Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมโทนเนอร์ AHA•BHA•PHA 30 Days Miracle Toner จาก Some by Mi

Some by Mi เป็นอีกแบรนด์ที่ส่วนตัวค่อนข้างชอบ และในเกาหลีจะมีสินคล้าหลายไลน์ที่ในไทยไม่ได้นำเข้ามา อยากให้มีในบ้านเราบ้างค่ะ

หลังจากน้องรีแบรนด์ใหม่ด้วยคอนเซปท์ “New cleanical solution” ก็คือเรียกได้ว่าอินเทรนด์มากๆ ตอบรับเทรนด์ Clean beauty และ Cleanical beauty (= Clean + Clinical efficacy) ซึ่งเลือกใช้ส่วนผสมที่ทั้งมีความปลอดภัย (Clean ingredients) และมีประสิทธิภาพ (Clinical efficacy)

Blog นี้เลยขอหยิบเอา Miracle toner ซึ่งเป็นโทนเนอร์ตัวดังของแบรนด์มาวิเคราะห์ส่วนผสมกันค่ะ

โดยหน้าตาน้องหลังรีแบรนด์แล้วเป็นแบบนี้ค่ะ

ซึ่งบ้านเราจะมี Pack สุดพิเศษที่เรียกว่าเป็น New exclusive edition ที่มีหน้าตาแบบนี้นะคะ

โดยในเซ็ตจะเป็นเซ็ตที่ซื้อขนาดปกติ (150 ml) แถมไซส์เล็ก 30 ml ซึ่งเหมาะกับสาวน้อยนักเดินทางแบบเรา พกพาสะดวก

เนื้อของโทนเนอร์จะเป็นเนื้อเหลว มีกลิ่นในโทนเย็นสดชื่นของทีทรีและน้ำมันหอมระเหยเปปเปอร์มินท์ที่เป็นส่วนประกอบ

ซึ่งค่า pH ที่วัดได้อยู่ที่ประมาณ 5

ซึ่งทางเราและทีมงานก็มีความสงสัย เพราะ AHA ควรจะออกฤทธิ์ที่ pH ประมาณ 3.8 – 4.0 แต่ใดๆ คือ การวัดด้วยกระดาษอาจจะไม่แม่นยำ และคลาดเคลื่อนได้ และทางแบรนด์ก็มีผลการทดสอบประสิทธิภาพทางคลินิก ทั้งในด้านของประสิทธิภาพและความปลอดภัยรองรับ

ในด้านของการทดสอบประสิทธิภาพนั้นพบว่า การให้อาสาสมัครใช้โทนเนอร์ร่วมกับเซรั่มและครีมในไลน์ AHA•BHA•PHA พบว่าปริมาณความมัน หรือน้ำมันบนผิว (Sebum) ลดลงอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ 2 สัปดาห์แรก และที่ 4 สัปดาห์ลดลงถึง 43.41% เมื่อเทียบกับก่อนใช้

และยังผ่านการทดสอบการระคายเคือง (คะแนนค่าเฉลี่ยการระคายเคือง = 0.00 แปลว่าไม่ระคายเคือง) และ ผ่านการทดสอบว่าไม่อุดตันรูขุมขน

ในด้านของส่วนผสมเป็นดังนี้

ในส่วนของสารบำรุงนั้น เปิดมาด้วย Niacinamide (แบรนด์เคลม 2%) ซึ่งมีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่าง และให้ประโยชน์ในการดูแลผิวมัน ผิวที่มีปัญหาสิว

เสริมมาด้วยสารบำรุงอื่นๆ ที่ให้ประโยชน์ในผิวมัน และผิวที่มีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ได้แก่

กลุ่มผลัดผิว

  • BHA เป็นตัว Salicylic acid ที่ใส่มาในความเข้มข้น 100 ppm (คำนวณกลับมาได้ 0.01%)
  • PHA ใช้ตัว Lactobionic acid ที่ความเข้มข้น 100 ppm (0.01%)
  • AHA เป็น Citric acid ที่ความเข้มข้น 500 ppm (0.05%)
  • สารสกัดจากมะละกอ ที่มีเอนไซม์ให้ประโยชน์ในการย่อยโปรตีน ช่วยผลัดผิวแบบอ้อมๆ

กลุ่มดูแลผิวอื่นๆ

  • สารสกัดจาก Tea tree (10,000 ppm หรือ 1%) ที่มีข้อมูลถึงคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์ที่เกี่ยวข้องกับสิว ร่วมกับ Raspberry ketone ที่ในสูตรเป็นสารเสริมประสิทธิภาพสารกันเสีย แต่ตัวมันเองก็มีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้
  • Lens esculenta seed extract หรือ สารสกัดจากถั่วเลนทิล ไม่แน่ใจว่าใช่ p-RefinylTM ของ Silab ไหม ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าเป็น Oligosaccharide ที่ได้จากถั่วเลนทิล มีคุณสมบัติช่วยให้ผิวเรียบเนียน ผ่านการลดการปลดปล่อยน้ำมันส่วนเกิน กระตุ้นการสร้าง collagen I และ เสริมกระบวนการ Maturation ของ Keratinocyte ทำให้สมดุลการสร้าง-เจริญ-ผลัดทิ้งของเซลล์หนังกำพร้าสมบูรณ์ ในภาพรวมก็คือ ดูแลเรื่องกระชับรูขุมขน (Ref TDS, Silab)

ในส่วนของภาพนี้เป็นประสิทธิภาพในการกระชับรูขุมขนของสาร p-Refinyl ของบริษัท Silab

  • Witch hazel extract ที่มีประโยชน์ในการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน
  • Adenosine ที่อาจให้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย เสริมการทำงานของผิวตามธรรมชาติ
  • สารสกัดจากดอกบัว และ Allantoin ดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว

กลุ่มเติมน้ำ ได้แก่ สารสกัดจากรังนก, Fructan, Hydroxyethyl urea และ Xylitol

ในสูตรมี Buffer ที่เป็นคู่ของ Citric acid + Sodium citrate ที่ช่วยควบคุมค่า pH ให้คงที่

ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง แม้ว่าสารที่ใส่มาจะไม่ได้จัดมาในความเข้มข้นที่สูงมาก แต่ตัวที่ทางแบรนด์เลือกใช้ก็คือทำมาได้ตอบโจทย์สำหรับคนผิวมัน และมีแนวโน้มเป็นสิวง่าย ทั้งในส่วนของการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และการผลัดผิว เสริมมาด้วยการเติมน้ำให้ผิวชุ่มชื้น จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ในด้านของเนื้อสัมผัส ส่วนตัวคิดว่าเอามาเช็ดเป็นโทนเนอร์ที่เอามาทำความสะอาดผิวหลังล้างหน้าเสร็จแล้ว และเตรียมผิวได้ดีตัวหนึ่ง ไม่แห้งตึง และส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาระคายเคือง หรือยุบยิบอะไร และด้วยความเข้มข้นที่ไม่สูงมาก คิดว่าน่าจะเหมาะกับมือใหม่ที่อยากเริ่มพวก peeling ตั่งต่าง ในด้านของกลิ่น เอาจริงตัวเองไม่ได้แฟนซีกับกลิ่นของทีทรี แต่เมื่อเขาเอามาผสมกับมินท์ คิดว่ามันสดชื่นดีและลงตัวมากๆ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

แนบลิงค์ทางไปตำ

จากการสำรวจ ณ วันที่ 28 ก.ค. 67 บนแอพฟ้า แพค New Exclusive ซื้อ 1 แถม 1 นะคะ

https://s.lazada.co.th/s.LHsOZ?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

เติมน้ำ เติมออยล์ เติมความโกลว์ [รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม] มาสก์หน้า SteamSheet จาก Barulab

Blog ที่แล้วเราวิเคราะห์ส่วนผสม Barulab Hydroasis ไป Blog นี้ขอเอาตัวตึงอีกชิ้น อย่าง SteamSheet มาวิเคราะห์ส่วนผสมกันบ้างนะคะ

สำหรับท่านที่สนใจอยากกลับไปอ่านรีวิว Barulab Hydroasis เชิญได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click<<

วันนี้มายลโฉม SteamSheet กัน น้องมาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ตัวซองมาสก์จะมี 2 ส่วน

ส่วนแรก แผ่นมาสก์ OILLOCKTM sheet mask ใช้วัสดุ Lyocell ซึ่งเป็นกลุ่มของ Cellulose ได้มาจากเยื่อไม้ ทางแบรนด์เคลมว่าไม่ระคายเคืองผิว และผ่านการทดสอบทางผิวหนังว่าไม่ระคายเคือง และได้รับ certified vegan

อีกส่วนจะเป็นแผ่นเคลือบมาสก์ INFINITIMETM cover ซึ่งเป็น Plastic ที่ทำให้เกิดสภาวะ Occlusive (เคลือบปิด) ผิวเอาไว้

โดยคอมบิเนชั่นระหว่าง สูตร แผ่นมาสก์ OILLOCKTM sheet mask และแผ่นเคลือบมาสก์ INFINITIMETM cover ผ่านการค้นคว้าและวิจัยโดย Barulab research team มาเป็นเวลาเกือบ 2 ปี เพื่อให้ได้มาสก์ที่มีประสิทธิภาพในการ Occlusive และให้ความอบอุ่นกับผิว ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้การดูดซึมเพิ่มขึ้น และรูขุมขนเปิดออก

ตอนใช้งานก็จะประมาณนี้ค่ะ

วางแผ่น OILLOCKTM sheet mask ให้สัมผัสกับผิว ใช้มือลูบๆ ให้ตัวแผ่นแนบสนิทไปกับใบหน้า ก่อนวางแผ่นเคลือบมาสก์ INFINITIMETM cover ลงไป แล้วทิ้งไว้ประมาณ 25 – 30 นาที ก่อนแกะออก แล้วกดๆ เบาๆ ให้น้ำมาสก์ซึมเข้าผิว

ตัวผลิตภัณฑ์ได้ผ่านการทดสอบการใช้ในอาสาสมัคร (Human application test)

โดยผลการ Occlusive เป็นดังภาพค่ะ

โดยสังเกตว่าอุณหภูมิผิวจะสูงขึ้น ซึ่งจะสอดคล้องกับการไหลเวียนเลือดที่เพิ่มขึ้น และรูขุมขนที่เปิดออก

นอกจากนี้การทดสอบการใช้ในอาสาสมัคร ช่วงอายุ 19 – 60 ปี จำนวน 20 คน โดยสถาบัน GCS anti-aging Lab พบว่า

  • 100% ของอาสาสมัครมีผิวที่สว่าง และ กระจ่างใสขึ้น
  • 100% รู้สึกว่าผิว Glow
  • 100% มีผิวที่ชุ่มชื้นขึ้น

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในภาพรวม น้ำมาสก์เป็นแบบน้ำนม มีส่วนผสมของน้ำมันธรรมชาติอยู่ด้วย

สำหรับสารบำรุงที่เด่นๆ ตามชื่อสูตร Oil lock ก็จะเป็นกลุ่มน้ำมันธรรมชาติ 3 ชนิด ได้แก่

  • มะพร้าว มะกอก และ Jojoba ซึ่งในน้ำมันจากธรรมชาติจะมีกรดไขมันที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และมีส่วนประกอบของพฤกษเคมีอื่นๆ อีกหลายชนิดที่เป็นประโยชน์ เช่น Jojoba oil จะมีพวก  wax esters เป็นองค์ประกอบหลัก (97%) ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของ fatty acids กับ fatty alcohols มีพวก sterols ที่เด่นเรื่องคุณสมบัติ Soothing ให้ความรู้สึกสบายผิว และมีวิตามินอี (Ayman. Braz J Food Technol Campinas. 2007;10:198-204.)
  • Phytosterols มีคุณสมบัติ Soothing ให้ความรู้สึกสบายผิว และมีประโยชน์ในการดูแลการอักเสบระคายเคือง

เติมออยล์แล้วต้องเติมน้ำ ในสูตรมี Arginine เป็นกรดอะมิโน ที่จับน้ำให้ผิวได้ และ Betaine เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน ที่เด่นเรื่องการดูแลการระคายเคือง ให้คุณสมบัติ Soothing และปรับฟีลให้เนื้อผลิตภัณฑ์นุ่มน่าใช้

เสริม Adenosine ที่อาจจะให้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย และ Niacinamide ที่มีประโยชน์หลายประการกับผิว ไม่ว่าจะเป็นการดูแลเรื่องการระคายเคือง เสริมความแข็งแรงของ Barrier ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้างไขมันที่เป็นองค์ประกอบใน Barrier ผิว ลดการอักเสบระคายเคือง anti-aging และ เป็น whitening

แต่ในสูตรจะมี Alcohol ติดมาอยู่ เข้าใจว่าน่าจะเอามาปรับฟีลไม่ให้หนักผิวเกินไป ส่วนผสมอื่นที่เหลือ เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง ถ้าดูตามชื่อและเคลม เรื่องของ Moisture shield การเป็นมอยส์เจอร์ของน้องคือทำมาได้น่าสนใจ เน้นการคืนน้ำมันธรรมชาติเข้าสู่ผิว พร้อมทั้งดูแลการระคายเคือง และการมีอยู่ของวิตามินบี 3 ก็ถือว่า ให้ประโยชน์ได้หลายอย่าง แต่เอาจริงส่วนตัวรู้สึกว่ายังไม่สุดเท่าไหร่ แต่ก็เข้าใจได้ เพราะว่าสูตรเป็น Vegan จะให้ใส่ Hya ลงมาคงไม่ได้เพราะ Hya นั้นไม่เจ ขอให้ 4 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่น ตัวเบสเป็นเบสแบบน้ำนม ใช้สารขึ้นเนื้อและสารทำอิมัลชั่น (Emulsifier) ที่ค่อนข้างเป็นมิตรกับผิว แต่ติดตรงมี Alcohol เข้ามา ซึ่งก็เข้าใจได้ว่าน่าจะต้องการปรับเนื้อให้เบาลง ไม่หนักผิวมาก ตัวน้ำมันมะพร้าวอาจจะอุดตันได้ในบางคน แต่การอุดตันขึ้นอยู่กับความเข้มข้นที่ใช้ ถ้าดูตามลำดับคิดว่าไม่น่าห่วง แต่พอมีผล Occlusive พ่วงเข้ามาก็เลยอาจจะเพิ่มขึ้นได้นิดหน่อย ซึ่งน้ำมันมะพร้าวก็มีประโยชน์กับผิวหลายอย่าง ถ้าให้ชั่งน้ำหนักระหว่างความเสี่ยง-ประโยชน์ (Risk vs Benefits) ส่วนตัวว่าประโยชน์ยังดีกว่า ทั้งนี้ตอนได้ลองใช้มา วีคละแผ่น เป็นเวลา 3 วีค ใช้ได้ให้ความรู้สึกนุ่มผิวดี ขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ในด้านของการใช้วัตถุดิบแผ่นมาสก์ การใช้แผ่นพลาสติกมาเคลือบ ตามทฤษฎี จะให้ผล Occlusive 100% จึงเพิ่มอุณหภูมิผิว และความชื้นผิวตามเคลม SteamSheetTM ตอนได้ลองใช้จริง ครั้งแรกๆ อาจจะรู้สึกแบบอึดอัดผิวนิดนึง แต่พอใช้ไปสักพัก ไม่ต้องใช้บ่อย วีคละแผ่นก็พอ หรือเก็บไว้ใช้ในการเตรียมผิวก่อนออกงาน หรือฟื้นผิวที่เหนื่อยล้า อันนี้ตอบโจทย์มากๆ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Barulab ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตา และได้ทดลองใช้ทันวันอีเวนท์ใหญ่พอดี

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเพจของแบรนด์เลยนะคะ

https://www.facebook.com/barulabTH

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.LKO2C?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/7fFkdAZbNx

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Barulab สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมมาส์กหน้าเติมน้ำเพื่อความโกลวฉ่ำ Barulab Hydroasis

เรียกได้ว่าเป็นอีก 1 mask sheet ที่สร้างความโกลว์ให้ผิวได้แบบสับแบบฉ่ำ เหมาะกับการเตรียมผิวสำหรับวันสำคัญ และ ฟื้นฟูผิวหลังหมดวัน

เป็น มาสก์หน้าที่มีชื่อว่า Hydroasis จากแบรนด์ Barulab นั่นเองค่ะ

ซึ่งคราวก่อนทางเพจนำเสนอรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Vegan mask sheet series ไป วันนี้ขอหยิบเอาสูตร Hydroasis มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมบ้างนะคะ

สำหรับท่านที่สนใจตามไปอ่าน Vegan mask sheet series สามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้นะคะ

น้องมาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

น้ำมาส์กจะเป็นเนื้อคล้ายเซรั่ม มีความหนืดนิดหน่อย

ค่า pH ของน้ำมาส์กอยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ

คำถาม ตุ๊กตา Cinderella ข้างกระดาษวัด pH นี่คืออะไรคะหญิง?

คำตอบ คือ จะบอกว่า น้องเป็น Mask sheet ที่สามารถพลิกผิวนางซินให้เป็นเจ้าหญิงพร้อมออกงาน และฟื้นฟูสภาพผิวหลังจบงานได้ดีค่ะ เลยขอมอบตุ๊กตานางซินให้นาง

แผ่นมาสก์ค่อนข้างบาง และแนบสนิทกับผิว

แผ่นมาส์กอุ้มน้ำได้ค่อนข้างดี ซึ่งก็ไม่ค่อยแปลกใจค่ะ เพราะว่าตัวแผ่นทำมาได้ค่อนข้างดี เป็นเส้นใยที่ถักทอมาอย่างดี มีรูพรุน เลยอุ้มน้ำมาส์กที่พัฒนาสูตรมาให้มีความหนืดเล็กน้อยได้ดี

(ภาพนี้ถ่ายหลังจากใช้งานเสร็จ แล้วปล่อยให้แห้งเพื่อสังเกตเส้นใยของแผ่นมาส์ก)

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ชุดนี้จะเน้นไปที่การเติมน้ำให้ผิวด้วย Hyaluron 6 รูปแบบ และ ใช้สารบำรุงที่ดูแลด้านการระคายเคือง ร่วมกับสกัดจากพืช ที่เมื่อเชคกับฐานข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบสารสกัดรายใหญ่ หลายๆ เจ้า จากเกาหลี สารสกัดทุกชนิดจะให้ข้อมูลไปในทางเดียวกัน คือ เรื่องของ การต่อต้านการอักเสบ และลดการระคายเคือง ซึ่งเมื่อมาจับมือกับ Panthenol ก็จะได้ทั้งเรื่องของความชุ่มชื้น ดูแลปัญหาการระคายเคือง และเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ตามธรรมชาติ

เราลองมาดูสารบำรุงกันนะคะ

  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 เปิดนำมาด้วยการเพิ่มความชุ่มชื้น ดูแลเรื่องการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว และเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ผิวตามธรรมชาติ
  • Hyaluron 6 รูปแบบ ซึ่งมีประโยชน์ในการเติมน้ำในหลากหลายระดับชั้นผิว (ชั้น Epidermis) และเคลือบผิว เพื่อเสริมกระบวนการอุ้มน้ำให้ผิว
  • สารสกัดจากชาเขียว เป็น Antioxidant ที่ดี และยังมีประโยชน์เด่นๆ ในด้านของการดูแลกระบวนการอักเสบ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • สารสกัดจากชะเอม (Glycyrrhiza glabra) ที่นอกจากจะดูแลเรื่องการระคายเคือง แล้วยังได้ประโยชน์ในเชิง Whitening ด้วยนิดหน่อย จับมือมากับ Dipotassium glycyrrhizate ซึ่งเป็นสารที่พบในชะเอม เด่นเรื่องการดูแลการอักเสบระคายเคืองเช่นกัน
  • พืชหลากหลายชนิดที่พบได้ในเกาหลี ข้อมูลจากผู้ผลิตเกาหลี ระบุไปในทางเดียวกัน หลักๆ จะเป็น Anti-inflammatory รองๆ จะเป็น Antioxidant ซึ่งพืชเหล่านี้ประกอบด้วยพฤกษเคมีหลายกลุ่ม เช่น Flavonoid
  • สารสกัดจากขิง (Zingiber officinale extract) เป็น Antioxidant
  • สารสกัดจากเมล็ด Grapefruit พอมีข้อมูลอยู่ในแง่ของการยับยั้งจุลินทรีย์บางชนิด

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง ในภาพรวมเอาเป็นว่าน้องเป็นแผ่นมาส์กที่เน้นเติมน้ำแบบฉ่ำ พร้อมทั้งให้ความรู้สึกสบายผิว ด้วยการดึงเอา Hya 6 รูปแบบ มาจับมือกับ Panthenol และสารสกัดจากพืช รวมถึงสารบำรุงอีกหลายชนิด เหมาะมากกับการดูแลผิวในวันที่เหนื่อยล้า หรือเตรียมผิวไว้ให้พร้อมรับวันหนักๆ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีจุดที่ให้หักคะแนน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวค่อนข้างชอบ Mask sheet รุ่นนี้ ได้ลองใช้เตรียมผิวคืนก่อนไปออกงาน และใช้ฟื้นฟูผิวหลังจากออกงาน ส่วนตัวว่าน้องทำมาได้ตอบโจทย์นะคะ มอบความโกลว์ฉ่ำ เอาไปเลยไม่ต้องพูดเยอะ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Barulab ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตา และได้ทดลองใช้ทันวันอีเวนท์ใหญ่เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 67 ที่ผ่านมาพอดี

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเพจของแบรนด์เลยนะคะ

https://www.facebook.com/barulabTH

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.ovsPO?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/6zzWJS9EsS

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Barulab สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Curecode the series ภาค Ultra Soothing Radiance Gel และ Intensive CalmAGE ointment

เชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะเคยเห็นผลิตภัณฑ์และแอบเล็งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวจากทาง Curecode กันอยู่

วันนี้ขอข้ามช็อต มารีวิวไลน์ใหม่ของ Curecode ที่พึ่งออกมาในปี 2024 นี้โดยมีอยู่ด้วยกัน 2 สูตร คือ Ultrasoothing Radiance Gel ขอย่อว่า RG และ Intensive ClamAGE Ointment ขอย่อว่า CO

ซึ่งมีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ว่าด้วยคอนเซปท์และนวัตกรรมของแบรนด์ Curecode กันก่อนนะคะ

แบรนด์ Curecode นั้นเป็นแบรนด์ที่พัฒนาโดย Dr.Raymond Park ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวแพ้ง่ายและบอบบางระดับโลก ซึ่ง Dr. นั้นได้รับรางวัลมาการันตีความสามารถมากมายเลยค่ะ

  • ได้รับรางวัลหนึ่งในนักพัฒนาสูตรชั้นสูงระดับโลก Master Skin Care Formulators in Professional Beauty เมื่อเดือน ธ.ค. ปี 2014
  • ผู้นํา นวัตกรรมและเทคโนโลยี นักวิจัยด้านปราการผิวและผิวบอบบางแพ้ง่าย
  • งานวิจัยตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์มากกว่า 50 ชิ้น
  • จดสิทธิบัตรมากกว่า 50 ชิ้น
  • ได้รับรางวัล Albert Nelson Marquis Lifetime Achievement Award ในปี 2021

ไม่เบาเลยนะคะ

โดยทางแบรนด์ Curecode จะเด่นด้านนวัตกรรม Neuromide Skin-Biome® Science และ Crystal Lamella MES® Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรค่ะ

มาทำความรู้จักกับ Neuromide® ก่อนนะคะ น้องมีชื่อ INCI name ว่า N-palmitoyl serinol ซึ่งเป็นสารที่จุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อ Probiotics เชื้อเจ้าบ้านบนผิวของเรา สร้างขึ้น (เรียกได้ว่าเป็น Metabolite ของ probiotic หรือที่ในวงการเรียกว่าเป็น Postbiotic นั่นเอง)

สำหรับ N-palmitoyl serinol (ย่อว่า NPS) นั้นเป็น Analog ของ N-palmitoyl ethanolamine ซึ่งเป็นสารที่จับกับตัวรับ endocannabinoid system แล้วให้ประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่าง เช่น การเสริมการสังเคราะห์ Ceramide

นั้นมีงานวิจัยที่น่าสนใจอยู่ 2 ชิ้นค่ะ

  • การศึกษาในปี 2021 พบว่าการทา NPS ในโมเดลหนูทดลองที่เป็นโรค Atopic dermatitis โดยให้หนูทาตำรับ 0.5% NPS วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่า NPS เร่งการฟื้นฟู Barrier ผิว และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ได้ (Wen et al., Can J Vet Res. 2021;85(3):201-204.)
  • การศึกษาอีกชิ้น ทำในผิวหนังเพาะเลี้ยง NPS นั้น สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ Ceramide ผ่าน Receptor CB-1 ของระบบ endocannabinoid system โดยเฉพาะ Ceramide สายยาว (long-chain fatty acids (FAs) (C22-C24)) ที่มีความสามารถในการเป็น Barrier ที่แข็งแรง (Int J Mol Sci. 2021;22(15):8302.)

การใช้ Pre-Pro-Post biotics ร่วมกัน เราอาจเรียกได้ว่าเป็น Tri-biotics โดยทาง Curecode มีการเลือกใช้ Tribiotics ดังภาพ

(Image from Curecode)

  • Prebiotics 2 ชนิด โดย เลือก N-acetyl glucosamine ที่เป็นอาหารเลี้ยง probiotics กลุ่ม Lactobacillus spp. ร่วมกับ Sialyl lactose ที่เป็นอาหารเลี้ยง probiotics กลุ่ม Bifidobacterium spp.
  • Probiotics ใช้เป็น Bifida ferment lysate
  • Postbiotics ใช้เป็น Neuromide (N-palmitoyl serinol) ซึ่งเป็นสารที่จุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อ Probiotics เชื้อเจ้าบ้านบนผิวของเราสร้างขึ้นมาค่ะ

สำหรับตัวเทคโนโลยีอีกชิ้น คือ Microencapsulation system หรือ MES® technology นั้นทางแบรนด์เป็นการเตรียมตำรับให้อยู่ในรูปแบบของ Multiple lamellar delivery system ที่จะมีลักษณะของไขมันที่เรียงตัวกันเป็นชั้นๆ มีช่องว่างให้น้ำแทรกอยู่ แล้วบรรจุเอาสารบำรุงหลายชนิด โดยที่ละลายน้ำได้จะอยู่ในส่วนของช่องว่าง และ ที่ละลายในไขมัน จะอยู่ในชั้นของไขมัน ดังภาพ

ภาพซ้ายจะเป็น Emulsion แบบปกติ และภาพขวาจะเป็น MES

(Image from Curecode)

ซึ่งการเรียงตัวแบบ MES นี้ ถ้าส่องดูด้วย Polarized microscope จะพบว่าเป็นการเรียงตัวแบบเดียวกับไขมันที่เป็น Barrier ผิว จึงมีประโยชน์ในการนำส่งสาร และดูแลฟื้นฟู Barrier ให้แข็งแรง

ดังนั้น Core concept สูตรของ Cure code คือ จะมี องค์ประกอบหลัก 3 ชนิด ได้แก่

  • Microbiome science (Tri-biotics)
  • Neuromide เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น และดูแลการระคายเคือง + Soothing (ให้ความรู้สึกสบายผิว)
  • MES technology เพื่อฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง

จากนั้นจึงมาผสมกับสารเสริมเพื่อให้ตอบความต้องการตามแต่ละสูตร

สำหรับ Blog นี้ขอเริ่มที่ Ultrasoothing Radiance Gel ก่อนเลยนะคะ

น้องมาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

แพคเกจเป็นแบบหลอดบีบ

เนื้อเป็นแบบ Emulsion gel หรือ ครีมเจล คล้ายครีม แต่จะบางเบากว่า

เกลี่ยได้ง่าย มีความชุ่มชื้นดี แต่ไม่ถึงกับเหนอะหนะ ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

ก่อนไปดูส่วนผสม ผลิตภัณฑ์นี้ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพในอาสาสมัครโดยแลปที่ได้รับมาตรฐาน และเป็น 3rd party (คือไม่เกี่ยวข้องกับทางบริษัท เพื่อลด bias ในผลการทดสอบ) มาเรียบร้อยแล้วนะคะ

  • ผลิตภัณฑ์ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในอาสาสมัครทดสอบ ช่วงอายุ 20 – 40 ปี
  • ผลิตภัณฑ์ไม่ก่อเกิดการระคายเคือง ทดสอบด้วยวิธี patch test ในอาสาสมัครทดสอบ ช่วงอายุ 20 – 60 ปี (ค่าคะแนนเฉลี่ยของการระคายเคือง หรือ MII = 0.00 หมายถึงไม่ระคายเคือง)
  • ในด้านของประสิทธิภาพ
    • พบว่าสามารถควบคุมความมันในอาสาสมัครได้ด้วย โดยผลในการควบคุมความมันเห็นผลตั้งแต่สัปดาห์แรก และเมื่อใช้ไปต่อเนื่องจนครบ 4 สัปดาห์ ก็มีประสิทธิภาพควบคุมความมันได้เพิ่มขึ้น อันนี้น่าสนใจค่ะ เพราะเวลาเราพูดถึงผลิตภัณฑ์ที่ดูแล Barrier ผิว เรามักจะเจอว่าน้องไปทำให้ผิวมันขึ้น ด้านความสว่างกระจ่างใสของผิว เริ่มเห็นผลว่าความกระจ่างใสของผิวเพิ่มขึ้นตั้งแต่สัปดาห์ที่ 1 และเพิ่มขึ้นได้อีกเมื่อใช้เป็นเวลา 4 สัปดาห์
    • ส่วนผลด้านความชุ่มชื้น-ผิวแข็งแรงนั้นก็ให้ผลที่ดีเช่นกันค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ส่วนผสมชุดนี้ทำไว้หลายสีอยู่เหมือนกัน

ขอเริ่มที่ Combination signature ของแบรนด์ Curecode ตัวแรก Tribiotics ได้แก่

  • Prebiotics: N-acetyl glucosamine (NAG) เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Lactobacillus spp. ร่วมกับ Sialyl lactose เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Bifidobacterium spp.
    • โดย NAG มีประโยชน์กับผิวอีกหลายอย่างเลยจะหยิบมาพูดอีกรอบ
  • Probiotics: Bifida ferment lysate (BFL) ที่มีประโยชน์หลายประการ เด่นๆ น้องจะ ฟื้นฟูและปรับสภาพ สมดุลผิวผ่านหลายๆ กลไก ล่าสุดงานวิจัยของ Wang และคณะ ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วเจอว่า BFL ปรับสภาพสมดุลผิวผ่านหลาย Gene หลายกลไก ผลโดยรวมคือ ผิวแข็งแรง ลดการระคายเคือง และเสริมความต้านทานของผิวให้ผิวเราทนทานมากขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2023;22(12):3427-3435.)
  • Postbiotics: Neuromide® หรือ N-palmitoyl serinol ให้ผิวแข็งแรงเช่นกัน

ถัดมาเป็นเทคโนโลยี MES ที่บรรจุสารไว้หลายชนิด ที่น่าสนใจ คือ Phytosterol และ Ceramide NP (Ceramide 3) เอาไว้ เสริม Barrier ผิวอีก 1 กรุบ

เนื่องจากสูตรนี้จะเด่นเรื่องความกระจ่างใสด้วย โดยสารที่ให้ประโยชน์ด้าน Whitening จะมีด้วยกันหลายตัวเหมือนกันค่ะ

  • Niacinamide ที่มีประโยชน์กับผิวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening ผ่านการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก รวมไปถึงด้านการดูแลการอักเสบระคายเคือง Antioxidant เสริมการสร้าง Barrier ผิว และควบคุมความมัน
  • NAG ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของน้ำตาล และเป็นหน่วยย่อยในสาย Hya มีรายงานว่า NAG สามารถยับยั้งการ Glycosylation เพื่อเปลี่ยน pro-tyrosinase ไม่ให้เป็น tyrosinase จึงไม่มีฤทธิ์สร้างเม็ดสี ควบคุมการผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น (Int J Cosmet Sci. 2010;32(3):234.) มีการศึกษาโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • Resveratrol สาร Antioxidant ตัวแม่ตัวหนึ่งในวงการ นอกจากคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant แล้ว ยังมีงานวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติในการเป็น Whitening และ Anti-aging ผ่านหลายๆ กลไก เช่น การทดสอบในหนูทดลองพบว่า Resveratrol สามารถลดการสร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดสี Melanin ได้หลายชนิด รวมทั้งยับยั้งการสังเคราะห์ Tyrosinase ได้ด้วย และยังให้ผลลดการสร้างสีผิวหลังจากถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (Biomol Ther (Seoul). 2014; 22(1):35-40.)
  • Palmitoyl Tetrapeptide-10 ตัวนี้ถ้าพิจารณาดูจาก Breakdown ส่วนผสมแล้วน่าจะหมายถึง Crystalide™ ของ Sederma ซึ่งมีการออกฤทธิ์ที่เป็นเอกลักษณ์ผ่านโปรตีน α-Crystallin ปรับสมดุลความชุ่มชื้น การผลัดผิว การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ให้ได้ Corneocyte ที่สมบูรณ์ และช่วยให้ผิวแลดู Glow มีผลการทดสอบในอาสาสมัครรองรับโดยบริษัท (Ref: Crystalide™)

ลดการระคายเคืองผิวด้วย Symsitive® (4-t-Butylcyclohexanol) ที่จูงมือมากับ Acetyl Dipeptide-1 Cetyl Ester, Allantoin, สารสกัดจากบัวบก และ St.John’s Wort (Hypericum perforatum Flower Extract)

เติมน้ำ และเสริมความชุ่มชื้นให้ผิว

  • Panthenol ที่ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง เสริมกระบวนการฟื้นฟู barrier ผิว
  • Sodium Hyaluronate ตัวแม่แห่งวงการเติมน้ำ
  • Ethyl linoleate ปรับสมดุลความชุ่มชื้นผิว นำพาเอากรดไขมันจำเป็น Linoleic acid ลงไปในผิว แล้วผิวเราจะย่อยออกมาได้ Linoleic acid ที่เอาไปใช้ต่อได้ (Ref: TDS Synovea® EL)

ในภาพรวมก็คือ เป็นมอยส์ที่พัฒนามาได้ค่อนข้างดี และตอบโจทย์ทั้งด้านการดูแลผิวให้แข็งแรง ปกป้องผิวให้มีความต้านทาน ทนทานต่อการระคายเคือง พร้อมได้ประโยชน์ด้านผิวกระจ่างใส

ถัดมาจะเป็น Intensive ClamAGE Ointment ที่มาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

แพคเกจจะเป็นแบบหลอดเช่นกัน

เนื้อคล้ายบาล์ม ไม่มีกลิ่น เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

การเกลี่ยอาจจะฝืดๆ หน่อย ตามลักษณะของเนื้อครีมแบบบาล์มแบบนี้ เรื่องของความชุ่มชื้นคือฉ่ำมาก แต่ไม่ถึงกับเหนียวเหนอะหนะ หรือเยิ้ม ทิ้งไว้สักพักก็จะซึมและให้ความรู้สึกสบายผิว

ก่อนไปดูส่วนผสม ผลิตภัณฑ์นี้ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยและประสิทธิภาพในอาสาสมัครโดยแลปที่ได้รับมาตรฐาน และเป็น 3rd party (คือไม่เกี่ยวข้องกับทางบริษัท เพื่อลด bias ในผลการทดสอบ) มาเรียบร้อยแล้วเช่นกัน

  • ผลิตภัณฑ์ไม่ก่อให้เกิดการอุดตันในอาสาสมัครทดสอบ 20 คน อายุเฉลี่ย 34.15 ปี
  • ผลิตภัณฑ์ไม่ก่อเกิดการระคายเคือง ทดสอบด้วยวิธี patch test ในอาสาสมัครทดสอบ 32 คน อายุเฉลี่ย 47.53 ปี (ค่าคะแนนเฉลี่ยของการระคายเคือง หรือ MII = 0.00 หมายถึงไม่ระคายเคือง)
  • ในด้านของประสิทธิภาพ
    • ประสิทธิภาพในการลดรอยแดงในอาสาสมัคร เห็นผลตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ใช้ และได้ผลดีขึ้นเมื่อใช้เป็นเวลาต่อเนื่อง 4 สัปดาห์
    • ประสิทธิภาพในการเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว เห็นผลตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ใช้
    • ประสิทธิภาพในการลดเลือนริ้วรอย เห็นผลตั้งแต่สัปดาห์แรกที่ใช้ เช่นกัน
    • ส่วนผลด้านความชุ่มชื้น-ผิวแข็งแรงนั้นก็ให้ผลที่ดีเช่นกันค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

สำหรับส่วนผสมก็จะมี Combination signature ของแบรนด์ Curecode ได้แก่ Tribiotics + Neuromide + MES technology ที่มาพร้อมหน้า และเสริมมาด้วยสารที่ดูแลริ้วรอย โดยส่วนตัวคิดว่าน่าจะเด่นในเชิงการป้องกันริ้วรอยใหม่ โดยเหมาะกับคนที่ไม่สามารถทนต่อ Retinoids ได้ หรืออยากชะลอวัยไว้ก่อนมันจะมา 

  • สารสกัดจากเปลือกส้ม (Citrus reticulata (Tangerine) Extract) ซึ่งประกอบด้วย Flavonoids หลายชนิด ที่เป็น Antioxidant ที่ดี และบางตัวมีคุณสมบัติด้าน Whitening
  • Soy isoflavone ที่ไม่ได้มาในรูปแบบของ soybean extract แต่มาในชื่อ Soy isoflavone ซึ่งจะมีความบริสุทธิ์ของเนื้อ Isoflavone อยู่สูง ซึ่งมีคุณสมบัติเป็น Phytoestrogen มีประโยชน์ในการดูแลเรื่อง Antioxidant, การระคายเคือง และให้ผิวยืดหยุ่น กระชับ และนุ่มนวล
  • Resveratrol ตัวแม่แห่งวงการ antioxidant ที่ชะลอวัยได้ดี และมีรายงานในการเป็น Anti-aging ผ่านหลายๆ กลไก
  • ส่วนของ Acetyl glucosamine ก็ดูแลเรื่องริ้วรอย และความชุ่มผิวได้เช่นกัน

จะมีส่วนของ Alcohol เข้ามา ซึ่งคิดว่าเอามาปรับ Feel ให้ไม่เหนอะหนะ และส่วนตัวได้ทดลองใช้มาประมาณ เดือนครึ่ง ใช้ก่อนนอน ก็ไม่ได้มีปัญหาระคายเคืองใดๆ

สำหรับการให้คะแนนวันนี้จะขอหยิบเอา Ultra Soothing Radiance Gel มาเป็นตัวแทนในการให้คะแนนนะคะ

  1. สารบำรุง: ส่วนผสมทำมาได้ค่อนข้างดี เน้นการฟื้นฟู Barrier ผิวในทุกมิติ รวมถึงปรับสมดุล Microbiome ของผิว ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว พร้อมทั้งให้ประโยชน์ด้าน Whitening เพื่อให้ผิวกระจ่างใส และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบส่วนตัว ทางนี้ได้ทดลองใช้ผลิตภัณฑ์มาประมาณ 1 เดือน ในด้านของผิวแข็งแรง ชุ่มชื้น รอยแดง ถือว่าทำมาได้ดีมาก และตอบโจทย์ ถ้าเทียบกับ Ampoule น้องจะชุ่มชื้นขึ้นและเด่นเรื่อง Whitening เพิ่มขึ้น โดยส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาเรื่องของสีผิวที่ผิดปกติ เลยจะยังตอบคำถามตรงนี้ไม่ได้ค่ะ แต่ถ้าให้ความชอบ ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Curecode สาขาประเทศไทย ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตา และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ Curecode โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/curecodeth

ทางไปตำ Radiance gel

แอพฟ้า: https://s.lazada.co.th/s.osdP3?cc

แอพส้ม: https://s.shopee.co.th/7UvgcTRGIi

ทางไปตำ Intensive CalmAGE ointment

แอพฟ้า: https://s.lazada.co.th/s.osdMt?cc

แอพส้ม: https://s.shopee.co.th/9f0BCU58zY

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Curecode สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมสกินแคร์ดูแลจุดด่างดำเพื่อผิวกระจ่างใส สูตร Cleanical beauty จาก T’else ในไลน์ Red orange ครบชุดทั้งโทนเนอร์ และเซรั่ม

T’else rebrand ใหม่ ปรับคอนเซปท์เป็น Cleanical beauty ภายใต้ชื่อใหม่ Terra + Else วันนี้มาถึงคิววิเคราะห์ส่วนผสมของ Line Red orange กันบ้างค่ะ

สำหรับ Line นี้จะมาในสีส้มสดใส เน้นเคลมหลักไปที่ด้าน Brightening & Vitalizing เพื่อผิวกระจ่างใส มีชีวิตชีวา

  • ด้วยส่วนผสมของ Terra เป็น Blood orange ส้มสีเลือดเกรดออร์แกนิกจากอิตาลี่ นำมาสกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษของทางแบรนด์ ที่เรียกว่า Air-brewing 100TM ที่สกัดด้วยฟองอากาศบางๆ ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส กว่า 100 ชั่วโมง
  • มาจับคู่กับ Niacinamide วิตามินบี 3 สารพัดประโยชน์ เพื่อดูแลด้านความกระจ่างใสของผิว

Line นี้มาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ก่อนไปรีวิว ต้องบอกก่อนว่า ทำไมทางแบรนด์ถึงเลือก Blood orange สายพันธุ์ Moro จากอิตาลี นั่นก็เพราะว่ามีส่วนผสมของ Anthocyanin สูงกว่า Blood orange สายพันธุ์อื่นนั่นเอง

ถึงเวลาของการรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม โดยจะขอเริ่มที่สูตร Toner

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

เช่นเคย วัตถุดิบสำหรับภาชนะบรรจุมาจาก PCR (post-consumer recycled) plastic

เนื้อโทนเนอร์เป็นแบบใส มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ที่เบลนด์ขึ้นมาจาก Galbanum (Ferula galbaniflua) resin และ Mugwort (Artemisia vulgaris) essential oil

กลิ่นจะเป็น Top green ตามมาด้วยกลิ่นโทนยางไม้และ woody ใครที่ชอบก็จะชอบ ใครที่ไม่ชินก็อาจจะรู้สึกแบบ แปลกๆ แต่กลิ่นไม่ติดผิวค่ะ แป๊บเดียวก็ไปละ ไม่ต้องกังวลไป

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ เหมาะกับการใช้ทั้งเทบนมือแล้วตบๆ เป็นน้ำตบ หรือ เทใส่สำลีแล้ว tap เบาๆ

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

ความน่าสนใจของสูตร Toner นี้คือ ทางแบรนด์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัครมาเรียบร้อย โดยจุดเด่น ก็คือ น้องสามารถปรับโทนสีผิวให้แลดูกระจ่างใส โดยลดทั้งความด่างดำ และ ความเหลืองของสีผิว

โดยการวัดค่าความด่างดำ นั้นประเมินจากค่าความสว่าง (L*) พบว่า เมื่อให้อาสาสมัครใช้ไปเพียง 7 วัน ก็สามารถเพิ่มความสว่างให้ผิวได้ จึงเป็นที่มาของการเคลมว่าสัมผัสการเปลี่ยนแปลงได้ภายใน 7 วัน

ส่วนประสิทธิภาพการปรับความเหลือง วัดจากค่า b* เป็นค่าสีในแกนเหลือง-น้ำเงิน ค่าที่น้อยลง แสดงถึงความเหลืองน้อยลง ซึ่งพบว่าเริ่มเห็นผล (Significant) ตั้งแต่ 7 วันแรก

วิเคราะห์ส่วนผสมของ Toner กันดีกว่า

สำหรับส่วนผสม พระเอก คงหนีไม่พ้นสารสกัดจาก Blood orange (Citrus sinensis (orange) fruit extract) ที่ได้จากส้ม Blood orange จากประเทศอิตาลี่ สกัดด้วยกรรมวิธีพิเศษที่เป็นเอกลักษณ์ของทางแบรนด์ เพื่อดึงเอาสารพฤกษเคมีที่สำคัญออกมา ด้วยกรรมวิธีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

โดยในสารสกัดจากส้ม Blood orange นั้นประกอบด้วยพฤกษเคมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น Vitamin C, Anthocyanin และ Flavonoid ที่เป็น Antioxidant ที่ดีกับผิว

โดย Flavonoid ที่พบในส้มนั้นมีหลายชนิด เช่น quercetin, kaempferol, hesperidin, nobiletin เป็นต้น

ส่วนผสมอื่นๆ ได้แก่

  • Gluconolactone เป็น PHA ที่ดูแลเรื่องการผลัดผิวได้อย่างอ่อนโยน
  • วิตามินรวม ทั้ง Niacinamide (B3), Ascorbic acid (C), Cyanocobalamin (B12), Folic acid, Panthenol (B5) และ Tocopherol (E) ที่ให้ประโยชน์กับผิวได้หลากหลายประการ
  • ดูแลการระคายเคือง พร้อมให้ความรู้สึกสบายผิวด้วย Betaine
  • เติมน้ำด้วยกรดอะมิโน Arginine
  • ดูแลริ้วรอยด้วย Adenosine

มาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ถัดมาเราลองมาดูสูตร Serum บ้าง

ตัว Serum มาในหน้าตาประมาณนี้

แพคเกจเป็นแบบขวดปั๊ม

เนื้อเป็นเซรั่มแบบน้ำใส มีความหนืดมีน้ำมีเนื้อ ในส่วนของกลิ่นก็เป็นโทนเดียวกัน คือ Galbanum + Mugwort

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นมากขึ้น ถ้าเทียบกับสูตร Toner

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 เช่นกัน

สำหรับเซรั่มนี้ก็ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัครมาเช่นกันค่ะ โดยน้องจะเด่นเรื่องของการดูแลปัญหาสีผิวที่พบเจอในชีวิตประจำวัน 4 ชนิด ได้แก่ จุดด่างดำ ฝ้า กระ และผิวคล้ำจากการสัมผัสผิว UV

โดยในการทดสอบกับอาสาสมัครพบว่าเซรั่มสามารถดูแลลดความเข้มของจุดด่างดำทั้งระดับตื้น และระดับลึกได้โดยผลเริ่มเห็น (Significant) ที่ 7 วัน

85% ของอาสาสมัครที่ทดลองใช้ 2 สัปดาห์พบว่าสีผิวขาวกระจ่างใสขึ้น และบริเวณของรอยดำแลดูลดลง

มาดูส่วนผสมกันบ้าง

ส่วนผสมจะมีปรับจาก Toner นิดหน่อยนะคะ

  • เพิ่มความเข้มข้นของสารสกัดจาก Blood orange และ Niacinamide ขึ้นมา
  • ปรับสารการดูแลการระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิวแบบฉ่ำ ด้วย Allantoin และ Dipotassium glycyrrhizate
  • ตัด PHA ออกไป

ส่วนของเบสมีการเพิ่มสารเพิ่มความหนืดให้มีน้ำมีเนื้อมากขึ้น และยังคงไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ตั้งแต่วันเปิดตัว (แต่ดิฉันพึ่งได้ฤกษ์หยิบมารีวิว) และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ T’else โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/TelseThailand

ทางไปตำ (สูตร Toner)

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.micRO?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/6plLWGOy8f

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเสริมพลัง Autophagy สูตรใหม่ปรับฉ่ำ ATG ultrasoothe rejuvenating serum จาก dermArtlogy

รู้สึกว่าปีนี้เป็นปีแห่งการปรับสูตรใหม่ของเครือ Neopharm เลยก็ว่าได้

ล่าสุด ATG #ลูกรักบ้านมียอน ก็ได้รับการปรับสูตรให้ดีงามขึ้นด้วย และมาในโฉมใหม่ ด้วยชื่อ ATG Ultrasoothe Rejuvenating serum

แต่ใดๆ น้องก็ยังคงคุมโทนอยู่ทั้งในส่วนของดีไซน์ และธีมของส่วนผสมยังคงบำรุงได้ฉ่ำเหมือนเดิม อาจจะฉ่ำกว่าเดิมด้วยนิดๆ

สังเกตที่แพคเกจจะคล้าย ATG แต่ว่าสูตรปรับใหม่ จะมีคำว่า “Ultrasoothe” เพิ่มเข้ามาค่ะ

ส่วนตัวรู้สึกว่าเนื้อเซรั่มเบาขึ้นกว่า ATG เดิมนิดหน่อย

ตอนเกลี่ยจะค่อนข้างลื่นผิว ให้ความรู้สึกสดชื่น และสบายผิว ตอนแรกๆ จะดูชุ่มๆ

แต่ถ้าทิ้งไว้ประมาณ 1 – 2 นาที ก็จะซึมและแห้งไปจนหมด

ส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

ถ้าดูจากส่วนผสม ส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านต่างๆ เรียกได้ว่าดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

โดยขอเริ่มที่กลุ่มสีชมพู กลุ่มของไขมัน และสารที่ใช้ทำ MLETM (Multi-lamellar emulsion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง Neopharm ประเทศเกาหลี

  • MLETM ปกติแล้วในผิวเราจะมีไขมันที่ทำหน้าที่เป็น Barrier ผิว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ Ceramide + Cholesterol และ Fatty acid ไขมันเหล่านี้มันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งมีด้วยกันหลายรูปผลึก ส่วนหนึ่งเป็นรูปแบบ Liquid crystal

โดย MLETM ในตำรับนี้เป็นสูตรผสมของ Pseudoceramide (Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA หรือ Ceramide-9S) ร่วมกับ Phytosterol และกรดไขมัน Stearic acid, Palimitic acid และ Caprylic/capric triglycerides โครงสร้างของ MLE นั้นจะมีการจัดเรียงตัวในรูปแบบที่คล้ายกับ Liquid crystal ของผิว เลยสามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวทดแทน Barrier ของผิว

อีกตัวที่เป็นส่วนประกอบของ MLE คือ Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide หรือ Ceramide-5SP ซึ่งพอเอามารวมกับ Ceramide-9S และสารอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะเกิดเป็นโครงสร้างรูปแบบ Liquid crystal ที่เวลาดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ Polarized microscope จะเห็นเป็นลักษณะพิเศษที่เรียกว่า Maltese cross ซึ่งเหมือนกับการเรียงตัวของ Barrier ผิว ตามภาพ

(Image from Neopharm)

  • Phytosterols ที่เสริมเข้ามายังมีประโยชน์เพิ่มเติมในด้านการดูแลปัญหาการอักเสบและระคายเคืองของผิวได้อีกทาง

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของ Peptide และสารบำรุงที่น่าสนใจแสดงด้วยอักษรสีบานเย็น

  • Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptide-12 ตัวนี้คือ Aquatide ที่เป็นเหมือนนางเอก มีบทบาทและประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว ซึ่งเป็นเสมือนกระบวนการที่ผิวเรารีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างและฟื้นฟูเป็นองค์ประกอบใหม่ ให้ผิวเราทำงานได้ดีเหมือนเดิม ขอใช้รูปเก่ามาประกอบค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจเรื่อง Aquatide สามารถตามไปอ่านเรื่องของ Aquatide แบบละเอียดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ

(https://cosmeknowledge.wordpress.com/2019/06/11/spotlight-aquatide/)

  • Tetracarboxymethyl hexanoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า AdiposolTM ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าน้องไปมีผลกระตุ้น Adiponectin ซึ่งเป็น Peptide hormone ชนิดหนึ่งที่สร้างจากเซลล์ไขมัน (Adipocyte) ปกติ Adiponectin จะมีบทบาทในระดับร่างกาย แต่ก็มีการพบว่า Adiponectin นั้นมีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิว เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและ Hyaluron ในธรรมชาติของผิว และลดการอักเสบระคายเคือง (Oh, et al., Biomol Ther (Seoul). 2021; Sep 28. doi: 10.4062/biomolther.2021.089.)

ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่ารังสี UV และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม อย่างมลภาวะ ไปกดการสร้าง Adiponectin เลยทำให้กระบวนการต่างๆ เหล่านี้หายไป นอกจากนี้รังสี UV ยังไปทำให้เอนไซม์ MMP มาย่อยสลายคอลลาเจนเกิดความเหี่ยวขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ AdiopSOL กล่าวว่า สารนี้ยังเสริมกระบวนการ Autophagy ลดการสร้างเอนไซม์ MMP และลดการอักเสบในระดับหลอดทดลอง และลดรอยแดงของผิวในอาสาสมัคร

(Image from Incospharm และ AH&NS)

  • Pentasodium tetracarboxymethyl palmitoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อย่อว่า PTPD เป็นเปปไทด์ที่พัฒนามาเพื่อเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครที่เป็นโรคผิวหนังชนิด Atopic dermatitis เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีอาการระคายเคือง คัน ลดลง และมีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น (Kwon, et al. J Dermatolog Treat. 2019;30(6):558-564.) นอกจากนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า PTPD ยังมีคุณสมบัติลดปริมาณของเม็ดสีผิว ผ่านการเสริมการเกิด Autophagy ของแหล่งสร้างเม็ดสีผิวอย่าง Melanocyte

(Image from Dermartlogy Thailand)

  • Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide รู้จักกันในนาม K6PC-5 น้องเป็น sphingosine kinase 1 (SphK1) activator โดย SphK1 ทำหน้าที่สร้าง Sphingosine-1-phosphate (S1P) ซึ่งมีคุณสมบัติหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการควบคุมการเจริญ แบ่งตัวเพิ่มจำนวน หรือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า K6PC-5 สามารถเพิ่มการสร้าง involucrin และ filaggrin ซึ่งเป็น Marker หนึ่งที่บอกว่าเซลล์ผิวได้ Differentiate จนสมบูรณ์แล้ว และการทดสอบในหนูทดลองพบว่า การทา K6PC-5 สามารถปรับสมดุลการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ให้ผิวหนังมีความสมบูรณ์มากขึ้น (Hong et al., J Invest Dermatol. 2008;128(9):2166-78.) การทดสอบในหนูทดลองที่อายุเยอะ (Aging) พบว่า การทา K6PC-5 สามารถเพิ่มจำนวน Fibroblast ที่เป็นเซลล์สำคัญในการสร้างเส้นใยต่างๆ เช่น collagen ให้ผิวกระชับ แข็งแรง เสริมการสร้างคอลลาเจน และเพิ่มความหนาให้ชั้นหนังแท้ รวมถึงมีการเพิ่มจำนวนของโปรตีน involucrin, loricrin, filaggrin, and keratin 5 ซึ่งเป็นโปรตีนที่แสดงออกเมื่อผิวหนังเกิดการ Differentiate จนสมบูรณ์ (J Dermatol Sci. 2008;51(2):89-102.) มีอีกการศึกษาในโมเดลหนู Photoaged โดยให้หนูสัมผัส UV นานๆ พบว่า K6PC-5 สามารถเพิ่มคอลลาเจน และจำนวน Fibroblast รวมถึง เสริมความแข็งแรงของชั้น Stratum corneum และเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ผิว (Park et al., Exp Dermatol. 2008;17(10):829-36.) อาจจะกล่าวโดยสรุป ว่า K6PC-5 ปรับสมดุลช่วยให้ผิวแข็งแรง และให้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย
  • Caprylamide MEA หรือ Dualguard-7TM สารนี้มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคืองโดยไปลดการสร้างสารเหนี่ยวนำการอักเสบในกลุ่มของ Interleukin-17 (IL-17) เสริมกระบวนการ Autophagy ผ่านการยับยั้งโปรตีน p62 ซึ่งเป็นตัวต่อต้านการเกิด Autophagy และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน

กลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นแทนด้วยสีฟ้า จะเป็นตัว Hyaluronic acid รูปแบบดั้งเดิม และ Hydrolyzed hyaluronic acid ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดเล็กลง กรดอะมิโน Arginine

ถัดมาเป็นกลุ่มของสารที่ลดการอักเสบและระคายเคืองผิว รวมถึงสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด อย่างวิตามินบี 3 บี 5 Betaine, Allantoin

สูตรนี้มีการปรับเปลี่ยนสารลดการระคายเคืองจากเดิมเป็น Symsitive® (4-t-Butylcyclohexanol) ที่มีจุดเด่นคือออกฤทธิ์ Block ตัวรับส่งสัญญาณความร้อนและความเจ็บปวดชนิด TRPV-1 ให้ผลลดการระคายเคือง แสบร้อน ได้อย่างรวดเร็ว และยังไปเพิ่มความทนทาน (Tolerance threshold) ของระบบประสาทรับความรู้สึกแสบร้อน ให้ผิวเราทานทานมากขึ้น โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพในการลดความแสบร้อนจากการทา Capsaicin ในอาสาสมัคร (Ref: TDS Symsitive®)

(Image from Symrise)

ทางแบรนด์ได้ทดสอบประสิทธิภาพในการลดความรู้สึกระคายเคือง โดยให้อาสาสมัคร 20 คน ทาผลิตภัณฑ์ที่มี Symsitive เทียบกับ ครีมเบส พบว่า ผลิตภัณฑ์ที่มี Symsitive เมื่อกระตุ้นด้วยการระคายเคืองแล้ว ฝั่งที่ใช้ Symsitive อาการระคายเคืองแสบร้อนลดลงได้อย่างรวดเร็วภายใน 1 – 3 นาที

(Image from Symrise)

ปิดท้ายด้วยสีเขียวเป็นสารสกัดจากบัวบก ที่มีประโยชน์ต่อผิวในหลายประการ ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นสารสกัดจากบัวบกในรูปแบบ Medical grade ในความเข้มข้นสูงถึง 50% และยังเสริมสารบริสุทธิ์ที่เป็นสารพฤกษเคมีหลัก (Active phytochemicals) ในบัวบก อย่าง Madecassoside เข้ามา ซึ่งสารเหล่านี้มีประโยชน์ในด้านการลดการอักเสบ เสริมการสมานแผล ชะลอวัยลดเลือนริ้วรอย เป็น Antioxidant และอื่นๆอีกหลายด้าน

สารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวมากขนาดนี้ผิวจะมันไหม?

ในจุดนี้ทางแบรนด์วางแผนการตั้งตำรับมาอย่างรอบคอบโดยการเสริมเอา Zinc gluconate ที่มีคุณสมบัติกระชับรูขุมขน (Astringent) และควบคุมความมันเข้ามา

เบสเป็นแบบน้ำ มีส่วนผสมของสารที่ละลายได้ในไขมันอยู่นิดหน่อย เนื้อเลยเป็นรูปแบบกึ่งใสกึ่งขุ่น อาจเรียกเป็น Translucent (โปร่งแสง แต่ไม่ถึงกับใส) ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ในภาพรวมนอกจากความโดดเด่นในแง่ของด้าน Autophagy ที่มีประโยชน์ทั้งการชะลอวัย เสริมความแข็งแรงให้กับผิวแล้ว ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกหลายชนิดที่ดูแลผิวได้อย่างครอบคลุมจบทุกปัญหา และช่วยให้ผิวแข็งแรง และอาจได้ประโยชน์ไปถึงด้านริ้วรอย การชะลอวัย และ ไวท์เทนนิ่ง ในสูตรใหม่นี้ ATG Ultrasoothe ปรับสารลดความรู้สึกระคายเคืองมาเป็น Symsitive เอาใจวัยรุ่นใจร้อน รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ตัวเซรั่มเนื้อค่อนข้างเบา ไม่เหนอะหนะ ซึมไว แห้งไว ถ้าใครผิวแห้งมากอาจจะยังชุ่มไม่พอ ให้ประกบคู่กับ Radiance gel moist ไป หรือ ใช้มอยส์อื่นตามชอบ เรื่องของประสิทธิภาพในการดูแลอาการแดง คัน ระคายเคือง ไม่สบายผิว ค่อนข้างลงตัว และส่วนตัวรู้สึกว่าตอบโจทย์ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DermArtlogy สาขาประเทศไทย ที่สนับสนุนสินค้านวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงได้เลย

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.ozkdD?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/4AfROJW4hg

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม มาสก์หน้า The clean vegan mask สูตร AHA/BHA จาก Barulab

หลังจากที่ Blog เมื่อวานมาเล่าถึงซีรี่ส์ 10 สี 10 สูตรของ The clean vegan mask จาก Barulab ไปแล้ว

วันนี้ขอหยิบเอาสูตร AHA/BHA มาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันนะคะ

โดยในสูตร AHA/BHA นี้ มาในซองสีส้มอมชมพูแบบนี้ค่ะ

ตัวแผ่นมาสก์ได้รับ Certified vegan และส่วนผสมของเอสเซนส์ (น้ำมาสก์) ก็ได้รับการรับรอง Vegan เช่นกันค่ะ

ภาพแผ่นมาสก์ (หลังจากที่ใช้ไปแล้ว ทิ้งไว้จนแห้งเพื่อดูลักษณะของแผ่นมาสก์) จะเห็นความเป็นเส้นใยธรรมชาติของแผ่นมาสก์

สำหรับเอสเซนส์ หรือ น้ำมาสก์ สูตรนี้จะเป็นคล้ายเซรั่มใส

ค่า pH ของเอสเซนส์ อยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ

ในส่วนของส่วนผสมเป็นดังนี้

ในส่วนของส่วนผสม

เคลมหลักของสูตรนี้คือ AHA, BHA โดย AHA ที่ทางแบรนด์เลือกมาจะเป็น Tartaric acid ร่วมกับ BHA ในฟอร์ม Betaine salicylate ที่เป็นอนุพันธ์ของ Salicylic acid โดยมีข้อมูลว่า Betaine salicylate มีความอ่อนโยนกว่า Salicylic acid และเมื่อลงผิว ผิวเราจะแปรสภาพให้ได้ Betaine ที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน และ Salicylic acid ที่เป็น BHA

ส่วนผสมที่ทำสีชมพูไว้ มี Allantoin ที่มีคุณสมบัติในเรื่องของการลดการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว ร่วมกับ ส่วนผสมของสารสกัดจากพืช 4 ชนิด ที่ทางแบรนด์เคลมว่าเป็น Baru calm complex ที่ช่วยฟื้นฟูผิว ได้แก่

  • Copis Japonica Root Extract สารสกัดจากพืชในตำรับยาจีนชนิดหนึ่ง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่าส่วนของรากประกอบด้วยสารกลุ่ม Alkaloid หลายชนิด เช่น Berberine, Coptisine ซึ่งมีคุณสมบัติลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Schizandra Chinensis Fruit Extract สารสกัดจากสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง มีรายงานว่า สารประกอบกลุ่ม Lignan ที่ให้ผลปกป้องเซลล์ผิวจากรังสี UV (PLoS One. 2015 May 15;10(5):e0127177.) และมีรายงานเกี่ยวกับคุณสมบัติในการลดการอักเสบในผิวหนัง (Mol Med Rep. 2015;12(2):2135-9.)
  • Glycyrhiza Glabra (Licorice) Root Extract สารสกัดจากชะเอม ที่เด่นในแง่ของการดูแลการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Zingiber Officinale (Ginger) Root Extract สารสกัดจากขิง ทางแบรนด์เคลมเรื่องของ Polyphenol ในขิงที่เป็น Antioxidant และมีสารเสริมการไหลเวียนของเลือดให้ผิวแข็งแรง

ส่วนผสมอื่นๆ

  • Arginine เป็นกรดอะมิโน ซึ่งเป็น Natural moisturizing factor (NMF) ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น จับน้ำให้ผิว
  • สารสกัดจากชาเขียว เป็น Antioxidant ที่ดี และอาจจะให้ประโยชน์ในแง่ของการดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคืองผิว

ในส่วนของเบส นั้นมาในเบสที่เป็นแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และไม่มีสารอื่นที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ทางไปชอปปิ้ง รุ่นกล่อง 10 สี 10 สูตร

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.ni5J5?cc

แอพส้ม https://shope.ee/na7Sc07V

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาเป็นของขวัญจากทางแบรนด์ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Beauty Update] The Clean Vegan Mask จากแบรนด์ Barulab สกินแคร์สายคลีนจากเกาหลี

เชื่อว่าหลายๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของแบรนด์ Barulab จากเกาหลีกันมาบ้างแล้ว ตอนนี้ทางแบรนด์มีตัวแทนจำหน่ายนำผลิตภัณฑ์เข้ามาจำหน่ายแบบถูกต้องอย่างเป็นทางการแล้วนะคะ

วันนี้เลยขอมาอัพเดทมาสก์หน้าในซีรี่ส์ The Clean Vegan Mask กันซักหน่อย

น้องมาด้วยกัน 10 สูตร 10 ความต้องการของผิว ซึ่งถูกสูตร ได้รับการรับรอง 100% Vegan ทั้งส่วนผสมของ Essence ได้รับการรับรองจาก Eve vegan ประเทศฝรั่งเศส และตัวแผ่นมาสก์ ได้รับรอง Vegan จากประเทศเกาหลี และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco-friendly)

มีจำหน่ายแบบ Box set ครบ 10 สูตร ด้วยนะคะ

ดีไซน์สีออกมาได้สวยน่ารักมากเลยค่ะ

ใน Blog หน้าจะหยิบเอามาวิเคราะห์ส่วนผสม 1 สูตรนะคะ จะเป็นสูตรใดนั้น ฝากติดตามกันต่อไปค่ะ

โดยทั้ง 10 สูตรนั้นได้รับการรับรอง Vegan ทั้งตัวเอสเซนส์ และแผ่นมาสก์เลย จะเรียกว่า 100% vegan ตามแบรนด์ก็ไม่เกินจริง

(Image from Barulab Korean official website)

โดยทางแบรนด์เคลมว่า ในแต่ละวันผิวเราอาจจะมีความต้องการที่แตกต่างกันไป การเลือกสูตร (Customized) ตามสภาพผิวในแต่ละวันก็น่าจะเป็นการดี

โดยใน Official แบ่งกลุ่ม 10 สูตรไว้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้

💚Calming ได้แก่ สูตร Aloe, Cica และ Green tea

💙Moisture, Nourishing ได้แก่ สูตร Hyaluron, Shea butter และ Olive

🧡ผลัดผิว ควบคุมความมัน ได้แก่ สูตร AHA/BHA และ Tea tree ดูแลปัญหาสิว ควบคุมความมัน

🩷Whitening and Firming ได้แก่ สูตร Vitamin C และ Peptide

สำหรับคนชอบลอง ทางแบรนด์ก็มีจัดชุด 10 สูตรไว้ สามารถไปสอยมาลองตามแต่ความต้องการของผิวในแต่ละวันได้เลยค่ะ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.ni5J5?cc

แอพส้ม https://shope.ee/na7Sc07V

Disclaimer: received as a gift, self-opinion

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีม Kombucha Hydro Glow cream จาก t’else

วันก่อนทางเพจได้นำเสนอส่วนผสมของ Essence และ เซรั่ม ในไลน์ Kombucha ของ T’else ไปแล้ว วันนี้ขอหยิบเอาครีมมาวิเคราะห์ต่อกันเลยค่ะ

ขออวดโฉมผลิตภัณฑ์ในไลน์ Kombucha อีกรอบ

ท่านที่พลาดไปสามารถกลับไปรับชมรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมของ Essence และ เซรั่ม (Ampoule) ได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click<<

วันนี้ขอหยิบครีมมารีวิวแยก เพราะว่าครีมนี่ฉ่ำไม่เบานะคะ ฉ่ำยังไง เดี๋ยวเล่า

น้องมาในกระปุกหน้าตาแบบนี้ค่ะ

กระปุกใช้วัตถุดิบพลาสติกที่เป็นพลาสติกรักษ์โลกชนิด 50% PCR (Post-consumer recycled material) ซึ่งช่วยลด Carbon footprint ให้กับแบรนด์ ตรงตามคอนเซปท์ eco-friendly ของแบรนด์

เนื้อครีมจะค่อนข้างข้น มีกลิ่นหอมจางๆ ของน้ำมันหอมระเหย

แม้ว่าจะค่อนข้างข้น แต่ก็เกลี่ยง่าย ให้ความโกลว์ชุ่มฉ่ำ แต่ไม่ถึงกับเหนียวเหนอะหนะ

ซึ่งความโกลว์นั้นแลดูจะมากกว่า ตัว Essence และ Ampoule

ถ่ายด้วยแฟลชเพื่อดูความโกลว์

สูตรนี้ไม่ได้วัดค่า pH นะคะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

สำหรับตัวครีม ส่วนผสมจะคล้ายๆ กับเพื่อนๆ ในไลน์

สำหรับส่วนผสมในภาพรวม ที่ดูเด่นจะเป็นตัว Kombucha ที่ผ่านกระบวนการหมักด้วย Saccharomyces yeast

ซีรี่ส์นี้ตัวใบชาอัสสัมที่เขาเลือกมา คือเป็นเกรดที่ดีที่สุด ที่สมาคมนักดื่มชารู้จักกันในนาม FTGFOP หรือ “Finest Tippy Golden Flowery Orange Pekoe”

‘Orange Pekoe’ เป็นการกล่าวถึงชาทั้งใบ (whole leaf tea) โดยคำว่า Pekoe มีที่มาจากการแปลภาษาจีนผิดในช่วงแรกๆ โดยสื่อความหมายถึง White hair บนยอดอ่อนใบชา ส่วนคำว่า Orange มาจาก Dutch royal House of Orange-Nassau ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสำคัญในการซื้อ-ขายชาในยุคศตวรรษที่ 17

ส่วนอีก 3 คำ

Tippy หมายถึง ยอดอ่อนของใบชา

Golden สื่อถึงสีทองของยอดอ่อนใบชา

Flowery เป็นการเน้นย้ำว่ายอดอ่อนของใบชายังอยู่อย่างสมบูรณ์ใน Whole leaves tea นั้นๆ (Reference: Australian Tea Centre)

ในใบชาเกรด FTGFOP จะประกอบด้วยสารพฤกษเคมีสำคัญๆ หลายชนิด ดังภาพ

(Image from T’else Korea Official Website)

จากแบรนด์เคลมก็เป็นไปตามงานวิจัยว่าในการหมักชาจะได้สารพฤกษเคมีที่เป็นประโยชน์หลายชนิด รวมทั้ง Glucuronic acid ออกมาด้วย (Bishop et al., Beverages 2022, 8(3), 45)

สำหรับกรรมวิธีการสกัดนั้นทางแบรนด์ใช้เทคนิคที่เรียกว่า Slow brewing technology สกัดด้วยอุณหภูมิต่ำ 20 องศาเซลเซียส อย่างช้าๆ เป็นเวลา 336 ชั่วโมง เพื่อให้ได้สารสกัดจากคอมบูชาที่มีคุณภาพสูง โดยไม่มีสารเติมแต่งอื่นๆ

โดยผลิตภัณฑ์ในซีรี่ส์นี้ ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ และการระคายเคืองในอาสาสมัครแล้วเรียบร้อย

สำหรับการใช้ Kombucha จากชาดำแบบทาภายนอกในเชิงเครื่องสำอางนั้น แบบเอามาทาตรงๆ ตอนที่ค้นใน Pubmed เมื่อ 18 ก.พ. 67 ยังไม่พบ แต่จะเจอการใช้สารสกัดจาก Kombucha มาใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Intradermal) ในหนูทดลอง พบว่า สามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจน และการทำงานของผิวหนังผ่านการเสริมระบบ NAD+ /NADH level ซึ่งจะช่วยให้ผิวทำงานได้ดีขึ้น และอาการของริ้วรอยต่างๆ ดีขึ้นต่อไป (Pakravan, et al. J Cosmet Dermatol. 2018;17(6):1216-1224.) แต่ถ้าเป็น Kombucha ที่เอามาหมักร่วมกับพืชอื่นก็พอมีอยู่หลายฉบับ

จากองค์ประกอบของสารพฤกษเคมีใน Kombucha ที่มีรายงาน เราอาจจะอนุมานได้ว่า Kombucha นั้นจะมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี และมีประโยชน์ในการชะลอวัยของผิวพรรณ

ส่วนผสมอื่นๆ ดังนี้

  • Hyaluronic acid 4 กลุ่ม ได้แก่
    • Sodium hyaluronate ตัวดั้งเดิม
    • Hydrolyzed Hya ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง
    • Sodium acetylated Hya ที่เป็นตัวดัดแปลงเติมหมู่ Acetyl group ลงไปให้มีความชอบไขมันเพิ่มขึ้น ทำให้ซึมลงไปในหนังกำพร้า เกาะอยู่ในนั้น เพิ่มความชุ่มชื้น และทางผู้ผลิตวัตถุดิบเองก็มีเคลมเกี่ยวกับประโยชน์ในการเสริมการฟื้นฟู Barrier เสริมการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของ Keratinocyte (เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า) เพื่อมาทดแทนตัวที่ได้รับความเสียหายจาก UV ไป และการทดสอบในระดับอาสาสมัครพบว่าเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว
    • Hydroxypropyltrimonium hya เป็น Hya ประจุบวกที่จะเคลือบเกาะกับผิวเราซึ่งมีประจุลบได้แน่น
  • วิตามินบี 3 ที่มีประโยชน์ที่ดีต่อผิวหลายอย่าง ทั้งในแง่ของ Whitening ผ่านการลดการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปด้านนอก ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง เสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และดูแลเรื่องรูขุมขน การเกิดสิว การปลดปล่อยน้ำมัน Sebum
  • Pseudoceramide ตัว PC-9S (Myristoyl/Palmitoyl Oxostearamide/Arachamide MEA) ที่สามารถฟอร์มเป็น MLE เพื่อดูแล Barrier ผิว ร่วมกับสารไขมัน อย่าง Shea butter, meadowfoam seed oil และ Phytosterol
  • สารต้านระคายเคือง + ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing) จัดเต็มแบบฉ่ำ
    • Allantoin
    • Biosaccharide gum-1
    • Acetyl dipeptide-1 cetyl ester
  • สารสกัดจากพืชอีกมากมายหลายชนิด ที่ให้ประโยชน์ที่ดีหลายประการกับผิว

ในภาพรวมก็คือเป็นครีมมอยส์เจอไรเซอร์ที่ดีตัวหนึ่งเลยทีเดียว แต่ในเบสก็ยังคงมีส่วนผสมของน้ำมันหอมระเหยจากพืชในตระกูล Citrus ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้แสงแดดได้ ถ้าใช้ในตอนกลางวันแล้วไปโดนแดดจัดๆ

แต่ว่า น้ำมันหอมระเหยกลุ่มนี้ในท้องตลาดจะมีพวกที่เป็นเกรด FCF คือ Furocoumarin free ด้วย โดยแยกเอาสาร Furocoumarin ออกจากน้ำมัน ทำให้ลดความเสี่ยงในการแพ้แสงแดดไป ซึ่งทางนี้ก็คิดว่า ทางแบรนด์คงใช้เกรด FCF แหละ

มาให้คะแนนกันดีกว่า

  1. สารบำรุง น้องเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ที่น่าสนใจตัวหนึ่ง มีการใช้ MLE เข้ามาเสริมเพื่อให้ได้ความสามารถในการดูแลผิวให้แข็งแรง พร้อมด้วยตัว Kombucha ที่เป็น Antioxidant ที่ดี มี Hya ที่มีประโยชน์เรื่องความชุ่มชื้น และเสริมสารสกัดจากพืชมาอีกหลายชนิด ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ หักคะแนนเรื่องของ Citrus oil ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการไวต่อแสง (Photosensitivity) แต่อย่างที่ได้เล่าให้ฟังว่า ในตลาดเครื่องสำอางมีการสกัดเอาสารไวต่อแดดอย่าง Furocoumarin ออก ได้เป็น Citrus oil เกรด FCF ซึ่งจุดนี้คิดว่าแบรนด์คงเลือกมาดีแล้ว แต่ขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ด้วยความที่น้องเป็นครีมที่ค่อนข้างชุ่มชื้น ส่วนตัวที่มีผิวผสม/แห้งอยู่แล้วเลยค่อนข้างชอบเป็นพิเศษ เอาเป็นครีมรับจบตัวเดียวในตอนเช้าก่อนลงกันแดดแล้วออกบ้านก็พอได้ ไม่สังขยาในระหว่างวัน แต่จะชอบใช้เป็นไนท์ครีมมากกว่า ในด้านความชุ่มชื้น ความสบายผิว นี่ว่าเริ่ด เอาไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ตั้งแต่วันเปิดตัว และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ T’else โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/TelseThailand

ทางไปตำ

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/AKLS2XEQ7A

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.GCqkH?cc

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมและมาสก์ชีท 10 ดรุณีไฮยา Blue Agave จากแบรนด์ T’else

หลังจากที่ใน Blog ก่อน ได้หยิบเอากลุ่มสกินแคร์จากแบรนด์ t’else ในไลน์ Kombucha ไปแล้ว วันนี้มาถึงคิวของไลน์ Blue Agave กันบ้างค่ะ

สำหรับท่านที่พลาดสามารถรับชมได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click<<

โดยสินค้าในไลน์ Blue Agave นี้มีด้วยกัน 2 ชิ้น คือ ครีม กับ มาสก์ชีทค่ะ

เริ่มจากครีมก่อน

น้องมาในกระปุกหน้าตาประมาณนี้

ตัวกระปุกผลิตจาก Plastic 50%PCR (Post-consumer recycled) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักษ์โลกตามคอนเซปท์ของแบรนด์

เนื้อครีมเป็นสีฟ้าอ่อนๆ จริงๆ จะมีตัวแคปซูลกระจายอยู่ด้วยค่ะ แต่กล้องเก็บภาพไม่ค่อยชัด

สำหรับตัว Capsule นี้ก็คือ ทางแบรนด์เคลมว่าใช้เก็บกัก Hyaluronic acid 10 โมเลกุลที่มีขนาดและประโยชน์ในการบำรุงผิวแตกต่างกันออกไป

(Image from T’else Korea Official Website)

เนื้อครีมจะมีความพิเศษอีกจุด คือ นอกจากการมี Capsule เล็กๆ แล้ว น้องจะมีความลื่นและเหลวลงเมื่อเราเกลี่ย ซึ่งอาจเรียกแบบสวยๆ ว่า Shear thinning คือ ความหนืดลดลงเมื่อให้แรงสัมผัส

ก่อนเกลี่ย

เริ่มเกลี่ย

ซึ่งฟีลตรงเนี้ย จะบอกว่า คือ สดชื่นอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เว่อร์

แล้วพอเกลี่ยเสร็จทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที ก็จะไม่เหลือความเหนอะหนะ แต่ยังรู้สึกว่าผิวนุ่มชุ่มชื้น

เอาไปแช่เย็นแล้วตักมาซักนิดหน่อย มาละเลงบนหน้าเวลาเหนื่อยๆ คือ ดี๊ย์ดีย์

สำหรับในไลน์ Blue agave นั้น ในตาม Concept ของ T’else คือ Terra + Else โดย Terra ก็คือ ตัวสารสกัดจาก Blue agave (Agave tequilana Leaf Extract) ซึ่งผ่านกรรมวิธีสกัดที่เป็นเอกลักษณ์ของทางแบรนด์ ที่เรียกว่า Air Brewing 100TM technology ที่รอคอยกว่า 100 ชั่วโมง เพื่อให้ได้สารสกัดที่ดึงเอาพฤกษเคมีออกมาจาก Blue agave ที่เป็นพืชหายากได้อย่างคุ้มค่าและสมบูรณ์

โดยวิธีนี้ทางแบรนด์ก็เคลมว่า สามารถลดการปลดปล่อย Carbon dioxide สู่บรรยากาศได้ถึง 33% และประหยัดพลังงาน รวมทั้งไม่สร้าง by product ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สมกับคอนเซปท์ “Little things change everything” ของแบรนด์ ที่เอาใจใส่ในทุกมิติ

ส่วนของ Terra คือ Blue Agave แล้ว ส่วนของ Else จะเป็นการเลือกใช้ Hyaluronic acid 10 อนุพันธ์ 10 รูปแบบ ที่มีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป 10 โมเลกุล 10 คุณประโยชน์

(Image from T’else Thailand)

ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและการระคายเคืองในอาสาสมัคร ว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

และในด้านของประสิทธิภาพก็คือไม่เบาเลย

เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังชั้น Stratum corneum ได้ทุกระดับชั้นผิว ชั้นบน เพิ่ม 368% ชั้นล่าง เพิ่ม 165%

อันนี้ทางแบรนด์ก็เคลมว่าแบบ เออ คงจะดีกว่าถ้าทาแล้วมันซึมลงไปมอยส์ด้านล่างด้านในด้วย ไม่ใช่แค่มอยส์แต่บนๆ

ส่วนของภาพถ่ายความชุ่มชื้นก็บอกเช่นเดียวกันว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น

สำหรับส่วนผสมก็คือจัดหนัก จัดเต็มจริงๆ

เริ่มต้นด้วยพระเอกของงานก่อน

  • สารสกัดจาก Blue agave (Agave tequilana leaf extract) ใน Agave ประกอบด้วย สารกลุ่ม Polysaccharide จำพวก Fructan และ Inulin ที่มีประโยชน์ในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็น Prebiotic ซึ่งเจ้า Fructan นี่แหละ ที่สำคัญในการเก็บกักน้ำให้แก่ต้น Agave มีชีวิตรอดในทะเลทรายอันแห้งแล้งได้ นอกจากนี้ยังมี Claim ว่าใน Blue agave ยังประกอบด้วย Flavonoids ซึ่งเป็น Antioxidant และ Saponin หนึ่ง ที่มีชื่อว่า cantalasaponin-1 แต่อันนี้แยกมาจาก Agave americana มีรายงานว่ามีฤทธิ์ในการลดการอักเสบในหนูทดลอง (Molecules. 2013;18(7):8136-46.) ซึ่งก็อาจจะมีใน A. tequilana เหมือนกัน
  • Hyaluronic acid 10 ชนิด ที่บำรุงผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นได้ถึง 10 ระดับชั้นผิว ดังที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้า ตัวที่น่าสนใจแล้วค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์จะเป็นกลุ่มของ Silanol derivative เช่น Dimethylsilanol hyaluronate และ hyaluronate dimethylsilanol ที่เป็น Hybrid ของไฮยา กับ Organic silicon ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า นอกจากเรื่องชุ่มชื้น ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการชะลอวัย ดูแลเรื่องริ้วรอยได้อีก 1 กรุบ
  • สารเพิ่มความชุ่มชื้นอื่นๆ เช่น Sodium PCA ที่เป็น Natural moisturizing factor ช่วยผิวจับน้ำ ประกบมากับน้ำมัน Jojoba และ Moringa (มะรุม) ที่มีกรดไขมันจำเป็น

  • ส่วนผสมที่เด่นเรื่อง Soothing effect ดูแลเรื่องการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว ซึ่งแทนด้วยอักษรสีชมพู มาทั้ง Allantoin, Hydroxyacetophenone ซึ่งนอกจากคุณสมบัติ Soothing ยังเสริมฤทธิ์สารกันเสียในสูตรอีกทาง, Rose water และ Dipotassium glycyrrhizate
  • Adenosine เด่นเรื่องการดูแลริ้วรอย
  • สารสกัดพืชอีกมากมายหลากหลายชนิด ให้ประโยชน์กับผิวหลายอย่าง ทั้งเป็น Antioxidant, Whitening และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

ในส่วนของเบสเป็นเนื้อครีมแบบ Water-based emulsion แต่น้องมี Ethylhexyl palmitate ที่อาจจะอุดตันได้ในบางคน แต่ส่วนตัวก็ใช้มาราวๆ เดือนครึ่ง ยังไม่เจอปัญหาใดๆ ค่ะ

ส่วนผสมที่เหลือคือเลือกมาได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่ง จุดเล็กจุดน้อย อย่างการปรับค่า pH ที่เรานิยมใช้ Triethanolamine มาปรับ แต่น้องดันมีวาระซ่อนเร้นว่าอาจจะไปจับกับพวกสารบางชนิดแล้วทำให้เกิด Nitrosamine ที่อาจจะก่อมะเร็ง แต่เอาจริงมันเกิดยากมาก เพราะต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก แต่แบรนด์ก็ไม่ได้ใส่มา เปลี่ยนมาใช้ Tromethamine ที่เป็นมิตรกว่ามาปรับค่า pH ให้เหมาะสมกับผิวแทน

ในภาพรวมก็คือ ฉ่ำอยู่ (ที่แปลว่าฉ่ำจริงๆ)

ถัดมาเราลองมาดูมาสก์ชีทกันบ้างนะคะ น้องมาในซองสีน้ำเงินค่ะ

ตัวน้ำมาสก์จะเป็นเนื้อคล้ายเซรั่ม/เจล เป็นเบสแบบใส

ค่า pH ของน้ำมาสก์อยู่ที่ ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

แผ่นมาสก์ค่อนข้างโดดเด่นนะคะ แนบสนิทไปกับผิว

ตัวแผ่นมาสก์เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร ที่ผลิตจากเส้นใยไผ่ ย่อยสลายได้ 100% ซึ่งผ่านการทดสอบ Biodegradability มาแล้ว และทางแบรนด์เคลมว่าเป็น “Water hole sheet” เวลาวางบนผิวน้องจะหดตัว 2 Step ก่อนจะแนบสนิทไปกับผิว

(ภาพจาก T’else Thailand)

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ถ้าดูจากส่วนผสม สูตรของมาสก์จะค่อนข้างเด่นในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้นแบบชุ่มฉ่ำ สมกับเป็นแผ่นมาสก์ที่มาสก์แล้วให้การบำรุงฟื้นฟูผิวในยามเร่งด่วนจริงๆ

ในด้านของสารบำรุงจะมาคล้ายๆ กับ รุ่นครีม จะมีจุดที่แตกต่างเล็กน้อย

  • เสริม Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 เข้ามา ซึ่งน้องก็มีประโยชน์ในการบำรุงผิวหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบระคายเคือง เสริมการสังเคราะห์ Barrier ผิว รวมไปถึง Whitening ซึ่งมารวมกับสารสกัดจากพืชบางชนิด เช่น ขมิ้น ก็น่าจะได้ประโยชน์ในตรงนี้อยู่
  • เสริมกลุ่ม Soothing ให้ฉ่ำขึ้น ด้วย โปรวิตามินบี 5 (Panthenol) และ Pantolactone ที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ แต่น้องเป็นตัวตั้งต้นของ Panthenol อีกที มีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่ดี และมีเคลมว่าผิวเราจะเปลี่ยนน้องเป็น Panthenol และ Pantothenic acid ในผิวได้ต่อไป
  • ส่วนผสมยังมี Claim ถึงเรื่องการเปิดประตูน้ำด้วย Electrolyte ที่สำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ Potassium (จาก Potassium hyaluronate, Potassium aspartate), Sodium (จาก Sodium hyaluronate) และ Magnesium จาก (Magnesium aspartate)
  • สำหรับ Magnesium aspartate พอมีข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบอยู่ว่า มีประโยชน์ในการลดการระคายเคืองของผิวเสริมเข้ามา

ในภาพรวมเบสนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกัน

ถ้าเป็นการให้คะแนนของครีม จะขอให้ที่ 5/4/5 โดยหักคะแนนของ ส่วนผสมอื่นๆ ไป 1 คะแนนด้วยความที่น้องมี Ethylhexyl palmitate อยู่ในสูตร

ถ้าเป็นการให้คะแนนมาสก์ จะขอให้ที่ 5/5/5 เต็มที่ไม่หักค่ะ

เอามาเฉลี่ยๆ กัน เหลือ 5/4.5/5 แล้วกันเนาะ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ตั้งแต่วันเปิดตัว และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ T’else โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/TelseThailand

สายชอปปิ้งเรียนเชิญได้ค่ะ

สูตรครีม

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.GCqFK?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/30YrJBPHvd

มาส์กชีท

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.GCsQd?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/7fKgtH5RBG

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ