Image

[Basic Cosmetic Science] Skin barrier: องค์ประกอบของ Barrier ผิว

ระดับความยาก: ปานกลาง

“But first, skin barrier”–LadyMiyeon, 2023

ผิวจะดีได้ Barrier ต้องดีก่อน

ผิวหนังของคนเรามีหลายหน้าที่ แต่หน้าที่หนึ่งที่สำคัญมาก คือการเป็นกำแพงที่คอยปกป้องไม่ให้สิ่งอันตรายจากข้างนอกเข้ามาภายในผิว และป้องกันไม่ให้ของดีๆ ในผิวเราหลุดออกไปข้างนอก

หน้าที่นี้เราเรียกว่า Barrier function 

โดยชั้นที่ทำหน้าที่หลักในการปกป้องผิว หรือเป็น Barrier นี้จะเป็นผิวหนังชั้นนอกสุด หรือ Epidermis และส่วนที่สำคัญในการทำหน้าที่นี้จตะอยู่ที่ชั้นขี้ไคล หรือ Stratum corneum

การเป็น Barrier function ของ Stratum corneum

ส่วนของหนังกำพร้าทำหน้าที่เป็นปราการ หรือที่เรียกกันว่า Barrier คอยปกป้องไม่ให้สารต่างๆ จากข้างนอกเข้ามาข้างใน และปกป้องไม่ให้สารจากข้างในออกไปข้างนอก

ปกติแล้วผิวหนังเรามีกลไกหลัก 3 อย่างในการเป็นปราการปกป้องผิว ได้แก่

  1. ไขมันที่เรียงตัวเป็นชั้นๆ หรือ Lipid lamellar
  2. สารกลุ่ม Natural Moisturizing factor (NMF) ที่มีทั้งในเซลล์ และในช่องว่างระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่ดูดน้ำเอาไว้ ไม่ให้ไปไหน
  3. การเรียงตัวอันซับซ้อนของเซลล์ผิวในชั้น Stratum corneum ซึ่งเป็นผิวชั้นบนสุด และองค์ประกอบโปรตีน Keratin ในผิว

องค์ประกอบทั้ง 3 ส่วนนี้แลดูคล้ายกับก้อนอิฐที่เรียงกันและฉาบเชื่อมกันด้วยปูน ก็เลยมีผู้เสนอ Model เพื่ออธิบายการเป็น Barrier ของผิวว่าเป็นกำแพงอิฐ (Brick-wall model) ดังรูป

ส่วนของก้อนอิฐก็คือเซลล์ผิวหนังชั้นนอกสุด หรือที่มีชื่อว่า Corneocyte ส่วนของปูนก็คือไขมันที่เป็น Lipid lamellar นั่นเอง ว่ากันว่า Lipid lamellar นั้นสำคัญที่สุดในการเป็น Barrier ให้ผิว

นอกจากองค์ประกอบหลักทั้ง 3 นี้แล้ว ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ เสริม เช่น Corneocyte envelope หรือ Cornified envelope, Aquaporin, Tight junction ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป

รายละเอียดแต่ละองค์ประกอบของ Barrier ผิวมีดังนี้

ไขมันของผิว

ไขมันที่เป็น Barrier ผิว นั้นอยู่ภายใต้ผิวหนัง เป็นคนละอันกับน้ำมันที่ทำให้ผิวเรามันเยิ้มที่เรามองเห็นข้างนอก ไขมันในผิวเรียงตัวซ้อนกันเป็นผนังสองชั้น วางทับกันอีกหลายๆ ชั้นในแนวขนาน เรียกว่า Lipid lamellar นั่นเอง ดังภาพ

การเรียงตัวของ Lipid lamellar นั้นเกิดขึ้นจากไขมันหลักๆ 3 ชนิด ได้แก่ เซราไมด์ (Ceramides) คอเลสเตอรอล (Cholesterol) และกรดไขมัน (Fatty acid) ถ้าคิดโดยน้ำหนักจะพบว่าปริมาณของ Ceramide นั้นเกือบจะครึ่งหนึ่งของไขมันทั้งหมด แต่ความมหัศจรรย์อยู่ที่สัดส่วนของไขมันทั้ง 3 ชนิดนี้ ถ้าคิดโดยโมล จะพบว่าไขมันทั้ง 3 จะมีสัดส่วนเท่ากันคือ 1:1:1 ภาษาทางเคมีเรียกว่า Equimolar 

โมลเป็นการวัดปริมาณสารในเชิงเคมี โดยคำนวณจากน้ำหนักของสาร หารด้วยน้ำหนักโมเลกุล

ผิวหนังเราสามารถสร้างไขมันบางชนิดได้เอง แต่บางชนิดต้องได้รับจากอาหาร หรือจากการทาเข้าไป เมื่อสร้างเสร็จไขมันจะถูกเก็บสะสมในรูปแบบของถุงที่มีชื่อว่า Lamellar body ในเซลล์ผิวชั้นหนังกำพร้าที่มีชีวิต เมื่อถึงเวลาก็จะปล่อยเอาถุงนี้ออกมาจากเซลล์ ไขมันที่บรรจุอยู่ในถุงที่ถูกผลักออกมาจากเซลล์จะถูกแปรสภาพออกมาและมาเรียงตัวกลายเป็นชั้นไขมันที่เป็น Barrier ผิวต่อไป

Ceramides

Ceramides ในผิวหนังมีมากมายด้วยกันหลายชนิด ว่ากันว่านักวิทยาศาสตร์ค้นพบมามากกว่า 300 ชนิด แต่สามารถแบ่งได้เป็น 11 กลุ่มหลักๆ ชนิดที่มีความแข็งแรงมากที่สุดคือชนิด Ceramide 1 หรือ Ceramide EOS ชนิดที่พบมากที่สุดในผิวคือชนิด Ceramide 3 หรือ ceramide NP

Ceramide แต่ละชนิดกันก็จะทำให้เกิดโครงสร้างของ Lipid lamellar ได้คนละแบบกัน และมีความแข็งแรงแตกต่างกัน โดยเชื่อว่าLipid lamellar ที่มี Ceramide 1 ในปริมาณที่พอเหมาะนั้นเป็น Barrier ที่มีความแข็งแรงมากที่สุด

เครื่องสำอางที่เป็น Moisturizer หลายๆ แบรนด์ก็มีการใส่ Ceramide เข้ามาเพื่อหวังให้ไปทดแทน Ceramide ในผิว เพื่อช่วยฟื้นฟู Barrier ผิวให้แข็งแรง ทำให้ผิวหนังแข็งแรง ลดความเสี่ยงในการแพ้จากสารอื่นๆ ภายนอกได้

ตัวอย่าง Ceramide ที่มีการใช้ในเครื่องสำอางคือ Ceramide 1, 2, 3, และ 6 ชนิดที่พบบ่อยที่สุดจะเป็น Ceramide 3 ทั้งนี้คิดว่าการที่วงการเครื่องสำอางเลือกใช้ Ceramide 3 เป็นหลัก อาจจะเพราะความคงตัวของ Ceramide 3 นั้นมีมาก และปริมาณของ Ceramide 3 ในผิวนั้นก็มีมาก ถ้าหากได้รับเกินความจำเป็นก็น่าจะไม่มีผลกระทบด้านลบต่อผิว

Ceramide นั้นมีความจำเป็นต่อการเรียงตัวเป็นชั้นขนานแบบ Lamellar structure โดยเชื่อว่า Ceramide 1 ที่มีส่วนของกรดไขมันไลโนเลอิก (Linoleic acid) ในโครงสร้าง ทำหน้าที่เสมือนเข็มที่เป็นตัวเย็บเอาชั้นไขมันแต่ละชั้นให้เกาะติดกัน และเนื่องจากร่างกายเราไม่สามารถสร้าง Linoleic acid ขึ้นมาได้ จึงจำเป็นต้องได้รับจากอาหาร หรือการทาภายนอก นักวิทยาศาสตร์พบว่าในคนที่ขาดกรดไขมันจำเป็นชนิด Linoleic acid ผิวจะสร้าง Oleic acid เข้ามาแทนที่ โดย Ceramide ที่มี Oleic acid นั้นไม่ได้แข็งแรงเท่า Linoleic acid Barrier ผิวของคนที่ขาดกรดไขมันจำเป็นจึงอ่อนแอกว่า ส่งผลให้ผิวบอบบางกว่า และแห้งได้ง่ายกว่า

Linoleic acid นั้นพบได้ในน้ำมันจากพืชหลายชนิด ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว และมีรายงานว่าการกินน้ำมันพืชที่มี Linoleic acid สามารถเพิ่มปริมาณของ Linoleic acid ในผิวได้จริง ถ้าหากใครผิวแห้งมากๆ อาจจะลองทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ใช้น้ำมันจากพืช เช่น Evening primrose oil หรือ Borage oil ก็จะช่วยให้ผิวแข็งแรงและชุ่มชื้นได้มากขึ้น แต่ข้อเสียของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มนี้คือ อาจจะทำให้บางคนมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นได้

Cholesterol

Cholesterol จัดเป็นไขมันที่มีโครงสร้างเป็น Steroid เรามักจะเข้าใจกันว่า Cholesterol นี้ไม่ดี เพราะเวลามี Cholesterol ในกระแสเลือดมากๆ จะทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้มากมาย แต่ Cholesterol ในผิวเป็นสิ่งที่ดี เพราะ Cholesterol นั้นจะมาอยู่รวมกับ Ceramide และกรดไขมันเกิดเป็น Barrier ผิวขึ้นมา

Cholesterol ยังไม่ค่อยมีการใช้เป็น Active ingredients ในทางเครื่องสำอางมากนัก ส่วนใหญ่จะเอามาใช้ในการเป็นสารปรุงแต่งเสียมากกว่า เพราะ Cholesterol นั้นเมื่ออยู่รวมกับ Phospholipids หรือสารลดแรงตึงผิว (Surfactant) บางชนิดจะเกิดการเรียงตัวเป็นถุงทรงกลมๆ ที่เรียกว่า Liposome หรือ Niosome ทำหน้าที่เก็บกักสารและช่วยพาสารเอาไปในผิวได้มากขึ้น นอกจากนี้ Cholesterol ยังทำหน้าที่เป็น Emulsifier ช่วยเป็นตัวประสานน้ำให้เข้ากับน้ำมันได้ด้วยในสูตรครีม เมื่อใช้เป็น Active ingredient Cholesterol นั้นนอกจากมีคุณสมบัติในการฟื้นฟู Barrier ผิวแล้ว ยังมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบในผิว และยังช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากรังสี UV ได้ด้วย*

*(Reference: Bhyn et al. J Dermatol Sci. 2012;65 (2) :110-7)

Fatty acid

กรดไขมันนั้นมีหลายชนิด และมีความสำคัญหลายๆ อย่าง ทั้งเป็นส่วนประกอบในการสร้าง Lipid lamella ยังเป็นสารตั้งต้นของไขมันชนิดอื่นๆ ในผิว กรดไขมันบางชนิดผิวหนังสามารถสร้างขึ้นมาเองได้ แต่บางชนิดนั้นต้องได้รับจากอาหารเท่านั้น เมื่อผิวขาดไขมันก็มักจะแสดงอาการแห้ง และเหี่ยวตามมา

การเพิ่มไขมันจำเป็นในผิวทำได้ทั้งการทา และการรับประทาน โดยสิ่งที่เป็นแหล่งของกรดไขมันก็คือ น้ำมันและไขมันจากพืชชนิดต่างๆ และไขมันจากสัตว์บางชนิด

Natural moisturizing factor

Natural moisturizing factor หรือ ชื่อย่อ NMF เป็นสารโมเลกุลเล็กๆ ที่พบในชั้นหนังกำพร้า ทั้งภายในเซลล์ Corneocyte และในช่องว่างระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่ดูดและอุ้มน้ำไว้ไม่ให้ออกไปไหนจึงมีผลทำให้ผิวนุ่มชุ่มชื้นและมียืดหยุ่น

NMF ในผิวมีด้วยกันหลายตัว แต่ที่พบมากที่สุดนั้นเป็นกลุ่มของกรดอะมิโน และอนุพันธ์ เช่น Pyrollidone carboxylic acid หรือ PCA ที่มักจะอยู่ในรูปแบบของเกลือ Sodium PCA พบในปริมาณเกือบครึ่งของ NMF ทั้งหมด

ผิวเราสามารถสร้าง NMF ได้เองจากกระบวนการต่างๆ เช่น

  • กรดอะมิโนและ PCA มาจากการสลายตัวของโปรตีนที่ชื่อ ฟิลแลกกริน (Filaggrin)
  • Lactate มาจากเหงื่อ
  • น้ำตาลมาจากการย่อยสลายของ Glucosyl ceramide เป็นต้น

เนื่องจาก NMF เป็นสารที่ละลายน้ำ ถ้าเราสัมผัสกับน้ำบ่อยๆ NMF ก็สามารถที่จะละลายหลุดออกไปกับน้ำได้

ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางหลายๆ ชนิดก็มีการใส่ NMF ชนิดกรดอะมิโน แต่ส่วนมากมักจะหวังผลอื่นของกรดอะมิโน เช่น การให้เป็นสารตั้งต้นเพื่อให้ผิวสร้างโปรตีน

ปัจจุบันนี้การ Claim เรื่อง NMF เริ่มกลับมาโด่งดัง มีผลิตภัณฑ์หลายๆ ชิ้นจากทางฝั่งญี่ปุ่นที่ใช้คำว่า NMF เป็นส่วนหนึ่งในชื่อของผลิตภัณฑ์ นับเป็นการสร้างจุดเด่นในทางการตลาดได้เป็นอย่างดี โดยตัวที่เห็นบ่อยจะเป็น Sodium PCA และกรดอะมิโน

สำหรับประสิทธิภาพของสารกลุ่ม NMF นั้นขึ้นอยู่กับความชื้นในอากาศ ในช่วงที่อากาศแห้ง หรือในพื้นที่แห้งแล้ง การใช้ร่วมกับสารกลุ่มไขมันจะทำให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

NMF ที่เป็นน้ำตาล

น้ำตาลที่ให้ผลด้านความชุ่มชื้นเพียงอย่างเดียว ได้แก่ Glucose, Fructose, Sucrose และ Sorbitol

NMF ที่เป็นกรดอะมิโน

กรดอะมิโนเป็นหน่วยเล็กที่สุดของโปรตีน มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด บางชนิดร่างกายก็สร้างได้ แต่บางชนิดจำเป็นต้องได้รับจากภายนอก เนื่องจากกรดอะมิโนมีขนาดเล็กจึงสามารถดูดซึมลงไปในผิว และให้ผลด้านริ้วรอยได้ด้วย

นอกจากนี้กรดอะมิโนบางชนิดยังมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น

  • Serine ผิวหนังสามารถเอาไปใช้ในการสร้าง Ceramide ได้
  • Arginine ผิวหนังสามารถเอาไปสร้าง Nitric oxide ที่มีบทบาทเกี่ยวกับการขยายหลอดเลือด ผิวจึงได้รับสารอาหารเพิ่มขึ้น และดูสุขภาพดีมีเลือดฝาด

Corneocyte และโปรตีน Keratin

Corneocyte เป็นชื่อของเซลล์ผิวที่ตายแล้วในชั้นบนสุดของหนังกำพร้าที่มีชื่อว่า Stratum corneum เซลล์ Corneocyte และโปรตีน Keratin เป็นองค์ประกอบอย่างสุดท้ายของ Barrier ผิว

กล่าวกันว่าชั้น Lipid lamella ของไขมันนั้นแม้จะแข็งแรง แต่ก็มีความเปราะโดนทำลายง่าย ต้องอาศัยโครงสร้างของโปรตีน Keratin ที่อัดกันแน่นในเซลล์ Corneocyte ซึ่งมีความคงตัวค่อนข้างมาก เรียงตัวสานกันเป็นโครงสร้างสลับซับซ้อนแบบร่างแห ทำหน้าที่เสมือนเป็นเกราะกำบังในการปกป้อง Lipid lamella ให้คงรูปอยู่ได้แม้อากาศจะแห้งมากแค่ไหนก็ตาม

การใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารผลัดผิวบ่อยๆ เช่นพวก AHA หรือ Peeling gel ที่มีชื่อเล่นในตลาดว่า เจลขัดขี้ไคล หรือการไปทำทรีทเมนท์ที่มีการผลัดลอกผิวบ่อยๆ จะทำให้เซลล์ผิวพวกนี้บางลง ส่งผลให้ Barrier ผิวเกิดความเสียหายได้ง่ายขึ้น จึงควรระวังไม่ควรทำทรีทเมนท์และใช้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ถี่จนเกินไป ซึ่งในส่วนถัดไปจะกล่าวถึงการแบ่งตัวของเซลล์ผิวและผลิตภัณฑ์ผลัดผิว (Peeling product) อีกครั้งหนึ่ง

องค์ประกอบอื่นๆ ของผิวที่ช่วยเรื่องการเก็บกักน้ำ

นอกจากองค์ประกอบหลักทั้ง 3 ที่ได้กล่าวไปแล้ว ผิวเรายังมีส่วนอื่นๆ ที่คอยอุ้มน้ำไว้อีก เช่น Aquaporin, Tight junction, Corneocyte envelope เป็นต้น

Aquaporin

Aquaporin เป็นโปรตีนชนิดหนึ่งบนผิวเซลล์ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนด่านตรวจที่คัดเลือกให้เฉพาะน้ำและสารโมเลกุลเล็กๆ บางชนิดผ่านเข้าออกได้ เป็นตัวควบคุมไม่ให้น้ำและสารตัวเล็กๆ อย่าง Glycerol กับ Urea สูญเสียออกไปสู่ภายนอกผิว

Aquaporin นั้นไม่ได้มีแค่ในผิว แต่เจอในเนื้อเยื่ออื่นๆ ทั่วร่างกาย มีประโยชน์มากมายไม่ว่าจะเป็นการปกป้องเนื้อเยื่อนั้นๆ ไม่ให้รับความเสียหายจากสภาวะกดดันต่างๆ เช่น ในสมอง Aquaporin นั้นสามารถปกป้องสมองไม่ให้บวมจากความเครียดได้ด้วย

Aquaporin ที่พบในผิวมีหลายชนิด แต่ชนิดที่ดูเหมือนจะมีความสำคัญ คือ Aquaporin 3 (AQP3) ซึ่งในวงการเครื่องสำอาง ก็จับเอามาเป็นจุดขายเรียบร้อยไปแล้ว

AQP3 ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการดูแลการแพร่ของน้ำและ Glycerol เข้าออกผิว มีการค้นพบว่าหนูที่ขาด AQP3 นั้นจะมีการเคลื่อนที่ของ น้ำ และ Glycerol เข้าออกผิวลดลงอย่างมาก ส่งผลให้หนูพวกนี้มีผิวที่แห้ง เหี่ยว และการสมานแผล (Wound healing) เกิดขึ้นได้ไม่ดี นักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่า AQP3 นั้นมีบทบาทเกี่ยวกับการรักษาความชุ่มชื้น ความยืดหยุ่น และการสมานแผลของผิว

สารที่ค้นพบว่าสามารถเพิ่มการสร้าง AQP3 ได้ก็คือ Glyceryl glucoside สารนี้มีงานวิจัยรองรับว่าสามารถเพิ่มการสร้าง AQP3 ในผิวได้ ส่งผลให้ผิวมีความชุ่มชื้นมากขึ้น และลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้*สารนี้เมื่อใช้ร่วมกับ Ceramide และ NMF จะช่วยเสริมประสิทธิภาพกันอย่างมากในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว ข้อมูลของผู้ผลิตวัตถุดิบสารนี้ระบุว่าประสิทธิภาพของสารนี้มีค่อนข้างมาก และเทียบเท่ากับการใช้สารในกลุ่ม Hyaluron ได้เลย

*Reference: Schrader et al., Skin Pharmacol Physiol 2012;25:192–199.

ปัจจุบันวงการเครื่องสำอางยังมีการ Claim ว่า ในผิวเราก็มี Aquaporin 8 หรือ AQP8 อยู่ด้วย โดยเจ้า AQP8 นี้ว่ากันว่าทำหน้าที่ดูแลการแพร่ของน้ำและ Ammonium ion ซึ่งผิวเราเอามาใช้สร้าง Urea ที่เป็น NMF ตัวสำคัญตัวหนึ่งที่ช่วยให้ผิวนุ่ม ชุ่มชื้น

ในวงการเครื่องสำอางมีสารสกัดจากพืชอวบน้ำที่ชื่อ Salicornia herbacea สารสกัดนี้สามารถกระตุ้นให้ผิวสร้าง AQP8 ได้มากขึ้น ผู้ผลิตวัตถุดิบยัง Claim อีกว่าสารสกัดนี้ยังมีผลเพิ่มการสร้าง AQP3, Filaggrin และไขมันที่เป็นส่วนประกอบของ Lipid lamella ได้ดีการทดสอบในอาสาสมัครพบว่าสารนี้ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในผิว และช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากผิวได้

Tight junction

Tight junction หรือเรียกย่อๆ ว่า TJs เป็นช่องแคบๆ ที่อยู่ระหว่างเซลล์ ทำหน้าที่เสมือนตัวกั้นไม่ให้สารต่างๆ และน้ำ เข้าออกได้อย่างอิสระ มีผลช่วยรักษาน้ำให้อยู่ในผิว

TJs ในผิวมีด้วยกันหลายชนิด แต่ชนิดที่สำคัญและเริ่มมีการพูดถึงกันในวงการเครื่องสำอางคือ Claudins โดยพบว่าผิวหนังที่สัมผัสกับสาร Benzopyrene ซึ่งเป็นสารกลุ่มมลพิษ (Pollutant) ที่เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์นั้น มีจำนวนของ Claudins ในผิวลดลง ส่งผลให้ผิวมีการสูญเสียน้ำมากขึ้น Barrier ของผิวอ่อนแอลง และยังมีผลให้เกิดริ้วรอยต่างๆ มากมาย

ตัวอย่างสารที่สามารถเพิ่มการสังเคราะห์ TJs ในผิวได้ คือ Colloidal oatmeal ซึ่งเป็นสารดั้งเดิมที่มีใช้กันมาเนิ่นนาน อาจจะเกินร้อยปีด้วยซ้ำ โดยพบว่าสารสกัดจาก Colloidal oatmeal สามารถกระตุ้นการสังเคราะห์ TJs เพิ่มการสังเคราะห์ไขมันในผิว และเหนี่ยวนำให้ผิวเกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่ (Differentiation) กลายเป็นผิวที่สมบูรณ์เต็มวัย*

*Reference: Ilnytska O. et al. J Drugs Dermatol. 2016;15 (6) :684-90.

Colloidal oatmeal มีใช้ในเครื่องสำอางอยู่อย่างแพร่หลาย จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่มีปัญหาผิวแพ้ง่าย ไม่แข็งแรง

Corneocye envelope

Corneocye envelope หรือเรียกย่อๆ ว่า CE เป็นเสมือนเปลือกอีกชั้นหนึ่งที่ห่อหุ้มเซลล์ผิวชั้นนอกสุด (Corneocyte) เอาไว้ เพื่อเพิ่มความแข็งแรงให้แก่ผิวหนัง

ในผิวที่โตเต็มที่โครงสร้างของ CE จะมีความแข็งแรงกว่าผิวที่อยู่ด้านในหรือยังโตไม่เต็มที่ ในผิวหนังนั้นการสร้าง CE เกิดขึ้นจากการเชื่อมต่อกันโดยใช้เอนไซม์ในผิว (Cross-linked) ของโปรตีนหลายๆ ชนิด หลายๆ ชั้น จนมาเป็นเปลือกที่แข็งแรงและมีความคงตัวสูงขึ้นมา โดยโปรตีนตัวหนึ่งที่อยู่เป็นเปลือก CE นั้นมีชื่อว่า Filaggrin

Filaggrin นั้นได้จากการสลายตัวของโปรตีนตัวใหญ่กว่าที่ชื่อ Profilaggrin ที่ผิวชั้นล่างๆ เราสร้างไว้และเก็บไว้ในถุง (Keratohyalin granules) เมื่อเซลล์ผิวเราแบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเพื่อเคลื่อนตัวออกมาข้างนอก ถุงนี้ก็จะแตกออก ทำให้ Profilaggrin นั้นโดนย่อยกลายเป็น Filaggrin ซึ่งมีชะตากรรม 2 อย่าง อย่างแรกคือ ไปโดน Cross-linked เป็นเปลือก CE ทำให้ผิวแข็งแรง กับอีกอย่างคือ Filaggrin นั้นโดนย่อยสลายต่อกลายเป็น NMF

ในการย่อยสลายของ Profilaggrin และ Filaggrin ไปเป็น NMF นั้นมีเอนไซม์ชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้อง คือ Caspase-14 ส่งผลให้ผิวเรามีปริมาณของ NMF ที่มากขึ้น สุดท้ายแล้วก็คือทำให้ผิวหนังสามารถอุ้มน้ำไว้ได้ดีขึ้นในวงการเครื่องสำอางมีสารอยู่ชนิดหนึ่งที่มีผลกับ Caspase-14 สารนี้ก็คือ Galactomyces ferment filtrate; GFF หรือที่รู้จักกันในนามว่า Pitera นั่นเอง โดยมีการศึกษาพบว่า GFF นั้นช่วยให้ Caspase-14 ทำงานได้ดีขึ้น* ผิวจึงแข็งแรงมากขึ้นและมีความชุ่มชื้นเพิ่มขึ้น

*Reference: Kataoka S., et al. Arch Dermatol Res. 2013;305 (8) :683-9.

สำหรับตอนนี้ในวงการเครื่องสำอาง ก็มีเครื่องสำอางที่มาจับองค์ประกอบเหล่านี้ครบเลยค่ะ

ซึ่งเราสามารถสรุปกลไก และตัวอย่างสารบำรุงที่ดูแล Barrier ผิวได้ดังนี้

  • ไขมันที่เป็น Barrier ผิว: Ceramides, MLE, MVE, Fatty acids, Natural oil, Cholesterol
  • NMF: กลุ่มน้ำตบที่มีกรดอะมิโน/น้ำตาล/ไฮโดรไลส์คอลลาเจน/ไฮยาลูรอน
  • Aquaporin: เช่น Glyceryl glucoside
  • Tight junction: Colloidal oatmeal
  • Corneocyte envelope: ทางฝั่งญี่ปุ่นให้ความสนใจกับ Corneocyte envelope ค่อนข้างเยอะค่ะ และเป็นเทคโนโลยีสิทธิบัตร รวมถึงพิเทร่า ที่ดูแลเรื่อง Corneocyte envelope เช่น เทคโนโลยี HA stabilizing ของ d Program ในเครือ Shiseido
Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Body lotion สำหรับผิวแห้งมากๆ ผิวลอกเป็นขุย กับ UreaRepair Plus 5% urea lotion จากแบรนด์ Eucerin

สวัสดีค่ะ วันนี้มีบทวิเคราะห์ส่วนผสมและรีวิวผลิตภัณฑ์จากแบรนด์ Eucerin มาฝากอีกชิ้นหนึ่ง

น้องเป็นโลชั่นสำหรับทาตัวที่เด่นมากสำหรับดูแลปัญหาผิวแห้ง ที่มาพร้อมกับเนื้อที่บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ

ผลิตภัณฑ์โลชั่นที่จะมาวิเคราะห์ส่วนผสมครั้งนี้มีชื่อว่า Eucerin UreaRepair Plus ขอย่อว่า URP นะคะ

ชื่อเต็มๆ จะพ่วงว่า 5% Urea lotion 48H long-lasting hydration ที่มีเคลมว่าสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ยาวนานถึง 48 ชั่วโมงเลยทีเดียว

โลชั่นตัวนี้มาในหน้าตาแบบนี้นะคะ

ตัวขวดโลชั่นเป็นประมาณนี้ค่ะ

เนื้อโลชั่นค่อนข้างเบา ดูจากลำดับส่วนผสม และอ่านจากแบรนด์เคลม ก็คือ น้องเป็นเบสอิมัลชั่นชนิดน้ำมันในน้ำ (o/w emulsion) ที่จะบางเบา แต่ด้วยส่วนผสมของสารดูแลผิวเรื่องความชุ่มชื้นหลายตัว เลยเก็บความชุ่มชื้นไว้ได้ค่อนข้างนาน

ซึ่งจุดนี้ส่วนตัวชอบนะคะ เพราะโลชั่นที่ใช้ส่วนใหญ่จะหนักหน่อย และเวลาเหงื่อออกมันจะลื่นๆ ไม่ค่อยสบายผิว

น้องมาในกลิ่นหอมอ่อนๆ ประโยคนี้หลายคนอาจจะแบบว่า “เอ๊ะ ยังไง โลชั่นสำหรับผิวบอบบางแพ้ง่ายไม่ควรใส่น้ำหอมป่ะ” จริงค่ะ ไม่เถียง แต่ถ้าน้ำหอมนั้นปราศจากสารก่อการแพ้ (Allergen free) ก็น่าจะสามารถใช้ได้ค่ะ และที่สำคัญ ประเด็นที่น่าสนใจคือ น้ำหอม/สารหอมที่ทาง Eucerin URP ตัวนี้เลือกใช้ มีคุณสมบัติในการลดการอักเสบระคายเคืองในระดับหลอดทดลอง

(Image from Eucerin)

ส่วนสัมผัสหลังเกลี่ยก็จะค่อนข้างบางเบา ไม่เหนอะหนะ แต่ชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว

ส่วนตัวมีอยู่ช่วงหนึ่งที่ไปห้างแห่งหนึ่งที่เชียงใหม่ที่มีข่าวคนติดเชื้อโควิด มันก็จะตระหนก กังวลนิดหน่อย เลยล้างมือถี่มาก ผลคือ แห้งลอกเป็นขุยตามระเบียบ พอใช้เจ้านี่ทาก็จะดีขึ้น ซึ่งตรงนี้ตรงกับคอนเซปท์ของมอยส์เจอไรเซอร์ คือ สามารถลดการแห้งได้อย่างรวดเร็วเมื่อทาครั้งแรก

ถึงแม้ว่า ถ้าเราทิ้งไว้ราวๆ 1 – 2 ชั่วโมง ขุยก็จะกลับมาใหม่ แต่พอทาบ่อยๆ วันรุ่งขึ้นก็ดีขึ้น ไม่มีขุยแล้ว

ก่อนไปดูส่วนผสมอยากบอกอีกนิดว่าทางแบรนด์ได้ทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครแล้วพบว่าครีมมีประโยชน์ดูแลเรื่องความชุ่มชื้นได้ถึง 48 ชั่วโมงเลยทีเดียว

(Image froo

มาดูส่วนผสมกันบ้างนะคะ

วันนี้ส่วนผสมมีหลายสีเหมือนเช่นเคย

ขอเปิดประเดิมด้วยสีน้ำเงิน คู่หูสูตรผสมกันของ Glycerin + Glyceryl glucoside ถ้าอิงตามลำดับส่วนผสม ส่วนตัวคิดว่าจะเป็น Glycerin 6.5% + Glyceryl glucoside 5% ซึ่งคู่ผสมนี้มีการทดสอบประสิทธิภาพในการเพิ่มความชุ่มชื้น และลดการระเหยของน้ำออกจากผิว (Transepidermal water loss; TEWL) ของอาสาสมัคร เมื่อใช้เป็นเวลา 3 สัปดาห์ ซึ่งการลดลงของค่า TEWL จะสื่อความหมายได้ว่า Barrier ของผิวแข็งแรงขึ้น (Schrader, et al. Skin Pharmacol Physiol 2012;25:192–199)

ขอแยกกล่าวเฉพาะตัว Glyceryl glycoside อีกรอบ น้องเป็นสารที่พบได้ในธรรมชาติ ตัวโครงสร้างน้องเป็นรูปแบบของสารกลุ่ม Glycoside ที่มีน้ำตาลเกาะอยู่บนตัว Glycerin สารนี้มีการทดสอบในระดับหลอดทดลองว่ามีประสิทธิภาพในการเสริมการสังเคราะห์ Aquaporin-3 ซึ่งเป็นช่องทางหนึ่งที่ผิวเราใช้ในการเก็บกักน้ำ และสารที่ละลายน้ำได้ตัวเล็กๆ เพื่อรักษาความชุ่มชื้นเอาไว้ จะกล่าวว่า Aquaporin เป็นอีกส่วนเล็กๆ ของ Barrier ผิวก็ว่าได้

การทำงานของ Aquaporin จะมีอารมณ์ประมาณภาพนี้ค่ะ

ถ้าเรามี Aquaporin ที่สมบูรณ์และแข็งแรง ผิวเราก็จะมีความชุ่มชื้น ดังนั้นจึงคาดเดาได้ว่าถ้าผิวมีการสร้าง Aquaporin มากขึ้น ความสามารถในการเก็บน้ำก็น่าจะมีมากขึ้น

ถัดมา สีบานเย็น Urea ตามแบรนด์เคลมว่าใช้ในความเข้มข้นที่ 5% ซึ่งเป็นความเข้มข้นที่มีการทดสอบแล้วว่ามีประโยชน์กับผิวแห้ง

ถึงแม้ Urea จะเป็นสารพื้นๆ ที่อาจจะเก่าแก่ ดูโบราณไปนิด แต่น้องจัดเป็นสารที่ใช้เป็นตัวเลือกแรกๆ (Gold standard) ในการดูแลปัญหาผิวแห้ง

ว่าแล้วก็ ขอเล่าเรื่อง Urea แบบย่อๆ สักหน่อย

จริงๆ แล้วในผิวเราก็มีส่วนประกอบของเจ้า Urea นี่รวมเป็นกลุ่มสารที่เพิ่มความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ (Natural moisturizing factor; NMF)

ต่อมามีการค้นพบว่า Urea มีประโยชน์มากมายกับผิวหนัง ตัวอย่างเช่น

  • เสริมการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและหน้าที่ของ Keratinocyte (เซลล์ผิวในชั้นหนังกำพร้า) ให้โตเต็มไว มีความแข็งแรง
  • เสริมการสังเคราะห์ไขมันที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว
  • เสริมภูมิคุ้มกันของผิว โดยไปเสริมการสร้าง Peptide ที่มีฤทธิ์ต่อต้านจุลชีพตามธรรมชาติบนผิว

ถ้าสนใจเกี่ยวกับ Urea สามารถตามไปอ่านบทความของ Dirschka T. เขาเขียนไว้ได้ค่อนข้างดี อ่านไม่ยากนัก และบทความนี้ดาวน์โหลดมาอ่านได้ฟรีค่ะ

>>> https://doi.org/10.1111/ijcp.13569

สารกลุ่มสีเขียวแก่ เป็นส่วนของกรดอะมิโน ร่วมกับ Lactic acid และ Sodium lactate เป็นกลุ่มของสาร NMFs ที่ช่วยกักเก็บน้ำให้ผิว

ส่วนของ Carnitine ที่ใส่เข้ามา ก็อาจจะได้ประโยชน์เรื่องของการดูแล Metabolism ของไขมันต่างๆ

สารสีส้ม Chondrus crispus extract เป็นสารสกัดจากสาหร่าย ประกอบด้วย Carrageenan ที่นอกจากจะดูแลเรื่องของสัมผัสของเนื้อครีมแล้ว ตัวมันเองก็มีการเคลมว่ามีประโยชน์ในการเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว สารสีเขียวมะกอก เป็นกลุ่มของไขมันจากธรรมชาติต่างๆ

ซึ่งถ้าดูจากส่วนผสมของ URP แล้ว มันจะมีงานวิจัยอยู่ชิ้นหนึ่งที่เปรียบเทียบประสิทธิภาพของ Urea cream กับ Urea cream ที่มี NMF + ceramides + Glyceryl glucoside ในอาสาสมัครเด็กไทยที่มีสภาวะผิวแห้ง จากโรคไตเรื้อรัง พบว่าสูตรผสม มีประสิทธิภาพที่ดีในด้านของการดูแลปัญหาขุยผิวแห้ง เพิ่มความชุ่มชื้น และเพิ่มความสามารถในการเป็น Barrier ของผิวได้ดีกว่า Urea cream อย่างเดียว (Wananukul, S. et al. J Med Assoc Thai 2017;100(6):638-43)

งานอีกชิ้นเป็นการทดสอบประสิทธิภาพของครีมที่มี 5% Urea + Ceramide NP + Lactate ในอาสาสมัครสูงอายุ ก็พบว่าให้ประสิทธิภาพที่ดีเช่นกัน (Danby, et al. Skin Pharmacol Physiol 2016;29:135–147)

ส่วนอีกงานวิจัยทดสอบประสิทธิภาพของตำรับที่มีส่วนผสมของ NMF + ceramides + Glyceryl glucoside ก็พบว่าอาสาสมัครก็มีความชุ่มชื้นของผิวเพิ่มขึ้นเช่นกัน (Weber, et al. Journal of Clinical and Aesthetic Dermatology. 2012;5(8):30-39.)

ในภาพรวมจึงถือว่า URP เป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการดูแลผิวแห้ง

ส่วนตัวมองว่าถ้ามองจากส่วนผสม และการศึกษาก่อนหน้า นั้นมีความเห็นว่าเหมาะกับกรณีของผิวแห้งในผู้สูงอายุ จากโรคเรื้อรังทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ รวมถึงผิวแห้งอักเสบแบบ Atopic ซึ่งเกิดในเด็กเป็นส่วนมาก โดยผิวแห้งเหล่านี้อาจจะแห้งน้อย จนถึงแห้งมากแตกลอกเป็นขุย ก็น่าจะชอบ URP ตัวนี้

ส่วนเรื่องของน้ำหอมก็ตามที่ได้เกริ่นไปว่าน้ำหอมที่ทางแบรนด์เลือกใช้ยังมีประโยชน์ในการลดการอักเสบระคายเคือง

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง เรียกได้ว่า Eucerin ยังคงความสมบูรณ์แบบของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการพัฒนาสูตร และเลือกใช้ส่วนผสมที่ไม่ได้ดูหวือหวาเว่อวัง แต่สารบำรุงทุกตัวมีรายงานถึงประสิทธิภาพรองรับ จึงถือว่าเป็นมอยส์เจอไรเซอร์ชิ้นหนึ่งที่น่าเก็บไว้ในอ้อมใจของคนผิวแห้ง ให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ไม่ได้มีพิษมีภัยอะไร แถมน้ำหอมที่ใส่ก็มีคุณสมบัติพิเศษคือ ผ่านการทดสอบว่าไม่ก่อการแพ้และการระคายเคือง และยังมีประโยชน์เสริมกับสารบำรุงได้อย่างลงตัว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวได้ทดลองใช้มาประมาณ 3 อาทิตย์ ด้วยความที่ช่วงนี้ที่เชียงใหม่/เชียงรายอากาศยังไม่แห้งมากนัก + เป็นช่วงฤดูฝน ส่วนตัวเลยไม่ได้มีปัญหาผิวแห้งมากนัก แต่ก็ขอยอมรับว่า การใช้ URP ช่วยให้ผิวนุ่มเนียน สัมผัสแล้วเย็น คืออธิบายไม่ถูกเหมือนกัน อารมณ์เย็นๆ สบายผิว คงชุ่มชื้นได้ทั้งวัน จนกระทั่งอาบน้ำตอนกลางคืน แต่ก็ต้องขอบอกตามจริงว่ากลิ่นของ URP แม้มันจะหอมละมุนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเด็กน้อย แต่ไม่ใช่น้ำหอมที่ตรงจริตของเราเท่าไหร่ แต่ถ้าวัดเรื่องการใช้งาน และสิ่งที่ได้ ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทางแบรนด์ Eucerin ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆ มาให้ได้รู้จักและทดลองใช้ และขอขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงนะคะ

UreaRepair Plus 5% urea lotion ขนาด 250ml ราคา 690 บาท

รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถอ่านได้จาก

https://www.eucerin.co.th/products/hypersensitive-skin/urea-repair-plus-5-urea-lotion-48h-long-lasting-hydration-250ml

สถานที่จัดจำหน่าย  ร้านวัตสัน ร้านบู๊ทส์ ร้านขายยาขนาดใหญ่ และโรงพยาบาลชั้นนำทั่วไป

ทางไป Shopping

Lazada: https://s.lazada.co.th/s.Hzz2X?cc

Shopee: https://s.shopee.co.th/3ArPQoajfb

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Eucerin การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ

Version History:

V01: 15 ต.ค. 2564

V02: 27 ธ.ค. 2566 เชค/อัพเดทส่วนผสม และแก้ลิงค์

V03: 31 ธ.ค. 2567 เชค/อัพเดทส่วนผสม และแก้ลิงค์