สวัสดีค่ะพี่ๆน้องๆเพื่อนๆชาวจีบันทุกๆท่าน
วันนี้มี่จะมารีวิวมิสท์ตัวหนึ่งที่เป็นเวชสำอางจากทางฝั่งอเมริกาให้รับชมกันค่ะ
ผลิตภัณฑ์นี้มีคอนเซปท์สวยๆว่า “Beautiful skin starts within”
แปลว่า ผิวสวยต้องเริ่มจากภายใน แปลแบบสวยๆละเอียดๆก็คือ ต้องบำรุงผิวจากภายใน ถึงจะสวย
อีกคอนเซปท์ก็คือ “Doctor developed + Clinically proven + Natural solutions”
คือเป็นเครื่องสำอางที่พัฒนามาโดยแพทย์ผิวหนัง ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพเชิงคลินิก และเน้นไปที่วัตถุดิบจากธรรมชาติ ซึ่งก็ถือว่าค่อนข้างเด่นและแปลกใหม่ดี
ก่อนจะไปดูรีวิว มีหลายคนถามเข้ามาเยอะเลยค่ะว่า Mist เนี่ย จำเป็นไหม และควรใช้บ่อยมากน้อยแค่ไหน วันนี้จะมาตอบให้นะคะ
Mist เดี๋ยวนี้มีหลายรูปแบบค่ะ ทั้งการเล่น Packaging เป็นขวดสเปรย์แบบละอองฝอย การเล่นรูปแบบ เป็นเจลลี่มิสท์ เป็นสปาร์คกลิงมิสท์ เมคอัพมิสท์ แต่มิสท์ส่วนใหญ่จะมาในรูปแบบของสารละลายใสๆ ให้ผลเพิ่มความชุ่มชื้น ผ่อนคลายความเหนื่อยล้า คืนความสดชื่นให้กับผิวค่ะ
ทั้งนี้ทั้งนั้น Mist หลายๆแบรนด์ก็มี Alcohol เพื่อให้เวลาฉีดแล้วแห้งระเหยไว ไม่เยิ้มไม่ไหล แต่ก็จะไม่เหมาะใช้บ่อยๆค่ะ เพราะผิวอาจจะแห้งได้
สำหรับความจำเป็น ส่วนตัวมี่ มี่จัดอันดับ Mist ไว้เป็น 1 ใน 3 สิ่งที่ควรพกติดกระเป๋าเลยค่ะ 3 สิ่งนั้นก็ได้แก่ Hand cream, Lip balm และก็ Mist นี่แหล่ะ
เราเข้าเรื่องของเรากันดีกว่าค่ะ ผลิตภัณฑ์ที่จะรีวิววันนี้ก็คือ Osmosis mD Clear plus+ activating hydration mist ค่ะ
รูปร่างหน้าตาค่ะ
บรรจุมาในภาชนะพลาสติกที่หนามาก หนาจนคิดว่าเป็นแก้ว ฝาดูมั่นคงแข็งแรง ใส่ในกระเป๋าสะพาย วิ่งไปวิ่งมาทั้งวันก็ไม่หกไม่เยิ้มค่ะ แนะนำให้เช็ดปากขวดให้สะอาดหลังฉีดเสร็จนะคะ
ลักษณะของขวดสเปรย์อันนี้เวลากดจะออกมาแบบรุนแรงนิดนึง ไม่ได้มาเป็นไอน้ำ วิธีการฉีดก็คือ ฉีดในแนวเฉียง 45 องศา ให้เป็นละอองในอากาศ แล้วเอาหน้าไปรับค่ะ หรือจะฉีดใส่หน้าตรงๆเลยก็ได้
ฉีดครั้งละ 3-5 กดนะคะ หลังจากนั้นก็กดเบาๆ จนซึมหมด
ทีนี้ตอนกลางวันเราก็ฉีดได้อีกค่ะ ฉีดแล้วก็เอากระดาษทิชชู่มากดๆเบาๆ หลังจากหน่ามันเยิ้มและโทรม มาทั้งวัน ก็จะทำให้เมคอัพนั้นฉ่ำเหมือนพึ่งแต่งมาเมื่อกี๊นี้ค่ะ
ลักษณะเนื้อของสารละลายข้างในเป็นน้ำใสๆ เหมือนจะไม่มีสี มีกลิ่นเป็นแนวๆ Citrus ดูดซึมได้ค่อนข้างเร็วค่ะ แล้วพอซึมหมดจะรู้สึกหนึบๆนิดนึง แต่ก็ไม่ได้มากอะไร และแค่ประมาณห้านาทีความรู้สึกนี้ก็จะหายไปค่ะ
ลองดูค่า pH กันก่อนนะคะ
จะเห็นว่าค่า pH อยู่ราวๆ 5-6 ซึ่งก็ถือว่าโอเคค่ะ เป็นมิตรกับผิวดี
ปล. ถ้วยข้างหลังนั่น เอามาฉีดมิสท์ไว้ แล้วค่อยเอากระดาษไปจุ่มค่ะ จะได้ไม่ปนเปื้อน pH จากมือ จะสเปรย์ใส่กระดาษเลยก็เสียดาย
มาดูส่วนผสมดีกว่าค่ะ
ส่วนผสมจากรูปไม่ค่อยชัดเลยพิมพ์ให้นะคะ
Aqua (Harmonized water), Leuconostoc/Radish root ferment filtrate, Plankton extract, Sodium hyaluronate, Potassium hydrolyzed polygamma-glutamate, Acetyl tetrapeptide-5, Saccharide isomerate, Glycerin, Camellia sinensis leaf extract, Sodium carboxymethyl betaglucan, Panthenol, Citrus bergamia oil, Oleth-10, Potassium sorbate, Citric acid
ปกติเราแบ่งส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางเป็น 3 หมวดหลักๆ คือ
1.Actives หรือ สารออกฤทธิ์ เป็นสารที่ทำให้เครื่องสำอางมีคุณสมบัติพิเศษต่างๆ
2.Base หรือ ส่วนเนื้อของผลิตภัณฑ์ เป็นตัวอุ้มและเก็บสารออกฤทธิ์ไว้
3.Additives หรือ ส่วนของสารเติมแต่ง เป็นตัวเติมแต่งให้ผลิตภัณฑ์มีความน่าใช้ มีความปลอดภัย เช่น พวกสารกันเสีย พวกน้ำหอม พวกซิลิโคน ตัวเพิ่มความหนืด ฯลฯ
เรามาดูไปทีละส่วนกันเลยนะคะ
1.Actives ได้แก่
-Leuconostoc/Radish root ferment filtrate สารที่ได้จากกระบวนการหมัก Radish root ด้วยจุลินทรีย์ Leuconostoc ซึ่งเป็นจุลินทรีย์กลุ่ม Lactic acid bacteria เช่นกัน Radish เป็นพืชใน Genus Raphanus ซึ่งมีงานวิจัยกล่าวถึงคุณสมบัติในการเป็น Antioxidant (Nat Prod Res. 2012;26(6):557-63.) การหมักด้วยจุลินทรีย์ทำให้เกิดกระบวนการ Bioconversion เปลี่ยนแปลงสารพฤกษเคมีในพืชให้มีโครงสร้างเล็กลง ออกฤทธิ์ง่ายขึ้น สำหรับข้อมูลจากผู้ผลิตชี้ว่า สารนี้มีคุณสมบัติระงับเชื้อจุลินทรีย์ต่างๆ มี peptide ช่วยปรับสภาพผิว และเพิ่มความชุ่มชื้น (Leucidal liquid)
-Plankton extract สารสกัดจากแพลงค์ตอน มีหลายสายพันธุ์ แต่ละสายพันธ์ก็แตกต่างกันไป คุณสมบัติรวมๆของสารสกัดแพลงค์ตอน คือเพิ่มความชุ่มชื้นและให้คุณสมบัติสบายผิว (Soothing)
-Sodium hyaluronate มีบทบาทเกี่ยวกับการเพิ่มความชุ่มชื้น ช่วยอุ้มน้ำ ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้แก่ผิว
-Potassium hydrolyzed polygamma-glutamate สารที่ได้จากการย่อย Polygamma-glutamic acid ซึ่งปกติ Polyglutamic acid เป็นสารที่ช่วยเรื่องการจับน้ำให้ผิว และช่วยเรื่องของการเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน เมื่อผ่านกรรมวิธีการย่อย ก็จะมีขนาดที่เล็กลง ทำให้การดูดซึมเข้าสู่ผิวดีขึ้น สารนี้ผู้ผลิตวัตถุดิบ Claim ว่า สามารถเพิ่มปริมาณของ Hyaluronic acid และสาร NMF ซึ่งเป็นตัวดึงน้ำให้ผิวตามธรรมชาติ เมื่อทดสอบในเซลล์ผิวที่เพาะเลี้ยงในหลอดทดลอง และสามารถยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Hyaluronidase ที่เป็นตัวไปย่อยทำลาย Hyaluronic acid ในผิว ช่วยอุ้มน้ำและให้ความรู้สึกสบายผิว
-Acetyl tetrapeptide-5 เป็นเปปไทด์ที่มีฤทธิ์ลดการบวมน้ำ เพิ่มความยืดหยุ่น ความนุ่มเนียน และความชุ่มชื้นให้แก่ผิว
-Saccharide isomerate สารประเภทคาร์โบไฮเดรต มีชื่อทางการค้าว่า Pentavitin ผู้ผลิต Claim ว่าสามารถไปจับกับกรดอะมิโน Lysine ของ Keratin ในผิว แล้วให้คุณสมบัติเป็นสารดูดน้ำ อุ้มน้ำ รักษาความชุ่มชื้นไว้ได้ยาวนาน ไม่ถูกล้างออกไปได้ง่ายๆเหมือน moisturizer อื่นๆ
-Camellia sinensis extract คือ สารสกัดจากชาเขียว มีประโยชน์เป็น Anti-oxidant และในชาเขียวยังมีสารประกอบกลุ่ม Cathechin อีกหลายชนิดที่มีฤทธิ์ทางชีวภาพหลายๆประการ
-Panthenol โปรวิตามินบี 5 มีคุณสมบัติเป็นสารเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว โดยตัวมันเองสามารถซึมเข้าสู่ผิวและดูดน้ำเข้ามาเก็บไว้กับตัวเอง นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ เช่น ลดการอักเสบ เพิ่มการแบ่งตัวของเซลล์ผิว ช่วยเรื่องการสมานแผล และลดริ้วรอย ซึ่งคุณสมบัติในการเป็น Moisturizer ของ Panthenol มีรายงานตีพิมพ์รองรับ คือ สามารถช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของผิวหนัง ช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากผิว รักษาความชุ่มชื้นให้ผิวได้ (J Cosmet Sci. 2011; 62(4):361-70.)
2.Base หลักๆเป็นส่วนของน้ำ และสารอื่นๆที่ละลายในน้ำ ได้แก่ น้ำที่เป็น Harmonized water ซึ่งก็คือ น้ำที่มีการปรับจูนความที่ให้มันสอดคล้องและไปเกิดการ Resonance กับโครงสร้างในผิว ซึ่งแบรนด์ Claim ว่า ความถี่นี้จะให้ผลเป็น Growth factor สำหรับ Epidermis และ Keratinocyte ซึ่งเป็นเซลล์หลักๆในผิวหนัง และมีคุณสมบัติเป็นตัวยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย รา และไวรัสค่ะ ใส่มาร่วมกับ Glycerin ซึ่งเป็นสารจับน้ำให้ผิว
3.Additives ได้แก่
3.1สารเพิ่มความหนืด ได้แก่ Sodium carboxymethyl betaglucan ซึ่งมีคุณสมบัติเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ รวมถึงช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ผิวได้ด้วย
3.2Emulsifier มี Oleth-10 เป็นตัวผสานให้สารที่ละลายน้ำมันอยู่ในน้ำได้
3.3Preservatives ได้แก่ Potassium sorbate
3.4สารปรับ pH ได้แก่ Citric acid ที่สามารถเป็นตัวจับโลหะได้ด้วย
3.5สารแต่งกลิ่น ใช้ Citrus bergamia oil คือ Bergamot oil หรือ มะกรูดฝรั่ง ปกติถ้ามองตามหลัก Aromatherapy พวกน้ำมันหอมระเหยจะมีคุณสมบัติพิเศษให้ผิวด้วย โดยน้ำมันมะกรูดสามารถช่วยเรื่องควบคุมความมันได้ ปกติน้ำมันจาก Citrus จะมีความเสี่ยงเรื่องการแพ้แดด ตัวนี้ก็เช่นกัน จึงควรระวังการใช้ในตอนกลางวัน แล้วไม่ทากันแดดก่อน
ถึงเวลาให้คะแนน
1.Actives หลักๆเน้นไปที่ผลเพิ่มความชุ่มชื้น และให้ความรู้สึกสบายผิว จากสารหลายๆตัว มีเสริมด้วย Antioxidant จากชาเขียว มีการใช้ Peptide ซึ่งเป็นสารที่ค่อนข้างดูมีราคาค่างวดอยู่ สารอื่นๆบางตัวก็เป็นชนิดพิเศษที่ไม่ค่อยได้พบเห็นทั่วไป ซึ่งก็ถือว่าเป็นจุดเด่นจุดหนึ่ง จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
2.Base มีส่วนผสมของน้ำที่ปรับความถี่ให้เหมาะสมกับผิว ถ้าถามเรื่องความถี่ของน้ำกับความถี่ของผิว หลายๆคนอาจจะคิดว่าเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ยาก แต่ทางญี่ปุ่นเขาทำวิจัยเกี่ยวกับน้ำค่อนข้างเยอะ สุดท้ายเขาพบว่าโครงสร้างของผลึกของน้ำในแต่ละแหล่งน้ำแตกต่างกัน น้ำในเมืองมีโครงสร้างผลึกที่วุ่นวายยุ่งเหยิง ส่วนน้ำในธารน้ำตามธรรมชาติในหุบเขามีผลึกที่สวยงาม รวมถึงการเปิดเพลงคลาสสิคและเพลงรอค ให้น้ำฟัง ก็ทำให้น้ำมีผลึกที่แตกต่างออกไป โดยเพลงรอคทำให้ผลึกน้ำเสียหาย ส่วนเพลงคลาสสิคทำให้น้ำเรียงตัวเป็นผลึกที่สวยงาม เขาคาดว่าน้ำที่มีโครงร่างผลึกสวย จะให้ผลที่ดีกับผิว ช่วงก่อนบ้านเราก็แอบดังนะ น้ำพลังงาน MRET ก็เห็นขายกันพักนึง แต่ก็เงียบไปค่ะ ส่วน Glycerin ที่ใสมาเป็นตัวดูดน้ำให้แก่ผิว ไม่มีส่วนผสมของ Alcohol น้ำมัน และซิลิโคน จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์ เพราะยังมีสารดูดน้ำแค่ตัวเดียวอยู่ น่าจะมีมาเสริมอีกนิดนึง
3.Additives มีเท่าที่จำเป็น เหมือนตามคอนเซปท์ของเวชสำอางทั่วไป ที่จะไม่ใส่สารมาเยอะแยะ เพราะยิ่งมีสารเยอะ ก็ยิ่งเสี่ยงแพ้ได้ จุดนี้ไม่มี Parabens ไม่มีซิลิโคน ไม่มีน้ำหอม แต่มีน้ำมันจากมะกรูด ปกติไม่ค่อยแพ้ แต่ต้องระวังว่าถ้าใช้แล้วไม่ได้ทากันแดด อาจจะแพ้แดดได้ จุดนี้ขอให้ 4 ฟลาสก์
4.ความพึงพอใจในการใช้งาน หลังจากลองใช้มาได้เดือนกว่าๆ ก็กลายเป็นสมบัติติดกระเป๋าตังไปเลยทีเดียว เพราะสามารถฉีดทับเมคอัพได้โดยที่เมคอัพไม่เลอะ ช่วงก่อนหน้าหนาว ผิวลอก ก็ได้อันนี้แหล่ะ มาคอยฉีดๆ ลดอาการหน้าตึงไปได้เยอะเลย ติดตรงกลิ่นนิดนึง แต่ก็ไม่ถึงกับว่าจะอะไรมากมาย จุดนี้จึงขอให้ 5 ฟลาสก์
สุดท้ายนี้ขอขอบคุณบริษัท DermaMD ที่ช่วยเปิดหูเปิดตาให้รู้จักกับเวชสำอางดีๆหลายแบรนด์ และที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ค่ะ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ทางเวบไซต์ http://www.dermskinstore.com/ เลยนะคะ
ขอบคุณที่รับชมมาจนจบค่ะ