Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมครีมและมาสก์ชีท 10 ดรุณีไฮยา Blue Agave จากแบรนด์ T’else

หลังจากที่ใน Blog ก่อน ได้หยิบเอากลุ่มสกินแคร์จากแบรนด์ t’else ในไลน์ Kombucha ไปแล้ว วันนี้มาถึงคิวของไลน์ Blue Agave กันบ้างค่ะ

สำหรับท่านที่พลาดสามารถรับชมได้ที่ลิงค์นี้นะคะ >>Click<<

โดยสินค้าในไลน์ Blue Agave นี้มีด้วยกัน 2 ชิ้น คือ ครีม กับ มาสก์ชีทค่ะ

เริ่มจากครีมก่อน

น้องมาในกระปุกหน้าตาประมาณนี้

ตัวกระปุกผลิตจาก Plastic 50%PCR (Post-consumer recycled) ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักษ์โลกตามคอนเซปท์ของแบรนด์

เนื้อครีมเป็นสีฟ้าอ่อนๆ จริงๆ จะมีตัวแคปซูลกระจายอยู่ด้วยค่ะ แต่กล้องเก็บภาพไม่ค่อยชัด

สำหรับตัว Capsule นี้ก็คือ ทางแบรนด์เคลมว่าใช้เก็บกัก Hyaluronic acid 10 โมเลกุลที่มีขนาดและประโยชน์ในการบำรุงผิวแตกต่างกันออกไป

(Image from T’else Korea Official Website)

เนื้อครีมจะมีความพิเศษอีกจุด คือ นอกจากการมี Capsule เล็กๆ แล้ว น้องจะมีความลื่นและเหลวลงเมื่อเราเกลี่ย ซึ่งอาจเรียกแบบสวยๆ ว่า Shear thinning คือ ความหนืดลดลงเมื่อให้แรงสัมผัส

ก่อนเกลี่ย

เริ่มเกลี่ย

ซึ่งฟีลตรงเนี้ย จะบอกว่า คือ สดชื่นอิ่มเอมเปรมปรีดิ์เว่อร์

แล้วพอเกลี่ยเสร็จทิ้งไว้ประมาณ 3 นาที ก็จะไม่เหลือความเหนอะหนะ แต่ยังรู้สึกว่าผิวนุ่มชุ่มชื้น

เอาไปแช่เย็นแล้วตักมาซักนิดหน่อย มาละเลงบนหน้าเวลาเหนื่อยๆ คือ ดี๊ย์ดีย์

สำหรับในไลน์ Blue agave นั้น ในตาม Concept ของ T’else คือ Terra + Else โดย Terra ก็คือ ตัวสารสกัดจาก Blue agave (Agave tequilana Leaf Extract) ซึ่งผ่านกรรมวิธีสกัดที่เป็นเอกลักษณ์ของทางแบรนด์ ที่เรียกว่า Air Brewing 100TM technology ที่รอคอยกว่า 100 ชั่วโมง เพื่อให้ได้สารสกัดที่ดึงเอาพฤกษเคมีออกมาจาก Blue agave ที่เป็นพืชหายากได้อย่างคุ้มค่าและสมบูรณ์

โดยวิธีนี้ทางแบรนด์ก็เคลมว่า สามารถลดการปลดปล่อย Carbon dioxide สู่บรรยากาศได้ถึง 33% และประหยัดพลังงาน รวมทั้งไม่สร้าง by product ที่ไม่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

สมกับคอนเซปท์ “Little things change everything” ของแบรนด์ ที่เอาใจใส่ในทุกมิติ

ส่วนของ Terra คือ Blue Agave แล้ว ส่วนของ Else จะเป็นการเลือกใช้ Hyaluronic acid 10 อนุพันธ์ 10 รูปแบบ ที่มีประโยชน์ที่แตกต่างกันไป 10 โมเลกุล 10 คุณประโยชน์

(Image from T’else Thailand)

ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและการระคายเคืองในอาสาสมัคร ว่าไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง

และในด้านของประสิทธิภาพก็คือไม่เบาเลย

เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังชั้น Stratum corneum ได้ทุกระดับชั้นผิว ชั้นบน เพิ่ม 368% ชั้นล่าง เพิ่ม 165%

อันนี้ทางแบรนด์ก็เคลมว่าแบบ เออ คงจะดีกว่าถ้าทาแล้วมันซึมลงไปมอยส์ด้านล่างด้านในด้วย ไม่ใช่แค่มอยส์แต่บนๆ

ส่วนของภาพถ่ายความชุ่มชื้นก็บอกเช่นเดียวกันว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น

สำหรับส่วนผสมก็คือจัดหนัก จัดเต็มจริงๆ

เริ่มต้นด้วยพระเอกของงานก่อน

  • สารสกัดจาก Blue agave (Agave tequilana leaf extract) ใน Agave ประกอบด้วย สารกลุ่ม Polysaccharide จำพวก Fructan และ Inulin ที่มีประโยชน์ในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้น และเป็น Prebiotic ซึ่งเจ้า Fructan นี่แหละ ที่สำคัญในการเก็บกักน้ำให้แก่ต้น Agave มีชีวิตรอดในทะเลทรายอันแห้งแล้งได้ นอกจากนี้ยังมี Claim ว่าใน Blue agave ยังประกอบด้วย Flavonoids ซึ่งเป็น Antioxidant และ Saponin หนึ่ง ที่มีชื่อว่า cantalasaponin-1 แต่อันนี้แยกมาจาก Agave americana มีรายงานว่ามีฤทธิ์ในการลดการอักเสบในหนูทดลอง (Molecules. 2013;18(7):8136-46.) ซึ่งก็อาจจะมีใน A. tequilana เหมือนกัน
  • Hyaluronic acid 10 ชนิด ที่บำรุงผิวและเพิ่มความชุ่มชื้นได้ถึง 10 ระดับชั้นผิว ดังที่ได้นำเสนอไปก่อนหน้า ตัวที่น่าสนใจแล้วค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์จะเป็นกลุ่มของ Silanol derivative เช่น Dimethylsilanol hyaluronate และ hyaluronate dimethylsilanol ที่เป็น Hybrid ของไฮยา กับ Organic silicon ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า นอกจากเรื่องชุ่มชื้น ยังมีประโยชน์ในเรื่องของการชะลอวัย ดูแลเรื่องริ้วรอยได้อีก 1 กรุบ
  • สารเพิ่มความชุ่มชื้นอื่นๆ เช่น Sodium PCA ที่เป็น Natural moisturizing factor ช่วยผิวจับน้ำ ประกบมากับน้ำมัน Jojoba และ Moringa (มะรุม) ที่มีกรดไขมันจำเป็น

  • ส่วนผสมที่เด่นเรื่อง Soothing effect ดูแลเรื่องการระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว ซึ่งแทนด้วยอักษรสีชมพู มาทั้ง Allantoin, Hydroxyacetophenone ซึ่งนอกจากคุณสมบัติ Soothing ยังเสริมฤทธิ์สารกันเสียในสูตรอีกทาง, Rose water และ Dipotassium glycyrrhizate
  • Adenosine เด่นเรื่องการดูแลริ้วรอย
  • สารสกัดพืชอีกมากมายหลากหลายชนิด ให้ประโยชน์กับผิวหลายอย่าง ทั้งเป็น Antioxidant, Whitening และเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

ในส่วนของเบสเป็นเนื้อครีมแบบ Water-based emulsion แต่น้องมี Ethylhexyl palmitate ที่อาจจะอุดตันได้ในบางคน แต่ส่วนตัวก็ใช้มาราวๆ เดือนครึ่ง ยังไม่เจอปัญหาใดๆ ค่ะ

ส่วนผสมที่เหลือคือเลือกมาได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่ง จุดเล็กจุดน้อย อย่างการปรับค่า pH ที่เรานิยมใช้ Triethanolamine มาปรับ แต่น้องดันมีวาระซ่อนเร้นว่าอาจจะไปจับกับพวกสารบางชนิดแล้วทำให้เกิด Nitrosamine ที่อาจจะก่อมะเร็ง แต่เอาจริงมันเกิดยากมาก เพราะต้องใช้อุณหภูมิสูงมาก แต่แบรนด์ก็ไม่ได้ใส่มา เปลี่ยนมาใช้ Tromethamine ที่เป็นมิตรกว่ามาปรับค่า pH ให้เหมาะสมกับผิวแทน

ในภาพรวมก็คือ ฉ่ำอยู่ (ที่แปลว่าฉ่ำจริงๆ)

ถัดมาเราลองมาดูมาสก์ชีทกันบ้างนะคะ น้องมาในซองสีน้ำเงินค่ะ

ตัวน้ำมาสก์จะเป็นเนื้อคล้ายเซรั่ม/เจล เป็นเบสแบบใส

ค่า pH ของน้ำมาสก์อยู่ที่ ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

แผ่นมาสก์ค่อนข้างโดดเด่นนะคะ แนบสนิทไปกับผิว

ตัวแผ่นมาสก์เป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร ที่ผลิตจากเส้นใยไผ่ ย่อยสลายได้ 100% ซึ่งผ่านการทดสอบ Biodegradability มาแล้ว และทางแบรนด์เคลมว่าเป็น “Water hole sheet” เวลาวางบนผิวน้องจะหดตัว 2 Step ก่อนจะแนบสนิทไปกับผิว

(ภาพจาก T’else Thailand)

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ถ้าดูจากส่วนผสม สูตรของมาสก์จะค่อนข้างเด่นในด้านของการเพิ่มความชุ่มชื้นแบบชุ่มฉ่ำ สมกับเป็นแผ่นมาสก์ที่มาสก์แล้วให้การบำรุงฟื้นฟูผิวในยามเร่งด่วนจริงๆ

ในด้านของสารบำรุงจะมาคล้ายๆ กับ รุ่นครีม จะมีจุดที่แตกต่างเล็กน้อย

  • เสริม Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 เข้ามา ซึ่งน้องก็มีประโยชน์ในการบำรุงผิวหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นการลดการอักเสบระคายเคือง เสริมการสังเคราะห์ Barrier ผิว รวมไปถึง Whitening ซึ่งมารวมกับสารสกัดจากพืชบางชนิด เช่น ขมิ้น ก็น่าจะได้ประโยชน์ในตรงนี้อยู่
  • เสริมกลุ่ม Soothing ให้ฉ่ำขึ้น ด้วย โปรวิตามินบี 5 (Panthenol) และ Pantolactone ที่เราอาจจะไม่ค่อยคุ้นหูเท่าไหร่ แต่น้องเป็นตัวตั้งต้นของ Panthenol อีกที มีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นที่ดี และมีเคลมว่าผิวเราจะเปลี่ยนน้องเป็น Panthenol และ Pantothenic acid ในผิวได้ต่อไป
  • ส่วนผสมยังมี Claim ถึงเรื่องการเปิดประตูน้ำด้วย Electrolyte ที่สำคัญ 3 ชนิด ได้แก่ Potassium (จาก Potassium hyaluronate, Potassium aspartate), Sodium (จาก Sodium hyaluronate) และ Magnesium จาก (Magnesium aspartate)
  • สำหรับ Magnesium aspartate พอมีข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบอยู่ว่า มีประโยชน์ในการลดการระคายเคืองของผิวเสริมเข้ามา

ในภาพรวมเบสนี้ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกัน

ถ้าเป็นการให้คะแนนของครีม จะขอให้ที่ 5/4/5 โดยหักคะแนนของ ส่วนผสมอื่นๆ ไป 1 คะแนนด้วยความที่น้องมี Ethylhexyl palmitate อยู่ในสูตร

ถ้าเป็นการให้คะแนนมาสก์ จะขอให้ที่ 5/5/5 เต็มที่ไม่หักค่ะ

เอามาเฉลี่ยๆ กัน เหลือ 5/4.5/5 แล้วกันเนาะ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ตั้งแต่วันเปิดตัว และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ T’else โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/TelseThailand

สายชอปปิ้งเรียนเชิญได้ค่ะ

สูตรครีม

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.GCqFK?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/30YrJBPHvd

มาส์กชีท

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.GCsQd?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/7fKgtH5RBG

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม โลชั่นบำรุงผิวกายสำหรับผิวที่เป็นสิวง่าย AC control body lotion จาก Derma:B

ก่อนหน้านี้ทางเพจได้นำเสนอบทวิเคราะห์ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ในไลน์ AC Control จาก Derma:B แบรนด์ในเครือ Neopharm ประเทศเกาหลีไปแล้ว 2 ชิ้น

ใครที่พลาดไป สามารถติดตามรับชมรีวิวได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ

Body wash >>Click https://miyeonthereviewer.com/2023/11/09/dermab-accontrol-wash/

Body mist >>Click https://miyeonthereviewer.com/2023/12/08/dermab-ac-mist/

3 ชิ้นนี้ ถ้าเรียง Regimen ก็จะได้ว่า

ล้างด้วย Body wash ➡️ ต่อด้วย Body mist ➡️ ปิดจบด้วย Body lotion

Blog นี้เลยว่ากันด้วยบทวิเคราะห์ส่วนผสมของ Body lotion ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจอีกชิ้นในไลน์ AC Control

น้องเป็น Body lotion ที่มาในหน้าตาและโทนสีที่คุมโทนสำหรับไลน์ AC Control

เนื้อโลชั่นบางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ มีกลิ่นหอมเย็นของมินท์

เกลี่ยง่าย ให้ความรู้สึกเย็นสดชื่น ไม่เหนอะหนะหนักผิว

เมื่อทิ้งไว้ประมาณ 2 นาที ก็จะซึม/แห้งไปจนหมด

จุดนี้ ส่วนตัวมองว่าทางแบรนด์พัฒนามาได้ตอบโจทย์คนที่มีปัญหาสิวที่ตัว ซึ่งมักจะมาคู่กับผิวมัน พอใช้โลชั่นบางตัวก็จะเหนอะหนะหนักผิวไป จนรู้สึกไม่อยากใช้ บางคนผิวมันก็จริง แต่หลังอาบน้ำผิวแห้ง พอใช้โลชั่นแล้วก็ต้องรอนานกว่าจะซึมไป ถึงจะแต่งตัวได้

สำหรับเทคโนโลยีเด่นของผลิตภัณฑ์ตามแบรนด์เคลม ได้แก่

  • MLE ซึ่งช่วยฟื้นฟู Barrier ให้ผิวแข็งแรง เก็บกักน้ำได้ดีขึ้น
  • Mentha arvensis acidTM เป็นคอมบิเนชั่นของ Mint + Acid 4 โมเลกุล ได้แก่ AHA + BHA + PHA + LHA ที่ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยน และผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร ว่าลดขุยผิวได้ถึง 97%

ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพ รวมถึงการแพ้และการระคายเคืองในอาสาสมัครเรียบร้อย โดยได้คะแนนค่าเฉลี่ยการแพ้ = 0.00 คือ ไม่มีอาสาสมัครคนใดเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการทดสอบผลิตภัณฑ์ (ข้อมูลจาก Derma:B Thailand)

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้

สำหรับสารบำรุงนั้นเรียกได้ว่าจัดมาเต็ม และมีประโยชน์ในด้านของความชุ่มชื้นผ่านทั้งการเติมน้ำ ทดแทนไขมัน มี MLE เสริมผิวแข็งแรง พร้อมทั้งดูแลเรื่องการอุดตัน สิว และรอยดำ รอยแดงจากสิว ไปพร้อมๆ กัน

กลุ่มแรก แทนด้วยอักษรสีส้ม เป็นกลุ่มของสารดูแลสิว จำพวก Organic acids 4 ตัว ตามแบรนด์เคลม ได้แก่

  • AHA ในที่นี้ใช้เป็น Citric acid เราไม่ค่อยเจอการใช้ Citric acid เพื่อการผลัดผิวเท่าไหร่ ส่วนมากเอามาใช้เป็นตัวปรับ pH ในสูตร หรือ เอามาเป็นตัวจับอิออนโลหะ แต่น้องก็มีความเป็น AHA อยู่
  • BHA คือ Salicylic acid เด่นในเรื่องของการลดการอุดตัน ละลายไขมันได้ดี ลงไปย่อยพวก comedone ในปากปล่องรูขุมขน (Comedolytic)
  • LHA คือ Capryloyl salicylic acid จัดเป็น LHA ที่ละลายได้ดีในไขมัน ผลัดผิวได้อ่อนๆ และ มีประโยชน์ในแง่ของรอยดำเสริมมาอีกทาง
  • PHA คือ Gluconolactone เด่นในแง่ของการผลัดผิวอย่างอ่อนโยน และดูแลเรื่องสิว

ซึ่ง Organic acids ทั้ง 4 นี้ จะมีประโยชน์ในเรื่องของการผลัดผิว ลดการอุดตัน ซึ่งจะให้ประโยชน์ในเรื่องของการดูแลสิวอุดตันต่างๆ

คอมบิเนชั่นของสารสกัดจากมินท์กับ Organic acid นี้ทางแบรนด์เคลมว่าเป็น Mentha arvensis acidTM เพื่อดูแลปัญหาสิว

ส่วนของสารไขมันทดแทนผิว แทนด้วยอักษรสีม่วง จะมี Pseudoceramide ตัว PC-9S (Myristoyl/Palmitoyl Oxostearamide/Arachamide MEA) ที่สามารถฟอร์มเป็น MLE เพื่อดูแล Barrier ผิว ร่วมกับสารไขมันจากธรรมชาติ อย่าง Shea butter, Grape seed oil และกรดไขมัน 2 ชนิด คือ Stearic acid, Palmitic acid

กลุ่มสารที่ดูแลด้านการระคายเคือง แทนด้วยอักษรสีเขียว กลุ่มนี้อาจจะให้ประโยชน์ในการดูแลรอยแดงจากสิว ได้แก่

  • Betaine ตัวนี้เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน ที่ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing) ลดความรู้สึกระคายเคือง และปรับฟีลให้รู้สึกดี
  • Allantoin ยืนหนึ่งเรื่อง Soothing และลดการอักเสบระคายเคือง
  • Beta-glucan ที่มีประโยชน์หลายอย่าง ทั้งด้านการเพิ่มความชุ่มชื้น เป็น prebiotic ที่ช่วยเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ probiotic ดูแลเรื่อง microbiome บนชั้นผิว ให้ผิวแข็งแรง และมีประโยชน์ด้านการลดการระคายเคือง
  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 ที่นอกจากจะดูแลเรื่องการระคายเคืองแล้ว ยังได้เรื่องเพิ่มความชุ่มชื้นเข้ามา รวมทั้งช่วยเสริมการฟื้นฟู Barrier ผิวได้อีกทาง

กลุ่มของ Whitening แทนด้วยอักษรสีน้ำเงิน น้องให้ประโยชน์ในการดูแลรอยดำจากสิว มีด้วยกัน 2 ตัวหลักๆ

  • Niacinamide ที่นอกจากด้าน Whitening แล้ว ยังให้ประโยชน์อื่นๆ เพื่อดูแลสิวด้วย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอักเสบระคายเคือง เสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และควบคุมการสร้าง Sebum
  • สารสกัดจากใบ Loquat เกาหลี (Eriobotrya Japonica Leaf Extract) ที่ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่า ให้ประโยชน์ในด้านของการเป็น Whitening และเป็น Antioxidant (Ref: TDS Loquat Leaf Extract by The Garden of Natural Solution Co., Ltd.)

กลุ่มของสารเติมน้ำเพิ่มความชุ่มชื้น แทนด้วยอักษรสีฟ้า ซึ่งมีด้วยกันหลายตัว

  • Hyaluronic acid และอนุพันธ์อีกหลายชนิด ขนกันมาทั้งครอบครัว ตัวเล็ก ตัวใหญ่ ตัวเคลือบ ตัวประจุบวก มีอย่างน้อย 6 ตัว (เพราะบางตัวใช้ชื่อ INCI name เดียวกัน) ตัวที่น่าสนใจจะเป็นตัวประจุบวก Hydroxypropyltrimonium Hyaluronate ที่เกาะกับผิวได้ยาวนาน ล้างน้ำก็ไม่หลุด ถ้าไม่ไปอาบน้ำ
  • นอกจาก Hyaluron แล้ว อีกตัวที่น่าสนใจก็คือ Hydrolyzed Glycosaminoglycans ตัวนี้เป็น Glycosaminoglycans ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดเล็กลง ก็มีความเด่นเรื่องการเติมน้ำให้ผิวเช่นกัน
  • กรดอะมิโน Arginine เป็น สารจับน้ำตามธรรมชาติให้ผิว (Natural moisturizing factor; NMF)

เสริมทัพมากับ Glyceryl glucoside ที่มีคุณสมบัติในการเสริมการสร้างโปรตีนเก็บน้ำ Aquaporin ให้กับผิว และเมื่อใช้คู่กับ Glycerin ประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นก็จะเพิ่มขึ้น

ส่วนของเบสก็เป็นเนื้อโลชั่นที่ดูแล้วไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง หรือ Actives ทำมาได้ดีในแง่ของการดูแลสิว แบบครบ ทั้งสิวอุดตัน สิวที่เริ่มอักเสบนิดหน่อย รอยดำ รอยแดง พร้อมเสริมประโยชน์ในการฟื้นฟู Barrier ผิว ด้วย MLE ให้ความรู้สึกสบายผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อหลัก หรือ Base มาในเบสแบบอิมัลชั่น ที่พัฒนามาให้มีเนื้อค่อนข้างเบาโดยการเลือกใช้สารไขมันอย่าง Isohexadecane ซึ่งระเหยได้ เมื่อลงผิวแล้วน้องจะระเหยไป ไม่เหลือความเหนอะหนะ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่ง หรือ Additives ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Derma:B สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตาและทดลองใช้ สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DermaBThailand

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://shope.ee/6KgOjxCETJ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.mr4p8?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Derma:B สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม น้ำตบและแอมพูล Kombucha เวอร์ชั่นใหม่ จาก T’esle

ใครเป็นแฟนน้ำตบ Kombucha ของ T’else บ้าง

น้องกลับมาแล้ว มาในโฉมใหม่ ไฉไลกว่าเดิม

กลับมาคราวนี้ในซีรี่ส์ Kombucha มาด้วยกัน 3 ผลิตภัณฑ์ค่ะ

ซึ่ง Blog นี้จะหยิบเอาเอสเซนส์กับแอมพูลมาวิเคราะห์ส่วนผสมก่อนนะคะ

โดยซีรี่ส์นี้ตัวใบชาอัสสัมที่เขาเลือกมา คือเป็นเกรดที่ดีที่สุด ที่สมาคมนักดื่มชารู้จักกันในนาม FTGFOP หรือ “Finest Tippy Golden Flowery Orange Pekoe”

‘Orange Pekoe’ เป็นการกล่าวถึงชาทั้งใบ (whole leaf tea) โดยคำว่า Pekoe มีที่มาจากการแปลภาษาจีนผิดในช่วงแรกๆ โดยสื่อความหมายถึง White hair บนยอดอ่อนใบชา ส่วนคำว่า Orange มาจาก Dutch royal House of Orange-Nassau ซึ่งเป็นผู้ที่มีความสำคัญในการซื้อ-ขายชาในยุคศตวรรษที่ 17

ส่วนอีก 3 คำ

Tippy หมายถึง ยอดอ่อนของใบชา

Golden สื่อถึงสีทองของยอดอ่อนใบชา

Flowery เป็นการเน้นย้ำว่ายอดอ่อนของใบชายังอยู่อย่างสมบูรณ์ใน Whole leaves tea นั้นๆ (Reference: Australian Tea Centre)

ในใบชาเกรด FTGFOP จะประกอบด้วยสารพฤกษเคมีสำคัญๆ หลายชนิด ดังภาพ

(Image from T’else Korea Official)

ซึ่งก็เป็นไปตามงานวิจัยว่าในการหมักชาจะได้สารพฤกษเคมีที่เป็นประโยชน์หลายชนิด รวมทั้ง Glucuronic acid ออกมาด้วย (Bishop et al., Beverages 2022, 8(3), 45)

ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่า ผ่านกรรมวิธีสกัดด้วยเทคนิคที่เรียกว่า Slow brewing technology สกัดด้วยอุณหภูมิต่ำ 20 องศาเซลเซียส อย่างช้าๆ เป็นเวลา 336 ชั่วโมง เพื่อให้ได้สารสกัดจากคอมบูชาที่มีคุณภาพสูง โดยไม่มีสารเติมแต่งอื่นๆ

สำหรับผลิตภัณฑ์ในซีรี่ส์นี้ ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครมาแล้วว่า

  • ผิวดูเรียบเนียนขึ้น ใน 2 สัปดาห์

(Image from T’else Korea official website)

โดยขอเริ่มที่ตัว Essence กันก่อน น้องมาในหน้าตาแบบนี้ค่ะ

ตัวแพคเกจมาในขวดพลาสติกที่เป็นพลาสติกรักษ์โลกชนิด 30% PCR (Post-consumer recycled material) ซึ่งช่วยลด Carbon footprint ให้กับแบรนด์ ตรงตามคอนเซปท์ eco-friendly ของแบรนด์

บนฝากล่องด้านในก็จะมีอธิบายวิธีการแยกรีไซเคิลหล และรายละเอียดพลาสติกว่าเป็น 30% PCR ด้วย

เนื้อเอสเซนส์จะเป็นแบบใส มีความหนืดเล็กน้อย มีกลิ่นหอมจางๆ จากน้ำมันหอมระเหย

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ซึมไว ไม่หนึบผิว แต่ยังให้ความชุ่มชื้น และให้ความโกลว์สมชื่อ

ใช้แสงแฟลชเก็บภาพความโกลว์ หลังทาเกลี่ย แล้วทิ้งไว้ 1 นาทีค่ะ

ในส่วนของค่า pH นั้นอยู่ที่ 5 – 6 ซึ่งใกล้เคียงกับผิวดี

ส่วนผสมเป็นดังนี้

สำหรับส่วนผสมในภาพรวม ที่ดูเด่นจะเป็นคอมบิเนชั่นของตัว Kombucha ที่ผ่านกระบวนการหมัก และสารสกัดจากจุลินทรีย์ Probiotic อย่าง Bifida ferment filtrate, Lactobacillus ferment และ Lactobacillus ferment lysate ที่ดูแลเรื่อง Microbiome ของผิว เพื่อให้ผิวแข็งแรง

สำหรับการใช้ Kombucha จากชาดำแบบทาภายนอกในเชิงเครื่องสำอางนั้น แบบเอามาทาตรงๆ ตอนที่ค้นใน Pubmed เมื่อ 18 ก.พ. 67 ยังไม่พบ แต่จะเจอการใช้สารสกัดจาก Kombucha มาใช้ฉีดเข้าใต้ผิวหนัง (Intradermal) ในหนูทดลอง พบว่า สามารถเพิ่มปริมาณคอลลาเจน และการทำงานของผิวหนังผ่านการเสริมระบบ NAD+ /NADH level ซึ่งจะช่วยให้ผิวทำงานได้ดีขึ้น และอาการของริ้วรอยต่างๆ ดีขึ้นต่อไป (Pakravan, et al. J Cosmet Dermatol. 2018;17(6):1216-1224.) แต่ถ้าเป็น Kombucha ที่เอามาหมักร่วมกับพืชอื่นก็พอมีอยู่หลายฉบับ

จากองค์ประกอบของสารพฤกษเคมีใน Kombucha ที่มีรายงาน เราอาจจะอนุมานได้ว่า Kombucha นั้นจะมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี และมีประโยชน์ในการชะลอวัยของผิวพรรณ

สารบำรุงอื่นๆ ได้แก่

  • Hyaluronic acid 4 กลุ่ม ได้แก่
    • Hya ตัวดั้งเดิม
    • Hydrolyzed Hya ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง
    • Sodium acetylated Hya ที่เป็นตัวดัดแปลงเติมหมู่ Acetyl group ลงไปให้มีความชอบไขมันเพิ่มขึ้น ทำให้ซึมลงไปในหนังกำพร้า เกาะอยู่ในนั้น เพิ่มความชุ่มชื้น และทางผู้ผลิตวัตถุดิบเองก็มีเคลมเกี่ยวกับประโยชน์ในการเสริมการฟื้นฟู Barrier เสริมการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของ Keratinocyte (เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า) เพื่อมาทดแทนตัวที่ได้รับความเสียหายจาก UV ไป และการทดสอบในระดับอาสาสมัครพบว่าเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว
    • Hydroxypropyltrimonium hya เป็น Hya ประจุบวกที่จะเคลือบเกาะกับผิวเราซึ่งมีประจุลบได้แน่น
  • วิตามินบี 3 ที่มีประโยชน์ที่ดีต่อผิวหลายอย่าง ทั้งในแง่ของ Whitening ผ่านการลดการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปด้านนอก ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง เสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และดูแลเรื่องรูขุมขน การเกิดสิว การปลดปล่อยน้ำมัน Sebum
  • สารสกัดจากดาวเรือง ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว
  • Arginine เป็นกรดอะมิโน ที่เป็นสารจับน้ำให้ผิวตามธรรมชาติ (Natural moisturizing factor)
  • Adenosine อาจให้ประโยชน์ในแง่ของการทำงานของผิว และการดูแลเรื่องริ้วรอย

แต่ว่าในเบสมีการแต่งกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหยจากพืชตระกูลส้ม (Citrus spp.) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้แสงแดดได้ ถ้าใช้ในตอนกลางวันแล้วไปโดนแดดจัดๆ

แต่ว่า น้ำมันหอมระเหยกลุ่มนี้ในท้องตลาดจะมีพวกที่เป็นเกรด FCF คือ Furocoumarin free ด้วย โดยแยกเอาสาร Furocoumarin ออกจากน้ำมัน ทำให้ลดความเสี่ยงในการแพ้แสงแดดไป ซึ่งทางนี้ก็คิดว่า ทางแบรนด์คงใช้เกรด FCF แหละ

ส่วนผสมอื่นๆ ก็จะเน้นสารกลุ่ม Humectant solvent ตัวที่ให้ฟีล rich แบบชุ่มฉ่ำเข้ามา ที่เหลือก็ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวค่ะ

สารบำรุงอื่นๆ ได้แก่

  • Hyaluronic acid 4 กลุ่ม ได้แก่
    • Hya ตัวดั้งเดิม
    • Hydrolyzed Hya ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดโมเลกุลเล็กลง
    • Sodium acetylated Hya ที่เป็นตัวดัดแปลงเติมหมู่ Acetyl group ลงไปให้มีความชอบไขมันเพิ่มขึ้น ทำให้ซึมลงไปในหนังกำพร้า เกาะอยู่ในนั้น เพิ่มความชุ่มชื้น และทางผู้ผลิตวัตถุดิบเองก็มีเคลมเกี่ยวกับประโยชน์ในการเสริมการฟื้นฟู Barrier เสริมการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของ Keratinocyte (เซลล์ในชั้นหนังกำพร้า) เพื่อมาทดแทนตัวที่ได้รับความเสียหายจาก UV ไป และการทดสอบในระดับอาสาสมัครพบว่าเสริมความยืดหยุ่นให้ผิว
    • Hydroxypropyltrimonium hya เป็น Hya ประจุบวกที่จะเคลือบเกาะกับผิวเราซึ่งมีประจุลบได้แน่น
  • วิตามินบี 3 ที่มีประโยชน์ที่ดีต่อผิวหลายอย่าง ทั้งในแง่ของ Whitening ผ่านการลดการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปด้านนอก ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง เสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และดูแลเรื่องรูขุมขน การเกิดสิว การปลดปล่อยน้ำมัน Sebum
  • สารสกัดจากดาวเรือง ดูแลเรื่องการระคายเคืองผิว
  • Arginine เป็นกรดอะมิโน ที่เป็นสารจับน้ำให้ผิวตามธรรมชาติ (Natural moisturizing factor)
  • Adenosine อาจให้ประโยชน์ในแง่ของการทำงานของผิว และการดูแลเรื่องริ้วรอย

แต่ว่าในเบสมีการแต่งกลิ่นด้วยน้ำมันหอมระเหยจากพืชตระกูลส้ม (Citrus spp.) ซึ่งอาจจะทำให้เกิดอาการแพ้แสงแดดได้ ถ้าใช้ในตอนกลางวันแล้วไปโดนแดดจัดๆ

แต่ว่า น้ำมันหอมระเหยกลุ่มนี้ในท้องตลาดจะมีพวกที่เป็นเกรด FCF คือ Furocoumarin free ด้วย โดยแยกเอาสาร Furocoumarin ออกจากน้ำมัน ทำให้ลดความเสี่ยงในการแพ้แสงแดดไป ซึ่งทางนี้ก็คิดว่า ทางแบรนด์คงใช้เกรด FCF แหละ

ส่วนผสมอื่นๆ ก็จะเน้นสารกลุ่ม Humectant solvent ตัวที่ให้ฟีล rich แบบชุ่มฉ่ำเข้ามา ที่เหลือก็ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวค่ะ

ส่วนตัว Ampoule นั้น ก็จะทำมาคล้ายๆ กับ เอสเซนส์

หน้าตาเป็นแบบนี้

ตัวแพคเกจเป็นขวดดรอปที่ทำจาก 30% PCR plastic เช่นเดียวกัน

เนื้อแอมพูลจะมีความข้นหนืดกว่าเอสเซนส์ มีกลิ่นจางๆ ของน้ำมันหอมระเหย

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย จะให้ฟีลเคลือบลื่น และชุ่มผิวมากกว่าเอสเซนส์

มีความโกลว์เช่นเดียวกัน

ภาพถ่ายความโกลว์ด้วยแสงแฟลช หลังทาเกลี่ย แล้วทิ้งไว้ 1 นาที

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 เช่นกันค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ส่วนผสมจะคล้ายๆ กับตัว Essence นะคะ เพียงแต่จะมีการปรับเปลี่ยนเล็กน้อย

  • Betaine เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน นอกจากเรื่องการเพิ่มความชุ่มชื้น น้องยังให้ประโยชน์ในการดูแลด้านการระคายเคืองผิว
  • Malt extract ถ้าเป็นสารสกัดจากบริษัท Dermalab ประเทศเกาหลีจะมีเคลมเกี่ยวกับการดูแลผิวที่อักเสบระคายเคืองง่ายอยู่
  • Curcuma longa root extract สารสกัดจากขมิ้นชัน ที่เป็น Antioxidant ที่ดี และอาจจะให้ประโยชน์ในแง่ของ Whitening
  • Corallina officinalis extract สารสกัดจากสาหร่ายสีแดง เป็น Antioxidant

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

สำหรับ Blog นี้ขอหยิบเอาตัวเอสเซนส์มาเป็นตัวที่ให้คะแนนนะคะ

  1. สารบำรุง เลือกใช้มาค่อนข้างดี นอกจาก Kombucha แล้ว ยังเสริมพวก Probiotic/Postbiotic ที่ปรับสมดุลดูแลไมโครไบโอมให้ผิวแข็งแรงไปอีก 1 กรุบ เมื่อเอามาใช้ร่วมกับ Hya ก็จะดูแลให้ผิวชุ่มชื้นและมีสุขภาพดี โดยรวมก็คือทำมาได้ครบสมกับที่ Kombucha essence ชิ้นหนึ่งพึงจะมี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ หักคะแนนเรื่องของ Citrus oil ที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการไวต่อแสง (Photosensitivity) แต่อย่างที่ได้เล่าให้ฟังว่า ในตลาดเครื่องสำอางมีการสกัดเอาสารไวต่อแดดอย่าง Furocoumarin ออก ได้เป็น Citrus oil เกรด FCF ซึ่งจุดนี้คิดว่าแบรนด์คงเลือกมาดีแล้ว แต่ขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ในด้านของฟีลลิ่ง จะค่อนข้างชุ่มชื้น ใช้ได้ทั้งกับสำลี และกับมือ แต่ตอนใช้กับสำลี เนื้อจะไม่ค่อยซับกับสำลีเท่าไหร่ ใช้กับมือวอร์มๆ แล้วทาจะฟินกว่า ในด้านของการดูแลผิว ส่วนตัวคิดว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ในแง่ของผิวนุ่ม ชุ่มชื้น ส่วนเรื่องรูขุมขนทางนี้ลองมา 2 สัปดาห์ และไม่ได้เป็นคนรูขุมขนกว้าง เลยยังตอบแบบฟันธงไม่ได้ แต่ก็รู้สึกว่ารองพื้นกับแป้งตกร่อง ตกรูได้น้อยลง ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ตั้งแต่วันเปิดตัว และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ T’else โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/TelseThailand

ทางไปตำ Essence

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.mQN1s?cc

แอพส้ม https://shope.ee/4AbeqXvyJl

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ T’else สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ครีมบำรุงฟื้นฟูผิวสูตรปรับปรุงใหม่ Cicaplast Baume B5+ จาก La Roche-Posay ด้วยนวัตกรรม Tribioma

ถ้าพูดถึงมอยส์เจอไรเซอร์ที่น่าสนใจแล้ว กลุ่มซีรี่ส์ Cicaplast น่าจะเรียกได้เต็มปากว่าเป็นอีกผลิตภัณฑ์มอยส์เจอไรเซอร์ที่ดูแลฟื้นฟูปรับสภาพผิวท็อปฮิตชิ้นหนึ่งของทาง La Roche-Posay เลยทีเดียว

ดังนั้น ใน Blog นี้จึงขอหยิบเอาน้อง Cicaplast Baume B5+ (อ่านว่า ซิคาพลาส โบม บี5+) รุ่นปรับปรุงใหม่มาวิเคราะห์ส่วนผสมซักหน่อย

น้องจะมาในกล่องหน้าตาแบบนี้นะคะ

ชื่อเต็มๆ ของน้องคือ Cicaplast Baume B5+ Ultra-repairing soothing balm

แพคเกจด้านในเป็นแบบหลอด ขนาดที่ทางนี้ใช้อยู่จะอยู่ที่ 40 ml ค่ะ ซึ่งในท้องตลาดจะมีจำหน่ายอยู่ที่ 3 ขนาด คือ 15 ml, 40 ml และ 100 ml

ข้อดีของน้องก็คือ ใช้ได้ทั้งกับใบหน้าและผิวกายไปเลย

เนื้อมาในครีมข้นคล้ายบาล์ม

เกลี่ยเสร็จแล้วจะให้ความรู้สึกสบายผิว มีชั้นฟิล์มเคลือบผิว และให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างมาก แต่ไม่เหนียว เหนอะหนะ

สำหรับผลิตภัณฑ์นี้ ทางแบรนด์มีผลการทดสอบรองรับถึงประสิทธิภาพในการฟื้นฟูผิวที่เสียหาย และลดโอกาสเกิดแผลเป็น ในระดับของหลอดทดลองและในอาสาสมัคร 21 รอยโรค ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และหลังจากการทำหัตถการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Laser, peeling, dermabrasion, cryotherapy รวมไปถึงอาการไม่สบาย/ระคายเคืองผิวหลังหัตถการ

สูตรใหม่นี้ Formulate มาด้วย หลักการ Microbiome science เน้นปรับสมดุล Microbiome ของผิวภายใต้เทคโนโลยี Tribioma เป็น Prebiotic complex ที่เป็นเอกสิทธิ์ของแบรนด์ La Roche-Posay ผ่านการค้นคว้าวิจัยจนได้คอมบิเนชั่นที่เหมาะสมและผ่านการทดสอบว่าช่วยสนับสนุนการเจริญของจุลินทรีย์ที่ดีอย่าง Streptococcus epidermidis ที่เป็นสายรีแพร์ผิว (Pro-repair bacteria) และยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรค จึงเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ และทำให้ผิวเรามีสุขภาพดี ผ่านการทดสอบว่าสามารถฟื้นฟู Barrier ผิวได้ตั้งแต่วันแรกที่ทา

นอกจากนี้ก็ยังเสริมสารบำรุงเข้ามาอีกหลายชนิด ที่ทางแบรนด์เลือกมาให้เสริมกันอย่างลงตัว ซึ่งจะได้เล่าต่อไปในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสม

ส่วนตัวไม่ได้ทำหัตถการอะไร ปัญหาผิวของเราที่รู้สึกว่าน้องตอบโจทย์ คือถ้ามีฝุ่นเยอะ ช่วงแก้มจะแดงและรู้สึกไม่สบายผิว หรืออย่างตอนนี้ที่อากาศแห้ง ผิวลอกเป็นขุย เราก็เลือกใช้น้องเป็น Everyday moisturizer ทางนี้จะทาในช่วงก่อนนอน อารมณ์เหมือนเป็นตัวป้องกันไม่ให้ผิวมันเคืองขึ้นมา ก็คือเวิร์ค ชอบ ฉ่ำ

มาดูบทวิเคราะห์ส่วนผสมอย่างละเอียดดีกว่าค่ะ

สำหรับส่วนผสมวันนี้ทำไว้หลากหลายสีเลยค่ะ

โดยส่วนแรกคอมบิเนชั่นนวัตกรรม Tribioma นั้นมีเคลมเกี่ยวกับการสนับสนุนการเจริญของจุลินทรีย์ที่ดีอย่าง Streptococcus epidermidis ที่เป็นสายรีแพร์ผิว (Pro-repair bacteria) และยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ก่อโรค จึงเสริมกระบวนการฟื้นฟูผิวตามธรรมชาติ และทำให้ผิวเรามีสุขภาพดี น้อง Cicaplast Baume B5+

ซึ่งถ้าดูที่ส่วนผสมเราจะเจอสารที่มีประโยชน์ในการปรับสมดุลและดูแล Microbiome อยู่ค่ะ

  • Alpha-glucan oligosaccharides ซึ่งเป็น Prebiotics ที่เสริมการเจริญของจุลินทรีย์เจ้าบ้าน จุลินทรีย์ที่ดีบนผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น
  • Vitreoscilla ferment เป็นสิทธิบัตรของทาง L’oreal ชิ้นหนึ่งที่เราจะคุ้นหูในเครือของ Biotherm ซึ่งน้องมีประโยชน์กับผิวหลายประการเลยทีเดียว ซึ่งมีงานวิจัยหนึ่งเมื่อปี 2013 ทดสอบประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ Vitreoscilla filiformis ที่เลี้ยงในน้ำแร่ลาโรช พบว่าให้ประโยชน์ในการเพิ่มสาร Antioxidant และเอนไซม์ที่ช่วยปกป้องและ Detox ตนเองของผิวในระดับผิวหนังจำลอง (Clin Cosmet Investig Dermatol. 2013; 6:191-6.) ซึ่งแปลความได้ว่า น้องมีประโยชน์ในการการเสริมสร้างระบบป้องกันตัวเองของผิวให้แข็งแรงขึ้น
  • Lactobacillus เป็น Probiotic ที่สำคัญตัวหนึ่ง ซึ่งจะช่วยป้องกันการเจริญของเชื้อที่ไม่ดี และช่วยปรับภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น

นอกจากเรื่อง Microbiome แล้ว ยังมีส่วนผสมอื่นๆ ที่บำรุงและมีประโยชน์ต่อผิวอีกหลายชนิด ได้แก่

  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 ที่ใส่มาถึง 5% เพื่อเน้นฟื้นฟูผิวที่เกิดความเสียหาย หรือระคายเคือง โดยตัว Panthenol นั้น มีข้อมูลสนับสนุนว่า สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้ มีคุณสมบัติเป็น Moisturizer ที่ดี เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยผิวกักเก็บน้ำโดยไปลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ให้ผิวนุ่ม ยืดหยุ่น เสริมกระบวนการสมานแผล (Wound healing) ลดการอักเสบระคายเคือง ลดรอยแดง (Ebner et al., Am J Clin Dermatol. 2002;3(6):427-33.)
  • สารสกัดจากบัวบก และสารพฤกษเคมี Madecassoside ซึ่งพบในบัวบก มีประโยชน์หลายประการกับผิว มีรายงานถึงคุณสมบัติในด้านการลดการอักเสบ Anti-oxidant ชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย เสริมกระบวนการสังเคราะห์ Collagen และการสมานแผล มีผลการทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงว่าลดโอกาสเกิดแผลเป็น (Burns. 2012; 38(5):677-84.)
  • Shea butter เพิ่มความชุ่มชื้น และมีสารในกลุ่ม Phytosterol ที่มีคุณสมบัติในการดูแลการอักเสบระคายเคืองผิว
  • Polymnia sonchifolia root juice เข้าใจว่าหมายถึง Nutrimel® Skin ของบริษัท Solabia ประเทศฝรั่งเศส ซึ่งมีเคลมว่า ประกอบด้วยสารในกลุ่ม fructose, oligofructoses และพวก polyphenol ที่มีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และเสริมกระบวนการฟื้นฟูตนเองของผิวเมื่อเกิด Stress หรือความเสียหายขึ้น
  • แร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ Zinc, Manganese, Magnesium ซึ่งมีประโยชน์ในการทำงานต่างๆ ของผิว โดยทางแบรนด์มีเคลมเกี่ยวกับ Zinc/Manganese ว่า สามารถลดการเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์ก่อโรคบางชนิดได้
  • Capryloyl Glycine ตัวนี้เป็นกรดอะมิโน Glycine ที่จับกับกรดไขมัน เพื่อเสริมการดูดซึม มีประโยชน์กับผิวหลายประการ ในด้านของการนำส่งเอา Glycine ลงไปในผิวเพื่อให้ผิวเราหยิบไปสังเคราะห์โปรตีน หรือเพิ่มความชุ่มชื้น และมีเคลมจากผู้ผลิตวัตถุดิบว่าสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ 5α-reductase จึงให้ประโยชน์ในเรื่องของการควบคุมความมัน ดูแลปัญหาสิว

สามารถสรุปกลไกของสารบำรุงที่สำคัญในผลิตภัณฑ์ได้ประมาณนี้ค่ะ

คนผิวมันอาจจะกังวล เพราะเนื้อครีมดูเหมือนจะค่อนข้างหนัก จะอุดตันไหม จะหนักหน้าไปไหม แต่จากส่วนผสมที่ทางแบรนด์หยิบมายำใส่ด้วยกัน คือคิดมาแล้วแบบดี ดีมาก คือ

  • ไม่มีส่วนผสมที่เสี่ยงอุดตัน (Comedogenic agent)
  • Capryloyl glycine ควบคุมความมัน 1 กรุบ ตบด้วย Zinc gluconate ก็ควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน
  • Corn starch ปรับฟีลให้เบสไม่เหนอะหนะมากไป และอาจจะให้ประโยชน์ในการควบคุมความมัน เพราะน้องดูดซับน้ำมันได้อยู่

ความน่าสนใจอีกนิดหน่อย คือ การเลือกใช้ Propanediol ที่เป็นมิตรกับผิวมากกว่า มาทดแทน Propylene glycol ที่อาจจะทำให้เกิดการแพ้/ระคายเคืองได้บ่อยกว่า และใช้ Hydrogenated Polyisobutene ร่วมกับ Dimethicone เพื่อทดแทน Mineral oil

ส่วนตัวมองว่าทำมาได้ดีและเอาใจใส่ในแทบทุกรายละเอียด

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง นอกจากเรื่องของการปรับสมดุล Microbiome ด้วยเทคโนโลยีเอกสิทธิ์ Tribioma เพื่อให้ผิวมีสุขภาพที่ดี เสริมกระบวนการรีแพร์ฟื้นฟูตัวเองของผิวตามธรรมชาติแล้ว ตัวสารบำรุงอื่นๆ ที่ใส่มาก็คือเน้นไปที่การดูแลการระคายเคือง การอักเสบ และฟื้นฟู ปรับสภาพผิวได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งมอบความชุ่มชื้นให้กับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ทางแบรนด์พัฒนาสูตรมาได้อย่างดี เอาใจใส่ในรายละเอียดปลีกย่อย เล็กๆ น้อยๆ ตอบโจทย์ทุกสภาพผิว และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ด้วยความที่ตัวเองเป็นคนผิวผสม/แห้ง และระคายเคืองง่ายอยู่แล้ว ส่วนตัวค่อนข้างชอบเนื้อของผลิตภัณฑ์ที่ทำมาได้ค่อนข้างดี ชุ่มชื้น แต่ไม่หนัก ไม่เหนียว ไม่แวววาวมากไป และในด้านของการลดความรู้สึกระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว คิดว่า น้อง Cicaplast Baume B5+ ตอบโจทย์ความต้องการของเรา เราสามารถหยิบมาปรับใช้เป็น Routine care ได้ตามความเหมาะสมและความต้องการของผิวในแต่ละวันได้เลย ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ La Roche-Posay สาขาประเทศไทยสำหรับผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่น่าสนใจ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนถึงจุดนี้

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Official facebook: @LaRochePosayThailand (https://www.facebook.com/LaRochePosayThailand)

หรือท่านที่จะตามไปส่องสินค้าบน Official Mall ก็เรียนเชิญได้เลยค่ะ

LazMall https://s.lazada.co.th/s.snuyt?cc

Shopee Mall https://s.shopee.co.th/4AjNOlQ3q9

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ La Roche-Posay ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

 #LaRochePosayTH #Cicaplast #ลาโรชโพเซย์ #ซิคาพลาส

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินเอ Retinal Intense Serum จาก ISDIN แบรนด์เวชสำอางชั้นนำจากสเปน

เชื่อว่าหลายๆ ท่าน เคยได้เห็นผลิตภัณฑ์เซรั่ม Retinaldehyde ของ ISDIN มาบ้างแล้ว น้องทำมาได้น่าสนใจมากเลยทีเดียว ใน Blog นี้ก็เลยขอหยิบเอามาวิเคราะห์ส่วนผสมพร้อมทั้งเล่ารายละเอียดของผลิตภัณฑ์ชิ้นนี้กัน

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า ISDINCEUTICS Retinal Intense Serum ที่มาในกล่องหรูหราสีดำทอง

บรรจุภัณฑ์หลักจะเป็นขวดปั๊ม ที่แบ่งแยกออกเป็น 2 ส่วน หรือ compartment ที่ชัดเจน

ชั้นบนจะเป็นเนื้อน้ำนมบางเบา ส่วนชั้นล่างจะเป็นเนื้อ Emollient oil ที่ไม่เหนอะหนะ ที่เขาแยกออกจากกันส่วนหนึ่งก็เพื่อรักษาความคงตัวของสารสำคัญเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

โดยทางแบรนด์จะเรียกส่วนของน้ำนมเนื้อบางเบา ว่าเป็น Aqueous phase ซึ่งจะประกอบด้วยส่วนผสมของ Niacinamide, Vit-A Tech, Symsitive®, Tetrepeptide-7 และ SynchrolifeTM ส่วนของ Oil phase จะมี Retinaldehyde 0.1%, Melatonin และ Bakuchiol สารบำรุงแต่ละตัวมีประโยชน์อย่างไรเดี๋ยวมาเล่าให้ฟังอีกทีค่ะ

(Image from ISDIN Thailand)

เวลาใช้งานทางแบรนด์แนะนำให้ปั๊มออกมา 2 ปั๊ม ซึ่งจะออกมาในรูปแบบประมาณนี้

ก่อนใช้งานให้วอร์มผสมกันจนได้ครีมเนื้อเดียวกัน ก่อนทาแล้วนวดเบาๆ บนใบหน้า ใช้แค่วันละครั้งเดียว ก่อนนอน

**พอบำรุงผิวตอนเช้าวันรุ่งขึ้นก็อย่าลืมใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกันแสงแดด และหลีกเลี่ยงแดดจัดนะคะ

เนื้อสัมผัสค่อนข้างดี เกลี่ยง่าย ซึมง่าย ไม่ทิ้งความมัน ความเหนอะหนะ

ถ้าเป็น ISDIN เรามั่นใจได้เลย ว่าทางแบรนด์ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์ในอาสาสมัครทั้งในแง่ของ Safety-Efficacy มาเรียบร้อยแล้ว และ Serum ชิ้นนี้ก็เช่นกัน

สำหรับผลิตภัณฑ์ Serum ชิ้นนี้นั้น มีผลการวิจัยรองรับอยู่ 4 งานวิจัย ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับ Pre-clinic 1 ชิ้น และทดสอบใน Clinical trial 3 ชิ้น มีชิ้นที่ได้รับคัดเลือกให้ไปนำเสนอในที่ประชุมแพทย์ผิวหนังสเปนด้วย

1 ในงานทดสอบที่น่าสนใจ คือ ทางแบรนด์ได้ทดสอบผลิตภัณฑ์กับอาสาสมัครช่วงอายุ 41 – 70 ปี จำนวน 34 คน ทุกสภาพผิว รวมทั้งคนที่มีผิวบอบบางแพ้ง่าย (Sensitive skin) โดยให้ใช้ผลิตภัณฑ์เป็นเวลา 4 สัปดาห์พบว่า

  • ริ้วรอยดูลดลง 43%
  • ความยืดหยุ่น (Elasticity) เพิ่มขึ้น 14%

และเมื่อใช้เป็นเวลา 3 เดือน แล้วให้ประเมินความพึงพอใจผ่านแบบสอบถาม พบว่า

  • ร้อยละ 90 ของอาสาสมัครรู้สึกว่าผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ขึ้น เหมือนได้ผิวใหม่ (Renewed)
  • ร้อยละ 97 ของอาสาสมัครรู้สึกว่าผิวกระชับขึ้น

(Image from ISDIN Official Website)

คนที่ไม่เคยใช้กลุ่มวิตามินเอ มาก่อน ให้เริ่มดังนี้ เพื่อลดการเกิดระคายเคือง

  • สัปดาห์แรกใช้แค่อาทิตย์ละ 2 คืน
  • สัปดาห์ต่อมาลองใช้วันเว้นวัน และดูว่ามีอาการระคายเคืองไหม ถ้าไม่มีก็ขยับมาใช้ทุกวันได้เลยในสัปดาห์ที่ 3
  • ถ้าเกิดอาการผิวแห้ง ลอก ระคายเคือง ก็ให้ปรับลดความถี่ในการทาลงได้
  • และอย่าลืมว่า ทาเฉพาะตอนกลางคืน เนื่องจาก Retinaldehyde นั้นไวต่อแสง

ส่วนผสมเป็นดังนี้

โดย Concept หลักของผลิตภัณฑ์นี้ก็จะเป็น Renew-Repair-Soothe

ส่วนผสมวันนี้ขอแบ่งดังนี้ค่ะ

กลุ่มวิตามินรวม ใช้อักษรสีเขียว

วิตามินเอ ในรูปแบบของ Retinaldehye ซึ่งเป็นพระเอกหลักของผลิตภัณฑ์นี้

ปกติ เวลาเราได้รับวิตามินเอเข้าไปในร่างกาย ถ้าอยู่ในรูปแบบ Retinol ester หรือ Retinol ร่างกายจะแปรสภาพก่อน

สำหรับ Retinol นั้นถ้าร่างกายเราไม่พร้อมใช้ ร่างกายเราจะเอาไปจับกับกรดไขมัน เปลี่ยนเป็น Retinyl ester แล้วเก็บสะสมไว้ แต่ถ้าต้องการใช้เมื่อไหร่ เขาก็จะเปลี่ยนกลับมาเป็น Retinol ก่อน Oxidize ให้เป็น Retinal หรือ Retinaldehyde ก่อนเปลี่ยนเป็น Retinoic acid ที่ไปออกฤทธิ์ได้

แต่ตัว Retinoic acid ซึ่งออกฤทธิ์ได้เลยนั้นจัดเป็นยาตาม พ.ร.บ. ยา ซึ่งในทางเครื่องสำอางนั้นเราสามารถใช้กลุ่ม Retinol, Retinyl ester และ Retinal ได้

ประโยชน์ของวิตามินเอ นั้นค่อนข้างกว้าง เพราะว่าการออกฤทธิ์ของ Retinoic acid นั้นจะไปจับกับตัวรับในนิวเคลียส แล้วไปเพิ่มการสังเคราะห์โปรตีนหลายชนิด จึงให้ผลที่ดีกับผิวหลายประการ ตั้งแต่ระดับชั้นหนังกำพร้า ผ่านการปรับสมดุลการสร้างเซลล์ผิวใหม่ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) สมดุลการผลัดผิว ปรับสมดุลการสร้างและย่อยสลายคอลลาเจน และพวก Matrix ต่างๆ จึงให้ประโยชน์รวมๆ ทั้งในด้านของริ้วรอย และ ความหนาของชั้นผิว

นางมีประโยชน์และประสิทธิภาพจริง แต่ข้อเสียของนางคือ เรื่องของการระคายเคือง และการไวต่อแสง ดังนั้นในช่วงเริ่มใช้ใหม่ๆ อาจจะต้องค่อยๆ เริ่ม ตามที่ได้แนะนำไปด้านบน และห้ามใช้กลางวัน นอกจากนี้ก็จะมีเรื่องของความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์

แต่ข้อจำกัดอย่างหนึ่งในการขึ้นสูตรที่มีพวกวิตามินเอ คือ น้องค่อนข้าง Sensitive เสื่อมง่าย ถูกทำลายง่าย โดยทางแบรนด์ก็พัฒนาตำรับมาด้วยเทคนิคการแยก Phase เอา Retinaldehyde ออกมาจากน้ำ และออกแบบตำรับให้ปกป้องการเสื่อมสลายของ Retinaldehyde ในสูตรได้ โดยได้ผ่านการทดสอบแล้วว่า สามารถปกป้อง Retinaldehyde ให้อยู่ได้ถึง 6 เดือนหลังเปิดใช้งานเลยทีเดียว

ส่วนของวิตามินอื่นๆ ได้แก่

  • วิตามินซี มาในรูปแบบ Ascorbic acid มีประโยชน์หลายประการ ไม่ว่าจะเป็น Antioxidant เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase และลดการอักเสบระคายเคือง
  • วิตามินบี 3 มีประโยชน์กับผิวหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของผิวแข็งแรง ผ่านการเสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว และลดการอักเสบระคายเคือง เป็น Whitening ผ่านการยับยั้งการส่งผ่าน Melanin ที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปภายนอก
  • วิตามินอี เป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน ใช้ทั้งรูปแบบธรรมชาติอย่าง Tocopherol และรูป Ester อย่าง Tocopheryl acetate

สีม่วง เป็นสารบำรุงที่ให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องของริ้วรอย และการชะลอวัย

  • Melatonin จัดเป็นฮอร์โมนตามธรรมชาติชนิดหนึ่ง การใช้ Melatonin ในรูปแบบทาภายนอก มีคุณสมบัติหลายประการ และมีการศึกษารองรับอยู่หลายชิ้น ในภาพรวม Melatonin เป็น antioxidant ทางอ้อม (Indirect antioxidant) โดยมีผลไปเสริมสร้างเอนไซม์ที่เป็น Antioxidant ตามธรรมชาติของผิว สาร Metabolites ต่างๆ ที่เกิดจากการแปรสภาพ Melatonin มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ รวมถึงมีประโยชน์อื่นๆ เช่น ลดการอักเสบระคายเคือง ลดการสร้างเอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนทำให้เกิดริ้วรอยตามมา โดยในภาพรวมน้องมีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัยและฟื้นฟูสภาพผิว (J Drugs Dermatol. 2018;17(8):966-969.)

ทำไมถึงต้องทา Melatonin ตอนกลางคืน?

ส่วนหนึ่งเพราะว่า ระบบ Melatoninergic antioxidative system (MAS) ที่อาศัย Melatonin เป็นตัวรักษาสมดุลและซ่อมแซมความเสียหายที่เกิดขึ้นในระหว่างวัน นั้นเหมือนจะถูกเปิดสวิตช์ให้ทำงานตอนกลางคืนค่ะ

สำหรับ Combination ของ Retinaldehyde กับ Melatonin ในความเข้มข้นที่ทางแบรนด์เลือกใช้นี้ อิงตามสิทธิบัตรเลขที่ EP2649986A2 (มีสิทธิบัตรคุ้มครอง)

  • Bakuchiol น้องเป็นสารในกลุ่มของ Meroterpene ที่พบได้ในพืชสมุนไพร มีการออกฤทธิ์คล้ายกับ Vitamin A ซึ่งมีการศึกษาในผิวหนังจำลอง พบว่าให้คุณสมบัติในการสังเคราะห์คอลลาเจน โปรตีนต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับความกระชับผิว รวมไปถึง Aquaporin-3 ที่เกี่ยวข้องกับการเก็บกักน้ำและสารโมเลกุลเล็กเช่น Glycerol ก่อนนำไปทดสอบในอาสาสมัคร โดยให้ทาที่บริเวณตีนกาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 12 อาทิตย์ พบว่า เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ Bakuchiol มีประโยชน์ในการลดริ้วรอย เพิ่มความกระชับและความยืดหยุ่น รวมถึงปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอมากขึ้น (Chaudhuri and Bojanowski. Int J Cosmet Sci. 2014;36(3):221-30.) ต่อมามีการทดสอบในอาสาสมัครอีกครั้งในปี 2018 เทียบกับ Retinol พบว่าให้ผลในด้านของการลดเลือนริ้วรอย และปรับสภาพสีผิวให้สม่ำเสมอ เช่นเดียวกัน แต่อาสาสมัครกลุ่มที่ใช้ Bakuchiol มีอาการข้างเคียงน้อยกว่า (Dhaliwal, et al. Br J Dermatol. 2019;180(2):289-296.)

ถัดมาจะเป็น Combination ของ Glycerin (and) Pentylene Glycol (and) Rosmarinus Officinalis (Rosemary) Leaf Extract (and) Palmitoyl Tetrapeptide-7 (and) Chrysin คือ SynchrolifeTM ที่เป็นวัตถุดิบของบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง Croda ซึ่งมาในคอนเซปท์ที่ค่อนข้างล้ำ คือ เรื่องของ Neurobeauty และ Well-being โดยดูแลเรื่องการ ‘Digital Detox’ ลดลักษณะปรากฏที่ทำให้ใบหน้าแลดูเหนื่อย ดูล้า ผ่านการปรับสมดุลการทำงานต่างๆ ในระบบร่างกาย เช่น ระบบการทำงานของ Melatonin ระบบ Circadian rhythm การฟื้นฟูตนเองตามธรรมชาติของผิวในช่วงที่เรานอนหลับ ต่อต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบระคายเคือง รวมไปถึงดูแลเรื่องรอยคล้ำ รอยบวมใต้ตา (Ref: TDS SyncrholifeTM by Croda)

     มีผลทดสอบจากทางบริษัททั้งในระดับของเซลล์เพาะเลี้ยง และในอาสาสมัครอยู่หลายชุด ขอเลือกมานำเสนอบางรายการนะคะ

ในส่วนของการทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า สูตรผสมของ Synchrolife

  • ลดการสังเคราะห์เอนไซม์ MMP ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจน
  • ลดการสร้างอนุมูลอิสระ และลดการเกิด Lipid peroxidation
  • ลดการสร้างสารก่อการอักเสบกลุ่ม IL-6 และ PGE2
  • เสริมการสร้างคอลลาเจน Hyaluronic acid และ Fibronectin
  • การทดสอบกับ Blue light พบว่าสารดังกล่าวสามารถปกป้อง Mitochondria ของเซลล์ให้ได้รับความผิดปกติจาก Blue light ลดลง

ส่วนของการทดสอบในอาสาสมัครนั้น ทำกับอาสาสมัครจำนวน 27 คน อายุเฉลี่ย 38 ปี โดยให้ใช้ Synchrolife เป็นเวลา 2 เดือน เทียบกับครีมเบส พบว่า

  • ความยืดหยุ่นของผิวเพิ่มขึ้น เมื่อวัดด้วยเครื่อง Cutometer®
  • ความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น
  • ผิวมีความ Glow/Radiance เพิ่มขึ้น
  • ริ้วรอยดูเรียบมากขึ้น

ส่วนผสมชุดสีน้ำเงิน สารสกัดจากถั่ว Moth bean (Vigna aconitifolia seed extract) รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Vit-A-Like™ LS 9898 เป็นวัตถุดิบจากบริษัทชั้นนำระดับโลกอย่าง BASF มีข้อมูลทดสอบในระดับหลอดทดลองและในอาสาสมัคร ว่ามีประสิทธิภาพที่ดีในการดูแลริ้วรอย โดยมีการทดสอบในอาสาสมัครเทียบกับ Retinol พบว่าให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกัน

(Image from BASF)

ปิดท้ายด้วยกลุ่มสารที่ดูแลด้านการระคายเคือง ซึ่งมีด้วยกัน 2 ชนิด

  • 4-t-Butylcyclohexanol มีชื่อทางการค้าว่า Symsitive® ลดความรู้สึกระคายเคืองผิว ผ่านการลดความไวในการตอบสนองที่ระบบประสาทรับความรู้สึกร้อน TRPV-1 ทำให้เรารู้สึกสบายผิว มีการทดสอบประสิทธิภาพของครีมที่มี 4-t-Butylcyclohexanol ในการลดการระคายเคืองของผู้ที่มีอาการผิวอักเสบบริเวณรอบปาก โดยให้ทาครีมดังกล่าวเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าอาการอักเสบระคายเคืองนั้นดีขึ้น และยังได้ประโยชน์ในด้านการเพิ่มความชุ่มชื้นผิว และมีการระเหยของน้ำออกจากผิว (TEWL) ลดลง แสดงให้เห็นอ้อมๆ ว่า ผิวกลับมามีสุขภาพที่ดีขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2020;19(6):1409-1414) อีกงานหนึ่ง ได้ทดสอบเปรียบเทียบประสิทธิภาพของครีมที่มี 4-t-Butylcyclohexanol กับ acetyl dipeptide-1 cetyl ester ในการลดการระคายเคืองจาก Capsaicin ในผู้ที่มีปัญหา Sensitive skin โดยให้อาสาสมัครทาครีมดังกล่าวเป็นเวลา 3 วัน แล้วมาทดสอบประสิทธิภาพในการลดการระคายเคืองหลังจากทา Capsaicin พบว่า 4-t-Butylcyclohexanol ลดการระคายเคืองได้ตั้งแต่ช่วง 1 – 2 นาทีแรก และให้ผลไม่ต่างจากครีมที่มี acetyl dipeptide-1 cetyl ester (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:18-20.)
  • Hydroxyacetophenone มีชื่อทางการค้าว่า Symsave H เป็นสาร Muti-functional ให้ประโยชน์เป็นสารเพิ่มประสิทธิภาพของสารกันเสีย ให้คุณสมบัติเสริมในด้านการลดการระคายเคือง และเป็น Antioxidant

ในภาพรวม น้องเป็นเซรั่มดูแลริ้วรอยที่อาศัยสารบำรุงหลายชนิดเข้ามาร่วมกันอย่างลงตัว โดยมีพระเอกหลักเป็น Retinaldehyde เสริมมาด้วย Bakuchiol, Melatonin SynchrolifeTM และ Vit-A-Like™ มี Antioxidant เสริมจากวิตามินซีและอี ได้ประโยชน์เรื่อง Whitening เสริมเข้ามา พร้อมกับมีสารบำรุงที่ดูแลเรื่องการระคายเคืองที่อาจจะเกิดขึ้น

สำหรับเนื้อเบสหลักก็ทำมาได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะมีติดส่วนผสมของ Alcohol เข้ามาเล็กน้อย ส่วนผสมอื่นๆ นั้นเลือกมาได้ค่อนข้างดี และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ทำมาได้ค่อนข้างดี โดยเด่นไปในด้านของการดูแลริ้วรอยจาก Retinaldehyde เป็นหลัก เสริมเอาสารอื่นๆ ที่ดูแลริ้วรอย และป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดจากอนุมูลอิสระ และความเครียด ดูแลผิวที่อ่อนล้าตามวัย พร้อมทั้งดูแลเรื่องการระคายเคือง และได้ประโยชน์ด้าน Whitening เข้ามาด้วย โดยรวมให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ทำมาได้ค่อนข้างดี แต่มีส่วนผสมของ Alcohol อยู่นิดหน่อย ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวได้ทดลองใช้มาประมาณเกือบเดือน ก็พบว่าไม่ได้มีปัญหาอะไร แต่จำเป็นต้องหักคะแนนเหลือ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ในด้านของประสิทธิภาพ ตนเองเป็นคนที่เชื่อมั่นใน Retinoids อยู่แล้ว และก็ใช้ Retinol อยู่เป็นประจำ พอได้น้องมาก็คือ ใช้ต่อเนื่องเลย ก่อนนอน ทุกคืน ไม่เจอด้านการระคายเคือง และเรื่องของการไวต่อแสง ในด้านของประสิทธิภาพด้านริ้วรอย อาจจะต้องรอเวลาอีกสักระยะ และตอนนี้ตนเองก็ไม่ได้มีปัญหาด้านริ้วรอยที่กังวล แต่ที่รู้สึกได้ก็จะเป็นเรื่องของความนุ่ม แน่น เฟิร์ม กระชับของผิว ที่รู้สึกว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทยด้วยค่ะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาจนจบบทความ

สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.K4a4r?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/2qBF8nYE2K

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ครีมเจล Nutradeica จาก ISDIN ครีมเจลสุดดีงามที่ออกแบบมาเพื่อเอาใจคนมีปัญหากับการใส่ mask

จากที่หลายวันก่อนได้ Preview ครีมเจล Nutradeica ของแบรนด์ ISDIN ไป วันนี้ขอมารีวิวแบบละเอียดๆ กันอีกสักครั้ง

น้องเป็นครีมเจลที่พัฒนามาสำหรับดูแลผิวที่มีปัญหาความมันส่วนเกิน มันจนระคายเคืองหรือมีรอยแดงง่าย หรือผิวมันระหว่างวัน รวมไปถึงปัญหาระคายเคืองจากการใส่ Mask และความไม่สบายผิวจากเซ็บเดิร์ม

น้องมีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตัวแพคเกจหลักมาในรูปแบบหลอด

เนื้อครีมมาในรูปแบบของครีมที่ดูแล้วมีความคล้ายกับเจล ไม่มีกลิ่น เพราะไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกสดชื่น สบายผิว ไม่เหนอะหนะ

ก่อนจะไปรีวิวส่วนผสม ขอเล่าเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยก่อนนะคะ

ถ้ากล่าวถึง Seborrheic dermatitis (SD) หรือที่รู้จักกันในนามย่อๆว่า เซ็บเดิร์ม นั้น SD ถือว่าเป็น 1 ในอาการผิดปกติทางผิวหนังที่พบได้บ่อยอาการหนึ่ง โดยอาจพบได้ถึง 10% ของประชากรเลยทีเดียว

ความน่ารำคาญอย่างหนึ่งของ SD คือ นางจะเป็นคล้ายๆ อาการเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ หายแล้วก็กลับมาใหม่ ซึ่งก็เรียกได้ว่ารบกวนชีวิตไม่น้อย

บริเวณที่เป็น SD ได้บ่อยจะเป็นบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่เยอะ อย่าง หน้า หนังศรีษะ แผ่นหลัง หน้าอก รวมถึงบริเวณข้อพับ รอยต่อต่างๆ เช่นขอบจมูก

SD นั้นเป็นอาการที่แบบเรียกได้ว่ายังงงๆ ว่าน้องจะเป็นอาการกลุ่มไหนกันแน่ ระหว่าง ผิวอักเสบ (Dermatitis) ติดเชื้อยีสต์ หรือ แค่การอักเสบเฉยๆ เพราะมีการค้นพบว่าสาเหตุหลักของการเกิด SD นั้นมีอยู่ด้วยกัน 3 ประการ ตามภาพ

โดยเชื่อกันว่าผู้ที่มีความไว ร่างกายจะมีกลไกอะไรบางอย่างไปเปลี่ยนยีสต์ Malassezia จากที่เคยเป็นเจ้าบ้านผู้น่ารักให้กลายเป็นตัวที่สร้างสารก่อการอักเสบออกมา ส่งผลให้เกิดการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันและอื่นๆ จนเกิดอาการของ SD ต่อไป (Dessinioti and Katsambas. Clin Dermatol. 2013;31(4):343-351.)

อาการหลักๆ ของ SD ที่พบได้บ่อยก็จะเป็น ผิวเป็นขุย ผิวมีรอยแดง และ คัน

ซึ่ง Nutradeica พัฒนามาตอบกลไกทั้ง 3 นี้ได้อย่างครบและลงตัว

โดยทางแบรนด์ได้ทดสอบแล้วพบว่า แลทั้ง 3 ปัญหาของ SD ได้อย่างลงตัว และรู้สึกได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทา

(Image from ISDIN)

สำหรับการเลือกใช้นั้นทางแบรนด์ก็ทำ Guide มาให้ประมาณนี้ค่ะ

(Image from ISDIN)

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

จากส่วนผสมวันนี้ ขอกล่าวถึงชุดผสม Combination พิเศษ ของ Piroctone olamine, Zinc PCA, hydroxyphenyl propamidobenzoic acid, biosaccharide gum-2 และ stearyl glycyrrhetinate ซึ่งเป็น Combination สูตรเฉพาะของทางแบรนด์ ที่มีการศึกษาและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการนานาชาติหลายฉบับถึงประสิทธิภาพในอาสาสมัครเป็น SD ชนิดไม่รุนแรง และในอาสาสมัครที่มีปัญหาการระคายเคืองจากการสวม Mask รวมทั้งพวกสิวจาก Mask

ลองมาดูประโยชน์ของ combination นี้กันนะคะ

  • การศึกษาในปี 2019 ของ Granger และคณะ ศึกษาประสิทธิภาพของส่วนผสม combination นี้ ในผิวหนังเพาะเลี้ยง พบว่าลดจำนวนของยีสต์ M. furfur และสารก่ออักเสบ IL-1 และ TNF-α ลงได้ โดยผลของการลดสารก่อการอักเสบนั้นมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับสเตียรอยด์อ่อนๆ Hydrocortisone (Granger, et al. Dermatol Ther (Heidelb). 2019;9:571–578)
  • การศึกษาในปี 2019 ของ Dall’Oglio และคณะ ศึกษาประสิทธิภาพของสูตรผสม 3 อย่าง piroctone olamine, stearyl glycyrrhetinate, และ zinc PCA ในอาสาสมัครที่เป็น SD เป็นเวลา 60 วัน พบว่าเริ่มสังเกตอาการที่ดีขึ้นได้ตั้งแต่วันที่ 15 หลังจากใช้ตำรับ (Clinical, Cosmetic and Investigational Dermatology 2019:12 103–108)
  • การศึกษาเมื่อปี 2020 ของ Balato และคณะ ได้ศึกษาประสิทธิภาพของครีม Nutradeica DS ที่มีส่วนผสมของ combination นี้ ในอาสาสมัครที่เป็น SD จำนวน 12 คน ให้ทาวันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 14 วัน พบว่าอาสาสมัครมีอาการที่ดีขึ้น ทางผู่วิจัยได้วัดปริมาณเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus epidermidis และยีสต์ M. furfur ที่อาจจะเกี่ยวกับ SD ก็พบว่าลดลง และปริมาณการสร้างสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบต่างๆ ก็ลดลง โดยรวมก็คือ ครีมมีประสิทธิภาพดีในการลดอาการระคายเคือง และจำนวนเชื้อก่อโรค (Balato, et al. Dermatol Ther (Heidelb). 2020;10:87–98)
(Balato, et al. Dermatol Ther (Heidelb). 2020;10:87–98)

อีกชิ้นที่น่าสนใจคือการศึกษาเมื่อปี 2020 ของ Fabroccini ได้ศึกษาประสิทธิภาพของตำรับ Nutradeica ในกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องสวม mask เป็นเวลานานๆ โดยให้ทาครีมวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 28 วัน พบว่า อาการคัน ระคายเคือง ความรู้สึกไม่สบายผิว และผิวแห้งลดลง โดยเริ่มเห็นผลตั้งแต่วันที่ 7 หลังใช้

(Image from ISDIN)

มาทำความรู้จักส่วนผสมบางตัวกันดีกว่านะคะ

  • Hydroxyphenyl Propamidobenzoic Acid ตัวนี้เป็นสารอนุพันธ์ของ Avenanthramide ที่พบได้ในข้าวโอ๊ต ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารดังกล่าวมีคุณสมบัติลดการอักเสบระคายเคือง และอาการคันได้ โดยออกฤทธิ์ผ่านกลไกของสารก่อการแพ้อย่าง Histamine
  • Biosaccharide gum-2 คาร์โบไฮเดรตที่ได้จากการหมักจุลินทรีย์ เป็นสารประกอบคาร์โบไฮเดรตของน้ำตาล Rhamnose กับน้ำตาลอื่นๆ มีประโยชน์ในการดูแลด้านการอักเสบ รอยแดง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า นางทำหน้าที่เป็น Glyco-messenger ที่ลดการทำงานของสารก่อการอักเสบอย่าง IL-1
  • Stearyl Glycyrrhetinate เป็นสารดัดแปลงจาก Glycyrrhetinic acid ที่ได้จากชะเอม มีบทบาทในการดูแลเรื่องการอักเสบ และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Zinc PCA เป็นสารลูกผสมของแร่ธาตุ Zinc ที่มีคุณสมบัติที่ดีกับผิวหลายอย่าง ซึ่งจะเด่นไปในทางด้านควบคุมความมัน กับ PCA ที่เป็นสารจับน้ำ ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารนี้มีประโยชน์เป็นสารเติมน้ำให้ผิว (Humectant) ระงับเชื้อบางชนิด ควบคุมความมัน ชะลอวัยและดูแลเรื่องริ้วรอย บางรายงานกล่าวว่า Zinc ยังไปยับยั้งเอนไซม์ 5α-reductase (Dermatol. Res. Pract. 2014;2014:709152) ที่เป็นเอนไซม์ที่เปลี่ยนฮอร์โมนเพศชาย testosterone ได้เป็น dihydrotestosterone ที่มีฤทธิ์แรงขึ้น ทำให้ต่อมไขมันทำงานมากขึ้น และนำไปสู่ภาวะผิวมัน รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสิว
  • Piroctone olamine เป็นสารที่มีคุณสมบัติยับยั้งยีสต์ M. furfur

โดยสรุป ในด้านของสารบำรุงคือทำมาได้ค่อนข้างดี และตอบโจทย์ปัญหา SD 3 ประการ คือ ยีสต์ ความมันส่วนเกิน และอาการคัน ระคายเคือง ตามที่ทางแบรนด์เขากล่าว

ส่วนผสมอื่นๆ ที่ทางแบรนด์เลือกมาคือค่อนข้างทำได้ดี ไม่มีสารที่จะไปทำให้ผิวมันมากขึ้น และไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว สารปรุงแต่งในตำรับอย่าง PMMA (Polymethyl methacrylate) ยังมีคุณสมบัติในการดูดซับความมันส่วนเกินให้ผิวเสริมมาอีก

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง เรียกได้ว่าทางแบรนด์มีการพัฒนาสูตรตำรับมาเป็นอย่างดี เลือกสารที่มีประโยชน์ และมีกลไกการดูแลผิวที่ครอบคลุมครบทุกความต้องการของปัญหา SD ดังที่ได้กล่าวไป ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว และสารปรุงแต่งบางตัวยังมีประโยชน์ต่อผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ก่อนอื่นต้องออกตัวว่าส่วนตัวไม่ได้มีปัญหา SD แต่มีบ้างที่ใส่ mask ไปนานๆ แล้วระคายเคือง ไม่สบายผิว พอได้ใช้ตัวนี้ ตอนแรกก็หวั่นๆ ว่าจะแห้งไปไหม แต่ผลที่ได้คือ ค่อนข้างน่าประทับใจ คือ ไม่แห้งไป แล้วก็เบาสบายผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์

สําหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ ISDIN สาขาประเทศไทย ได้โดยตรงเลยนะคะ

Facebook https://www.facebook.com/ISDINTHAILAND/

“Flagship Store” ShopeeMall https://shope.ee/4VDjawrnX6

“Flagship Store” LazMall : https://s.lazada.co.th/s.Ovx9Z?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ ISDIN ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

ประวัติการแก้ไข/ปรับปรุง

ตรวจสอบส่วนผสมเมื่อ 14 ม.ค. 2567

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเวชสำอางสุดเนี้ยบจาก แบรนด์ Herbitage กับ Be-Barrier 24.7 Restoring serum และ Concentrate 25.8 Serum booster

สวัสดีค่ะ วันนี้มีรีวิว/บทวิเคราะห์ส่วนผสมผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแบรนด์ไทยแบรนด์หนึ่งที่น่าสนใจมาฝากกันค่ะ

เป็นผลิตภัณฑ์เซรั่ม 2 สูตร จากแบรนด์ Herbitage ที่มีชื่อว่า Be-Barrier 24.7 Restoring serum และ Concentrate 25.8 Serum booster นะคะ

ก่อนอื่นขอแนะนำแบรนด์ Herbitage ซักหน่อยนะคะ

แบรนด์ HERBITAGE เป็นผลิตภัณฑ์ของบริษัท เดอะ เฮอร์บิเทจ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งมีความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์สกินแคร์ที่เหมาะกับผิวของคนไทย ด้วยการใช้สารสกัดธรรมชาติของไทย และสารออกฤทธิ์ทางวิทยาศาสตร์ที่มีงานวิจัยรับรอง โดยทางแบรนด์ได้ทำการพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกับสถาบัน KAPI (Kasetsart Agricultural and Agro-Industrial Product Improvement Institute) หรือ สถาบันผลิตผลเกษตรฯ ของทาง ม.เกษตรศาสตร์ เพื่อสร้างผลิตภัณฑ์สกินแคร์จากสารสกัดธรรมชาติขั้นสูง (Purified Natural Extracts) ที่มีประสิทธิภาพและความปลอดภัย

เซรั่มที่จะนำมาวิเคราะห์ส่วนผสมทั้ง 2 ตัวในวันนี้ มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตัวเซรั่ม Be-Barrier 24.7 เป็นเซรั่มสำหรับใช้ทั้งกลางวันและกลางคืน มาในโทนสีน้ำเงิน

บรรจุภัณฑ์เป็นขวดปั๊มแบบ Airless ค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นเนื้อสีขาวน้ำนม เนื้อบางเบา

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย เนื้อบางเบา เมื่อทาทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีจะระเหยและซึมซาบไปจนหมด

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับผิวดี

สำหรับสูตร 25.8 เป็นเซรั่มสำหรับกลางคืน จะมาในโทนสีเขียวนะคะ

บรรจุภัณฑ์เป็นขวดปั๊มแบบ Airless เช่นกันค่ะ

เนื้อเซรั่มจะมีสีเหลืองนวล ซึ่งคาดว่ามาจากสีของวิตามินเอ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย เนื้อบางเบา เมื่อทาทิ้งไว้ประมาณ 2 นาทีจะระเหยและซึมซาบไปจนหมดเช่นกัน

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 5 – 6 เช่นกัน

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสม อยากเล่าให้ฟังก่อนว่า ทางแบรนด์มีการทดสอบประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ชนิด เมื่อใช้ร่วมกันในอาสาสมัครชาวไทย จำนวน 30 คน เป็นเวลา 28 วัน ผ่านทางคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่าการใช้เซรั่มทั้ง 2 สูตรร่วมกันมีประโยชน์ดังนี้ค่ะ

  • อาสาสมัครมีค่าความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มมากขึ้น (เมื่อวัดด้วยเครื่องมือ Corneometer)
  • อาสาสมัครมีริ้วรอยที่แลดูตื้นขึ้น ทั้งตำแหน่งรอยตีนกา และริ้วรอยบริเวณขอบปาก (Marionette’s line)
  • อาสาสมัครมีผิวที่กระจ่างใสขึ้น (เมื่อเทียบจากค่า Luminousity)
  • ทั้ง 2 ตำรับไม่พบว่าก่อการระคายเคืองในอาสาสมัคร

ส่วนนี้จะเป็นผลการทดลองที่น่าสนใจนะคะ

(Image from Herbitage)

สำหรับผลิตภัณฑ์เซ็ตนี้ส่วนตัวได้ให้คุณแม่ทดลองใช้เป็นเวลา 3 อาทิตย์ ตัวคุณแม่เองก็ชื่นชอบและกล่าวว่ารู้สึกผิวนุ่มกระชับและเรียบเนียนขึ้นค่ะ

จากภาพถ่ายถึงแม้ว่าตัวโทนสีผิวจะดูเหมือนสว่างและมี undertone ไปในโทนอมชมพูมากขึ้น แต่เนื่องจากการถ่ายภาพแม้จะใช้แสงแฟลชเป็นตัวควบคุมให้สภาวะแสงเท่ากันแล้ว แต่อาจมีปัจจัยอื่นๆ มารบกวนได้ จึงยังไม่สามารถฟันธง หรือบอกได้ชัดเจนว่าใช้เซรั่มแล้วดูขาวขึ้น

เราลองมาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ โดยจะขอวิเคราะห์ไปทีละตัวค่ะ

ส่วนผสม Be-Barrier 24.7

สำหรับส่วนผสมของตัว 24.7 นี้ ถ้าอิงตามแบรนด์เคลมก็คือ ส่วนผสมของสารบำรุงทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 24.7% ส่วนตัวได้แบ่งเป็นสีๆ และจะกล่าวถึงทีละกลุ่มสีนะคะ

ขอเริ่มที่ Bromelain ก่อนนะคะ

  • Bromelain เป็นเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่พบได้ในสับปะรด มีคุณสมบัติในการย่อยโปรตีน ซึ่งถ้าเอามาใช้ทางผิวหนัง เอนไซม์นี้จะไปย่อยสลายเศษขี้ไคลอย่างอ่อนโยน จุดที่สำคัญของทางแบรนด์ Herbitage คือ Bromelain นี้ เป็นเอนไซม์บริสุทธิ์จากเหง้าสับปะรด ที่ผ่านการวิจัยและควบคุมธรรมชาติโดยม.เกษตรศาสตร์

ถัดมาเป็นกลุ่มของสารไขมันต่างๆ ใช้สีเขียวมะกอกแทนนะคะ

  • Cholesterol, Ceramide NP, Phytosphingosine เป็นไขมันที่สำคัญในการเป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว เสริมมาด้วยน้ำมันจากมะกอก และ Caprylic/capric triglycerides ที่ให้กรดไขมันแก่ผิว
  • Shea butter มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายอย่าง ทั้งในด้านของความชุ่มชื้น และมีส่วนประกอบของสารกลุ่ม Phytosterol ที่ดูแลการอักเสบระคายเคืองผิว
  • Squalane เคลือบปกป้องผิว

ซึ่งกลุ่มของ Ceramides complex นี้มีอยู่ที่ความเข้มข้น 10% ในตำรับ

สีเขียวแก่ เป็นกลุ่มของสาร Natural moisturizing factor (NMF) ที่พบได้ตามธรรมชาติในผิว ซึ่งมีทั้งกรดอะมิโน Sodium PCA ที่เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน และ น้ำตาล Glucose

สีน้ำเงิน เป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นเช่นกัน ขอหยิบเอามากล่าวบางตัว

  • Hyaluronic acid และอนุพันธ์ต่างๆ รวม 8 ตัว การเลือกใช้ Hya ในหลายๆ รูปแบบให้ประโยชน์ในการปกป้องและดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิวในหลายๆ ระดับชั้น
  • Glyceryl glucoside เป็นสารที่ประกอบด้วยโครงสร้างของ Glycerin จับกับน้ำตาล พบได้ในธรรมชาติ มีรายงานกล่าวถึงคุณสมบัติในการเสริมสร้าง Aquaporin-3 ซึ่งเป็นช่องทางที่มีประโยชน์ในการช่วยเก็บกักน้ำให้แก่ผิว และเมื่อใช้ร่วมกับ Glycerin จะมีประสิทธิภาพในการดูแลเรื่องความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น
  • สารสกัดจากสาหร่าย Chondrus crispus extract ตัวนี้ขอหยิบมาไว้ในสีน้ำเงินด้วย เพราะประกอบด้วยสารในกลุ่ม Polysaccharide ที่มีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเช่นกัน

สีชมพู เป็นสารบำรุงที่น่าสนใจ

  • Tranexamic acid ตัวนี้เมื่อก่อนเคยใช้เป็นยาห้ามเลือด แต่เจอว่ามีผลในเชิง Whitening เลยมีการเอามาทำวิจัยต่อยอด พบว่า Tranexamic acid ออกฤทธิ์โดยไปยับยั้ง Plasmin ซึ่งเป็นตัวตั้งต้นที่ไปกระตุ้นฮอร์โมน alpha-MSH (Melanocyte stimulating hormone) ที่ไปกระตุ้นให้หน่วยสร้างเม็ดสี หรือ เมลาโนไซท์ทำงาน สร้างเมลานินและส่งผ่านออกมาภายนอกมากขึ้น เมื่อไปยับยั้งผลคือ มีการสร้างและส่งผ่านเมลานินออกมาน้อยลง (J Am AcadDermatol 2011;October:699-714.) มีการศึกษาประสิทธิภาพของ Tranexamic acid เข้มข้น 3 % ในอาสาสมัคร พบว่าให้ผลในการลดเลือนรอยฝ้าเทียบเท่าสูตรผสมของ Hydroquinone กับ Dexamethasone แต่ผลข้างเคียงต่ำกว่ามาก (J Res Med Sci. 2014;19(8):753-7.) ตัวนี้จัดมาในตำรับที่ 3%
  • Ectoine เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่มีโครงสร้างเป็นวงกลม สร้างโดยแบคทีเรียบางสายพันธ์ที่อาศัยในสิ่งแวดล้อมที่ค่อนข้างโหดร้าย (Extremophile) ทำหน้าที่ปกป้องตัวเขาเองจากอันตรายภายนอก ไม่ว่าจะเป็นทั้งจากปัจจัยกายภาพและเคมี มีการพบว่าตัว Ectoine จะทำหน้าที่ดึงเอาน้ำมาเกาะไว้กับตัวเองแล้วกลายเป็นชั้นโครงสร้างที่ช่วยปกป้องโปรตีนองค์ประกอบต่างๆ ที่สำคัญของเซลล์เอาไว้ เรียกว่าเป็น Ectoine hydrocomplex (Clin Dermatol. 2008;26(4):326–633.) เจ้า Hydrocomplex ดังกล่าวส่งผลดีถึงองค์ประกอบทั้งเซลล์ คือปกป้องเซลล์นั้นให้มีปริมาณน้ำเหมาะสม และทำงานได้ตามปกติ แต่เมื่อปริมาณน้ำต่ำลง จะไปมีผลต่อระบบของการอักเสบทำให้เกิดอาการต่างๆ ตามมา ในกรณีของผิวหนัง การมี Ectoine จะช่วยให้ Lipid barrier ของผิวทำงานได้ตามปกติและมีความแข็งแรง ผิวจึงแข็งแรง และเก็บกักน้ำได้ดี (มีการระเหยของน้ำออกจากผิว/Transepidermal water loss; TEWL น้อย) (Biophys Chem. 2010;150(1–3):37–46.) มีการทดสอบประสิทธิภาพในทางผิวหนังอยู่หลายชิ้น ซึ่งได้กล่าวถึงในบทความวิชาการล่าสุดของ Kauth และ Truvosa (Dermatology and Therapy. 2022;12:295–313) ในภาพรวมคือ Ectoine ให้ประโยชน์ในการปกป้องผิวให้แข็งแรง ลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ลดการอักเสบระคายเคือง รวมทั้งดูแลปัญหาผิวอักเสบและระคายเคืองต่างๆ

สีม่วง เป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ในการดูแลด้านความรู้สึกระคายเคืองของผิว ได้แก่ Bisabolol, Allantoin, Panthenol และ Betaine

ในภาพรวมส่วนผสมต่างๆ ที่มีในเซรั่ม 24.7 นี้ ให้ความโดดเด่นในแง่ของการดูแล Barrier ผิว ปกป้องให้ผิวแข็งแรง ฟื้นฟู ให้ประโยชน์ครอบคลุมไปถึงการผลัดผิวแบบอ่อนๆ และ Whitening

อีกตัวเป็นสูตรสีเขียว 25.8 ค่ะ

ส่วนผสม

สูตรสีเขียวจะประกอบด้วยสารบำรุงหลายชนิดเหมือนกันนะคะ ถ้าอิงตามแบรนด์เคลมก็คือ ส่วนผสมของสารบำรุงทั้งหมดรวมกันอยู่ที่ 25.8% พอดี

สำหรับ Bromelain ก็ดังที่ได้กล่าวไปก่อนในสูตร 24.7 นะคะ

ในสูตร 25.8 มีเพิ่มส่วนผสมของสารสีส้มมาอีกชุด คือ Lactobacillus/Pumpkin fruit ferment filtrate ซึ่งเป็น สารที่ได้จากการหมักฟักทองด้วยจุลินทรีย์ Lactobacillus ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า เมื่อหมักฟักทองด้วยกรรมวิธีพิเศษแล้วจะสามารถแยกเอากลุ่มสารที่มีคุณสมบัติเป็นเอนไซม์ที่ย่อยสลายโปรตีน ซึ่งเวลาใช้งานเอนไซม์นี้จะไปย่อยสลายเศษขี้ไคลอย่างอ่อนโยน รวมถึงพวกเศษซากจุลินทรีย์ที่เกาะอยู่บนขี้ไคลเหล่านั้น ส่งผลให้ผิวแลดูกระจ่างใส และเสริมกระบวนการผลัดผิวใหม่ตามธรรมชาติ ด้วยความที่นางมีประโยชน์คล้ายกัน เลยขอแบ่งไว้ในกลุ่มสีเดียวกัน

สำหรับในแง่ของสารบำรุงหลัก

เริ่มเปิดมาที่สีเขียวขี้ม้า Bakuchiol ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีที่พบได้ในพืชหลายชนิด มาในความเข้มข้น 1% มีคุณสมบัติและกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกับพวกวิตามินเอ แต่มีความปลอดภัยสูงกว่า มีประโยชน์ในด้านของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย และดูแลปัญหาสิว

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของวิตามินที่แทนด้วยสีส้มอ่อน ได้แก่ วิตามินเอ อี ซี บี3 กล่าวกันจริงๆ การมีเพียงวิตามินเหล่านี้ก็ดูแลปัญหาผิวได้เกือบครบจบทุกปัญหา ขอกล่าวแบบสรุปๆ นะคะ

  • วิตามินเอ ในที่นี้ทางแบรนด์ใช้ในรูปแบบ Retinaldehyde หรือ Retinal ในความเข้มข้น 0.1% ซึ่งมีประสิทธิภาพที่ดีในการดูแลปัญหาริ้วรอย ผิวหย่อนคล้อย ไม่กระชับ รวมถึงเรื่องของปัญหาสิวและรูขุมขน
  • วิตามินอี ใช้ในรูปแบบ Tocopheryl acetate เป็น Antioxidant ที่ละลายไขมัน ปกป้องส่วนของน้ำมันของผิวไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระ และช่วยปกป้องสารไขมันรวมถึงสารอื่นในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพเพราะ Oxygen
  • วิตามินซี ใช้ในรูปแบบ Ascorbyl glucoside ในความเข้มข้น 4% มีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการชะลอวัย โดยเป็น Antioxidant เป็น Whitening ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่ใช้สังเคราะห์เมลานิน ลดการอักเสบระคายเคือง และเป็นส่วนหนึ่งของการสังเคราะห์คอลลาเจนตามธรรมชาติ
  • วิตามินบี 3 มาในความเข้มข้น 10% มีประโยชน์กับผิวหลายประการเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านของ Whitening ที่ดูแลไป ณ กระบวนการส่งผ่านเม็ดสีที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาด้านนอก การอักเสบระคายเคือง ปัญหาสิว และ เสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิวให้ผิวแข็งแรง

สีน้ำเงินป็นกลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้น ผ่านกระบวนการดูดจับน้ำ และเก็บกักน้ำ ได้แก่ น้ำตาล Trehalose, Hya และ Polyquaternium-51 ที่ให้คุณสมบัติปกป้องและให้ความรู้สึกสบายผิวไปในตัว

สีบานเย็น เป็นกลุ่มของสารบำรุงที่โดดเด่นด้านการดูแลปัญหาการระคายเคือง ได้แก่ Bisabolol, Allantoin, Dipotassium glycyrrhizate และ สารสกัดจาก Portulaca

สีฟ้าอ่อน เป็นสารบำรุงอื่นๆ ขอหยิบยกมากล่าวเพียงบางตัวนะคะ

  • Gossypium herbaceum extract ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบได้กล่าวว่า สารสกัดจากเมล็ดฝ้ายมีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของการควบคุมความมันส่วนเกินในขณะที่เพิ่มความชุ่มชื้นไปด้วย ลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)
  • สารสกัดจากบัวบก ก็มีประโยชน์ที่ดีและโดดเด่นหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการชะลอวัย การดูแลปัญหาเรื่องริ้วรอย รวมไปถึงปัญหาด้านการอักเสบและระคายเคือง และเป็น Antioxidant
  • สารสกัดจากต้นหลิว Salix alba extract ประกอบด้วย BHA ธรรมชาติ ในรูปของ Salicin ซึ่งเมื่อลงผิวจะเปลี่ยนเป็น Salicylic acid ที่มีประโยชน์ในการดูแลปัญหาการอุดตันของผิว
  • Gluconolactone จัดเป็น PHA มีประโยชน์ในด้านของการเติมน้ำให้ผิว และผลัดผิวอย่างอ่อนโยน และอาจจะได้ประโยชน์ในการดูแลปัญหาสิว

ในภาพรวม เซรั่ม 25.8 นี้ เน้นไปในด้านของริ้วรอยเป็นหลัก รองๆ มา จะเป็นเรื่องของการชะลอวัย Whitening และให้ประโยชน์ในเรื่องของปัญหาสิว ถือว่าดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม

มาให้คะแนนกันนะคะ

  1. สารบำรุง ในด้านของสารบำรุง ตัวเซรั่มทั้ง 2 ผลิตภัณฑ์เรียกได้ว่าจัดมาได้ค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์และดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุม ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ในส่วนของการใช้งานผลิตภัณฑ์ชุดนี้ ส่วนตัวได้ให้คุณแม่ทดลองใช้ จากการสัมภาษณ์คุณแม่ค่อนข้างพึงพอใจในตัวผลิตภัณฑ์นะคะ ทั้งในแง่ของความชุ่มชื้น ความกระชับ และความเรียบเนียนของผิวเป็นหลักค่ะ จุดนี้คุณแม่ให้คะแนนเต็มที่ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านด้วยนะคะที่ติดตามรับชมมาจนจบ และขอบคุณทางแบรนด์ Herbitage ค่ะที่ได้ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ ที่พัฒนามาจากงานวิจัย และยังผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครมาให้ได้เปิดหูเปิดตาและได้ทดลองใช้

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อได้ที่ทางแบรนด์ Herbitage โดยตรงเลยนะคะ

Facebook fanpage https://www.facebook.com/HerbitageThailand

Official store ของแบรนด์

Shopee : https://bit.ly/2PmOxy7

Lazada : https://bit.ly/3fzwrUy

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Herbitage การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มบำรุงที่พัฒนาไปอีกขั้น ATG rejuvenating serum จากแบรนด์ dermArtlogy

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอมาอัพเดท รีวิว และวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มในไลน์ใหม่ของทางแบรนด์ dermArtlogy ของบริษัท Neopharm ประเทศเกาหลีกันนะคะ

เรียกได้ว่าเซรั่มของแบรนด์ dermArtlogy นั้น มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดและทันสมัย

ล่าสุดทางแบรนด์ก็ได้พัฒนาสูตรใหม่ ATG rejuvenating serum ออกมาสำเร็จ จนกลายเป็นเซรั่มตัว Top สุด และได้วางจำหน่ายในบ้านเราเมื่อปลายปี 2564 ที่ผ่านมา

สำหรับท่านที่สนใจรายละเอียดของแบรนด์และเซรั่มสูตร Ageless potent rejuvenating serum สูตรก่อนหน้า และสูตร Gel สามารถติดตามได้ที่ Link ด้านล่างนี้ค่ะ

ช่องทางตามไปอ่าน Ageless potent rejuvenating serum https://miyeonthereviewer.com/2020/10/09/dermatlogy-agelesspotent/

ช่องทางตามไปอ่าน Link Gel moisturizerhttps://miyeonthereviewer.com/2021/01/25/dermartlogy-gelmoist/

สำหรับสูตร Top สุด ณ ขณะนี้ คือตัว ATG ที่จะมาเล่าให้ฟังในวันนี้มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

น้องมาในดีไซน์ที่เป็น Signature ของทางแบรนด์ โดยรุ่นนี้จะเป็นขวดปั๊มแบบสุญญากาศ Airless pump ค่ะ

เนื้อเซรั่มเป็นประมาณนี้นะคะ มาในรูปแบบ Translucent กึ่งใสกึ่งขุ่น แสงยังผ่านได้

เช่นเคย เนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม เราเลยจะยังได้กลิ่นของวัตถุดิบอยู่จางๆ เนื้อรุ่นนี้เกลี่ยได้ง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น เบา สบายผิว ไม่เหนอะหนะ และไม่แห้งจนเกินไป

ตัวนี้ส่วนตัวมี่โอกาสได้ทดลองใช้ตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ยังไม่ออกสู่ท้องตลาดจนปัจจุบันก็ปาเข้าไปน่าจะครึ่งปีได้

ช่วง 2 เดือนแรก จะทาเฉพาะบริเวณใบหน้าด้านซ้ายที่ไม่ได้ใช้พวก retinoid ในด้านของความสบายผิว ความชุ่มชื้น ความแดงที่เป็น undertone บริเวณแก้มดูเหมือนจะลดลง รูขุมขนดูละเอียดขึ้น

หลังจากนั้นก็ทาทั้งสองฝั่งแบบจริงจังจนถึงปัจจุบันน่าจะเกิน 3 เดือนไปแล้ว ที่รู้สึกชอบมากคงหนีไม่พ้นเรื่องของความแข็งแรงของผิว และความรู้สึกดีหลังใช้งาน อารมณ์แบบรักผิวตอนนี้มาก แม้จะมีปัญหากับการใส่ Mask บ้างก็ตาม

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 4 – 5 นะคะ

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวมแม้ส่วนผสมจะดูเหมือนค่อนข้างเยอะชนิด แต่ส่วนใหญ่เป็นสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวในด้านต่างๆ เรียกได้ว่าดูแลปัญหาผิวได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

วันนี้แบ่งส่วนผสมไว้เป็นสีๆ ตามกลุ่มของการออกฤทธิ์นะคะ

โดยขอเริ่มที่กลุ่มสีชมพู กลุ่มของไขมัน และสารที่ใช้ทำ MLETM (Multi-lamellar emulsion) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตรของทาง Neopharm ประเทศเกาหลี

  • MLETM ปกติแล้วในผิวเราจะมีไขมันที่ทำหน้าที่เป็น Barrier ผิว ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่ม คือ Ceramide + Cholesterol และ Fatty acid ไขมันเหล่านี้มันจะเรียงตัวกันอย่างเป็นระเบียบซึ่งมีด้วยกันหลายรูปผลึก ส่วนหนึ่งเป็นรูปแบบ Liquid crystal
  • เจ้า MLETM นี่เป็นสูตรผสมของ Pseudoceramide (Myristoyl/palmitoyl oxostearamide/arachamide MEA หรือ PC-9S) ร่วมกับ Cholesterol, Phytosterol, rapeseed sterols และกรดไขมัน Stearic acid กับกรดไขมันใน น้ำมันจากแมคคาเดเมีย และ Caprylic/capric triglycerides ซึ่งเรียงตัวในรูปแบบที่คล้ายกับ Liquid crystral ของผิว เลยสามารถทำหน้าที่ปกป้องผิวทดแทน Barrier ของผิว อีกตัวที่เป็นส่วนประกอบของ MLE คือ Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide หรือ PC-5SP ซึ่งพอเอามารวมกับ PC-9S และสารอื่นๆ ในสัดส่วนที่เหมาะสมจะเกิดเป็นโครงสร้างรูปแบบ Liquid crystal ที่เวลาดูภายใต้กล้องจุลทรรศน์ Polarized microscope จะเห็นเป็นลักษณะพิเศษที่เรียกว่า Maltese cross ซึ่งเหมือนกับการเรียงตัวของ Barrier ผิว ตามภาพ
(Image from Neopharm)
  • Phytosterols และ Rapeseed sterols ที่เสริมเข้ามายังมีประโยชน์เพิ่มเติมในด้านการดูแลปัญหาการอักเสบและระคายเคืองของผิว

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของ Peptide ต่างๆ ที่เป็นอักษรสีส้มนะคะ

Heptasodium hexacarboxymethyl dipeptide-12 ตัวนี้คือ Aquatide ที่เป็นตัวหลักตัวหนึ่ง โดยมีประโยชน์ในการเสริมกระบวนการ Autophagy ที่เกิดขึ้นภายในผิว ซึ่งเป็นเสมือนกระบวนการที่ผิวเรารีไซเคิลเอาองค์ประกอบที่มันเสื่อมสภาพมาสร้างและฟื้นฟูเป็นองค์ประกอบใหม่ ให้ผิวเราทำงานได้ดีเหมือนเดิม ขอใช้รูปเก่ามาประกอบค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจเรื่อง Aquatide สามารถตามไปอ่านเรื่องของ Aquatide แบบละเอียดได้ที่ลิงค์นี้นะคะ (https://cosmeknowledge.wordpress.com/2019/06/11/spotlight-aquatide/)

Tetracarboxymethyl hexanoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อทางการค้าว่า AdiposolTM ซึ่งข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าน้องไปมีผลกระตุ้น Adiponectin ซึ่งเป็น Peptide hormone ชนิดหนึ่งที่สร้างจากเซลล์ไขมัน (Adipocyte) ปกติ Adiponectin จะมีบทบาทในระดับร่างกาย แต่ก็มีการพบว่า Adiponectin นั้นมีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น การเสริมสร้างการสังเคราะห์ไขมันที่เป็น Barrier ผิว การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ผิว เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนและ Hyaluron ในธรรมชาติของผิว และลดการอักเสบระคายเคือง (Oh, et al., Biomol Ther (Seoul). 2021; Sep 28. doi: 10.4062/biomolther.2021.089.)

ทีนี้ปัญหาอยู่ที่ว่ารังสี UV และปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม อย่างมลภาวะ ไปกดการสร้าง Adiponectin เลยทำให้กระบวนการต่างๆ เหล่านี้หายไป นอกจากนี้รังสี UV ยังไปทำให้เอนไซม์ MMP มาย่อยสลายคอลลาเจนเกิดความเหี่ยวขึ้นมาอีกต่อหนึ่ง

ในจุดนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบ AdiopSOL กล่าวว่า สารนี้ยังเสริมกระบวนการ Autophagy ลดการสร้างเอนไซม์ MMP และลดการอักเสบในระดับหลอดทดลอง และลดรอยแดงของผิวในอาสาสมัคร

(Image from Incospharm และ AH&NS)

Pentasodium tetracarboxymethyl palmitoyl dipeptide-12 ตัวนี้มีชื่อย่อว่า PTPD เป็นเปปไทด์ที่พัฒนามาเพื่อเสริมกระบวนการ Autophagy ซึ่งมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครที่เป็นโรคผิวหนังชนิด Atopic dermatitis เป็นเวลา 4 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีอาการระคายเคือง คัน ลดลง และมีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้น (Kwon, et al. J Dermatolog Treat. 2019;30(6):558-564.) นอกจากนี้ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า PTPD ยังมีคุณสมบัติลดปริมาณของเม็ดสีผิว ผ่านการเสริมการเกิด Autophagy ของแหล่งสร้างเม็ดสีผิวอย่าง Melanocyte

(Image from dermArtlogy)

Acetyl dipeptide-1 cetyl ester ตัวนี้เป็น Peptide ตัวหนึ่งที่เราเจอกันค่อนข้างบ่อย น้องเด่นในแง่ของการลดความรู้สึกระคายเคือง ซึ่งมีการศึกษารองรับในอาสาสมัคร โดยให้อาสาสมัครทา Capsaicin เพื่อเกิดการระคายเคือง แล้วทาผลิตภัณฑ์ที่มีสารตัวนี้ลงไป พบว่า สารนี้สามารถลดการระคายเคืองและความรู้สึกแสบร้อนที่เกิดขึ้น (J Eur Acad Dermatol Venereol. 2016;30 Suppl 1:18-20.) สำหรับกลไกในการออกฤทธิ์จะเกิดผ่านระบบของ Opioid โดยไปลดการนำส่งสัญญาณกระแสประสาทที่ให้เกิดความรู้สึกแสบร้อน

กล่าวถึงระบบของ Opioid ในผิวหนังเรานั้น เป็นระบบที่ควบคุมการสื่อสารทางระบบประสาทภายในผิว (Skin neuroendocrine system) จะมีสารที่ชื่อว่า met-Enkephalin สร้างออกมาจากเซลล์เมล็ดเลือดขาว monocyte ทำหน้าที่หลักในการรักษาสมดุลของผิวผ่านการควบคุมกระบวนการอักเสบของผิวและการแบ่งตัวเพิ่มจำนวน/เปลี่ยนแปลงโครงสร้างของเซลล์ในชั้นหนังกำพร้า รวมไปถึงเสริมการฟื้นฟูตัวเองเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น (Bigliardi, et al. Exp Dermatol. 2016;25:586-591.)

ซึ่ง Acetyl dipeptide-1 cetyl ester จะไปเหนี่ยวนำให้เกิด met-Enkephalin ที่ไปจับกับตัวรับของ Opioid ซึ่งมีผลลดการระคายเคือง เสริมการฟื้นฟูผิว และทำให้ผิวแข็งแรงในระยะต่อมา

กลุ่มของสารเพิ่มความชุ่มชื้นแทนด้วยสีบานเย็น จะเป็นตัว Hyaluronic acid รูปแบบดั้งเดิม และ Hydrolyzed hyaluronic acid ที่ผ่านการย่อยให้มีขนาดเล็กลง กรดอะมิโน Arginine และวัตถุดิบอีกชิ้นที่เรียกว่าเป็น Exclusive ingredient ของทางแบรนด์ คือ Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide

  • Dihydroxyisopropyl capryloylcaprilamide มีชื่อย่อว่า K6-PC5 มีคุณสมบัติในการเสริมความแข็งแรงของผิวแบบอ้อมๆ ผ่านการเสริมการสร้างสาร Sphingosine ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญใน Ceramide และ Sphingosine ยังควบคุมกระบวนการทำงานต่างๆ ของผิว โดยรวมจะช่วยให้ผิวเราเก็บกักและอุ้มน้ำไว้ได้ดีขึ้น

ถัดมาเป็นกลุ่มของสารที่ลดการอักเสบและระคายเคืองผิว รวมถึงสารบำรุงอื่นๆ ซึ่งมีด้วยกันหลายชนิด อย่างวิตามินบี 3 บี 5 Betaine, Dipotassium glycyrrhizate, Allantoin และอีกตัวที่น่าสนใจ

  • Caprylamide MEA หรือ Dualguard-7TM สารนี้มีคุณสมบัติดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคืองโดยไปลดการสร้างสารเหนี่ยวนำการอักเสบในกลุ่มของ Interleukin-17 (IL-17) เสริมกระบวนการ Autophagy ผ่านการยับยั้งโปรตีน p62 ซึ่งเป็นตัวต่อต้านการเกิด Autophagy และเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน

ปิดท้ายด้วยสีเขียวเป็นกลุ่มของบัวบกและคณะ เป็นสารสกัดจากบัวบก ที่มีประโยชน์ต่อผิวในหลายประการ ตัวนี้ทางแบรนด์เคลมว่าเป็นสารสกัดจากบัวบกในรูปแบบ Medical grade ในความเข้มข้นสูงถึง 50% และยังเสริมสารบริสุทธิ์ที่เป็นสารพฤกษเคมีหลัก (Active phytochemicals) ในบัวบก อย่าง Madecassoside, Asiaticoside, Madecassic acid, และ Asiatic acid เข้ามา ซึ่งสารเหล่านี้มีประโยชน์ในด้านการลดการอักเสบ เสริมการสมานแผล ชะลอวัยลดเลือนริ้วรอย เป็น Antioxidant และอื่นๆอีกหลายด้าน

สารเพิ่มความชุ่มชื้นผิวมากขนาดนี้ผิวจะมันไหม?

ในจุดนี้ทางแบรนด์วางแผนการตั้งตำรับมาอย่างรอบคอบโดยการเสริมเอา Zinc PCA เข้ามา ซึ่งเจ้า Zinc PCA เป็นสารลูกผสมของ Zinc กับ Pyrollidone carboxylic acid (PCA) มีรายงานการวิจัยกล่าวว่านอกจากคุณสมบัติในการกระชับรูขุมขนควบคุมความมัน (Astringent) แล้ว Zinc PCA ยังมีรายงานว่ามีประโยชน์ในการปกป้องผิวหนังจากรังสี UVA และลดผลเสียจากรังสี โดยไปลดการสร้าง Activator protein 1 ที่จะไปเหนี่ยวนำให้เกิดการอักเสบต่อ และ MMP-1 ที่เป็นเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนในผิว (Int J Cosmet Sci. 2012; 34(1):23-8.)

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ นั้นถือว่าเป็นมิตรกับผิวทั้งหมด

ให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง ในภาพรวมนอกจากความโดดเด่นในแง่ของด้าน Autophagy ที่มีประโยชน์ทั้งการชะลอวัย เสริมความแข็งแรงให้กับผิวแล้ว ยังเสริมมาด้วยสารบำรุงอีกหลายชนิดที่ดูแลผิวได้อย่างครอบคลุมจบทุกปัญหา และช่วยให้ผิวมีสุขภาพดี ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวเลยขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ถ้าเทียบกับในไลน์ของ Autophagy ที่ออกมาทั้ง 4 สูตร รวมตัวนี้ ส่วนตัวชอบตัวนี้มากที่สุด ทั้งในแง่ของความรู้สึกเบาสบายผิว เรื่องของอาการแดงและคันระคายเคืองผิว สำหรับกลางวันคือ perfect มาก แต่ถ้าเป็นตอนกลางคืนส่วนตัวจะรู้สึกว่าความชุ่มชื้นตัวเนื้อเซรั่มอาจจะยังน้อยไปนิดหน่อยสำหรับบริเวณที่มีปัญหาผิวแห้งจริงๆ อย่างบริเวณแก้ม แต่เอาครีมมอยส์เจอร์อื่นมาทับไว้อีกชั้นหนึ่งคือสมบูรณ์แบบมาก จากที่ได้ทดลองใช้มาตั้งแต่ก่อนผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด จนถึงตอนนี้ก็ประมาณ 3 เดือน สิ่งที่ดีงามคือ สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้นมาก ตามที่ได้กล่าวไปในด้านบน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ DermArtlogy ด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์ DermArtlogy โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DermArtlogyThailand/

📲 𝐋𝐢𝐧𝐞 𝐎𝐟𝐟𝐢𝐜𝐢𝐚𝐥 : @dermskintech หรือคลิก https://bit.ly/2ZWhJB1
📲 𝐋𝐚𝐳𝐚𝐝𝐚 : https://bit.ly/3pVBtOO
📲 𝐒𝐡𝐨𝐩𝐞𝐞 : https://shp.ee/34de5z5

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ DermArtlogy การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

Mini-review + วิเคราะห์ส่วนผสม Zeroid pimprove toner

สวัสดีค่ะ วันนี้ขอหยิบเอาโทนเนอร์ลูกรักของแบรนด์ Zeroid สูตร Pimprove มาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกันนะคะ

น้องมีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

น้องยังคงคุมโทนอยู่ในเฉดสีชมพูโอรสเหมือนเดิมค่ะ

ตัวแพคเกจมาในขวดพลาสติกขนาด 200 ml

ตัวเนื้อสัมผัสของโทนเนอร์เป็นเนื้อแบบน้ำใส ส่วนตัวเอามาลองใช้ทั้งในรูปแบบน้ำตบ และ หยดใส่สำลีก่อนเช็ดลงบนหน้า

สำหรับส่วนผสม ส่วนตัวมองว่าคัดเลือกมาค่อนข้างดีนะคะ

ในภาพรวม Toner นี้ใช้ส่วนผสมของ LHA (Lipohydroxy acid) ร่วมกับ AHA 3 ตัว (ซึ่งอาจจะเอามาปรับ pH หรือแอบหวังผลในการออกฤทธิ์ด้วยตรงนี้ไม่แน่ใจ) ลดการระคายเคืองด้วย Panthenol กับ Betaine เติมน้ำด้วย Hya กับดูแลปัญหาสิวเพิ่มเติม ควบคุมความมัน ด้วย Zinc PCA และใช้เทคโนโลยี MLE จาก ceramide PC-9S ของทาง Neopharm

ลองมาดูรายละเอียดของส่วนผสมกันนะคะ ขอละ Hya ไว้ในฐานที่นางเป็นสารที่ Popular มากนะคะ

พระเอกของโทนเนอร์นี้คงเป็นเทคโนโลยี MLE ที่เกิดจาก Ceramide PC-9S (Myristoyl/palmitoyl oxosteramide/arachamide MEA) ว่ากันว่า สารนี้เวลาอยู่ในตำรับนางจะเรียงตัวในรูปแบบของ Multi-lamellar emulsion ซึ่งคล้ายกับการเรียงตัวของไขมันที่เป็น Barrier ของผิว สารนี้มีสิทธิบัตรรองรับอยู่หลายชิ้น อย่าง สิทธิบัตรอเมริกา US patent US6221371B1 กับสิทธิบัตรเกาหลี KR20120041294A

ในสิทธิบัตรของอเมริกายังกล่าวว่าตัว PC-9S ยังสามารถเสริมการสร้าง Ceramide ตามธรรมชาติของผิวได้อีก

ส่วนตรงนี้จะเป็นภาพการเรียงตัวของ PC-9S ในรูปแบบ MLE จากสิทธิบัตร KR20120041294A นะคะ

(Image from Korean patent KR20120041294A)

มีพระเอกแล้วก็ต้องมีพระรอง คือ Capryloyl salicylic acid ตัวนี้จัดเป็น Lipohydroxy acid หรือ LHA ซึ่งเป็นอนุพันธ์ที่เกิดจาก Salicylic acid ที่จัดเป็น BHA โดยว่ากันว่า LHA จะลงผิวได้น้อยเลยให้คุณสมบัติผลัดผิวได้ดี

มีการทดสอบหนึ่งที่ศึกษาตั้งแต่ปี 2008 โดยเทียบประสิทธิภาพในการผลัดผิวของ 5-10% LHA กับ 20-50% AHA ในคลินิกเป็นเวลา 12 อาทิตย์ พบว่า LHA ให้ประสิทธิภาพไม่ต่างกันกับ AHA ทั้งในด้านของริ้วรอยตื้นๆ และความสม่ำเสมอของสีผิว (J Cosmet Dermatol. 2008; 7(4):259-62.) แต่การศึกษานี้ใช้ความเข้มข้นค่อนข้างสูง และทำในคลินิกนะคะ

คุณสมบัติในภาพรวมของ LHA คือ มีประโยชน์ในด้านของการดูแลปัญหาริ้วรอยตื้นๆ ปัญหาสิว และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

AHA 3 ชนิด คือ Glycolic acid, Lactic acid และ Citric acid คู่กับ Sodium citrate ซึ่งตรงนี้ไม่แน่ใจว่าหวังผลผลัดผิวด้วยหรือไม่ หลักๆ ก็จะเด่นเรื่องเติมน้ำ ให้ความชุ่มชื้นผิว

Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 ซึ่งเด่นในด้านของการลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น

Betaine เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน Glycine มีคุณสมบัติในด้านของการดูแลปัญหาเรื่องการระคายเคืองของผิวเช่นเดียวกัน

Zinc PCA เป็นสารผสมของ PCA กับ Zinc ซึ่งข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า นางมีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการเติมน้ำให้ผิว พร้อมกับควบคุมความมัน และ ดูแลปัญหาเรื่องริ้วรอยและชะลอวัยไปพร้อมๆ กัน

ส่วนผสมอื่นๆ ก็ถือว่าเลือกมาได้ค่อนข้างดีนะคะ เพราะมีอยู่เท่าที่จำเป็น และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ทางไปช้อปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/5Kx5LdS3Ps

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.u78KS?cc

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาจากทางแบรนด์ในรูปแบบของของขวัญ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้าและไม่ได้รับค่าตอบแทนในการรีวิว โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม ไนท์ครีมวิตามินเอ ขั้นกว่าของ Vitalift กับ Vitalift Renew Youth Retinal จากแบรนด์ Dr.Different

วันนี้ขอหยิบเอาผลิตภัณฑ์ดีๆ จากแบรนด์ Dr.Different มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมอีกสักชิ้นนะคะ

ส่วนตัวเคยรีวิวผลิตภัณฑ์หลายๆ ชิ้นจากแบรนด์นี้ไปแล้ว แต่ละตัวเรียกได้ว่าค่อนข้างชอบ ถึงชอบมากเลยล่ะ

วันนี้เลยขอหยิบเอาน้องใหม่ล่าสุด ที่เป็นขั้นกว่าของพี่ๆ กลุ่มของ Vitalift ซึ่งสูตรนี้มาในหลอดสีดำ มีชื่อว่า Vitalift Renew Youth Retinal หน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ตัวหลอดด้านในจะคล้ายกับซีรี่ส์ Vitalift ที่มีมาก่อนหน้า แต่มาในสีดำล้วน ที่ดูแล้วให้ความรู้สึก Luxury

สำหรับเนื้อครีมจะมีสีออกเหลือง ซึ่งเป็นสีตามธรรมชาติของ Retinaldehyde ค่ะ

เนื้อครีมค่อนข้างชุ่มชื้นและหนักกว่าตัวอื่นในซีรี่ส์ก่อนหน้า ซึ่งเข้าใจว่าอาจจะทำมาเพื่อตอบโจทย์ผู้ที่เริ่มมีอายุ เพราะมักจะมีปัญหาผิวแห้ง และส่วนตัวเป็นคนผิวแห้งเลยชอบเนื้อครีมตัวนี้

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมขอเอาผลการใช้งานที่เวลา 40 วัน มาเทียบก่อนค่ะ

จริงๆ ดูจากภาพอาจจะไม่ค่อยชัดมาก แต่เท่าที่รู้สึกและสัมผัสได้เมื่อใช้ไปครบ 40 วัน คือ รู้สึกถึงความนุ่ม และความแน่นของผิว แล้วก็เวลาแต่งหน้ามีเมคอัพตกร่องน้อยลง และติดทนนานมากขึ้น แม้จะดูจากภาพไม่ชัดเจนนัก

ลองดูในอีกภาพที่เป็นการลงรายละเอียดมากขึ้น อาศัยการปรับความคมชัดของภาพที่ระดับเดียวกันผ่านโปรแกรม Photoscape ถ้าตัดประเด็นเรื่องสีผิวออกไป จะพบว่าผิวดูเหมือนจะละเอียดมากขึ้น ความหยาบลดลง และ รูขุมขนดูเล็กลง ซึ่งสอดคล้องไปกับความรู้สึกนุ่ม และการตกร่องของเมคอัพ

สำหรับส่วนผสมเป็นดังนี้นะคะ

จากภาพจะเห็นว่าส่วนผสมของตัว Vitalift สูตรใหม่มีด้วยกันหลายกลุ่มนะคะ ขอเล่าไปทีละกลุ่มเลยค่ะ ในกลุ่มเดียวกันก็จะมีสีเดียวกัน โดยส่วนตัวพยายามรวบกลุ่มสารที่มีประโยชน์คล้ายๆ กันให้อยู่ด้วยกัน

สำหรับสารในกลุ่มสีเขียวจะเป็นกลุ่มของพวกน้ำมันที่มีประโยชน์ในด้านของการดูแล Barrier ผิวให้ผิวเราแข็งแรง ซึ่งถ้าผิวแข็งแรง ผิวก็จะมีสุขภาพดี และมีแนวโน้มเกิดการระคายเคืองน้อยกว่าผิวที่มี Barrier บอบบางกว่า

กลุ่มสีฟ้าจะเป็นกลุ่มของพวกสารเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการช่วยผิวเก็บกักน้ำ อย่าง Hya และ Sodium polyglutamate ที่หลายๆ ท่านคุ้นเคย และมีคุณสมบัติที่ดีในการเพิ่มความชุ่มชื้น โดยมีอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจ คือ สารที่ได้จากการทำอนุพันธ์ของ กรดอะมิโน Glutamic acid อย่าง Phytosetryl/Behenyl/Octyldodecyl lauroyl glutamate ที่ดูเผินๆ เหมือนจะเป็นพวก Surfactant แต่นางเป็นสารที่สามารถเรียงตัวในรูปแบบของ Liquid crystal ได้เหมือนกับ Ceramide ที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว จึงมีประโยชน์ในด้านของความชุ่มชื้นได้ไม่แตกต่างจากการใช้ Ceramide

กลุ่มของสีน้ำเงินเป็นกลุ่ม peptide ที่ผสมกันอย่างเป็นเอกลักษณ์ภายใต้เครื่องหมายทางการค้าว่า ElagenpeptideTM ซึ่งประกอบด้วย peptide 12 ชนิด ที่เลือกมาให้เสริมกันเป็นอย่างดี ขอเลือกบางตัวมากล่าวรายละเอียดนะคะ

  • Copper tripeptide-1 ตัวนี้น้องเป็นเปปไทด์ตัวหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะมีรายงานการวิจัยกล่าวถึงอยู่หลายฉบับ โดยนางมีประโยชน์กับผิวค่อนข้างกว้างในด้านของการชะลอวัยและการลดเลือนริ้วรอย ไม่ว่าจะเป็นคุณสมบัติในการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน และ Matrix อื่นๆ ปกป้องไม่ให้สารเหล่านี้สลายตัว (BioMed Research International. 2015; 648108.) รวมถึงยังมีประโยชน์ในด้านของการสมานผิว และดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง (Int J Mol Sci. 2018 Jul; 19(7): 1987.)
  • Tripeptide-29 ตัวนี้เป็นเปปไทด์ที่เกิดจากกรดอะมิโน 3 ตัว คือ Glycine-Proline-Hydroxyproline ซึ่งเจ้า Hydroxyproline เป็นกรดอะมิโนชนิดพิเศษที่พบได้ในสายคอลลาเจน การทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยงของทางผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า Tripeptide-29 เพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน
  • Hexapeptide-12 เปปไทด์ที่เกิดจากการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนที่เหมือนกับส่วนหนึ่งของสายเส้น Elastin ในผิว ทางผู้ผลิตวัตถุดิบได้ทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร พบว่าสารดังกล่าวมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความกระชับ และปรับสมดุลโทนสีผิว
  • Hexapeptide-9 ตัวนี้เป็นเปปไทด์ที่เกิดจากการจัดเรียงตัวของกรดอะมิโนที่เหมือนกับส่วนหนึ่งของสายเส้นคอลลาเจน ทางผู้ผลิตวัตถุดิบได้กล่าวว่า หน่วย Glycine-Proline-Glutamine ใน Hexapeptide-9 เป็นส่วนสำคัญของคอลลาเจน จึงมีประโยชน์ในการเสริมการสร้างคอลลาเจนของผิว โดยเฉพาะ Collagen IV และ VII ซึ่งเป็นองค์ประกอบของชั้น Dermal-Epidermal Junction หรือ DEJ ที่ทำหน้าที่พยุงเอาชั้นผิวหนังภายนอกไว้ ไม่ให้ยุบตัวลงมาเกิดเป็นริ้วรอยลึก และเสริมกระบวนการ Wound healing ของผิว
  • Nicotinoyl tripeptide-35 เป็นเปปไทด์สายสั้นๆ ที่มาจับกับวิตามินบี 3 เมื่อลงไปในผิวได้จะถูกแปรสภาพได้เป็นวิตามินบี 3 และ tripeptide-35 ได้ประโยชน์ทั้งจากวิตามินบี 3 และจากเปปไทด์ ไปพร้อมๆ กัน
  • Acetyl hexapeptide-8 ตัวนี้เป็นเปปไทด์ชื่อดังตัวหนึ่งที่ ที่รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า Argireline ออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาทที่เชื่อมต่อกล้ามเนื้อ (Neuromuscular junction-NMJ) ทำให้กล้ามเนื้อที่หดตัวเกิดเป็นริ้วรอยคลายตัว ทำให้ผิวแลดูเรียบขึ้น แต่ผลที่เกิดอยู่ไม่นาน

สีชมพูเป็นกลุ่มของวิตามิน ซึ่งทางแบรนด์เลือกใช้วิตามินบี 3 วิตามินเอ ในรูปแบบ Retinaldehyde วิตามินซี ในรูปแบบ Sodium ascorbyl phosphate และวิตามินอี ซึ่งจริงๆ วิตามินในแต่ละตัวก็จะมีประโยชน์หลายๆ อย่างแตกต่างกันไป ถ้ากล่าวแบบสรุปก็จะประมาณด้านล่าง

  • วิตามินบี 3 มีประโยชน์ในด้านของ Whitening, ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง และความแข็งแรงของ Barrier ผิว
  • วิตามินเอ มีประโยชน์หลายประการ โดยเด่นในเรื่องของการดูแลเรื่องริ้วรอย และปัญหาที่เกิดพร้อมๆ กับการ Aging
  • วิตามินซี มีประโยชน์ในด้าน Antioxidant, Whitening เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน และดูแลเรื่องการอักเสบละคายเคือง
  • วิตามินอี เป็น Antioxidant ในส่วนของไขมัน ปกป้องไม่ให้โครงสร้างที่เป็นไขมันถูกทำลาย

ปิดท้ายด้วยสีส้ม เป็นสารเสริมในด้านของ Antioxidant และการดูแลเรื่องริ้วรอย อย่างสารสกัดจากแครอทที่มีเบต้าแคโรทีนซึ่งสามารถสะสมตัวในบริเวณผิว ร่วมกับเบต้าแคโรทีนอิสระ และ Adenosine  

โดยรวมคือเป็นครีมบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวไปหลายๆ ด้านพร้อมกัน โดยเด่นที่ด้านของการชะลอวัย ชะลอการเกิดริ้วรอยใหม่ รวมถึงดูแลเรื่องริ้วรอยที่เกิดมาแล้ว ยาวไปถึงด้านความชุ่มชื้น ผิวแข็งแรง ดูแลปัญหาสิว และ Whitening ไปพร้อมๆ กัน

สำหรับส่วนผสมอื่นๆ ถือว่าทางแบรนด์เลือกมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง หรือ Actives ตามที่ได้เกริ่นไปในด้านบน ครีมตัวนี้สามารถดูแลปัญหาผิวได้หลายประการ และค่อนข้างเด่นไปในด้านของการชะลอวัย และดูแลริ้วรอยให้แลดูจางลง ทั้งยังครอบคลุมไปถึงด้านความชุ่มชื้น ผิวแข็งแรง ดูแลปัญหาสิว และ เป็น Whitening ไปพร้อมๆ กัน หลอดเดียวครบจบทุกปัญหา แต่ห้ามทากลางวัน และห้ามผู้ที่วางแผนจะตั้งครรภ์ใช้ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ หรือ Base ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ลองใช้ไนท์ครีมตัวนี้มาเป็นเวลาเกือบๆ เดือนครึ่ง สิ่งที่รู้สึกได้คือเรื่องของความเรียบเนียน ความนุ่มและแน่นของผิว ซึ่งจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นเมื่อใช้ไปเรื่อยๆ จุดนี้ตนเองค่อนข้างชอบ และจะมาอัพเดทอีกครั้งเมื่อใช้ต่อไปอีก ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Dr.Different (สาขาประเทศไทย) ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกๆ ท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบด้วยนะคะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/DrdifferentTH

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Dr.Different การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ