Image

Mini review/วิเคราะห์ส่วนผสม Clinique iD สูตร Tone-up gel คู่กับ Cartridge sallow skin (Cartridge โสม)

สวัสดีค่ะ

เมื่อก่อนที่ห้างจะปิดตัว มี่บังเอิญไปได้ตัวอย่าง Clinique iD สูตร Tone-up gel คู่กับ Cartridge sallow skin (Cartridge โสม) ตอนไปซื้อของที่เคาน์เตอร์มาค่ะ

แล้วก็เห็นมีทางลูกเพจถามมาถึงส่วนผสมสูตรนี้ ก็เลยเอามาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันนะคะ

ตัว Sample ของ Clinique iD เขาจะทำมาค่อนข้างน่ารักนะคะ คือมาในลักษณะคล้ายๆสมุดเล่มเล็กๆ ด้านหลังจะมี capsule อยู่ 2 ช่อง ช่องล่างเป็นตัว Cartridge และช่องบนเป็นเนื้อเบส

ซึ่งเวลาใช้งานเราจะกดไล่ให้เนื้อของ Cartridge ไปผสมกับเนื้อเบสด้านบน แล้วไล่ขึ้นไล่ลงให้เป็นเนื้อเดียวกัน ก่อนจะฉีกซองแล้วใช้ทาได้นะคะ

หน้าตาก็ประมาณนี้นะคะ

 

clinique

 

ส่วนตัวมี่ได้ลองใช้แล้ว แต่ไม่ได้ถ่ายไว้ น่าจะเหมาะกับคนที่มีผิวกลาง ผิวสองสี ถึงผิวสีเข้มมากกว่าคนที่มีผิวขาวและ undertone ซีดๆ แบบผิวมี่ ซึ่งส่วนตัวใช้แล้วจะติดหมองหน่อยๆ เพราะตัว tone-up เจลจะมี undertone เป็นสีชมพู ที่ไม่เหมาะกับผิวเราเท่าไหร่ (คหสต.)

สูตรนี้เท่าที่ลองหาอ่านดูจากรีวิวของท่านอื่นๆ เห็นว่าเป็นสูตรพิเศษที่ทำมาเพื่อชาวเอเชีย ที่สามารถใช้เบสที่มี undertone ชมพู (ส่วนใหญ่เจอกับรองพื้นเกาหลี) แล้วจะดูสว่าง Glow แลดูมีราศรีและสวยงามค่ะ

แต่ที่หยิบมารีวิววันนี้ เพราะส่วนตัวคิดว่า เบส Tone-up gel เป็นตัวเบสที่ทำมาได้สมบูรณ์แบบมาก ในแง่ของส่วนผสมค่ะ เสียดายน่าจะมีสีที่ไปในแนว undertone เหลืองบ้าง ซึ่งในฝั่งอเมริกา กับยุโรป จะมีเนื้อ BB ลายพรางอีกสูตรค่ะ

clin BB

(Image from Clinique)

 

ตัวนี้เท่าที่ลองอ่านรีวิว น่าจะมี undertone เหลือง เพราะเหมาะกับคนผิวขาว ถึงผิวกลางค่ะ แต่ยังไม่ได้ลองค้นส่วนผสมของตัวนี้นะคะ

 

ในซอง sample ที่ได้มาเขามีส่วนผสมมาให้ด้วย เลยเอามาวิเคราะห์ให้ได้ชมกันค่ะ

เริ่มจากเบสที่เป็น Tone-up gel ค่ะ

สผส toneup gel

ในภาพรวมคือเป็นผลิตภัณฑ์รูปแบบอิมัลชั่น ที่ประกอบด้วย น้ำ น้ำมันสังเคราะห์ และ silicone อยู่หลายชนิดนะคะ ซึ่งดูแล้วจะค่อนข้างเหมาะกับคนที่มีผิวมัน หรือ ผิวผสม เพราะตัวน้ำมันสังเคราะห์ Isododecane เวลาทา นางจะระเหยไปได้ ให้ความรู้สึกแห้ง และ matte ไม่เหนอะหนะ

ส่วนคนผิวผสม/แห้งแบบเราก็ยังพอใช้ได้อยู่ ไม่ได้แห้งอะไรมากนักค่ะ

นอกจากสารบำรุงต่างๆที่ใส่มาแล้ว อีกจุดที่น่าสนใจคือกลุ่มของพวก Pigment หรือเม็ดสี ซึ่งมีทั้ง Pigment ที่ช่วยอำพรางปกปิด และ Pigment ที่ให้ความ Glow มี่แทนด้วยสีส้มนะคะ สำหรับสีบางตัวไม่ได้เป็น Pigment ที่ช่วยกลบหรืออำพรางสีผิว ให้ดู Glow แต่เป็นสีที่เอามาแต่งเนื้อเบสให้มีสีออกชมพูสวยงาม

สำหรับสารบำรุงวันนี้มาในสีคล้ายๆกันค่ะ มี่จะหยิบยกมาบางตัวนะคะ

  • สีฟ้า คือ Trehalose กับ Sodium hyaluronate พวกนี้เป็นตัวเติมน้ำ เพิ่มความชุ่มชื้น
  • สีเขียวอ่อน คือเจ้า Lactobacillus ferment กับ Saccharomyces ferment extract ซึ่งพวกนี้มีเคลมเกี่ยวกับพวก Probiotic/Microbiome ซึ่งมีประโยชน์ในด้านของการฟื้นฟูผิว ช่วยคืนความสมดุลให้แก่ผิว และช่วยให้ผิวแข็งแรง
  • สีน้ำเงิน จะเป็นสารบำรุงต่างๆค่ะ ซึ่งตัวที่ใส่มาก็มีหลายชนิดอยู่เหมือนกัน มี่เอามากล่าวคร่าวๆนะคะ
    • Seedcake จากเมล็ดทานตะวัน จะเป็นกลุ่มของพวกโปรตีน อันนี้จะมีประโยชน์ในเชิงชุ่มชื้นเป็นหลัก
    • สารสกัดจากข้าวบาร์เลย์ มีประโยชน์ในเชิงชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
    • Caffeine ตัวนี้ก็เป็นตัว Top hit ในผลิตภัณฑ์กลุ่ม iD อีกตัวค่ะ ซึ่ง Caffeine แม้จะดูเป็นสารพื้นๆ แต่นางมีประโยชน์ค่อนข้างมากนะคะ มีรายงานการวิจัยกล่าวอยู่ว่า Caffeine ที่เรารู้จักกันในด้านของการลดการบวมน้ำ ยังมีประโยชน์ต่างๆอีก โดยมีคุณสมบัติเสริมการสลายไขมัน เป็น Antioxidant มีคุณสมบัติปกป้องผิวจากรังสี UV เสริมการไหลเวียนเลือดของผิว และยับยั้งเอนไซม์ 5alpha-reductase ซึ่งมีประโยชน์ในการควบคุมความมันให้แก่ผิว (Skin Pharmacol Physiol. 2013;26(1):8-14.)
    • Laminaria saccharina extract ตัวนี้พยายามลองค้นข้อมูลจากหลายๆแหล่ง แต่ไปเจอเป็นข้อมูลจากผู้ผลิตบอกว่าสารสกัดจากสาหร่ายนี้มีคุณสมบัติในด้านการชะลอวัย ต่อต้านอนุมูลอิสระ และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing)
    • Polygonum cuspidatum คือ สารสกัดจาก Japanese knotweed มีรายงานสรุปว่าสารสกัดจากรากต้นนี้มีคุณสมบัติเป็นตัวลดการอักเสบระคายเคือง และมีประโยชน์ในการยับยั้งเชื้อจุลินทรีย์บางชนิด (Evid Based Complement Alternat Med. 2013;2013:208349.)

 

ในภาพรวมก็ยังมาในแนวของการดูแลผิวที่เป็นผิวมัน หรือ ผิวผสม มากกว่าจะเน้นดูแลที่ผิวแห้งนะคะ

 

ทีนี้เรามาดูส่วนผสมของ Cartridge โสม หรือ Cartridge for sallow skin สีทองค่ะ

ตัวนี้เข้าใจว่าน่าจะเป็น Limited edition เพราะในเว็บของ US คือ out of stock ไปเรียบร้อย

ส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

สผส cartridge โสม

ในภาพรวมคือนางมาในเบสแบบน้ำ ไม่มีน้ำมัน แอลกอฮอล์ และซิลิโคน

มีส่วนผสมของ AHA 2 ชนิด คือ Glycolic acid กับ Lactic acid ที่น่าจะใช้ Sodium hydroxide มาปรับ pH ให้อยู่ในค่าที่เหมาะสม เพื่อให้มีประโยชน์ในเชิงการผลัดผิว ดูแลปัญหาริ้วรอย รวมถึงรูขุมขนกว้าง (คหสต.)

นอกจาก AHA ที่เติมน้ำ กับผลัดผิวแล้ว ยังเสริมมาด้วย Caffeine (ที่มีแล้วในเบส) ร่วมกับ สารสกัดจากโสม เรียกได้ว่า โสมนี้มีประโยชน์กับผิวแบบรอบด้าน ครอบจักรวาล สยบทุกมิติของปัญหาผิวมาก

ต่อกันที่ สารสกัดจากเห็ด Poria ซึ่งข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวไปในเชิงของการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน

ดังนั้นส่วนตัวมองว่า Cartridge นี้ทำมาได้ดีนะคะ เพียงแต่ว่า อาจจะไม่เหมาะใช้กลางวันเท่าไหร่ ถ้าเรามีความไวกับแสงแดดมากๆ อาจจะแพ้แสงแดดได้ค่ะ

แล้วการเอามาจับคู่กับตัวเบส Tone-up ที่เหมาะใช้กลางวัน มันอาจจะแลดูขัดๆกันนิดนึง (คหสต.) แต่ถ้าเราเอาไปจับคู่กับเบสตัวอื่น แล้วใช้กลางคืนคือน่าจะแจ่มอยู่ค่ะ

 

สำหรับวันนี้คงต้องขอตัวไปแค่นี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาเป็นของแถมจากการซื้อสินค้าด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

 

Image

[CBD beauty] เมื่อเรามีผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่มีส่วนผสมของกัญชง เราต้องมาวิเคราะห์ส่วนผสมกัน >>Case study: Broad spectrum CBD-infused hair care จาก Cloud 10

เชื่อว่าในยุคสมัยนี้เราคงได้ยินเรื่อง CBD กันมาค่อนข้างบ่อยแล้วนะคะ

โดยเจ้า CBD หรือ Cannabidiol เป็นพฤกษเคมีที่มีประโยชน์ ที่เราพบได้จากพืชใน Genus Cannabis เช่น กัญชง และกัญชา

เจ้า CBD นี้มีประโยชน์ค่อนข้างมาก แต่สำหรับวงการเครื่องสำอาง นางมีประโยชน์ไปในเชิงการลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว พบได้ค่อนข้างมากในกัญชง (Hemp) โดยตัวนี้ไม่ทำให้เกิดอาการประสาทหลอน เหมือนสาร THC ที่พบในกัญชา (Marijuana) ค่ะ

สำหรับวันนี้มี่จะหยิบยกเอาผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผสมจากแบรนด์ Cloud 10 มาเป็นกรณีศึกษาในการวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

ทางแบรนด์มีสินค้าออกมาจำนวน 5 ชนิดค่ะ

cloud 1

(Image from Cloud 10)

ได้แก่

  1. แชมพู
  2. ครีมนวดผม
  3. Leave-in scalp toner
  4. All-in-one hair lotion
  5. Glossing mist

 

ส่วนของราคานั้นก็ไม่ได้แรงมากนะคะสำหรับ Hair tonic แต่สำหรับแชมพูและครีมนวดอาจจะดูสูงไปหน่อย (คหสต.)

 

สำหรับวันนี้จะขอหยิบยกเอาแชมพู และ Scalp toner มาเป็นตัวอย่างในกรณีศึกษานะคะ

ว่าแล้วก็ขอเปิดการวิเคราะห์ส่วนผสมด้วยแชมพูเลยนะคะ

cloud shampoo

 

ส่วนผสมของแชมพูเป็นดังภาพค่ะ

สผส cloud 10 shampoo

ในภาพรวมนางเป็นแชมพูแบบเหลือบมุกที่มาด้วยสารทำความสะอาดที่ค่อนข้างอ่อนโยน ปราศจาก Sulfate และซิลิโคน เสริมสารบำรุงมาหลายชนิด แต่พระเอกของเราจะเป็นกลุ่มของ CBD ซึ่งเรียกได้ว่าจัดมาค่อนข้างเต็มสมเคลม Board spectrum hemp ของแบรนด์

  • เริ่มจาก ส่วนผสมระหว่าง aqua, hydrolyzed hemp seed extract, hydrolyzed rice protein, citric acid, sodium benzoate, potassium sorbate ตัวนี้คือวัตถุดิบ Vegeker plus Hemp and Rice phytokeratin ของบริษัท Phenbiox ซึ่งเป็นโปรตีนสกัดจากเมล็ดกัญชง และข้าว ซึ่งเคลมว่าช่วยเพิ่มความแข็งแรงและความยืดหยุ่นให้กับเส้นผม แถมเป็นวัตถุดิบที่มาจากพืช เพราะ Keratin ปกติมาจากสัตว์
  • ต่อมาเป็นส่วนผสมระหว่าง glycerin, Cannabis sativa seed extract, citric acid. ตัวนี้มาจากบริษัทเดียวกัน ภายใต้ชื่อว่า Cannabiot เล่นไปในด้านของจุลินทรีย์เจ้าบ้านที่มีประโยชน์ หรือ Normal flora ที่ช่วงนี้หลายๆคนอาจจะได้ยินหลายๆแบรนด์พูดถึง Microbiome เนอะ ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมเรื่องของการช่วยส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพของ Normal flora บนผิว ลดการอักเสบระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)
  • Cannabidiol ตัวนี้ก็คือ CBD ที่เรารู้จักกันนั่นเองค่ะ เป็นสารพฤกษเคมีที่พบในพืชสกุล Cannabis ซึ่งมีฤทธิ์ทางชีวภาพค่อนข้างกว้าง สำหรับทางเครื่องสำอาง จะมีประโยชน์ไปในเชิงการลดการอักเสบระคายเคืองของผิวค่ะ ตัวนี้ไม่เกิดประสาทหลอนและไม่ทำให้เสพย์ติดนะคะ
  • และเนื่องจากทางแบรนด์เคลมว่าสารสกัดจากกัญชงนี้ ไม่มีสาร THC ซึ่งทำให้ประสาทหลอน ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องหลอน หรือ เสพย์ติดค่ะ

 

แต่ด้วยความที่แชมพูนั้นสัมผัสผมแป๊บเดียว เราคงจะหวังผลอะไรในการบำรุงไม่ได้ มี่เลยขอหยิบสินค้าอีก 1 ชิ้นจากแบรนด์ ที่เค้าเรียกว่า Scalp toner จริงๆก็คือ Hair tonic แหละ แค่เรียกให้สวยๆว่าเป็น Toner สำหรับปรับสภาพหนังศีรษะค่ะ

หน้าตานางเป็นแบบนี้ค่ะ

cloud scalp toner

มาดูส่วนผสมกันดีกว่า

สผส cloud 10 tonic

ในภาพรวมนางมาในรูปแบบน้ำใส ที่อาจจะหนืดหน่อยๆ เพราะมีส่วนผสมของพวก Gum เป็นสารเพิ่มความหนืด ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์

ในด้านของสารบำรุงหลักก็เป็นสูตรผสมสูตรเดียวกับแชมพู คือ Vegeker plus Hemp and Rice phytokeratin ร่วมกับ Cannabiot และ CBD แต่นางจะเสริมสารบำรุงเข้ามาอีกหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นตัวที่ Classic สำหรับสูตร Hair tonic อย่าง สารสกัดจากแปะก๊วย โสม และพริก ยังมีวัตถุดิบนวัตกรรมอย่าง Capixyl ที่เป็นสูตรผสมระหว่าง Butylene Glycol (and) Aqua (and) Dextran (and) Acetyl Tetrapeptide-3 (and) Trifolium Pratense (Clover) Flower Extract ตัวนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า สารบำรุงที่เป็น Peptide และสารสกัดจาก Red clover ทำงานเสริมกันอย่างลงตัวมีประโยชน์ให้รากผมแข็งแรง และป้องกันผมหลุดร่วงจากฮอร์โมนเพศชาย

 

โดยรวมจึงถือว่าเป็น Hair tonic ที่น่าสนใจตัวหนึ่งเลยหล่ะค่ะ เพราะไม่ใช่แค่ลดการอักเสบระคายเคืองที่หนังศีรษะ ยังดูแลเรื่องของ Normal flora และ ช่วยให้รากผมแข็งแรง ไม่หลุดร่วงง่ายๆ ไปพร้อมๆกัน

 

สำหรับวันนี้ก็คงต้องขอลากันไปเท่านี้ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: บทความนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ใช้เพื่อการศึกษาเท่านั้น และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

[Ingredient spotlight] Aquatide by AS&NH, Japan and Incospharm, Korea

เมื่อช่วงปลายเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา มี่มีโอกาสได้ไปเป็นผู้ดำเนินรายการ และผู้แปลภาษาในงานสัมมนา Look beauty & Look better จัดโดยบริษัท AH&NS ประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับบริษัท JR Serve ประเทศไทย ที่ผ่านมาค่ะ

aquatide 1

บนเวทีในภาพนะคะ เรียงจากซ้ายไปขวา คือ คุณ Yuki Kinoshita และ คุณ Atsushi Takeoka ค่ะ

ซึ่งคุณ Takeoka เป็นนักวิจัยทางเทคโนโลยีทางชีวภาพที่ร่วมกับนักวิจัยจากทางเกาหลีพัฒนา Aquatide ตัวนี้ขึ้นมานั่นเองค่ะ ปลื้มมากๆ

ตอนเย็นหลังจากงาน มี่ไปดินเนอร์กับทีมงาน มีโอกาสได้คุยกับ คุณ Takeoka แกบอกว่า ตัว Aquatide นี่คือดีงามมาก ส่วนตัวแกเองก็ใช้เป็น Soothing และเป็น Aftershave สามารถลดการระคายเคืองได้ดีเลยหละ คือแบบน่าสนใจเนาะ

 

ทีนี้กลับมาที่ทางบริษัท AH&NS นะคะ บริษัทนี้มีวัตถุดิบอยู่หลายชิ้นมากค่ะที่น่าสนใจ แล้วก็บ้านเรามีบริษัท JR Serve เป็นตัวแทนจำหน่ายค่ะ

สำหรับส่วนผสมที่มี่หยิบยกมาเล่าให้ฟังในช่วง spotlight วันนี้คือเจ้า Aquatide ค่ะ

ซึ่ง Aquatide มีอยู่ในผลิตภัณฑ์ของทางเกาหลีหลายแบรนด์ เช่น Zeroid, Dermartlogy รวมถึง Logically skin

ขอแนบลิงค์รีวิวเก่าๆ ไว้ตามแนบนะคะ

  • Dermartlogy ageless cream (Improved formula) และ Ampoule ทั้ง 5 สูตร: Click here
  • Logically skin: Click here

 

ส่วน Zeroid มี่เคยใช้อยู่ 1 ชิ้น เป็นตัว Intense cream ค่ะ ถ้ามีโอกาสจะนำมารีวิวให้ได้ชมกันต่อไปนะคะ

 

สำหรับ Aquatide นั้นมีชื่อกลางทางเครื่องสำอาง หรือ INCI name ว่า Hexacarboxymethyl dipeptide-12 

chemical structure

สูตรโครงสร้างของ Aquatide

 

กลไกในการออกฤทธิ์ของ Aquatide

Aquatide นั้นออกฤทธิ์ได้หลายกลไก แต่กลไกหลักคือ การควบคุมกระบวนการ Autophagy ของเซลล์ค่ะ

ว่าแต่อะไรคือ Autophagy?

Autophagy เป็นศัพท์เทคนิคทางชีววิทยา หมายถึง ปฏิกิริยาที่เซลล์ในร่างกายทำลายเซลล์อีกเซลล์หนึ่ง แล้วนำเอาองค์ประกอบภายในเซลล์ที่โดนทำลายไป ไป Recycle สร้างเซลล์ใหม่ออกมาทดแทน เพื่อให้ร่างกายทำหน้าที่ได้อย่างปกติ

autophagy drawing

ที่ผิวหนังพบว่าการ Autophagy ของเซลล์ผิวหนังจะทำให้เซลล์ผิวทำงานได้ดีขึ้น มี Barrier ที่แข็งแรงขึ้น ลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้ดี จึงทำให้ผิวชุ่มชื้นมากขึ้น (ค่า TEWL ลดลง)

โดยทางบริษัทคาดเดากลไกของการเหนี่ยวนำให้เกิด Autophagy นี้ว่าเกิดมาจากการที่สารไปเสริมการทำงานของเอนไซม์ Sirtuin-1 (Sirt-1) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่เกี่ยวข้องกับความมีอายุยืนของเซลล์ (Longevity) และเอนไซม์นี้ยังไปยับยั้ง mTOR โปรตีนที่ทำให้เกิดความแก่ขึ้นมาค่ะ

sirt-1

(Image from Incospharm)

 

aquatide 2

(Image from Incospharm)

 

ทางบริษัทได้มีการทดสอบทั้งในระดับหลอดทดลอง (In vitro) และในอาสาสมัครอยู่หลายอย่างเหมือนกันนะคะ และมีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสารวิชาการนานาชาติอยู่หลายบทความค่ะ

 

ตัวอย่างการทดสอบของทางบริษัท

1. ช่วยให้ผิวฟื้นฟูความเสียหายได้ไวขึ้น

EFF

(Image from Incospharm)

การศึกษานี้ทำโดยให้อาสาสมัครทาสารละลายที่มี Aquatide 2% เทียบกับ สารละลายเปล่าๆ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พอครบเวลา ก็ใช้เทคนิค Tape stripping ดึงเอาผิวหนังชั้น Stratum corneum ออก แล้ววัดค่า TEWL ที่เปลี่ยนแปลงไปค่ะ

2. ความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น

ความชุ่มชื้น

(Image from Incospharm)

ใช้การทดสอบแบบเดียวกับในข้อ 1

3. ช่วยให้ Barrier ผิวแข็งแรง และลดความรุนแรงของสิว

ทำการทดสอบโดยให้อาสาสมัครที่มีสิวทาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Aquatide 1% ร่วมกับ salicylic acid 0.5% เป็นเวลา 4 สัปดาห์ ก่อนประเมินอาการด้วยแพทย์ผิวหนัง

พบว่าความรุนแรงของสิวลดลง 65%

acne

(Image from Incospharm)

นอกจากข้อมูลจากทางผู้ผลิตวัตถุดิบแล้ว Aquatide ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นรองรับถึงประสิทธิภาพ โดยมี่ขอหยิบยกเอางานที่น่าสนใจมาเล่าให้ฟังค่ะ

  • งานวิจัยของ Lim และ คณะ (2019) ได้ทดสอบประสิทธิภาพของ Aquatide ทั้งในระดับของหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร พบว่า Aquatide มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องเซลล์เพาะเลี้ยงไม่ให้ถูกทำลายจาก Hydrogen peroxide ที่จัดเป็น 1 ใน Reactive oxygen species ที่ร่างกายเราสร้างขึ้นมา และในอาสาสมัคร พบว่าสามารถปกป้ององค์ประกอบของโปรตีนไม่ให้ถูกทำลายด้วยปฏิกิริยาออกซิเดชั่น และ เมื่อทดสอบที่สัปดาห์ที่ 4 และ 8 พบว่าอาสาสมัครมีความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น (J Cosmet Dermatol 2019 Feb;18(1):197-203.)

ดังนั้นโดยสรุป Aquatide จึงมีประโยชน์ทั้งในด้านของความชุ่มชื้น การชะลอวัย ลดการอักเสบระคายเคือง และ เสริม Barrier ผิวให้มีความแข็งแรงมากขึ้นค่ะ

 

Image

[Ingredient review] ทำความรู้จักและไขความลับของ PEG-6 caprylic/capric glycerides 1 ใน สารทำความสะอาดยอดฮิตใน Cleansing water

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่จะมาเล่ารายละเอียดของสารทำความสะอาดยอดฮิต ที่เรามักจะพบในสูตร Cleansing water ให้ได้ฟังกันนะคะ

ถ้าเราพูดถึง Cleansing water เราก็จะนึกถึงน้ำใสๆ ที่เอาไว้เช็ดเครื่องสำอาง เช็ดทำความสะอาดสิ่งสกปรกต่างๆออกจากผิวหน้า

พระเอกของ Cleansing water ก็คือ Surfactant ค่ะ ซึ่ง Surfactant ที่เรามักพบใน Cleansing water ในท้องตลาด จะแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  1. กลุ่มของ Poloxamer เช่น Polxamer 124 และ 184
  2. กลุ่มของ PEGylated fatty compounds เช่น PEG-6 caprylic/capric glycerides, PEG-7 glyceryl cocoate, PEG-40 hydrogenated castor oil
  3. กลุ่มของ Tween, Span ซึ่งดัดแปลงโครงสร้างมาจากน้ำตาล เช่น Polysorbate 20

ส่วนตัวมี่ค่อนข้างชอบ Cleansing water ที่มี PEG-6 caprylic/capric glycerides เป็นส่วนผสมหลัก เพราะเนื่องจากสัมผัส ทั้งในด้าน Texture และ Feeling จะค่อนข้างเด่นค่ะ

และหลังๆมาเริ่มเห็น Cleansing water หลายเจ้า เคลมว่า สูตรที่ใช้ PEG-6 caprylic/capric glycerides นี่สามารถ Leave on บนผิวได้โดยไม่ต้องล้างออก ก็เลยลองไปหาข้อมูลดูค่ะ

ขอกล่าว Basic ของพวก Cleanser นิดหน่อยนะคะ

ในพวกผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเหล่านี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า Surfactant อยู่ เป็นตัวการในการดึงเอาสิ่งสกปรกออกมาจากผิว แต่ในทางปฏิบัติ สารเหล่านี้แยกไม่ออกหรอก ว่าอะไรคือสิ่งสกปรก อะไรคือไขมันดีๆในผิว มันดึงออกมาหมด การล้างหน้าจึงเป็นเหมือนการดึงเอาสิ่งดีๆในผิวออกมาทีละนิดทีละหน่อย เราเลยต้องรีบทดแทนโดยการเติมสารบำรุงทดแทนคืนให้ผิว เพื่อไม่ให้ผิวเสียสมดุลค่ะ

การที่เราทิ้ง Surfactant ให้สัมผัสกับผิวนานๆ นางก็จะดูดซึมลงไปในผิวได้ และอาจทำให้ Barrier ผิวเราเสีย หรืออาจทำให้เกิดการระคายเคืองได้

ทีนี้กลับมาที่ PEG-6 caprylic/capric glycerides ค่ะ

1 ในบริษัทผู้ผลิตวัตถุดิบ Surfactant รายใหญ่ของโลก มีชื่อว่า Croda ค่ะ โดยเจ้าบริษัท Croda นี้เค้าก็ทำ PEG-6 caprylic/capric glycerides ออกมา ในชื่อทางการค้าว่า Glycerox 767HC นะคะ

ตรงนี้จะเป็นภาพที่นำมาจากเวบไซต์ของ Croda ค่ะ

glycerox.jpg

(Image from: Croda personal care)

จากตรงนี้จะเห็นว่าทางผู้ผลิตอธิบายไว้วา PEG-6 caprylic/capric glycerides จัดเป็น Hydrophilic emollient ที่ทำหน้าที่เป็นสารที่เรียกว่า Superfatting agent ในสูตรผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดต่างๆ ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวค่ะ

และสามารถใช้สารนี้เป็น emulsifier (ตัวเชื่อมผสานน้ำกับน้ำมันให้เข้ากันเป็นเนือครีม) ในสูตร Skincare ได้อีก

ซึ่งถ้าพิจารณาตามสูตรโครงสร้าง

structure glycerox.jpg

(Image from: CIR)

จะเห็นว่าสารนี้เป็น Surfactant ชนิดที่ไม่มีประจุ  หรือ non-ionic ซึ่งปกติสารกลุ่มนี้มีความอ่อนโยนกับผิว

 

มี่ลองหาข้อมูลที่เป็นกลางจาก CIR หรือ Cosmetic ingredients review ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งที่รวบรวมข้อมูลความปลอดภัยของวัตถุดิบเครื่องสำอางต่างๆ ไปได้ข้อมูลมาว่า สารในกลุ่ม PEGylated alkyl glycerides จะมีค่าความปลอดภัยที่ค่อนข้างดีค่ะ มีการทดสอบการระคายเคืองบนผิวหนังของหนู แต่เป็น PEG-8 caprylic/capric glycerides ซึ่งมี่คิดว่าเอาผลมาใช้ประมาณการของ PEG-6 caprylic/capric glycerides ในสูตรได้อยู่ค่ะ ผลคือ การทดสอบตำรับที่มีส่วนผสมของ  PEG-8 caprylic/capric glycerides ในความเข้มข้น 35% ร่วมกับสารอื่นๆ ไม่มีผลทำให้เกิดการระคายเคือง จึงสรุปว่าเป็น “low potential for skin irritancy” หมายถึง มีศักยภาพต่ำในการทำให้เกิดการระคายเคือง

(Reference: Cosmetic Ingredient Review. Safety Assessment of PEGylated Alkyl Glycerides as Used in Cosmetics 2014.

 

โดยสรุปจากข้อมูลที่ได้มา สารนี้ น่าจะสามารถ Leave-on บนผิวหนังโดยไม่ต้องไปล้างออกได้ แต่ส่วนตัวมี่คิดว่า ถ้าไม่จำเป็น ก็ไปล้างออกดีกว่า จะได้รวดเก็บเอาเมคอัพและสิ่งสกปรกตกค้างออกไปจากผิวด้วย

Image

[Ingredient spotlight] นวัตกรรมใหม่ทางเครื่องสำอาง กับ Exoskin ที่ออกฤทธิ์ Anti-aging ได้อย่างล้ำลึก

สวัสดีค่ะ

คืนนี้มี่มีส่วนผสมนวัตกรรมใหม่ๆทางเครื่องสำอางมาเล่าสู่กันฟังค่ะ

วันนี้เป็นเรื่องของส่วนผสมที่ให้ผลด้าน Anti-aging ค่ะ

ส่วนผสมวันนี้มีชื่อทางการค้า (ยี่ห้อ) ว่า Exoskin เป็นวัตถุดิบของบริษัท Biocosmethic ประเทศฝรั่งเศสค่ะ

exo 1

สารนี้มีชื่อกลางในทางเครื่องสำอาง (INCI name) ว่า macadamia integrifolia seed oil (and) sea silt extract

เป็นสารสกัดจากตะกอนทะเลในเบสที่เป็นน้ำมันแมคคาเดเมียค่ะ

exo 3

(Image from: Biocosmethic)

ทางบริษัทก็มีการ Claim ว่าได้จากน้ำทะเลบริสุทธิ์แถวกัวเตมาลา

เจ้าตะกอนทะเลนี่ทำอะไรได้บ้างนะ ???

ว่ากันว่า สารสกัดจากตะกอนทะเลนี้สามารถกระตุ้นให้เซลล์ผิวเราสร้างตัวส่งสัญญาณที่มีชื่อว่า Exosome ออกมาค่ะ

exo 2

(Image from: Biocosmethic)

Exosome นี้ทำหน้าที่เป็นเสมือน Messenger นำข้อความจากชั้นหนังกำพร้า หรือ Epidermis ออกมายังหนังแท้ หรือ Dermis ค่ะ

Messenger ตัวนี้จะไปกระตุ้นให้เซลล์บางชนิดทำงานและสร้างสารบางชนิดออกมาได้ค่ะ ตัวอย่างเช่น ไปกระตุ้นเซลล์ไฟโบรบลาสต์ให้สร้างคอลลาเจนออกมา ผิวก็จะยืดหยุ่นมากขึ้น

ทางบริษัทก็ไม่ได้กล่าวลอยๆ นางมีการทดสอบทั้งในระดับหลอดทดลอง และ ในอาสาสมัครค่ะ

  • การทดสอบในระดับหลอดทดลอง
  1. –การทดสอบประสิทธิภาพในการลดการอักเสบที่ชั้นหนังกำพร้า
  2. –การทดสอบประสิทธิภาพในการฟื้นฟูปราการของผิว
  3. –การทดสอบการติดต่อสื่อสารระหว่างชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้
  4. –การทดสอบยืนยันว่าเซลล์ Fibroblast ได้รับข้อความจาก Exosome
  • การทดสอบเชิงคลินิกในอาสาสมัคร

พบว่าโดยรวมแล้วตัวตะกอนทะเล หรือ Exoskin มีคุณสมบัติที่โดดเด่นหลายด้านเลยค่ะ

exo 5

(Image from: Biocosmethic)

  • ลดการอักเสบ โดยไปมีผลยับยั้ง NF-kB และ TNF-α ซึ่งจะนำไปสู่ความชรา และความแก่ก่อนวัย ที่เรียกว่า Inflam’aging
  • เพิ่มความแข็งแรงของ Barrier ผิว โดยไปเพิ่มความแข็งแรงให้กับเซลล์ผิวชั้นนอก (หรือ Corneocyte)
  • เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน อิลาสติน และ ไฟบริลิน ออกมามากขึ้น ผิวจึงแน่นฟูและกระชับขึ้น

ในการทดสอบระดับอาสาสมัคร โดยให้อาสาสมัครทาครีมที่มี Exoskin ในความเข้มข้น 1.5% เป็นเวลา 56 วัน ทาแค่ครึ่งหน้า เทียบกับครีมเปล่าๆที่ไม่มี Exoskin พบว่า อาสาสมัครมีผิวที่เรียบขึ้น

exo 6

(Image from: Biocosmethic)

มีการแจกแบบสอบถามให้อาสาสมัครประเมินความรู้สึกต่อผิวตัวเองด้วยค่ะ

exo 7.jpg

(Image from: Biocosmethic)

  • 69% รู้สึกว่า ผิวแน่นขึ้นและยืดหยุ่นขึ้น
  • 77% รู้สึกว่า ผิวตัวเองสวยขึ้น
  • 61% รู้สึกว่า ผิวมีความกระจ่างใสมากขึ้น
  • 77% รู้สึกว่า ผิวหน้าเมื่อยามตื่นนอนดูความสดชื่นและมีชีวิตชีวา

 

ก็นับว่าเป็นวัตถุดิบตัวหนึ่งที่น่าสนใจและดูมีนวัตกรรม ดูเก๋ไก๋ ที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยรวมกลไกการออกฤทธิ์ยังมีมากกว่านี้ แต่ค่อนข้างลึกและยาก มี่เลยตัดมาแค่บางจุดที่เข้าใจง่ายเฉยๆนะคะ

วัตถุดิบตัวนี้รู้สึกว่ามีแบรนด์ซื้อไปทำแป้งพัฟแล้วด้วยค่ะ

 

และก็ตอนนี้มีบริษัทนำเข้าวัตถุดิบแล้วนะคะ โดยบริษัท JR Serve Co.,Ltd.

ซึ่งถ้าใครสนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้กับทางบริษัทโดยตรงเลยนะคะ

อีเมล์: jirat@jrserve.co.th

 

Reference:

Biocosmethique. Exoskin Technical data sheet.

 

Image

[Ingredient Spotlight] วัตถุดิบนวัตกรรมใหม่เสริมฤทธิ์สลายไขมัน ลดเซลลูไลท์ (Lipolysis booster) Lipotethic จากบริษัท Biocosmethic ประเทศฝรั่งเศส

ทุกๆปีในงาน In-cosmetics จะมีวัตถุดิบแปลกๆใหม่ๆที่มีกลไกการออกฤทธิ์ลึกลับซับซ้อนออกมาให้เราเห็นกันเสมอ

ปี 2016 ที่ผ่านมาก็เช่นกัน

ถ้าพูดถึงเรื่องเซลลูไลท์ไขมันส่วนเกินแล้ว แม้จะเป็นปัญหาที่ดูเบๆ (ศัพท์บอกอายุเลย 555) แต่มันก็กระทบกับจิตใจและความมั่นใจของผู้หญิงหลายๆคนค่ะ

ทุกๆปีในวงการเครื่องสำอาง เหล่าบรรดานักวิทยาศาสตร์ก็พยายามเสาะแสวงหาวัตถุดิบใหม่ๆ มาขายเรา วันนี้มี่เลยจะมาเล่าถึงวัตถุดิบตัวใหม่ตัวนึงที่น่าสนใจให้ฟังกันค่ะ

วัตถุดิบวันนี้มีชื่อทางการค้า (ยี่ห้อ) ว่า Lipotethic เป็นวัตถุดิบของบริษัท Biocosmethic ประเทศฝรั่งเศสค่ะ

cover.jpg

Lipotethic ตัวนี้มีชื่อกลางในวงการเครื่องสำอาง (INCI name) ว่า Suaeda maritima flower/leaf/stem extract

กล่าวง่ายๆก็คือ สารสกัดจากต้น  Suaeda maritima นั่นเองค่ะ

ต้นนี้เป็นพืชที่ชอบความเค็ม (Halophilic) พบตามเนินทราย ดินโป่ง และหินที่สัมผัสไอทะเลตามชายฝั่งแถบ Mediterranean และ มหาสมุทรแอตแลนติก ด้วยความที่พืชชอบขึ้นในเขตเค็มจึงประกอบด้วย Betaine ในปริมาณสูง เพื่อทำหน้าที่เป็น Osmoprotectant ปกป้องเซลล์พืชจากเกลือที่เข้มข้นสูง

saueda.jpg

(Image source: Biocosmethic)

Betaine นั้น เป็นสารอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine ค่ะ สารนี้พบได้ทั่วไปตามธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นพืชต้น พืชหัว หรือในเนื้อปลา ด้วยความที่ตัวมันมีทั้งประจุบวกและลบในตัวจึง มีคุณสมบัติเป็น Surfactant ที่ช่วยเสริม Surfactant อื่นๆในสูตรตำรับ  และมีคุณสมบัติช่วยลดการระคายเคืองและให้ความรู้สึกสบายผิวได้ด้วย

ถ้าเราพูดถึงเซลลูไลท์ สิ่งที่เกี่ยวข้องก็คือ เซลล์ไขมัน ซึ่งมีหน้าตาเป็นดังนี้ค่ะ

fat.jpg

(Image source: Biocosmethic)

เซลล์ไขมัน หรือ Adipocyte พบที่ชั้นล่างสุด หรือ Subcutaneous tissue ของผิวเรา ทำหน้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำรองของร่างกาย ถ้าเรากินเยอะ เซลล์ก็จะมีขนาดใหญ่ และดันผิวออกมาให้เห็นตะปุ่มตะป่ำเป็นเซลลูไลท์ค่ะ

ว่ากันว่าในเซลล์จะมี Cytoplasm อยู่รวมกับหยดของไขมัน (Lipid droplets)

ในการสลายไขมันจากเซลล์ไขมันจะมีกลไกที่ค่อนข้างซับซ้อนค่ะ ดังภาพ

fat met.jpg

(Image source: Biocosmethic)

  • ร่างกายจะสลายไขมันเมื่อมีการกระตุ้นตัวรับแอดริเนอร์จิคชนิดเบต้า และตัวรับฮอร์โมน Glucagon (ซึ่งต้านฤทธิ์กับฮอร์โมนอินซุลิน) สองตัวนี้จะไปกระตุ้นให้เอนไซม์ Adenylate cyclase ทำงาน เปลี่ยนสาร ATP เป็น cAMP ที่จะไปกระตุ้นเอนไซม์ Protein kinase A หรือ PKA
  • PKA ไปกระตุ้นเอนไซม์ Lipase และโปรตีน Perilipin บนเยื่อหุ้มของหยดไขมัน มีผลทำให้เอนไซม์ Lipase บนผิวเซลล์ไขมัน (ATGL) ทำให้เกิดการสลายไขมันขึ้น

 

โปรตีน Perilipn ซึ่งเป็นโปรตีนที่สำคัญชนิดหนึ่งในการควบคุมการสลายไขมันของเซลล์ไขมัน โดยว่ากันว่าโปรตีนนี้จะทำหน้าที่เป็นเสมือน Surfactant ที่คอยดูดจับเอนไซม์ย่อยไขมัน Lipase ให้มาเข้าผสมเป็นเนื้อเดียวกับไขมันและย่อยสลายไขมันได้

 

ในสภาวะปกติ กับ ในสภาวะที่โปรตีนโดนกระตุ้น โปรตีนนี้ก็จะทำหน้าที่ได้แตกต่างกันค่ะ

table.jpg

สมมติฐานการออกฤทธิ์ของ Lipotethic นั้น คาดการณ์ว่า เนื่องจาก Betaine มีผลส่งเสริมการทำงานของ Surfactant อื่นๆ สาร Lipotethic ซึ่งประกอบด้วย Betaine ไปช่วยการทำงานของโปรตีน Perilipin A ในการแตกตัวหยดไขมันเป็นขนาดเล็กๆ จึงช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวของหยดไขมันให้เอนไซม์ Lipase ในผิวทำงานได้ดีและรวดเร็วมากขึ้น

ซึ่งทางบริษัทเองมีการทดสอบประสิทธิภาพในระดับหลอดทดลองแล้วค่ะ ว่าให้ผลดีอยู่หลายๆประการ ไม่ว่าจะเป็น

  • ลดจำนวนหยดไขมันขนาดใหญ่และกลางในเซลล์ไขมัน
  • เพิ่มการสลายไขมันในเซลล์ไขมันที่แยกมาจากหน้าท้องและต้นขา
  • เสริมฤทธิ์กับ Caffeine ให้เผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น
  • ยับยั้งการสร้างไขมันใหม่

This slideshow requires JavaScript.

 

conclu.jpg

ที่สำคัญวัตถุดิบนี้ผ่านการทดสอบความปลอดภัย การแพ้ การระคายเคือง เรียบร้อยแล้วค่ะ จึงถือว่าน่าสนใจมากเลยทีเดียว

 

ล่าสุดตอนนี้มีบริษัทนำเข้าวัตถุดิบแล้วนะคะ โดยบริษัท JR Serve Co.,Ltd.

ซึ่งถ้าใครสนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลได้กับทางบริษัทโดยตรงเลยนะคะ

อีเมล์: jirat@jrserve.co.th

 

Reference:

Biocosmethique. Lipotethic Technical data sheet.