Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสม สเปรย์ดูแลผมบางผมร่วง Vichy Dercos Technique Densi-Solutions Hair mass recreating concentrate

ในส่วนของ Blog นี้จะขอวิเคราะห์ส่วนผสมแชมพูและบาล์มบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะของ Vichy Dercos Technique รุ่น Densi-solutions

โดยผลิตภัณฑ์ในไลน์ของ Densi-solutions นั้น ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาผมเส้นเล็ก ลีบแบน เพื่อเพิ่มวอลุ่ม และช่วยให้เส้นผมแข็งแรงขึ้น ซึ่งมีด้วยกัน 3 ผลิตภัณฑ์

ซึ่งใน Blog ก่อนหน้านี้ ได้หยิบเอาบาล์มบำรุงเส้นผม และแชมพูมาวิเคราะห์ส่วนผสมไปแล้ว

ท่านที่พลาดไปสามารถติดตามไปอ่านได้ที่ลิงค์นี้ได้เลย

>>Click<<

Blog นี้เลยขอเอาสเปรย์บำรุงหนังศีรษะที่มีชื่อว่า Hair mass recreating concentrate มาวิเคราะห์ส่วนผสมต่อ

ซึ่งน้องมาในหน้าตาแบบนี้

ตัวผลิตภัณฑ์มาในคอนเซปท์ 3 ประการ คือ “เพิ่ม คืน และ บำรุง” ออกแบบมาสำหรับผู้มีปัญหาผมขาดหลุดร่วงดูลีบแบน เพื่อเส้นผมที่ดูหนาขึ้นใน 6 สัปดาห์

  1. เพิ่ม ความหนาให้ผมใหม่
  2. คืน วอลลุ่มให้ผมลีบแบน ดูสุขภาพดี
  3. บำรุง หนังศีรษะและเส้นผมให้แข็งแรง

โดยส่วนผสมหลักที่เป็นเหมือน Hero มีด้วยกัน 3 อย่าง คือ Stemoxydine + Resveratrol + Rhamnose

หน้าตาน้องแบบมีกล่องเป็นแบบนี้ค่ะ

(Image from Vichy UK)

ก่อนไปเล่าถึงกลไกของสารบำรุงในผลิตภัณฑ์ อยากเล่าเรื่องการเจริญของผมเล็กน้อย

ผลของคนเรามีระยะการเจริญอยู่ 3 ระยะหลักๆ ได้แก่

  1. Anagen เป็นระยะที่เส้นผมกำลัง Active เป็นระยะที่ผมเรางอกยาวออกมา เซลล์ต่างๆ ในรากผมทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง
  2. Catagen เป็นระยะที่เส้นผมเริ่มหยุดสร้างตัวเอง กลายร่างเป็น Club hair
  3. Telogen เป็นระยะสุดท้ายที่ผมนั้นพร้อมหลุดออกไปได้เมื่อมีแรงมากระทำ

ซึ่งในคนปกติที่สุขภาพดี เมื่อถึง Telogen แล้ว รากผมก็จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่ Anagen อีกรอบค่ะ ทำให้เรามีผมตลอดเวลาไม่มีระยะผลัดขนเหมือนสัตว์บางชนิด

     ในปัจจุบันมีการเพิ่มชื่อระยะเข้ามาอีกนิดหน่อยค่ะ ที่สำคัญมี 2 คำ ได้แก่

  • Exogen เป็นระยะหลัง Telogen ที่ผมหลุดออกไป แล้วรากผมนั้นก็จะเข้าสู่อีกระยะหนึ่ง ที่เรียกว่า
  • Kenogen ซึ่งเป็นระยะที่รากผมยังไม่มีผมเส้นใหม่ออกมา ภายในนั้นยังว่าง ก่อนเข้าสู่ Anagen ใหม่

โดยมีการพบว่า ในสภาวะที่ผมร่วงแบบผิดปกติบางชนิด เช่น ผมร่วงจากฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ Kenogen ยาวนานขึ้น ผมอยู่ใน Telogen เยอะขึ้น และมีสัดส่วนของ Anagen ลดลง

ส่วนผสมเป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับสารบำรุงแรก ก็จะเป็น Stemoxydine ซึ่ง Story ต้องมาแล้วนิดหน่อย

Stemoxydine มีชื่อกลางทางเครื่องสำอาง (INCI name) ว่า Diethyllutidinate มีสูตรโครงสร้างดังภาพ

(Image from Wikipedia)

น้องมีชื่อทางเคมีว่า Diethyl pyridine-2,4-dicarboxylate

Stemoxydine เป็นสารนวัตกรรมสิทธิบัตรของเครือ L’Oréal ซึ่งส่วนตัวเองก็มีโอกาสได้สัมผัสกับสารตัวนี้มาหลายปีแล้ว โดยเริ่มจากน้อง Vichy รุ่น Vichy’s dercos technique neogenic hair renewal treatment ซึ่งออกมาสู่ตลาดนานมากแล้ว (ถ้าอิงจากบทความบนเว็บ Cosmetic design Europe ก็คือ ออกมาในเดือน เมษายน ปี 2012 Ref: McDougall A. (2012). https://www.cosmeticsdesign-europe.com/Article/2012/06/21/L-Oreal-to-launch-new-active-to-increase-hair-density) จุดเด่นที่สะดุดตาก็คงเป็นนวัตกรรม Package ที่ดีไซน์ออกมาได้ให้ประสบการณ์ใหม่กับผู้บริโภค

รูปตั้งแต่สมัยนั้น ไม่ค่อยชัดเท่าไหร่

โดยเราต้องเสียบหลอด vial ของเขาเข้าไปใน Dispenser ตัวนี้ แล้วก็บีบใช้งาน ตัวสารละลายก็จะไหลออกมาจาก จงอยปากที่เป็นสีเงิน

ต่อมาก็มาเจอกับน้องอีกรอบใน Serioxyl denser hair จาก L’Oréal ขวดน้ำเงินแบบนี้ ตัวนี้ใช้ Stemoxydine 5% + Resveratrol เพื่อเป็น Antioxidant โดยมีการศึกษาในอาสาสมัครพบว่าเมื่อใช้ไป 6 สัปดาห์ จะมีผมขึ้นใหม่ 1000 เส้น ก็ใช้กันมาได้ขวดครึ่ง จนมาเจอกับน้อง Densi-solution ขวดนี้แหละ

จะขออวยยศตัวเองเป็นแฟนพันธุ์แท้ Stemoxydine ก็คงไม่น่าจะเกินจริง

สำหรับคุณสมบัติและกลไกการออกฤทธิ์ของ Stemoxydine นั้นก็คือแปลก เด่น และน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

  • การทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า Stemoxydine ไปยับยั้งเอนไซม์ prolyl-4-hydroxylase (P4H) ที่อยู่ในบริเวณ Outer root sheath (ORS) ในบริเวณรากผม ซึ่งเอนไซม์นี้จะไปสลาย hypoxia-inducible transcription factor (HIF1) ซึ่งปกติ HIF1 จะจำเป็นในการทำงานของ Stem cell ที่ ORS ทำให้เกิดการแบ่งตัว และเส้นผมก็เจริญออกมา การมี P4H จะไปทำลาย HIF1 ทำให้ Stem cell ที่บริเวณรากผมทำงาน แบ่งตัวและเปลี่ยนแปลงโครงสร้างได้น้อยลง ผมเลยไม่เกิดใหม่ แต่พอให้ Stemoxydine เข้าไป ทำให้ HIF1 ยังคงอยู่ Stem cell เหล่านี้ก็เลยเกิดการแบ่งตัวออกมาเป็นเส้นผม (Oral presentation O10. Int J Trichology. 2014; 6(3): 113–139.)
  • งานวิจัยของ Raygagne เมื่อปี 2014 พบว่า Stemoxydine ที่ความเข้มข้น 5% สามารถเพิ่มความหนาแน่นของผมในกลุ่มอาสาสมัครที่เป็นโรคศีรษะล้านจากฮอร์โมนเพศชาย (Androgenic alopecia, AGA) เมื่อเวลาผ่านไป 3 เดือน และลดระยะเวลาของ Kenogen ลง เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์เบสที่ไม่มี Stemoxydine (Oral presentation O11. Int J Trichology. 2014; 6(3): 113–139.)
  • ต่อมา งานวิจัยของ Juchaux และคณะ เมื่อปี 2020 ได้ศึกษาผลของ Stemoxydine (Diethyl pyridine-2,4-dicarboxylate) คู่กับ Resveratrol ในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง ก่อนจะเอาไปศึกษาต่อในอาสาสมัคร ผลการทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า Stemoxydine เสริมฤทธิ์กับ Resveratrol ในการเสริมการทำงานของ hypoxic inducible factor-1 (HIF1) ต่อมาเอาสูตรผสมของ Stemoxydine กับ Resveratrol ไปศึกษาในอาสาสมัครเพศหญิง พบว่า ผมหนาขึ้นในช่วง 1 เดือนครึ่ง (Juchaux et al. Int J Cosmet Sci. 2020;42(2):167-173.)

สารบำรุงอื่นๆ ได้แก่

  • Resveratrol คือ สารจากธรรมชาติกลุ่ม stilbenoids ที่จัดเป็น Polyphenol พบได้ในพืชหลายชนิด รวมถึง เปลือกและเมล็ดขององุ่นแดง และในไวน์แดง เป็น Antioxidant ที่ดี มีรายงานถึงคุณสมบัติในการลดการอักเสบ มีการทดสอบในหนูทดลองพบว่า Resveratrol สามารถกระตุ้นการเจริญของขนในหนูได้ และเปลี่ยนผมระยะ Telogen กลับเป็น Anagen มากขึ้น การทดสอบในเซลล์เพาะเลี้ยงพบว่า Resveratrol ไปเสริมให้เซลล์ Dermal papilla ที่เป็นเหมือนห้องอาหารของเส้นผมทั้งเส้นแบ่งตัวเพิ่มจำนวนมากขึ้น และปกป้องไม่ให้ Dermal papilla ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ (Zhang et al., Clin Cosmet Investig Dermatol. 2021;14:1805-1814.)
  • Rhamnose เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวชนิดหนึ่ง พบได้ในพืชหลายชนิด และใน Microalgae บางสายพันธุ์ รวมถึงได้จากกระบวนการทาง Biotechnology (การหมัก) ส่วนของน้ำตาล Rhamnose มีรายงานทางด้านการใช้ในผิวพรรณเป็นส่วนใหญ่ ถ้าในระดับของงานวิจัย มีข้อมูลอยู่ว่า Rhamnose น้องเด่นทั้งในด้านของการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน 1 และคอลลาเจน 4 ที่ชั้น Dermis และ Dermal-epidermal junction ในผิวหนังจำลอง (Int J Cosmet Sci. 2019;41(3):213-220.) ส่วนหนึ่งก็เกี่ยวข้องกับการยึดเกาะของตัวโครงสร้างรากผม กับชั้นผิว ถ้ามีคอลลาเจนหนาแน่น รากผมก็จะแข็งแรง จึงให้ประโยชน์ด้านการดูแลเรื่องการขาดหลุดร่วงของเส้นผม ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบระบุว่า Rhamnose นั้นสามารถให้ประโยชน์ในด้านการเพิ่มความชุ่มชื้นผ่านการดูดน้ำให้ผิว เสริมการแบ่งตัวของเซลล์ผิวที่ชั้นหนังกำพร้า ดูแลเรื่องการอักเสบระคายเคือง และเด่นเรื่อง Soothing effect ให้ความรู้สึกสบาย ในด้านของการดูแลเส้นผมก็จะช่วยเรื่องของความสบายหนังศีรษะ และอาจได้ประโยชน์เรื่องอาการคันเข้ามาอีกทาง
  • น้ำมันหอมระเหยจาก Peppermint (Mentha piperita oil) ก็น่าจะให้ประโยชน์เสริมเรื่องของการไหลเวียนของเลือดมาเลี้ยงที่เซลล์แม่ Dermal papilla ในรากผม เสริมการเจริญของผม ให้ผมแข็งแรงอีกทางหนึ่ง

ส่วนผสมอีกชิ้นหนึ่งที่ไปเจอจากเว็บไซต์ Official ของ Vichy UK คือ ในสูตรนี้มีการใช้น้ำแร่ Vichy ด้วย ซึ่งก็มีประโยชน์ในการบำรุงหนังศีรษะที่ดี เนื่องจากส่วนประกอบของแร่ธาตุต่างๆ ที่มีในน้ำแร่ Vichy นั้นเคลมว่ามีอยู่ถึง 15 ชนิด

สำหรับ Alcohol ที่ใส่มานั้นจะช่วยเสริมการดูดซึมเข้าไปยัง Hair follicle เพื่อให้ผลิตภัณฑ์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ซึ่งน้องก็มีความจำเป็นอยู่ ถ้าจะทำสูตรที่ใช้เสริมการเจริญของผม ถ้าลงไปไม่ได้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ ส่วนตัวได้ทดลองใช้ก็ไม่มีปัญหาใดๆ

Disclaimer: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาเป็นของขวัญ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมแชมพู และบาล์มบำรุงเส้นผมและหนังศรีษะ ในไลน์ Densi-Solutions จาก Vichy Dercos Technique

ในส่วนของ Blog นี้ขอวิเคราะห์ส่วนผสมแชมพูและบาล์มบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะของ Vichy Dercos Technique รุ่น Densi-solutions กัน

โดยผลิตภัณฑ์ในไลน์ของ Densi-solutions นั้น ออกแบบมาให้ตอบโจทย์ผู้ที่มีปัญหาผมเส้นเล็ก ลีบแบน เพื่อเพิ่มวอลุ่ม และช่วยให้เส้นผมแข็งแรงขึ้น ซึ่งมีด้วยกัน 3 ผลิตภัณฑ์

ได้แก่ แชมพู บาล์มบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ และสเปรย์บำรุงหนังศีรษะ

โดย Blog นี้จะเน้นที่แชมพู และบาล์มก่อน

ตัวแชมพูจะมาในขวดปั๊ม หน้าตาแบบนี้

แชมพูมีเนื้อใส สีเหลืองอ่อน ความหนืดพอเหมาะ มีกลิ่นที่ปรุงมาได้ค่อนข้างหรูหราซับซ้อน มีความหอมสดชื่น นำด้วยกลิ่นแนว Herb เจือมาด้วยกลิ่นหวานๆ ของดอกไม้ ปิดนิดๆ ด้วยความเย็นสดชื่นของมินท์

ในด้านของฟองก็คือทำมาได้ดีเลย ฟองเล็กละเอียดสาใจคนรักฟองแบบดิฉันมาก

pH ของฟองหลังละลายน้ำอยู่ที่ประมาณ 6 ค่ะ

ส่วนผสมของแชมพู เป็นดังนี้

สำหรับแชมพูนี้ส่วนผสมของสารทำความสะอาดจะมีพวก SLES/SLS เป็นตัวหลัก แต่ก็เสริมมาด้วยสารทำความสะอาดอื่นๆ เพื่อปรับให้มีความอ่อนโยนเพิ่มขึ้น และสารเคลือบเส้นผมเพื่อให้ผมไม่แห้ง ไม่ชี้ฟู และไม่พันกัน

ในด้านของจุดเด่นของแชมพูนี้หลักๆ ส่วนตัวคิดว่าน่าจะเป็น เทคโนโลยี Filloxane®

จากที่ลองสังเกต และดูจากผลิตภัณฑ์อื่นในเครือ L’Oréal ที่เคลมเรื่องเทคโนโลยี Filloxane® เหมือนกัน ก็พอจะจับความได้ว่าน่าจะหมายถึง Aminopropyl Triethoxysilane ซึ่งเป็น Aminosilicone ที่อาจอยู่ในรูปของประจุบวกในบางสภาวะ เมื่อเป็นบวกก็จะสามารถเกาะกับเส้นผมที่เสีย ซึ่งมีประจุเป็นลบได้ดี และทาง L’Oréal ได้เคลมว่า เทคโนโลยี Filloxane® นี้ตัวเริ่มต้นเป็นของเหลว (Sol) ที่แทรกซึม (ที่มาของคำว่า Fill) เติมเต็มเข้าไปในเกล็ดผม แล้วเรียงตัวใหม่ได้เป็นเจลแข็งๆ (Gel) ในเกล็ดผม เพิ่มวอลุ่ม และให้คุณสมบัติปกป้องเส้นผมได้ เรียกเทคนิคนี้ว่าเป็น Sol-Gel transformation ซึ่งจะเหมาะกับผมเส้นบาง เล็ก หมองคล้ำ และเสีย

ซึ่งถ้าถามว่ามันเป็นไปได้ไหม ก็พอจะมีงานวิจัยรองรับอยู่ว่า Aminosilicone บางชนิดนั้น ถ้าพัฒนาสูตรให้อยู่ในสภาวะที่เหมาะสม ก็สามารถที่จะแทรกซึมเข้าไปในชั้นของเกล็ดผม (Cuticle) แล้วปกป้องเส้นผม (Berthiaume, et al. J. Soc. Cosmet. Chem. 1995;46:231-245) ซึ่งการแทรกซึมเข้าไปนั้น ก็จะให้ประโยชน์ในการเคลือบปิดเกล็ดผมให้ดูสวยเงางาม และเพิ่มการติดทนของสีผมได้

ส่วน Polyquaternium-67 นั้นเป็น Polymer ประจุบวกที่ดัดแปลงจากเซลลูโลส ข้อดีของน้องคือ น้องเคลือบผมให้นุ่ม เงางามได้ โดยไม่เกิดการสะสมตัวจนทำให้ผมเป็นเมือก (Build-up) และไม่ทำให้ผมลีบ (Ref: TDS SoftCAT™ Polymer SL-5)

สำหรับสารบำรุงที่ใส่มาในแชมพูนี้ได้แก่

  • Rhamnose เป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวชนิดหนึ่ง พบได้ในพืชหลายชนิด และใน Microalgae บางสายพันธุ์ รวมถึงได้จากกระบวนการทาง Biotechnology (การหมัก) ข้อมูลจากผู้ผลิตวัตถุดิบในทางที่เกี่ยวกับผม นอกจากเรื่องความชุ่มชื้นแล้ว Rhamnose อาจจะให้ประโยชน์เรื่องของให้ความรู้สึกสบายหนังศีรษะ (Soothing effect) ดูแลเรื่องการระคายเคือง และอาจได้ประโยชน์เรื่องอาการคันเข้ามาอีกทาง
  • Betaine เป็นอนุพันธ์ของกรดอะมิโน นอกจากเรื่องความชุ่มชื้นแล้ว ก็ยังให้ประโยชน์เรื่องของการลดการอักเสบระคายเคืองและให้ผล Soothing effect ไปในตัว
  • Salicylic acid เมื่อเอามาใช้ในผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมและหนังศีรษะจะให้ประโยชน์ในการดูแลรังแคเข้ามา
  • Piroctone Olamine เป็นสารที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งเชื้อยีสต์บางชนิด เช่น Malassezia spp. ซึ่งเป็นยีสต์ที่อาศัยอยู่บนหนังศีรษะของเรา น้องกินไขมัน (Sebum) เป็นอาหาร ถ้ามีมากเกินไปก็อาจจะทำให้เกิดรังแคได้ การใช้ Piroctone Olamine ก็จะช่วยดูแลรังแคได้อีกทาง ผ่านการยับยั้งยีสต์ในกลุ่ม Malassezia spp. (J Clin Aesthet Dermatol. 2014; 7(3): 37–41.)
  • ข้อมูลจาก Official website ของ Vichy UK บอกว่า มีส่วนผสมของน้ำแร่ Vichy อยู่ด้วยค่ะ

เรามาลองดูบาล์มบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมกันบ้างนะคะ

น้องมีชื่อว่า Restoring thickening balm มาในรูปแบบหลอดที่ใช้งานง่ายดีค่ะ

เนื้อค่อนข้างข้นสมชื่อบาล์ม กลิ่นเป็นกลิ่นในโทนเดียวกับแชมพู

ส่วนผสมเป็นดังนี้

ในส่วนของสารปรับสภาพเส้นผม ลดการพันกัน มีสารประจุบวกอยู่ 2 ตัว

  • Behentrimonium chloride เป็น Cationic surfactant ที่ปรับสภาพเส้นผมได้ดี มีความอ่อนโยน
  • Quaternium-87 เป็นสารประจุบวกที่ให้ผมนุ่ม ลื่น หวีง่าย ฟีลตอนสัมผัสดี แต่ไม่ทำให้ผมลีบแบน

สารไขมันที่น่าสนใจ คือ 2-Oleamido-1,3-Octadecanediol เป็นสารสิทธิบัตรของเครือ L’Oréal มีชื่อเล่นว่า Ceramide R ซึ่งเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายกับ Ceramide ที่ช่วยดูแล Barrier ผิวของหนังศีรษะให้แข็งแรง และให้เส้นผมมีความเงางาม

สารบำรุงอื่นๆ มี Rhamnose และ น้ำแร่ Vichy ซึ่งได้เล่าไปแล้วในช่วงของแชมพู

อีกส่วนผสมหนึ่งที่ดูเหมือนจะใช้เป็นตัวขึ้นเนื้อครีม คือ อนุพันธ์ของแป้ง อย่าง Hydroxypropyl Starch Phosphate ตัวนี้จริงๆ แล้ว นอกจากขึ้นเนื้อยังช่วยปรับฟีล และเคลือบบนเส้นผมให้ความรู้สึกนุ่ม ลื่นได้อีกทาง

ในภาพรวมก็คือเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่น่าสนใจตัวหนึ่งเลยค่ะ แต่จุดที่น่าสนใจและอาจจะทำใจยากสักนิดในช่วงแรกก็คือ การทาบาล์มนี้บนหนังศีรษะ ซึ่งตอนแรกก็คิดว่า เอ ผมจะลีบแบนไหมนะ แต่พอได้ลองจริงๆ ก็คือ รู้สึกว่าหนังศีรษะมันไม่แห้ง ไม่คันในระหว่างวัน แต่อย่าใส่เยอะ เพราะหัวจะลีบได้ ให้วอร์มๆ บนมือ ลูบบริเวณปลายผมก่อน สางผมที่พันกันให้เรียบร้อย แล้วค่อยมาลูบบนหนังศีรษะ จากโคนสู่ปลาย

Disclaimer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับมาเป็นของขวัญ การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล ผู้เขียนไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มวิตามินเอตัวดัง Liftactiv retinol serum จาก Vichy ที่พัฒนามาด้วยส่วนผสมที่เสริมกันอย่างลงตัว

สำหรับคอนเท้นท์นี้จะมารีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่มเรตินอลสุดปังจากฝรั่งเศสของแบรนด์ Vichy ที่มีชื่อว่า Liftactiv Retinol Specialist Deep Wrinkles Serum หรือ ที่มีชื่อย่อๆ ในวงการว่า Vichy Liftactiv Retinol Serum

ซึ่งตัวกล่องจะมีหน้าตาประมาณนี้

เวลาไปที่ร้านก็จะมีกล่องที่มีภาษาไทยหุ้มอยู่อีกชั้นหนึ่ง ประมาณนี้

ตัวแพคเกจจริงจะเป็นขวดแก้วสีขาวทึบแสง เวลาซื้อมาทางแบรนด์จะแยกหัวหยดไว้ให้เราประกอบเองค่ะ

พอประกอบแล้วจะได้หน้าตาประมาณนี้

เราสามารถที่จะบีบๆ ตรงปากหัวหยด เพื่อช่วยให้เนื้อเซรั่มไหลออกมาได้ง่ายขึ้น ปริมาณที่แนะนำในการใช้จากทางแบรนด์ก็คือ ประมาณ 2 – 3 หยด ทาเฉพาะตอนก่อนนอน และในช่วงกลางวันให้ใช้กันแดดที่มีค่า SPF อย่างน้อย 30 เพราะจะได้ป้องกันผิวไม่ให้ถูกทำลายจนเกิดริ้วรอย หรือ จุดด่างดำ

เนื้อของผลิตภัณฑ์มาในรูปแบบน้ำนม ไม่มีกลิ่นเนื่องจากไม่มีส่วนผสมของน้ำหอม

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้สัมผัสเบา สบายผิว ไม่เหนอะหนะ แต่ยังคงความชุ่มชื้นเอาไว้

ค่า pH อยู่ที่ราวๆ 6 – 7

สำหรับท่านที่ไม่เคยใช้เรตินอลมาก่อน ทางแบรนด์ก็แนะนำว่า ให้ค่อยๆ ปรับการใช้

  • สัปดาห์แรก ใช้ 2 ครั้ง/สัปดาห์
  • สัปดาห์ต่อมา ใช้วันเว้นวัน
  • สัปดาห์ที่ 3 ใช้ทุกวัน

ซึ่งเราก็สามารถปรับได้ตามความเหมาะสมค่ะ เช่น ถ้า ใช้วันเว้นวันแล้วรู้สึกผิวแดง เคืองผิว เราก็ลดความถี่ในการใช้ลงแล้วค่อยๆ ปรับเพิ่ม เพื่อให้ผิวเราปรับตัวและชินกับเรตินอล

หรืออาจจะใช้อีกวิธีหนึ่งที่ทางแบรนด์แนะนำ คือ การใช้ Sandwich Technique (ทา moisturizer ที่ใช้เป็นประจำก่อน – ทา retinol serum – ทา moisturizer ตบท้าย) หรือ ลงพรีเซรั่มก่อนใช้เซรั่มเรตินอล

ซึ่งส่วนตัวเป็นคนที่ใช้เรตินอลเป็นประจำอยู่แล้ว เลยใช้แทนตัวที่ใช้อยู่ได้เลย เมื่อใช้ของ Vichy ชิ้นนี้เลยรู้สึกว่าเขาทำมาดีเหมือนกันค่ะ

สำหรับส่วนผสมจะเป็นดังนี้ค่ะ

ทางเพจได้จัดหมวดหมู่ของสารบำรุงผิวและสารอื่นๆ ไว้เป็นกลุ่มสี

สำหรับพระเอกของผลิตภัณฑ์ ก็คือ Retinol เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินเอ ซึ่งทางแบรนด์ใช้ที่ความเข้มข้น 0.2% โดยทางแบรนด์เคลมว่า เป็นความเข้มข้นที่ให้ประสิทธิภาพดี แต่ยังคงความอ่อนโยนเอาไว้ ไม่ระคายเคืองมากจนเกินไป (ปกตินิยมใช้ที่ 0.1 – 0.3% แม้ว่าการเพิ่มความเข้มข้นมีแนวโน้มว่าจะให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้น แต่ยิ่งความเข้มข้นสูง ก็จะมีโอกาสในการเกิดการระคายเคืองสูงกว่า)

ประโยชน์ของ Retinol นั้นเรียกได้ว่ามีมากมายหลายอย่าง เด่นไปในทางด้านของการชะลอวัย ลดเลือนริ้วรอย และดูแลเรื่องผิวไม่กระชับ ตัวน้องจะออกฤทธิ์ที่หลายระดับชั้นผิว จึงให้ประโยชน์หลายด้าน ทั้งในแง่ของการปรับสมดุลการสร้าง-แบ่งตัว-เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่และการผลัดออกของผิวในหนังกำพร้า เสริมการสร้างพวกเส้นใยไฟเบอร์ต่างๆ ที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในชั้นหนังแท้ รวมถึงไปลดการสังเคราะห์เอนไซม์ MMP ที่ไปทำลายคอลลาเจน

ตามทฤษฎีแล้ว Retinol นี่ถือว่าเป็นสารที่วงการแพทย์ยอมรับตัวหนึ่งในด้านของการเป็น Anti-aging ดูแลเรื่องผิวไม่กระชับ หย่อนคล้อย ริ้วรอย

ในวงการทางผิวหนังมีการศึกษาประสิทธิภาพของ Retinol อยู่หลายชิ้นงานเหมือนกัน ขอหยิบยกมาเล่า 2 ชิ้น ที่คิดว่าน่าสนใจ

การทดสอบแรกของ Kong และคณะ เมื่อปี 2016 ตีพิมพ์ลงในวารสาร Journal of Cosmetic Dermatology มี 2 การทดลองย่อย

  • งานแรกทดสอบประสิทธิภาพของเรตินอล 0.1% เทียบกับกรดวิตามินเอ 0.1% โดยให้อาสาสมัคร 6 คน (ชาย 3 หญิง 3) ทาบริเวณแขน แล้วเก็บชิ้นเนื้อมาตรวจ พบว่าผิวหนังชั้นหนังกำพร้าหนาตัวขึ้น และปริมาณยีนที่เกี่ยวข้องกับคอลลาเจนมีมากขึ้น (คือ มีการกระตุ้นการสังเคราะห์คอลลาเจน) ทั้งบริเวณที่ทาด้วยเรตินอล และกรดวิตามินเอ
  • งานถัดมาทดสอบประสิทธิภาพของเรตินอล 0.1% ในอาสาสมัครหญิง อายุระหว่าง 35 – 55 ปี จำนวน 41 คน โดยให้ทา Retinol วันเว้นวันเป็นเวลา 2 อาทิตย์ และทาทุกวันอีก 10 อาทิตย์ พบว่าริ้วรอยจางลง และริ้วรอยที่มีอยู่ตื้นขึ้น

(Ref: Kong et al., J Cosmet Dermatol. 2016;15(1):49-57.)

อีกการทดสอบหนึ่งที่ตนเองคิดว่าน่าสนใจไม่แพ้กัน คือ การทดสอบของ Shao และคณะ เมื่อปี 2017 ตีพิมพ์ลงในวารสาร International Journal of Cosmetic Science ใช้อาสาสมัครที่มีอายุเฉลี่ย 76 ปี จำนวน 12 คน ให้ทาเรตินอล 0.4% ลงบริเวณก้น ซึ่งเป็นบริเวณที่ไม่โดนแสงเลย เป็นเวลา 7 วัน เทียบกับผลิตภัณฑ์เบส เพื่อตัดผลรบกวนจาก UV ในการศึกษาประสิทธิภาพด้าน Anti-aging ของเรตินอล

พบว่า

  • ผิวหนังชั้น Epidermis (หนังกำพร้า) มีความหนาตัวเพิ่มขึ้น โดยมีการแบ่งตัวของเซลล์ Keratinocyte เพิ่มขึ้น
  • ปริมาณเส้นใย Extracelular matrix (ECM) ในชั้นหนังแท้เพิ่มขึ้น โดยไปกระตุ้นไฟโบรบลาสต์ให้สร้าง collagen, fibronectin และ elastin ออกมา
  • การไหลเวียนของเลือดมาเลี้ยงผิวดีขึ้น ผ่านการกระตุ้นการสร้างเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด (Endothelial cells)

(Ref: Shao et al., Int J Cosmet Sci. 2017;39(1):56-65.)

ผลของ Retinol ที่ระดับชั้นหนังกำพร้า จะสามารถเห็นได้ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่วัน และผลที่หนังแท้ จะใช้เวลานานกว่านั้น อยู่ในช่วงเดือน หรือระดับหลายเดือน ซึ่งตรงนี้ก็ตรงกับที่แบรนด์เคลม คือ รู้สึกได้ตั้งแต่เดือนแรกที่ใช้

แต่ต้องระวังเรื่องของความไวต่อแสง ดังนั้นจึงต้องทากันแดดทุกเช้า

สำหรับเรื่องของผลของสาร Retinol ต่อทารกในครรภ์นั้น แม้ว่าข้อมูลจะไม่ได้ชัดเจน 100% ว่าเป็นพิษต่อทารกในครรภ์แบบกรดวิตามินเอ ที่ชื่อ Tretinoin หญิงตั้งครรภ์ หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ก็ไม่ควรใช้อยู่ดี

สารบำรุงอื่นที่เสริมมาแล้วมีความเด่นในเรื่องริ้วรอยไม่แพ้กัน คือ ตัวผสมของเปปไทด์ 2 ชนิด Palmitoyl tetrapeptide-7 กับ Palmitoyl tripeptide-1 เป็นตัวผสมที่รู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า MatrixylTM 3000 เป็นการเลือกใช้เปปไทด์ที่เป็นสารในกลุ่ม Matrikine (หรือ Messenger peptide) เบลนด์กัน 2 ชนิด ที่เน้นฟื้นฟูปัญหาริ้วรอยที่เกิดตามอายุ

  • การทดสอบในระดับเซลล์เพาะเลี้ยง พบว่า เสริมการสังเคราะห์เส้นใยที่เป็น Extracellular matrix (ECM) ในกลุ่มของ Collagen Type 1, Fibronectin และ Hyaluronic acid ที่ Dermis และปกป้องไม่ให้เส้นใยเหล่านี้ถูกทำลาย
  • การทดสอบในผิวหนังที่เลี้ยงในหลอดทดลอง พบว่า ช่วยปรับสมดุลและสัดส่วนของเส้นใย ECM ในผิวที่ Aging ไปแล้ว ให้มีสัดส่วนกลับมาคล้ายกับผิวที่ยังเยาว์
  • การทดสอบในอาสาสมัคร พบว่ามีประโยชน์ในการลดเลือนริ้วรอย

Probiotic fractions ที่เป็นสิทธิบัตรของทาง Vichy (Vitreoscilla ferment) ซึ่งมีคุณสมบัติที่ดีต่อผิวหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นด้านของการปรับสมดุลไมโครไบโอมให้ผิวมีสุขภาพดี ยังมีการทดสอบโดยทางแบรนด์พบว่ามีคุณสมบัติในการผลัดผิวอ่อนๆ และช่วยให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect)

สามารถสรุปกลไกการออกฤทธิ์ของสารบำรุงในตำรับได้เป็นดังภาพนี้

นอกจากสารบำรุงหลักแล้ว ในผลิตภัณฑ์ยังมีส่วนประกอบอื่นๆ ที่น่าสนใจอยู่ด้วย

มีสารอีกตัวที่เข้ามาช่วยดูแลเรื่องการระคายเคือง และให้ความรู้สึกสบายผิว (Soothing effect) คือ Hydroxyacetophenone ตัวนี้เป็นสาร Antioxidant ในกลุ่มฟีนอลิกที่ได้จากการสังเคราะห์ ซึ่งนอกจากปกป้องสารในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพไปแล้ว น้องยังมีคุณสมบัติในแง่ของการให้ความรู้สึกสบายผิวมาพร้อมๆ กัน

เติมน้ำให้ผิวต่ออีก 1 Step ด้วย Sodium hyaluronate และ Hydrolyzed rice protein และมีน้ำมันจากถั่วเหลือง ซึ่งให้ความชุ่มชื้นและทดแทนไขมันจำเป็นคืนให้แก่ผิว

เสริมมาด้วย Antioxidant อย่างวิตามินอี และ สารที่มีชื่อว่า Pentaerythrityl tetra-di-t-butyl hydroxyhydrocinnamate ตัวนี้รู้จักกันในชื่อ Tinoguard® TT ที่เป็น Antioxidant กลุ่มฟีนอลิกสังเคราะห์เช่นกัน ทำหน้าที่ปกป้องสารในตำรับไม่ให้เสื่อมสภาพ

การใช้ Antioxidant มาเสริมกันเพื่อปกป้องวิตามินเอ (เรตินอล) ไม่ให้เสื่อมสภาพของทางแบรนด์ ทางแบรนด์เรียกว่าเป็น Retinol guard™ ที่คงความสเถียรของเรตินอลได้เป็นอย่างดี ไม่เสื่อมสลายก่อนจะมาถึงผิวเรา

ส่วนของเบส เป็นเบสแบบน้ำนม ที่เลือกใช้กลุ่มของ สารไขมันที่มีความบางเบา แต่ก็คงความชุ่มชื้นให้ผิวได้ และส่วนผสมอื่นๆ ก็เลือกมาได้เป็นอย่างดี ไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว

มาให้คะแนนกันดีกว่าค่ะ

  1. สารบำรุง นอกจากวิตามินเอ รูปแบบ Retinol ที่เด่นในแง่ของการดูแลริ้วรอย ปัญหาผิวหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเมื่อเราอายุเพิ่มขึ้น (Aging skin) แล้ว ยังเสริมมาด้วย Peptide ที่โดดเด่นในแง่ของการดูแล Aging skin ไปพร้อมๆ กัน ดูแลปัญหาการระคายเคือง ด้วย Probiotic fraction และ Hydroxyacetophenone เติมน้ำ และทดแทนไขมันธรรมชาติคืนให้สู่ผิวไปพร้อมๆ กัน จึงถือว่าทำมาได้ค่อนข้างดี สำหรับเซรั่มวิตามินเอ Vichy Liftactive ตัวนี้ จึงขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในส่วนของเบส นั้นเลือกใช้สารกลุ่มน้ำมันที่มีเนื้อบางเบา และมีการใช้สารเสริมเข้ามาเพื่อช่วยเพิ่มเสถียรภาพของเรตินอล และดูแลเรื่องการระคายเคืองไปพร้อมๆ กัน รวมทั้งไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว แต่มีแอลกอฮอล์ติดมาอยู่นิดหน่อย จึงขอให้ 4 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวเป็นคนที่ใช้วิตามินเอ มาหลายปี จึงหยุดตัวเก่า แล้วใช้ตัวใหม่นี้เลย โดยใช้ทุกวัน ก็ไม่ได้พบปัญหาระคายเคือง หรือความรู้สึกไม่สบายผิวแต่อย่างใด แม้จะมีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ แต่ตัวเองก็คิดว่า สารไขมันอื่นในเบสนั้นยังดูแลเรื่องความชุ่มชื้นได้อยู่ ในส่วนของความเรียบเนียน การแต่งหน้าติดทนนานมากขึ้น ถือว่าน้องทำมาได้ตอบโจทย์ สำหรับเรื่องของริ้วรอย ตอนนี้ยังไม่ได้มีปัญหาริ้วรอยทั้งแบบลึกแบบตื้น แบบจริงจัง จึงอาจจะยังตอบแบบฟันธงไม่ได้ แต่ถ้าเอาตามความรู้สึกคือความแน่น เฟิร์ม จับๆ กดๆ แล้วรู้สึกเด้งไม่กลวงไม่เละ อันนี้คิดว่าทำมาได้ดี ให้ไป 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Vichy ประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตาและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ 

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/VichyTH/

ส่วนใครที่คันไม้คันมือแล้วอยากช็อปปิ้ง เรียนเชิญได้ตามช่องทางที่สะดวกเลยค่ะ

LazMall: https://invol.co/cljetlk

Shopee Mall: https://invl.io/cljetlr

Watsons: https://invol.co/cljetmc

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Vichy ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมแชมพูดูแลปัญหารังแค Vichy Dercos Technique Anti-dandruff DS dermatological shampoo

สำหรับวันนี้เรามาลองดูบทวิเคราะห์ส่วนผสมแชมพูดูแลปัญหารังแคจาก Vichy ที่กำลังโด่งดังกัน

น้องเป็นแชมพูรุ่นขวดสีเขียว ที่มีชื่อว่า Vichy Dercos Technique Anti-dandruff DS dermatological shampoo ซึ่งมีหน้าตาประมาณนี้

เวลาเราไปที่ร้านเขาจะมีแพคเกจนอกอีกชิ้นหนึ่ง ที่มีหน้าตาประมาณนี้ค่ะ

ขวดข้างในเป็นรูปแบบนี้

สำหรับเนื้อแชมพูจะมีสีเหลือง มีกลิ่นในโทนสะอาด สดชื่น  ตอนสระอาจจะได้กลิ่นอ่อนๆ ของ Selenium sulfide ที่มีกลิ่นเฉพาะตัวตามธรรมชาติอยู่ด้วย

ฟองดี ฟองเยอะ ในภาพจะใช้ที่ตีฟองของไดโซตีเอานะคะ

pH ของฟองอยู่ที่ ราวๆ 4 – 5 ซึ่งถือว่าไม่เป็นด่างมากไป ถ้าเทียบกับสารทำความสะอาดบางตัวที่มักจะให้ค่า pH ที่ค่อนข้างสูง

ผลิตภัณฑ์นี้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยในอาสาสมัครมาแล้วโดยสถาบัน Dermscan ประเทศฝรั่งเศส พบว่า เมื่อใช้ต่อเนื่อง 4 สัปดาห์ จะดูแลปัญหารังแคกลับเป็นซ้ำได้ 6 สัปดาห์

สำหรับคำเคลมของทางแบรนด์เรื่องการดูแลรังแคก็คือ เน้นไปที่ 3 actions

  • ขจัดรังแคที่มองเห็นตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้
  • ปรับสมดุลความมันบนหนังศีรษะ
  • ฟื้นบำรุงหนังศีรษะและเส้นผมให้ชุ่มชื้น

ก่อนไปดูส่วนผสมขอเล่าเรื่องการเกิดรังแคแบบสรุปรวบตึงซักหน่อย

รังแคนี่เป็นความผิดปกติที่เดิมทีเราเชื่อว่าเกิดจากยีสต์ Malassezia furfur แต่หลังๆ เราเจอว่ามีปัจจัยอื่นๆ อีกมาก เพราะการมียีสต์ M. furfur เยอะๆ ไม่ได้ทำให้เกิดรังแคเสมอไป มีปัจจัยส่วนตัวบุคคลอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Microbiome ความไวของผิวต่อ Oleic acid ของแต่ละคนไม่เท่ากัน บ้างก็ว่าพันธุกรรมก็มีผล ความเครียดเอย UV เอย

สาเหตุในการเกิดว่ากันว่า เริ่มแรกมาจากต่อมไขมันของเรา สร้างไขมันออกมา ไขมันที่ต่อมไขมันสร้างเป็นกลุ่ม Triglyceride โดย เชื้อในกลุ่ม Malassezia spp. มีเอนไซม์ Lipase ที่ไปย่อยไขมัน ได้เป็นกรดไขมัน

เชื้อ Malassezia spp. มันจะเลือกกินแต่กรดไขมันอิ่มตัว เหลือกรดไขมันไม่อิ่มตัวเอาไว้ โดยหนึ่งในนั้นที่มีความสำคัญคือ Oleic acid ถ้ามีมากๆ ก็จะไปกวน Barrier ผิว และทำให้เกิดความผิดปกติในหลายๆ ระดับ ตั้งแต่เรื่องการสร้าง-เจริญ-เปลี่ยนแปลงโครงสร้างหน้าที่-ผลัดออกทิ้ง เมื่อกระบวนการนี้ผิดปกติไป มันก็เลยเห็นเศษเซลล์เป็นแผ่นๆ เป็นรังแค

รังแคมีหลายรูปแบบ อาจจะมีสีขาว สีเทา หรือสีเหลืองก็ได้ถ้ามีพวกน้ำมันอยู่มาก

ในภาพรวมสรุปได้ประมาณภาพนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมทั้งหมดของแชมพูนี้เป็นดังนี้ค่ะ

สำหรับส่วนผสมวันนี้ค่อนข้างไปในทาง “The less is more” โดยเลือกใช้สารบำรุงที่ตอบโจทย์แบบเน้นๆ ไม่มีสารอื่นมาวุ่นวายจนเยอะไป

เนื่องด้วยเป็นแชมพู เลยขอกล่าวถึงสารทำความสะอาดนิดหน่อยค่ะ

  • สารทำความสะอาด แทนด้วยสีน้ำตาล มีสารทำความสะอาดหลักๆ 2 ตัว คือ Sodium laureth sulfate (SLES) ที่เป็นสารทำความสะอาดประจุลบ ให้ฟองดี ทำความสะอาดดี เสริมมาด้วย Coco-betaine ที่เป็นสารทำความสะอาดชนิด 2 ประจุ ที่มีความอ่อนโยน พอเอามาเสริม SLES ก็จะช่วยให้สูตรอ่อนโยนขึ้น
  • สารบำรุงที่ดูแลเรื่องรังแค แทนด้วยสีน้ำเงิน ได้แก่
    • Selenium sulfide เป็นสารที่ได้รับการยอมรับให้ดูแลรังแคจาก USFDA โดยมีกลไกการออกฤทธิ์หลายระดับ ตั้งแต่ ยับยั้งการแบ่งเซลล์ที่มากเกินไป ไปจนถึงยับยั้งการเจริญของเชื้อยีสต์ และควบคุมความมัน
    • Salicylic acid เป็นสารที่ได้รับการยอมรับให้ดูแลรังแคจาก USFDA อีกตัวหนึ่ง โดยมีกลไกการออกฤทธิ์ผ่านการย่อยสลายเซลล์ขี้ไคลที่อุดตันอยู่ รวมไปถึงมีประโยชน์ในการลดการอักเสบระคายเคือง
  • สารสีเขียว 2-oleamido-1,3-octadecanediol ตัวนี้เป็นสารสิทธิบัตรของเครือ L’Oréal มีชื่อเล่นว่า Ceramide R ซึ่งเป็นสารที่มีโครงสร้างคล้ายกับ Ceramide ที่ช่วยดูแล Barrier ผิว ในคนเป็นรังแค พบว่า Barrier ผิวจะค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับคนปกติ การฟื้นฟู Barrier ก็จะได้ประโยชน์ในระยะยาวต่อไป
  • สีม่วง สารอื่นๆ ได้แก่ Menthol ที่ให้ความเย็น และ Tocopheryl acetate เป็นรูปแบบหนึ่งของวิตามินอี ซึ่งเป็น Antioxidant

อีกจุดที่แบรนด์เคลมเข้ามาคือเรื่องของ Microbiome technology

ซึ่งถ้าเรากล่าวถึงเรื่อง Microbiome กับการเกิดรังแคนั้นสามารถเล่าย่อๆ ได้ประมาณว่า ถ้าระบบ Microbiome ของหนังศีรษะอยู่ในภาวะสมดุล หนังศีรษะก็จะมีสุขภาพดี โดยถ้าเป็นที่ผิวหนังนั้นงานวิจัยค่อนข้างชัดแล้วว่า Microbiome ทำอะไรกับผิว และทำให้ผิวแข็งแรงได้อย่างไร แต่ถ้าเป็นที่หนังศีรษะนั้นยังไม่ชัดเจน ยังมีอะไรใหม่ๆ มาอัพเดทให้กับวงการและมีงานวิจัยออกมาเรื่อยๆ

มีงานอยู่ชิ้นหนึ่งที่ศึกษา Microbiome ของคนที่มีหนังศีรษะสุขภาพดี เทียบกับคนที่เป็นรังแค พบว่ากลุ่มเชื้อแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเลย โดยในคนที่เป็นรังแค เมื่อเทียบสัดส่วนระหว่าง M. restricta/M. globosa ในคนที่เป็นรังแคนั้นสูงกว่าคนปกติมาก (Front Cell Infect Microbiol. 2018;8:346.) ซึ่งเจ้า M. restricta นั้นเป็นตัวที่มี Lipase ไปย่อยไขมัน Triglyceride ให้กลายเป็นกรดไขมันอิสระ แล้วเจ้ายีสต์ก็ไปกินกรดไขมันอิ่มตัว เหลือกรดไขมันไม่อิ่มตัวมากๆ โดยเฉพาะ Oleic acid ตามที่ได้กล่าวไปด้านบน

นอกจากเชื้อยีสต์แล้ว พบว่าการมีแบคทีเรียชนิดดีนั้น ว่ากันว่าจะช่วยสร้างสารที่เป็นประโยชน์ต่อการเจริญของเส้นผม เช่น กรดอะมิโนบางชนิด ไบโอติน และสารกลุ่มวิตามินบี

มีการค้นพบว่าในคนที่เป็นรังแค สัดส่วนของ Cutibacterium/staphylococcus น้อยกว่าคนปกติ ซึ่งเมื่อ Staphylococcus โตมากขึ้น จะไปมีผลทำให้ Barrier ผิวอ่อนแอลง การระเหยของน้ำออกจากผิวมากขึ้น ค่า pH สูงขึ้น ทำให้ระบบการปกป้องตัวเองจากเชื้อก่อโรคน้อยลง และอ่อนแอลง (Exp Dermatol. 2021;30(10):1546-1553.)

ในภาพรวมแล้ว แชมพูนี้ดูแลรังแคผ่านหลายกลไกที่พอจะสรุปได้ประมาณภาพ

มาให้คะแนนกันดีกว่านะคะ

  1. สารบำรุง มีส่วนผสมของสารบำรุงที่ดูแลรังแคผ่านหลายกลไกและเสริมกันได้อย่างลงตัว ตั้งแต่เรื่องของการสร้างน้ำมัน ต่อต้านการเจริญของเชื้อยีสต์ Malassezia และให้ประโยชน์ไปถึงการดูแล Barrier ผิว ปรับสมดุลการแบ่งตัว ย่อยสลายเซลล์ที่เกาะติดกันผิดปกติ และ มีเทคโนโลยี Microbiome ที่ปรับสมดุล Microbiome บนหนังศีรษะ ที่จะดูแลรังแคในระยะยาว สมกับคำเคลมเรื่องของการดูแลเรื่องการกลับเป็นซ้ำ ในช่วง 6 สัปดาห์ จุดนี้ขอให้ไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ ในด้านของสารทำความสะอาด ถึงแม้จะเป็นพวก SLES แต่ก็ยังมีเสริมมาด้วย Coco-betaine ที่น่าจะให้ความอ่อนโยนเพิ่มขึ้น และไม่มีส่วนผสมอื่นๆ ที่ไม่เป็นมิตรกับผิว ให้ไป 5 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวเป็นคนชอบแชมพูที่มีฟองเยอะๆ ซึ่งน้องทำมาได้ตอบโจทย์ ในเรื่องของความสะอาดตอนสระก็คือ ทำมาได้ดี กลิ่นจะเป็นแนวสดชื่น แมนๆ เหมือนน้ำหอมผู้ชาย อาจจะมีผมแห้งบ้าง เมื่อสระน้ำ 2 แต่ส่วนตัวก็เป็นคนที่ผมเส้นเล็ก และแห้งง่าย พันง่ายอยู่แล้ว และสูตรนี้ออกแบบมาสำหรับคนผมธรรมดา-ผมมัน เลยไม่ติ สำหรับเราถ้าใช้สระเสร็จแล้วลงครีมนวด ก็ปกติดี ในเรื่องของรังแค ส่วนตัวไม่ได้มีปัญหาเรื่องของรังแคแล้ว ใช้สัปดาห์ละ 1 – 3 ครั้ง ก็ถือว่าดูแลปรับสมดุลหนังศีรษะ จุดนี้ขอให้ 5 ฟลาสก์

สุดท้ายนี้อยากขอบคุณทางแบรนด์ Vichy สาขาประเทศไทยด้วยนะคะ ที่ส่งสินค้าดีๆ มาให้ได้เปิดหูเปิดตาและทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/Vichy?brand_redir=115121698517838

ส่วนใครที่คันไม้คันมือแล้วอยากช็อปปิ้ง เรียนเชิญได้ตามช่องทางที่สะดวกเลยค่ะ

LazMall: https://invol.co/clis7ku

Shopee Mall: https://invl.io/clis7lf

Watsons: https://invol.co/clis7mc

Disclaimer/Conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Vichy สาขาประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ