Image

Mini Review: รวบตึง รวมดาววิตามินซีทางเลือก อย่าง Ascorbyl glucoside และ Sodium ascorbyl phosphate

รวบตึง รวมดาว vit c ทางเลือก สำหรับคนผิวบอบบาง ระคายเคืองง่าย ที่ดิฉันได้ลองช่วง Q4 ของปี 2024 และ เดือน มค 2025

**ลำดับในภาพไม่ได้เป็นตัวบอกว่าอันไหนเริ่ดสุดนะคะ แค่เรียงให้สวยเฉยๆ

ชิ้นแรก

Drunk Elephant C-Luma

สูตรนี้เหมือนจะออกมาใหม่ช่วงกลางปี – ปลายปี

ใช้ Sodium ascorbyl phosphate 9% + Ascorbyl glucoside 1% เคลม pH 6

เสริมสารบำรุงอีกหลายชนิด เช่น Diglucosyl gallic acid ที่มีกลไกการออกฤทธิ์ที่น่าสนใจ คือ อาศัยจุลินทรีย์เจ้าบ้าน (ไมโครไบโอต้า) บนผิวแปลงร่างให้ออกฤทธิ์ได้ เป็น whitening ดูแลรอยแดง พร้อม soothing

Glutathione + Phloretin (antioxidant กลุ่มฟีนอลิกที่พบในพืชธรรมชาติหลายชนิด) + Vit E ช่วยปกป้อง VC ในสูตร + เป็น antioxidant

พิกัด เคาน์เตอร์ในห้าง และ Sephora

ชิ้นที่ 2

Avene Vitamin Cg

นี่หญิงหยิบน้องมาอีกแล้วหรอ ใช่ค่ะ อีกรอบ

Ascorbyl glucoside (AA2G) 1.8% เสริม Bakuchiol 1.5% และ Niacinamide 3%

วัด pH ด้วยกระดาษได้ราวๆ 6 เช่นกัน

เดือนนี้มีโปร 1 แถม 1 อย่าลืมเก็บคูปองไปลดอีกตามเทศกาลใดๆ

ทางไปตำ
แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.tMj9f?cc
แอพส้ม https://s.shopee.co.th/50JKzy7WbY

ชิ้นที่ 3

Herbitage C-Acne brightening serum

น้องใหม่ในตระกูลวิตซีผสมสดจากบ้านเฮอร์บี้

ถึงชื่อสูตรจะบอกว่า Acne แต่เอาจริง ความ Antioxidant งี้ฉ่ำปัง ในราคาไม่แรงมาก

ใช้ Sodium ascorbyl phosphate 5% + oxyresveratrol งานวิจัยจากจุฬา เด่น antioxidant + soothing + whitening

เสริมสารบำรุงมาอีกฉ่ำ ดูแลปัญหาสิวได้ด้วย ด้านไวท์เทนนิ่งก็ดี

เคลม pH 6

ตัวนี้เราจะมารีวิวกันอีกทีค่ะ

อ้อ แบรนด์เฮอร์บี้ออก e-tax ได้นะ เผื่อใครโควต้าเหลือ

ทางไปตำ

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.Gd4EN?cc
แอพส้ม https://s.shopee.co.th/50JZQhfTwV

Disclaimer: Drunk Elephant และ Avene ซื้อด้วยตนเอง; Herbitage ได้รับเป็นของขวัญ ข้อความทั้งหมดเป็นความเห็นส่วนตัว และการวิเคราะห์อิงพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง

Image

[Beauty Update] เซรั่มวิตามินซีสายมินิมอลจาก Foré Vitamin C Brightening Booster Serum

#BeautyUpdate #เซรั่มวิตซี

ก่อนหน้านี้ทางเพจได้นำเสนอเซรั่มดูแลฝ้าสายคลีน อย่าง 4 White Melasma correcting serum จาก Foré (ฟอร์เร่) แบรนด์ไทยน้องใหม่ ที่มีปรัชญาในการดูแลผิวหน้าด้วยเทรนด์ Minimal หรือ Less is more ด้วยการพัฒนาสูตรให้เป็นมิตรกับผิว โดยเลือกใช้ส่วนผสมตามงานวิจัยในปริมาณที่หวังผลได้ไป

ท่านที่พลาดไปสามารถติดตามรับชมได้บนลิงค์นี้เลยค่ะ

<<Click review/วิเคราะห์ส่วนผสม Foré 4 White Melasma correcting serum>>

อยากบอกว่าเซรั่มบำรุงผิวจากแบรนด์ ฟอร์เร่ ไม่ได้เด่นแค่สูตร Melasma สีม่วงนะคะ

สูตรวิตามินซีก็น่าสนใจไม่แพ้กันเลย

หน้าตาน้องเป็นแบบนี้นะคะ

สำหรับส่วนผสมที่ทางแบรนด์เลือกมาก็เรียกได้ว่าค่อนข้างลงตัว

ในด้านของวิตามินซี ทางแบรนด์เลือกใช้ Ethyl ascorbic acid (EtOVC) ซึ่งเป็นอนุพันธ์ของวิตามินซี L-ascorbic acid (LAA) ที่ผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่ามีความคงตัวที่ดีขึ้น ทนเบสน้ำ ทนต่อค่า pH ที่สูงขึ้นได้

ในด้านของประสิทธิภาพก็คือจะได้เหมือนวิตามินซี คือ เป็น Antioxidant, เป็น Whitening และปกป้องผิวจากรังสี UV

สำหรับตัว EtOVC ส่วนตัวมองว่ามีความน่าสนใจในด้านของ Whitening เป็นพิเศษ โดยน้องมีกลไกพิเศษเสริมเพิ่มมาผ่านหลากหลายกลไก โดยไปยับยั้งการทำงานของ MSH ที่เป็นฮอร์โมนตัวแม่ที่จะไปกระตุ้น Tyrosinase อีกทอดหนึ่ง และ ยังไปทำให้เกิดการทำลายตัวเอง (Autophagy) ของถุงเก็บเม็ดสี หรือ Melanosome (Chen et al., Free Radic Biol Med. 2021;173:151-169) ทำให้น่าจะมีประสิทธิภาพที่ดีในด้าน Whitening ที่เด่นขึ้นค่ะ

ส่วนผสมอื่นๆ ที่น่าสนใจและเลือกมาผสมร่วมกับวิตามินซีได้อย่างลงตัวก็จะเป็น

  • Niacinamide หรือ วิตามินบี 3 ซึ่งเป็น Whitening ได้อีกช่องทางหนึ่งผ่านการยับยั้ง Melanosome transfer และมีประโยชน์ในการดูแลการอักเสบระคายเคือง เสริมการสร้างไขมันที่เป็น Barrier ผิวช่วยให้ผิวแข็งแรง
  • Centella asiatica extract หรือที่มีชื่อเล่นในวงการว่า Cica ก็ให้ประโยชน์กับผิวในหลายๆ ด้าน โดยเด่นไปในด้านของการชะลอวัย ดูแลริ้วรอย
  • สารสกัดจากชะเอม ดูแลเรื่องการระคายเคือง และเป็น Whitening ที่ใช้ Dipotassium glycyrrhizate ซึ่งพบในรากชะเอมเช่นกัน โดยตัวนี้จะเด่นเรื่องการให้ความรู้สึกสบายผิว และดูแลเรื่องการระคายเคือง เสริมมาอีก 1 กรุบ
  • สารสกัดจาก Black oat (Avena strigosa seed extract) ที่มาในคอมบิเนชั่นร่วมกับ Lecithin และสารอื่นๆ น่าจะเป็นชุดส่วนผสมของ AquarichTM ที่นำเข้าจากสวิตเซอร์แลนด์ ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าสารบำรุงชุดนี้เป็น Epidermal moisture ally ให้ฟีลมิตรแท้สำหรับเก็บกักน้ำ เพื่อความฉ่ำ และดูแลผิวแห้ง ลดการเกิดขุยผิว

ในภาพรวมจึงเป็นเซรั่มวิตามินซีที่น่าสนใจ และดูเด่นไปในทาง Whitening ควบคู่ไปกับความสามารถในการเป็น Antioxidant พร้อมทั้งดูแลเรื่องความระคายเคืองผิวไปพร้อมๆ กัน

สำหรับส่วนผสมแบบเต็มจะเป็นดังนี้ค่ะ

Water, Propanediol, Glycerin, Ethyl Ascorbic Acid, Ammonium Acryloyldimethyltaurate/VP Copolymer, Phenoxyethanol, Disodium EDTA, Chlorphenesin, Sodium Citrate, Xanthan Gum, Citric Acid, Niacinamide, Dipotassium Glycyrrhizate, Centella Asiatica (CICA) Extract, Glycyrrhiza Glabra (Licorice) Root Extract, Avena Strigosa (Black Oat) Seed Extract, Lecithin, Potassium Sorbate, Butylene Glycol, Ethylhexylglycerin, Sodium Benzoate.

ซึ่งน้องจะมาในเซรั่มเบสน้ำ ที่ดูแล้วน่าจะเหมาะกับทุกสภาพผิว และไม่มีส่วนผสมที่ไม่เป็นมิตรกับผิว สมกับคอนเซปท์สกินแคร์สายคลีน

ตามไปชอปปิ้ง:

แอพฟ้า https://s.lazada.co.th/s.PGrLM?cc

แอพส้ม https://shope.ee/600QQOCorM

Disclaimer: Sponsored item/self-opinion

#FORE #ฟอร์เร่ #เซรั่มวิตามินซี

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินซี และเซรั่มวิตามินเอ สายคลีน จาก Biobalance

สวัสดีค่ะทุกท่าน สำหรับ Blog นี้ขอมาต่อกันที่บทวิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มที่น่าสนใจจากแบรนด์ Biobalance 2 ชิ้น คือ เซรั่มวิตามินซี ที่มีชื่อว่า Pure vitamin C super serum และเซรั่มวิตามินเอ ที่มีชื่อว่า Retinol’E super serum นะคะ

สำหรับท่านที่สนใจเกี่ยวกับแบรนด์ Biobalance สามารถติดตามคอนเทนท์แนะนำแบรนด์ Biobalance ได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลยค่ะ

(แนบลิงค์ https://miyeonthereviewer.com/2022/08/26/brandintro-biobalance/)

ทางเพจได้เคยนำเสนอรีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม Eye cream สุดปังของแบรนด์ไว้ ท่านใดที่พลาดสามารถติดตามได้ที่ลิงค์นี้ได้เลย

(แนบลิงค์ https://miyeonthereviewer.com/2022/09/23/biobalance-eye/)

ส่วนเซรั่มที่เราจะนำมานำเสนอกันในวันนี้นั้นเป็นเหมือนพระเอกนางเอกของแบรนด์กันเลยค่ะ คือ น้องวิตซี กับน้องวิตเอ ที่มีหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

โดยขอเริ่มที่น้องวิตซีนะคะ

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Pure vitamin C super serum

ซึ่งมาในขวดแก้วสีชาแบบมีหลอดหยดค่ะ

สำหรับเนื้อสัมผัสจะเป็นเนื้อของ Propanediol ที่จะอุ่นๆ ให้ความรู้สึก ‘rich’ คือ อารมณ์เหมือนมีอะไร หนืดๆ นิดหน่อยตอนเกลี่ย

หลังเกลี่ย

ถ่ายภาพผ่านแฟลชจะเห็นเป็นส่วนของ propanediol ดูวาวๆ

หลังจากทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ความวาวก็จะหายไปค่ะ

สำหรับส่วนผสม คือ สมเป็นสกินแคร์สายคลีน ก็คือ ตรงตามเทรนด์ ‘The less is more’ มากๆ

แค่เอา L-ascorbic acid (LAA) 10% มาละลายในเบสที่เป็น Propanediol ซึ่งการทำมาในเบสแบบไม่มีน้ำจะช่วยรักษาเสถียรภาพของ LAA เอาไว้

สำหรับ Propanediol นั้นจัดอยู่ในกลุ่มที่เรียกว่าเป็น Humectant solvent ซึ่งปกติเราใส่กันในปริมาณไม่มาก ราวๆ ไม่เกิน 5% เป็นสารให้ความชุ่มชื้นผ่านการดูดน้ำให้ผิว ในที่นี้เอามาเป็นเบสเลย เพื่อจะได้ปกป้องตัวสารวิตซีเอาไว้

Propanediol เป็นสารที่ทางผู้ผลิตวัตถุดิบเคลมว่าได้จากกระบวนการดัดแปลงจากวัตถุดิบทางธรรมชาติ เช่น ข้าวโพด ในวงการเครื่องสำอางทำขึ้นมาเพื่อทดแทนการใช้ Propylene glycol ซึ่งได้จากการสังเคราะห์ และมีรายงานถึงการแพ้-ระคายเคืองอยู่บ้าง

ถ้าดูจากคะแนนความเป็นมิตรต่อคน สัตว์และสิ่งแวดล้อมจาก Environmental Working Group (EWG) นั้นน้องจะมีคะแนนที่ 2 คะแนน แต่ถ้าเป็น Propylene glycol นั้นจะมีคะแนนอยู่ที่ 3 คะแนนค่ะ

ถ้ากล่าวกันตามจริงตามหลักการก็ไม่ได้ต่างกันเยอะมาก แต่ส่วนตัวมองว่าจากข้อมูลที่เห็นมา Propanediol นั้นมีข้อมูลว่าเกิดการระคายเคืองได้น้อยกว่า ก็น่าจะดีกว่า

สำหรับวิตามินซีที่ทางแบรนด์เลือกใช้นั้นเป็นรูปแบบ LAA ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ ที่มีรายงานกล่าวถึงประสิทธิภาพที่ดีอยู่หลายชิ้นเหมือนกัน

ส่วนประโยชน์ของวิตามินซีก็จะดูแลผิวได้หลายด้าน เช่น

  • ด้านของ Whitening ผ่านการยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นขั้นตอนหลักของการสร้างเม็ดสีผิว
  • เป็น Antioxidant ที่ดี
  • ลดการอักเสบและระคายเคือง
  • ปกป้องผิวจากรังสี UV (Photoprotective)
  • เป็นส่วนหนึ่งในการสังเคราะห์คอลลาเจน โดยเป็น Cofactor ให้แก่เอนไซม์ prolyl hydroxylase และ lysyl hydroxylase ที่ใช้สร้างกรดอะมิโนพิเศษ Hydroxyproline และ Hydroxylysine ในสายคอลลาเจน

วิตามินซีนั้นค่อนข้างบอบบางค่ะ สลายตัวง่ายจากหลายๆ ปัจจัย การทำมาในสูตรไม่มีน้ำแบบนี้ กับมาในขวดแก้วสีชาก็ช่วยปกป้องได้ในระดับหนึ่ง

แต่ว่าพอทำมาในเบสที่เป็น Humectant solvent แบบนี้ บางคนก็อาจจะไว ถ้าละเลงบนผิวเลยก็อาจจะระคายเคือง ซึ่งรูปแบบของการระคายเคืองก็มีได้หลายแบบ ตั้งแต่รู้สึกร้อนๆ แสบๆ ยุบยิบ จนไปถึงรูขุมขนอักเสบคล้ายเป็นสิว

ใครที่กำลังเริ่มใช้ หรือเคยใช้มาแล้วเกิดอาการระคายเคืองอาจจะลองผสมเข้ากับสกินแคร์อื่น วอร์มให้เข้ากันก่อนทาบนผิวก็จะช่วยลดอาการตรงนี้ได้ แล้วก็ค่อยๆ ปรับเพื่อให้ผิวเราค่อยๆ ชินกับน้องค่ะ

ส่วนอีกตัวเป็นเซรั่มวิตามินเอผสมวิตามินอีค่ะ น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Retinol’E super serum

มาในขวดแก้วสีชาแบบมีดรอปเปอร์เช่นกัน

เนื้อจะมาในรูปแบบออยล์ที่เหลวหน่อย

ถึงแม้จะเป็นออยล์ แต่มาลองดูเนื้อก่อน น้องเป็นออยล์ที่ค่อนข้างเบาไม่เหนอะหนะ เกลี่ยได้ง่าย เคลือบปกป้องผิว

ถ่ายภาพด้วยแฟลชจะเห็นความวาวของเนื้อออยล์อยู่เล็กน้อย

ตัวเซรั่มจะใช้เวลาในการซึมสักนิดค่ะ ทางแบรนด์ไม่ได้ใส่น้ำหอม เลยจะได้กลิ่นจางๆ ของวัตถุดิบอยู่ค่ะ

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในด้านของส่วนผสมนั้นจะมีวิตามินเอ ร่วมกับวิตามินอี ใน 2 รูปแบบ คือ Tocopheryl acetate และ Tocopherol ในความเข้มข้นรวม 2% และเสริม Bisabolol มาเพื่อดูแลเรื่องการระคายเคือง เนื่องจากตัว Retinol นั้นอาจจะก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ในผู้ใช้บางราย

วิตามินเอ เป็นรูปแบบ Retinol จัดมาที่ 0.3% ซึ่งมีความระคายเคืองต่ำ แต่มากกว่าพวกกลุ่ม ester นิดหน่อย ซึ่งหลังๆ มา เราไม่ค่อยเจอพวก Ester ในท้องตลาดมากนัก ถ้าไม่นับพวก Ester ของ Retinoic acid อย่าง Hydroxypinacolone retinoate (ชื่อทางการค้า Granactive® Retinoid) ที่เจอได้อยู่

สำหรับวิตามินเอนั้นมีประโยชน์กับผิวหลายๆ ประการ จะเด่นไปในด้านของการดูแลผิวเรื่องริ้วรอย ผ่านกลไกที่ซับซ้อนหลายๆ อย่าง และอาจจะให้ประโยชน์ในการดูแลเรื่องสิวได้ ผ่านการควบคุมการแบ่งตัวและเปลี่ยนรูปของเซลล์ Keratinocyte ในชั้นหนังกำพร้า

ส่วนวิตามินอีนั้นเป็น Antioxidant ที่ละลายได้ในไขมัน แล้วก็ช่วยปกป้องวิตามินเอในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพ วิตามินอีเองก็ช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ได้อยู่บ้าง มีการเสริม Antioxidant สังเคราะห์อย่าง BHA, BHT เข้ามาช่วยปกป้องวิตามินเอ และอี ไว้อีก 1 สเต็ป

โดยรวมก็ถือว่าเป็นเซรั่มวิตามินเอที่ทำมาได้คลีนๆ และเรียบง่ายดีค่ะ

สรุปแล้วกลุ่ม Super serum ที่ทางแบรนด์ Biobalance นำเข้ามาในไทยทั้ง 2 ตัวนั้นก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ มาในราคาที่เอื้อมถึงได้ค่ะ

มาดูคะแนนกันนะคะ สำหรับวันนี้เนื่องด้วยส่วนผสมไม่ได้เยอะมาก เลยขอลดหัวข้อการให้คะแนนเป็น 2 หมวด คือ หมวดส่วนผสม แล้วก็หมวดการใช้งาน

  1. ส่วนผสม ทั้ง 2 ตัวเป็นเซรั่มที่ทำมาได้ค่อนข้างคลีน เรียบง่าย ตอบเทรนด์ ‘The less is more’ ซึ่งก็ถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดีตามเทรนด์นะคะ แต่ถ้าบางคนที่ไม่ได้อินกับเทรนด์ The less is more อาจจะรู้สึกว่ามันเบาไปหน่อย มันมีอะไรได้อีก จุดนี้ขอให้ไป 3 ฟลาสก์
  2. การใช้งาน ในด้านของเนื้อสัมผัส ถ้าเป็นตัววิตซี น้องจะหนึบๆ หนักๆ นิดหน่อย เพราะเป็นเนื้อของ Propanediol ล้วนๆ แต่ไม่มันเหมือนน้ำมัน ใครที่กำลังเริ่มใช้เบสแบบนี้แนะนำให้ลองผสมเข้ากับครีมอื่นๆ ก่อน เพื่อให้ผิวเราค่อยๆ ปรับค่ะ ส่วนของตัววิตเอ นั้นจะมาในรูปแบบน้ำมัน ที่เบลนด์มาได้ฟิลลิ่งที่บางเบา ไม่เหนียวเหนอะหนะ ไม่เยิ้มมาก ทาก่อนนอนตื่นมาไม่แห้ง หมอนไม่เปอะเปื้อน ขอให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Facebook: https://www.facebook.com/BiobalanceOfficialThailand

ลิงค์สำหรับตามไปชอปปิ้ง

LazMall

ชอปปิ้งเซรั่มวิตามินซี: https://s.lazada.co.th/s.k1cLB?cc

ชอปปิ้งเซรั่มวิตามินเอ: https://s.lazada.co.th/s.k1cvu?cc

Shopee Mall Official Biobalance Mall https://invle.co/cle62tp