Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แฝดน้อง Melasyl ใน L’Oréal Glycolic bright anti-dark spot brightening serum

Blog นี้ขอหยิบเอาเซรั่ม MelasylTM แฝดน้องจาก L’Oréal มารีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมกันค่ะ

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Glycolic bright anti-dark spot brightening serum ซึ่งมีเคลมส่วนผสมเป็น 8% MelasylTM + Glycolic acid + Niacinamide

หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

ส่วนนี้จะเป็นกล่องของผลิตภัณฑ์ วิบวับแวววาว

เนื้อเซรั่มสีชมพู มีความหนืดเล็กน้อย กลิ่นหอม

เกลี่ยง่าย ให้ฟีลชุ่มชื้น ลื่นผิว ซึมไว แห้งไว จะลื่นๆ นิดหน่อย แต่ไม่เหนอะหนะ

ตัวนี้ใช้ Melasyl เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง L’Oréal ซึ่งผ่านการค้นคว้าวิจัยแบบเดียวกับวงการยา คือ เริ่มจากสารที่มีโอกาสจะ active เรียกว่า Lead เป็นแสนๆ สาร เอามาสกรีนผ่าน software จนได้สารเดียวที่สามารถจับกับสารตั้งต้นในการสังเคราะห์เมลานินของผิวได้อย่างแนบแน่น แล้วทำให้การสังเคราะห์เมลานินหยุดชะงักลง

สูตรโครงสร้างของ Melasyl หรือ INCI name (ชื่อกลางในวงการเครื่องสำอาง) 2-Mercaptonicotinoyl glycine; 2-MNG) มีหน้าตาประมาณนี้

2-MNG จะจับกับสารตั้งต้นในกระบวนการสร้างเมลานินได้ค่อนข้างครบ

นอกจากจดในสิทธิบัตรแล้ว ล่าสุดในปี 2024 ที่ผ่านมา 2-MNG มีผลงานตีพิมพ์อธิบายกลไกต่างๆ ในวารสาร Pigment Cell & Melanoma Research ซึ่งเป็นวารสารที่มี impact ในวงการเม็ดสีค่อนข้างสูง (Sextius, et al. Pigment Cell & Melanoma Research. 2024;37(4):462-479.)

จุดเด่นของกลไกการออกฤทธิ์แบบนี้ก็คือ ไม่ไปรบกวนการทำงานของเมลาโนไซต์ (เซลล์สร้างเม็ดสี)

สำหรับส่วนผสมแบบเต็ม เป็นดังนี้

ในด้านของส่วนผสมเรียกได้ว่าทำมาได้ค่อนข้างดี

  • Melasyl หรือ 2-Mercaptonicotinoyl glycine เป็นสารนวัตกรรมที่ออกฤทธิ์เป็น whitening ด้วยกลไกแบบใหม่ แบบสับ โดยไปจับสารตั้งต้นในการสังเคราะห์เม็ดสีเมลานิน ทำให้การสังเคราะห์เมลานินหยุดลง
  • เสริมมาด้วย Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ซึ่งมีประโยชน์กับผิวหลายๆ ประการ ถ้าเป็นด้าน Whitening สารนี้จะไปขัดขวางการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก และให้ประโยชน์อื่นๆ เสริม เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง คุมความมัน เสริมการสังเคราะห์ Barrier ผิว
  • Caffeine มีประโยชน์ต่อผิวหลายอย่าง เช่น เป็น Antioxidant, ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV (Indian J Dermatol. 2023;68(5):546–550.)
  • ผลัดผิวภายนอก ด้วย HEPES ร่วมกับ Glycolic acid (เป็น AHA) และ Capryloyl salicylic acid (เป็น LHA)
  • ลดการระคายเคืองด้วย Biosaccharide gum-1
  • เติมน้ำด้วย Hyaluronic acid
  • เสริม Antioxidant ด้วยวิตามินอี 2 ฟอร์ม คือ Tocopheryl acetate และ Tocopherol

ในเบสจะมีส่วนผสมของ Alcohol แต่ก็ไม่ได้ทำให้ส่วนตัวรู้สึกว่าแห้งหรือระคายเคือง ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะว่าในสูตรจะมี Caprylyl methicone ที่เคลือบผิวได้อยู่

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ในชุดส่วนผสมนี้มีสาร Whitening อยู่ 3 ส่วนหลัก คือ ยับยั้งการสร้างเม็ดสีด้วย Melasyl ขัดขวางการส่งผ่านเม็ดสีด้วย B3 และผลัดผิวด้วย HEPES-AHA-LHA พร้อมดูแลการระคายเคืองด้วย Biosaccharide gum-1 เติมน้ำด้วย Hya และมีวิตามินอี + Caffeine เป็น Antioxidant ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในเบสมีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ เลยขอหัก 1 คะแนน เหลือ 4 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ตัวเซรั่มเนื้อดูเหมือนหนืด ลื่น แต่เกลี่ยง่าย เอาลงรูทีนได้ง่าย ทางแบรนด์เคลมว่าใช้ได้ทั้งเช้าเย็น ซึ่งถ้าทาเช้า จะต้องใช้กันแดดด้วย และพยายามหลีกเลี่ยงแสงแดด เพราะว่า AHA ผลัดผิว ทำให้ผิวไวต่อแดดได้ง่ายขึ้น ส่วนตัวเลือกทาเฉพาะกลางคืน ขวด 15 ml 1 ขวด ก็ใช้ได้นานอยู่เกือบๆ 2 เดือน เคยได้โปร ชิ้นที่ 2 1 บาท ที่วัตสันมาก็คือเริ่ด ให้ไป 5 ฟลาสก์

ขอบคุณทุกท่านนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบนะคะ พบกันใหม่ Blog ถัดไป สวัสดีค่ะ

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/3ArU6cGHSd

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.t23Li?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเสริมผิวแข็งแรง Ultimune Power Infusing Concentrate จาก Shiseido

ยอมรับก่อนเลยว่า เป็นผลิตภัณฑ์ที่รีวิวยากมากชิ้นหนึ่งในปี 2024 นี้เลย กับ Ultimune Power Infusing Concentrate จาก Shiseido

ด้วยความที่ทางแบรนด์มีเทคโนโลยีชั้นสูง ที่ซับซ้อนผ่านการวิจัยมานาน และน่าสนใจมาก เลยทำให้ Ultimune serum มีความน่าสนใจมาก

ก่อนไปดูส่วนผสม อยากกล่าวถึงเรื่องของ Lifeblood Research™ ของทางแบรนด์ก่อน

Lifeblood Research™ เป็นการศึกษาถึงศาสตร์แห่งการไหลเวียนของเลือด (Blood flow science) ซึ่งเกิดจากการสั่งสมความรู้และประสบการณ์จากงานวิจัยมากว่า 120 ปี ของทางแบรนด์

โดยทางแบรนด์พบว่า ความงามของผิวขึ้นอยู่กับระบบการไหลเวียนภายในผิว ที่ผนังของเส้นเลือดฝอย หรือ บริเวณ Endothelial ถ้าบริเวณนี้มีความแข็งแรง ก็จะทำให้นำส่งสารอาหารมายังผิวได้ดี ส่งผลให้ผิวสวยและแข็งแรง

(Image from Shiseido International Website)

ซึ่งประเด็นนี้ก็มีงานวิจัยจาก 3rd party (คนที่ไม่เกี่ยวข้องกับแบรนด์) มาสนับสนุน เช่น ทีมวิจัยของ Fewkes และคณะ พบว่า ถ้าการไหลเวียนเลือดไม่ดี จะทำให้มีการสะสมตัวของ Advanced glycation end products (AGEs) ในผิวมากขึ้น (Cardiovasc Diabetol. 2024;23(1):332.)

(Image from Shiseido International Website)

ปัจจัยที่ทำให้ผนังเส้นเลือดอ่อนแอลง ได้แก่ รังสี UV สภาวะผิวแห้ง ความเครียด และ Aging

โดยใน Ultimune จะใช้สารสกัดจากพลูคาว (Houttuynia Cordata Extract) ซึ่งทาง Shiseido มีผลวิจัยพบว่า ช่วยขยายหลอดเลือด ส่งเสริมกระบวนการไหลเวียนของเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผนังหลอดเลือด ส่งผลต่อให้เซลล์ภูมิคุ้มกันดูแลผิวได้อย่างทั่วถึง ผิวจึงแข็งแรง

(Image from Shiseido International Website)

ยังมีอีกโมเลกุลหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับระบบหลอดเลือด คือ APJ (angiotensin domain type 1 receptor-associated protein) ซึ่งเป็น Softness sensor โมเลกุลนี้จะจับสัญญาณว่า เส้นเลือดมีความแข็งเกร็ง (Stiff) ไม่ยืดหยุ่นหรือไม่ โมเลกุลนี้จะอยู่ข้างๆ หลอดเลือดฝอย โดยพบว่าในผิวที่มีอายุเยอะ หรือ ผิวที่เส้นเลือดขาดความยืดหยุ่น ปริมาณของ APJ จะลดลง เส้นเลือดฝอยมีความเปราะ และไม่สมบูรณ์ ส่งผลสืบเนื่องไปสู่ Aging

อีกโมเลกุลหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน คือ VE-cadherins ที่ทำหน้าที่ยึดเกาะผนังหลอดเลือดฝอยเอาไว้ด้วยกัน ซึ่งถ้า VE-cadherins น้อยลง จะทำให้ผนังหลอดเลือดไม่แข็งแรง ส่งผลให้ผิวทำงานได้น้อยลง และเกิดปัญหาต่างๆ ในเชิง Aging ตามมา

โดยสารสกัดจากพลูคาว สามารถเพิ่มปริมาณ VE-cadherins ได้

เสริมมาด้วยกระเจี๊ยบแดงที่ผ่านกระบวนการหมัก (Lactobacillus/hibiscus sabdariffa flower ferment filtrate) ซึ่งไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันตัวหนึ่งที่ชื่อ NK cell โดยปกติแล้ว NK cells จะเป็นตัวกำจัดเซลล์ซอมบี้ หรือ Senescent cells ในผิว แต่เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น การทำงานของ NK cells จะลดลง ทำให้เซลล์ซอมบี้สะสมตัว และซอมบี้พวกนี้สามารถปล่อยสารที่ไปเหนี่ยวนำให้เซลล์ข้างเคียงเป็นเซลล์ซอมบี้ไปด้วย ทางแบรนด์เรียกกระบวนการนี้ว่า “Zombification”

(Image from Shiseido International Website)

อีก Mechanism หนึ่งของการกำจัดเซลล์ซอมบี้ หรือ Senescent cells คือ ผ่าน CD4 T cells โดยจะไปกำจัด Senescent cells ผ่าน HCMV receptor บนผิวเซลล์ซอมบี้

คอมบิเนชั่นของกระเจี๊ยบแดงและพลูคาว ทางแบรนด์เรียกเป็น Double inner defense

มาค่ะ เกริ่นไปยืดยาว เข้าบทรีวิวของเรากัน

Ultimune Power Infusing Concentrate มาในหน้าตาแบบนี้

ส่วนนี้จะเป็นกล่องของผลิตภัณฑ์

เนื้อเป็นเนื้อแบบกึ่งๆ เจล สีครีม มีกลิ่นหอมอ่อนๆ ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

โดยในส่วนของกลิ่นหอม ทางแบรนด์เคลมว่า เป็นกลิ่นในโทน Green floral ที่ให้ความรู้สึกผ่อนคลาย และมีเทคโนโลยี ImuCalm Compound™ ที่เบลนด์กลิ่นมาบำบัด เพื่อช่วยลดความเครียดทางอารมณ์อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งความเครียดก็จะนำไปสู่การปลดปล่อย Cortisol ที่มีผลทำให้เกิดกระบวนการอักเสบของผิวต่อไป

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสลื่น ชุ่มชื้น ไม่เหนอะหนะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในส่วนผสมมีสารบำรุงอยู่หลายชนิด แต่ละชนิดก็มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีรองรับอยู่พอควร ซึ่งทางนี้มองว่า ทางทีมวิจัยของ Shiseido นั้นมีความเข้มแข็งมาก และมีการจดสิทธิบัตร เผยแพร่ผลงานวิจัยอยู่สู่สาธารณะอยู่เรื่อยๆ

มาเริ่มที่เทคโนโลยีหลักของแบรนด์ คือ Double inner defense ที่เป็นการเบลนด์ Fermented hibiscus กับ พลูคาว

  • สารสกัดจากพลูคาว (Houttuynia Cordata Extract) ซึ่งทาง Shiseido มีผลวิจัยพบว่า ช่วยขยายหลอดเลือด ส่งเสริมกระบวนการไหลเวียนของเลือด ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผนังหลอดเลือดผ่านกระบวนการเพิ่มปริมาณ VE-cadherins ที่เป็นตัวยึดเกาะของ Endothelial ส่งผลให้ทั้งอาหารมาเลี้ยง และนำเซลล์ภูมิคุ้มกันมาดูแลผิวได้อย่างทั่วถึง ผิวจึงแข็งแรง (เข้าใจว่าเลยมีคำพ้องของคำว่า Immune ที่แปลว่าภูมิคุ้มกัน ในชื่อผลิตภัณฑ์นั่นเอง)
  • Fermented hibiscus extract (Lactobacillus/hibiscus sabdariffa flower ferment filtrate) ซึ่งไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันตัวหนึ่งที่ชื่อ NK cell โดยปกติแล้ว NK cells มีหลายหน้าที่ หนึ่งในนั้นคือ การกำจัด Senescent cells หรือเซลล์ซอมบี้ในผิว แต่เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น การทำงานของ NK cells จะลดลง ทำให้เซลล์ซอมบี้สะสมตัว และซอมบี้พวกนี้สามารถปล่อยสารที่ไปเหนี่ยวนำให้เซลล์ข้างเคียงเป็นเซลล์ซอมบี้ไปด้วย ทางแบรนด์เรียกกระบวนการนี้ว่า “Zombification” ซึ่งเมื่อให้ Fermented hibiscus extract เข้าไป จะทำให้กระบวนการทำงานของ NK cells ดีขึ้น และกำจัดพวก senescent cells ออกไป (เรียกกระบวนการนี้ว่า Senolytics)

สารสกัดอีกตัวที่มีนวัตกรรมอลังการโฉ่งฉ่างไม่แพ้กัน ก็คือ wild thyme หรือ Thymus serpyllum extract

กลับมาที่เซลล์ภูมิคุ้มกันอีกรอบ คราวนี้มาดู Macrophage ซึ่งเป็นเซลล์ภูมิคุ้มกันที่สำคัญอีกตัวหนึ่ง ปกติน้องจะทำหน้าที่กินเชื้อแปลกปลอม เวลานางเข้ามาในร่างกายเรา โดย Macrophage มี 2 ชนิด คือ M1 และ M2

  • M1 เด่นในแง่การเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบ (pro-inflammatory) และ M2 เด่นในแง่ลดการอักเสบ (anti-inflammatory)
  • เมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น M1 จะเพิ่มขึ้น นำไปสู่สภาวะเสียสมดุลทางภูมิคุ้มกัน และเกิดเป็น “Inflammaging” โดยคอลลาเจนจะสลายตัวไปด้วยเป็นผลสืบเนื่องจากกระบวนการอักเสบ
  • ในปี 2022 Shiseido ค้นพบว่าเวลาเราอายุเพิ่มขึ้น จะมีปริมาณของสาร Cytokine ชนิด IL-34 ลดลงซึ่งไปทำให้ M1 เพิ่มขึ้น

  • ผลวิจัยจากทางแบรนด์พบว่า สารสกัดจาก wild thyme ไปเพิ่มปริมาณ IL-34 ซึ่งจะนำไปสู่
    การปรับสมดุลชนิดของ Macrophage M1/M2 ทำให้ผิวแข็งแรง ลดกระบวนการ
    อักเสบ และปกป้องคอลลาเจนในผิวต่อไป

ลองมาดูสารบำรุงอื่นๆ กันนะคะ

  • Lotus (Nelumbo nucifera) germ extract มีรายงานการวิจัยสนับสนุนถึงคุณสมบัติในการเปิดระบบ Autophagy เพื่อกำจัดโปรตีนที่ไม่ฟังก์ชั่นใน mitochondria ซึ่งเป็นเหมือนโรงพลังงานของเซลล์ และสามารถกระตุ้น Senescent fibroblast ให้กลับมาทำงานสร้างคอลลาเจนได้อีก (Aging (Albany NY). 2022;14(19):7662-7691.)
  • Sanguisorba officinalis root extract มีรายงานถึงความสามารถในการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจนในหลอดทดลอง และลดริ้วรอยในอาสาสมัคร (Biosci Biotechnol Biochem. 2008;72(2):303-11.)  ยับยั้งการสลาย Hyaluronan ในระดับหลอดทดลอง และการทดสอบในอาสาสมัครพบว่าอาสาสมัครมีริ้วรอยลดลงเมื่อเทียบกับครีมเบส (Int J Cosmet Sci. 2019;41(1):12-20.) ลดการอักเสบ (J Ethnopharmacol. 2011;134(1):11-7.)
  • สารสกัดจากเห็ดหลินจือ (Ganoderma Lucidum (Mushroom) Stem Extract) มีงานวิจัยอยู่ค่อนข้างมากถึงประโยชน์ของเห็ดหลินจือ ซึ่งให้ประโยชน์ต่อผิวค่อนข้างกว้าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ Soothing, ปรับสมดุลภูมิคุ้มกัน เป็น antioxidant เป็น whitening
  • Sodium carboxymethyl beta-glucan มีข้อมูลอยู่ว่าสามารถก่อฟิล์มบนผิว และมีคุณสมบัติในการปกป้องผิวจากสิ่งแวดล้อม รวมถึงเสริมการทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และเพิ่มความชุ่มชื้น
  • Hydroxyproline เป็นหน่วยย่อยของคอลลาเจน นอกจากเพิ่มความชุ่มชื้นแล้วอาจจะมีประโยชน์ในด้านของการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • Trehalose เป็นน้ำตาลที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว

นอกจากนี้จะมีส่วนผสมของสารสกัดจากพืชที่มีกลิ่นหอม ร่วมกับสารหอมอยู่หลายชนิด โดยอาจเบลนด์เข้ากันเพื่อสร้างกลิ่นในโทน Green floral ที่ให้ความผ่อนคลายตามเคลมของ Imucalm technology

จริงๆ ในส่วนผสมจะมีคู่ของ PEG/PPG-17/4 Dimethyl Ether และ PEG/PPG-14/7 Dimethyl Ether ซึ่งเป็นสารที่มีประโยชน์หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นในด้านของการทำสูตร และในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว และเป็นสารเอกลักษณ์ที่ทาง Shiseido ใช้ในหลายๆ ผลิตภัณฑ์

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง หลักๆ ในภาพรวมจะเน้นไปที่ด้านของการปรับสมดุลระบบการไหลเวียนเลือดในผิว ให้ผิวแข็งแรงและทำงานได้ดี ร่วมกับการเสริมระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งจะให้ประโยชน์ต่อเนื่องไปในด้านของการชะลอวัย ดูแลปัญหาการอักเสบระคายเคือง และ inflammaging เสริมมาด้วยการเติมน้ำ และการเพิ่มความชุ่มชื้น ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ มีส่วนผสมของ Alcohol แต่ส่วนตัวใช้ได้ไม่ได้มีปัญหาอะไร หักไป 1 คะแนน เหลือ 4 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวชอบทั้งในแง่ของกลิ่นผลิตภัณฑ์ เนื้อสัมผัส การเกลี่ย และความรู้สึกหลังทา ในภาพรวมเซรั่ม Ultimune ทำมาได้ค่อนข้างดี ตอบโจทย์ และการใช้งานมานานเกินปี รู้สึกว่าน้องช่วยให้ผิวแข็งแรง และชะลอปัญหาผิวต่างๆ ให้เกิดขึ้นช้าลง พร้อมทั้งให้ผิวเราทนทานต่อสภาพแวดล้อมได้มากขึ้น ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ พบกันใหม่คอนเทนท์ถัดไป สวัสดีค่ะ

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/1LPjJTlFw5

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.HCOWV?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม กันแดดนวัตกรรมใหม่เกิดมาเพื่อพลิกโฉมวงการ ISDIN FusionWater Magic Repair

กลไกการฟื้นฟู DNA ที่เสียหายจากรังสี UV ฟังเผินๆ แล้วอาจเป็นไปไม่ได้ใช่ไหมคะ แต่จริงๆ แล้ว ร่างกายของเรา มีเอนไซม์ต่างๆ ที่คอย repair ความเสียหายของเซลล์ที่เกิดขึ้นเพราะรังสี UV อยู่

หนึ่งในนั้นคือเอนไซม์ที่ชื่อว่า Photolyase ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่อยู่ในกลุ่ม Flavoprotein แต่ก่อนจะไปดูกลไกของเขา เราลองมาดูว่า รังสี UV ทำอะไรกับ DNA บ้าง

ในโครงสร้างของ DNA จะมีส่วนของเบส ที่ดูดซับรังสี UV แล้วเกิดความเสียหายได้ เช่น การเกิด Cyclobutane pyrimidine dimer (CPD) จากการดูดซับรังสี UVB ทีนี้พอเกิดความเสียหายไปแล้ว ก็จะมีระบบและกลไกมากำจัดทิ้ง 1 ในนั้นคือ การเกิดกระบวนการระเบิดตัวตาย ที่เรียกว่า “Apoptosis” ผ่านทางระบบภูมิคุ้มกัน แต่ปัญหาคือ UVA มันกดภูมิ ทำให้เซลล์ที่เสียหายเกิด Apoptosis ไม่ได้ ก็เลยพัฒนาต่อไปจนอาจเกิดมะเร็งผิวหนังได้

ในสิ่งมีชีวิตบางชนิด เช่น ใน แบคทีเรีย รา พืช มีเอนไซม์ที่เรียกว่า Photolyase ที่จะถูกกระตุ้นด้วยแสงในช่วง visible light (300 – 650 nm) แล้วไปตัด CPD ซ่อม DNA ที่เสียหายได้ แต่ว่าในคนเราไม่มีเอนไซม์นี้

แต่ว่าก็มีงานวิจัยที่ทดสอบกับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่าการให้ Photolyase จากภายนอกที่เอามาเก็บกักในรูปแบบของ Liposome สามารถลดจำนวน CPD ที่เกิดจากการฉายรังสี UVB ได้ (Decome et al. J Photochem Photobiol B. 2005;79(2):101-108)

ซึ่งในกันแดด ISDIN Fusion Water รุ่น Magic repair นี้ จะมีเทคโนโลยีที่ชื่อว่า DNA repairsomes® ซึ่งมีสิทธิบัตรรองรับ และมีการศึกษาในอาสาสมัคร > 15 การศึกษา ในแง่ของการฟื้นฟูความเสียหายของผิวที่เกิดจากรังสี UV และลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง

โดยเมื่อใช้ DNA repairsomes® ร่วมกับสารกรองรังสี UV จะสามารถลดปริมาณของ CPD ได้ถึง 93% เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าน่าสนใจมาก เดี๋ยวจะมีผลเทสต์ในผิวหนังมนุษย์มาเล่าต่อก่อนไปดูส่วนผสม

เกริ่นมาซะเยอะเลย มาดูหน้าตาของน้องกันดีกว่า

ตรงนี้จะเป็นส่วนของกล่อง

เนื้อเป็นแบบน้ำนม หนืดนิดหน่อย มีส่วนผสมของน้ำหอม แต่จะได้กลิ่นของสารกันแดดอยู่

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไว แห้งไว ไม่เหนอะหนะ

ส่องดูใต้แสงแฟลช จะยังเห็นความวาวอยู่นิดหน่อย

ผลเทสต์ที่น่าสนใจและส่วนตัวมองว่าพลิกโฉมวงการกันแดดมาก คือ การทดสอบในผิวหนังมนุษย์ 2 การทดสอบนี้

การทดสอบแรกเป็นการฉายรังสี UVB ซึ่งตามที่เราเกริ่นๆ กันไปด้านบน รังสี UVB จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดความเสียหายต่อ DNA ในรูปแบบของ CPD

ทางแบรนด์ก็เลยลองฉาย UV แล้วทากันแดด FusionWater Magic Repair ลงไป ก่อนจะฉาย Blue light ซึ่งเป็นตัว Activate เทคโนโลยี DNA Repairsomes® พบว่าปริมาณของ CPD ลดลงถึง 19% อันนี้คือ Repair ความเสียหายจาก UV ตามเคลม

ส่วนการทดสอบที่สอง เป็นการทากันแดดก่อน แล้วฉายรังสี UVA ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นตัวการทำลายคอลลาเจนในผิวได้ ก็พบว่า การทากันแดด FusionWater Magic Repair นั้นปกป้อง และฟื้นฟูคอลลาเจนที่เสียหายไปเพราะรังสี UV และที่น่าสนใจมากคือ เพิ่มปริมาณคอลลาเจนได้มากกว่าบริเวณที่ไม่สัมผัสรังสี UV ได้ ถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว อันนี้ก็คือการ Reverse ผลเสียที่เกิดจาก UV ตามเคลม

ถึงเวลาวิเคราะห์ส่วนผสมแบบละเอียด

ถ้าเทียบกับรุ่นก่อน เรียกได้ว่า รุ่นใหม่นี้พอเป็น Magic Repair แล้วปรับใหม่ ปรับฉ่ำ ยกเครื่องใหม่หมดมาอย่างหรู

เริ่มจากสารกันแดด

  • Ethylhexyl salicylate เด่นกรองรังสี UVB
  • Ethylhexyl triazone เด่นกรองรังสี UVB ว่ากันว่ามีความเสถียรสูง
  • Bis-Ethylhexyloxyphenol methoxyphenyl triazine (Tinosorb S) ตัวนี้กรองรังสีได้ในช่วงกว้างทั้ง UVA UVB มีค่า Peak 310 และ 345 nm และมีฤทธิ์เสริมและบูสต์ค่า SPF เมื่อใช้คู่กับสารกันแดดอื่น เช่น Ethylhexyl triazone
  • Butyl methoxydibenzoyl methane (Avobenzone) เด่นในการกรองรังสี UVA
  • Phenylbenzimidazole sulfonic acid (PBSA) จุดเด่นของน้องคือเป็นกันแดดเคมีที่ละลายน้ำได้ เน้นกรองรังสี UVB เป็นหลัก กรองรังสี UVA ได้ในช่วงน้อยๆ ข้อมูลความคงตัวและความปลอดภัยค่อนข้างดี เวลาใช้ร่วมกันกับกันแดดเคมีตัวอื่นๆ จะช่วยเสริมประสิทธิภาพในการป้องกันรังสี UV ได้ดี รวมถึงช่วยเสริมความคงตัวให้แก่ Avobenzone และกันแดดเคมีตัวอื่นๆ ในตำรับ ให้สลายตัวได้ช้าลง

ถัดมาคือ Plankton extract ซึ่งจากชื่อเหมือนจะธรรมดา แต่จริงๆ แล้ว นางเป็นสารนวัตกรรมสิทธิบัตรของทาง ISDIN โดยมีการเตรียม Plankton extract ด้วยกรรมวิธีพิเศษ ภายใต้ชื่อ DNA Repairsomes® จะมีเอนไซม์ที่ชื่อ Photolyase เอนไซม์นี้จะไปมองหาความเสียหายของเบสบน DNA แล้วและเข้ามาฟื้นฟู โดยอาศัยพลังงานจากแสงช่วง Visible light มาเป็นตัว Activate (Kavakli, et al., in Advances in Protein Chemistry and Structural Biology, 2019)

ซึ่งการใช้ Photolyase เข้ามาในกันแดดนี้ ถือว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจสำหรับวงการเครื่องสำอาง โดยมีการกล่าวถึงในบทความว่า การฟื้นฟูความเสียหายดังกล่าวจะช่วยชะลอการเกิดริ้วรอย (Aging) รวมไปถึงมะเร็งผิวหนัง (Dermatol Ther (Heidelb) 9, 103–115 (2019)) และมีการทดสอบรองรับถึงประสิทธิภาพ โดยถ้าใช้เทคโนโลยี DNA Repairsomes® คู่กับสารกันแดดจะสามารถลดปริมาณ CPD ได้ถึง 93%

ถัดมาเป็นกลุ่มเปปไทด์

  • Combination ของ Palmitoyl Tripeptide-1, Palmitoyl Tetrapeptide-7 คือ Matrixyl 3000 ซึ่งเสริมกระบวนการสังเคราะห์เส้นใยต่างๆ (Extracellular matrix; ECM) รวมถึงฟื้นฟูโครงสร้าง ECM เพื่อให้ผิวกระชับ ลดเลือนริ้วรอย
  • Pentapeptide-34 Trifluoroacetate ซึ่งมีชื่อทางการค้าว่า peptide q10™ biofunctional ของบริษัท Ashland chemicals โดยนางมีคุณสมบัติพิเศษ คือ ไปเสริมกระบวนการสังเคราะห์ Coenzyme Q10 ตามธรรมชาติของผิว ซึ่งปกติแล้ว Q10 เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูงมาก การมี Q10 อยู่ ก็หมายความว่าผิวเราจะมีความสามารถในการกำจัดอนุมูลอิสระที่ดีขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ตัวเปปไทด์นี้ยังเสริมการสังเคราะห์สารพลังงานสูง ATP และลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลงไปพร้อมๆ กัน

มี Antioxidant จากวิตามินอี 2 ฟอร์ม คือ Tocopherol, Tocopheryl acetate

เติมน้ำด้วย Hya, Arginine และ Sodium lactate

ดังนั้นจากที่กล่าวมา กันแดดนี้ทำได้ครบตามเคลม 3 สิ่ง Protect-Repairs-Reverts ข้างกล่อง

  • Protect ป้องกันผิวหนังจากทั้งรังสี UV, blue light และมีสารก่อฟิล์มที่เคลือบผิวปกป้องผิวจากมลภาวะ
  • Repairs ฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรังสี UV
  • Reverts ผ่าน 3 กลไก คือ เสริมกระบวนการทำงานของ Coenzyme Q10 ที่เป็นกลไก antioxidant ภายในผิว เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนให้ผิวกระชับ และเติมน้ำผ่าน Hya ให้ผิวชุ่มชื้น ยืดหยุ่น

มาให้คะแนนกัน

  1. สารกันแดดและสารบำรุง สารกันแดดทำมาได้ค่อนข้างครบกันได้ครบจบทั้ง UVA UVB และสารที่ใส่มาเสริมกันและกันให้มีความเสถียร ในส่วนของสารบำรุง คงต้องยกให้เทคโนโลยีสิทธิบัตร DNA repairsomes® ซึ่งมีทั้งผลทดสอบ และผลงานตีพิมพ์รองรับในการฟื้นฟูความเสียหายที่เกิดขึ้นจากรังสี UV เสริม peptides มาเพื่อดูแลริ้วรอยและเสริมกระบวนการต่อต้านอนุมูลอิสระของผิวตามธรรมชาติให้มีความแข็งแรง เอาไปเลย 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ชอบแรก ชอบ Formulation ที่เลือกใช้สารมาเสริมกันได้อย่างลงตัว ชอบสอง ชอบเนื้อที่ทำออกมาได้บางเบา ไม่เหนอะหนะ ทางนี้ผิวผสม-แห้งก็ยังไหว ระหว่างวันไม่แห้งตึง ไม่เยิ้ม อาจจะมีบ้างถ้าดื่มน้ำน้อย ก็ใช้น้ำแร่สเปรย์หน่อย ส่วนตัวไม่ได้ออกแดดเยอะ เลยไม่ได้เติมระหว่างวัน แต่ว่าแม้จะออกแดดจัดๆ เช่นแบบไปเที่ยวไรงี้ ก็ยังรอดอยู่ เย็นนั้นไม่แดง เช้าถัดมาและอีก 2-3 วันไม่ได้หมองลง ถือว่าทำมาได้ดี ให้ไป 5 ฟลาสก์ 

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทยด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบบทความ

สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ทางไปตำ

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/7fJaPgc8bR

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.HPMRO?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Barrier protecting serum ในไลน์ Biobalance จาก Kamedis เซรั่มดูแล Barrier ผิวในมิติใหม่

Blog นี้ขอหยิบเอาเซรั่มที่ดูแล Barrier ผิวตัวใหม่ของ Kamedis มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมกันนะคะ

โดยเซรั่มนี้มาใสขวดสีม่วง ในไลน์ Bio balance มีชื่อเต็มๆ ว่า Barrier protecting serum

หน้าตาประมาณนี้

ส่วนนี้จะเป็นตัวกล่องค่ะ

อยากจะโฟกัสที่คำว่า Microbiome research ที่ด้านมุมซ้ายล่าง เพราะว่า ตัวนี้เน้นดูแลปรับสมดุล Microbiome มีผลเทสต์การทดสอบการเจริญของแบคทีเรียที่พบได้บนผิว

ส่วนผสมของสารบำรุง เด่นเติมน้ำให้ผิวและดูแลการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครรองรับ

เคลมหลักของผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะกล่าวไว้ว่า

  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน 24 ชั่วโมง
  • ลดสัญญาณของผิวบอบบาง เช่น ผิวแห้ง แดง
  • เพิ่มความกระชับและยืดหยุ่น
  • พัฒนาสูตรมาเพื่อผิวบอบบางแพ้ง่าย

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นดูเหมือนเป็นเจลครีม มีสีเบจ ซึ่งเป็นสีที่มาจากสารสกัดจากธรรมชาติ

เกลี่ยได้ง่าย ให้สัมผัสชุ่มชื้น ไม่เหนอะหนะ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสม อยากเล่าเรื่อง Barrier ผิวนิดหน่อยก่อน คือ พอพูดถึง Barrier ผิว หลายๆ คนจะนึกถึง Ceramide แต่จริงๆ แล้ว Barrier ผิวนั้นมีความซับซ้อนและมีอยู่หลายมิติเหมือนกัน Ceramides เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่ง

ถ้าแบ่ง Barrier ผิวแบบง่ายๆ จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามประเภท

  • Physical barrier เป็นกลไกทางกายภาพ ผิวหนังที่สมบูรณ์ไม่มีบาดแผลเป็นตัวปกป้องไม่ให้ของดีๆ ภายในออกไปข้างนอก และป้องกันไม่ให้อันตรายจากภายนอกเข้ามาข้างใน
  • Chemical barrier เป็นกลไกทางเคมี ที่ผิวเราสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาสภาวะ pH ให้เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคเจริญ การสร้างพวกไขมันต่างๆ มากันน้ำระเหยออก พวก NMF ที่มาจับน้ำ
  • Immunological barrier เป็นกลไกจากระบบภูมิคุ้มกันของผิวเรา เช่น กลุ่มของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และ Antimicrobial peptide ที่ผิวสร้างขึ้นมา
  • Microbiome barrier โดย Microbiome เป็นเหมือนชุมชนของจุลินทรีย์หลากหลายชนิด น้องมีปฏิกิริยากับผิวเราทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง รวมถึงสร้างสารที่มีประโยชน์ให้แก่ผิว ถ้าจุลินทรีย์มีความสมดุล มีชนิดที่หลากหลาย ผิวก็จะมีความแข็งแรง

มาดูส่วนผสมที่น่าสนใจกันนะคะ

  • คอมบิเนชั่นของ Anhydroxylitol, Xylitylglucoside, Xylitol คือ AquaxylTM เป็นคอมบิเนชั่นที่มีประโยชน์ในการเสริม Barrier ผิวผ่านหลายกลไก มีเคลมว่าเป็น “Anti-dehydration shield” ผ่านการเสริมการสร้างองค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Barrier ผิว ทำให้ผิวแข็งแรง และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบมีดังนี้

  1. การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า Aquaxyl สามารถเพิ่มการสังเคราะห์สารกลุ่ม Glycosaminoglycans (GAGs) ที่จับน้ำให้ผิว เช่น Hyaluronic acid อาจจะเพิ่มไม่มาก และ Condroitin sulfate ตัวนี้เพิ่มขึ้นเยอะเลย
  2. การทดสอบในผิวหนังมนุษย์ที่ตัดมาเลี้ยง (Ex vivo) พบว่า Aquaxyl เพิ่มการสังเคราะห์ Ceramide ในผิวได้

3. การทดสอบในอาสาสมัคร เปรียบเทียบกับครีมเบส (placebo) พบว่า Aquaxyl เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และให้ Barrier ผิวแข็งแรงขึ้น (วัดจากค่าการระเหยของน้ำออกจากผิว – Trans epidermal water loss; TEWL ที่ลดลง)

เอาจริง แค่ Aquaxyl ก็เริ่ดแล้ว มาเจอกับสารสกัดสูตร Botaniplex® calm technology เข้าไปอีกก็คือดีงามขึ้นไปอีก ซึ่งคอมบิเนชั่นของ Botaniplex® Calm นี้ ทางแบรนด์ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพในทั้งระดับหลอดทดลอง เซลล์เพาะเลี้ยง และผิวหนังจำลอง พบว่าเด่นในแง่ของการลดกระบวนการอักเสบ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant และ เสริมกระบวนการสร้าง antimicrobial peptide ที่ชื่อ defensin ที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากจุลินทรีย์ โดยรวมก็คือ สารสกัดชุดนี้มีประโยชน์ในการดูแลการระคายเคือง และให้ผิวแข็งแรงขึ้น

     ที่น่าสนใจเรื่อง Microbiome คือ สารสกัดในคอมบิเนชั่นนี้มีการทดสอบว่า สามารถลดการเจริญของจุลินทรีย์ที่ไม่ดี (เอา Staphylococcus aureus มาเป็นตัวแทน) และเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ที่ดี (เอา S. epidermidis มาเป็นตัวแทน)

     เราลองมาดูจุดเด่นของสารสกัดบางชนิดในคอมบิเนชั่นนี้ และงานวิจัยที่รองรับกัน

  • Glycyrrhiza Glabra (Licorice) Root Extract สารสกัดจากชะเอม ซึ่งเด่นในแง่ของการดูแลการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว โดยประกอบด้วย Glycyrrhizic acid ที่มีฤทธิ์เด่นและมีงานวิจัยรองรับอยู่หลายฉบับ โดยฉบับหนึ่งที่น่าสนใจคือ การทดลองในอาสาสมัคร ที่เป็นผิวหนังอักเสบ Atopic ให้ทาเจลที่มีชะเอมความเข้มข้นต่างๆ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีอาการคัน รอยแดง และอาการบวมของรอยโรคลดลง (Saeedi et al., J Dermatolog Treat. 2003; 14(3):153-7.)
  • Scutellaria baicalensis extract ตัวนี้เป็นสมุนไพรในตำรับยาจีน มีชื่อว่าหวงฉิน มีงานวิจัยรองรับประสิทธิภาพในด้านความงามและผิวพรรณอยู่พอควร สารสำคัญที่พบในหวงฉิน คือ Baicalin เด่นเรื่องคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบ เป็น Antioxidant ทั้งทางตรง คือ ไปกำจัดอนุมูลอิสระ และทางอ้อม คือ ไปเปิดระบบ NRf2 ซึ่งเป็นตัวปรับสมดุล Redox ในเซลล์ เสริมการสร้างเอนไซม์และสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการกำจัดอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ทนทานต่ออนุมูลอิสระมากขึ้น (กล่าวถึงใน Ma et al., Free Radic Biol Med. 2018;129:492-503.)
  • Cnidium monnieri extract เป็นสมุนไพรในตำรับยาจีนอีกตัว มีข้อมูลงานวิจัยล่าสุดเมื่อ พ.ค. ปีนี้ (2024) วิจัยในระดับเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า สามารถลดผลของ a-MSH ในการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี โดยไปลดการสร้างเอนไซม์ Tyrosinase (Plants (Basel). 2024;13(10):1305.) ลดอาการแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) ในสัตว์ทดลอง (Biol Pharm Bull. 2002;25(6):809-12.)

นอกจากสารสกัดจากพืชในกลุ่ม Botaniplex® Calm แล้ว ในเซรั่มยังเสริมสารบำรุงอื่นๆ อีก ได้แก่

  • แร่ธาตุเบลนด์ Magnesium Aspartate, Zinc Gluconate, Copper Gluconate ซึ่งเสริมกระบวนการทำงานของผิวหลายประการ ตั้งแต่เรื่องสมดุลการสร้าง-เจริญ ไปจนถึงการชะลอวัย
  • Allantoin ดูแลการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Panthenol เพิ่มความชุ่มชื้น พร้อมกับ ดูแลการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Niacinamide มีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการเสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว ดูแลการอักเสบระคายเคือง เป็น whitening
  • เติมน้ำด้วย Hyaluron
  • Tropolone ตัวนี้เป็น synthetic antioxidant ที่ช่วยปกป้องทั้งสารในสูตรตำรับและอาจให้ประโยชน์ในการดูแลผิว และเสริมประสิทธิภาพของสารกันเสียในสูตรตำรับ

เบสมาในเบสแบบเจลครีม ใช้ C13-15 Alkane เป็นสารไขมันที่ช่วยให้ผิวนุ่ม (Emollient) เนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ ข้อมูลความปลอดภัยค่อนข้างดี มีชื่อเล่นในวงการว่า Hemisqualane

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง ส่วนตัวมองว่า น้องค่อนข้างเด่นในแง่ของการดูแลปัญหาการระคายเคืองผิวผ่านหลายๆ กลไก พร้อมทั้งเสริมความชุ่มชื้นผ่านกลไกการเติมน้ำเป็นหลัก มีผลเทสต์ในด้านของการดูแลเรื่องสมดุล microbiome ให้ผิวแข็งแรง และอาจให้ประโยชน์ไปถึงด้าน whitening จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวคิดว่าเรื่อง soothing (สบายผิว) น้องม่วงทำมาได้ดีมาก 10 10 10 เนื้อเซรั่มทำมาได้บางเบา ไม่เหนอะหนะ ในขณะที่ยังให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างดี ให้ความรู้สึกสบายผิว ทางนี้เอามาแทรกในรูทีน คั่นกลางระหว่างเซรั่มเบสน้ำ กับ เบสแบบครีมได้พอดีแบบลงตัวมาก ใช้ได้ทั้งเช้า-เย็น ให้ความชอบไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Kamedis สาขาประเทศไทย ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้เป็นของขวัญ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/Kamedisth

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/7pcZ9A27BG

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.sT41b?cc

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของขวัญจากทางแบรนด์ Kamedis สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการเขียนรีวิว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

Mini Review: สเปรย์กันแดด ส่วนผสมปังเว่อร์ Sunbrella Airy Outdoor sunscreen spray จากแบรนด์ Y.O.U

กันแดดแบบสเปรย์ รุ่น Sunbrella sunscreen spray จากแบรนด์ Y.O.U ค่า SPF50+ PA++++

ขวดบรรจุ 50 ml พกพาสะดวก เอาไปเติมระหว่างวันที่ไปออกทริปได้ง่าย ไม่หนัก

น้องมาในเบสหลักที่เป็นน้ำ ฟีลจะมีความเคลือบ วาวๆ นิดนึง ไม่เหนียวเหนอะนะ ใช้งานง่าย เติมระหว่างวันได้โอเคเลย ฉีดหน้า ฉีดตัว แต่ส่วนมากจะเอาไปเติมบริเวณตัว เน้นที่แขน คอ และ เนินอก เพราะหน้าแน่นมากแล้ว

สเปรย์จนขึ้นเงาเสร็จ เกลี่ยๆ หน่อยพองาม จบ ออกไปเดินเฉิดฉายต่อได้ พยายามเลี่ยงการดมละอองฝอยนะคะ

นี่เธอ จะบอกว่า เนินอกนี่ถ้าใครใส่เสื้อคอกว้าง UV ลงฉ่ำ และเป็นบริเวณที่เรามองข้ามไม่ค่อยทากันด้วยค่ะ อยากให้ทา ผู้หญิงเวลาอายุเพิ่มขึ้น เนินอกจะสำคัญมาก และถ้าเหี่ยวมาแก้ยากจริงค่ะ

ในด้านของสารกันแดด น้องคือจัดมาฉ่ำ กันครบทั้ง UVA-UVB

1. Uvinul A+ กัน UVA เป็นหลัก
2. PBSA กันแดดละลายน้ำ เด่น UVB
3. Ethylhexyl salicylate เด่น UVB จับคู่มากับ Ethylhexyl triazone ที่เด่นเรื่องความเสถียร
4. Tinosorb S เป็น Broad spectrum UVA-UVB
5. ติด Avobenzone มาลำดับท้ายๆ กรอง UVA

ในตำรับยังเสริมสารบำรุงมาอีกหลายชนิด เช่น
1. สารสกัดจากบัวบก เด่นดูแลการระคายเคือง จูงมือมากับ Ectoin ปกป้องผิว เสริมความชุ่มชื้น และ Bisabolol เพื่อให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing)

2. Symwhite 377 (Phenylethyl resorcinol) เด่นเรื่อง whitening ผ่านการยับยั้งการสร้างเม็ดสี

3. Red sage (Salvia miltiorrhiza root extract หรือ Danshen) เป็นพืชในตำรับยาจีน มีรายงานถึงคุณสมบัติในการกดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยคอลลาเจน และมี European patent รองรับถึงการใช้เป็น Soothing (Ref: EP3508195 A1)

4. Buddleja Officinalis Extract ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าเป็น antioxidant, ลดกระบวนการอักเสบ ปกป้องผลเสียจากแสงแดดทั้ง UV, IR, Blue light (Ref: TDS Soliberine by Greentech)

มี Menthyl lactate ให้ความรู้สึกเย็น ก็สบายผิวดีเวลาเดินมาร้อนๆ

ราคากำลังกรุบ เคยเจอต่ำสุด 1xx ราคาหลักร้อยส่วนผสมหลักพัน

ไปค่ะ ตำ

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/9A8PbQQiC3
แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.HmPuh?cc

Disclaimer: received as a gift, self-opinion

Image

Mini review: เซรั่มวิตามินซี เทคโนโลยี Colloidal Gold จาก Per Se Gold C antioxidant serum

เซรั่มวิตามินซีร่างทอง ที่แปลว่าทองจริงๆ เพราะมีส่วนผสมของ Colloidal gold

Per Se รุ่น Gold C Antioxidant serum

น้องเป็นเซรั่ม LAA เนื้อบางเบา เป็นเบสแบบน้ำ ใช้ง่าย ซึมไว ยัดลงรูทีนได้ง่าย

ส่วนผสมเป็นดังนี้

วิเคราะห์ส่วผสม

ในด้านของสารบำรุง

  • คอมบิเนชั่นของ Water, Sorbitol, Xanthan Gum, Ascorbic Acid, Gold, Glutathione เป็นคอมบิเนชั่นของวัตถุดิบ Golden C เป็นการเอา Ascorbic acid (AA) มาเกาะบนผิวอนุภาค Colloidal gold แล้วเอา Glutathione มาใช้คู่กัน เพื่อให้ Glutathione ช่วยรักษาเสถียรภาพของ AA เอาไว้ และเพิ่มความคงตัว โดยตัว Colloidal gold เพิ่มการดูดซึมวิตซีลงผิว มีผลเทสต์จากผู้ผลิตวัตถุดิบในด้านของการดูดซึม และประสิทธิภาพในการปกป้องการเกิดอนุมูลอิสระในผิว และการเสริมการสร้างคอลลาเจน
  • Pseudoalteromonas ferment extract เป็นสารที่ได้จากกระบวนการหมักจุลินทรีย์ในท้องทะเล มีข้อมูลอยู่เกี่ยวกับประโยชน์ในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้น และการเสริม Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • เติมน้ำด้วย Saccharide isomerate สารเพิ่มความชุ่มชื้นที่เกาะกับโปรตีนผิว ช่วยจับน้ำให้ผิวชุ่มชื้นยาวนาน ใช้ร่วมกับ Hya

ในภาพรวมการใช้ Colloidal gold เข้ามาถือเป็นอีกเทคนิคที่น่าสนใจในเรื่องของการนำส่ง AA เข้าผิว และเสริมความคงตัวโดยการใช้ Glutathione ร่วม

ทางไปตำ

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/3ArAY9syA5

Disclaimer: received as a gift, self-opinion

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมแอมพูลนิวโรไมด์ในตำนาน Curecode Neuromide Ampoule

มันจะมีอยู่ Ampoule หนึ่งที่ดิฉันบอกจะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม แล้วยังไม่มาซักที มากี่โมง

วันนี้ได้ฤกษ์แล้วค่ะ วิเคราะห์ส่วนผสม Curecode neuromide ampoule

น้องเป็นผลิตภัณฑ์แรกที่เปิดโลกหญิงให้เข้ามาสู่โลกของ Curecode ต่างๆ ได้ลองครั้งแรกก็ตอนรอไปแย่งกดโปร 1 แถม 1 ตอนเที่ยงคืน สมัยนั้น แล้วกดได้ด้วย (มีความขิงนิดๆ)

มาค่ะ วันนี้มารีวิวซะที

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

อันนี้เป็นหน้าตากล่อง

เนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อแบบเจลครีม มีความหนืดหน่อยๆ ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความชุ่มชื้นดี สบายผิว

ก่อนไปดูส่วนผสม เรามาทำความรู้จักกับคอนเซปท์และนวัตกรรมของแบรนด์ Curecode อีกสักรอบ

แบรนด์ Curecode นั้นเป็นแบรนด์ที่พัฒนาโดย Dr.Raymond Park ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวแพ้ง่ายและบอบบางระดับโลก ซึ่ง Dr. นั้นมีงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ และสิทธิบัตร รวมถึงได้รับรางวัลมาการันตีความสามารถมากมาย

Key technology ที่สำคัญของ Curecode คือ Neuromide Skin-Biome® Science และ Crystal Lamella MES® Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร

เรียกได้ว่า ถ้าพูดถึง Curecode ให้นึกถึง Neuromide ซึ่งมีชื่อ INCI name ว่า N-palmitoyl serinol (ขอย่อว่า NPS) โดยสารนี้จัดเป็น Postbiotic เพราะว่าเป็นสารที่จุลินทรีย์ Probiotics ที่เป็นเชื้อเจ้าบ้านบนผิวของเราสร้างขึ้นมา

โดยกลไกของ NPS นั้น เชื่อว่า สารมีสูตรโครงสร้างคล้ายกับ N-palmitoyl ethanolamine ซึ่งเป็นสารที่จับกับตัวรับ endocannabinoid system แล้วให้ประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่าง 1 ใน นั้น ที่เสริมการทำงานของ Barrier แล้วให้ผิวแข็งแรง คือ ความสามารถในการเสริมการสังเคราะห์ Ceramide

โดยมีงานวิจัยที่น่าสนใจอยู่ 2 ชิ้น

  • การศึกษาในปี 2021 พบว่าการทา NPS ในโมเดลหนูทดลองที่เป็นโรค Atopic dermatitis โดยให้หนูทาตำรับ 0.5% NPS วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 1 สัปดาห์ พบว่า NPS เร่งการฟื้นฟู Barrier ผิว และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ได้ (Wen et al., Can J Vet Res. 2021;85(3):201-204.)
  • การศึกษาอีกชิ้น ทำในผิวหนังเพาะเลี้ยง NPS นั้น สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ Ceramide ผ่าน Receptor CB-1 ของระบบ endocannabinoid system โดยเฉพาะ Ceramide สายยาว (long-chain fatty acids (FAs) (C22-C24)) ที่มีความสามารถในการเป็น Barrier ที่แข็งแรง (Int J Mol Sci. 2021;22(15):8302.)

การใช้ Pre-Pro-Post biotics ร่วมกัน เราอาจเรียกได้ว่าเป็น Tri-biotics โดยทาง Curecode มีการเลือกใช้ Tribiotics ดังภาพ

(Image from Curecode)

ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการทดสอบการระคายเคืองในอาสาสมัคร และ ผ่านการรับรองกลุ่ม Whitening และ Wrinkle care จาก องค์กรอาหารและยาเกาหลี (KFDA)

ตัวเทคโนโลยี Skin like technology มีสิทธิบัตรรองรับ เป็นการพัฒนาสูตรมาให้มีการจัดเรียงตัวเป็น Lamellar แบบไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ส่วนผสมชุดนี้ทำไว้หลายสีอยู่เหมือนกัน

ขอเริ่มที่ Combination signature ของแบรนด์ Curecode ชุดแรก Tri-biotics ได้แก่

  • Prebiotics: N-acetyl glucosamine (NAG) เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Lactobacillus spp. ร่วมกับ Sialyl lactose เป็นอาหาร probiotics กลุ่ม Bifidobacterium spp.
    • โดย NAG มีประโยชน์กับผิวอีกหลายอย่างเลยจะหยิบมาพูดอีกรอบ
  • Probiotics: Bifida ferment lysate (BFL) ที่มีประโยชน์หลายประการ เด่นๆ น้องจะ ฟื้นฟูและปรับสภาพ สมดุลผิวผ่านหลายๆ กลไก ล่าสุดงานวิจัยของ Wang และคณะ ตีพิมพ์เมื่อปีที่แล้วเจอว่า BFL ปรับสภาพสมดุลผิวผ่านหลาย Gene หลายกลไก ผลโดยรวมคือ ผิวแข็งแรง ลดการระคายเคือง และเสริมความต้านทานของผิวให้ผิวเราทนทานมากขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2023;22(12):3427-3435.)
  • Postbiotics: Neuromide® หรือ N-palmitoyl serinol ให้ผิวแข็งแรงเช่นกัน

ถัดมาเป็นเทคโนโลยี Skin like MES ที่บรรจุสารไว้หลายชนิด ที่น่าสนใจ คือ Phytosterol และ Ceramide NP (Ceramide 3) เอาไว้ เสริม Barrier ผิวอีก 1 กรุบ

นอกจากเทคโนโลยีหลักแล้ว ก็ยังเสริมสารบำรุงที่มีประโยชน์เข้ามาอยู่หลายตัว เช่น

  • Niacinamide ที่มีประโยชน์กับผิวหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้าน Whitening ผ่านการยับยั้งการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก รวมไปถึงด้านการดูแลการอักเสบระคายเคือง Antioxidant เสริมการสร้าง Barrier ผิว และควบคุมความมัน
  • NAG ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของน้ำตาล และเป็นหน่วยย่อยในสาย Hya มีรายงานว่า NAG สามารถยับยั้งการ Glycosylation เพื่อเปลี่ยน pro-tyrosinase ไม่ให้เป็น tyrosinase จึงไม่มีฤทธิ์สร้างเม็ดสี ควบคุมการผลัดเซลล์ผิว เพิ่มความชุ่มชื้น (Int J Cosmet Sci. 2010;32(3):234.) มีการศึกษาโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • Resveratrol สาร Antioxidant ตัวแม่ตัวหนึ่งในวงการ นอกจากคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant แล้ว ยังมีงานวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติในการเป็น Whitening และ Anti-aging ผ่านหลายๆ กลไก เช่น การทดสอบในหนูทดลองพบว่า Resveratrol สามารถลดการสร้างโปรตีนที่เกี่ยวกับการสร้างเม็ดสี Melanin ได้หลายชนิด รวมทั้งยับยั้งการสังเคราะห์ Tyrosinase ได้ด้วย และยังให้ผลลดการสร้างสีผิวหลังจากถูกกระตุ้นด้วยรังสี UVB ได้ (Biomol Ther (Seoul). 2014; 22(1):35-40.)

สูตรตำรับใช้ Resveratrol ร่วมกับไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว เช่น Ceramide NP (อีกชื่อ Ceramide IIIB) ในสัดส่วนที่อิงตามสิทธิบัตรอเมริกา เลขที่ US-10179095-B2 เพื่อให้เกิดการเรียงตัวเป็นแบบ Lamellar และมีคุณสมบัติเสริมกระบวนการ Autophagy ของผิว

  • Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptiđe-12 ตัวนี้รู้จักกันในนาม Aquatide มีบทบาทและประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว กระบวนการนี้คล้ายๆ กับ การรีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างใหม่ เพื่อทำให้ผิวเราทำงานได้อย่างสมดุล ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ มีการทดสอบในอาสาสมัครแล้วพบว่า Aquatide มีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการฟื้นฟู Barrier ผิวที่เสียหายไปให้กลับมาแข็งแรงไวขึ้น เพิ่มความชุ่มชื้น และ มีงานวิจัยของ Lim และ คณะ (2019) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของ Aquatide ทั้งในระดับของหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร พบว่า Aquatide มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์เพาะเลี้ยงไม่ให้ถูกทำลายจาก Hydrogen peroxide ที่จัดเป็น 1 ใน Reactive oxygen species ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมา และในอาสาสมัคร พบว่าสามารถปกป้ององค์ประกอบของโปรตีนไม่ให้ถูกทำลายด้วยปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และ เมื่อทดสอบที่สัปดาห์ที่ 4 และ 8 พบว่าอาสาสมัครมีความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น (J Cosmet Dermatol 2019 Feb;18(1):197-203.)

สารบำรุงอื่นๆ ที่เติมเข้ามาในสูตร เช่น

  • กลุ่มดูแลการระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing) ได้แก่ สารสกัดจาก St.John’s wort, Allantoin, Panthenol
  • ดูแลเสริมพลังงานให้ผิวและอาจได้ประโยชน์ในการดูแลริ้วรอย ได้แก่ Adenosine
  • เติมน้ำด้วย Hya

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง เน้นการดูแลผิวให้ผิวแข็งแรงผ่านหลายๆ กลไก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสมดุล microbiome เสริม barrier ผิวให้แข็งแรง เติมน้ำ ดูแลการระคายเคือง เสริมกระบวนการ autophagy ปรับสมดุลให้ผิวมีสุขภาพดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีจุดที่ให้หักคะแนน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ เอาจริง ส่วนตัวว่าเนื้อของเซรั่มออกมาได้ค่อนข้างชุ่มชื้น เวลาใช้เลเยอร์ร่วมกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ทางนี้จะไว้ใช้ท้ายๆ ก่อนลงครีม บางวันถ้าทากลางวันอาจจะต้องรอเวลานิดหน่อยให้เขาเซ็ตตัวค่อยลงกันแดด ไม่งั้นกันแดดบางตัวจะเยิ้ม เลยชอบใช้กลางคืนมากกว่า เพราะว่าเช้าๆ เวลาน้อย ในเรื่องของความสบายผิว นี่ว่าน้องทำมาได้ตอบโจทย์ และเรื่องผิวแข็งแรง หญิงมี่ว่าเริ่ด ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอบคุณทุกท่านนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

ทางไปตำ

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/9pNNuZBJFq

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.IHrtA?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Propolis energy ampoule pad จาก CNP Laboratory

ใครชอบ Toner pad บ้าง 🙋‍♀️

คือ ด้วยความที่เราเป็นคนชอบใช้สำลีชุ่มๆ เทโทนเนอร์ เอสเซนส์ใดๆ ลงไปจนชุ่ม เลยชอบกลุ่ม pad ด้วยล่ะ

ส่วนตัวเคยใช้กลุ่ม Toner pad แบบนี้ครั้งแรกสมัยแบรนด์ scinic เข้าวัตสัน แล้วซักพัก วัตสันก็เอา Bella monster มา (ตายละ รู้อายุเลย)

หลังจากนั้นก็หายไปสักพัก ก่อนจะได้กลับมาใช้ใหม่

วันนี้ขอเริ่มจาก Ampoule pad ของ CNP Laboratory ก่อนเลย

น้องเป็นสูตร Propolis บนกล่องจะมีเคลมว่า เอาส่วนผสมหลักจาก Propolis ampoule มาใส่ในนี้ค่ะ

หน้าตาเป็นแบบนี้

ตรงนี้เป็นส่วนของกล่อง

เวลาเปิดมาก็จะมีที่คีบมาให้ค่ะ

ตัวแผ่น pad จะมี 2 ด้าน ด้านหนึ่งจะมีความขรุขระกว่า เวลาใช้งานเราจะเอาด้านนี้เช็ดก่อน เป็นเหมือนกันผลัดผิวด้วยแรงเช็ด-แรงเสียดทาน (mechanical exfoliation) แบบเบาๆ

จากนั้นใช้ด้านเรียบเช็ดเบาๆ

ถ้าเป็นทางนี้จะเอาด้านเรียบมาแปะๆ tapๆ เบาๆ จนซึม

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในภาพรวมส่วนผสมมาในเบสแบบน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน (ยกเว้นน้ำมันหอมระเหยเพื่อแต่งกลิ่น) ซิลิโคน และแอลกอฮอล์

สารบำรุงมีอยู่หลายตัว ซึ่งแบ่งเป็นหลายๆ กลุ่ม

ชื่อผลิตภัณฑ์คือ Propolis ดังนั้น มาวิเคราะห์ตัว Propolis ก่อนเลย

Propolis เป็นสารประกอบที่ผึ้งสร้างขึ้นมาจากน้ำลายผึ้งผสมกับไขผึ้ง และสารอื่นๆ ที่เก็บมาจากดอกไม้ ต้นไม้ที่พึ่งไปเกาะมา กลายเป็นสารเหนียวๆ บางทีเรียก กาวผึ้ง ทำหน้าที่ยึดติดรังเอาไว้ด้วยกัน

ใน Propolis ประกอบด้วยสารในกลุ่ม Polyphenol ที่มีประโยชน์ในการต่อต้านอนุมูลอิสระ และมีคุณสมบัติในการระงับเชื้อจุลินทรีย์บางประเภท มีงานวิจัยพบว่า Propolis ปกป้องผิวจากรังสี UV โดยไปกดการสร้างเอนไซม์ MMP-1 ที่จะไปย่อยสลายคอลลาเจน (Kim et al., Nutrients. 2020;12(12):3790.) มีข้อมูลสนับสนุนว่า สารประกอบ phenolic เช่น caffeic acid, coumaric acid, and ferulic acid ใน propolis ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้ (J. Cosmet. Dermatol. 2015;14:47–63.)

กลุ่ม pre-pro-post biotics มีด้วยกันหลายตัว

  • Prebiotics จะเป็น Beta-glucan ซึ่งเป็น prebiotics ในกลุ่มคาร์โบไฮเดรตโมเลกุลใหญ่ มีประโยชน์เรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ลดการอักเสบ การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า Beta-glucan ที่สกัดจากข้าวโอ๊ตมีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ผิว ให้โตเต็มวัย ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ และฟื้นฟู Barrier ผิว (Int J Biol Macromol. 2021;185:876-889.)
  • Postbiotics จะเป็นพวก Lactobacillus ferment กับ พวกสารสกัดจากพืชที่ผ่านกระบวนการหมักด้วย Lactobacillus และ Saccharomyces ซึ่งจะได้สารที่มีประโยชน์ทั้งจากพืช และที่จุลินทรีย์สร้าง รวมถึงแปรสภาพต่างๆ อย่าง Lactobacillus/Soybean Ferment Extract นี้มีข้อมูลอยู่ว่า พวกสาร Isoflavone ตามธรรมชาติในถั่วเหลือง ปกติจะอยู่ในรูปแบบที่เกาะกับน้ำตาลอยู่ เรียกว่า Glycoside เมื่อหมักแล้ว เชื้อจะเปลี่ยนพวก Glycoside ให้กลายเป็นตัว Isoflavone เฉยๆ (เรียก Aglycone) ซึ่งมีคุณสมบัติ antioxidant ที่ดีขึ้น

กลุ่มสาร Soothing-ดูแลการระคายเคือง

เป็นสามสหาย Dipotassium glycyrrhizate + Panthenol + Allantoin เติมมาด้วย Cica

ใช้ Hya และน้ำผึ้งช่วยเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น

แต่งกลิ่นแนว Herb ด้วย น้ำมันหอมระเหยจาก Sweet geranium (perlagonium graveolens) ทำให้นัวขึ้นด้วยสารหอม Citronellol, Geraniol, Linalool

ในภาพรวมถือว่าทำมาได้น่าสนใจทีเดียว

ช้อปปิ้ง

https://s.shopee.co.th/1LVPbijOPV

https://s.lazada.co.th/s.BJl5N?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Brikk จาก the Labatorian เซรั่มดูแล Barrier ผิว ส่วนผสมอัดแน่น แต่เนื้อบางเบา เวอร์ชั่นติดแกลม อัพเดท 2024

Blog นี้ขอหยิบเอา Brikk ติดแกลม เวอร์ชั่น 2024 จากแบรนด์ The Labatorian ที่อัพเดทแพคเกจใหม่ พร้อมปรับสูตรใหม่เพื่อความฉ่ำปัง

น้องพึ่งเปิดตัวแพคเกจใหม่เมื่อช่วง 11.11 ที่ผ่านมานี้เอง

Brikk ใหม่ เขามาในหน้าตาประมาณนี้ ขวดใหม่ไฉไลมาก

อันนี้จะเป็นตัวกล่องนะคะ

เนื้อเซรั่มเป็นเนื้อแบบใส จะได้กลิ่นหอมของกุหลาบจางๆ ซึ่งมาจาก Rose water ที่ทางแบรนด์เลือกใช้ นอกจากจะให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) แล้วก็ยังได้กลิ่นหอมด้วย

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย แรกๆ จะให้สัมผัสลื่นๆ ผิว แต่เมื่อทิ้งไว้สักพัก ไม่ถึง 1 นาที ตัวเซรั่มจะซึม/แห้งไป ให้ความรู้สึกนุ่มนวล ชุ่มชื้น และไม่เหนียวเหนอะหนะ ซึ่งส่วนตัวคิดว่าสูตรปรับใหม่นี้มีความชุ่มผิวมากขึ้น

ค่า pH นั้นอยู่ที่ประมาณ 5 นะคะ ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับค่า pH ของผิว

รายการส่วนผสมของสูตรใหม่ 2024 แอบมีต่างจากสูตรเดิมเล็กน้อย

แต่ก่อนไปดูส่วนผสม อยากเล่าถึง Barrier ของผิว 4 กลุ่มย่อย

  1. Physical barrier คือ ตัวผิวเอง โครงสร้างที่สมบูรณ์ของผิวหนังเป็นตัวปกป้องไม่ให้ของดีๆ ภายในออกไปข้างนอก และป้องกันไม่ให้อันตรายจากภายนอกเข้ามาข้างใน
  2. Chemical barrier คือ พวกสารเคมีต่างๆ ที่ผิวเราสร้างขึ้นมา การรักษาสภาวะ pH ให้เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคโตได้ บางที่อาจจะนับรวม Biochemical barrier เข้ามาไว้ด้วย คือพวก Antimicrobial peptide ที่ผิวเราสร้างขึ้นมาระงับเชื้อก่อโรคต่างๆ ตัวที่ดังๆ ก็เช่น Defensin
  3. Immunological barrier คือ ระบบภูมิคุ้มกันของผิวเรานั่นเอง ที่คอยปกป้องผิวจากทั้งสารเคมี และพวกจุลินทรีย์ต่างๆ
  4. และช่วงหลังๆ มา Microbiome ปังมาก เลยมีคนพูดถึง Microbiological barrier โดย Microbiome เป็นเหมือนชุมชนของจุลินทรีย์หลากหลายชนิด น้องมีปฏิกิริยากับผิวเราทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง รวมถึงสร้างสารที่มีประโยชน์ให้แก่ผิว

การเลือกใช้ Pre-pro-post biotics ในทางเครื่องสำอาง ก็เพื่อดูแล Microbiome ให้มีความหลากหลาย เพื่อให้ผิวของเราแข็งแรง และมีสุขภาพดี

โดยตัว Brikk นั้นเคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily ที่ดูแลผิวเสมือนรวมเอาเซรั่ม 6 ขวดเข้าไว้ด้วยกัน ดังนี้

  • Antioxidant ด้วยส่วนผสมของ Antioxidant ชั้นเลิศอย่าง Resveratrol กับ Ferulic acid
  • Anti-pollution ตัวที่น่าสนใจก็คือ Ectoine กับพวกสารที่ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Microbiome ดูแลด้วย Prebiotics
  • Lipid & NMF ฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง
  • Soothing ให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Hydration เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวอย่างยาวนาน

เราลองมาดูส่วนผสมของ Brikk กันนะคะว่าดูแล Barrier ผิวได้ในทุกมิติ และเป็นเซรั่ม 6 ขวดในขวดเดียวกันได้ อย่างไร

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมของ Brikk นั้นมีสารบำรุงอยู่หลายชนิดเหมือนกัน ลองมาดูตัวที่น่าสนใจๆ

  • กลุ่ม Microbiome ใช้แทนด้วยสีเขียวมะกอก ในกลุ่มนี้ประกอบด้วย Prebiotic 2 ชนิด ได้แก่ Inulin และ Beta-glucan และ Post-biotic อย่าง Lactococcus ferment lysate
    • Inulin เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น Chicory, artichoke ซึ่งจัดเป็น Prebiotic ชนิดหนึ่ง น้องเป็นอาหารของจุลินทรีย์ชนิดดีที่เรียกกันว่า Probiotic ในทางเครื่องสำอางมีการใช้ Inulin เพื่อเป็น Moisturizer โดยข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า Inulin มีความสามารถในการเป็น Moisturizer ที่ดีกว่า Hyaluronic acid (Ref: TDS preBIULIN AGA)
    • Beta-glucan เป็น Polysaccharide ที่พบได้ในสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และในพืชบางชนิด เช่น Oat ซึ่งนอกจากความสามารถในการเป็น Prebiotic แล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านการเป็น Moisturizer และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect
    • Lactococcus ferment lysate เป็นกลุ่มสารที่ได้จากการย่อยระบบที่เลี้ยงจุลินทรีย์ Probiotic อย่าง Lactoccus เราเลยเรียกว่า Postbiotic ข้อมูลจากวัตถุดิบ ProRenew Complex CLR™ กล่าวว่าใช้จุลินทรีย์สายพันธุ์ Lactococcus lactis ซึ่งมีรายงานงานวิจัยสนับสนุนถึงประโยชน์ที่ดีหลายชนิด เช่น คุณสมบัติในการลดการอักเสบของผิวในผิวหนังเพาะเลี้ยง (Lett Appl Microbiol. 2019;68(6):530-536.) เสริมการทำงานของ Barrier ผิวผ่าน Antimicrobial peptide ที่ชื่อ Defensin ซึ่งทำหน้าที่ปกป้องผิวตามธรรมชาติ และเสริมการสร้าง Filaggrin ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญตัวหนึ่งของผิว ไม่ว่าจะเป็น เป็นสารตั้งต้นของ NMF และ เป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งของ Cornified envelope ที่ให้ Corneocyte แข็งแรง ปกป้องผิวเราจากอันตรายต่างๆ ในสิ่งแวดล้อม ผลทั้งสองอย่างทดสอบในผิวหนังเพาะเลี้ยง และมีการทดสอบในอาสาสมัครโดยให้ทาตำรับที่มี Lactococcus วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 30 วัน พบว่าผิวหนังของอาสาสมัครมี Barrier ที่แข็งแรงขึ้น วัดจากค่าการระเหยของน้ำจากผิว (Trans-epidermal water loss; TEWL) ที่ลดลง และช่วยปรับสมดุลค่า pH ของผิว (Skin Pharmacol Physiol. 2019;32(2):72-80.)
  • สีบานเย็น เป็นพวกสารที่เสริมคุณสมบัติการเป็น Barrier ของผิว อย่างพวก Ceramide, Cholesterol และ Sphingoid base ที่เป็นโครงสร้างสำคัญของ Ceramide อย่าง Phytoshingosine
  • สีฟ้า เป็นกลุ่มของสารที่เติมน้ำและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ซึ่งมีด้วยกันหลายตัว เช่น
    • Ectoine เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่มีโครงสร้างเป็นวงกลม สร้างโดยแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างโหดร้าย (Extremophile) ทำหน้าที่ปกป้องตัวเขาเองจากอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากปัจจัยกายภาพและเคมี มีการพบว่าตัว Ectoine จะทำหน้าที่ดึงเอาน้ำมาเกาะไว้กับตัวเองแล้วกลายเป็นชั้นโครงสร้างที่ช่วยปกป้องโปรตีนองค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญของเซลล์เอาไว้ เรียกว่าเป็น Ectoine hydrocomplex (Clin Dermatol. 2008;26(4):326–633.) เจ้า Hydrocomplex ดังกล่าวส่งผลดีถึงองค์ประกอบทั้งเซลล์ คือปกป้องเซลล์นั้นให้มีปริมาณน้ำเหมาะสม และทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อปริมาณน้ำต่ำลง จะไปมีผลต่อระบบของการอักเสบทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา ในกรณีของผิวหนัง การมี Ectoine จะช่วยให้ Lipid barrier ของผิวทำงานได้ตามปกติและมีความแข็งแรง ผิวจึงแข็งแรง และเก็บกักน้ำได้ดี (มีการระเหยของน้ำออกจากผิว/Transepidermal water loss; TEWL น้อย) (Biophys Chem. 2010;150(1–3):37–46.) มีการทดสอบประสิทธิภาพในทางผิวหนังอยู่หลายชิ้น ซึ่งได้กล่าวถึงในบทความวิชาการล่าสุดของ Kauth และ Truvosa (Dermatology and Therapy. 2022;12:295–313) ในภาพรวมคือ Ectoine ให้ประโยชน์ในการปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ลดการอักเสบระคายเคือง รวมทั้งดูแลปัญหาผิวอักเสบและระคายเคืองต่างๆ (Skin Pharmacol Physiol. 2004; 17(5):232-7.) ยังมีการทดสอบพบว่า Ectoine ให้ประโยชน์เป็น Whitening ได้อีก โดยไป block ผลจาก MSH ไม่ให้กระตุ้นให้เกิดการสร้าง Melanin ออกมาเมื่อเจอรังสี UV (Antioxidants (Basel). 2020;9(1):63.)
    • Polyquaternium-51 ตัวนี้เป็น Polymer สังเคราะห์ที่มีโครงสร้างคล้ายกับไขมัน Phospholipid บนผิวของเรา ว่ากันว่านางจะเคลือบผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นของนางดีกว่า Hyaluronic acid
    • Saccharide isomerate ที่เด่นเรื่องการจับน้ำให้ผิวได้อย่างยาวนาน เพราะน้องสามารถเกาะติดบนผิวได้ดีและอยู่บนผิวได้นาน ถ้าเราไม่ล้างออกไป
    • Betaine ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine ที่นอกจากจะเพิ่มความชุ่มชื้น ยังดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว และปรับ Feeling ของสูตรให้ไม่เหนอะหนะไปพร้อมๆ กัน
    • กรดอะมิโน และสารอื่นที่จัดเป็น Natural moisturizing factor หรือ NMF มีคุณสมบัติในการจับน้ำให้แก่ผิว
  • สีเขียว คู่หูคู่ขวัญ Niacinamide (B3) + N-acetyl-D-glucosamine (NAG) เราคงไม่กล่าวถึงประโยชน์ของ B3 และ NAG แบบแยกกัน เพราะทั้ง 2 ตัวก็มีประโยชน์กับผิวมากโขอยู่ สำหรับการใช้ร่วมกันนั้นมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย Kimball และคณะเมื่อปี 2010 ให้อาสาสมัครทาครีมที่มีส่วนผสมของ Niacinamide 4% + NAG 2% ในอาสาสมัครจำนวน 101 คน เป็นเวลา 10 สัปดาห์ เทียบกับครีมเปล่าที่ไม่มี B3+NAG พบว่ากลุ่มที่ได้รับครีม B3+NAG มีสีผิวที่สม่ำเสมอขึ้น จุดด่างดำต่างๆ แลดูจางลง (Br J Dermatol. 2010;162(2):435-41.)
  • สีน้ำเงิน สารบำรุงอื่นๆ ยกตัวอย่างบางตัวที่น่าสนใจ เช่น
    • Syn-Hycan (Tetradecyl Aminobutyroylvalylaminobutyric Urea Trifluoroacetate) สารชื่อยาวๆ นี้เป็นเปปไทด์สังเคราะห์ เทคโนโลยีสิทธิบัตร ซึ่งทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า มีคุณสมบัติในการเสริมการทำงานของ TGF-Beta ที่มีตามธรรมชาติของผิว ซึ่งส่งผลต่อไปให้มีการสังเคราะห์กลุ่มสาร Matrix จำพวก Hyaluron, Lumican และ Decorin ซึ่งมีคุณสมบัติให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และมีความแข็งแรง รวมทั้งช่วยเสริมการเรียงตัวของคอลลาเจนเดิมในผิวให้อยู่ในโครงร่างที่แข็งแรง (ปกติเวลาเราอายุเพิ่มขึ้นสายเส้นใยของคอลลาเจนจะฉีกขาดไปตามกาลเวลา และมีการเรียงตัวที่ไม่สวยงามไม่เป็นระเบียบแบบเดิม ผิวเลยหย่อนคล้อย ไม่กระชับ)
    • สูตรผสมของ Water (and) Butylene Glycol (and) PEG-60 Almond Glycerides (and) Caprylyl Glycol (and) Glycerin (and) Carbomer (and) Nordihydroguaiaretic Acid (and) Oleanolic Acid รู้จักกันในนาม AC.NetTM จาก Croda ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่เบลนด์กันมาอย่างลงตัวเพื่อดูแลปัญหาสิว ผิวมัน และรูขุมขนกว้าง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบยังระบุว่า สารชุดนี้ยังยับยั้งการเจริญของพวก C. acnes ที่ก่อสิว และ P. ovale ที่ก่อปัญหาผิวหลายประการ เช่น รูขุมขนอักเสบ
    • Ferulic acid กับ Resveratrol เป็น Antioxidant ที่มีประโยชน์มากมายกับผิว ซึ่ง Resveratrol เองก็พอมีข้อมูลเรื่องการเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งเป็นเสมือนการย่อยสลาย ทำลาย แล้วรีไซเคิลเอาส่วนประกอบที่อาจจะเสื่อมสภาพ หรือไม่ค่อยทำงานแล้ว มาสร้างใหม่ให้ดีเหมือนเดิม
  • สีส้ม Hyaluron และอนุพันธ์หลายชนิด ทั้งตัวเกาะ ตัวเคลือบ และตัวเล็ก มีประโยชน์ในการเติมน้ำให้กับผิวในหลายๆ ระดับ
  • สีชมพู กลุ่มสารที่ดูแลด้านการระคายเคืองผิว ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)

ในภาพรวมส่วนผสมของสารบำรุงที่ใส่ลงมาทำงานเสริมกันอย่างลงตัวทั้งในด้านการฟื้นฟู Barrier ผิว ไม่ว่าจะเป็นส่วนของไขมัน ส่วนของโปรตีน Filaggrin พวก NMF และยังดูแลเรื่อง Microbiome รวมทั้งเติมน้ำ ฟื้นฟู ดูแลปัญหาผิวมัน สิว รูขุมขนกว้าง ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) ไปพร้อมๆ กัน สมกับที่เคลมว่าเป็น 6 in 1 Daily จริงๆ

และสูตรใหม่ในปี 2024 นี้ ที่นางเพิ่มมาก็คือ Hexacarboxymethyl dipeptide-12 ซึ่งเป็นโค้ดเดียวกับ Aquatide ซึ่งไปเปิดระบบ SIRT-1 แล้วเสริมกระบวนการ Autophagy ทำให้ผิวแข็งแรง

อีกตัวที่ให้สีฟ้าอ่อนๆ ก็คือ Malachite extract ซึ่งเป็นสารที่ได้จากหินแร่มาลาไคท์ มีส่วนประกอบของแร่ธาตุ Copper ซึ่งเสริมกระบวนการทำงานของผิวในการต่อต้านอนุมูลอิสระจากสิ่งแวดล้อม และเป็น antioxidant

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives Brikk 2024 ก็คือ Brikk คนเดิม ไมโครไบโอมมาครบ Barrier ผิวเริ่ด เพิ่มเติมคือ เสริม Autophagy อีก 1 กรุบ เอาไปเถอะ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลย จึงไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า ผลิตภัณฑ์เสริม Barrier ส่วนใหญ่เนื้อจะค่อนข้างหนัก แต่น้อง Brikk นั้นทำมาได้ดีมาก บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ คนที่มีผิวมันน่าจะชอบ ส่วนตัวมีผิวผสม-แห้ง คิดว่า สูตรใหม่นี้ทำมาได้ชุ่มชื้นมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ The labatorian ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะ ที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่

IG : the_labatorian

Line official : @labatorian

Facebook : Labatorian

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/8fBa6jB03O

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.sYpqP?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ The labatorian การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเกี่ยวกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมโทนอัพกันแดด Vizz DD whitening cream สูตร 3 in 1 ปกป้อง-บำรุง-ดูแลผิวเรียบเนียน

ครีมกันแดดแบบโทนอัพที่ทำออกมาได้ดี ส่วนผสมเริ่ด ทาแล้วให้ความขาวสว่าง กระจ่างใสแบบเป็นธรรมชาติ

มอบคำโปรยนี้ให้กับน้อง Vizz DD whitening cream หลอดนี้ค่ะ

ตัวผลิตภัณฑ์มีค่า SPF50 PA+++

ส่วนนี้จะเป็นหน้าตาแพคเกจจิ้งค่ะ

น้องเป็นครีมกันแดด สำหรับผิวกาย พร้อมปรับโทนอัพสีผิวให้สว่างใสโกลว์ ที่พัฒนาสูตรมาได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัมผัส ส่วนผสมและฟินิชลุคที่ได้

ตอนทาเกลี่ยน้องจะมีการแตกตัวเป็นหยดน้ำ (water drop) หยดน้ำพวกนี้ให้ฟีลสดชื่น

ส่วนผสมเป็นดังนี้

เนื่องด้วยเคลมหลักเป็นผลิตภัณฑ์กันแดด เราจะมาเริ่มกันที่วิเคราะห์ส่วนผสมสารกันแดดก่อนเลย

  • Titanium dioxide เป็นกันแดดชนิดกายภาพ ซึ่งปกติจะปกป้องสะท้อนกระจายรังสี UV ออกไปในช่วงกว้าง แต่ในช่วง UVA น้องจะดรอปๆ ลงมาหน่อย
  • Ethylhexyl salicylate เป็นกันแดดชนิดเคมี เด่นในช่วง UVB เป็นสารกันแดดที่มีข้อมูลความปลอดภัยค่อนข้างดี
  • Homosalate เป็นกันแดดชนิดเคมี เด่นในช่วง UVB
  • Octocrylene สารกันแดดเคมี ที่เด่นในช่วง UVB และดูดกลืน UVA ได้นิดหน่อย ในช่วงสั้นๆ ปกตินิยมใช้เสริมกับกันแดดเคมีอื่นๆ เพื่อเพิ่มความคงตัวในสูตร

สารบำรุงที่ทางแบรนด์เลือกมาได้แก่

  • Polygonum aviculare extract ตัวนี้ดูจากรายการส่วนผสมแล้ว มีแนวโน้มว่าจะเป็น Elix-IR ของ Lucas Meyer Cosmetics – by Clariant ซึ่งมีข้อมูลจากทางผู้ผลิตวัตถุดิบว่า ปกป้องผิวจากรังสี Infrared โดยไปยับยั้งเอนไซม์ Cathepsin G ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบในเซลล์ (Arch Rheumatol. 2018 Jan 22;33(4):498–504.) สำหรับที่ผิว เมื่อโดนรังสี IR, UV จะมีการสร้าง Cathepsin G ออกมาแล้วไปกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์เอนไซม์ MMP มาทำลายคอลลาเจน ส่วนผสมนี้เมื่อไปยับยั้ง Cathepsin G เลยทำให้ MMP ที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากรังสี IR, UV มีปริมาณลดลง ก็จะช่วยปกป้องคอลลาเจนในผิวไม่ให้สลายตัวได้ มีผลการทดสอบในอาสาสมัครเรื่องความสามารถในการดูแลริ้วรอย (Ref: TDS Elix-IR)
  • Arisaema amurense extract สารสกัดนี้มาในชื่อทางการค้าว่า Melazero มีคุณสมบัติเป็น Whitening ผ่านหลายกลไก ไม่ว่าจะเป็นการเสริมกระบวนการ Autophagy และลดการสร้างเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเม็ดสี
  • Biosaccharide Gum-4 คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ มีประโยชน์ในการปกป้องผิวจากสารเคมีต่างๆ มลภาวะ และรังสี UV โดยตัวมันไปสร้างฟิล์มเคลือบไว้ที่ผิวชั้นนอก
  • Pseudoalteromonas Ferment Extract เป็นสารสกัดที่ได้จากกระบวนการหมักจุลินทรีย์ Pseudoalteromonas ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นเทคโนโลยี SmoothLight ซึ่งมีเคลมเด่นในด้านของการฟื้นฟูผิวที่เสียหาย ดูแลริ้วรอย และปกป้องผิวจากผลเสียของ Visible blue light
  • สารสกัดจากชาเขียว เป็น antioxidant
  • Betaine เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น และดูแลเรื่องการระคายเคืองของผิว

ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ในภาพรวม น้องเป็นผลิตภัณฑ์กันแดดชนิดผสมกายภาพ-เคมีที่กันได้ครบทั้ง UVA-UVB แต่จะเด่นๆ ไปที่ UVB เสริมสารบำรุงที่ดูแลและปกป้องผิวจากแสงแดด และ Whitening ซึ่งถ้าพิจารณาในส่วนของการเป็นครีมบำรุงผิวกาย ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี แต่ถ้าเสริม Antioxidant อีกซักหน่อย และจัดสารกันแดดให้กัน UVA ฉ่ำๆ จะเริ่ดมาก จึงขอให้ไป 4 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ในแง่ของการเกลี่ย ตัวผลิตภัณฑ์เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย แตกตัวเป็นน้ำมีหยดน้ำออกมาเพื่อให้ฟีลสดชื่น อาจจะติดขนตกร่องได้นิดหน่อย แต่ตรงนี้เป็นเรื่องปกติที่ยอมรับได้ของกลุ่มครีมโทนอัพอยู่ จึงไม่หักคะแนน สำหรับด้านความโทนอัพปรับสีผิว ถือว่าทำมาได้ดี ให้ความขาวสว่างที่ดูไม่เว่อร์วังมากจนเกินไป ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Vizz ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้รู้จัก และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: Vizz Thailand

IG: Vizz.Thailand

Line Official: @vizz.thailand

TikTok: @vizz_thailand

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/5VEAJ3vgv8

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.IhiG8?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Vizz การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ