตนเองคิดว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน คือ การทดสอบของ Shao และคณะ เมื่อปี 2017 ตีพิมพ์ลงในวารสาร International Journal of Cosmetic Science ใช้อาสาสมัครที่มีอายุเฉลี่ย 76 ปี จำนวน 12 คน ให้ทาเรตินอล 0.4% ลงบริเวณก้น ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่โดนแสงเลย เป็นเวลา 7 วัน เทียบกับผลิตภัณฑ์เบส เพื่อตัดผลรบกวนจาก UV ในการศึกษาประสิทธิภาพด้าน Anti-aging ของเรตินอล

พบว่า

  • ผิวหนังชั้น Epidermis (หนังกำพร้า) มีความหนาตัวเพิ่มขึ้น โดยมีการแบ่งตัวของเซลล์ Keratinocyte เพิ่มขึ้น
  • ปริมาณเส้นใย Extracelular matrix (ECM) ในชั้นหนังแท้เพิ่มขึ้น โดยไปกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้าง collagen, fibronectin และ elastin ออกมา
  • การไหลเวียนของเลือดมาเลี้ยงผิวดีขึ้น ผ่านการกระตุ้นการสร้างเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด (Endothelial cells)

(Ref: Shao et al., Int J Cosmet Sci. 2017;39(1):56-65.)

ผลของ Retinol ที่ระดับชั้นหนังกำพร้า จะสามารถเห็นได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน และผลที่หนังแท้ จะใช้เวลานานกว่านั้น อยู่ในช่วงเดือน หรือระดับหลายเดือน ซึ่งตรงนี้ก็ตรงกับที่แบรนด์เคลม คือ รู้สึกได้ตั้งแต่เดือนแรกที่ใช้

แต่ต้องระวังเรื่องของความไวต่อแสง ดังนั้นจึงต้องทากันแดดทุกเช้า

สำหรับเรื่องของผลของสาร Retinol ต่อทารกในครรภ์นั้น แม้ว่าข้อมูลจะไม่ได้ชัดเจน 100% ว่าเป็นพิษต่อทารกในครรภ์แบบกรดวิตามินเอ ที่ชื่อ Tretinoin หญิงตั้งครรภ์ หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ก็ไม่ควรใช้อยู่ดี

สารบำรุงอื่นที่เสริมมาแล้วมีความเด่นในเรื่องริ้วรอยไม่แพ้กัน คือ ตัวผสมของเปปไทด์ 2 ชนิด Palmitoyl tetrapeptide-7 กับ Palmitoyl tripeptide-1 เป็นตัวผสมที่รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า MatrixylTM 3000 เป็นการเลือกใช้เปปไทด์ที่เป็นสารในกลุ่ม Matrikine (หรือ Messenger peptide) เบลนด์กัน 2 ชนิด ที่เน้นฟื้นฟูปัญหาริ้วรอยที่เกิดตามอายุ

  • การทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า เสริมการสังเคราะห์เส้นใยที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในกลุ่มของ Collagen Type 1, Fibronectin และ Hyaluronic acid ที่ Dermis และปกป้องไม่ให้เส้นใยเหล่านี้ถูกทำลาย
  • การทดสอบในผิวหนังที่เลี้ยงในหลอดทดลอง พบว่า ช่วยปรับสมดุลและสัดส่วนของเส้นใย ECM ในผิวที่ Aging ไปแล้ว ให้มีสัดส่วนกลับมาคล้ายกับผิวที่ยังเยาว์
  • การทดสอบในอาสาสมัคร พบว่ามีประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย

Probiotic fractions ที่เป็นสิทธิบัตรของทาง Vichy (Vitreoscilla ferment) ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการปรับสมดุลไมโครไบโอมให้ผิวมีสุขภาพดี ยังมีการทดสอบโดยทางแบรนด์พบว่ามีคุณสมบัติในการผลัดผิวอ่อนๆ และช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)

สามารถสรุปกลไกการออกฤทธิ์ของสารบำรุงในตำรับได้เป็นดังภาพนี้

นอกจากสารบำรุงหลักแล้ว ในผลิตภัณฑ์ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่ด้วย

มีสารอีกตัวที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) คือ Hydroxyacetophenone ตัวนี้เป็นสาร Antioxidant ในกลุ่มฟีนอลิกที่ได้จากการสังเคราะห์ ซึ่งนอกจากปกป้องสารในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพไปแล้ว น้องยังมีคุณสมบัติในแง่ของการให้ความรู้สึกสบายผิวมาพร้อมๆ กัน

เติมน้ำให้ผิวต่ออีก 1 Step ด้วย Sodium hyaluronate และ Hydrolyzed rice protein และมีน้ำมันจากถั่วเหลือง ซึ่งให้ความชุ่มชื้นและทดแทนไขมันจำเป็นคืนให้แก่ผิว

เสริมมาด้วย Antioxidant อย่างวิตามินอี และ สารที่มีชื่อว่า Pentaerythrityl tetra-di-t-butyl hydroxyhydrocinnamate ตัวนี้รู้จักกันในชื่อ Tinoguard® TT ที่เป็น Antioxidant กลุ่มฟีนอลิกสังเคราะห์เช่นกัน ทำหน้าที่ปกป้องสารในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพ

การใช้ Antioxidant มาเสริมกันเพื่อปกป้องวิตามินเอ (เรตินอล) ไม่ให้เสื่อมสภาพของทางแบรนด์ ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Retinol guard™ ที่คงความสเถียรของเรตินอลได้เป็นอย่างดี ไม่เสื่อมสลายก่อนจะมาถึงผิวเรา

ส่วนของเบส เป็นเบสแบบน้ำนม ที่เลือกใช้กลุ่มของ สารไขมันที่มีความบางเบา แต่ก็คงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ และส่วนผสมอื่นๆ ก็เลือกมาได้เป็นอย่างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง นอกจากวิตามินเอ รูปแบบ Retinol ที่เด่นในแง่ของการดูแลริ้วรอย ปัญหาผิวหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น (Aging skin) แล้ว ยังเสริมมาด้วย Peptide ที่โดดเด่นในแง่ของการดูแล Aging skin ไปพร้อมๆ กัน ดูแลปัญหาการระคายเคือง ด้วย Probiotic fraction และ Hydroxyacetophenone เติมน้ำ และทดแทนไขมันธรรมชาติคืนให้สู่ผิวไปพร้อมๆ กัน จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี สำหรับเซรั่มวิตามินเอ Vichy Liftactive ตัวนี้ จึงขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในส่วนของเบส นั้นเลือกใช้สารกลุ่มน้ำมันที่มีเนื้อบางเบา และมีการใช้สารเสริมเข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพของเรตินอล และดูแลเรื่องการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว แต่มีแอลกอฮอล์ติดมาอยู่นิดหน่อย จึงขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวเป็นคนที่ใช้วิตามินเอ มาหลายปี จึงหยุดตัวเก่า แล้วใช้ตัวใหม่นี้เลย โดยใช้ทุกวัน ก็ไม่ได้พบปัญหาระคายเคือง หรือความรู้สึกไม่สบายผิวแต่อย่างใด แม้จะมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ แต่ตัวเองก็คิดว่า สารไขมันอื่นในเบสนั้นยังดูแลเรื่องความชุ่มชื้นได้อยู่ ในส่วนของความเรียบเนียน การแต่งหน้าติดทนนานมากขึ้น ถือว่าน้องทำมาได้ตอบโจทย์ สำหรับเรื่องของริ้วรอย ตอนนี้ยังไม่ได้มีปัญหาริ้วรอยทั้งแบบลึกแบบตื้น แบบจริงจัง จึงอาจจะยังตอบแบบฟันธงไม่ได้ แต่ถ้าเอาตามความรู้สึกคือความแน่น เฟิร์ม จับๆ กดๆ แล้วรู้สึกเด้งไม่กลวงไม่เละ อันนี้คิดว่าทำมาได้ดี ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Vichy ประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตาและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/VichyTH/

ส่วนใครที่คันไม้คันมือแล้วอยากช็อปปิ้ง เรียนเชิญได้ตามช่องทางที่สะดวกเลยค่ะ

LazMall: https://invol.co/cljetlk

Shopee Mall: https://invl.io/cljetlr

Watsons: https://invol.co/cljetmc

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Vichy ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Full Review: Hand Chemistry Retin-Oil

Full Review: Hand Chemistry Retin-Oil

วันนี้เป็นผลิตภัณฑ์เวชสำอางดีๆจาก Canada ค่ะ

เป็นน้ำมันบำรุงผิวจากแบรนด์ Hand Chemistry ซึ่งเป็นเวชสำอางในเครือ Deciem จากแคนาดาค่ะ

แบรนด์นี้เป็นแบรนด์ที่เน้นเครื่องสำอางสำหรับดูแลผิวกาย แต่ไม่ธรรมดาเลย เพราะว่าส่วนผสมนั้นโดดเด่นและเลอค่ามาก เผลอๆเลอค่ากว่าเครื่องสำอางสำหรับผิวหน้าบางชิ้นอีก

อีกประเด็นที่อยากบอกคือ เค้าเขียนว่า Tested on human คือ สื่อความหมายเป็นนัยๆว่า ไม่ได้ทดสอบในสัตว์ทดลองค่ะ (แต่นี่ จะบอกอะไรให้นะ เดี๋ยวนี้กฎหมายเขาห้ามใช้สัตว์ทดลองมานานมากหลายปีดีดักแล้วค่ะ ที่แชร์ๆกันเรื่องกระต่ายน้อยบาดเจ็บ ลิงน้อยพิกงพิการอะไรนี่ กี่ปี่แล้วคะ ??? จะเสพย์สื่อ จะแชร์อะไร เลือกกันนิดนึงนะคะสาวๆ)

ตัวผลิตภัณฑ์มีชื่อว่า Retin-oil 1% Reinoid complex ค่ะ

IMG_0723-re

ผลิตภัณฑ์ Claim ไว้ดังนี้ค่ะ

แอบเอารูปของแบรนด์มานะคะ เห็นว่าน่ารักดี

claiming

จาก Claiming สวยๆตรงนี้เราสรุปได้ว่า มันจะได้เรื่องปรับเนื้อผิวให้เรียบเนียน สม่ำเสมอ ชุ่มชื้น กระจ่างใส และช่วยเรื่องริ้วรอยค่ะ

มาดูผลิตภัณฑ์กันต่อดีกว่าค่ะ

น้ำมันนี้เป็นน้ำมันสีเหลืองทอง มาในแพคเกจพลาสติกใส เนื้อหนา ฝาเป็นจุกรู หยดออกมาใช้ได้ง่าย มีกลิ่นหอมหวานๆคล้ายผลไม้ ค่อนข้างเหลว เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวค่ะ

IMG_0724-re

เมื่อดูดซึมแล้วก็จะไม่ทิ้งคราบอะไรไว้บนผิวเลยค่ะ

IMG_0725-re

เนื่องจากมันเป็นน้ำมันก็เลยไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ

พอดีมี่รอยแตกที่แขนค่ะ หลังจากใช้มา 4 อาทิตย์ ก็มีคนทักอยู่นะคะว่ารอยแตกจางลง ดูดีขึ้น ไปทำอะไรมา แต่ส่วนตัวมี่คิดว่ามันยังไม่ชัดมาก ที่เห็นชัดเลยคือ ผิวเรียบขึ้น และก็แห้งน้อยลงค่ะ ขอโชว์แขนอวบๆหน่อยนะคะ (เพื่อนบอกว่า นึกว่าขา มีตบค่ะ !!)

efficacy

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

ส่วนผสม

C12-15 alkyl benzoate • ethoxydiglycol • ascorbyl palmitate • hydroxypinacolone retinoate • tocopheryl acetate • oenocarpus bataua fruit oil • euterpe oleracea fruit oil • algae extract • caprylic/capric triglyceride • dimethyl isosorbide • C12-15 alcohols • tocopherol • fragrance (parfum) • alpha-isomethyl ionone • benzyl benzoate • benzyl cinnamate • benzyl salicylate • citral • citronellol • eugenol • geraniol • hydroxycitronellal • limonene

วันนี้รีวิวจัดเต็มเลยค่ะ

ปกติปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้

3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

เรามาดูไปทีละส่วนกันเลยนะคะ

1.Actives ได้แก่

-Ascorbyl palmitate เป็นอนุพันธ์ที่ละลายในน้ำมันของวิตามินซี รูปแบบนี้สามารถดูดซึมเข้าผิวได้ดีขึ้น และมีความเป็นกรดลดลง ประโยชน์ของวิตามินซีคือ เป็น Antioxidant ช่วยชะลอวัยและป้องกันการแก่ก่อนวัย ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิวจึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น และเป็นองค์ประกอบในการสร้างคอลลาเจน จึงให้ผลเรื่องการลดริ้วรอยได้

-Hydroxypinacolone retinoate สารอนุพันธ์รูปแบบใหม่ของวิตามินเอ เป็นรูปแบบ Ester สังเคราะห์ของ 9-cis retinoic acid มีความระคายเคืองต่ำมาก ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าสารนี้ให้ผลปรับสภาพผิวให้เรียบเนียน ลดริ้วรอย ลดจุดด่างดำที่เกิดตามอายุ (Age spot) และช่วยเรื่องสิวอุดตันได้ ซึ่งสารตัวนี้เวลาเข้าผิวแล้วสามารถออกฤทธิ์ได้เลย ไม่ต้องไปแปรสภาพให้กลายเป็นรูปแบบ Acid อีก (ปกติวิตามินเอ หรือ Retinol เวลาทาเข้าไปจะยังไม่มีฤทธิ์ ต้องถูกเอนไซม์ในผิวเปลี่ยนโครงสร้าง 2 ขั้นตอน กว่าจะได้รูปแบบ Acid ที่มีฤทธิ์)

-สารกลุ่ม Vitamin E มีด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ Tocopheryl acetate กับ Tocopherol ปกติวิตามินอีมีผลในเรื่องของการเป็น Antioxidant โดยถ้าเหลือรอดถึงผิว วิตามินอีธรรมชาติ Tocopherol จะออกฤทธิ์ได้เลยในทันที ส่วนวิตามินอีเอสเทอร์ คือ Tocopheryl acetate จะค่อยๆโดนย่อย และค่อยๆออกฤทธิ์ในทีหลัง ทำให้ผลที่เกิดขึ้นอยู่นานกว่า

-น้ำมันจากพืชหายากอย่าง Oenocarpus bataua ตัวนี้เป็นพืชในสกุลเดียวกับ Palm พบในแถบป่าอเมซอน ประกอบด้วยกรดไขมัน Oleic acid เป็นหลัก (ประมาณ 40%) และมีกรดไขมันสายยาวที่หายาก อย่าง Behenic acid (C22:0 ประมาณ 20%) และ Lignoceric acid (C24:0 ประมาณ 15%) กับ Euterpe oleracea เป็นพืชในสกุลเดียวกับ palm เช่นกัน พบในแถบ Brazil ประกอบด้วย Oleic acid เป็นหลัก (ประมาณ 50%) มี Palmitic acid อีกประมาณ 25% และ Linoleic acid อีกประมาณ 10% น้ำมันพวกนี้ ให้ผลทดแทนไขมันให้กับผิวหนังและเป็น Emollient ช่วยให้ผิวนุ่ม

-Algae extract สารสกัดจากสาหร่าย ซึ่งปัจจุบันมีสาหร่ายมากมายหลายสิบชนิดที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพแตกต่างกันไป เช่น สาหร่ายสีน้ำตาลบางสายพันธุ์ ช่วยเรื่องการเผาผลาญไขมัน สาหร่ายสีแดงบางสายพันธุ์เป็น Antiaging จึงไม่สามารถระบุคุณสมบัติของสารสกัดสาหร่ายที่กล่าวมาแบบรวมๆได้ ปัจจุบันทาง CTFA ได้ขอให้ผู้ผลิตระบุสายพันธุ์ของสาหร่ายที่ใช้ เช่น Laminaria extract ฯลฯ

2.Base เป็นชนิดน้ำมัน ประกอบด้วยน้ำมันและสารอื่นๆที่ละลายได้ในน้ำมัน ได้แก่ น้ำมันจากพืชที่กล่าวไปในข้อ 1 ร่วมกับ Capric/caprylic triglyceride ที่เป็น Triglyceride ของไขมันสายยาวปานกลาง ซึมผิวได้ดี เป็นสารตั้งต้นให้ผิวไปสร้างเป็นน้ำมันอื่นๆต่อไป และ C12-15 alkyl benzoate กับ C12-15 alcohols ที่ช่วยเรื่องการละลายสาร และให้สัมผัสที่ดีตอนทา

3.Additives ได้แก่

3.1สารเพิ่มการดูดซึมผ่านผิว มี 2 ตัว ได้แก่

-Dimethyl isosorbide ตัวทำละลายที่ละลายในไขมัน มีหน้าที่เป็น Emollient ช่วยให้ผิวนุ่ม มีผลลดความหนืดของผลิตภัณฑ์ให้เกลี่ยง่ายขึ้น ช่วยเพิ่มความคงตัวให้สารในผลิตภัณฑ์ และมีคุณสมบัติเป็น Percutaneous absorption enhancer ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารผ่านผิว

-Ethoxydiglycol ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารผ่านผิวเช่นเดียวกัน

3.2สารแต่งกลิ่น ได้แก่ Fragrance กับ สารหอมอย่าง alpha-isomethylionone, Benzyl benzoate, Benzyl cinnamate, Benzyl salicylate, Citral, Citronellol, Eugenol, Geraniol, Hydroxycitronellal และ limonene

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives นอกจากส่วนของน้ำมันจากพืชหายากแล้ว ก็มีวิตามิน A C E ซึ่งรูปแบบของวิตามินเอที่ใช้เป็นชนิดที่ดูดซึมง่ายและออกฤทธิ์ได้เลย จึงให้ผลที่ค่อนข้างดี ตัวผลิตภัณฑ์ Claim เรื่องแผลเป็น รอยแตกลาย ริ้วรอย และเรื่องผิวแห้ง ซึ่งถือว่าส่วนผสมชุดนี้ตอบโจทย์ได้หมด และสารที่ใช้เป็นชนิดใหม่ คือ เหมือนๆจะพื้นๆ แต่ใช้สารที่ค่อนข้างนวัตกรรมเลยทีเดียว จุดนี้ไม่รู้จะติอะไร ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีสำหรับ Oil ที่แม้จะเป็นแค่ Body oil แต่ส่วนผสมนี่คือ เลอค่ากว่า Facial oil บางยี่ห้อเสียอีก จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

2.Base ในส่วนของน้ำมันที่ใช้ มีทั้งตัวที่ดูดซึมได้ และตัวที่ช่วยเคลือบปกป้องผิว จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ไม่มี Mineral oil กับ Silicone ที่หลายๆคนกลัว (ถึงแม้มันจะไม่มีอันตรายอะไรก็เถอะ) จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์เช่นกัน

3.Additives ไม่ได้มีอะไรมากนอกจากสารแต่งกลิ่น/น้ำหอม กับ สารเพิ่มการดูดซึมผ่านผิว จุดนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย เพราะว่า สารเพิ่มการดูดซึมผ่านผิวนี้ อาจจะไปเพิ่มการดูดซึมของสารหอมเข้าผิวด้วย ถ้าใครมีประวัติแพ้สารหอม ก็อาจจะแพ้ได้เช่นกัน แต่ถ้าใครไม่แพ้ก็ไม่เป็นไร ส่วนข้อดีก็คือ ทำให้สารดีๆเข้าผิวไปออกฤทธิ์ได้มากขึ้น แต่เนื่องจากน้ำหอมนี่เราไม่ได้แพ้กันทุกคน เลยขอมองข้ามจุดนี้ไปนะคะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์ ค่ะ

4.คะแนนการใช้งาน ส่วนตัวมี่มีรอยแตกลายที่ต้นแขน และตรงแถวสะโพก ก็โบกๆออยล์นี่มาเดือนกว่าๆ เรียกได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้นานมากๆ ตัวหนึ่งเลยทีเดียวหล่ะ สิ่งที่ได้รับก็คือ ผิวเรียบเนียนมากขึ้น ผิวแห้งน้อยลง ส่วนเรื่องรอยแตกยังไม่ชัดมากเท่าไหร่ค่ะ แต่โดยรวมคือ ออยล์มีกลิ่นหอมหวานคล้ายผลไม้เปรี้ยวๆ เกลี่ยง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ไม่เปื้อนเสื้อผ้า ก็คือชอบค่ะ มาถึงตรงนี้ก็ยังใช้อยู่นะคะ ยังไม่เจอข้อติค่ะ ให้ 5 ฟลาสก์

point

สุดท้ายนี้แอบอยากบอก ถึงแม้จะมีหลายๆงานวิจัยบอกว่าการใช้พวก Retinoids แบบทา (ที่ไม่ใช่ Tretinoin) มันจะปลอดภัยในสตรีมีครรภ์ก็ตาม แต่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงนะคะ รอคลอดเสร็จค่อยมาทาก็ได้ค่ะ

สุดท้ายนี้อีกครั้งอยากขอบคุณทางบริษัท Advance Aesthetic Company ที่ส่งสินค้าดีๆเพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันล้ำค่ามาให้ได้ทดลองใช้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

เฟสบุคของบริษัท http://www.facebook.com/advanceaestheticthailand ได้เลยค่ะ

และขอขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ตามอ่านมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaime/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์

[Full review] Osmosis Renew

[Full review] Osmosis Renew

ช่วงนี้มี่จะมารีวิวผลิตภัณฑ์เวชสำอางจากแบรนด์ Osmosis นะคะ

ซึ่งตัวที่มี่ได้มามีทั้งหมด 3 ตัวค่ะ

IMG_4293-re

วันนี้จะมารีวิวตัวแรกก่อนค่ะ คือตัว renew

Renew level 4 vitamin A serum ค่ะ

ก่อนจะ พูดถึงแบรนด์ Osmosis ต้องพูดถึงคอนเซปท์เขาซักนิดนึงนะคะ

คือ “Beautiful skin starts within”

แปลว่า ผิวสวยต้องเริ่มจากภายใน แปลแบบสวยๆละเอียดๆก็คือ ต้องบำรุงผิวจากภายใน ถึงจะสวย

แบรนด์นี้จะเน้นไปที่สารสกัดและสารออกฤทธิ์จากธรรมชาติ สารองค์ประกอบต่างๆก็ไม่ได้ใส่มาเยอะกันจนมากเกินไป จึงเสี่ยงแพ้น้อยกว่านั้นเองค่ะ แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมทดสอบการแพ้ก่อนการใช้งานนะคะ เพราะการแพ้เป็นเรื่องที่คาดเดาไม่ได้ บทจะแพ้ แค่น้ำเปล่าก็ยังแพ้ได้เลยค่ะ

ผลิตภัณฑ์นี้ใช้เทคโนโลยีไลโปโซม เพื่อเพิ่มการดูดซึมของสารเข้าผิวค่ะ

ไลโปโซมคืออะไร???

ไลโปโซมเป็นรูปแบบนำส่งสารรูปแบบหนึ่ง มีลักษณะเป็นผนังสองชั้น ซึ่งจะเหมือนกับผิวหนังของเราเลย ทำให้ระบบไลโปโซมหลอกผิวหนังเราว่าเป็นพวกเดียวกัน ผิวหนังก็เลยปล่อยให้ไลโปโซมผ่านได้ ลองดูรูปตรงนี้ดูค่ะ

liposome(Image source: Osmosis Skincare Manual, 2015.)

ซีรัมตัวนี้ถ้าจะใช้แบบจริงๆจังๆและถูกต้อง ทางแบรนด์แนะนำให้ลองใช้แบบนี้ค่ะ

regimen(Image source: Osmosis Skincare Manual, 2015.)

จริงๆดูจากแผนภาพจะเข้าใจง่ายกว่าที่มี่กำลังจะอธิบายค่ะ

หมายความว่า ครั้งแรกสุดเลยให้ใช้ครั้งละ 1 กด วันละครั้ง ก่อนนอน เป็นเวลา 1 อาทิตย์ ถ้าใช้ได้ ไม่มีอาการอะไร ก็ เพิ่มเป็นวันละสองครั้ง เช้า-ก่อนนอน สังเกตอาการ 1 สัปดาห์ ถ้าไม่มีอาการอะไรก็ให้ใช้ครั้งละ 2 กด วันละ 2 ครั้ง แต่ถ้ามีอาการผิวแห้ง หรือระคายเคือง ให้ใช้วันละครั้ง สลับกับวันละ 2 ครั้งไปเรื่อยๆ

แต่ถ้าใช้ครั้งละ 1 กด วันละครั้งแล้วยังทนไม่ได้ ก็ให้ลดเหลือ วันเว้นวัน ถ้าทนได้ ก็ไปวันละครั้ง แล้วก็วันละสองครั้งตาม Step ที่อธิบายเมื่อครู่

แต่ถ้าใช้วันเว้นวันก็ยังทนไม่ได้ ก็ให้พักผิวสักระยะเวลาหนึ่ง ก่อนมาใช้วันเว้นวัน แล้วค่อยขยับขึ้นไป

เพราะอะไร ก็เพราะว่าสารกลุ่มวิตามินเอ เป็นสารที่มีประสิทธิภาพและความแรง (Potency) ค่อนข้างสูง ถ้าใช้แบบแรงๆไปเลย อาจจะระคายเคืองได้ ส่วนตัวมี่อยากแนะนำว่า ให้อายุ 30+ ก่อนค่อยเริ่มใช้สารกลุ่มนี้น่าจะดีกว่ามาเริ่มไวๆตั้งแต่เป็นวัยรุ่น

มาดูผลิตภัณฑ์กันดีกว่าค่ะ

ตัวผลิตภัณฑ์มาในขวดปั๊มอคริลิคหนาสีขาว/เงิน

IMG_4298-re

ตัวนี้จะเกลี่ยค่อนข้างง่าย ลื่นๆ กลิ่นเป็นแนวๆเย็นๆ ออกแนวอโรม่า ถ้าใครไม่ชอบแนวนี้อาจจะแปลกๆอยู่นิดนึง แต่ซักพักก็จะชินไปเองค่ะ ตอนเกลี่ยครั้งแรกจะดูเหมือนออกเหลืองๆ แต่พอทิ้งไว้ซักห้านาที สีเหลืองๆนั้นจะหายไปค่ะ

IMG_4299-re

IMG_4300-re-horz

ลองวัดค่า pH ดูนะคะ ค่า pH จะอยู่ที่ประมาณ 4-5 ค่ะ ซึ่งก็ถือว่าเป็นกรดอ่อนๆ เหมือนกับสภาพผิวของเรา และเป็นค่า pH ที่สามารถช่วยให้ Lactic acid ออกฤทธิ์ได้ในระดับหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนเป็นเกลือไปเสียหมด

IMG_4306-re

มาดูส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

มี่ทำสีให้สังเกตกันได้ง่ายขึ้นนะคะ

สผส renew

จุดเด่นจุดแรกน่าจะอยู่ที่ Asiaticoside ซึ่งเป็นสารที่แยกได้จากสารสกัดบัวบก มีคุณค่าและราคาสูง เพราะการแยกออกมาจากสารสกัดใบบัวบกนั้นทำได้ค่อนข้างยากและต้องอาศัยเทคโนโลยีค่อนข้างสูง

อีกจุดน่าจะอยู่ที่ Peptide อย่าง Palmitoyl tripeptide-38 และ Caprooyl tetrapeptide-3 ที่ช่วยเรื่องชะลอวัยและริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ

เรามาวิเคราะห์ส่วนผสมกันดีกว่าค่ะ

ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ

1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ

2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้

3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ

คุณสมบัติของสารแต่ละตัวแยกตามหน้าที่

1.Actives ได้แก่

-Chlorella vulgaris extract คือ สารสกัดจากสาหร่ายสีเขียว มีรายงานการวิจัยกล่าวถึงผลในการ Anti-aging โดยมีผลต่อการทำงานของ Antioxidant enzyme ในเซลล์ Fibroblast (BMC Complement Altern Med. 2013; 13:210.) ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่าสาหร่ายประกอบด้วยรงควัตถุจำพวก Carotenoid หลายชนิด มีผลเป็น Antioxidant ที่ดี มีกรดอะมิโนช่วยลดริ้วรอย ปรับสภาพผิว กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน ลดการสลายคอลลาเจน

-Caprooyl tetrapeptide-3 เปปไทด์ที่จับกับกรดไขมันสายสั้นๆที่ชื่อ Caproic acid ทำให้ดูดซึมเข้าสู่ผิวได้ดีขึ้นให้ผลกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนที่เป็นองค์ประกอบในแนวกั้นระหว่างชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้ (Dermal Epidermal Junction) ให้ผลลดและป้องกันริ้วรอย

-Epilobium angustifolium extract สารสกัดจาก Willow herb มีรายงายเกี่ยวกับฤทธิ์ต้านเชื้อจุลชีพ (Curr Drug Targets. 2013; 14(9):986-91.) ฤทธิ์ในการปกป้องคอลลาเจนและอิลาสตินในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากรังสี UV และช่วยให้เซลล์ Fibroblast ที่สร้างคอลลาเจนมีชีวิตยืนยาวขึ้น (ปกติคนที่อายุเพิ่มขึ้นเซลล์พวกนี้จะค่อยๆหายไป) (Gen Physiol Biophys. 2013; 32(3):347-59.) สารประกอบ Oenothein B ที่พบในพืชนี้มีประโยชน์เป็น Anti-oxidant และ Anti-inflammatory ที่ดี (Phytomedicine. 2011; 18(7):557-60.) และยังมีฟลาโวนอยด์อื่นๆที่เคยมีรายงานว่าสามารถยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนสได้

-Retinal หรือ retinaldehyde เป็นรูปแบบอัลดีไฮด์ของวิตามินเอ กลไกการออกฤทธิ์ยังไม่ทราบชัดเจน มีคุณสมบัติในการควบคุมการผลัดเซลล์ผิวให้เกิดได้อย่างปกติ ลดเลือนริ้วรอย กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนและอิลาสติน

-Asiaticoside สารบริสุทธิ์ที่แยกได้จากบัวบก มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี ช่วยเรื่องการสมานแผลให้หายเร็วขึ้น ลดการอักเสบในผิว ปกป้องคอลลาเจนในผิวไม่ให้เสื่อมสลาย และช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวได้

-Palmitoyl tripeptide-38 เปปไทด์สายสั้นๆจากกรดอะมิโน 3 ตัวที่จับกับกรดไขมัน Palmitic acid ทำให้ดูดซึมเข้าผิวได้ง่ายขึ้น เปปไทด์ตัวนี้มีผลกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ไฮยาลูรอน และสารโปรตีนอื่นๆอีกหลายชนิดในผิวที่ทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรงของชั้นหนังแท้ และช่วยเสริมความแข็งแรงของ Dermal-Epidermal junction ให้แข็งแรงมากขึ้น จึงสามารถพยุงเอาชั้นผิวหนังไม่ให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายๆ

-Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับความชุ่มชื้นของผิว

-L-lactic acid เป็นกรด Lactic ชนิดที่ออกฤทธิ์ได้ (active) เป็นสารในกลุ่ม AHA ที่ได้จากการหมักนมด้วยจุลินทรีย์บางชนิด การออกฤทธิ์ขึ้นกับค่า pH โดยอาจจะให้ผลเป็นตัวเพิ่มความชุ่มชื้น หรือ ผลัดเซลล์ผิว สำหรับตัว Lactic ใน pH ประมาณ 4 จะให้ผลกระตุ้นการสังเคราะห์ Ceramide ในผิวได้ ซึ่ง Ceramide ทำหน้าที่เป็น Barrier function รักษาความชุ่มชื้นให้แก่ผิว

-Beta-glucan สารในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ มีประโยชน์เรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ เป็นแหล่งอาหารของเชื้อจุลินทรีย์ดีๆบนผิว ช่วยให้พวกนี้เจริญเติบโตเพื่อมาคอยปกป้องจุลินทรีย์ที่ไม่ดี ช่วยปรับสมดุลภูมิคุ้มกันของผิวหนัง และช่วยลดริ้วรอย

-Fulvic acid สารกลุ่มคาร์โบไฮเดรตที่จัดอยู่ในกลุ่ม Humic substance เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติระหว่างการย่อยสลายของพืช มีคุณสมบัติลดการอักเสบ ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย มีรายงานการวิจัยสนับสนุนว่าสารนี้ให้ผลลดการอักเสบในคนไข้ Eczema ได้ดี และมีผลข้างเคียงต่ำ (Clin Cosmet Investig Dermatol. 2011; 4: 145–148.)

-Hydroxyproline กรดอะมิโนชนิดพิเศษที่พบในเส้นใยคอลลาเจน คาดว่าจะเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์คอลลาเจนให้ผิว

-Thioctic acid เป็นอีกชื่อหนึ่งของ Alpha lipoic acid เป็นสารที่มีฤทธิ์ Antioxidant ค่อนข้างดี

-Lonicera japonica กับ Lonicera caprifolium extract สารสกัดจากดอก Honeysuckle เป็นสูตรผสมของสารกันเสียจากธรรมชาติ ให้ผลปกป้องผลิตภัณฑ์ไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะจุลินทรีย์ มีความปลอดภัยสูงกว่าสารกันเสียสังเคราะห์หลายๆตัว

2.Base มีส่วนของน้ำกับน้ำมัน ดังนี้

2.1 ส่วนของน้ำ ได้แก่ น้ำ, Pentylene glycol, Glycerin, และ Alcohol denat. ตัวแอลกอฮอล์มีอยู่ในลำดับท้ายๆ จึงคิดว่าน่าจะเป็นตัวทำละลายของสารบางอย่างในส่วนผสม และในส่วนผสมเองก็มีสารดูดน้ำดีๆหลายตัว จึงคิดว่าน่าจะต้านไหว แต่อย่างไรก็ดี คนที่ไวต่อแอลกอฮอล์มากๆควรทดสอบการแพ้ก่อน

2.2 ส่วนของน้ำมัน ได้แก่ Phosphatidylcholine นอกจากเรื่องการทดแทนไขผิวหนังก็ยังช่วยเรื่องการสร้างไลโปโซมเพื่อนำส่งสารได้ ร่วมกับ Rubus chamaemorus (cloudberry) seed oil ที่มีกรดไขมันจำเป็นหลายๆตัว และมีส่วนผสมของ Benzoic acid ที่ช่วยเป็นสารกันเสียในตัว

3.Additives ได้แก่

3.1 สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Cyclodextrin กับ Hydroxypropyl cyclodextrin สารสองตัวนี้เป็ฯคาร์โบไฮเดรตที่มีโครงสร้างเป็นทรงกลมกลวงๆ สามารถเก็บกักสารไว้ภายในได้ ช่วยเพิ่มการละลาย และความคงตัวให้สารที่ถูกเก็บไว้ สารเพิ่มความหนืดอื่นๆก็จะมีพวก Dextran และ Xanthan gum

3.2 Penetration enhancer เป็นสารเคมีที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมของสารผ่านผิว ในที่นี้คือ Dimethyl sulfone

3.3 Preservatives ได้แก่ Benzyl alcohol ร่วมกับสารสกัดจากดอกสายน้ำผึ้งอีกสองตัว

3.4 น้ำมันหอมระเหย ใช้แต่งกลิ่น คือ Lavender oil, Sandalwood oil น้ำมันพวกนี้ในทาง Aromatherapy จะมีคุณสมบัติอื่นๆด้วย แต่ก็ขอไม่กล่าวถึงเพราะผลิตภัณฑ์เราไม่ได้เน้นไปทาง Aroma

ถึงเวลาให้คะแนน

1.Actives ผลิตภัณฑ์ออกแบบมาเพื่อใช้ลดเลือนริ้วรอย ซึ่งสารองค์ประกอบก็ทำมาได้ค่อนข้างดี มี peptide คุณภาพดีอยู่สองตัว สามารถกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวได้ เสริมด้วยกรดอะมิโนอย่าง hydroxyproline และก็มีสารดีๆที่ดูแพงอย่าง Asiaticoside ที่กว่าจะแยกออกมาจากบัวบกได้ต้องผ่านขั้นตอนลึกลับซับซ้อนมากมาย กับ Antioxidant และยังให้ผลเรื่อง Barrier ด้วย จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

2.Base ส่วนของน้ำมีสารดูดน้ำอยู่ 2 ตัว ร่วมกับส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ถ้าใครที่ไวต่อแอลกอฮอล์ควรทดสอบการระคายเคืองก่อนการใช้งาน และอย่าลืมใช้งานตามไกด์ที่ทางแบรนด์แนะให้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนของน้ำมันเป็นน้ำมันชนิดที่ซึมผิวได้ โดยรวมจึงขอให้ 4 ฟลาสก์

3.Additives เหมือนเช่นเคย มีสารอยู่ไม่กี่ชนิดเท่าที่จำเป็น ไม่มีพาราเบน ไม่มีน้ำหอมสังเคราะห์ (มีน้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติ) ไม่มีซิลิโคน จุดนี้ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ยังคงคอนเซปท์ความเป็น Natural ไว้ได้อยู่เช่นเคย จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

4.การใช้งาน เนื้อผลืตภัณฑ์มีสีเหลืองอ่อนๆ ไม่ได้รบกวนชีวิตประจำวันมากนัก ดูดซึมค่อนข้างไว ไม่เหนอะหนะ กลิ่นค่อนข้างไปในทางแนวอโรม่า ถ้าใครชอบน่าจะฟินอยู่ หลังจากใช้มาเกือบสามอาทิตย์คิดว่าหน้าดูกระชับขึ้น รูขุมขนต่างๆดูเล็กลง จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์

คะแนน renew

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณบริษัท DermaMD ที่ส่งเวชสำอางดีๆ เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีมาให้มี่ได้ทดลองใช้ค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ทางเวบไซต์ http://www.dermskinstore.com/

หรือแฟนเพจของ Osmosis Thailand ที่ https://www.facebook.com/osmosispurmedicalskincarethailand ได้เลยนะคะ

ขอบคุณที่รับชมมาจนจบค่ะ