Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Barrier protecting serum ในไลน์ Biobalance จาก Kamedis เซรั่มดูแล Barrier ผิวในมิติใหม่

Blog นี้ขอหยิบเอาเซรั่มที่ดูแล Barrier ผิวตัวใหม่ของ Kamedis มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมกันนะคะ

โดยเซรั่มนี้มาใสขวดสีม่วง ในไลน์ Bio balance มีชื่อเต็มๆ ว่า Barrier protecting serum

หน้าตาประมาณนี้

ส่วนนี้จะเป็นตัวกล่องค่ะ

อยากจะโฟกัสที่คำว่า Microbiome research ที่ด้านมุมซ้ายล่าง เพราะว่า ตัวนี้เน้นดูแลปรับสมดุล Microbiome มีผลเทสต์การทดสอบการเจริญของแบคทีเรียที่พบได้บนผิว

ส่วนผสมของสารบำรุง เด่นเติมน้ำให้ผิวและดูแลการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน โดยมีการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครรองรับ

เคลมหลักของผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะกล่าวไว้ว่า

  • เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนาน 24 ชั่วโมง
  • ลดสัญญาณของผิวบอบบาง เช่น ผิวแห้ง แดง
  • เพิ่มความกระชับและยืดหยุ่น
  • พัฒนาสูตรมาเพื่อผิวบอบบางแพ้ง่าย

เนื้อผลิตภัณฑ์เป็นดูเหมือนเป็นเจลครีม มีสีเบจ ซึ่งเป็นสีที่มาจากสารสกัดจากธรรมชาติ

เกลี่ยได้ง่าย ให้สัมผัสชุ่มชื้น ไม่เหนอะหนะ ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสม อยากเล่าเรื่อง Barrier ผิวนิดหน่อยก่อน คือ พอพูดถึง Barrier ผิว หลายๆ คนจะนึกถึง Ceramide แต่จริงๆ แล้ว Barrier ผิวนั้นมีความซับซ้อนและมีอยู่หลายมิติเหมือนกัน Ceramides เป็นแค่เพียงส่วนหนึ่ง

ถ้าแบ่ง Barrier ผิวแบบง่ายๆ จะแบ่งเป็น 4 กลุ่มตามประเภท

  • Physical barrier เป็นกลไกทางกายภาพ ผิวหนังที่สมบูรณ์ไม่มีบาดแผลเป็นตัวปกป้องไม่ให้ของดีๆ ภายในออกไปข้างนอก และป้องกันไม่ให้อันตรายจากภายนอกเข้ามาข้างใน
  • Chemical barrier เป็นกลไกทางเคมี ที่ผิวเราสร้างขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการรักษาสภาวะ pH ให้เป็นกรดอ่อนๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคเจริญ การสร้างพวกไขมันต่างๆ มากันน้ำระเหยออก พวก NMF ที่มาจับน้ำ
  • Immunological barrier เป็นกลไกจากระบบภูมิคุ้มกันของผิวเรา เช่น กลุ่มของเซลล์ภูมิคุ้มกัน และ Antimicrobial peptide ที่ผิวสร้างขึ้นมา
  • Microbiome barrier โดย Microbiome เป็นเหมือนชุมชนของจุลินทรีย์หลากหลายชนิด น้องมีปฏิกิริยากับผิวเราทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของเราแข็งแรง รวมถึงสร้างสารที่มีประโยชน์ให้แก่ผิว ถ้าจุลินทรีย์มีความสมดุล มีชนิดที่หลากหลาย ผิวก็จะมีความแข็งแรง

มาดูส่วนผสมที่น่าสนใจกันนะคะ

  • คอมบิเนชั่นของ Anhydroxylitol, Xylitylglucoside, Xylitol คือ AquaxylTM เป็นคอมบิเนชั่นที่มีประโยชน์ในการเสริม Barrier ผิวผ่านหลายกลไก มีเคลมว่าเป็น “Anti-dehydration shield” ผ่านการเสริมการสร้างองค์ประกอบต่างๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งของ Barrier ผิว ทำให้ผิวแข็งแรง และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว

ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบมีดังนี้

  1. การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า Aquaxyl สามารถเพิ่มการสังเคราะห์สารกลุ่ม Glycosaminoglycans (GAGs) ที่จับน้ำให้ผิว เช่น Hyaluronic acid อาจจะเพิ่มไม่มาก และ Condroitin sulfate ตัวนี้เพิ่มขึ้นเยอะเลย
  2. การทดสอบในผิวหนังมนุษย์ที่ตัดมาเลี้ยง (Ex vivo) พบว่า Aquaxyl เพิ่มการสังเคราะห์ Ceramide ในผิวได้

3. การทดสอบในอาสาสมัคร เปรียบเทียบกับครีมเบส (placebo) พบว่า Aquaxyl เพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว และให้ Barrier ผิวแข็งแรงขึ้น (วัดจากค่าการระเหยของน้ำออกจากผิว – Trans epidermal water loss; TEWL ที่ลดลง)

เอาจริง แค่ Aquaxyl ก็เริ่ดแล้ว มาเจอกับสารสกัดสูตร Botaniplex® calm technology เข้าไปอีกก็คือดีงามขึ้นไปอีก ซึ่งคอมบิเนชั่นของ Botaniplex® Calm นี้ ทางแบรนด์ได้มีการทดสอบประสิทธิภาพในทั้งระดับหลอดทดลอง เซลล์เพาะเลี้ยง และผิวหนังจำลอง พบว่าเด่นในแง่ของการลดกระบวนการอักเสบ มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant และ เสริมกระบวนการสร้าง antimicrobial peptide ที่ชื่อ defensin ที่ทำหน้าที่ปกป้องผิวจากจุลินทรีย์ โดยรวมก็คือ สารสกัดชุดนี้มีประโยชน์ในการดูแลการระคายเคือง และให้ผิวแข็งแรงขึ้น

     ที่น่าสนใจเรื่อง Microbiome คือ สารสกัดในคอมบิเนชั่นนี้มีการทดสอบว่า สามารถลดการเจริญของจุลินทรีย์ที่ไม่ดี (เอา Staphylococcus aureus มาเป็นตัวแทน) และเสริมการเจริญของจุลินทรีย์ที่ดี (เอา S. epidermidis มาเป็นตัวแทน)

     เราลองมาดูจุดเด่นของสารสกัดบางชนิดในคอมบิเนชั่นนี้ และงานวิจัยที่รองรับกัน

  • Glycyrrhiza Glabra (Licorice) Root Extract สารสกัดจากชะเอม ซึ่งเด่นในแง่ของการดูแลการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว โดยประกอบด้วย Glycyrrhizic acid ที่มีฤทธิ์เด่นและมีงานวิจัยรองรับอยู่หลายฉบับ โดยฉบับหนึ่งที่น่าสนใจคือ การทดลองในอาสาสมัคร ที่เป็นผิวหนังอักเสบ Atopic ให้ทาเจลที่มีชะเอมความเข้มข้นต่างๆ เป็นเวลา 2 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีอาการคัน รอยแดง และอาการบวมของรอยโรคลดลง (Saeedi et al., J Dermatolog Treat. 2003; 14(3):153-7.)
  • Scutellaria baicalensis extract ตัวนี้เป็นสมุนไพรในตำรับยาจีน มีชื่อว่าหวงฉิน มีงานวิจัยรองรับประสิทธิภาพในด้านความงามและผิวพรรณอยู่พอควร สารสำคัญที่พบในหวงฉิน คือ Baicalin เด่นเรื่องคุณสมบัติในการต่อต้านการอักเสบ เป็น Antioxidant ทั้งทางตรง คือ ไปกำจัดอนุมูลอิสระ และทางอ้อม คือ ไปเปิดระบบ NRf2 ซึ่งเป็นตัวปรับสมดุล Redox ในเซลล์ เสริมการสร้างเอนไซม์และสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการกำจัดอนุมูลอิสระ ทำให้เซลล์ทนทานต่ออนุมูลอิสระมากขึ้น (กล่าวถึงใน Ma et al., Free Radic Biol Med. 2018;129:492-503.)
  • Cnidium monnieri extract เป็นสมุนไพรในตำรับยาจีนอีกตัว มีข้อมูลงานวิจัยล่าสุดเมื่อ พ.ค. ปีนี้ (2024) วิจัยในระดับเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า สามารถลดผลของ a-MSH ในการกระตุ้นการสร้างเม็ดสี โดยไปลดการสร้างเอนไซม์ Tyrosinase (Plants (Basel). 2024;13(10):1305.) ลดอาการแพ้สัมผัส (Allergic contact dermatitis) ในสัตว์ทดลอง (Biol Pharm Bull. 2002;25(6):809-12.)

นอกจากสารสกัดจากพืชในกลุ่ม Botaniplex® Calm แล้ว ในเซรั่มยังเสริมสารบำรุงอื่นๆ อีก ได้แก่

  • แร่ธาตุเบลนด์ Magnesium Aspartate, Zinc Gluconate, Copper Gluconate ซึ่งเสริมกระบวนการทำงานของผิวหลายประการ ตั้งแต่เรื่องสมดุลการสร้าง-เจริญ ไปจนถึงการชะลอวัย
  • Allantoin ดูแลการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Panthenol เพิ่มความชุ่มชื้น พร้อมกับ ดูแลการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว
  • Niacinamide มีประโยชน์กับผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการเสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิว ดูแลการอักเสบระคายเคือง เป็น whitening
  • เติมน้ำด้วย Hyaluron
  • Tropolone ตัวนี้เป็น synthetic antioxidant ที่ช่วยปกป้องทั้งสารในสูตรตำรับและอาจให้ประโยชน์ในการดูแลผิว และเสริมประสิทธิภาพของสารกันเสียในสูตรตำรับ

เบสมาในเบสแบบเจลครีม ใช้ C13-15 Alkane เป็นสารไขมันที่ช่วยให้ผิวนุ่ม (Emollient) เนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ ข้อมูลความปลอดภัยค่อนข้างดี มีชื่อเล่นในวงการว่า Hemisqualane

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง ส่วนตัวมองว่า น้องค่อนข้างเด่นในแง่ของการดูแลปัญหาการระคายเคืองผิวผ่านหลายๆ กลไก พร้อมทั้งเสริมความชุ่มชื้นผ่านกลไกการเติมน้ำเป็นหลัก มีผลเทสต์ในด้านของการดูแลเรื่องสมดุล microbiome ให้ผิวแข็งแรง และอาจให้ประโยชน์ไปถึงด้าน whitening จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวคิดว่าเรื่อง soothing (สบายผิว) น้องม่วงทำมาได้ดีมาก 10 10 10 เนื้อเซรั่มทำมาได้บางเบา ไม่เหนอะหนะ ในขณะที่ยังให้ความชุ่มชื้นค่อนข้างดี ให้ความรู้สึกสบายผิว ทางนี้เอามาแทรกในรูทีน คั่นกลางระหว่างเซรั่มเบสน้ำ กับ เบสแบบครีมได้พอดีแบบลงตัวมาก ใช้ได้ทั้งเช้า-เย็น ให้ความชอบไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Kamedis สาขาประเทศไทย ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้เป็นของขวัญ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/Kamedisth

ทางไปชอปปิ้ง

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/7pcZ9A27BG

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.sT41b?cc

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับเป็นของขวัญจากทางแบรนด์ Kamedis สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้รับค่าตอบแทนจากการเขียนรีวิว และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมแชมพูและครีมนวดผมในไลน์ Scalp control จากแบรนด์ Kamedis ที่พัฒนามาด้วยคอนเซปท์การบูรณาการผสมผสานแพทย์แผนจีนและเทคโนโลยีปัจจุบันได้อย่างลงตัว

สำหรับ Blog นี้จะขอหยิบเอาผลิตภัณฑ์ดูแลหนังศีรษะและปัญหารังแคจากแบรนด์ Kamedis มาฝากกันนะคะ

ถ้าพูดถึงแบรนด์ Kamedis ทางแบรนด์พึ่งรีแบนด์ รีแพคเกจใหม่ไปสักพัก เรียกได้ว่า mood and tone ชุดใหม่นี้แลดูน่ารัก น่าใช้ทุกตัวเลยค่ะ

Intro นิดหน่อย

แบรนด์ Kamedis อ่านว่า Kamedis (Kuh meh dis)

ซึ่งคำว่า Ka มีรากฐานมาจาก 开 (ไค) ภาษาจีน ที่แปลว่า เปิด เริ่มต้น และยังสามารถสื่อถึงการถ่ายทอดนวัตกรรมได้อีกด้วย Medis แสดงถึงลักษณะทางยาของผลิตภัณฑ์ และสะท้อนถึงภูมิหลังทางวิทยาศาสตร์ของแบรนด์ เมื่อรวมกันแล้ว Kamedis คือ “นวัตกรรมทางยา”

ที่มาของแบรนด์ก็น่าสนใจนะคะ เริ่มมาจากคุณ Roni Kramer แพทย์แผนจีนด้วยประสบการณ์กว่า 10 ปี สมุนไพรจีนหลายชนิดมีประสิทธิภาพ แต่ไม่ค่อยมีการใช้ในเท่าไหร่ แต่ในทางการแพทย์แผนตะวันตกมีสเตียรอยด์ ซึ่งมีประสิทธิภาพจริง แต่ผลข้างเคียงก็เยอะเหมือนกัน เราเลยจะเห็นว่าแบรนด์จะเคลมว่า “No steroid” เพราะอันนี้เป็น pain point ของสเตียรอยด์ที่เธอมองเป็นจุดหลักเลยค่ะ

ในที่สุดทางแบรนด์ก็แสวงหาวิธีการแก้ปัญหาผิวพรรณ รวมทั้งหนังศีรษะ โดยการบูรณาการความรู้จากศาสตร์การแพทย์แผนจีนเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เลยกลายเป็นผลิตภัณฑ์ของ Kamedis ขึ้นมาค่ะ

สำหรับ Blog นี้จะขอหยิบเอาผลิตภัณฑ์ในไลน์ Scalp control 2 ชิ้น ได้แก่ Dandruff shampoo และ Nourishing conditioner มารีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมกันค่ะ

โดยจะขอเริ่มจาก Dandruff shampoo ที่มีหน้าตาประมาณนี้

ขวดด้านในเป็นฝาแบบ Flip

ตัวเนื้อแชมพูเป็นแชมพูแบบขุ่น

ฟองค่อนข้างนุ่ม เล็กละเอียดคล้ายครีม เกลี่ยและกระจายตัวบนเส้นผมและหนังศีรษะได้ง่าย

หลังล้างไม่ได้รู้สึกว่าผมแห้งกระด้างจนเกินไป

วิธีใช้ที่ทางแบรนด์แนะนำคือ ใช้สัปดาห์ละอย่างน้อย 2 ครั้ง เวลาสระให้นวดๆ บนหนังศีรษะประมาณ 2 – 3 นาที

ค่า pH ของฟองอยู่ที่ราวๆ 5 – 6

ก่อนไปดูส่วนผสมอยากเล่าถึงการเกิดรังแค และสมดุล Microbiome บนหนังศีรษะซักเล็กน้อย

บนหนังศีรษะของเราก็มีจุลินทรีย์ต่างๆ อาศัยอยู่ร่วมกัน ชุมชนของจุลินทรีย์เหล่านี้เราเรียกกันว่า Microbiome โดยเจ้าตัวเล็กเหล่านี้จะทำให้หนังศีรษะของเราแข็งแรง ไม่อักเสบ ไม่ระคายเคือง และยังช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อก่อโรคเติบโตเพิ่มจำนวนจนมากเกินไปแล้วก่อโรคขึ้นมาค่ะ

โดยหนึ่งในจุลินทรีย์ที่มีความสำคัญบนหนังศีรษะคือ Malassezia spp. yeast นั่นเอง ซึ่งตัวยีสต์นี้ มีหลาย species ย่อย บางตัวก็ดี บางตัวก็ไม่ดี

โดยเจ้ายีสต์ Malassezia spp. นี้นางมีเอนไซม์ Lipase ที่ไปย่อย Triglycerides ที่ต่อมไขมันเราสร้างมา ได้พวกกรดไขมันต่างๆ แล้วนางกินแต่กรดไขมันไม่อิ่มตัวเป็นอาหาร และนางจะยังเลือกไม่กิน Oleic acid นะ

ทีนี้ปัญหาเลยอยู่ว่า พอ Oleic acid มันเยอะไป มันจะไปทำให้ Barrier บนหนังศีรษะอ่อนแอ และนำไปสู่การระคายเคือง รวมทั้งปัจจัยจากความเครียดเอย และสิ่งแวดล้อม เช่น รังสี UV

ทำให้เกิดความผิดปกติในหลายๆ ระดับ ตั้งแต่เรื่องการสร้าง-เจริญ-เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่-ผลัดออกทิ้ง เมื่อกระบวนการนี้ผิดปกติไป มันก็เลยเห็นเศษเซลล์เป็นแผ่นๆ เป็นรังแค

กล่าวถึง Microbiome อีกนิดหน่อย งานวิจัยล่าสุดของปีนี้ พบว่าในหนังศีรษะของคนที่เป็นรังแค จะมีสัดส่วนของ ยีสต์ M. restricta และ แบคทีเรีย Staphylococcus capitis สูงกว่าคนปกติ ในขณะที่ Cutibacterium acnes (หรือ C. acnes เจ้าเก่าชื่อเดิม P. acnes ของเรา) น้อยกว่าคนปกติ แบบนี้ก็คือ Microbiome ผิดไป (Int J Cosmet Sci. 2024. doi: 10.1111/ics.12933.)

โดยนัง M. restricta นี่แหละ เป็นตัวสร้าง Lipase มาย่อยไขมัน แล้วเหลือ Oleic acid ทิ้งไว้จน Barrier ผิวเราอ่อนแอ

รังแคอาจมีได้หลายรูปแบบ อาจจะมีสีขาว สีเทา หรือสีเหลืองก็ได้ถ้ามีพวกน้ำมันอยู่มาก

ในภาพรวม เราสามารถสรุปกลไกในการเกิดรังแคได้ดังนี้ค่ะ

ทางแบรนด์มี VDO น่ารักๆ ด้วยค่ะ สามารถไปรับชมได้นะคะ (ภาษาอังกฤษ)

ก่อนไปดูส่วนผสมอยากบอกว่า ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการทดสอบทางคลินิก และพบว่าสามารถลดรังแคที่มองเห็นได้ 100% และอาสาสมัคร 90% พึงพอในในการทดสอบผลิตภัณฑ์

(Image from Kamedis official website)

เรามาดูส่วนผสมของ Kamedis Scalp control dandruff shampoo กัน

พอเป็นแชมพู เราเลยอยากหยิบเอาสารทำความสะอาด/surfactant มาวิเคราะห์ก่อน

ในกลุ่มของ Surfactant แทนด้วยสีฟ้า มีดังนี้

  • Ammonium lauryl sulfate คู่กับ Ammonium laureth sulfate หรือ ALS/ALES 2 ตัวนี้เป็นสารทำความสะอาดประจุลบที่ทำความสะอาดได้ดี ให้ฟองเยอะ แต่บางคนอาจจะมองว่าน้องแรงไปนิด ทางแบรนด์ก็เลยใช้อีก 2 ตัวเข้ามาปรับทำให้สูตรมีความอ่อนโยนขึ้น ได้แก่
  • Cocamidopropyl betaine น้องเป็นสารทำความสะอาดชนิดสองประจุ มีความอ่อนโยนที่ดี
  • Sodium lauroyl sarcosinate เป็นสารทำความสะอาดประจุลบอีกตัว ที่ดัดแปลงโครงสร้างจากกรดอะมิโน มีความอ่อนโยนสูง ฟองดี ฟองละเอียด

ลดผมพันกันด้วย Polyquaternium-10 ซึ่งจะเคลือบปิดเกล็ดผม และลดการเกิดไฟฟ้าสถิตบนเส้นผม ลดผมชี้ฟู

ในส่วนของสารขจัดรังแค ใช้ 3 ตัว แทนด้วยสีชมพู ได้แก่

  • Salicylic acid เป็นตัวมาตรฐานตัวหนึ่ง ที่ได้รับการยอมรับจาก USFDA ว่ามีประสิทธิภาพในการขจัดรังแค มีประโยชน์ในการผลัดผิว และมีคุณสมบัติลดการอักเสบได้หน่อยๆ
  • Piroctone Olamine เป็นสารมาตรฐานอีกตัวที่ใช้ในการขจัดรังแค ออกฤทธิ์โดยไปฆ่าเชื้อยีสต์ Malassezia spp. และปรับกระบวนการสร้าง-ผลัดทิ้ง (Turnover) ของ Keratinocyte บนหนังศีรษะให้ช้าลง ทำให้การเกิดรังแคลดลง การศึกษาในอาสาสมัครที่พึ่งตีพิมพ์เมื่อต้นปี พบว่า การใช้แชมพูที่มี Piroctone Olamine เป็นเวลา 3 สัปดาห์ สามารถปรับสมดุล Microbiome และลดการเกิดรังแค (Int J Cosmet Sci. 2024. doi: 10.1111/ics.12933.)
  • Climbazole เป็นสารขจัดรังแคอีกตัวหนึ่ง ออกฤทธิ์โดยการฆ่าเชื้อยีสต์ Malassezia spp. และมีงานวิจัยในเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า Climbazole ทำให้ Keratinocyte แข็งแรงขึ้น โดยไปเพิ่มความแข็งแรงของ Cornified envelope ทำให้ปกป้องหนังศีรษะจากสารก่อการระคายเคืองได้ดีขึ้น (ลดอักเสบอ้อมๆ) (Int J Cosmet Sci. 2014;36(5):419-26)

การใช้ Piroctone Olamine คู่กับ Climbazole มีรายงานวิจัยรองรับอยู่ค่ะ โดยเป็นการศึกษาประสิทธิภาพของแชมพูที่มีส่วนผสมของ 0.5% piroctone olamine และ 0.45% climbazole พบว่ามีประสิทธิภาพในการขจัดรังแค และไม่ทำให้ผมแห้ง กระด้าง (Int J Cosmet Sci. 2011;33(3):276-82.)

ในส่วนของสารสกัดจากพืชมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่

  • Soap nut (Sapindus mukurossi extract) ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดอักเสบระคายเคือง และมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์
  • Indigo (Indigofera tinctoria extract) ปรับสมดุลกระบวนการสร้าง-ผลัดทิ้ง (Turnover) ของ Keratinocyte บนหนังศีรษะให้ช้าลง ทำให้การเกิดรังแคลดลง

สรุปสารบำรุงที่ใส่มาตามคอนเซปท์ของแบรนด์ ก็คือการคัดสรรเลือกเบลนด์นวัตกรรม Botaniplex® จากสารสกัดพืช เข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่เข้าด้วยกันอย่างลงตัว และดูแลรังแคที่หลายกลไก และให้ความสำคัญกับเรื่องสมดุล Microbiome เพื่อให้มีหนังศีรษะที่ดี

พัฒนาสูตรมาเป็นอย่างดี ไม่มีส่วนผสมของสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

ให้คะแนน

  1. สารทำความสะอาด ตัวที่เป็นสารทำความสะอาดหลักคือ ALS/ALES ที่สร้างฟองได้ดี ให้ฟองเยอะ ทำความสะอาดดี แต่อาจจะทำให้ผมแห้ง เลยตัดเอา cocamidopropyl betaine กับ Sodium lauroyl sarcosinate เข้ามาเพื่อความอ่อนโยน ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. สารบำรุง ส่วนตัวชอบความเบลนด์เอาสมุนไพรเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ซึ่งสารบำรุงที่ทางแบรนด์เลือกใส่มาก็คือ เสริมกันในการดูแลรังแคได้อย่างลงตัว ผ่านหลายๆ กลไก หลักๆ จะเน้นไปที่การปรับสมดุลของการสร้าง-ผลัดเซลล์ผิว (Turnover) ปรับสมดุล Microbiome และกำจัดยีสต์ Malassezia spp. ตบๆ มาด้วย สารสกัดสมุนไพรที่ลดระคายเคืองหนังศีรษะเข้ามาอีก 1 กรุบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ด้วยความที่เราเป็นคนชอบฟอง น้องถือว่าทำมาตอบโจทย์มาก ฟองนุ่ม ละเอียด และฟองลื่นเกลี่ยง่ายบนเส้นผม ตีฟองขึ้นเร็ว หลังใช้ผมไม่แห้งกระด้างมาก ใช้คู่กับครีมนวดต่อเลยคือฉ่ำพอดี ให้ไป 5 ฟลาสก์

ถัดมาเราจะมาดูรีวิวและวิเคราะห์ส่วนผสมของครีมนวดผมกันนะคะ

ครีมนวดผม Nourishing conditioner มาในหลอดแบบบีบหน้าตาแบบนี้

จุดที่น่ารักจุดหนึ่งของแพคเกจคือ ตอนเราซื้อมา เขาจะมี Seal ที่ปกป้องผลิตภัณฑ์ไม่ให้โดนแกะก่อนมาถึงมือเราอยู่ค่ะ

เนื้อจะออกคล้ายๆ บาล์ม มีสีเหลืองอ่อนๆ ซึ่งทางแบรนด์ไม่ได้ใช้สี สีนี้เป็นสีจากวัตถุดิบสารสกัดจากธรรมชาติค่ะ

ค่า pH ของครีมนวดผมหลังละลายน้ำอยู่ที่ราวๆ 5 นะคะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในส่วนของครีมนวดผมก็เรียกได้ว่าทำมาได้น่าสนใจไม่แพ้กันกับแชมพูเลยทีเดียว

โดยอาศัย Cetrimonium chloride ซึ่งเป็นสาร Surfactant ประจุบวก จะทำหน้าที่จับกับผมเสียที่มีประจุเป็นลบ ลดการชี้ฟู และเคลือบปิดเกล็ดผมเอาไว้ พร้อมทั้งทำหน้าที่เหมือนปูพื้นให้สารบำรุงบางชนิด มาเกาะบนเส้นผมได้ง่ายขึ้น

ในส่วนของสารบำรุงที่เป็นสารสกัดจากพืช กลุ่มเทคโนโลยี นวัตกรรม Botaniplex® มีด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่

  • Soap nut (Sapindus mukorossi Fruit Extract) ซึ่งมีคุณสมบัติในการลดอักเสบระคายเคือง และมีคุณสมบัติยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์
  • Amor cork tree (Phellodendron Chinense Bark Extract) หรือ ชื่อจีน Huang Bai มีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อจุลินทรีย์ก่อโรค ซึ่งจะช่วยลดการเกิดรังแค และปรับสมดุล Microbiome แบบอ้อมๆ
  • Chrysanthemum Indicum Flower Extract หรือ ดอกเก๊กฮวย ที่เด่นเรื่องการดูแลการระคายเคือง

เสริมมาด้วย

  • โปรวิตามินบี 5 (Panthenol) ที่ดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความชุ่มชื้น
  • Sodium hyaluronate เพิ่มความชุ่มชื้น
  • Ethylhexyl methoxycinnmate เป็นสารดูดซับรังสี UVB ถ้าเคลือบอยู่บนเกล็ดผม ก็จะช่วยปกป้องเส้นผมจากรังสี UV ได้อีกทาง
  • Tocopheryl acetate เป็น Antioxidant

ในภาพรวม ครีมนวดถ้าดูจากส่วนผสม จะดูเหมือนค่อนข้างเบา ผมเสียมากๆ ผมทำสี ผมเส้นเล็กแบบดิฉันจะไหวไหม แต่พอได้ลองใช้จริงก็คือแบบ เออ ไหวอ่ะ น้องทำถึงมาก เคลือบผมให้เงางาม และนุ่มมีน้ำหนัก แต่ไม่เยิ้ม

มาให้คะแนนกัน

  1. สารบำรุง รวมสารปรับสภาพเส้นผม น้องใช้ Cationic surfactant เป็นตัวปรับสภาพเส้นผม ร่วมกับซิลิโคน และ Shea butter เพื่อเสริมความเงาวาวให้เส้นผม เสริมสารสกัดจากพืชตามเทคโนโลยี Botaniplex® ที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ และสารบำรุงอื่นๆ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน อย่างที่เกริ่นไปว่า ถ้าดูจากส่วนผสม ส่วนตัวจะคิดว่า น้องน่าจะเบา คนผมเส้นเล็ก ผมแห้งมาก เสียมาก ทำสีมา น่าจะเอาไม่อยู่ แต่ผิดคาด นางไหว นางทำถึงมาก ผมนุ่มสวย มีน้ำหนัก และเงางามตามท้องเรื่อง ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ขอขอบคุณทางแบรนด์ Kamedis สาขาประเทศไทย ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตา และทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://web.facebook.com/Kamedisth

ทางไปตำแชมพู

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.Mrvj1?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/qNva39KyC

ทางไปตำครีมนวด

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.p9hXf?cc

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/4pu4LJ0er7

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Kamedis สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเวชสำอางสายคลีนแบรนด์ดัง Kamedis กลุ่ม AC-clear Breakouts control kit ครบเซ็ต

สวัสดีค่ะ

วันนี้มี่มีรีวิวผลิตภัณฑ์สำหรับดูแลปัญหาสิวตัวเด่นตัวดังตัวหนึ่งมาฝากกันนะคะ

เป็นเซ็ตผลิตภัณฑ์ดูแลสิวจากแบรนด์ Kamedis ซึ่งส่วนตัวเข้าใจว่าหลายๆ ท่านน่าจะเคยได้ยินชื่อแบรนด์ แบรนด์นี้มาบ้าง แบรนด์นี้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศอิสราเอลค่ะ

โดยที่มาของแบรนด์ก็น่าสนใจนะคะ เริ่มมาจากคุณ Roni Kramer เธอมีปัญหาผิว เธอเลยเสาะแสวงหาวิธีการแก้ปัญหาผิวไปเรื่อยๆ จนมีโอกาสได้เรียนการแพทย์แผนจีน และเอาความรู้ที่ได้มาบูรณาการเข้ากับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เลยกลายเป็นผลิตภัณฑ์ของ Kamedis ขึ้นมาค่ะ

ภายใต้คอนเซปท์ East meets West, tradition and innovation, safety and effectiveness

และสโลแกน “Balance, Nature, Science” ค่ะ

(Image from Kamedis Official Website)

สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มี่มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมวันนี้เป็นเซ็ตดูแลปัญหาสิว AC-Clear Breakouts control kit นั่นเองค่ะ

ในเซ็ตๆ นี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์จำนวน 3 ชิ้น ได้แก่ Cleanser, Spot treatment และ Face cream ค่ะ มีหน้าตาประมาณนี้

สำหรับเซ็ตนี้ประกอบด้วยผลิตภัณฑ์ 3 ชิ้น ได้แก่ Cleanser, Cream และ Spot treatment

จากคอนเซปท์ Balance, Nature, Science ทางแบรนด์ได้ทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร พบว่าผิวดูสะอาดขึ้น และปัญหาสิวดีขึ้นภายใน 12 ชั่วโมงหลังใช้งานค่ะ

สำหรับสมุนไพรหลักของกลุ่มนี้ จะเป็นสมุนไพรสูตรผสมที่มีสิทธิบัตรรองรับ ตัวหลักจะเป็นตัว Purslane (Portulaca oleracea) ร่วมกับสมุนไพรอื่นอีก 6 ชนิด ได้แก่ Amur Cork Tree (Phellodendron Amurense), Great Burnet (Sanguisorba Officinalis), Chinese Rhubarb (Rheum Palmatum), Baikal Skullcap (Scutellaria Baicalensis), and Chrysanthemum (Chrysanthemum Indicum)

เริ่มกันที่ตัว Cleanser เลยนะคะ

Cleanser ของเขามาในรูปหลอดประมาณนี้ค่ะ

เนื้อเป็นเนื้อแบบโฟม ปริมาณของฟองจะไม่เยอะมากนัก หลังล้างยังคงสบายผิว ไม่แห้งตึง และไม่ระคายเคือง

ค่า pH หลังละลายน้ำอยู่ที่ราวๆ 5 – 6 นะคะ ถือว่ากำลังเหมาะเลย

สำหรับส่วนผสมของโฟมล้างหน้าจะเป็นตามนี้ค่ะ

ในภาพรวมสูตรของ Cleanser มาด้วยความอ่อนโยน มีสารไขมันที่คอยป้องกันไม่ให้ผิวแห้งจนเกินไปหลังล้าง และเสริมสารบำรุงที่เป็นพระเอกอย่างสารสกัดของ Purslane และ Salicylic acid ที่เป็น BHA

ส่วนผสมของ Cleanser มี่ทำสีไว้ 5 สีนะคะ

  • ส่วนของสีม่วงจะเป็นกลุ่มของสารทำความสะอาด ซึ่งทุกตัวมีความอ่อนโยนกับผิวเป็นอย่างดี
  • สีชมพู เป็นสารสกัดจาก Purslane พระเอกของผลิตภัณฑ์กลุ่ม AC-control ค่ะ ซึ่งตรงนี้เดี๋ยวจะกล่าวอีกรอบตอนรีวิวเซรั่มนะคะ
  • สีฟ้า สารสกัดจากพืชในกลุ่มของ Soapberry ประกอบด้วยสารกลุ่ม Saponin มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดเช่นกัน
  • สีน้ำตาล คือ Salicylic acid ตัวนี้เป็น BHA ที่ละลายได้ไขมัน มีคุณสมบัติละลายสิ่งอุดตันภายในรูขุมขน และลดการระคายเคือง
  • สีเขียว เป็นไขมันที่เติมเข้ามา ในทางเครื่องสำอางนิยมเรียก Super fat เพื่อป้องกันผิวแห้งตึงหลังล้างออก และตัวที่น่าสนใจคือ Lauroyl lysine ซึ่งเป็นสารลูกผสมระหว่างกรดอะมิโน Lysine กับกรดไขมัน เป็นสารปรับ Feeling ให้ความรู้สึกนุ่มนวล และอาจเกาะติดผิว ให้คุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้น

ต่อมาจะเป็นตัว Spot treatment หน้าตาเป็นประมาณนี้ค่ะ

เนื้อจะออกสีส้ม อมน้ำตาล ซึ่งทางแบรนด์เคลมว่าเป็นสีของสารสกัดจากพืชที่ใส่ลงไป มีกลิ่นแนวสมุนไพรตามธรรมชาติ

ลองดูที่ส่วนผสมก็คือเขาไม่ได้แต่งสี ส่วนตัวก็เลยคิดว่าเป็นสีจากพวกสารสกัดเหมือนกันค่ะ

สำหรับตัวนี้มี่ไม่ได้วัดค่า pH ให้นะคะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวม Spot treatment นี้มาในรูปแบบของเจลเบสน้ำ ไม่มีส่วนผสมของน้ำมัน และซิลิโคน ใช้สารบำรุงหลายชนิด คือ กลุ่มของสาร Signature combination ของกลุ่มนี้ รวมถึง BHA และสารสกัดที่มีสิทธิบัตรรองรับ อย่างชุดสีชมพู

แต่ว่ามีแอลกอฮอล์ ซึ่งติดมากับวัตถุดิบด้วยส่วนหนึ่ง สำหรับแอลกอฮอล์ตรงนี้ส่วนตัวมองว่าน่าจะมีประโยชน์ในการชะ และทำความสะอาดรูขุมขน เหมาะกับสภาพผิวมัน เพราะคนที่เป็นสิวส่วนใหญ่มักจะมีผิวมัน ลองมาดูรายละเอียดกันนะคะ

  • สีชมพู สูตรผสมของ Capryloyl Glycine & Hexylene Glycol & Sarcosine & Cinnamomum zeylanicum Bark Extract ตัวนี้มีชื่อว่า SepicontrolTM A5 ของบริษัท Seppic ประเทศฝรั่งเศส ทางผู้ผลิตวัตถุดิบมีการทดสอบทั้งในระดับหลอดทดลอง และในอาสาสมัคร พบว่าส่วนผสมชุดนี้มีประโยชน์ในด้านของ การยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรีย เสริมภูมิคุ้มกันให้ผิว การลดการอักเสบระคายเคือง ควบคุมการสร้างน้ำมันจากต่อมไขมัน ปรับสมดุลการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของผิวในรูขุมขน ซึ่งมีประโยชน์ในด้านของลดการอุดตัน และยับยั้งเอนไซม์ Lipase ที่แบคทีเรียสร้างออกมา เมื่อมี Lipase นางจะไปย่อยสลายไขมันจากต่อมไขมัน ทำให้เกิดอาการการอักเสบต่างๆ ตามมาคู่กับอาการของสิว วัตถุดิบชุดนี้มีสิทธิบัตรรองรับ (US20040228822A1)
  • สีเขียวอ่อน สูตรผสมของ Propanediol (and) Picea abies Extract และ Alcohol เป็นสารสกัดของ เนื้อไม้ Norway Spruce มีคุณสมบัติเป็น Antioxidant ที่ดี และมีความเสถียรสูง
  • สีน้ำตาล คือ BHA ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน
  • สีฟ้า เป็นสูตรผสมของสารสกัดที่เป็น Signature ของผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ค่ะ ได้แก่
    • สารสกัดจาก Portulaca oleracea หรือ Purslane มีรายงานเกี่ยวกับฤทธิ์กระตุ้นการสมานแผล (Wound healing) (J Ethnopharmacol. 2003; 88(2-3):131-6.) ลดการอักเสบ (J Ethnopharmacol. 2000; 73(3):445-51.) และมีคุณสมบัติเป็น Antioxidant (J Med Plants Res. 2011; 5(9):1589-1593) นอกจากนี้ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบหลายๆ เจ้า ก็กล่าวว่ามีประโยชน์ในด้านของการควบคุมความมัน และกระชับรูขุมขน
    • สารสกัดจาก Sapindus mukorossi หรือ Soapberry มีรายงานว่าเป็น Antioxidant มีประโยชน์ในด้านของการลดการอักเสบระคายเคือง ให้ความรู้สึกสบายผิว ในส่วนของเมล็ดมีรายงานว่ายับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นเอนไซม์สำหรับสร้างเม็ดสี Melanin (Rev Inst Med Trop Sao Paulo. 2012; 54(5):273-80.) ตรงนี้ส่วนตัวมองว่าน่าจะมีประโยชน์ในด้านของการดูแลปัญหารอยดำจากสิว
    • สารสกัดจาก Phellodendron amurense หรือ Amur cork tree ตัวนี้เป็นพืชในยาจีนชนิดหนึ่ง มีรายงานเกี่ยวกับประโยชน์ในด้านของการลดการอักเสบระคายเคือง (Int Immunopharmacol. 2014; 19(2):214-20.)
    • สารสกัดจาก Sanguisorba officinalis หรือ Great burnet มีรายงานว่าประกอบด้วยสารกลุ่ม Flavonoid ที่เป็น Antioxidant ที่ดี มีรายงานว่ามีคุณสมบัติต้านเชื้อจุลชีพได้หลายชนิด (Pharm Chem J. 2016; 50(4): 244–249.)
    • Rheum palmatum สารสกัดจาก Rhubarb ผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่าประกอบด้วยสารในกลุ่ม Phenolic หลายชนิด มีประโยชน์เป็น Antioxidant และมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อจุลชีพบางประเภท
    • Scutellaria baicalensis extract สารสกัดจาก Skullcap ประกอบด้วยสารฟลาโวนอยด์ที่ชื่อ Baicalin กับ wogonin ที่ให้ผลลดการอักเสบในผิว ปกป้องไม่ให้รังสี UV ทำลายคอลลาเจนในผิว โดยไปมีผลยับยั้งไม่ให้เอนไซม์ MMP เพิ่มจำนวนขึ้น (Eur J Pharmacol. 2011; 661(1-3):124-32.)
    • Chrysanthemum indicum extract สารสกัดจากดอกไม้ในวงศ์เดียวกับดาวเรือง ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า ประกอบด้วยสารในกลุ่ม Phenolic หลายชนิด และ Saponin ที่มีประโยชน์ในเรื่องการต้านอนุมูลอิสระ ลดการอักเสบ ลดการบวมน้ำ ปกป้องผิวหนังจากรังสี UV

ดังนั้นโดยสรุปคือ Spot treatment ตัวนี้จัดมาเต็มมาก แน่นมาก เรียกได้ว่าดูแลครบจบทุกปัญหาสิวเลยในหลอดเดียว

สุดท้ายขอปิดรีวิวด้วยตัวครีมบำรุงนะคะ

หน้าตาเป็นประมาณนี้

เนื้อครีมมีสีออกส้มอมน้ำตาล มีกลิ่นไปในแนวสมุนไพรเฉพาะตัว

เนื้อครีมค่อนข้างให้สัมผัสเย็น เกลี่ยง่าย เบาสบายผิว ไม่เหนอะหนะ

ส่วนผสมของตัว Face cream เป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับตัวของครีม ในภาพรวมจะเป็นรูปแบบครีม หรือ เจลครีม ที่มีส่วนผสมของน้ำ กับน้ำมันที่มีเนื้อบางเบา สารบำรุงคล้ายกับตัวเซรั่ม เพียงแต่มีการเสริมเอา Plankton extract กับวิตามินซี เข้ามา และปรับสารสกัดในตำรับนิดหน่อย จึงขอกล่าวถึงตัวที่เพิ่มมานะคะ

  • สีม่วง สูตรผสมของ Plankton Extract & Phenethyl Alcohol ตัวนี้คาดว่าจะมีชื่อทางการค้าว่า EPS SEAFILL PA ของบริษัท CODIF Technologie Naturelle ประเทศฝรั่งเศส ส่วนผสมชุดนี้ทางผู้ผลิต Claim ไปในเชิงของด้านการชะลอวัย ลดริ้วรอย และปรับสภาพผิวให้ดูเรียบเนียน

ซึ่งส่วนตัวมองว่า การเอาวัตถุดิบกลุ่มลดเลือนริ้วรอยมาใส่ในผลิตภัณฑ์ดูแลสิว น่าจะมีประโยชน์ในแง่ของการลดเลือนรอยแผลเป็นจากสิว

สำหรับวันนี้ในการให้คะแนนขอหยิบยกเอา Spot treatment มาให้คะแนนนะคะ

  1. สารบำรุง ตามที่ได้กล่าวไปในด้านบน ตัวสารบำรุงที่ทางแบรนด์เลือกใส่มา ไม่ว่าจะเป็นสูตรผสมสิทธิบัตร และ สารควบคุมความมัน ลดการอักเสบระคายเคือง รวมไปถึงพวก Antioxidant พวกที่ต่อต้านจุลชีพ และ พวก Whitening ต่างๆ ถือว่าทำมาได้ตอบโจทย์เลยหละ ทั้งปัญหาตัวสิวเอง การอุดตัน ความมัน รอยแดง และรอยดำ ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี รับไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ด้วยความที่มีการใช้ Alcohol ซึ่งตรงนี้ส่วนตัวเข้าใจว่าติดมากับวัตถุดิบบางตัว และ อาจใส่เสริมเพื่อปรับสภาพครีมให้แห้ง ไม่มันเยิ้ม ให้ความรู้สึกสดชื่น ซึ่งค่อนข้างเหมาะกับคนผิวมัน ซึ่งมักพบปัญหาสิวอยู่บ่อยๆ แต่มีก็คือมี เลยขอหักไป 1 ฟลาสก์ ตัววัตถุดิบที่เหลือ เลือกใช้ได้อย่างดี ลงตัว และไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิวอยู่เลย รับไป 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวนานๆ ทีจะมีปัญหาเกี่ยวกับสิว เลยเอาตัว Spot treatment ไปให้หลานลองใช้ ถือว่าตอบโจทย์ หลาน Happy กับเรื่องการดูแลสิว แต่แค่เวลาราวๆ 2 อาทิตย์ อาจจะยังเห็นผลไม่ชัดเจนเนาะ ตัวหลานเองก็บอกว่าไม่ได้แสบหรือยุบยิบอะไรแต่อย่างใด ส่วนตัวครีม มี่เอามาใช้เองเป็นตัวบำรุงในช่วงกลางวัน ทาเฉพาะตรง T-zone ช่วงบ่ายๆ เย็นๆ นี่คือ ช่วยทำให้เมคอัพดูสดเหมือนพึ่งแต่ง ให้ความรู้สึก Matte แต่ไม่แห้งตึง จุดนี้ถ้าเอาความรู้สึกของมี่มาเป็นเกณฑ์ขอให้ไปที่ 4 ฟลาสก์ค่ะ แต่คนผิวแห้งอาจจะไม่ไหวนะคะ ตัวนี้ค่อนข้าง Matte เลยแหละ ส่วนคนผิวมันน่าจะชอบค่ะ

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางตัวแทนจำหน่ายของแบรนด์ Kamedis ด้วยนะคะ ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางเพจ Inskin Lab ซึ่งเป็น Official Distributor ของ Kamedis ในไทยได้เลยนะคะ

https://www.facebook.com/inskinlab.th

พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Kamedis การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ