Image

ไม่ใช่แค่ 1 แต่มาเป็นคู่ รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มคู่หูดูแลปัญหาริ้วรอย Matrix serum PE และ Retinol serum จากแบรนด์ Kisocare ประเทศญี่ปุ่น

เมื่อช่วงปลายเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มีโอกาสได้รู้จักกับแบรนด์ Kisocare เป็นแบรนด์จากญี่ปุ่น มาในสายสกินแคร์เรียบง่ายแต่พัฒนาสูตรมาด้วยความเอาใจใส่ ทุกอย่างอิงตามหลักการทางวิทยาศาสตร์ และมีการเลือกใช้ส่วนผสมใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

โดยส่วนตัวเองก็มีโอกาสได้ลองสินค้าของทางแบรนด์หลายๆ ชิ้น ใน Blog นี้จะเป็นการหยิบเอา 2 ชิ้นที่คิดว่า ใช้คู่กันแล้วเสริมกันแบบลงตัวมาก มารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมกัน

โดยเป็นคู่ของ Matrix serum PE + Retinol serum ที่เหมือนเกิดมาเพื่อกันและกัน

ซึ่งเราจะเริ่มกันที่ตัว Matrix serum ซึ่งเป็น peptides เบลนด์ ใช้ได้ทั้งเช้าและเย็น

มาในหน้าตาแบบนี้นะคะ

เซรั่มเป็นเบสแบบน้ำใส ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยง่าย ซึมไวแห้งไว ไม่เหนอะหนะ ให้สัมผัสที่ชุ่มชื้น และเย็นสบายผิว

ในด้านส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

ในภาพรวมเป็นเซรั่มเปปไทด์ที่เสริม antioxidant จากวิตามินซี มาในเบสแบบน้ำ

ส่วนผสมของสารบำรุงขอเริ่มที่หมวดเปปไทด์ก่อน

  • คอมบิเนชั่นของ Palmitoyl tetrapeptide-7 + Palmitoyl tripeptide-1 รู้จักกันในนาม Matrixyl 3000 ซึ่งมีข้อมูลเด่นๆ ในด้านของการเสริมการสังเคราะห์คอลลาเจนหลายๆ ชนิดในผิว เช่น Collagen I ที่เป็นตัวหลักในด้านกระชับ เฟิร์ม แข็งแรง ร่วมกับ Collagen IV + VII และ Nidogen I ที่ฟอร์มคอมเพล็กส์ร่วมกัน อุ้มเอารอยต่อชั้นหนังกำพร้า-หนังแท้ (DEJ) เอาไว้ เพื่อลดความเสี่ยงในการเกิดริ้วรอยลึก และช่วยซัพพอร์ตการจัดเรียงตัวของเส้นใย matrix ให้ผิวกระชับแน่น (Ref: TDS Matrixyl 3000)
  • Acetyl hexapeptide-8 เป็น neuropeptide ที่ช่วยคลายริ้วรอยให้ผิวดูเรียบเนียนขึ้น มีวิจัยรองรับอยู่ (Am J Clin Dermatol 2013;14:147–153.)
  • Pentapeptide-18 ตัวนี้เป็น neuropeptide อีกตัว ที่เสริมกันกับ Acetyl hexapeptide-8 ในการดูแลริ้วรอยต่างๆ และพวกริ้วรอยจากการแสดงสีหน้า (expression line) ได้อย่างลงตัว พร้อมทั้งได้ประโยชน์ในด้านผิวชุ่มชื้น ตัวนี้มีวิจัยรองรับอยู่ถึงประสิทธิภาพในการดูแลปัญหาริ้วรอย (Cosmetics. 2014;1(2): 75-81.)

คอมบิเนชั่นของ Acetyl hexapeptide-8 + Pentapeptide-18 มีชื่อเรียกในวงการว่า Argirelox

ถัดมาเป็น Sodium ascorbyl phosphate ที่เป็นอนุพันธ์ของวิตามินซีที่ละลายน้ำได้ เป็น antioxidant ที่ดี มีประโยชน์ในเชิง whitening และมีประโยชน์เสริมในการดูแลปัญหาสิว

เสริม Hya ที่ช่วยดูแลเรื่องความชุ่มชื้นผิว

ตัวถัดมาเป็นเซรั่มเรตินอล ซึ่งทำมาได้ดีไม่แพ้กันค่ะ

น้องมาในหน้าตาแบบนี้

รุ่นนี้มีเคลมว่าใช้เรตินอล 0.1% มาในสูตรอ่อนโยน แต่ด้วยความเป็นเรตินอล เราจะใช้แค่ตอนกลางคืน

เนื้อเซรั่มมาในเบสแบบน้ำ สีเหลืองตามธรรมชาติของเรตินอล ไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ง่าย ซึมไวแห้งไวไม่เหนอะหนะ เนื้อค่อนข้างเบาสบายผิว

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในภาพรวมน้องมาในเบสแบบน้ำ มีส่วนผสมของน้ำมันบำรุงผิวอยู่นิดหน่อย

ในกลุ่มของวิตามินเอ มีด้วยกัน 6 อนุพันธ์ บางตัวเป็นฟอร์มที่หาพบในสกินแคร์ได้ยาก และมีราคาสูง

  • Retinol ฟอร์มธรรมชาติ มีประโยชน์ในการดูแลผิวหลายประการ ตั้งแต่เรื่องปรับสมดุลการสร้าง-ผลัดออก ให้ผิวแข็งแรง กระชับ ดูแลปัญหาผิว ริ้วรอย ชะลอวัย แต่ตอนจะออกฤทธิ์ต้องแปรสภาพในผิวก่อน
  • Hydroxypinacolone retinoate หรือ HPR ตัวนี้มีข้อมูลจากผู้ผลิตว่าอ่อนโยนกว่า Retinol ให้ประโยชน์เหมือนกัน บางแหล่งข้อมูลกล่าวว่าสามารถออกฤทธ์ได้เลยโดยไม่ต้องผ่านการแปรสภาพ
  • Retinyl palmitate เป็นเอสเทอร์ของเรตินอล ต้องถูกแปรสภาพเป็น Retinol ก่อน แต่ข้อดีคือ เป็นเหมือนสต็อคให้เรตินอล ผิวจะค่อยๆ เปลี่ยนมา และมีโอกาสระคายเคืองน้อยกว่า Retinol
  • Hydrogenated retinol เป็นเรตินอลที่ดัดแปลงโครงสร้างให้เป็นสารอิ่มตัว มีข้อมูลว่า มีความคงตัวมากขึ้น การระคายเคืองผิวน้อยลง มีสิทธิบัตรญี่ปุ่นพูดถึง Hydrogenated retinol ว่าสามารถเสริมการสร้าง Hyaluronic acid ตามธรรมชาติในผิว ให้ผิวชุ่มชื้น นุ่มนวล และดูแลปัญหาริ้วรอย (Ref: JP2006193427A)
  • Tocopheryl retinoate เป็นลูกผสมระหว่างวิตามินเอ-อี มีคุณสมบัติเป็น antioxidant เสริมการสังเคราะห์คอลลาเจน และมีการระคายเคืองน้อยลง
  • Sodium retinoyl hyaluronate เป็นลูกผสมของวิตามินเอ-ไฮยา มีเคลมว่าดูดซึมได้ดีขึ้น ลดการระคายเคือง และช่วยให้ผิวชุ่มชื้น

เสริมไฮยาเข้ามาหลายฟอร์มเพื่อดูแลเรื่องความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ตัวที่น่าสนใจคือ Sodium hyaluronate crosspolymer-2 ซึ่งเป็นไฮยาตัวใหญ่มาก สร้างตัวเป็นฟิล์มที่แข็งแรงบนผิว ให้ผิวนุ่มนวล และชุ่มชื้น ช่วยเก็บน้ำให้ผิว (moisture retention)

ในส่วนของ antioxidant มีการเสริมวิตามินอี ร่วมกับสารสกัดจากชาเขียว โรสแมรี่ และดูแลการระคายเคืองด้วยสารสกัดจาก cica, scutellaria, polygonum และชะเอม

มาให้คะแนนกัน

Blog นี้ขอให้คะแนนของ Retinol serum นะคะ

  1. สารบำรุง มีวิตามินเอและอนุพันธ์ รวมๆ กัน 6 ฟอร์ม ซึ่งบางฟอร์มหาได้ยากและมีราคาสูง ถือเป็นโอกาสอันดีที่ได้ลองวิตามินเอฟอร์มใหม่ๆ เสริมไฮยาหลากหลายชนิด ที่ดูแลเรื่องความชุ่มชื้น พร้อมไฮยาที่ก่อฟิล์มช่วยให้ผิวกักเก็บน้ำได้มากขึ้น มี Antioxidant และมีสารที่ดูแลการระคายเคือง โดยจะเน้นเป็นพวกสารสกัดจากพืช ซึ่งมีวิจัยซัพพอร์ตอยู่ ถ้านับแค่ความเป็น Retinol serum ก็คือสมบูรณ์แบบ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว และมาในเบสแบบน้ำ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ส่วนตัวค่อนข้างชอบความเป็นเบสน้ำของผลิตภัณฑ์ ใช้งานง่าย เลเยอร์ลงสกินแคร์รูทีนได้ง่าย จะเสริมน้ำตบเซราไมด์ของแบรนด์ก็คือจอยอยู่นะฟินไม่แพ้กัน หรือเอามาทำ retinol sandwich คู่กับมอยส์ที่มีอยู่ก็จอยไม่แพ้กัน ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Kisocare สาขาประเทศไทย ที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตา ได้ลองวิตามินเอฟอร์มที่หาตัวจับยาก และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/kisocare.thailand

IG: https://www.instagram.com/kisocare.thailand/

แนบลิงค์ช้อปปิ้ง

Matrix serum PE

Shopee https://s.shopee.co.th/40YA0Fiu9F

Lazada https://s.lazada.co.th/s.ZaExmP?cc

Retinol serum

Shopee https://s.shopee.co.th/7KobyIuImD

Lazada https://s.lazada.co.th/s.ZaEx9U?cc

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Kisocare การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่ม Soybean panthenol ampoule จาก Round Lab

Blog นี้เราจะมาวิเคราะห์ส่วนผสมของเซรั่ม Soybean Panthenol Ampoule จากแบรนด์ Round Lab กัน

ซึ่งน้องมีหน้าตาแบบนี้

ส่วนนี้จะเป็นหน้าตาของกล่อง

เนื้อสัมผัสจะเป็นแบบน้ำนม มีความหนืดเล็กน้อย

เกลี่ยง่าย ให้ฟีลบางเบา ไม่เหนอะหนะ

ก่อนจะไปดูส่วนผสม มาดูเคลม และผลเทสต์ของผลิตภัณฑ์ก่อนนะคะ

สำหรับตัว Soybean panthenol ampoule นี้ ทางแบรนด์เคลมว่า ใช้ Panthenol ที่เก็บกักไว้ในนีโอโซม ซึ่งการเอาไปเก็บนีโอโซมก็จะช่วยเสริมการดูดซึมได้

ซึ่งก็จะสอดคล้องกับผลเทสต์ในอาสาสมัครเพศหญิง จำนวน 22 คน ช่วงอายุ 28 – 64 ว่าสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นในผิวที่หลายๆ ระดับ ได้ในการทาเพียงครั้งเดียว

นอกจากนี้การทาเพียงครั้งเดียว ยังปรับ texture ผิวให้เรียบเนียน และลดการเกิดขุยผิว ซึ่งเป็นสัญญาณบอกว่าผิวชุ่มชื้นขึ้น

และการใช้ 2 สัปดาห์ ช่วยให้ Barrier ผิวแข็งแรงขึ้น วัดจากค่าการระเหยของน้ำออกจากผิว หรือ Trans-epidermal water loss (TEWL) ที่ลดลง

จากผลเทสต์เหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเซรั่มวิตามินบี 5 ที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

มาดูส่วนผสมกัน

ในภาพรวมก็คือ เป็นเบสแบบน้ำนม มีส่วนผสมของพวก Fatty ester อยู่รวมกับเบสน้ำ ไม่มีแอลกอฮอล์ และซิลิโคน ในส่วนของสารบำรุงก็จะมี

  • Panthenol หรือ โปรวิตามินบี 5 ที่มีข้อมูลสนับสนุนว่า สามารถดูดซึมผ่านผิวหนังได้ มีคุณสมบัติเป็น Moisturizer ที่ดี เพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยผิวกักเก็บน้ำโดยไปลดการระเหยของน้ำออกจากผิว ให้ผิวนุ่ม ยืดหยุ่น เสริมกระบวนการสมานแผล (Wound healing) ลดการอักเสบระคายเคือง ลดรอยแดง (Ebner et al., Am J Clin Dermatol. 2002;3(6):427-33.) แบรนด์เคลมเป็น Panthenol ที่เก็บในนีโอโซม ความเข้มข้น 50,000 ppm คำนวณกลับมาเป็น 5% ในสูตร
  • สารสกัดจากถั่วเหลือง ซึ่งแบรนด์เคลมว่า ใช้ถั่วเหลือง Black soybean ซึ่ง ประกอบด้วย anthocyanin และ isoflavones สูงกว่าถั่วเหลืองปกติถึง 19.5 เท่า โดยปกติสารสกัดจากถั่วเหลืองก็จะเด่นในด้านของ antioxidant จากพวก isoflavones ส่วนประโยชน์แบบละเอียดอาจจะต้องย้อนไปดูกรรมวิธีการสกัดอีกที
  • ไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว และสารตั้งต้น มี Ceramides, cholesterol, fatty acid อยู่ครบ โดยตัวที่น่าสนใจ คือ Tetraacetylphytosphingosine มีข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สามารถเสริมการสังเคราะห์ Glucosylceramides ที่เป็นสารตั้งต้นของ Ceramides ได้ดีกว่า และมีประโยชน์ในเชิงด้านของการดูแลการอักเสบระคายเคือง
  • Ulmus Davidiana Root Extract มีงานวิจัยระบุว่าประกอบด้วย Polysaccharide พบว่ามีประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้นเทียบเท่า Hyaluronic acid ลดสารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบ ในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง (J Cosmet Sci. 2006;57(5):355-67.) อีกงานวิจัยกล่าวว่า มีสารกลุ่ม Flavan-3-ols ที่สามารถป้องกันการเกิด Glycation ของโปรตีนได้ (Planta Med. 2008; 74(15):1800-2.)
  • Amaranthus Caudatus Seed Extract สารสกัดจาก Amaranth มีรายงานว่าเป็น Antioxidant (Nahrung. 2002; 46(3):184-6.) ข้อมูลจากผู้ผลิตบอกว่า สารสกัดส่วนเมล็ดของ Amaranth ประกอบด้วยน้ำมันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวปริมาณสูง และมี Squalane

นอกจากนี้มี Adenosine ดูแลเรื่องชะลอวัย ริ้วรอย เติมน้ำด้วย Hya และมีวิตามินอี เป็น antioxidant

ในภาพรวมก็คือ ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างครบ เด่นเรื่อง Soothing พร้อมฟื้นฟู Barrier ผิว เสริมความชุ่มชื้น รองๆ ได้เรื่อง antioxidant เข้ามา

ให้คะแนน

  1. สารบำรุง ในส่วนของสารบำรุงตัวหลักจะเป็น Panthenol ที่บรรจุใน niosome เพื่อเสริมการดูดซึม มีผลทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัคร เสริมมาด้วยสารสกัดจากธรรมชาติหลายชนิด เด่นเรื่อง Soothing พร้อมฟื้นฟู Barrier ผิว เสริมความชุ่มชื้น มาพร้อมไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว และสารตั้งต้น ในภาพรวมให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. ความชอบ ในภาพรวมคือน้องเป็นเซรั่ม B5 ที่ทำมาในเนื้อบางเบา ไม่เหนอะหนะ สามารถเอาเข้ารูทีนได้ง่าย ในเรื่องของความสบายผิว ดูแลการระคายเคืองส่วนตัวคิดว่าน้องทำมาได้ค่อนข้างดี ในด้านความชุ่มชื้นถ้าผิวแห้งมากคิดว่าต้องเสริมมอยส์อื่นเพิ่มเติม แต่ถ้าผิวมันคิดว่าน่าจะเอาอยู่ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบค่ะ

แนบทางไปช้อปปิ้ง

Lazada https://s.lazada.co.th/s.EUDZG?cc

Shopee https://s.shopee.co.th/5fbTPHWnEf

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ซื้อด้วยตนเอง การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม มอยส์เจอไรเซอร์ดูแลปัญหาสิวด้วยเทคนิค 3 ปฏิบัติการ จาก La Roche-Posay รุ่น Effaclar Duo+M

Blog นี้ขอหยิบเอาสกินแคร์ที่ออกแบบมาเพื่อดูแลผิวที่เป็นสิวง่ายจากแบรนด์ La Roche-Posay มาวิเคราะห์ส่วนผสมกันค่ะ

ผลิตภัณฑ์ใน Blog นี้ก็คือ Effaclar Duo+M ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นที่พัฒนาขึ้นจากสูตรเดิมนั่นเอง

โดยน้องจะมาในหน้าตาแบบนี้

ส่วนนี้จะเป็นกล่องที่เวลาเราไปเจอบนเชลฟ์ใน Drugstore

อยากโฟกัสไปที่ Microbiome Science ที่จะได้เล่าต่อไปค่ะ

เรามาดูเรื่องของการเกิดสิวแบบย่อๆ อีกสักรอบนะคะ

สิว คือ อาการอักเสบของต่อมไขมันที่บริเวณรูขุมขน (Pilosebaceous unit) ซึ่งก็จะมีหน้าตาประมาณภาพนี้

โดยการเกิดสิวนั้นเป็นกระบวนการที่ซับซ้อน ไม่ได้เกิดจากเชื้อจุลินทรีย์เพียงอย่างเดียว แต่มีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย โดยสามารถแบ่งได้เป็น 4 เสาหลักแห่งสิว ได้แก่

  • การที่เซลล์ในปากปล่องรูขุมขนแบ่งตัวออกมามากเกินไปจนผลัดทิ้งไม่ทัน หรือ มีการสร้างโปรตีน Keratin ที่ผิดปกติ ทำให้การผลัดผิวตามธรรมชาติเกิดได้ยาก กลายเป็นก้อนซากเซลล์ ที่อุดตันอยู่ในปากปล่องรูขุมขน
  • การสร้างน้ำมันที่มากเกินไปจากต่อมไขมัน (Sebaceous gland) พอมาเจอกับก้อนโปรตีนซากเซลล์ ที่ขวางปากปล่องรูขุมขนก็สะสมกองรวมกันอยู่ตรงนั้น
  • เชื้อจุลินทรีย์ โดยตัวหลักคือ Cutibacterium acnes หรือ C. acnes (ชื่อเดิมในวงการคือ Propionibacterium acnes หรือ P. acnes) ไม่ได้มีแค่ตัวเดียว แต่รวมไปถึงเชื้อตัวอื่นๆ ด้วย และนับรวมเอาความไม่สมดุลของ Microbiome ซึ่งเป็นเหมือนชุมชนของเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ บนผิว โดยเจ้า C. acnes นี่จะกินน้ำมันเป็นอาหาร แล้วปลดปล่อยสารที่ไปก่อให้เกิดการอักเสบต่างๆ ตามมา
  • ระบบภูมิคุ้มกันของเรา ที่ไปต่อต้านเชื้อ C. acnes และ ทำให้เกิดกระบวนการอักเสบต่างๆ ขึ้นมา

ถ้าจำลองเป็นซีรี่ส์ ก็จะเห็นว่าการอุดตันนี่เป็นเหมือนต้นตอแห่งการเกิดสิวเลย เพราะถ้าไม่อุดตัน ไขมันก็ขับออกได้ตามปกติ เชื้อ C. acnes มันก็จะไม่โตมากไป แล้วก็จะไม่เกิดสิวเกิดการอักเสบ ถ้าดูแลตรงจุดที่เริ่มอุดตันนี้ได้ ก็คือจบเรื่อง สยบวงการก่อสิว

วันนี้เราจะโฟกัสกันที่ C. acnes อีกหน่อย

จุลินทรีย์ C. acnes มีอยู่ 6 phylotypes หลักๆ ได้แก่ IA1, IA2, IB, IC, II และ III ซึ่งมีข้อมูลว่า

  1. เมื่อสมดุล phylotypes ของ C. acnes เสียไป จะทำให้เป็นสิว
  2. เจ้า IA1 นี่แหละ ที่เป็นนางร้ายกาจที่สุด โดยมีการศึกษาพบว่า ถุง extracellular vesicles (EVs) ที่ C. acnes IA1 สร้างออกมา ทำให้ผิวเราเกิดกระบวนการอักเสบ โดยตรวจวัดได้จากปริมาณสารก่อการอักเสบกลุ่ม Cytokines และ Antimicrobial peptides เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งสัมพันธ์กับความรุนแรงของการเกิดสิว (Ref: Cheng et al. Exp Dermatol. 2024;33(8):e15150.)

โดยส่วนผสมใน Effaclar Duo+M ที่เพิ่มมาใหม่ คือ โมเลกุลของ Phylobioma มีผลทดสอบว่าสามารถปรับสมดุล Phylotypes ของ C. acnes ให้กลับมาสู่ปกติเหมือนคนสุขภาพดี

และโมเลกุลนี้ยังช่วยลดการสร้าง Biofilm ที่เหมือนเป็นเกราะฟิล์มเคลือบให้เชื้อเกาะผิวดีขึ้น ของเชื้อ C. acnes ลดกระบวนการอักเสบ ปรับสมดุลการสร้างและขับ Sebum และปรับสมดุลการสร้างผิวไม่ให้มีมากจนเกินกว่าที่ผิวเราจะผลัดไหวและสะสมจนเกิดเป็นการอุดตันขึ้นมา

ปัญหาสิวยังไม่จบแค่สิวมันโผล่มา แต่พอสิวหายก็ยังทิ้งปัญหาต่อเนื่องไม่จบไม่สิ้น ไม่ว่าจะเป็นรอยแดง (เรียก Post-acne erythema; PAE) รอยดำจากการอักเสบ (Post-inflammatory hyperpigmentation; PIH) รวมไปถึงอาจจะเกิดรอยแผลเป็น ถ้าตอนเป็นสิวนั้นเป็นมากจนเกิดการทำลายโครงสร้างของรูขุมขนไป

สำหรับผลิตภัณฑ์ Effaclar Duo+M นี้ มีกลไกหลัก 3 ประการ ได้แก่

  1. ลดสิว
  2. ลดเลือนรอยดำรอยแดงสิว
  3. ลดโอกาสสิวเกิดซ้ำ

ตัวผลิตภัณฑ์ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในทางคลินิกในกลุ่มอาสาสมัครตั้งแต่ช่วงอายุ 10 ปี ขึ้นไป โดยแพทย์ผิวหนัง

หลังใช้ 8 ชั่วโมง

  • 74% พบว่าปัญหาสิวดูลดลง
  • 78% รอยสิวดูจางลง
  • 89% ผิวดูเรียบเนียนขึ้น

และใน 28 วัน 89% ของอาสาสมัครมีปัญหาสิวลดลง

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ซึ่งในชุด Effaclar Duo+M ที่ปรับมาใหม่นี้ จะมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า Phylobioma ซึ่งเด่นเรื่องของการปรับสมดุล Phylotypes ของ C. acnes โดยไปลด C. acnes IA1 ที่ก้าวร้าวดุร้าย และปรับสมดุลจุลินทรีย์ให้กลับมาสู่ปกติเหมือนผิวคนสุขภาพดี

นอกจากนี้โมเลกุลนี้ยังช่วยลดการสร้าง Biofilm ที่เหมือนเป็นเกราะฟิล์มเคลือบให้เชื้อเกาะผิวดีขึ้น ของเชื้อ C. acnes ลดกระบวนการอักเสบ ปรับสมดุลการสร้างและขับ Sebum และปรับสมดุลการสร้างผิวไม่ให้มีมากจนเกินกว่าที่ผิวเราจะผลัดไหวและสะสมจนเกิดเป็นการอุดตันขึ้นมา

มาดูรายละเอียดของสารบำรุงในสูตรนี้กัน

เริ่มต้นที่ Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 มีประโยชน์ที่ดีกับผิวที่มีปัญหาสิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการดูแลการอักเสบระคายเคือง เป็น Whitening ผ่านการยับยั้งการส่งผ่านเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกมาข้างนอก ซึ่งอาจจะให้ผลดีในแง่ของรอยดำจากสิวไปด้วย มีรายงานวิจัยศึกษาถึงประสิทธิภาพของ Niacinamide ในการดูแลสิว โดยใช้ 4% niacinamide พบว่าให้ผลดีในการลดสิวในกลุ่มอาสาสมัครที่มีผิวมัน (Int J Dermatol. 2013;52(8):999-1004.)

ถัดมาจะเป็นกลุ่มของสารที่มีประโยชน์ในการควบคุมความมันใช้สีฟ้าเป็นตัวแทน

  • Silica และ Rice starch ดูดซับน้ำมัน ความมันส่วนเกิน
  • สารสกัดจากทับทิม มีสารในกลุ่ม Tannin ซึ่งมีประโยชน์ในการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน
  • Zinc PCA ที่มีประโยชน์ในการควบคุมความมัน กระชับรูขุมขน และยังมีรายงานการวิจัยกล่าวว่า มีคุณสมบัติปกป้องพวกคอลลาเจนในผิวจากรังสี UVA ได้ในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง โดยไปลดการสร้างเอนไซม์ MMP-1 ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ทำลายคอลลาเจนในผิวทำให้เกิดความหย่อนยานและริ้วรอย (Int J Cosmet Sci. 2012; 34(1):23-8.) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบกล่าวว่า สารนี้มีประโยชน์เป็นสารเติมน้ำให้ผิว (Humectant) ระงับเชื้อบางชนิด ควบคุมความมัน ลดริ้วรอยและชะลอวัย (TDS Ajidew® ZN-100, Ajinomoto Ltd.)

กลุ่มกรดอินทรีย์ที่ดูแลปัญหาสิว รวมไว้เป็นสีบานเย็น

  • Salicylic acid ที่จัดเป็นสารในกลุ่ม BHA ลดการอุดตันภายในรูขุมขนโดยการไปสลาย Comedone (สิ่งอุดตัน)
  • Capryloyl salicylic acid จัดเป็นสารในกลุ่ม Lipohydroxy acid หรือ LHA ซึ่งมีประโยชน์ในการผลัดผิวแบบอ่อนๆ ดูแลเรื่องการระคายเคือง และลดเลือนรอยดำจากสิว

สารบำรุงอื่นๆ ได้แก่

  • Mannose เป็นสารในกลุ่มน้ำตาล มีข้อมูลสนับสนุนว่า Mannose มีประโยชน์ในการดูแลเรื่องการอักเสบ/ระคายเคืองของผิว โดยมีการทดสอบในหนูทดลองที่ถูกเหนี่ยวนำให้เป็นสะเก็ดเงิน พบว่าลดการสื่อสารระหว่างเซลล์ภูมิคุ้มกัน T-Helper cell กับเซลล์ผิว Keratinocyte ส่งผลให้การอักเสบต่างๆ ลดลง ทั้งในรูปแบบรับประทานและแบบทาภายนอก (Int Immunopharmacol. 2023;118:110087.) ซึ่งก็อาจจะมีประโยชน์ในการดูแลความรู้สึกระคายเคืองจากสิว
  • 2-Oleamido-1,3-Octadecanediol ตัวนี้เป็นสารสิทธิบัตรของเครือ L’Oréal มีชื่อเล่นว่า ProceradTM ซึ่งเป็นสารในกลุ่มของ Ceramide นอกจากจะดูแล Barrier ผิวแล้ว น้องยังไปลดการสร้างเม็ดสีผิว ที่อาจจะมีประโยชน์ในการดูแลรอยดำจากสิวไปพร้อมๆ กัน

เทียบโครงสร้างของ Procerad กับ แกนโครงสร้างหลักของ Ceramide จะเห็นว่ามีส่วนหัวที่เหมือนกัน

  • Vitreoscilla ferment filtrate มีงานวิจัยของ La Roche-Posay ทดสอบสารสกัดจากแบคทีเรีย Vitreoscilla filiformis ที่เลี้ยงในน้ำแร่ลาโรชโพเซย์ พบว่าสามารถกระบวนการสังเคราะห์ mRNA และ peptide ที่เป็นสารฆ่าเชื้ออกมาจากผิวได้มากขึ้น มีผลเพิ่มสาร Antioxidant และเอนไซม์ที่ช่วย Detox อื่นๆ จึงเป็นการเสริมสร้างระบบป้องกันตัวเองของผิว (Defense system) (Clin Cosmet Investig Dermatol. 2013; 6:191-6.) ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Aqua Posae Filiformis (ขอย่อว่า APF) ซึ่งมีประโยชน์ในการปรับสมดุลของ Microbiome และเสริมความแข็งแรงให้แก่ Barrier ผิว เมื่อนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์จะให้ประโยชน์ในการดูแลอาการคัน ระคายเคืองทั้งจากผิวแห้ง และจากปัญหาสิว จึงเรียกได้ว่า APF มีความน่าสนใจตัวหนึ่งเลยทีเดียว สำหรับการดูแลสิวผ่านทาง Microbiome และการระคายเคืองผิว
  • Piroctone Olamine เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อยีสต์บางชนิด เช่น Malassezia furfur (อีกชื่อคือ Pityrosporum ovale) เป็นยีสต์ที่อาศัยอยู่บนผิวเราตามธรรมชาติ ยีสต์ตัวนี้กินไขมัน (Sebum) เป็นอาหาร ถ้ามีมากเกินไปจนระบบ microbiome เสียสมดุล ก็จะทำให้เกิดโรคผิวหนังบางชนิด เช่น Seborrheic dermatitis (เซ็บเดิร์ม) หรือ กลุ่มอาการรูขุมขนอักเสบ ที่เรียกกันในวงการว่าสิวยีสต์ (Malassezia (Pityrosporum) folliculitis, fungal acneiform) (J Clin Aesthet Dermatol. 2014; 7(3): 37–41.)

มันจะมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่พึ่งออกมาในปี 2023 ในคนไทย เปรียบเทียบประสิทธิภาพในการปรับสมดุล Microbiome บนผิวของครีมสูตรผสม Aqua Posae Filiformis, lipohydroxy acid, salicylic acid, linoleic acid, niacinamide และ piroctone olamine เทียบกับ BP และกรดวิตามินเอ พบว่า Combination นี้สามารถปรับสมดุล Microbiome ให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น แต่ในขณะที่ กลุ่มอาสาสมัครที่ใช้ BP และกรดวิตามินเอนั้นมีความหลากหลายของ Microbiome ที่ลดลง (Wongtada et al. Exp Dermatol. 2023 Jun;32(6):906-914.)

ปกติแล้วผิวที่สุขภาพดีจะมีความหลากหลายของ Microbiome อยู่สูง นั่นก็แปลว่า สูตร combination นี้สามารถดูแลผิวให้มีสุขภาพดีได้นั่นเอง (แต่ในครีมรุ่นที่นำมารีวิวนี้ไม่มี Linoleic acid นะ แต่ ในซีรี่ส์ Effaclar บางชิ้นเป็น combination นี้ค่ะ)

ในภาพรวมส่วนผสมที่ทางแบรนด์เลือกใช้สามารถดูแลปัญหาสิวและปัญหากวนใจที่มากับสิวได้ครบจบทุกวงจรของการเกิดสิว ซึ่งสามารถสรุปได้ดังภาพ

ในส่วนของเนื้อครีมเบส และส่วนผสมอื่นๆ ก็ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี ไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว และสูตรชุดนี้ผ่านการทดสอบการระคายเคืองและประสิทธิภาพในอาสาสมัครมาแล้ว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง (Actives) เรียกได้ว่ามีอยู่ค่อนข้างหลากหลาย และดูแลผิวได้ผ่านหลายกลไกทั้งในทุกระดับของการเกิดสิว ตั้งแต่ก่อนเป็นสิว สิวขึ้น รอยสิว และการกลับเป็นซ้ำของสิว โดยจะค่อนข้างเด่นในแง่ของเรื่อง Microbiome และการดูแลเรื่องปัญหาการระคายเคืองผิว รอยแดง รอยดำ ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. เนื้อหลัก (Base) เบสเป็นแบบเจลครีม ส่วนผสมเลือกมาได้ค่อนข้างดี รับไป 5 ฟลาสก์
  3. สารปรุงแต่ง (Additives) ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว เลยไม่มีที่ให้หักคะแนน รับไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ La Roche-Posay สาขาประเทศไทยที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ เพียบพร้อมด้วยการศึกษา และมี Mechanism ที่น่าสนใจ มาให้ได้เปิดหูเปิดตา และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Official facebook: @LaRochePosayThailand (https://www.facebook.com/LaRochePosayThailand)

หรือท่านที่จะตามไปส่องสินค้าบน Official Mall ก็เรียนเชิญได้เลยค่ะ

ตัวสินค้ามีด้วยกัน 2 ขนาด หลอดเล็กสำหรับมือใหม่อยากลองใช้ 7.5 ml ราคา 219 บาท หลอดปกติ 40 ml ราคา 1090 บาท (ราคาอาจเปลี่ยนแปลงตามโปรโมชั่น)

ทางไปชอปปิ้ง ขนาด 7.5 ml

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/1LPraJ6abx

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.teYdu?cc

ทางไปช้อปปิ้ง ขนาด 40 ml

แอพส้ม https://s.shopee.co.th/40QclF01tb

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.teYeA?cc

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ La Roche-Posay ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ