Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเพื่อผิวกระจ่างใส LumiLYS[C] จาก So’Bio Etic แล้วจะอึ้งเหมือนดิฉัน ว่า Certified organic แต่ mechanism เริ่ดมงลง 10 10

สำหรับ Blog นี้จะมาวิเคราะห์ส่วนผสมของเซรั่มที่พึ่งออกใหม่ในไลน์ Lumilys [C] ของ So Bio Etic กัน

โดยน้องมาในหน้าตาแบบนี้

ส่วนนี้เป็นแพคเกจ จะมีความเหลือบรุ้งแวววาว ทำไมต้องเหลือบรุ้งแวววาว เดี๋ยวมาดูกัน

เนื้อเซรั่มมาในเบสแบบน้ำนม มีกลิ่นหอมนวลๆ

เกลี่ยได้ง่าย ให้ความชุ่มชื้นสูง

เซรั่มตัวนี้มีสารบำรุงหลายชนิดที่เสริมกันได้อย่างลงตัว เพื่อดูแลปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ เสริมความกระจ่างใสตามธรรมชาติของผิว

ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร หญิง จำนวน 21 คน จากคะแนนความพึงพอใจพบว่า

  • เมื่อใช้ได้ 2 สัปดาห์ ผิวสว่างกระจ่างใสมากขึ้น
  • 4 สัปดาห์ จุดด่างดำดูจางลง
  • 8 สัปดาห์ 90% ของอาสาสมัคร รู้สึกว่าจุดด่างดำจางลงอย่างชัดเจน

จากผลการประเมินในห้องปฏิบัติการ พบว่า

  • 4 สัปดาห์ จุดด่างดำสีจางลง 11.5% และ สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น 24.5%
  • 8 สัปดาห์ จุดด่างดำสีจางลง 29.5% และ สีผิวสม่ำเสมอมากขึ้น 56.6%

ในด้านของส่วนผสมเป็นดังนี้

ในภาพรวมน้องมาในเบสแบบน้ำนม มีส่วนผสมของน้ำมันบำรุงผิวจากธรรมชาติ ส่วนผสมที่เลือกมาค่อนข้างเป็นมิตรทั้งกับผิวและกับสิ่งแวดล้อม สูตรนี้ได้รับการรับรอง Certified Organic จาก Cosme Bio ประเทศฝรั่งเศส

ในด้านสารบำรุงที่เด่นเรื่อง Whitening จะมี Highlight ingredient เป็น สารสกัดจากสาหร่ายสีรุ้ง Cystoseira tamariscifolia extract แบรนด์เคลมว่าเก็บด้วยมือจากพื้นที่ทะเลฝรั่งเศส และได้รับเคลม Organic ในส่วนของการออกฤทธิ์ กลไกการออกฤทธิ์ครบ ตั้งแต่ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ ของกระบวนการสังเคราะห์เม็ดสี

  • ต้นน้ำ: ลด POMC ซึ่งเป็นโปรตีนตั้งต้นของ MSH ที่เป็นฮอร์โมนตัวแม่ที่จะไปกระตุ้นให้เซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ทำงานต่อไป  นอกจากนี้สารสกัดยังไปกระตุ้น AGRP gene ยีนนี้จะสร้าง AGRP ออกมา แล้วไป Block การจับของ MSH กับ Melanocortin ทำให้เม็ดสีไม่สร้าง ผลรวมก็คือ melanocyte ไม่โดนกระตุ้น
  • กลางน้ำ: ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และชะลอไม่ให้ถุง melanosome ใน melanocyte เจริญจนเป็นถุงพร้อมส่งออกไปหนังกำพร้า
  • ปลายน้ำ: ลดการส่งผ่าน melanosome ที่มีเม็ดสีไม่ให้ออกมายังหนังกำพร้า พร้อม กระตุ้นการสลายตัวของถุงเม็ดสีในหนังกำพร้า

พอเป็นสาหร่ายสีรุ้งก็เลยมีแพคเกจเหลือบแวววาวสีสวยแบบนี้ค่ะ

สำหรับสารบำรุงอื่นๆ ที่ให้ประโยชน์ในด้านการดูแลสีผิวไม่สม่ำเสมอก็จะมี

  • Ascorbyl glucoside (AA2G) เป็นวิตามินซีฟอร์มที่ละลายน้ำได้ดี ความคงตัวดีทั้งต่ออุณหภูมิ และ ทน pH ได้ในช่วงกว้าง (Huang et al., Bioorg Med Chem Lett 2013;23(6):1583-1587.) ดูดซึมผ่านผิวได้ เมื่อลงผิวจะกลายร่างเป็น Ascorbic acid (AA) ได้ บางการศึกษาว่าการว่า AA2G มีฤทธิ์ยาวนานกว่า AA เพราะมาจากผิวเราค่อยๆ ตัด Glucose ออก ได้ AA มาทีละน้อยๆ ในด้านของประสิทธิภาพ นั้น มีผลการทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงชนิดต่างๆ พบว่า AA2G มีคุณสมบัติเป็น Whitening โดยไปลดการสร้างเม็ดสี กระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน ประสิทธิภาพเหมือน LAA แต่ออกฤทธิ์ได้นานกว่า ปกป้องเซลล์ผิวจากรังสี UVB ได้ดีตามความเข้มข้นที่เพิ่มขึ้น (Dose dependent) และลดการอักเสบที่เกิดต่อเนื่องมาจากรังสี UV และ เป็น Antioxidant ที่ดี (Enescu et al., J Cosmet Dermatol. 2022;21:2349–2359; Kumano, et al., J Nutr Sci Vitaminol (Tokyo) 1998;44(3):345-359.) ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าใช้อยู่ที่ความเข้มข้น 3%
  • สารสกัดจากหัวและดอก Lily (Lilium candidum) ซึ่งมีสารในกลุ่ม Polyphenol สูง เป็น antioxidant และ ยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่สร้างเม็ดสี จึงได้ทั้งประโยชน์ในเชิงการชะลอวัย และดูแลปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ

นอกจากนี้ยังเสริม Witch hazel leaf water ที่เด่นเรื่องของการกระชับรูขุมขน (astringent) ว่านหางจระเข้ ดูแลเรื่องความชุ่มชื้น และการระคายเคือง และกรดอะมิโน arginine ที่ช่วยเติมน้ำให้ผิว

ในส่วนของการปรับเนื้อให้มีความไม่มันเยิ้มนั้นใช้ ผงจากแกลบข้าว (Rice hull powder) ซึ่งช่วยดูดซับน้ำมันและความมันส่วนเกิน และปรับ finish ให้ matte พร้อมนุ่มนวลขึ้นอีก 1 เสต็ป ด้วย Lauroyl lysine

สำหรับน้ำหอมนั้นแบรนด์เคลมว่าเป็น 100% natural fragrance ค่ะ

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง ในด้าน Whitening การดูแลสีผิวไม่สม่ำเสมอนั้น ถือว่าจัดมาได้ครบทั้งกระบวนการสร้าง-ส่งออกเม็ดสี ด้วยสารสกัดจากสาหร่ายสีรุ้ง เสริม ascorbyl glucoside และ สารสกัดจาก Lily เสริมคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้น ดูแลการระคายเคือง และดูแลเรื่องความมันบนผิวได้อีกหน่อย ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ทำมาได้ดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ เอาจริงๆ ทางนี้ว่า น้องเหมาะมากสำหรับการใช้กลางคืน แล้วใช้คู่กับตัวไนท์ครีมของเขาด้วยนะ คือ ฉ่ำมาก ได้แน่เลยคือ ความชุ่มชื้น ส่วนด้านผิวกระจ่างใส มันจะแบบว่าเสริมออร่า เสริมความสว่าง แบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้ขาวแบบหวือหวา แต่สวย จนคนทักว่าผิวดูดี ในส่วนของกลางวัน ถ้าอากาศร้อนมากๆ หรือชื้นมากๆ คิดว่าน้องชุ่มชื้นไปหน่อย แต่ถ้าใครผิวแห้งน่าจะชอบ ถ้านับแค่ใช้กลางคืนก็ขอให้ไปเลย 5 ฟลาสก์

ไหนๆ ก็เมนชั่นถึงไนท์ครีมแล้ว

มาค่ะ ซักนิด ตัวไนท์ครีมมีชื่อว่า Gentle peeling cream มาในหน้าตาแบบนี้

เนื้อครีมจะมีความหนักขึ้นมาเล็กน้อย

ตอนเกลี่ยจะขึ้นขาวได้เล็กน้อยซึ่งเป็นลักษณะปกติของการขึ้นเนื้อครีมด้วยสารที่ certified natural/organic นะคะ เมื่อเกลี่ยเสร็จแล้วจะได้ฟินิชที่ชุ่มชื้นดี

สำหรับส่วนผสมของสูตรครีมเป็น

ในภาพรวมก็คือสารบำรุงชุดหลักจะเหมือนตัว Serum แต่จุดที่เพิ่มเติมเข้ามาคือ

  • สารสกัดจาก Sea fennel (Crithmum maritimum extract) อันนี้แบรนด์เคลมเรื่องผลัดผิวอย่างอ่อนโยน ดูแลเรื่องความกระจ่างใส และดูแลริ้วรอย
  • เพิ่มน้ำมันบำรุงผิว โดยมีส่วนผสมของน้ำมันทานตะวัน Castor, Shea butter เข้ามา

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ So’Bio ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาในกลไกใหม่ๆ แปลกตา มาให้ได้รู้จัก และได้เปิดหูเปิดตาว่า สูตร Certified organic สามารถทำอะไรที่มันมีกลไกการออกฤทธิ์แบบซับซ้อนได้จริง และมาพร้อมผลทดสอบในอาสาสมัคร อันนี้ชอบมาก

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ So’Bio เลยนะคะ

https://www.facebook.com/tipchapter35

ทางไปช้อปปิ้ง

https://s.lazada.co.th/s.yOjCS?cc

https://s.shopee.co.th/8AL1X6YQJO

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของขวัญมาจากทางแบรนด์ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แฝดน้อง Melasyl ใน L’Oréal Glycolic bright anti-dark spot brightening serum

Blog นี้ขอหยิบเอาเซรั่ม MelasylTM แฝดน้องจาก L’Oréal มารีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมกันค่ะ

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Glycolic bright anti-dark spot brightening serum ซึ่งมีเคลมส่วนผสมเป็น 8% MelasylTM + Glycolic acid + Niacinamide

หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

ส่วนนี้จะเป็นกล่องของผลิตภัณฑ์ วิบวับแวววาว

เนื้อเซรั่มสีชมพู มีความหนืดเล็กน้อย กลิ่นหอม

เกลี่ยง่าย ให้ฟีลชุ่มชื้น ลื่นผิว ซึมไว แห้งไว จะลื่นๆ นิดหน่อย แต่ไม่เหนอะหนะ

ตัวนี้ใช้ Melasyl เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง L’Oréal ซึ่งผ่านการค้นคว้าวิจัยแบบเดียวกับวงการยา คือ เริ่มจากสารที่มีโอกาสจะ active เรียกว่า Lead เป็นแสนๆ สาร เอามาสกรีนผ่าน software จนได้สารเดียวที่สามารถจับกับสารตั้งต้นในการสังเคราะห์เมลานินของผิวได้อย่างแนบแน่น แล้วทำให้การสังเคราะห์เมลานินหยุดชะงักลง

สูตรโครงสร้างของ Melasyl หรือ INCI name (ชื่อกลางในวงการเครื่องสำอาง) 2-Mercaptonicotinoyl glycine; 2-MNG) มีหน้าตาประมาณนี้

2-MNG จะจับกับสารตั้งต้นในกระบวนการสร้างเมลานินได้ค่อนข้างครบ

นอกจากจดในสิทธิบัตรแล้ว ล่าสุดในปี 2024 ที่ผ่านมา 2-MNG มีผลงานตีพิมพ์อธิบายกลไกต่างๆ ในวารสาร Pigment Cell & Melanoma Research ซึ่งเป็นวารสารที่มี impact ในวงการเม็ดสีค่อนข้างสูง (Sextius, et al. Pigment Cell & Melanoma Research. 2024;37(4):462-479.)

จุดเด่นของกลไกการออกฤทธิ์แบบนี้ก็คือ ไม่ไปรบกวนการทำงานของเมลาโนไซต์ (เซลล์สร้างเม็ดสี)

สำหรับส่วนผสมแบบเต็ม เป็นดังนี้

ในด้านของส่วนผสมเรียกได้ว่าทำมาได้ค่อนข้างดี

  • Melasyl หรือ 2-Mercaptonicotinoyl glycine เป็นสารนวัตกรรมที่ออกฤทธิ์เป็น whitening ด้วยกลไกแบบใหม่ แบบสับ โดยไปจับสารตั้งต้นในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำให้การสังเคราะห์เมลานินหยุดลง
  • เสริมมาด้วย Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ซึ่งมีประโยชน์กับผิวหลายๆ ประการ ถ้าเป็นด้าน Whitening สารนี้จะไปขัดขวางการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก และให้ประโยชน์อื่นๆ เสริม เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง คุมความมัน เสริมการสังเคราะห์ Barrier ผิว
  • Caffeine มีประโยชน์ต่อผิวหลายอย่าง เช่น เป็น Antioxidant, ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV (Indian J Dermatol. 2023;68(5):546–550.)
  • ผลัดผิวภายนอก ด้วย HEPES ร่วมกับ Glycolic acid (เป็น AHA) และ Capryloyl salicylic acid (เป็น LHA)
  • ลดการระคายเคืองด้วย Biosaccharide gum-1
  • เติมน้ำด้วย Hyaluronic acid
  • เสริม Antioxidant ด้วยวิตามินอี 2 ฟอร์ม คือ Tocopheryl acetate และ Tocopherol

ในเบสจะมีส่วนผสมของ Alcohol แต่ก็ไม่ได้ทำให้ส่วนตัวรู้สึกว่าแห้งหรือระคายเคือง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าในสูตรจะมี Caprylyl methicone ที่เคลือบผิวได้อยู่

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ในชุดส่วนผสมนี้มีสาร Whitening อยู่ 3 ส่วนหลัก คือ ยับยั้งการสร้างเม็ดสีด้วย Melasyl ขัดขวางการส่งผ่านเม็ดสีด้วย B3 และผลัดผิวด้วย HEPES-AHA-LHA พร้อมดูแลการระคายเคืองด้วย Biosaccharide gum-1 เติมน้ำด้วย Hya และมีวิตามินอี + Caffeine เป็น Antioxidant ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในเบสมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เลยขอหัก 1 คะแนน เหลือ 4 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ตัวเซรั่มเนื้อดูเหมือนหนืด ลื่น แต่เกลี่ยง่าย เอาลงรูทีนได้ง่าย ทางแบรนด์เคลมว่าใช้ได้ทั้งเช้าเย็น ซึ่งถ้าทาเช้า จะต้องใช้กันแดดด้วย และพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะว่า AHA ผลัดผิว ทำให้ผิวไวต่อแดดได้ง่ายขึ้น ส่วนตัวเลือกทาเฉพาะกลางคืน ขวด 15 ml 1 ขวด ก็ใช้ได้นานอยู่เกือบๆ 2 เดือน เคยได้โปร ชิ้นที่ 2 1 บาท ที่วัตสันมาก็คือเริ่ด ให้ไป 5 ฟลาสก์

ขอบคุณทุกท่านนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ พบกันใหม่ Blog ถัดไป สวัสดีค่ะ

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/3ArU6cGHSd

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.t23Li?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมสกินแคร์ดูแลจุดด่างดำเพื่อผิวกระจ่างใส สูตร Cleanical beauty จาก T’else ในไลน์ Red orange ครบชุดทั้งโทนเนอร์ และเซรั่ม

T’else rebrand ใหม่ ปรับคอนเซปท์เป็น Cleanical beauty ภายใต้ชื่อใหม่ Terra + Else วันนี้มาถึงคิววิเคราะห์ส่วนผสมของ Line Red orange กันบ้างค่ะ

สำหรับ Line นี้จะมาในสีส้มสดใส เน้นเคลมหลักไปที่ด้าน Brightening & Vitalizing เพื่อผิวกระจ่างใส มีชีวิตชีวา

  • ด้วยส่วนผสมของ Terra เป็น Blood orange ส้มสีเลือดเกรดออร์แกนิกจากอิตาลี่ นำมาสกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษของทางแบรนด์ ที่เรียกว่า Air-brewing 100TM ที่สกัดด้วยฟองอากาศบางๆ ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส กว่า 100 ชั่วโมง
  • มาจับคู่กับ Niacinamide วิตามินบี 3 สารพัดประโยชน์ เพื่อดูแลด้านความกระจ่างใสของผิว

Line นี้มาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ก่อนไปรีวิว ต้องบอกก่อนว่า ทำไมทางแบรนด์ถึงเลือก Blood orange สายพันธุ์ Moro จากอิตาลี นั่นก็เพราะว่ามีส่วนผสมของ Anthocyanin สูงกว่า Blood orange สายพันธุ์อื่นนั่นเอง

ถึงเวลาของการรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม โดยจะขอเริ่มที่สูตร Toner

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

เช่นเคย วัตถุดิบสำหรับภาชนะบรรจุมาจาก PCR (post-consumer recycled) plastic

เนื้อโทนเนอร์เป็นแบบใส มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ที่เบลนด์ขึ้นมาจาก Galbanum (Ferula galbaniflua) resin และ Mugwort (Artemisia vulgaris) essential oil

กลิ่นจะเป็น Top green ตามมาด้วยกลิ่นโทนยางไม้และ woody ใครที่ชอบก็จะชอบ ใครที่ไม่ชินก็อาจจะรู้สึกแบบ แปลกๆ แต่กลิ่นไม่ติดผิวค่ะ แป๊บเดียวก็ไปละ ไม่ต้องกังวลไป

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ เหมาะกับการใช้ทั้งเทบนมือแล้วตบๆ เป็นน้ำตบ หรือ เทใส่สำลีแล้ว tap เบาๆ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

ความน่าสนใจของสูตร Toner นี้คือ ทางแบรนด์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัครมาเรียบร้อย โดยจุดเด่น ก็คือ น้องสามารถปรับโทนสีผิวให้แลดูกระจ่างใส โดยลดทั้งความด่างดำ และ ความเหลืองของสีผิว

โดยการวัดค่าความด่างดำ นั้นประเมินจากค่าความสว่าง (L*) พบว่า เมื่อให้อาสาสมัครใช้ไปเพียง 7 วัน ก็สามารถเพิ่มความสว่างให้ผิวได้ จึงเป็นที่มาของการเคลมว่าสัมผัสการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 7 วัน

ส่วนประสิทธิภาพการปรับความเหลือง วัดจากค่า b* เป็นค่าสีในแกนเหลือง-น้ำเงิน ค่าที่น้อยลง แสดงถึงความเหลืองน้อยลง ซึ่งพบว่าเริ่มเห็นผล (Significant) ตั้งแต่ 7 วันแรก

วิเคราะห์ส่วนผสมของ Toner กันดีกว่า

สำหรับส่วนผสม พระเอก คงหนีไม่พ้นสารสกัดจาก Blood orange (Citrus sinensis (orange) fruit extract) ที่ได้จากส้ม Blood orange จากประเทศอิตาลี่ สกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของทางแบรนด์ เพื่อดึงเอาสารพฤกษเคมีที่สำคัญออกมา ด้วยกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โดยในสารสกัดจากส้ม Blood orange นั้นประกอบด้วยพฤกษเคมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Vitamin C, Anthocyanin และ Flavonoid ที่เป็น Antioxidant ที่ดีกับผิว

โดย Flavonoid ที่พบในส้มนั้นมีหลายชนิด เช่น quercetin, kaempferol, hesperidin, nobiletin เป็นต้น

ส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่

  • Gluconolactone เป็น PHA ที่ดูแลเรื่องการผลัดผิวได้อย่างอ่อนโยน
  • วิตามินรวม ทั้ง Niacinamide (B3), Ascorbic acid (C), Cyanocobalamin (B12), Folic acid, Panthenol (B5) และ Tocopherol (E) ที่ให้ประโยชน์กับผิวได้หลากหลายประการ
  • ดูแลการระคายเคือง พร้อมให้ความรู้สึกสบายผิวด้วย Betaine
  • เติมน้ำด้วยกรดอะมิโน Arginine
  • ดูแลริ้วรอยด้วย Adenosine

มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ถัดมาเราลองมาดูสูตร Serum บ้าง

ตัว Serum มาในหน้าตาประมาณนี้

แพคเกจเป็นแบบขวดปั๊ม

เนื้อเป็นเซรั่มแบบน้ำใส มีความหนืดมีน้ำมีเนื้อ ในส่วนของกลิ่นก็เป็นโทนเดียวกัน คือ Galbanum + Mugwort

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น ถ้าเทียบกับสูตร Toner

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 เช่นกัน

สำหรับเซรั่มนี้ก็ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัครมาเช่นกันค่ะ โดยน้องจะเด่นเรื่องของการดูแลปัญหาสีผิวที่พบเจอในชีวิตประจำวัน 4 ชนิด ได้แก่ จุดด่างดำ ฝ้า กระ และผิวคล้ำจากการสัมผัสผิว UV

โดยในการทดสอบกับอาสาสมัครพบว่าเซรั่มสามารถดูแลลดความเข้มของจุดด่างดำทั้งระดับตื้น และระดับลึกได้โดยผลเริ่มเห็น (Significant) ที่ 7 วัน

85% ของอาสาสมัครที่ทดลองใช้ 2 สัปดาห์พบว่าสีผิวขาวกระจ่างใสขึ้น และบริเวณของรอยดำแลดูลดลง

มาดูส่วนผสมกันบ้าง

ส่วนผสมจะมีปรับจาก Toner นิดหน่อยนะคะ

  • เพิ่มความเข้มข้นของสารสกัดจาก Blood orange และ Niacinamide ขึ้นมา
  • ปรับสารการดูแลการระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิวแบบฉ่ำ ด้วย Allantoin และ Dipotassium glycyrrhizate
  • ตัด PHA ออกไป

ส่วนของเบสมีการเพิ่มสารเพิ่มความหนืดให้มีน้ำมีเนื้อมากขึ้น และยังคงไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ตั้งแต่วันเปิดตัว (แต่ดิฉันพึ่งได้ฤกษ์หยิบมารีวิว) และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ T’else โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/TelseThailand

ทางไปตำ (สูตร Toner)

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.micRO?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/6plLWGOy8f

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มดูแลปัญหาฝ้าด้วยเทรนด์ Minimal จากแบรนด์ Foré (ฟอร์เร่) กับ 4 White Melasma correcting serum

Content นี้จะนำเอาผลิตภัณฑ์เซรั่มที่น่าสนใจจากแบรนด์ Foré (ฟอร์เร่) ที่มีชื่อว่า 4 White Melasma correcting serum มาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกัน

แบรนด์ Foré เป็นสกินแคร์แบรนด์ไทยน้องใหม่ ที่มีปรัชญาในการดูแลผิวหน้าด้วยเทรนด์ Minimal หรือ Less is more ด้วยการพัฒนาสูตรให้เป็นมิตรกับผิว โดยเลือกใช้ส่วนผสมตามงานวิจัยในปริมาณที่หวังผลได้

แบรนด์ Foré เลือกสารบำรุงด้วยเทคนิคการทำงานแบบ Double Action คือ

  • 1st Action: ดูแลปัญหาผิวต่างๆ เช่น ปัญหาสิว รอยสิว ฝ้า จุดด่างดำ ผิวหมองคล้ำ
  • 2nd Action: เพิ่มความชุ่มชื้นของผิวผ่าน 2 มิติ โดยการทดแทน Natural Moisturizing Factor (NMF) ด้วยสารสกัดจากธรรมชาติ Black Oat และมี Lecithin เสริมการทำงานของชั้นไขมันที่เป็นปราการผิวตามธรรมชาติ ที่ช่วยให้ผิวเนียนนุ่ม ชุ่มชื้น และมีสุขภาพดี

โดยพัฒนาสูตรและส่วนผสมมาได้อย่างลงตัว และเลือกใช้ส่วนผสมที่จำเป็นมาดูแลผิวได้อย่างลงตัว

สำหรับสูตร 4 White Melasma correcting serum จะเป็นเซรั่มสำหรับดูแลปัญหาฝ้าและดูแลเรื่องผิวกระจ่างใสเป็นหลักค่ะ

โดยน้องจะมีหน้าตาประมาณนี้

มาในแพคเกจแบบขวดแก้วสีชา มีดรอปเปอร์

เนื้อเซรั่มค่อนข้างข้น ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น เย็นและสบายผิว เนื้อจะมีความเคลือบผิวอยู่ แต่ไม่ถึงกับเหนอะหนะ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

สำหรับส่วนผสมหลักตามแบรนด์เคลมจะประกอบด้วยสารหลักดังนี้ค่ะ

  • 3% Tranexamic acid
  • 2% Alpha-arbutin
  • 5% Niacinamide
  • 4-butyl resorcinol

เสริม Dipotassium glycyrrhizate เข้ามาช่วยดูแลเรื่องความรู้สึกสบายผิว ดูแลเรื่องการระคายเคือง และ Lecithin ที่ดูแลด้านความชุ่มชื้นให้ผิว

ส่วนผสมแบบเต็มเป็นดังนี้

เรามาดูรายละเอียดส่วนผสมแต่ละชิ้นกัน

สารส่วนผสมที่ให้ประโยชน์หลักในด้าน Whitening แทนด้วยสีชมพู

  • Tranexamic acid หรือ TXA เป็นสารสำคัญชิ้นหนึ่งในวงการ Whitening เดิมทีใช้เป็นยาช่วยให้เลือดแข็งตัว เป็นยาห้ามเลือด แต่พบว่าสารสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์ไทโรซิเนส มีผลลดการสร้างเมลานิน ผ่านการยับยั้ง Plasmin ซึ่งปกติ Plasmin เป็นตัวตั้งต้นก่อนจะไปกระตุ้นฮอร์โมน alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวแม่ที่จะไปกระตุ้นให้เซลล์เมลาโนไซท์ ทำงานมากขึ้นก็สร้างเมลานินออกมาได้มากขึ้น พอโดนยับยั้งไปก็มีการสร้าง Melanin ออกมาลดลงเกิดเป็นประสิทธิภาพด้าน Whitening (J Am Acad Dermatol 2011;October:699-714.) มีรายงานการวิจัยศึกษาผลของ Tranexamic acid เข้มข้น 3 % ในสูตรครีมเพื่อรักษาฝ้าในอาสาสมัคร พบว่าให้ผลดีเทียบเท่าสูตรผสมของ Hydroquinone กับ Dexamethasone แต่ผลข้างเคียงต่ำกว่ามาก (J Res Med Sci. 2014;19(8):753-7.)
  • Niacinamide เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามิน B3 น้องมีประโยชน์กับผิวได้หลายประการ ถ้าเป็นด้านของ Whitening น้องจะไปยับยั้งการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก (ยับยั้งที่กระบวนการ Melanosome transfer) และยังมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ดูแลเรื่องสิว ควบคุมความมัน ลดการอักเสบระคายเคือง เสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว
  • มีงานวิจัยที่ทดสอบประสิทธิภาพของ TXA 2% + Niacinamide 2% ในอาสาสมัคร เป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าให้ผลเสริมฤทธิ์กันในการลดปริมาณเม็ดสี (Melanin index) ในอาสาสมัครได้ดี (Lee et al, Skin Res Technol. 2014 May;20(2):208-12.) ซึ่งทางแบรนด์ก็คือใช้ TXA 3% + B3 5% จัดเต็มไปอีก
  • 4-butyl resorcinol ออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ทำให้เมลานินถูกสร้างมาน้อยลง สารนี้มีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครที่เป็นฝ้ากับครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้ 0.1% เป็นเวลา 6-8 สัปดาห์ พบว่ารอยฝ้าจางลง และมีรายงานผลข้างเคียงจากการทดสอบน้อย (Ann Dermatol. 2010; 22(1): 21–25.)
  • Alpha-arbutin เป็นตัวยืนพื้นอีกตัวแห่งวงการ Whitening มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ทำให้เมลานินถูกสร้างมาน้อยลง ผิวจึงแลดูขาวขึ้น

สำหรับสารบำรุงด้าน Whitening ที่ทางแบรนด์เลือกใช้นั้นเรียกได้ว่า Dose ถึง อิงตามงานวิจัย และมีการออกฤทธิ์ที่เสริมกันในหลายขั้นตอนของการสร้างเม็ดสีผิว สามารถสรุปได้ประมาณรูปนี้

สารบำรุงชุดต่อมา สารสกัดจาก Black oat (Avena strigosa seed extract) ที่มาในคอมบิเนชั่นกับ Lecithin และสารอื่นๆ น่าจะเป็นชุดส่วนผสมของ Aquarich ที่นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าสารบำรุงชุดนี้เป็น Epidermal moisture ally อารมณ์แบบมิตรแท้สำหรับเก็บกักน้ำ โดยมีผลการทดสอบสารสกัดชุดนี้ในอาสาสมัครโดยทางบริษัท พบว่าช่วยเสริมการกักเก็บน้ำให้อยู่ในผิวได้นานขึ้นถึง 24 ชั่วโมง และ ลดการเกิดอาการแห้ง ลอกเป็นขุยของผิวหนัง เมื่อให้อาสาสมัครใช้เป็นเวลา 14 วัน (TDS Aquarich by Rahn AG)

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่

  • Borage seed oil หรือ น้ำมันจากเมล็ด Borage ประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็น Linoleic acid ที่ดูแลเรื่อง Barrier ผิว ให้ผิวแข็งแรง
  • Dipotassium glycyrrhizate ดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Arginine เป็นกรดอะมิโน ที่ดูแลเรื่องการเก็บกักน้ำตามธรรมชาติของผิว

มาในเบสที่เป็นเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง สำหรับสารบำรุงที่จัดเป็น Whitening นั้นทำงานร่วมกันผ่านหลายกลไก ตั้งแต่ก่อนเริ่มสร้างเม็ดสี ระหว่างสร้างเม็ดสี ไปจนถึงสร้างเม็ดสีเสร็จแล้ว โดยมี B3 ไปขัดขวางไม่ให้เม็ดสีออกไปข้างนอก และเสริมสารที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิวกับการระคายเคืองมาด้วยพร้อมๆ กัน ถ้ามี Antioxidant (AOX) อื่นๆ มาเสริมอีกสักหน่อยจะสมบูรณ์แบบ แต่จริงๆ เราก็สามารถไปทาวิตามินซี หรือ AOX อื่นเสริมเองในขั้นตอนอื่นของรูทีนก็ได้ โดยรวมขอให้ 4 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์นี้ประมาณ 2 สัปดาห์เศษๆ ค่อนข้างชอบเนื้อของเซรั่มที่ค่อนข้างชุ่มผิว ด้วยความที่เราเป็นคนผิวผสม/แห้ง เนื้อประมาณนี้คือกำลังดีเลย ส่วนประสิทธิภาพด้าน Whitening นั้นอาจจะยังฟันธงได้ 100% เลยไม่ได้ เพราะใช้มาแค่ระยะสั้นๆ และตนเองก็ไม่ได้มีปัญหาจุดด่างดำในช่วงนี้ แต่ก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีของผิว จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Foré (ฟอร์เร่) ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: Fore skincare https://www.facebook.com/profile.php?id=100090069652535

ส่วนของราคาก็กำลังน่ารัก ขวดนี้ 30 ml อยู่ที่ 590 บาทค่ะ (สำรวจเมื่อ 4 ก.ย. 2566 ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น)

สามารถติดตามไปแอบส่องแอบตำได้ที่ตามช่องทางของทางแบรนด์เลยนะคะ

LazMall https://s.lazada.co.th/s.kLPlj?cc

ShopeeMall https://shope.ee/3VHnh4Rc6j

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Foré  การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Press conference] รวมบรรยากาศงานเปิดตัวสินค้า Melabright [C+] by Alphascience 29 – 30 เมษายน 2566

เมื่อวันที่ 29 – 30 เมษายน 2566 ที่ผ่านมา ทางแบรนด์ Alphascience ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ Melabright [C+] เซรั่มดูแลปัญหาฝ้า ที่มีส่วนผสมของ Cysteamine แบบใช้แล้วไม่ต้องล้างออกชิ้นแรกของโลกค่ะ

ส่วนตัวดิฉันเองได้รับเกียรติเชิญเป็นวิทยากรในงานนี้ร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิ KOLs และ Influencer อีกหลายๆ ท่าน เลยขอนำภาพบรรยากาศมาฝากกันค่ะ

สำหรับเซรั่ม Melabright [C+] ตัวนี้เรียกได้ว่าเป็นตัวหนึ่งที่น่าจับตามองเลยทีเดียวค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ: Propylene glycol, Isopentyldiol, Aqua, Ascorbic acid, Ginkgo biloba leaf extract, Cysteamine HCl, Ethoxydiglycol, Phytic acid, Acetyl glycyl beta-alanine, PEG-8 dimethicone, Aminomethyl propanol, Citric acid, Sodium citrate, Glycereth-26.

ในงานก็เอา Top three มาตั้งโชว์ค่ะ

ตัว HA Booster ทางเพจได้เคยรีวิวไปแล้ว ท่านที่สนใจสามารถติดตามอ่านได้ที่ลิงค์นี้เลยนะคะ >>Click อ่านรีวิว HA Booster<<

เริ่มเปิดงานด้วยเชฟกันน์ สรวิศ มาโชว์ทำอาหารเมนูที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเซรั่มของ Alphascience ค่ะ

(ขอบคุณภาพถ่ายจากทางทีมงาน Alphascience)

หลังจากนั้นคุณเข้ม หัสวีร์ แบรนด์แอมบาสเดอร์คนแรกของ Alphascience ก็ออกมาร้องเพลงให้ FC ทุกท่านฟัง และเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประสบการณ์ใช้ Melabright [C+]

(ขอบคุณภาพถ่ายจากทางทีมงาน Alphascience)

และผู้บริหารของทางบริษัท Derma MD ตัวแทนจำหน่ายของ Alphascience ก็ได้มากล่าวต้อนรับและกล่าวถึงการนำเอา Alphascience เข้ามาจำหน่ายค่ะ

(ขอบคุณภาพถ่ายจากทางทีมงาน Alphascience)

หลังจากนั้น Dr.Alfred Marchal ผู้เชี่ยวชาญด้าน Antioxidant ที่คิดค้นตำรับนี้ กับ คุณ Julien Revol CEO ของ Alphascience ประเทศฝรั่งเศสก็ได้มาเล่าแบรนด์สตอรี่ให้ฟังค่ะ

(ขอบคุณภาพถ่ายจากทางทีมงาน Alphascience)

ทางเพจเคยนำเสนอ Brand story ของ Alphascience ไว้ ท่านที่สนใจสามารถติดตามรับชมได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click อ่าน Brand story<<

จากนั้นก็เป็นการคุยกันเรื่องเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ค่ะ

Session แรก เริ่มด้วยดิฉันเอง ในหัวข้อเกี่ยวกับ เทรนด์ของผลิตภัณฑ์ Whitening และรายละเอียดของ Vitamin C และ Cysteamine

ต่อมาเป็นหมอเจี๊ยบ เพจ Hello skin by หมอผิวหนัง มาให้ความรู้เกี่ยวกับฝ้า และการดูแลรักษา

และคุณแพรี่ มาเล่าประสบการณ์การใช้งานผลิตภัณฑ์ค่ะ

หมอเจี๊ยบกับคุณแพรี่น่ารักมากๆ ค่ะ

ต่อด้วยหมอต่อ คุณทราย เจริญปุระ และ คุณเยาวธิดาจากเพจ GURUCHECK เช็ค กับ กูรู ค่ะ

จากนั้นก็เป็นการถ่ายรูปร่วมกันค่ะ

ส่วนกิจกรรมวันที่ 2 ก็น่าสนใจเหมือนกันนะคะ

Session แรก เป็น Beauty Guru interview talk ที่ดิฉันมีโอกาสได้แชร์เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับการดูแลผิวคู่กับคุณ Jossy เพจ Jossy Berry ค่ะ คุณ Jossy สวยฉ่ำมงลง น่ารักมากๆ

ส่วนอีก Session เป็นวิทยากรร่วมกับ Dr.Alfred บรรยายเกี่ยวกับเรื่อง Antioxidant และนวัตกรรม/เทคโนโลยี Nextgen Vitamin C ของทางแบรนด์ค่ะ

สำหรับงาน Press conference เปิดตัว Melabright [C+] ก็คือเรียกได้ว่าจัดขึ้นได้อย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียวค่ะ

Special thanks: รูปถ่ายจากทีมงาน Alphascience และ บริษัท Derma MD

Sponsorship: บริษัท Derma MD จำกัด ประเทศไทย และ แบรนด์ Alphascience ประเทศฝรั่งเศส

Disclaimer: Self-opinion

Image

Basic CosSci: สีผิว และ การสร้างเม็ดสีผิวเบื้องต้น (Melanogenesis) (revised 2023)

เนื้อหา: วิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง, Dermatology ระดับความยาก: ปานกลาง

ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening นี้เรียกได้ว่าติดกระแสตลาดในบ้านเราและในกลุ่มประเทศทางเอเชียมาก เพราะผู้บริโภคบ้านเรานั้นคิดว่าปัญหาเรื่องสีผิวมีความสำคัญสุดในทาง Skincare ทำให้มีผลิตภัณฑ์ Whitening ออกมากมายในตลาด และแนวโน้มของ Whitening นั้นจะสลับซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ และมีการออกฤทธิ์ที่พิสดารพันลึกขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งสำคัญที่เราต้องรู้เลย คือ “Whitening ไม่สามารถเปลี่ยนสีผิวให้แตกต่างไปจากสีผิวที่เรามีตอนเกิดมาได้” หรือ พูดง่ายๆ ก็คือ ถ้าเราใช้ Whitening นางก็จะออกฤทธิ์ได้ Maximum สุดได้เท่ากับบริเวณที่ขาวที่สุดของเราเท่านั้น

แต่ช่วงหลังๆ มานี้ เริ่มมีดราม่าเกี่ยวกับเรื่องของการเหยียดสีผิว เหยียดเชื้อชาติ เลยทำให้ผลิตภัณฑ์กลุ่ม Whitening ในหลายๆ แห่ง ต้องปรับตัวหนักมาก ซึ่งจุดนี้เราก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ตลาดกลุ่มนี้จะไปต่ออย่างไร

ก่อนจะไปดูเรื่องการสร้างเม็ดสีผิว อยากขอพูดถึงเรื่องของ Skin complexion ก่อนค่ะ 

Skin complexion เป็นคำโบราณ ที่มีใช้กันมานานแล้ว เพียงแต่เริ่มมาป๊อปในช่วงหลังๆนี้เอง คำนี้จริงๆ ส่วนตัวมองว่าแปลค่อนข้างยากนะคะ โดยรวมมันจะหมายถึง ลักษณะต่างๆโดยรวมที่ปรากฏออกมาให้เรามองเห็น ไม่ว่าจะเป็นสีผิว ความสม่ำเสมอของสีผิว undertone ความอมชมพู ตำหนิ และจุดด่างดำต่างๆ รวมกัน และบางที่ก็นับรวมเอาริ้วรอยเข้าไปด้วยค่ะ

สำหรับสีผิวที่เรามองเห็นนั้นเกิดจากสีของสารต่างๆ หลายชนิดรวมกัน ได้แก่

  1. Melanin เป็นเม็ดสีที่เป็นเหมือนพระเอก มีสีน้ำตาล ไปจนถึงดำ
  2. Oxyhemoglobin เป็น Pigment ที่อยู่กับเม็ดเลือดแดงในเส้นเลือดฝอย มีสีแดง
  3. Deoxy-hemoglobin เป็น Pigment ที่อยู่ในหลอดเลือดดำ มีสีน้ำเงิน
  4. Bilirubin เกิดจากเม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ มีสีเหลืองไปจนถึงน้ำตาล
  5. Carotenoid ได้จากอาหารที่เรารับประทาน มีสีเหลืองอมส้ม

ผิวที่มีสุขภาพดีมักจะมี Complexion เป็นสีพีช หรือ สีชมพู ส่วนผิวที่เริ่มมีการ Aging (ไม่แปลนะคะ คำแปลมันทำร้ายจิตใจเหลือเกิน) มักจะมีสี Complexion เป็นสีเทา

เม็ดสี Carotenoid ที่ได้จากอาหารนั้นสามารถสะสมที่ผิวได้ สามารถทำหน้าที่เป็นสารปกป้องผิวจากรังสี UV ในแสงแดด จึงมีผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอาจุดนี้มา Claim เป็นอาหารเสริมที่กินแล้วกันแดดได้ และดังอยู่ในตลาดพักใหญ่ๆ เลย

คนที่ชอบทานผักผลไม้สีเหลืองเขียวมากๆ เช่น ฟักทอง แครอท ผิวของคนพวกนี้ก็จะออกเหลือง การสะสมของ Carotenoid บนผิวนั้นไม่ได้มีอันตรายอะไร และจะค่อยๆ จางไปเมื่อเราลดการทานผักผลไม้เหล่านี้ลง

การสร้าง Melanin ของชั้นหนังกำพร้า

Melanin นั้นจัดเป็นเม็ดสีที่สำคัญที่สุด มีประโยชน์หลายๆ ด้าน เช่น เป็นตัวปกป้องผิวหนังไม่ให้ได้รับอัตรายจากรังสี UV โดยเป็นตัว Antioxidant ช่วยลดผลเสียของรังสี UV ต่อผิว ปกป้ององค์ประกอบต่างๆ ผิวไว้ไม่ให้โดนทำลายเพราะรังสี UV ซึ่งจุดนี้สามารถป้องกันการเกิดมะเร็งผิวหนังได้

โดยการสร้าง Melanin ในผิวนั้นเกิดจากกรดอะมิโนที่ชื่อ ไทโรซีน (Tyrosine) ผ่านการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส (Tyrosinase) ปฏิกิริยาการสร้างเมลานินมีด้วยกันหลายขั้นตอน จนในที่สุดจะได้เมลานินออกมา เมลานินที่ผิวสร้างมี 2 ชนิด คือ ชนิดสีอ่อน (Pheomelanin) และชนิดสีเข้ม (Eumelanin) สัดส่วนของเมลานินทั้งสองชนิด ร่วมกับ Pigment อื่นๆ จะเกิดเป็น Complexion ของสีผิวแต่ละคนขึ้นมา

ตัวที่กำหนดว่าเมลานินที่สร้างได้จะเป็นชนิดสีอ่อนหรือชนิดสีเข้มนั้นขึ้นอยู่กับปริมาณของกรดอะมิโน Cysteine ในผิว ถ้ามี Cysteine มาก ก็จะเกิดเป็นเมลานินสีอ่อนมากขึ้น ดังรูป

ดังนั้นการได้รับ Cysteine หรือ Glutathione ซึ่งมี Cysteine เป็นองค์ประกอบก็จะช่วยให้สีผิวอ่อนลงได้ เพราะผิวเอาไปสร้างเมลานินชนิดสีอ่อนมากขึ้นนั่นเอง

ตรงนี้ตอบโจทย์ว่าทำไม Glutathione ทำให้ผิวขาวได้

เมลานินที่เซลล์สร้างได้จะเก็บรวมๆ กันไว้ในถุงที่ชื่อ Melanosome ก่อนเคลื่อนย้ายออกมาภายนอกและมองเห็นเป็นสีผิว กลไกที่ถุง Melanosome นี้ออกมาข้างนอกเรียกว่า Melanin transfer หรือ Melanosome transfer กระบวนการที่แท้จริงนั้นนักวิทยาศาสตร์ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่คาดว่าเกี่ยวข้องกับเอนไซม์ Protease บางชนิด เช่น PAR-2 receptor เพราะว่ากลไกนี้สามารถยับยั้งได้ด้วยสารที่ยับยั้งเอนไซม์ Protease (Protease inhibitor) ที่พบในถั่วเหลือง (ถั่วเหลืองดิบปกติมีเอนไซม์ที่เป็นตัวยับยั้งเอนไซม์ย่อยโปรตีนอยู่ โปรตีนก็จะไม่โดนย่อย เวลาเรากินถั่วเหลืองที่ไม่สุกดีในปริมาณมากๆ จะปวดมวนท้องเพราะโปรตีนไม่โดยย่อย)

กระบวนการสร้างเมลานินถูกควบคุมโดยปัจจัยมากมาย เช่น ฮอร์โมน ความเครียด อนุมูลอิสระ การอักเสบ และรังสี UV เป็นต้น

สำหรับฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่สำคัญต่อการสร้างเมลานินก็คือ alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) เป็นฮอร์โมนที่ไปกระตุ้นให้เซลล์ Melanocyte ทำงานได้ดีขึ้น จึงสร้างเมลานินออกมาได้มากขึ้น

ความเครียดและอนุมูลอิสระก็เป็นอีกสาเหตุหนีงที่กระตุ้นให้เกิดการสร้าง Melanin ออกมามากขึ้น โดยเป็นกลไกในการปกป้องตัวเองของผิว เพราะ Melanin สามารถไปกำจัดอนุมูลอิสระเหล่านี้ได้ บ่อยครั้งที่สารต้านอนุมูลอิสระ หรือ Antioxidant สามารถให้ผลเป็น Whitening ได้อย่างอ้อมๆ

อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้การสร้างเมลานินเกิดได้มากขึ้นก็คือการอักเสบ เมื่อเกิดการอักเสบขึ้นในผิวหนัง เช่น จากสิว หรือจากบาดแผล ก็จะไปกระตุ้นให้เซลล์ Melanocyte บริเวณที่อักเสบทำงานหนักขึ้นเกิดการสร้างเม็ดสีออกมามากขึ้น จนในที่สุดบริเวณที่อักเสบนั้นก็มีสีเข้มขึ้นเห็นเป็นรอยดำจากสิว หรือรอยดำบนแผลเป็นนั่นเอง

สำหรับรังสี UV นั้นเมื่อเราออกแดด รังสี UV ในแสงแดดออกฤทธิ์ได้ 2 อย่าง อย่างแรกเป็นผลฉับพลันเกิดโดยรังสี UVA ไป Oxidise Melanin ให้มีสีเข้มขึ้นซึ่งผลนี้จะเกิดไวมาก และคงอยู่ประมาณ 6 – 8 ชั่วโมง อีกอย่าง คือ รังสี UV ทั้งสองชนิดเป็นตัวกระตุ้นให้มีการสร้างฮอร์โมน alpha-MSH ออกมามากขึ้น ส่งผลให้เมลานินถูกสร้างออกมามากขึ้น ผลนี้ใช้เวลา 2 – 3 วันและคงอยู่ได้ถึง 2 สัปดาห์ นอกจากนี้รังสี UV ยังไปทำให้เกิดอนุมูลอิสระที่ไปกระตุ้นเซลล์ Melanocyte ต่อ จึงควรทากันแดดเพื่อปกป้องไม่ให้รังสี UV เข้าสู่ผิวมากเกินไป

ถ้าเราสรุปกลไกการสร้างเม็ดสีของผิว ก็พอจะสรุปได้ตามรูปค่ะ

Disclaimer: non-sponsored, education content

Image

[Mini Review] เซรั่มมะขาม สูตรพลิกโฉมมาในส่วนผสมสุดปัง จากแบรนด์เขาค้อทะเลภู

เรื่องมีอยู่ว่า บังเอิญไปได้ Sample เซรั่มมะขามของแบรนด์เขาค้อทะเลภู ซึ่งเป็นแบรนด์เครื่องสำอางธรรมชาติแบรนด์ดังแบรนด์หนึ่งที่อยู่คู่บ้านเรามานานมากแล้วค่ะ

แบรนด์นี้เคยออกคอลเลคชั่นที่คอลแลบกับคุณสายป่าน บตบก คนสวยของเราอยู่หลายชิ้น และไม่แน่ใจว่าชิ้นนี้ได้คอลแลบคุณสายป่านด้วยไหม

ได้น้องมาจากการช็อปปิ้งออนไลน์ผ่านเว็บวัตสัน

แรกๆ ก็ไม่ได้อะไรนะ แต่ด้านหลังมีรายการส่วนผสมแนบมาด้วย พอได้ดูส่วนผสมแล้วแบบว่า หูว์ ส่วนผสมร้ายกาจใช่เล่นนะเนี่ย

เดี๋ยวนี้เขาพัฒนาเหมือนกันแฮะ เลือกส่วนผสมมาได้ค่อนข้างดีและปังมากค่ะ

จากส่วนผสมก็จะเห็นได้ว่าถึงจะบอกว่าเป็นเซรั่มมะขาม แต่นางก็แอบมีส่วนผสมของสารบำรุงอยู่หลายชนิดเหมือนกัน ถ้าเราแบ่งเป็นกลุ่มๆ ก็จะประมาณนี้ค่ะ

กลุ่มสีเขียว: วิตามินซี ซึ่งทางแบรนด์เลือกมา 2 รูปแบบ คือ Ascorbyl tetraisopalmitate ซึ่งละลายในน้ำมัน กับ Magnesium ascorbyl phosphate ซึ่งละลายได้ในน้ำ

โดยประโยชน์ของวิตามินซีที่เด่นๆ ก็จะเป็นในด้านของการเป็น Antioxidant เป็น Whitening โดยผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นเอนไซม์สำคัญในขั้นตอนการสร้าง melanin รวมไปถึงยังมีประโยชน์ในการเป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน และดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง

กลุ่มสีฟ้า: ให้เป็นสารเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น

  • Betaine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine นอกจากด้านการเติมน้ำ น้องยังมีประโยชน์แฝงในเรื่องการปรับฟิลลิ่งของสูตรตำรับ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • ไฮยาลูรอน ที่เติมน้ำให้ความชุ่มชื้นผิว

สีชมพู: เป็นสารบำรุงที่เด่นเรื่อง Whitening ก็จะมีสารสกัดจากชะเอม มะขาม Arbutin และใบ Mulberry

สีส้ม: คือ ความปังในการพัฒนาสูตร โดยการเลือกใช้ Dimethyl isosorbide (DMI) ที่มีคุณสมบัติพิเศษในการเสริมการดูดซึมสารอื่นผ่านผิว (เป็น Penetration enhancer)

โดยรวมคือนอกจากเป็น Whitening serum ที่น่าสนใจแล้วยังดูแลผิวด้านอื่นๆ เสริมเข้ามา และการเลือกใช้วิตามินซี 2 รูปแบบ รูปแบบหนึ่งละลายได้ในน้ำ อีกรูปแบบละลายได้ในน้ำมัน ก็น่าสนใจดีค่ะ

นอกจากนี้ก็ไม่มีน้ำหอม หรือส่วนผสมอื่นที่ไม่เป็นมิตรกับผิวด้วย

ฟีลเซรั่มหลังจากที่ได้ลองใช้ 1 ซอง ถ้วน ก็คือ เนื้อค่อนข้างลื่นผิว ใช้เวลาสักนิดในการซึม/แห้ง แต่ให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างดี และเมื่อแห้งไปแล้วไม่เหนียวเหนอะหนะหรือหนักผิว

และอีกจุดที่น่าสนใจคือราคาก็ไม่แพงมาก ราคาเต็มอยู่ที่ 399/30 มล. สำรวจราคาวันที่ 30 ธ.ค. ลดเหลือ 239 ที่วัตสันออนไลน์

ถ้าสนใจก็ตามไปแอบส่องแอบดูได้ค่ะ

https://invol.co/clflhd6

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของแถมมาจากการซื้อของด้วยเงินส่วนตัว การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมคู่หูเซรั่มสุดปังจากสเปน Flavo-C ultraglicans และ melatonin จากแบรนด์ ISDIN

(Revised 13 พ.ย. 2566)

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาเล่าถึงแบรนด์ ISDIN และ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่น่าสนใจ 2 ชิ้นให้ได้ชมกันค่ะ

เบื้องต้นขอกล่าวถึงแบรนด์ ISDIN ก่อนนะคะ แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์จากประเทศสเปนที่มีคอนเซปท์ที่น่าสนใจ โดยเริ่มจากการบอกว่าให้เราฟังผิวของตัวเอง ซึ่งจุดนี้เป็นอะไรที่ค่อนข้างประทับใจมาก เพราะเป็นคอนเซปท์เดียวกับที่ตัวเองยึดถือมาโดยตลอด คือ “Listen to your skin”

แบรนด์ ISDIN เป็นแบรนด์ที่ก่อตั้งมากว่า 45 ปีแล้ว โดยเน้นพัฒนานวัตกรรมที่ดี มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยต่อผิวหนังของเรา และน่าจะเป็นแบรนด์แรกๆ (ที่ส่วนตัวเคยเห็น) ที่กล่าวถึงความเป็นมิตรต่อเยื่อบุ Mucosa อย่างเช่น บริเวณดวงตา หรือ ริมฝีปาก แต่ก็ยังให้ความสนใจในเรื่องของ Sensory ไปพร้อมกัน ตามคำกล่าวของแบรนด์ที่กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ของแบรนด์พัฒนามาเพื่อ “maximum efficacy and safety with innovative textures that ensure a satisfying practical and sensory experience”

โดยผลิตภัณฑ์ของทางแบรนด์มีหลายกลุ่ม และได้รับรางวัลจากนิตยสาร รวมถึงวงการความงามอยู่หลายชิ้นค่ะ

สำหรับ Content นี้ จะเน้นกล่าวถึงผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 2 ชิ้นที่มาเป็นคู่กัน ตัวหนึ่งใช้ตอนเช้า อีกตัวใช้ก่อนนอน คือ ไลน์ของ Flavo-C ค่ะ

เริ่มที่ Flavo-C ultraglican ซึ่งเป็นเซรั่มที่มาในรูปแบบของแอมพูลแก้ว ภายในบรรจุเอาตำรับที่มีส่วนผสมของสารบำรุงที่เน้นไปในทางด้าน Antioxidant และ เสริมความชุ่มชื้นเป็นหลัก

ซึ่งมีหน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

ใน 1 กล่องประกอบด้วยแอมพูลแก้วจำนวน 30 แอมพูล พร้อมด้วยพลาสติกสำหรับหักปากหลอดแอมพูล และจุกซิลิโคนสำหรับช่วยในการหยดเซรั่ม จำนวน 3 ชิ้น

เมื่อประกอบเสร็จแล้วจะได้หน้าตาแบบนี้ค่ะ

ทางแบรนด์กล่าวว่า 1 แอมพูล ถ้าหักแล้วควรใช้ให้หมดภายใน 48 ชั่วโมงค่ะ

ค่า pH ของเนื้อเซรั่มอยู่ที่ราวๆ 4 – 5 นะคะ

เนื้อของเซรั่มจะเป็นเนื้อแบบใส

เกลี่ยง่าย ให้สัมผัสนุ่มลื่น ชุ่มชื้น สบายผิว

สำหรับส่วนผสมของสูตร Flavo-C ultraglican เป็นดังนี้นะคะ

จุดเด่นอย่างหนึ่งของแบรนด์ ISDIN คือ ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการศึกษาประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัคร อย่างสูตรผสมของ “L-ascorbic acid, proteoglycans และ proteoglycan stimulating tripeptide” ก็ผ่านการตีพิมพ์ในวารสาร Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology เมื่อปี 2018 ที่ผ่านมา

(ถ้าท่านใดสนใจ paper นี้สามารถดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรีค่ะ https://www.dovepress.com/antiaging-effects-of-a-novel-facial-serum-containing-l-ascorbic-acid-p-peer-reviewed-fulltext-article-CCID)

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นสูตรผสมของ Antioxidant 3 ตัวหลัก อย่างวิตามินซี อี ร่วมกับ Ergothioneine (EGT) น้องเป็น Amino acid ชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติ Antioxidant ในตัว ร่วมกับกลุ่มของสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นอย่าง Hyaluronic acid, Proteoglycan และวัตถุดิบตามเปเปอร์ที่เป็น Proteoglycan stimulating peptide ที่มีชื่อว่า Syn®-Hycan เด่นในการเสริมการสังเคราะห์ Hya ตามธรรมชาติของผิว

ซึ่ง Syn®-Hycan เป็นชื่อทางการค้าของ ส่วนผสมระหว่าง Glycerin, Aqua, Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate และ Magnesium Chloride

มาดูรายละเอียดสารบำรุงแต่ละตัวกันสักหน่อย

  • L-ascorbic acid เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินซี ซึ่งมีประโยชน์ต่อผิวหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติ Antioxidant ต่อต้านอนุมูลอิสระ, ในด้าน Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase เป็นส่วนประกอบในการสังเคราะห์คอลลาเจน และลดการอักเสบผ่านระบบ NF-kB
  • Tocopherol เป็นรูปแบบธรรมชาติของวิตามินอี มีคุณสมบัติละลายในไขมันจึงช่วยปกป้องไขมันดีๆในผิวไม่ให้ถูกทำลายจากปฏิกิริยา oxidation
  • Ergothioneine (EGT) เป็นสารที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Histidine ประกอบด้วยส่วนของโมเลกุล Sulfur ทำให้มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ผ่านกลไกการ Reduction  และถ้าดูจากโครงสร้างจะเห็นว่าหมู่ Quaternary ammonium จะคล้ายกับส่วนที่มีใน Carnitine มีรายงานว่าสามารถเข้าไปเสริมการสร้างสารพลังงานสูงอย่าง ATP ใน Mitochondria ที่เป็นเหมือนโรงไฟฟ้าของเซลล์ ความเป็น Antioxidant ช่วยปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลาย จึงมีประโยชน์ในการชะลอวัย ทั้งนี้มีการทดสอบในระดับหลอดทดลองพบว่า EGT สามารถปกป้อง Mitochondria ไม่ให้ถูกทำลายจากการฉายรังสี UV (Bazela et al, Cosmetics 2014, 1(1), 51-60)
  • Hydrolyzed hyaluronic acid ซึ่งเป็น Hya ที่ผ่านกระบวนการ Hydrolysis (ย่อย) ให้มีขนาดเล็กลงกว่ารูปแบบดั้งเดิม เพื่อเสริมความสามารถในการดูแลผิวที่ชั้นลึกขึ้น และ Proteoglycan ที่มีประโยชน์ในเชิงความชุ่มชื้นเช่นกัน
  • Syn®-Hycan เป็นวัตถุดิบเปปไทด์สังเคราะห์ที่ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพโดยผู้ผลิตวัตถุดิบ ว่ามีคุณสมบัติในการเสริมการสังเคราะห์ Hyaluron ภายในผิวในระดับหลอดทดลอง และมีประสิทธิภาพในการกระชับผิว ลดเลือนริ้วรอยในอาสาสมัคร

สำหรับเบสหลักเป็นเบสแบบน้ำ บางท่านเห็นส่วนผสมของ Bis-Hydroxyethoxypropyl Dimethicone อาจจะกังวลเรื่องซิลิโคน แต่สารตัวนี้เป็นซิลิโคนดัดแปลงที่มีคุณสมบัติเสริมความชุ่มชื้น ให้สัมผัสนุ่มนวล ไม่เหนอะหนะ และผ่านการทดสอบแล้วว่าไม่ระคายเคืองผิว (ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ)

ในภาพรวมจึงเรียกได้ว่าเป็นเซรั่มที่ทั้งปกป้องและดูแลปัญหาผิวทั้งในด้านของริ้วรอยและความชุ่มชื้นไปพร้อมๆ กัน

ถัดมาเป็นเซรั่มสำหรับกลางคืน คือ Flavo-C Melatonin ซึ่งมาในรูปแบบของแอมพูลแก้วเช่นกัน มีหน้าตาเป็นประมาณนี้ค่ะ

ด้านในก็จะมาในรูปแบบคล้ายๆ กันค่ะ

ค่า pH ของสูตรนี้อยู่ที่ราวๆ 4 – 5 เช่นกันนะคะ

เนื้อเซรั่มมาในรูปแบบใสเช่นกัน

เกลี่ยได้ง่าย บางเบา ไม่เหนอะหนะ

คอนเซปท์ของตัวนี้ คือ น้องจะเสริมการฟื้นฟูและบำรุงผิวในช่วงกลางคืน

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมในภาพรวมจะเป็นการรวมตัวเอาวิตามินซีในรูปแบบของ 3-O-Ethyl ascorbic acid ร่วมกับสารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Genus เดียวกับถั่วเขียว) และ Melatonin ในเบสรูปแบบน้ำ มีส่วนผสมของ Alcohol อยู่เล็กน้อย โดยดูจากลำดับส่วนผสม แต่ส่วนตัวใช้ได้ไม่เกิดปัญหาแห้งหรือระคายเคืองอะไร

ลองมาดูรายละเอียดของสารบำรุงกัน

  • 3-O-Ethyl ascorbic acid เป็นวิตามินซีรูปแบบหนึ่ง สำหรับประโยชน์ของวิตามินซีก็ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
  • สารสกัดจากเมล็ดถั่ว Moth bean (Vigna aconitifolia seed extract) ตัวนี้ข้อมูลจากทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าสารตัวนี้มีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์คล้ายวิตามินเอ แต่ไม่มีปัญหาด้านการระคายเคืองเหมือนกลุ่มวิตามินเอ

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยักษ์ใหญ่อย่าง BASF กล่าวว่า น้อง moth bean มีคุณสมบัติเสริมการสร้างและผลัดตัวเองของผิวที่หนังกำพร้า รวมทั้งเสริมการสร้าง Matrix ต่างๆ เช่น Collagen ในชั้นหนังแท้ โดยมีทั้งข้อมูลการทดสอบประสิทธิภาพทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร

ขอยกมาเล่าสองภาพนะคะ ภาพแรกเป็นประสิทธิภาพในการเสริมสร้างคอลลาเจนในระดับหลอดทดลอง วัดจากปริมาณกรดอะมิโน Proline ที่เพิ่มขึ้น

(Image from BASF)

ซึ่ง Proline เป็นกรดอะมิโนที่สำคัญตัวนึงที่เป็นองค์ประกอบในสายของ Collagen

ภาพที่สองเป็นการวัดความลึกของริ้วรอยตีนกา (ค่า Volume จากเครื่อง Visioscan) ในอาสาสมัครเทียบกันระหว่างครีมที่ใช้สารสกัดจากถั่ว Moth bean กับ ครีมที่ใช้ Retinol พบว่าริ้วรอยตีนกาตื้นขึ้นทั้งคู่

(Image from BASF)

ดังนั้นหากจะกล่าวว่า น้อง Moth bean มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Retinol และเป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่มีข้อห้ามใช้ หรือไม่ถูกกับ Retinol ก็ไม่น่าจะเกินจริงนัก

  • Melatonin อันนี้ยอมรับเลยว่าตอนได้เห็นส่วนผสมคือ ดิฉันสงสัยมาก ว่าการใช้ Melatonin ในผลิตภัณฑ์บำรุงผิวมีประโยชน์อะไร จนได้มาค้นข้อมูลเพิ่มเติม ถึงทราบว่า Melatonin ที่ทาลงไปบนผิว มีคุณสมบัติหลายประการ และมีการศึกษารองรับอยู่หลายชิ้น ส่วนตัวอิงจากบทความของ Day และ คณะ (2018) ที่รวบรวมเอาผลงานวิจัยต่างๆ ที่เกี่ยวกับการใช้ Melatonin โดยหลักๆ กล่าวว่า Melatonin เป็น antioxidant ทางอ้อม (Indirect antioxidant) โดยมีผลไปเสริมสร้างเอนไซม์ที่เป็น Antioxidant ตามธรรมชาติของผิว สาร Metabolites ต่างๆ ที่เกิดจากการแปรสภาพ Melatonin มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง ลดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนทำให้เกิดริ้วรอยตามมา โดยในภาพรวมน้องมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัยและฟื้นฟูสภาพผิว (J Drugs Dermatol. 2018;17(8):966-969.)

ทำไมถึงต้องทา Melatonin ตอนกลางคืน?

     จากข้อมูลหลายๆ ข้อมูลกล่าวว่าผิวหนังของเราอาศัยระบบที่มี Melatonin เป็นตัวรักษาสมดุลและซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน ระบบนี้มีชื่อเรียกว่า melatoninergic antioxidative system (MAS)

โดยภาพรวมแล้วเซรั่มดังกล่าวจึงถือว่าเหมาะมากในการเป็น Regimen สำหรับฟื้นฟูผิวในยามกลางคืน และเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหากับการใช้วิตามินเอและอนุพันธ์ต่างๆ

สำหรับการให้คะแนนวันนี้เป็นการให้คะแนนแบบภาพรวมนะคะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปว่า สูตรกลางวันพัฒนามาเพื่อการต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องผิวจากอันตรายของรังสี UV และสภาวะต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน มาพร้อมกับการเสริมสร้าง Hyaluron ภายในผิว และเติมน้ำให้ผิวด้วย Hyaluron กับ Proteoglycan เมื่อใช้ร่วมกับเซรั่มฟื้นฟูผิวตอนกลางคืนที่เน้นฟื้นฟูผิวจากความเสียหายที่เกิดขึ้นในตอนกลางวัน พร้อมทั้งส่งเสริมการทำงานของผิวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เสมือนผิวมีสุขภาพที่ดีเฉกเช่นวัยเยาว์ ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์ รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ สำหรับสูตรกลางวันเรียกได้ว่าทำมาได้ไร้ที่ติ แต่ในสูตรกลางคืนอาจจะติตรงเรื่องของ Alcohol นิดหน่อย แม้ว่าน่าจะใส่มาไม่มาก และส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาระคายเคืองหรือรู้สึกไม่สบายผิวแต่อย่างใด สำหรับผลิตภัณฑ์ 2 ชิ้นนี้ ขอให้ไปที่ 4.5 ฟลาสก์ (กลางวัน 5 + กลางคืน 4 แล้วหารสอง)
  3. การใช้งาน ในด้านการใช้งานส่วนตัวไม่ติดปัญหาอะไร ในด้านของประสิทธิภาพจากการทดลองใช้มาร่วม 3 อาทิตย์ รู้สึกว่า ช่วยให้ผิวเรียบเนียนนุ่มกระชับยืดหยุ่น และผิวละเอียดมากขึ้น ในด้านของสีผิว จุดแดง จุดดำต่างๆ ก็จะค่อยๆ ดูจางลง แต่งหน้าได้ติดทนขึ้น อาการระคายเคืองผิวต่างๆ ในช่วงที่ใช้เกิดน้อยลง ในภาพรวมคือค่อนข้างประทับใจ แต่ส่วนตัวจะค่อนข้างกังวลกับเรื่องของการหักแก้วแอมพูล การเก็บรักษาแก้วแอมพูล และการกำจัดเมื่อใช้หมด อยากให้เก็บไว้แล้วแยกทิ้งต่างหากเพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดกับคนเก็บขยะ หรือถ้าหากที่ไหนมีถังขยะพิเศษสำหรับแก้วแตกก็คือจะดีมาก แต่แพคเกจแบบแอมพูลแบบนี้ก็มีข้อดีของเขา คือ ปกป้องเนื้อสารข้างในให้มีความคงตัวที่ดีและลดการปนเปื้อนที่อาจเกิดเมื่อเทียบกับภาชนะบรรจุอื่นที่เป็นระบบเปิด จุดนี้ขอไม่หักคะแนนเรื่องภาชนะนะคะ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทย ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ทางไปชอปปิ้ง Flavo-C ultraglicans

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/2LHkqPODxs

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.lTOVb?cc

ทางไปชอปปิ้ง Melatonin

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/AUdSZOOKO2

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.lTO5e?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มบำรุงปรับสภาพผิว สำหรับผิวที่มีปัญหาจุดด่างดำ Clair Mediatone Intensive dark spot solution serum จาก The Labatorian

ก่อนหน้านี้มี่เอาบทวิเคราะห์ส่วนผสมของเซรั่มดูแลปัญหาสิวสำหรับผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย Agness จากแบรนด์ The labatorian มาแชร์ให้ทุกท่านได้อ่านกัน

ถ้าท่านใดสนใจ สามารถตามไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้นะคะ
>>Click<<

วันนี้ขอหยิบเอาเซรั่มจากแบรนด์ The labatorian อีกสูตรมาให้ได้อ่านกันนะคะ
เซรั่มที่จะมารีวิววันนี้มีชื่อว่า Clair MediatoneTM Intensive dark spot solution serum ซึ่งมี่จะขอเรียกย่อๆ ว่า Clair นะคะ

น้องจะมาในหน้าตาคล้ายๆ กับ Agness แต่จะต่างกันในรายละเอียดเล็กน้อยค่ะ

ส่วนบรรจุภัณฑ์ด้านในจะคล้ายๆ กัน คือ มาในขวดปั๊มที่ปิดสนิท (Closed system)

เนื้อเซรั่มจะมาในอารมณ์แบบครีมเจล ไม่มีกลิ่นเพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสนุ่มนวล ไม่เหนียวเหนอะหนะ เมื่อทิ้งไว้สักครู่จะรู้สึกเย็นสบายผิว และเรียบเนียน

สำหรับค่า pH ของน้องนั้นมี่ไม่ได้วัดให้นะคะ เนื่องจากเนื้อเซรั่มไม่เปียกบนกระดาษวัด pH ค่ะ

ส่วนของเรื่องการใช้งาน

หลังจากที่ได้ทดลองใช้มาราวๆ เกือบเดือน ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นที่ใช้เป็น Routine อยู่ก่อนหน้า ส่วนตัวรู้สึกว่า ประโยชน์ในด้านของการดูแลสีผิวนี่ นางจะค่อยๆ มา ไม่ได้ขาวแบบเร็วเว่อร์ มันจะเน้นเรื่องของการปรับสมดุลสีผิวให้ดูสว่างกระจ่างใส มารู้สึกตัวอีกทีก็แบบ อุ๊ย ผิว Glow จัง อะไรประมาณนั้น

ก่อนจะไปดูรายละเอียดส่วนผสม ขอเล่าถึงจุดเด่นของน้อง Clair ให้ฟังก่อนนะคะ

  • น้องผ่านการทดสอบการแพ้และการระคายเคือง ด้วยวิธี Closed patch test ในอาสาสมัคร
  • น้องผ่านการตรวจสอบปริมาณจุลินทรีย์ปนเปื้อนด้วยวิธี Total aerobic plate count
  • น้องมีสารบำรุงหลายชนิดที่เสริมกันอย่างลงตัวเผื่อดูแลปัญหาสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ หมองคล้ำ และไม่กระจ่างใส
  • น้องเสริมสร้าง Barrier ผิวไปพร้อมกัน
  • Non-comedogenic ทดสอบแล้วว่าไม่อุดตันรูขุมขน

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ในส่วนผสมวันนี้มี่ทำไว้หลายสีอยู่นะคะ

เนื่องจากเป็นเซรั่มที่ดูแลปัญหาสีผิวไม่สม่ำเสมอ หมองคล้ำ ไม่กระจ่างใส เลยขอหยิบยกเอาส่วนผสมที่มีประโยชน์ในเชิงด้านของ Whitening/Brightening ขึ้นมาเล่า
ก่อนนะคะ ส่วนผสมเหล่านี้มี่แสดงไว้ด้วยสีม่วงค่ะ

ส่วนผสมที่มีประโยชน์ด้าน Whitening

  • Tranexamic acid เป็น Whitening ตัวหนึ่งที่ดูแลปัญหาด้านจุดด่างดำได้ค่อนข้างดี มีรายงานว่าสารนี้มีคุณสมบัติไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ต้นตอ คือ ไปยับยั้งสาร Plasmin ที่จะไปกระตุ้นฮอร์โมน α-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ที่เป็นคุณแม่ของ Tyrosinase อีกที กล่าวง่ายๆ ว่า Tranexamic acid ไปยับยั้งการสร้างเม็ดสีที่ขั้นตอนแรกๆ เลยก็ว่าได้ (J Am Acad Dermatol 2011;October:699-714.)
  • Niacinamide ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินบี 3 นางมีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการแต่ถ้าเป็นในด้านของ Whitening นางจะไปขัดขวางการส่งผ่านของเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก
  • Octadecenedioic acid หรือ เรียกย่อว่า ODA ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่แตกต่างจาก Whitening ทั่วไป โดย ODA ออกฤทธิ์ที่ peroxisome proliferator-activated receptor (PPAR) ซึ่งเป็นตัวรับชนิดหนึ่งที่ เกี่ยวข้องกับระบบต่างๆของร่างกายหลายระบบ รวมทั้งการสังเคราะห์เมลานิน โดย ODA มีผลไปทำให้การสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ลดลง จึงส่งผลให้เกิดการสร้างเม็ดสีได้น้อยลง ผิวจึงแลดูสว่างกระจ่างใส และ ODA ยังมีประโยชน์อื่นๆ เช่น มีคุณสมบัติในการชะลอวัย และการลดการอักเสบระคายเคือง (Int J Cosmet Sci. 2005; 27(2):123-32)
  • N-acetyl-D-glucosamine หรือ NAG น้องเป็นอนุพันธ์ของน้ำตาลชนิดหนึ่ง ที่พบเป็นหน่วยย่อยของ Hyaluronic acid มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นโดยการเติมน้ำให้แก่ผิวหนังและอาจจะเป็นสารตั้งต้นในการสังเคราะห์ Hyaluronic acid ของผิว สำหรับด้าน Whitening มีรายงานว่า NAG ไปป้องกันไม่ให้เอนไซม์ pro-tyrosinase ที่ยังออกฤทธิ์ไม่ได้ กลายสภาพเป็น tyrosinase ที่มีฤทธิ์ จึงไม่มีการสร้างเม็ดสี และยังมีประโยชน์ในด้านของการปรับสมดุลการผลัดผิวแบบอ่อนโยน (Int J Cosmet Sci. 2010;32(3):234.) และถ้าใช้ร่วมกับ Niacinamide จะให้ผลลดจุดด่างดำได้ดีขึ้น (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.) ซึ่งสูตรนี้ก็เป็นเช่นนั้น คือมี NAG+Niacinamide
  • Potassium 4-methoxy salicylate หรือ 4-MSK ร่วมกับ Arbutin, และสารสกัดจากรากชะเอม มีประโยชน์ในด้านของ Whitening ผ่านกระบวนการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase
  • Undecylenoyl phenylalanine รู้จักกันในนาม Sepiwhite MSH มีประโยชน์เป็น Whitening โดยไปยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ alpha-MSH ซึ่งปกติมีหน้าที่กระตุ้นให้เอนไซม์ Tyrosinase ทำงาน และไปควบคุมกระบวนการ Melanosome transfer ไม่ให้ส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วให้ออกไปภายนอกจนเห็นเป็นสีผิว มีการศึกษาในอาสาสมัครชิ้นหนึ่งที่น่าสนใจ การทดสอบในอาสาสมัครที่ใช้สารนี้ในความเข้มข้น 1% ร่วมกับ Niacinamide 5% ให้ผลเป็น Whitening ที่ดีเมื่ออาสาสมัครใช้เป็นเวลา 8 สัปดาห์ (J Cosmet Dermatol. 2009;8(4):260-6.)

สีชมพู ป็นส่วนผสมที่มีประโยชน์ด้านการดูแลปัญหาการอักเสบระคายเคือง มีด้วยกันหลายตัว เช่น สารสกัดจากกุหลาบมอญ, Allantoin, Bisabolol สารสกัดจากว่านหางจระเข้ และ สารสกัดจากรากชะเอม จริงๆ เรื่องของปัญหาการอักเสบระคายเคืองก็เป็นปัญหาหนึ่งที่นำไปสู่การสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติไป กลายเป็นจุดด่างดำได้ ดังนั้นจะกล่าวว่า สารสีชมพู เป็น Whitening อ้อมๆ ก็คงไม่ดูเกินจริง

สีเขียวสะท้อนแสง มี 2 รายการ ได้แก่

  • Soy isoflavone สารพฤกษเคมีในกลุ่ม Isoflavone มีประโยชน์เป็น antioxidant และมีคุณสมบัติคล้ายเอสโตรเจน เลยมีชื่อเรียกว่า Phytoestrogen คือ เอสโตรเจนจากพืช ซึ่งมีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของคุณสมบัติให้ผิวนุ่มฟู ยืดหยุ่น และแข็งแรง รวมไปถึงด้านการชะลอวัย และดูแลปัญหาริ้วรอย
  • Tropaeolum majus extract สารสกัดจากดอก Nasturtium ที่ประกอบด้วยสาร Polysaccharide ชื่อ Arabiongalactan เป็นสาระสำคัญ ออกฤทธิ์ผ่านกลไกที่ช่วยในการปรับสมดุลของผิวเพื่อแก้ปัญหาภาวะความเครียดเนื่องจากระดับของ Oxygen ต่ำ (Hypoxia) เมื่อเวลา Oxygen ต่ำ ผิวเราก็จะทำงานได้น้อยลง ทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่แข็งแรง ไม่นุ่มฟู ไม่ยืดหยุ่น ถ้าหากมีปริมาณของ Oxygen เพียงพอ ก็จะช่วยเสริมกระบวนการทำงานต่างๆ ของผิว จึงมีประโยชน์ในผิวนุ่มนวล เรียบเนียน แข็งแรง และมีสุขภาพดี ปรับ Complexion ของผิวให้มี Appearance แบบ Glow สุขภาพดีตามธรรมชาติ

สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารไขมันทดแทน Barrier ผิวให้ผิวแข็งแรง

สีเขียวแก่ Boron nitride น้องเป็น Pigment ที่มีคุณสมบัติบางประการ แล้วแต่ชนิดและเกรดที่ใช้ น้องอาจจะไปช่วยเคลือบปกปิดริ้วรอยตื้นๆ ให้ผิวดูเรียบเนียน หรือ น้องมีความทึบแสง ช่วยอำพรางจุดด่างดำ หรือสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ ให้ดูสม่ำเสมอ และดูสว่างขึ้น แต่ไม่ถึงกับขาววอก หรือ ติด Undertone เทาแบบการใช้ Pigment บางตัว

สีส้ม คือ สารสกัดจากเปลือกต้น Willow ประกอบด้วย BHA จากธรรมชาติ

ในภาพรวมคือ Clair เป็นเซรั่มชิ้นหนึ่งที่ประกอบด้วยสารบำรุงที่ดูแลปัญหาสีผิวได้ครบทั้งวงจร ตั้งแต่ก่อนการสร้างเม็ดสี ขณะสร้างเม็ดสี และ หลังการสร้างเม็ดสีเสร็จแล้ว

นอกจากสารที่เป็น Whitening แล้วยังเสริมสารบำรุงมาอีกหลายชนิด ที่ให้ประโยชน์อีกหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบระคายเคือง ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย รวมถึงเสริมสร้างและฟื้นฟู Barrier ผิว เรียกได้ว่าค่อนข้างครบ

ในด้านของส่วนผสมอื่นๆ น้องจะมาในเบสที่เป็นกึ่งๆ Emulsion-gel จึงเป็นเนื้อคล้ายครีม แต่มีความเบา และเย็นสบายแบบเจล ไม่เหนียวเหนอะหนะแล้วหนักผิว

และสุดท้ายนี้ คือ ในเซรั่มไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเป็นส่วนผสม

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปในด้านบน ส่วนของ Whitening น้อง Clair ประกอบด้วยสารบำรุงที่ดูแลได้ครบทั้ง 3 ระดับของการสร้างเม็ดสีผิว และยังเสริมสารบำรุงอื่นๆ เข้ามา ให้ประโยชน์ครบ จบทุกปัญหาผิว ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบระคายเคือง ชะลอวัย ป้องกันริ้วรอย รวมถึงเสริมสร้างและฟื้นฟู Barrier ผิว เรียกได้ว่าค่อนข้างครบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเป็นส่วนผสม จึงไม่มีจุดให้หักคะแนน เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ด้านการใช้งาน ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน จากที่ส่วนตัวลองใช้ คือ น้อง Clair จะเน้นเรื่องของการปรับสมดุลสีผิวให้ดูสว่างกระจ่างใส มารู้สึกตัวอีกทีก็แบบว่า อุ๊ย ผิวดูมี Complexion ที่สวยงามขึ้น มีความ Glow แต่สำหรับคนผิวแห้ง อาจจะต้องใช้มอยส์เจอไรเซอร์อื่นเสริมอีก ถ้าใช้ตัวนี้อย่างเดียวบ่ายๆ จะแห้งเล็กน้อย แต่คนผิวมันน่าจะชอบ จุดนี้ขอให้ไป 4 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ The labatorian ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ The labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีม Whitening วิตามินรวมจากญี่ปุ่น Shimi AX จากแบรนด์ Kracie

สวัสดีค่ะ

มีผลิตภัณฑ์อยู่ตัวหนึ่งที่มีติดค้างรีวิวทุกคนมานานมากๆ จนใช้หมดไปสองหลอดแล้วก็ยังไม่ได้ฤกษ์นำมารีวิวเสียที

เอาหล่ะ ในที่สุด วันนี้ก็ได้ฤกษ์ รีวิวปิดท้ายวันหยุด ก่อนต้องตื่นไปทำงานแต่เช้ากันในวันพรุ่งนี้

นางก็คือ ครีม #ลูกรักบ้านมียอน Shimi AX จากแบรนด์ Kracie นั่นเองค่ะ

หน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

shimi 1.JPG

หลอดเก่าไป หลอดใหม่มา ตอนนี้หลอดที่สองก็หมด แต่ขอพักสักแป๊บ เพราะของล้นกรุมากๆ 555

 

ตัวหลอดมาแบบเรียบแต่โก้ หรูแต่ง่ายค่ะ

shimi 2

 

จริงๆในบ้านเรามีขายที่ Matsumoto kiyoshi นะคะ แต่มี่สั่งจากเว็บ Dokodemo เอาค่ะ ราคารวมค่าขนส่งแล้วก็ไม่ต่างกันมากนัก

 

คำว่า “Shimi” หรือ しみ เป็นคำที่กำลังอินเทรนด์ของฝั่งญี่ปุ่นเค้าค่ะ แปลว่ารอยเปื้อน แต่ในทางสกินแคร์และบิวตี้ หมายถึง จุดด่างดำ

 

สำหรับเนื้อครีมก็เป็นครีมเนื้อข้นๆหน่อย

shimi 3

ไม่มีกลิ่นค่ะ น่าจะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไว ไม่เหนอะหนะ ขัดกับลุคที่ดูข้นๆของนางเลย

shimi 4

 

วันนี้ไม่ได้วัด pH เพราะเนื้อครีมนางไม่เปียกกระดาษ กระดาษเลยไม่เปลี่ยนสีค่ะ

 

สำหรับส่วนผสมวันนี้ มี่ใช้วิธีแกะจากข้างกล่องเอานะคะ เนื่องจากไม่สะดวกไปถ่ายรูปฉลากไทยในร้านจ้า

สผส

ซึ่งจากที่สังเกตมา ทางญี่ปุ่นเขาไม่ได้เรียงลำดับส่วนผสมจากความเข้มข้นมากไปหาน้อยนะคะ แต่จะเอา Active มาขึ้นก่อน ตามด้วยสารที่เป็นเบส หรือ Vehicle ของตำรับค่ะ

 

สำหรับสารบำรุง ที่สำคัญจะเป็นกลุ่มของวิตามินรวม 3 ชนิดหลัก คือ A C E ค่ะ

  • วิตามินเอ เป็นรูปแบบของ Retinyl palmitate ซึ่งถ้าเทียบกับฟอร์มอื่นแล้ว นางก็จะมีการระคายเคืองที่น้อยกว่า แต่กว่านางจะออกฤทธิ์ได้ นางต้องผ่านการแปรสภาพในผิวถึง 3 ขั้นตอน โดยประโยชน์ของวิตามินเอ กับผิวพรรณนั้น ค่อนข้างกว้างค่ะ โดยหลักๆ จะเด่นไปในด้านของริ้วรอย การปรับสมดุลการผลัดผิว ความกระชับและยืดหยุ่นของผิว และสิว
  • วิตามินซี มาในรูปแบบของ Ascorbyl glucoside ซึ่งเป็นรูปแบบที่เอาวิตามินซีมาจับกับน้ำตาล โดยประโยชน์ของวิตามินซี ก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นในเชิง Whitening, ลดการอักเสบระคายเคือง ต่อต้านอนุมูลอิสระ และ เป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • วิตามินอี ตัวนี้น่าสนใจนะคะ เป็นรูปแบบของ Tocopheryl nicotinate ซึ่งเป็นสารลูกผสมระหว่างวิตามินอี กับ บี 3 ทางผู้ผลิตวัตถุดิบก็เคลมว่า ถ้านางลงผิว ผิวเราก็จะแปรสภาพจนได้วิตามินอี และ บี 3 ให้ประโยชน์หลายอย่างทั้ง Antioxidant, ลดการอักเสบระคายเคือง และในเชิงด้าน Whitening

antioxidants-06-00020-g001.jpg

(Duncan and Suzuki, . 2017 Mar; 6(1): 20.)

 

สำหรับ Tocopheryl nicotinate นอกจากผลที่กล่าวมาแล้ว นางมีคุณสมบัติในการเสริมการไหลเวียนของเลือดในหลอดเลือดเล็กๆในผิวเสริมมา ซึ่งจริงๆก็มีใช้ในทางยามาซักพักแล้วค่ะ (The American Journal of Clinical Nutrition 1974. 27(10):1110-6)

 

สารบำรุงที่เหลืออยู่ ในส่วนของสีฟ้า คือ

  • Dipotassium glycyrrhizate ตัวนี้ได้มาจากชะเอมค่ะ มีคุณสมบัติในเชิงการลดการอักเสบระคายเคือง
  • Lactobacillus/lotus seed ferment ตัวนี้มีประโยชน์ในด้านชุ่มชื้นเป็นหลักค่ะ

 

และสีเขียว Cholesterol กับ Corn oil เป็นไขมันที่มีประโยชน์กับผิวค่ะ

 

ในส่วนผสมมีการใช้ Paraben เป็นสารกันเสีย แต่ส่วนตัวไม่ได้หักคะแนน Paraben แล้วนะคะ ถ้าใครไม่แพ้สารตัวนี้ นางก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรค่ะ

 

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ วันนี้ขอให้ 2 หมวด คือ ส่วนผสม และ การใช้งานนะคะ

  1. ส่วนผสม ในส่วนผสมทำมาได้ค่อนข้างดี และลำพังการผสมเอาวิตามิน A C E/B3 เข้าด้วยกันก็เรียกได้ว่า ให้ประโยชน์ในการดูแลผิวได้ครบวงจรแล้วค่ะ เหลือแค่ว่าเราไม่ทราบความเข้มข้นว่าเค้าใช้ในปริมาณเท่าไหร่ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ในตัวครีม เนื้อออกมาค่อนข้างหนัก แต่ก็ไม่ถึงกับเหนียว หรือมันเยิ้ม (มี่ผิวผสม/แห้ง) แต่ด้วยความที่มีวิตามินเอ ส่วนตัวก็จะใช้แค่ตอนกลางคืนนะคะ แม้ว่า Retinyl palmitate จะเสี่ยงแพ้แสงน้อยกว่าตัวที่เป็นรูปแบบยา อย่าง acid แต่ก็ขอเลี่ยงการใช้กลางวันไว้ก่อนค่ะ สำหรับด้าน Whitening ส่วนตัวมองว่า นางค่อยๆปรับสภาพจุดด่างดำให้สีผิวดูสม่ำเสมอขึ้นค่ะ แต่ไม่ถึงกับจะมาแบบขาวขึ้นแบบเว่อร์วังรวดเร็วอะไรทำนองนั้นค่ะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

 

คะแนน

สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลากันไปเท่านี้ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

 

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ