Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมเซรั่ม Pure Niacinamide 10 Serum 1 ในตัวแม่เซรั่มพลังโมเลกุล จาก La Roche-Posay

Blog นี้ขอหยิบเอาเซรั่มวิตามินบี 3 ซึ่งเป็นเซรั่มตัวดัง ในซีรี่ส์เซรั่มพลังโมเลกุล จากแบรนด์ La Roche-Posay มาวิเคราะห์ส่วนผสมให้ได้ชมกัน

น้องมีชื่อเต็มๆ ว่า Pure Niacinamide 10 Serum มาในขวดสีม่วงแบบนี้ค่ะ

ซึ่งเวลาเราไปซื้อใน Drug Store เราจะเจอน้องมาในกล่องหุ้มหน้าตาแบบนี้

สูตรนี้จะมาในเนื้อน้ำนมนะคะ

เกลี่ยได้ค่อนข้างง่าย ให้ความรู้สึกชุ่มชื้น มีฟีลเคลือบผิวเบาๆ เอาไว้

ขึ้นชื่อว่าเป็นผลิตภัณฑ์ของลาโรช ทางนี้ค่อนข้างมั่นใจเรื่องประสิทธิภาพ เพราะทางแบรนด์จะทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ในอาสาสมัครก่อนเสมอ

สำหรับเซรั่มตัวนี้นั้นทางแบรนด์ได้ผ่านการทดสอบประสิทธิภาพในอาสาสมัครหลากหลายเชื้อชาติ ทุกสีผิว และทุกสภาพผิว เป็นจำนวนทั้งสิ้น 105 คน ในเรื่องของจุดด่างดำตามอายุ (Age spot) จุดด่างดำจากรังสี UV (Sun spot) รอยดำจากสิว จากการอักเสบ (Post-inflammatory hyperpigmentation; PIH) โดยพบว่า

  • หลังทาทันที รู้สึกชุ่มชื้น สีผิวดูกระจ่างใส (Radiance) สม่ำเสมอมากขึ้น อันนี้เป็นไปได้ไหม เดี๋ยวมาเล่าให้ฟังใน
  • ช่วงวิเคราะห์ส่วนผสม
  • 4 สัปดาห์ จุดด่างดำดูดีขึ้น ทั้งมีขนาดเล็กลง สีดูจางลง สีผิวโดยรวมสม่ำเสมอมากขึ้น
  • ครบ 8 สัปดาห์ แล้วติดตามการใช้ที่ 11 สัปดาห์ พบว่าลดการกลับเป็นซ้ำของจุดด่างดำเมื่อหยุดใช้ไปแล้ว 3 สัปดาห์ และประสิทธิภาพในด้านสีผิวสม่ำเสมอยังคงอยู่

ก่อนไปวิเคราะห์ส่วนผสมอยากเล่าถึงสีผิว การเกิดสีผิว และทำไมเวลาเราเป็นสิว ถึงมักจะทิ้งรอยดำเอาไว้

เรื่องสีผิว อันนี้เชื่อว่าหลายท่านน่าจะทราบแล้วว่า การสร้างเม็ดสีผิว เกิดที่ Melanocyte ที่ชั้นล่างสุดของหนังกำพร้า โดยอาศัยเอนไซม์ Tyrosinase เปลี่ยนกรดอะมิโน Tyrosine หลายขั้นตอนจนได้เป็นเม็ดสี Melanin

ทีนี้เวลา Melanocyte มันได้เมลานินแล้ว มันจะไปเก็บรวมในถุง Melanosome ก่อนส่งผ่านออกไปที่เซลล์หนังกำพร้า (Keratinocyte; KC) ชั้นที่อยู่เหนือกว่า เราก็จะค่อยๆ เริ่มเห็นเป็นสีผิว เมื่อ KC พวกนี้มันเคลื่อนที่ออกมา

เรียกกระบวนการนี้ว่า Melanosome transfer

ทีนี้ถ้าไม่มีอะไรไปกวนมัน เราก็จะมีสีผิวอ่อนเข้มแตกต่างกันไปตามกรรมพันธุ์ของเรา

แต่ถ้ามีอะไรไปกวนมัน เช่น รังสี UV อนุมูลอิสระ ความเครียด ฮอร์โมน และการอักเสบ เจ้าบริเวณที่โดนกระตุ้นมันก็จะเกิดเป็นจุดที่มีสีผิวเข้มกว่ารอบข้าง กลายเป็นจุดด่างดำให้เราเห็นนั่นเองค่ะ

วันนี้จะเน้นไปที่การอักเสบเป็นพิเศษ

โดยเวลาเกิดการอักเสบขึ้น เช่น มีสิว มันจะส่งสัญญาณไปที่ KC แล้วเวลา KC โดนกระตุ้น มันจะปลดปล่อยพวกสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบหลายตัวเลยค่ะ เช่น IL-1, IL-6, TNF-a, Prostaglandins เช่น PGE2, Leukotrienes ฯลฯ (Maghfour et al. Pigment Cell & Melanoma Research. 2022;35(3):320-327.) ซึ่งเอาจริง บางตัวมันดีนะ มันจำเป็นในการปกป้องตัวเองของ KC และเซลล์อื่นๆ ไม่ให้เสื่อมสภาพไปจากการอักเสบ

แต่ว่าสารก่อการอักเสบพวกนี้ไปกระตุ้นให้ Melanocyte ทำงานมากขึ้นผ่านหลายกลไก ไม่ว่าจะเป็น กระตุ้นการสร้างเม็ดสีผิว และไปกระตุ้นกระบวนการ Melanosome transfer ซึ่งในที่สุดผิวก็จะเข้มขึ้นค่ะ แต่มันใช้เวลาเนาะ กว่าจะสร้าง กว่าจะส่งออกมาจนเรามองเห็น

เวลาเป็นสิว ผิวบริเวณที่เป็นสิวก็จะเกิดการอักเสบ เวลาสิวหาย รอยดำก็เลยเกิดในจุดที่เคยเป็นสิว เลยเรียกว่า รอยดำหลังการอักเสบ หรือ Post-inflammatory hyperpigmentation; PIH

มาดูส่วนผสมกัน ว่าทำไมน้องถึงจัดเต็มจัดฉ่ำเรื่องรอยดำจากสิวได้ดี

ส่วนผสมเป็นดังนี้

จากส่วนผสมและแบรนด์เคลม

น้องพัฒนามาโดยอาศัยแรงบันดาลใจจาก Kigman’s formula ซึ่งเป็นสูตรยาที่แพทย์ผิวหนังใช้ในการรักษาฝ้า เป็นคอมบิเนชั่นของ Hydroquinone (ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว) + Steroid (ลดการอักเสบ) + Retinoic acid (ผลัดผิว) โดยอาศัยสารที่มีกลไกการออกฤทธิ์คล้ายกัน แต่มีความปลอดภัยและได้รับการยอมรับในวงการเครื่องสำอาง ได้แก่ Phenyl resorcinol; PHE-resorcinol (ยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว) + Niacinamide (ลดการอักเสบ) + HEPES (ผลัดผิว)

ถือว่า แบบ เยี่ยม ว้าวมากค่ะ

โดยคอนเซปท์ของผลิตภัณฑ์นี้ก็คือ การดูแลรอยดำได้ครบทั้งวงจร ตั้งแต่ก่อนเริ่มเกิดรอยดำไปจนป้องกันไม่ให้กลับมาใหม่

  • ผลัด รอยดำฝังลึกที่ชั้นผิว ด้วย HEPES
  • จัดการ สัญญาณการสร้างรอยดำจากสิว โดยใช้ PHE-resorcinol
  • ป้องกัน รอยดำเกิดใหม่ พร้อมดูแลการอักเสบระคายเคืองผิว ด้วย Niacinamide

มาดูส่วนผสมกันนะคะ

  • Niacinamide (10%) หรือ วิตามินบี 3 ที่เรารู้จักกัน น้องมีประโยชน์ที่ดีกับผิวหลายๆ ด้าน โดยน้องเป็นส่วนหนึ่งในโคแฟคเตอร์ NADP และ NAD ซึ่งจำเป็นในการทำงานหลายๆ อย่างของผิว มีรายงานถึงคุณสมบัติในการรบกวนกระบวนการ Melanosome transfer ยับยั้งส่งผ่านของเมลานินที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ออกไปข้างนอก ลดการอักเสบ เพิ่มความแข็งแรงให้ผิวโดยไปกระตุ้นการสร้าง Ceramides กรดไขมัน และไขมันชนิดต่างๆ ที่เป็นองค์ประกอบของ Barrier ผิว (Int J Cosmet Sci 2005; 27:255–261)
  • Hydroxyethylpiperazine ethane sulfonic acid หรือ HEPES (5%) น้องมีบทบาทหลายอย่างในสูตรตำรับ เดิมทีใช้เป็นสารกลุ่มบัฟเฟอร์ที่ช่วยปรับและคุมค่า pH ให้คงที่เพื่อเสริมความคงตัวให้สูตร แต่ก็มีการค้นพบว่า HEPES นั้นมีประโยชน์ในการผลัดผิวแบบอ่อนๆ โดยไปย่อยสลายส่วนของโปรตีน Corneodesmosome ที่ทำหน้าที่ยึดเกาะเอาเซลล์ขี้ไคลเอาไว้ด้วยกัน ผ่านการกระตุ้น Protease enzyme จึงไปย่อยสลายเซลล์ขี้ไคลให้หลุดออกไปตามธรรมชาติ และยังเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว ในสูตรนี้ทางแบรนด์ใช้ HEPES ที่ความเข้มข้น 5% โดยทดสอบว่ามีประสิทธิภาพในการผลัดผิวเทียบเท่า Glycolic acid 10%
  • Phenylethyl resorcinol หรือ PHE-resorcinol น้องมีคุณสมบัติยับยั้งเอนไซม์ Tyrosinase ที่เป็นตัวสร้างเมลานิน มีรายงานการศึกษาในอาสาสมัคร โดยให้ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารนี้กับสาร Whitening อื่นๆ เป็นเวลา 12 สัปดาห์ พบว่าอาสาสมัครมีสีผิวที่แลดูขาวขึ้น (J Cosmet Dermatol. 2013;12(1):12-7.)
  • เติมความชุ่มชื้นด้วย Sodium hyaluronate
  • เสริมวิตามินอีเข้ามาเป็น Antioxidant อาจจะปกป้องสารในเนื้อสูตร และปกป้องผิว

ความพิเศษอีกจุดของสูตรนี้ ที่ได้เกริ่นไปว่า ทาแล้วกระจ่างใสทันที มาจากการที่ทางแบรนด์พัฒนาสูตรได้อย่างชาญฉลาดโดยใช้ Pigment (เม็ดสี) ที่เข้ามาช่วยบดบังสีเดิม และให้ความสว่างแวววาว (ชุด Tin oxide, Titanium dioxide, Mica ซึ่งอาจเป็น Pearlescent pigment ที่ผ่านการเคลือบ Mica) ให้สีแวววาวแบบเป็นธรรมชาติ อำพรางริ้วรอยตื้นๆ และให้สีผิวดูกระจ่างใสขึ้น

สรุปกลไกของสารบำรุงในสูตรได้ประมาณนี้ค่ะ

แต่สูตรนี้มี Alcohol ซึ่งข้อดีของน้องก็คือ ช่วยลดความเหนอะหนะให้กับเนื้อครีมได้ และมี Isopropyl myristate (IPM) ที่อาจจะเสี่ยงอุดตันได้ แต่ว่าน้องมาในลำดับท้ายๆ ซึ่งการอุดตันนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นในสูตร และความไวในการตอบสนองของแต่ละคนด้วยค่ะ ในที่นี้ดูจากลำดับแล้ว อยู่หลัง EDTA ที่เป็นตัวจับโลหะ ปกตินิยมใช้กันประมาณ 0.1% คิดว่าไม่ sig ไม่กระทบกับผิวค่ะ และส่วนตัวก็ใช้ได้ไม่ได้มีปัญหาอะไรทั้ง alcohol และ IPM

มาให้คะแนนกันดีกว่า

  1. สารบำรุง เอาจริง คือ ชอบคอนเซปท์การเอา Kligman’s formula มาเป็นแรงบันดาลใจในการทำสูตรมาก และส่วนผสมที่เลือกมาก็คือเรียกได้ว่าลงตัว Block การสร้างเม็ดสี และ Block การส่งออกเม็ดสี พร้อมลดการอักเสบระคายเคือง add on สำหรับดูแล ป้องกันรอยดำจากสิวไปในตัว และยังจะเอามาใช้ในเชิง whitening หรือ เสริมผิวแข็งแรง หรือ จะเอามาชะลอวัยก็ไม่เกินจริง เอาไป 5 ฟลาสก์
  2. ส่วนผสมอื่นๆ แอบเสียใจที่ต้องหักคะแนนน้องออก 2 คะแนน ด้วยความ Alcohol ซึ่งจริงๆ ก็มีข้อดีแหละ ในการลดความเหนอะหนะ ปรับฟีล และ Isopropyl myristate (IPM) ที่อาจจะเสี่ยงอุดตันได้ แต่ว่าน้องมาในลำดับหลังจาก EDTA ก็อาจจะมีแค่ราวๆ หรือน้อยกว่า 0.1% ซึ่งการอุดตันนั้นขึ้นอยู่กับความเข้มข้นในสูตร และความไวในการตอบสนองของแต่ละคนด้วยค่ะ ส่วนตัวก็ใช้ได้ไม่ได้เจอปัญหาอะไรค่ะ เหลือคะแนน 3 ฟลาสก์
  3. การใช้งาน ส่วนตัวไม่ค่อยมีสิวแล้ว แต่ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นก็คือความเสี่ยงในการเกิดพวก PIH จะมากขึ้นด้วย และเอามาเน้นเรื่องสีผิวไม่สม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็น Age spot/Sun spot คิดว่าน้องทำมาได้ดี เมื่อได้ลองประมาณ 1 สัปดาห์ ก็รู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงในสภาพที่ดีขึ้น ในด้านของผิวชุ่มชื้น แข็งแรง รู้สึกเรื่องรอยแดง กับการระคายเคืองผิวจะดีขึ้น ส่วนเรื่องความกระจ่างใส กับพวกรอยดำยังไม่ค่อยชัดค่ะ คิดว่าน่าจะซัก 1 – 3 เดือน น่าจะตอบโจทย์ได้ ให้ไป 5 ฟลาสก์

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ทางแบรนด์โดยตรงเลยนะคะ

Official facebook: @LaRochePosayThailand

(https://www.facebook.com/LaRochePosayThailand)

หรือท่านที่จะตามไปส่องสินค้าบน Official Mall ก็เรียนเชิญได้เลยค่ะ

LazMall https://s.lazada.co.th/s.mW6Qe?cc

Shopee Mall https://shope.ee/40HqvW4v3g

Disclaimer/Conflict of interest: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ La Roche-Posay ประเทศไทย การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสม/วัตถุดิบตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทเครื่องสำอางใดๆ โปรดใช้วิจารณญาณ

#LaRochePosayTH #PureNiacinamide10

Image

รีวิว/วิเคราะห์ส่วนผสมน้ำตบวิตามินบี3 บี5 สุดเลอค่าจากแบรนด์ Naturalist กับ Duo B Hydrabright essence

สวัสดีค่ะ

วันก่อนมี่ได้อัพรีวิวโทนเนอร์ BHA จากแบรนด์ Naturalist ไป (เผื่อใครอยากตาม <<<จิ้ม>>> ได้เลยค่า) แล้วทิ้งท้ายไว้ว่า ถ้าเราใช้ตัว BHA ร่วมกับโทนเนอร์วิตามินบี จะสามารถแบ่งหยดอย่างละครึ่งสำลีแล้วเช็ดไปพร้อมๆกันได้เลย

วันนี้เลยจะมาต่อกันที่ตัวโทนเนอร์วิตามินบีที่ว่าค่ะ

ชื่อเต็มๆก็คือ Duo B Hydrabright essence ค่ะ

หน้าตาเป็นแบบนี้นะคะ

b 1

มาในขวดคล้ายๆกับ BHA ดีไซน์ดูหรูหราและอินเตอร์เช่นกันค่ะ ก็ยังคงบอกเค้าไปว่าชั้นชอบดีไซน์แพคเกจเค้า (ขอใช้ภาษาวิบัติเพื่ออรรถรสในการอ่าน)

จุดเด่นของเจ้าเอสเซนส์ Duo B ตัวนี้คือ ใช้วิตามิน B 2 ชนิด คือ Vitamin B3 + B5 รวมกันถึง 15% จึงช่วยบำรุงผิวได้ดี

จุดสำคัญอีกจุดคือ ทางแบรนด์ Claim ว่าเลือกใช้ B3 หรือ Niacinamide เกรด USP ตามเภสัชตำรับอเมริกาเลยทีเดียว ถ้าพูดง่ายๆคือ มีความบริสุทธิ์ระดับยา ที่จะมากกว่าเกรดเครื่องสำอางทั่วไป และมีความปลอดภัย ประสิทธิภาพในการใช้งานมากขึ้น

แค่นั้นยังไม่พอยังเสริมมาด้วยส่วนผสมบำรุงผิวอีกหลายๆตัวเลย เดี๋ยวเรามาต่อกันอีกทีในช่วงวิเคราะห์ส่วนผสมนะคะ

ก่อนหน้านั้นมาดูเนื้อสัมผัสของเอสเซนส์ตัวนี้กันค่ะ

b 2

เป็นเอสเซนส์แบบน้ำใส ไม่มีสี ไม่มีน้ำหอมเลยจะได้กลิ่นจางๆของส่วนผสม

ตัวนี้วิธีใช้ข้างขวดคือ หยดลงบนฝ่ามือ แล้วตบเบาๆบนใบหน้า เหมือนอารมณ์น้ำตบค่ะ

แต่ถ้ามี BHA ด้วย เอามาใส่สำลีคู่กันเลยค่ะ อย่างละครึ่งแผ่น แล้วเช็ดไปพร้อมกัน มันจะดีงามมาก

เกลี่ยง่าย ซึมผิวไวมาก ให้สัมผัสนุ่มนวลผิว ไม่แห้งตึง แต่ก็ไม่ถึงกับเหนอะหนะ

b 3

วัด pH กันซักหน่อยค่ะ

b 4

pH อยู่ที่ราวๆ 5 ซึ่งใกล้เคียงกับผิวดีค่ะ

ถึงคิวของส่วนผสมบ้างนะคะ

สผส b

ที่ส่วนผสมจะมีส่วนของสีฟ้ากับสีเขียวค่ะ

สีฟ้า คือ Isopentyldiol ที่มีประโยชน์เป็นสารที่ช่วยเพิ่มการดูดซึมสารอื่นๆเข้าผิวค่ะ (มีชื่อเรียกแบบสวยๆว่า Percutaneous absorption enhancer)

ส่วนสีเขียวคือสารบำรุงค่ะ มากันแบบตัวแม่เลย

  • เริ่มต้นกันมาที่ Niacinamide ตัวนี้จัดมาเต็ม 10% เลยทีเดียว มีงานวิจัยรองรับถึงประโยชน์เยอะมากจริงอะไรจริง เรียกได้ว่าเกือบจะครอบจักรวาล
    1. Whitening: ช่วยยับยั้งการส่งผานของเม็ดสีผิวที่สร้างเสร็จแล้วไม่ให้ส่งผ่านมาด้านบน เลยไม่เห็นเป็นสีผิว ทำให้ผิวขาวกระจ่างใสมากขึ้น
    2. ลดการเกิดสิว: มีการทดสอบเชิงคลินิกพบว่า Niacinamide ที่ความเข้มข้น 4% มีประสิทธิภาพเทียบเท่า Clindamycin ในการรักษาสิว (Int J Dermatol. 2013;52(8):999-1004.) และยังช่วยลดความมันบนใบหน้า
    3. ชะลอวัย: ช่วยให้ผิวละเอียด กระชับรูขุมขน และละเอียดมากขึ้น ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ
    4. ผิวแข็งแรง: ช่วยเสริมสร้างไขมัน Ceramide และ Hyaluronic Acid ในผิวหนัง
  • Acetyl glucosamine จัดหนักมาที่ 4% ตัวนี้เป็นเสมือนคู่หูคู่ขวัญกับบี 3 เพราะส่งเสริมกันและกันไม่ว่าจะเป็นในด้านริ้วรอย และ Whitening สารตัวนี้ยังเป็นส่วนประกอบในการสังเคราะห์ Hyaluronic Acid ของผิวหนัง และช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นได้
  • ต่อมาคือโปรวิตามินบี 5 หรือ Panthenol ที่จัดมา 1% ซึ่งมีบทบาทในการเพิ่มการชุ่มชื้นและลดการอักเสบของผิว
  • Telmesteine เป็นสารที่มีคุณสมบัติเด่นอยู่ 2 ด้าน คือ
    • ด้านลดริ้วรอย: สารนี้ยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ที่ไปย่อยสลายคอลลาเจนในชั้นผิว และเป็น Antioxidant
    • ด้านลดการอักเสบ และระคายเคือง
  • Raspberry ketone เป็น Whitening ได้โดยไปยับยั้งเอนไซม์ที่สร้างเม็ดสี (Int J Mol Sci. 2011;12(8):4819-35.) ข้อมูลจากทางแบรนด์บอกว่ามีผลต้านอนุมูลอิสระ ชะลอวัย นอกจากนี้มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อจึงให้ผลปกป้องผลิตภัณฑ์จากเชื้อ

โดยรวมจึงจะเห็นได้ว่า Duo B เอสเซนส์นี้มีวิตามินที่เข้มข้นมาก (รวมกันถึง 15%) ซึ่งมีประโยชน์มากมายกับผิว ไม่ว่าจะเป็น Whitening ลดการเกิดสิว ซึ่งกลไกของ Niacinamide นั้นไม่ได้เหมือนกับยาปฏิชีวนะหรือ Antibiotic ที่เราใช้กันทั่วไป อย่าง Clindamycin หรือ Erythromycin ดังนั้นมี่จึงไม่แปลกใจเลยค่ะที่ทางแบรนด์ Claim เรื่องตัว Duo B นี้ ว่าใช้ได้กับสิวทุกประเภท รวมทั้งสิวที่เกิดจากเชื้อดื้อยา เพราะเราใช้ยาปฏิชีวนะแบบไม่ถูกวิธี ใครเป็นสิวบ่อยๆ ทาอะไรไม่หายซักที ตัวนี้น่าจะตอบโจทย์ค่ะ นอกจากนี้ Niacinamide ก็ยังมีส่วนช่วยในการชะลอวัยลดริ้วรอย เพิ่มความชุ่มชื้น ลดการอักเสบระคายเคือง และให้เรารู้สึกสบายผิว

มาให้คะแนนดีกว่านะคะ

  1. ส่วนผสม ถึงแม้จะดูเรียบง่าย แต่ก็อัดแน่นด้วยคุณประโยชน์มากมายหลายด้านตามที่ได้เล่าให้ฟังในด้านบน และยังไม่มีสารที่ไม่เป็นมิตรกับผิว รับไปเลยค่ะจากความครอบจักรวาลนี้ 5 ฟลาสก์เต็มๆ
  2. การใช้งาน ส่วนตัวมี่พึ่งมาเริ่มใช้หลังจาก BHA ของแบรนด์ประมาณ 1 สัปดาห์ ตัวนี้มี่ใช้ทั้งเช้าและเย็นค่ะ ใช้แบบน้ำตบ พอใช้ร่วมกับ BHA ในตอนกลางคืน เลยมาลองใช้พร้อมกัน หยดแล้วเช็ดทีเดียวเลย ประหยัดทั้งเวลา และยังช่วยลดการแห้งจาก BHA ด้วยค่ะ หน้านุ่มฟูมากขึ้น และรอยด่างดำก็ดูกลืนไปกับสีผิวค่ะ รับไป 5 ฟลาสก์เช่นกัน

คะแนน b

ตัวนี้ทางแบรนด์จัดโปรเปิดตัวถึงสิ้นเดือนนี้ ราคาจะอยู่ที่ 1290 บาท/100 ml จากราคาปกติ 1890 ตกเป็น 12.9 บาท/ml ค่ะ

สุดท้ายนี้ขอบคุณทางแบรนด์ Naturalist ด้วยนะคะที่ส่งผลิตภัณฑ์ดีๆมาให้มี่ได้ทดลองใช้ และขอบคุณทุกท่านด้วยค่ะที่ติดตามรับชมมาจนจบ พบกันใหม่โอกาสถัดไป สวัสดีค่ะ

สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมสามารถติดต่อสอบถามกับทางแบรนด์ได้โดยตรงเลยนะคะ

https://www.facebook.com/NaturalistTH/

LINE : @naturalist.th

Discliamer/conflict of interests: ผลิตภัณฑ์นี้ได้รับการสนับสนุนจากทางแบรนด์ Naturalist beauty การรีวิวครั้งนี้เป็นการวิเคราะห์ส่วนผสมตามหลักการทางวิทยาศาสตร์เครื่องสำอางและอาศัยความเห็นส่วนบุคคล และผู้เขียนไม่ได้มีผลประโยชน์ใดๆในการขายสินค้า โปรดใช้วิจารณญาณ