เรียกได้ว่าเป็นความเชื่อของหลายๆคน ที่เชื่อว่า Cleansing water นั้นจะเหมือนกับ Toner เพราะด้วยความที่นางเป็นน้ำใสๆ เหมือนกัน จุดประสงค์ในการใช้ก็เกือบจะคล้ายๆกัน
เอ๊ะ แล้วความจริงเราใช้แทนกันได้ไหม วันนี้จะพาไปหาคำตอบค่ะ
มี่จะเริ่มต้นโดยการยกตัวอย่างส่วนผสมของ Cleansing water มาเทียบกับ Toner นะคะ
ส่วนผสมของ Cleansing water ยี่ห้อหนึ่ง
จากส่วนผสมจะเห็นว่า ใน Cleansing water เราจะมีพระเอกอยู่ 1 ตัว คือ พวกสารทำความสะอาด ที่เป็นสารลดแรงตึงผิว หรือ Surfactant ซึ่งจะทำหน้าที่ทำความสะอาดชะล้างสิ่งสกปรกและ makeup ต่างๆค่ะ
Surfactant นี้ไม่ใช่ว่านางจะดีนะคะ นางดึงเอาสิ่งสกปรกออกจากผิวได้ก็จริง แต่นางก็จะดึงไขมันดีๆออกจากผิวไปด้วย นางแยกไม่ออกหรอกค่ะว่าอันไหนดีอันไหนไม่ดี
Surfactant นี้เวลาลงผิวก็จะมีชะตากรรมหลายแบบค่ะ นางอาจจะละลายน้ำออกไปไม่เกิดอะไรขึ้นก็ได้ หรือ นางอาจจะดึงเอาไขมันดีๆที่เป็น Barrier ผิวออกมา ผลคือ Barrier เรามีช่องโหว่ ทำให้สารก่อการแพ้ต่างๆลงผิวได้ง่ายขึ้นกลายเป็นผิวแพ้ง่ายไป หรือ นางอาจจะไปสอดแทรกรวมกับ Barrier ผิว แล้วทำให้ Barrier ผิวเราเสื่อมได้เหมือนกันค่ะ
นอกจากนี้พวก surfactant ที่ตกค้างในผิว อาจจะไปกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและระคายเคืองได้อีก ไม่ดีเลยนะคะ ใช้แล้วควรจะไปล้างออก แม้เค้าจะบอกว่า Leave-on ได้ ก็ไม่ควร Leave-on บ่อยๆค่ะ
แต่ถ้าเรามาดูส่วนผสมของ Toner
มี่ขอยกตัวอย่าง Witch hazel toner นะคะ เพราะเป็น toner ที่ classic ที่สุดตัวหนึ่ง นางมีประโยชน์มากมายในด้านกระชับรูขุมขน ควบคุมความมันค่ะ
ในส่วนผสมจะเห็นว่า โทนเนอร์ที่ใช้หลังล้างหน้า จะมีส่วนผสมของสารบำรุงอยู่ค่ะ แม้จะมี surfactant อยู่บ้าง แต่นั้นก็มาในลำดับท้ายๆ เขาใส่มาเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่มีความใสค่ะ ปริมาณน้อยๆขนาดนี้ไม่น่าจะมีผลกับผิวรุนแรงมากเหมือนตัว cleansing water ซึ่งมีส่วนผสมของ surfactant มากกว่าค่ะ
ดังนั้น
เราไม่ควรใช้ Cleansing water แทน Toner นะคะ เพราะ Cleansing water ถูกออกแบบมาเพื่อให้ใช้ทำความสะอาดเมคอัพ และสิ่งสกปรกต่างๆ เช็ดเสร็จแล้ว ควรไปล้างหน้าอีกรอบ เพื่อเอา surfactant ออกไปจากผิวค่ะ และหลังจากล้างหน้าก็ควรจะเติมน้ำ เติมน้ำมันคืนสู่ผิว เพื่อคืนสมดุลให้กับผิวด้วยค่ะ
พบกันใหม่โอกาสถัดไป สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ